วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Sense of Space Creations - Axis Caviar Premium


Sense of Space Creations - Axis Caviar Premium

ได้เวลาของน้ำหอมแบรนด์ที่จะมีลูกกลมๆ คล้ายไข่ปลาคาเวียร์อยู่ในขวดน้ำหอมให้ดูหรูหราเข้าไว้อย่าง Sense of Space Creations ซึ่งคุณภาพน่ะจัดเต็มแน่ๆ เช่นนั้นเลยเอารุ่น Axis Caviar Premium ที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่กลิ่นดีงามไม่น้อยของแบรนด์นี้มาบอกเล่ากันซักหน่อยครับว่าเป็นยังไง 

ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในน้ำหอมที่ออกโทนหวานแบบเมโทรกันซึ่งๆ มาแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ไม่โฉ่งฉ่าง เน้นนิ่งๆ แต่เสน่ห์จัดเต็ม โดยเปิด Top Notes กันด้วยโทนซิตรัสของส้มและเกรฟฟรุต แต่สิ่งที่รองพื้นด้านหลังคือโทนหวานของเครื่องเทศแน่นๆ เลยทำให้กลิ่นซิตรัสไม่คมเกินกว่าเหตุ และยังมีกลิ่นอายเย็นแหลมหน่อยๆ ของมิ้นท์ให้รู้สึกได้ เพียงไม่นานงานเครื่องเทศโทนหวานต้องมา เพราะ Middle Notes อบเชยจะมาเต็มมาก แต่จะมีความเด็ดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ เป็นอบเชยแกล้มกลิ่นกุหลาบได้ความหวานแบบคมๆ กลิ่นมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว บ่งบอกถึงความเป็นเมโทรกันเต็มเหนี่ยวมากๆ จนเมื่อมีกลิ่นครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้าและ Musk เข้ามาแซมนั่นแหละ Base Notes มาแล้ว ซึ่งจะมาผสานกับกลิ่นของอบเชยทำให้กลิ่นยังคงโทนหวานอยู่แต่จะอบอุ่นกลั้วนุ่มเย้ายวนมากขึ้น และจะมีโทนวู้ดดี้ให้ความรู้สึกแมนกำลังดีลอยไปลอยมาตีคู่กับพิมเสนบางๆ ไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิวเลย

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นจะบอกถึงความเป็นผู้ชายเมโทรดูแลตัวเองได้ดีเลยทีเดียว สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะกลิ่นแน่นไม่ใช่น้อยนะนั่น สำหรับการออกกำลังหาย อย่าเลย กลิ่นแน่นเกินเดี๋ยวชาวบ้านเมากันก่อนพอดี ส่วนเที่ยวกลางคืนจัดไปครับ กลิ่นเข้าทางไม่น้อยนะนั่น

ความทน – ยกนิ้วให้เลย 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ ขนาดตากฝนแล้วตัวเปียกๆ กลิ่นก็ยังตีขึ้นให้รับรู้อยู่ เก๋ตรงนี้

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นจนถึงช่วงกลาง มีลดระดับมาเป็นออร่าหวานเย้ายวนอบอุ่นเท่ห์ๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – บอกกันตรงนี้ว่ากลิ่นคล้าย Paco Rabanne 1 Million มากเลยนะครับ เพียงแต่กลิ่นจะออกทางอบอุ่นมากกว่า

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: AJMal – Blu


AJMal – Blu

เป็นน้ำหอมแบรนด์แขกตะวันออกกลางก็ใช่ว่าจะมีแต่กลิ่น Oud: ไม้กฤษณากันซักหน่อย เพราะว่ามีน้ำหอมโซนสดชื่นเข้าถึงง่าย หอมสะอาดวันฟ้าใสสุดๆ เข้าทาง Safe Scent ที่น่าสนใจ และเหมาะกับหน้าร้อนบ้านเรามากเช่นกันเลยนะนั่น แถมไม่มีกลิ่นอายแขกตะวันออกกลางมาให้หวั่นใจเลยแม้แต่น้อย นั่นคือรุ่น Blu ของ AJMal นั่นเองครับ 

Top Notes เป็นอะไรที่สร้างความสดชื่นกันแบบหอมวันฟ้าใสยามเช้าสุดๆ กับโทนกลิ่น Aquatic แบบซิตรัสกลั้วความฉ่ำน้ำของแตงโมที่ติดโทนหวานจางๆ โดยมีลาเวนเดอร์มาตัดให้นุ่มหอมสะอาดสดใสมากมาย แบบว่าฉีดตอนเช้าๆ นี่ตื่นกันเลยทีเดียว กลิ่นปลุกเร้าประสาทสัมผัสให้พร้อมรับวันใหม่กันได้เลย(ไม่ได้ฉีดแล้วบางอย่างตื่นนะครับ) ซึ่งโทนสดชื่นนี้จะตามไปทุกตัวแบบให้รู้สึกได้เรื่อยๆ โดยเมื่อเข้า Middle Notes จะกลายเป็นกลิ่นโทนดอกไม้หอมอ่อนๆ กลั้วกับกลิ่นโทนสดชื่นในตอนต้น ซึ่งจะสอดใส่รับกันได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะกลิ่นโทนอ่อนๆ ของดอกบัวกับมะลิจะช่วยดันให้กลิ่นมีความสดชื่นติดเขียวนิดๆ ที่ลงตัวมาก และปิดท้ายกันกับ Base Notes ที่จะมาแบบยอดนิยมเลยกับ 3 เกลอ คือ Musk แอมเบอร์ และไม้จันทน์หอม ที่กลิ่นจะหอมแบบมวลมหาประชาชนชอบ มวลมหาประชาชนรัก เพราะ 3 ตัวนี้จะมาให้ความสะอาดนุ่มและอบอุ่นเบาๆ โดยที่ยังคุมโทนสดชื่นไปตลอดเลย เข้ากั๊น เข้ากันกับอากาศบ้านเราช่วงยามฤดูร้อนโคตรๆ สุดๆ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศทุกวัยครับ กลิ่นใช้ง่ายมาก เข้าถึงก็ง่ายสุดๆ หอมเรียกแขกเรียกคำชมได้สบายๆ กับโทนสดชื่นแบบนี้ สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันตั้งแต่ทางการ ยันเรื่องทั่วไป จนถึงออกกำลังกายหรือแก้ผ้ากระโดดน้ำริมคลองเลยทีเดียว ส่วนถ้ายามกลางคืนแบบทั่วๆ ไป เดินตลาดนัด กินข้าวก็เข้าทีครับ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปเมาเลยแม้แต่น้อย กลิ่นโดยเหล้ากลบแน่นอน

ความทน – อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ที่สำคัญหลังจากพิสูจน์มาแล้วไม่ต่ำว่า 5 รอบ น้ำหอมตัวนี้ฉีดเสื้อแล้ว กลิ่นช่วยย้ำทำให้ทนมากขึ้น แบบที่ช่วง Top Notes จะยาวนานเลยทีเดียว

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ให้ความสดชื่นกันเต็มๆ แบบโทน Aquatic และจะลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัว ถึงขั้น Skin Scent ตามลำดับ

ทิ้งท้าย – ผมใส่ตัวนี้ คนชมกันให้ตรึมว่าหอมสดชื่น และสบายจมูกยามดมดีแท้ แหม ของเขาดีนะนั่น (ทำท่าก็ไม่รู้สินะประกอบ)

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Estée Lauder - Pleasures For Men


Estée Lauder - Pleasures For Men

ถ้าจะให้นึกถึงน้ำหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้ชายแบบสบายๆ อ่อนโยน สะอาด สุภาพแบบมีระดับและผ่อนคลาย ในหัวผมมักจะมี Pleasures For Men ของ Estée Lauder อยู่ใน List ด้วยเสมอ เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เรียบง่าย แต่มีคลาสไม่น้อยเลยทีเดียว 

เปิดตัวกันที่ Top Notes กับกลิ่นโทนซิตรัสกลั้วไปกับกลิ่นของลูกท้อและใบไม้เขียวๆ ท่ามกลางอากาศสดชื่น ได้ความรู้สึกสดใสเป็นอย่างดี กลิ่นจะใกล้เคียงกับ Cool Water นิดหน่อยในช่วงนี้ เพียงแต่ Pleasures จะมีความเป็นโทนผลไม้ติดเขียวมากว่า ได้ความสบายๆ ของกลิ่นที่ไม่ได้ออกทางทะเลแต่อย่างใด และเมื่อเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นสดชื่นในตอนต้นจะผันตัวเองมาเป็นฉากหลัง ดันให้กลิ่นโทน Spicy ของพริกไทย เม็ดผักชี และขิงเด่นขึ้นมาแทน โดยจะมีโทนนุ่มๆ ของลาเวนเดอร์และกุหลาบ ที่จะมากให้ความรู้สะอาดและอ่อนโยนติดหวาน กลิ่นในช่วงนี้จะออกทางสบู่หอมหน่อยๆ อย่างชัดเจน และปิดท้ายที่ Base Notes กับโทนวู้ดดี้อ่อนๆ ที่จะมาให้ความรู้สึกอบอุ่นแทรกกับความสดชื่นไปเรื่อยๆ แบบมีระดับ ได้ความสุภาพและผ่อนคลายในเนื้อกลิ่น โดยมีกลิ่นโทนแมนๆ ติดเขียวของมอสเข้ามาให้ความรู้สึกประฉับกระเฉง ในแบบผู้ชายอารมณ์ดี เรียกได้ว่ารวมความหอมแบบเรียบง่าย แต่มีระดับในเนื้อกลิ่นไม่น้อยเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไป เพราะกลิ่นใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย เข้ากับอากาศบ้านเราสุดๆ สามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน และบางสถานการณ์ทั่วๆ ไปในยามเย็นที่ไม่ได้เน้นไปเมาแอ๋ที่ไหน ที่สำคัญกลิ่นนี้ติดทาง Unisex หน่อยๆ ผู้หญิงก็สามารถใส่ได้อยู่ในแบบทั่วๆ ไปครับ

ความทน - ถือว่าเป็น Cologne Spray และเป็นน้ำหอมกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็จริง แต่ความทนนี่ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียวครับ กับ 8 ชม. สบายๆ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะลดระดับมากระจายๆ แบบหอมอ่อนๆ สะอาดสุภาพในตอนกลาง จนปิดท้ายที่ Skin Scent ที่ยามร่างกายทำความร้อน กลิ่นจะตีขึ้นให้รับรู้ได้ไม่ยาก

ทิ้งท้าย - ใครชอบน้ำหอมที่สดชื่นและให้กลิ่นที่อ่อนๆ แบบสุภาพและมีระดับ นี่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ยิ่งถ้าใส่น้ำหอมตัวนี้กับวันที่ใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆ เช่นสีขาว ยิ่งแบบว่าเข้ากั๊น เข้ากันมากครับ ^^

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Fragonard - Concerto for Men


Fragonard - Concerto for Men 

เป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอม Niche ที่มาจากฝรั่งเศส และทำน้ำหอมได้ดี๊ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ที่วสำคัญรุ่นที่จะมาบอกเล่ากันนี้ เปรียบเสมือนฝาแฝดของ CK One ในรูปแบบที่หรูกว่า นวลเนียนกว่า โดยยังคงความสดชื่นนุ่มๆ แบบน้ำหอมที่เหมาะกับฤดูร้อนได้อย่างดีมาก นั่นคือ Concerto for Men ครับ 

เปิดตัวขึ้นมากันเต็มๆ แบบที่ทุกคนที่ได้กลิ่นจะบอกว่านี่มัน CK One กันเลยทีเดียว เพราะโทนกลิ่นใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่เนื้อกลิ่นของ Top Notes จะมาแบบซิตรัสเน้นๆ แต่ว่าไม่คมจัดแหลมเฟี้ยว เพราะการตัดโทนกันของเลมอน มะกรูดและส้มจะออกมาลงตัวกับการเป็นซิตรัสที่สดชื่นใสๆ กำลังดี จนส่งต่อให้ช่วง Middle Notes จะเริ่มเปลี่ยนโทนมาเป็นโทนนุ่มนวลติดซิตรัส ที่ความเป็น CK One จะเริ่มหายไป มาเป็น Bvlgari Extreme แทน เพราะกลิ่นชากลั้วกับโทนดอกไม้จางๆ และเครื่องเทศแบบบางเบา โดยมีโทนซิตรัสในตอนต้นเป็นฝ่ายสนับสนุนเสริมไปตลอด ซึ่งกลิ่นชาจะทำให้ช่วงนี้หอมนุ่มนวลแบบมีระดับ กลิ่นเย้ายวนกำลังดี โดยไม่ทิ้งความสดชื่นไปไหน และเมื่อถึงช่วง Base Notes ก็จะมาลงเอยที่กลิ่นโทนวู้ดดี้นุ่มๆ กลิ่นออกทางสะอาดอบอุ่นแบบกำลังดี แต่ที่ทำให้กลิ่นหอมมากขึ้นเต็มๆ คือ พิมเสน ที่จะมาหยอกเย้าคลอเคลียไปตลอด หอมเย็นๆ โดยยังมีโทนสดชื่นตามมาให้รู้สึกได้ตลอดเวลา เรียกได้ว่า เฮ้ย! หอมแบบไม่หวือหวา แต่มีราคาในเนื้อกลิ่นไม่น้อยเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัย เพราะในกลิ่นมีโทนแมนๆ พอสมควร ไม่เหมือน CK One ที่จะออกโทนกลางๆ ได้ทุกเพศ กลิ่นใช้ง่ายมาก เข้าถึงก็ง่าย สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามกลางคืนแบบอากาศร้อนๆ ก็ใส่ได้ครับ แต่ถ้าใส่ไปเที่ยวและเมา กลิ่นไม่เข้าทางเท่าไหร่นัก

ความทน - ทนดีเลยทีเดียว กับ 8 ชั่วโมงสบายๆ ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นกลิ่นติดผิวจางๆ แล้วค่อยๆ หายไปทีละหน่อยจนหมดในที่สุ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และลดระดับมากระจายให้ความสดชื่นแบบกลางๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบหอมสดชื่นอ่อนๆ และติดผิวในที่สุด

ทิ้งท้าย - เป็น Safe Scent ได้อย่างสบายๆ เลยครับ ที่สำคัญกลิ่นนี้แม้จะคล้ายกับ CK One ในช่วงต้นๆ และเป็นกลิ่นโทนซิตีสสดชื่นที่ดูทั่วๆ ไปอาจจะไม่ได้โดดเด่นหรือหวือหวานัก แต่บอกเลยว่ามีดีมาก เพราะมันแอบหรูมีระดับซ่อนไปตลอดทุกช่วงตัวเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: CoSTUME NATIONAL – Scent


CoSTUME NATIONAL – Scent 

เมื่อปล่อยของแรงกับการ Review ตัว 21 ที่ให้กลิ่นนมอุ่นกรุ่นแอมเบอร์เต็มแน่นขาดใจไปก่อนหน้านี้ ก็ขอลดลงมาที่ของดีประจำแบรนด์นี้ที่เข้าถึงง่ายอย่างมีคลาสและหรูหราผู้ดีสุดๆ อ่ะ กันบ้าง นั่นคือรุ่น Scent นั่นเองงงงงง 

ใครที่อยากได้น้ำหอมกลิ่นดอกชบา ตัวนี้แหละครับที่จะบอกความหอมของมันได้ดีมากจริงๆ โดยกลิ่นเปิดจะมากันด้วยกลิ่นชามะลิหอมๆ นุ่มๆ ติดกลิ่นแอมเบอร์รองพื้นอยู่ด้านหลัง ซึ่งกลิ่นจะมาแบบสว่างไสวเหมือนอากาศสดใส สดชื่นแต่ก็อบอุ่นไปด้วย เก๋ตรงนี้ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเหล่าชามะลิจะผันตัวเป็นรองพื้นด้านหลังเป็นเพื่อนกับแอมเบอร์ในช่วงกลาง ดันให้กลิ่นดอกชบาเด่นเด้งมาเลย แบบว่า เออ มันเหมือนได้กลิ่นดอกชบากันชัดๆ ก็คราวนี้ เพราะตัวดอกมันจริงๆ กลิ่นจะอ่อนมาก เพราะการเอาโทนเครื่องเทศบางๆ มาผสานด้วยในช่วงนี้ทำให้กลิ่นจะหอมชัดมาก หอมชบามากกกกกอ่ะ บอกเลย แถมกลิ่นในช่วงนี้จะดูหรูหรา ผู้ดี สะอาดสะอ้าน และเพียบพร้อมมากเลย แบบว่าทำให้ฟินและหลงกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว และเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ได้เวลาของแอมเบอร์กันเต็มๆ ที่จะเปิดตัวออกมานำเด่น แถมมีโทนธูปไม้หอมอ่อนๆ มาแทรกอยู่เป็นระยะ มีกลิ่น Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาดเป็นคนเบื้องหลังอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งจะให้โทนอบอุ่นอย่างมีชั้นเชิงมาก แถมคงความ Elegance กันได้แบบยอดเยี่ยมไปเลยล่ะ

เหมาะสำหรับ – ตรงๆ ว่าน้ำหอมรุ่นนี้เป็นของผู้หญิงครับ แต่กลิ่นมัน Unisex มากมาย สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะออกงานทางการ งานทั่วไป ชิลล์ๆ หรืออยู่บ้าน กลิ่นมีความหรูหราเข้าถึงง่ายแบบมีระดับมาก แต่ถ้าออกกำลังกายให้รอปลายๆ ช่วงท้ายจะดีที่สุด ส่วนยามเย็นได้อยู่ครับ แต่ตัดออกจาก List ไปได้เลยถ้าจะใส่ตัวนี้ไปเที่ยวกลางคืน ไม่เข้าทางเท่าไหร่ครับ

ความทน – EDP จ้า แม้จะให้กลิ่นหอมอ่อนๆ แต่เกิน 8 ชม. ได้สบายๆ ซึ่งส่วนตัวเจอมาแล้ว 12 ชั่วโมง ฟินมากกกกก

การกระจาย – กลิ่นกระจายกำลังงามมากกว่าที่จะกระจายหนักหน่วง เพราะเป็นน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ อย่างมีระดับ เลยต้องมีการไว้ตัวในเนื้อกลิ่นกันหน่อยสิจ้ะ แต่จะคงความกระจายกำลังงามอย่างนี้ไปตลอดจนถึงช่วงท้ายๆ เลย

ทิ้งท้าย – ถ้าใครชอบน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่หรูหราอย่างมีระดับ เรียกได้เลยว่าต้องลองซักครั้งนะนั่น อาจจะฟินจนเป็นหนึ่งใน Signature กันได้เลยล่ะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Thierry Mugler – Mugler Cologne


Thierry Mugler – Mugler Cologne 

จากน้ำหอมส่วนใหญ่ของแบรนด์ที่จะปล่อยของปล่อยเสน่ห์ยั่วยวนสุดฤทธิ์ทั้งแบบมีชั้นเชิงและชวนกันโต้งๆ ว่า “มากินผมสิ ผมอร่อยมากนะขอบอก” ก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหอมในโซน Safe Scent กับเขาซักกะหน่อย แต่ใช่ว่าจะทิ้งลายความเซ็กซี่ที่ต้องมีแอบแฝงกันบ้างแหละ เช่นนั้น มาเจอกันซักหน่อยกับ Mugler Cologne ครับ 

เปิดต้น Top Notes กันได้แบบว่ากระจ่างใส สดชื่น สะอาดได้ใจมากกับกับกลิ่นโทนซิตรัสติดเขียวๆ ของใบส้ม ดอกส้ม และมะกรูด แบบว่ามาเต็มในแบบที่กลิ่นคมกำลังดี ไม่ได้แหลมเฟี้ยวมากเกินไป กับอิทธิฤทธิ์ของดอกส้มที่จะมาทำให้กลิ่นนุ่มลงมา เหมือนกลิ่นสดชื่นขณะอาบน้ำท่ามกลางธรรมชาติสุดๆ และเมื่อเข้า Middle Notes งานนี้ดอกส้มมาเต็มมากกกกก โดยจะมีกลิ่นโทนสบู่หอมสะอาดรองพื้นอยู่ตลอดเวลาทำให้กลิ่นนี้ออกแนวสะอาดนุ่มๆ แต่เซ็กซี่อ่ะ คือ เหมือนคนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เดินตัวเปียกๆ ออกมาจากห้องน้ำกลิ่นสดชื่นแบบนุ่มๆ ของสบู่ติดผิวกาย แล้วทำตาเชื่อมๆ เซ็กซี่เอียงอายราวกับบอกว่า “#อยากเห็นคนแก้ผ้าไหม” อย่างไงอย่างงั้น ซึ่งกลิ่นโทนนี้จะเด่นไปจนสุดท้ายเลยทีเดียว โดย Base Notes จะเพิ่มความนุ่มของ White Musk เข้าไปอีก ทำให้กลิ่นจะนุ่มนวลสะอาดอยู่ตลอด แบบใส่เสื้อผ้านั่งชิลล์ๆ สบายๆ ให้อีกฝ่ายมาดมชื่นชมความสะอาดหรือพาไปร่อนนอกบ้านอย่างรื่นรมย์เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – Unisex ขาดใจ เพราะเป็นกลิ่นหอมสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติที่เข้าได้กับทุกเพศ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ในยามกลางวัน เพราะถือว่าเป็น Safe Scent ที่แฝงด้วยความเซ็กซี่กำลังดีงาม และใครได้กลิ่นก็สบายๆ ชิลล์ๆ สดชื่นไปด้วย ส่วนกลางคืนถ้าอากาศร้อนๆ อยู่กลางแจ้ง หรือสถานการณ์ทั่วๆ ไปก็ใส่ได้สบายๆ ครับ

ความทน – แม้จะเป็น Cologne แต่ก็ทนดีเลย ประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะลดระดับมากระจายกลางๆ จนถึงการเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายๆ ที่ถ้าร่างกายทำความร้อน จะมีกลิ่นสบู่ดอกส้มสดชื่นตีขึ้นให้รับรู้ได้ไม่ยาก

ทิ้งท้าย – เอาไปเลยดีกว่ากับคำว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของเขาดีจริงๆ และเหมาะกับสภาพอากาศที่ร้อนมากๆ ของบ้านเราเลยล่ะครับ

Review: Versace – The Dreamer


Versace – The Dreamer

เห็นชื่อรุ่นแล้วชอบแบบทันทีไม่คิดอะไร เพราะมันต้องมีความโรแมนติคและความรื่นรมย์ในแบบผู้ชายแน่ๆ กับการปล่อยรุ่นนี้ออกมาของ Versace เมื่อปี 1996 เช่นนั้นสบโอกาสได้ใช้ ก็ต้องบอกเล่าสิครับ กับรุ่นคนช่างฝัน The Dreamer รุ่นนี้เลย 

กลิ่นเปิดนี่มากันเลยแบบคุ้นจมูกมากๆ กับกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่มาผสานกับเซจ จนได้กลิ่นเปิดที่ออกทางคล้ายๆ ลาเวนเดอร์ผสมมะลิ โดยมีโทนซิตรัสบางๆ รองพื้นด้านหลัง ซึ่งต้องบอกกันว่า ถ้าใครไม่ชอบในช่วงต้น อาจจะหยุดกับตัวนี้ได้เลย เพราะกลิ่นค่อนมาทางหนักหน่วงพอสมควร เพียงแค่ไม่นานกลิ่นโทนดอกไม้ของกุหลาบจะเด่นขึ้นมาตีคู่กับลาเวนเดอร์ที่ยังมาจากช่วงต้นอยู่ แต่ที่สำคัญพระเอกของงานอย่างใบยาสูบจะไม่ให้ใครแย่งซีนด้วยเช่นกัน แต่จะมาร่วมวงผสานกันเป็นกลิ่นโทนหอมเย้านุ่มจมูกและโรแมนติคมาก กลิ่นจะมีความหวานเย้าและหวานนุ่ม โดยมีความรู้สึกอบอุ่นลอยอ้อยยิ่งให้รู้สึกได้จากเนื้อกลิ่นกำลังดี จนเมื่อช่วงท้ายได้เวลาปล่อยของ ใบยาสูบยังคงอยู่ไม่ได้ไปไหน มาผสานกับถั่วตองก้าที่ทำให้โทนอบอุ่นชัดเจนมากขึ้น มีกลิ่นอาย Smoky แบบแมนๆ อย่างหญ้าแฝกมาตัดและมีโทนวู้ดดี้ติดเขียวบางๆ มาร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้กลิ่นไม่ได้หนักเกินไป แต่ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษที่อบอุ่น โรแมนติค หวานแบบมีระดับอย่างรื่นรมย์เลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นนี้ค่อนข้างเสริมบุคลิกให้เป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว วสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เช่น ใส่ทำงาน หรือออกงานทางการ รวมถึงช่วงเวลาที่อยากจะทำให้เป็นหนุ่มโรแมนติค ตลอดจนเวลาทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ แต่ของดใส่เพื่อไปออกกำลังกายเพราะกลิ่นมันมีโทนหวาน อาจจะทำให้ชาวบ้านเวียนหัวได้ ส่วนยามกลางคืนจัดไปครับ สร้างลุคโรแมนติคได้ดีเลยล่ะครับ

ความทน – 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายหนักหน่วงหน่อยในช่วงต้น และจะลดเป็นกระจายกำลังดีไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบโรแมนติคอบอุ่นในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – กลิ่นนี้ทำให้ผมนึกถึง Dolce & Gabbana Pour Homme ผสมกับ Le Male เลยครับ แต่เหมือนดึงเอาส่วนดีของแต่ละตัวมาทำให้เป็น The Dreamer ที่ลงตัวในแบบของ Versace เอง โดยไม่ได้ออกโทนยั่วยวนจัดๆ หรือมาแบบป๋ากลิ่นวานิลลาจัดเต็มเลยล่ะครับ

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Giorgio Armani – Code Ice


Giorgio Armani – Code Ice 

เพราะ Armani Code เป็นหนึ่งในไลน์ที่ยอดฮิตสุดกู่ของแบรนด์นี้ และได้มีการออกลูกหลานมาแล้วก็พอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าหอมหล่อ หวานเร้าใจ และเย้ายวนแบบว่าถ้าไปเที่ยวกลางคืนจะได้กลิ่นนี้จากคทาชายซึ่งจะแท้หรือไม่แท้จัดกันมาไม่ต่ำกว่า 70% กันเลยทีเดียว เช่นนั้นในเมื่อ Code ปล่อย Flanker ตัวใหม่ออกมา เลยต้องขอลองเน้นๆ เลยครับกับรุ่นนี้ Code Ice 

บอกกันซึ่งๆ เลยว่า Code Ice เป็น Flanker ที่เอาความเป็น Code ปกติและ Code Sport มาผสมผสานกัน ตัดบางกลิ่นออกจนได้เป็นลูกครึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 รุ่นข้างต้นชัดเจน เพราะ Top Notes จะมาแนวๆ เดียวกันกับ Code Sport คือเป็น ซิตรัสสดชื่นติดหวานจางๆ ด้วยความเป็นเลม่อน แทรกด้วยขิง มีมิ้นท์มาตัดให้เกิดความเย็นวาบๆ ในเนื้อกลิ่น แตะความเป็น Ice แบบแห้งๆ และส่งต่อให้ Middle Notes จะเป็นโทนดอกไม้สะอาดแบบแน่นๆ ติดหวาน ด้วยลาเวนเดอร์ที่เด่นขึ้นมา แล้วรองพื้นกลิ่นโทนหวานในรูปแบบ Code ปกติ คือ กลิ่นโทนสบู่หอมหวานรัญจวนด้วยกลิ่นโทนเครื่องเทศผสานความครีมมี่นุ่มๆ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้บอกเลยว่าแน่นเลยทีเดียวเชียว และปล่อยของหนำใจที่ให้ความรู้สึกทั้งเย้ายวนและเซ็กซี่แบบไม่ต้องถอดเสื้อผ้า จนเมื่อเข้าช่วง Base Notes กลิ่นโทนสบู่แบบ Code ยังคงอยู่ แต่เพิ่มความเป็นวู้ดดี้เน้นๆ เข้าไปเสริมเลยทำให้จะกลายเป็นกลิ่นสบู่หอมเนื้อไม้ ที่กลิ่นมาในโทนอบอุ่นแกล้มหวานจางๆ มีความสะอาดแบบแน่นๆ ปล่อยเสน่ห์กันได้ชัดเจนเลยทีเดียวครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นยังคงความใช้ง่ายแบบ Code และ Code Sport ครับ แต่กับอากาศร้อนๆ ต้องเพลาๆ เพราะกลิ่นแน่นไม่ใช่น้อย สามารถใส่ได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ ออกกำลังกายรอช่วงปลายๆ Base จะดีที่สุด ส่วนเที่ยวกลางคืนจัดไป ตัวนี้เรียกร้องความสนใจได้ดีพอๆ กับตัวต้นตระกูลเลยครับ

ความทน – Code และ Code Sport ปกตินี่ว่าทนมากแล้ว ตัวนี้กินขาดไปเลยกับการใช้จริง คือ 15 ชั่วโมงกลิ่นยังตีขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ มันเก๋ก็ที่สุดอ่ะ ตะเองงงงงงงง โดยภาพรวมยังไงก็เกิน 8 ชั่วโมงแน่ๆ ถ้าเคมีเข้ากับผิว และจำนวนสเปรย์เหมาะสม

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากตั้งแต่ Top ยัน Middle ยิ่งกับอากาศร้อนๆ สามารถแผ่รังสีได้เต็มแน่นมาก และลดมากระจายกำลังดีไปตลอดเลยในช่วง Base

ทิ้งท้าย – ประทับใจในความทนและกระจายมากมาย ถึงขั้นว่าแค่ 6 สเปรย์ก็ปล่อยรังสีรอบตัวจนโดนคนอื่นเขม่นมาแล้ว ซึ่งบอกเลยครับ ไม่เสียชื่อความเป็น Armani Code แน่ๆ เพียงแต่ขอนิดนึงว่าได้ความ Ice ตามชื่อรุ่นน่ะ มันมาน้อยไปนิดนึงเนาะ ^^

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Pierre Balmain – Ambre Gris


Pierre Balmain – Ambre Gris

หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มากับความหรูหราจัดเต็ม ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเสื้อผ้าตามสะดวก แต่น้ำหอมผมไม่พลาด และตั้งมั่นว่าจะต้องได้น้ำหอมผู้ชายมาลองซักหน่อย แต่สิ่งที่ได้คือน้ำหอมผู้หญิงจ้า เช่นนั้น เอาก็เอา จะเป็นยังไงมาพิสูจน์กลิ่นกันครับ กับ Ambre Gris 

ตอนเห็นชื่อรุ่นน้ำหอมครั้งแรก มั่นใจว่าคนเล่นน้ำหอมนับล้านคนต้องนึกถึง อำพันทองหรืออำพันปลาวาฬ (Ambergris) กันแน่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นของหายาก และราคาแพง รวมถึงทำให้กลิ่นหอมแบบล้ำลึกมากเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นหนึ่งในส่วนผสมของน้ำหอมรุ่นนี้เสียด้วย และเมื่อเปิดกลิ่น Top Notes ขึ้นมา ก็มากันเต็มเหนี่ยวเลยทีเดียวกับกลิ่นโทนเครื่องเทศที่จัดเต็มกับพริกไทยสีชมพูและอบเชย มีกลิ่นโทนยางไม้กำยานลอยคลุ้งไปตลอด ที่สำคัญสิ่งที่แฝงไปตลอดคือกลิ่นของอำพัน (Amber) ที่จะมีกลิ่นออกทางสาปหน่อยๆ กลิ่นมาทางเย้ายวนติดหวานชัดเจน ตรงๆ คือกลิ่นแม้จะเป็นโทนเครื่องเทศแต่ได้สัมผัสแบบกลิ่นโทน Animalic ปลุกเร้ากันเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะไปรวมตัวกับช่วง Middle Notes ที่ก่อให้เกิดความมีเสน่ห์มากกกกก กับโทนดอกไม้หวานๆ อ่อนๆ ที่พอรวมกันแล้วกลายเป็นกลิ่น Unisex ขึ้นมาทันที กลิ่นหอมหวานนุ่ม ซึ่งตอนนี้แหละที่อำพันปกติจะเด่นขึ้นมาทำให้เกิดความอบอุ่นกลั้วกับความหอมอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกมีภูมิมีมาดได้เป็นอย่างดี จนมาถึงช่วง Base Notes ที่งาน Musk ต้องมาตีคู่กับกลิ่นของอำพันทองทำให้กลายเป็นกลิ่นออกทางคล้ายผิวกายมนุษย์ ไม่พอกำยานยังตามมาอยู่คราวนี้รวมกันเป็นกลิ่นโทนอบอุ่นติดวู้ดดี้เย้ายวนกันเลยทีเดียว แต่ความเย้ายวนที่ว่าไม่ได้ออกมาแบบโจ่งแจ้ง แต่มาแบบแฝงภูมิดูนิ่งๆ มีเสน่ห์ทางกลิ่นจัดเต็มให้น่าสนใจเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – คุณผู้หญิงวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมอะไรมาพอสมควรจะเข้าใจและหลงรักกลิ่นนี้ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญผู้ชายใช้ได้สบายๆ เพราะมีความเป็น Unisex ในเนื้อกลิ่นสูงมากเลยล่ะครับ สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและยามกลางคืน ที่ถ้าเน้นงานทางการหน่อยจะเข้าทางมาก หรือการใส่ออกงานกาล่าต่างๆเพราะมันบ่งบอกถึงรสนิยมคนใส่ว่า “หรูหรามีระดับชัดเจน”

ความทน – มากกกกก 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่เลยจ้า

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และจะลดมากระจายกำลังดีไปตลอดจนปลายสุดทางของกลิ่นที่จะปล่อยของได้

ทิ้งท้าย – เป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมที่ต้องผ่านการใช้มาหลายและและหลากหลายหน่อยครับ เพราะกลิ่นแบบนี้ต้องเรียนรู้และรักไปในที่สุด เพราะถ้าไม่งั้นจะเบือนหน้าหนีทำปากเป็นรูปสระอิ จนไม่ได้ความดีงามที่ควรจะเป็นของ Ambre Gris รุ่นนี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Issey Miyake - L'Eau d'Issey pour Homme Yuzu


Issey Miyake - L'Eau d'Issey pour Homme Yuzu 

หน้าร้อนแบบนี้ งานน้ำหอมสดชื่นจึงต้องมาเพื่อคลายร้อนและสร้างความกระปรี้กระเปร่า แถมชอบกลิ่นของส้มยูซุ เช่นนั้นพอเห็น Issey Miyake แบรนด์น้ำหอมสุดที่รักปล่อยรุ่นนี้เป็น Flanker ของรุ่น L'Eau d'Issey pour Homme ออกมา แล้วห้อยท้ายด้วยคำว่า Yuzu มิรอช้าต้องหามาลอง ผลออกมาคือ 

Top Notes แวบแรกที่ได้มาเต็มๆ คือ กลิ่นหวานแบบผลไม้ฉ่ำๆ เพียงแค่ 2 วินาทีกลิ่นโทนซิตรัสจะตามมาให้ความรู้สึกสดชื่นกันสุดๆ ไปเลย กลิ่นของส้มยูซุจะเด่นชัดจัดเต็มมาก รองพื้นด้วยกลิ่นโทนซิตรัสเต็มๆ เรียกความรู้สึกสดใสกันเป็นอย่างดี และกลิ่นโทนซิตรัสติดหวานคมๆ นี้จะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลยทีเดียว คงความรู้สึกแบบตัวต้นตระกูลมาเต็มๆ เพียงแต่ว่าของเดิม Yuzu นั้นเด่นก็จริงแต่จะผสานกับโทนซิตรัสจนกลิ่นไม่ฉ่ำโบ๊ะขนาดนี้ โดยในช่วง Middle Notes เอาจากต้นตระกูลมาเต็มๆ โดยยังคงให้กลิ่นส้มยูซุเด่นเด้งอยู่ เพราะยังมีกลิ่นอายเย็นๆ ของลูกจันทน์เทศ กลิ่นโทนเขียวอ่อนๆ สดชื่นของดอกบัว รองพื้นด้วยเครื่องเทศบางๆ อยู่ครบหมด แต่จะเพิ่มขิงลงไปให้มีกลิ่นโทนหวานสดชื่นเข้ามาคลอเคลียด้วย และปิดท้ายที่ Baste Notes โดยกลิ่นโทนส้มยูซุจะอ่อนลงไปพอให้รู้สึกได้ ความเป็นต้นตระกูลก็ยังคงอยู่ทั้งหมดเลย แต่จะเพิ่มความฉ่ำๆ ติด Smoky ของหญ้าแฝก ควบกับโทนไม้ซีดาร์ให้กลิ่นออกทางหอมสะอาด สดชื่น ที่สำคัญยังมี 3 เกลอยอดนิยมอย่าง Musk ไม้จันทน์หอม และแอมเบอร์รองพื้นให้กลิ่นออกทางอบอุ่นนุ่มเย้าเบาๆ ดันให้กลิ่นโทนสดชื่นเด่นเด้งได้เสมอ โดยภาพรวมกลิ่นสดชื่นอย่างมาก ใช้ง่าย ให้ความรู้สึกรื่นรมย์และฟินได้ไม่น้อยเลยครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัย กลิ่นใช้ง่ายมาก เข้าถึงได้ง่ายจริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะมักไม่ยี้กลิ่นโทนส้มอยู่แล้ว สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม รวมถึงยามเย็นแบบอากาศร้อนๆ หน่อยก็สามารถ สำหรับคุณผู้หญิงใช้ตัวนี้ได้สบายๆ ครับ กลิ่นเข้าทาง Unisex ไม่น้อยเลยล่ะครับ

ความทน - 8 ชั่วโมงขึ้นไป ผมนี่ฉีดไป 6 สเปรย์ตั้งแต่ 6 โมงเช้า 6 โมงเย็นกลิ่นยังอยู่ให้รู้สึกได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายดีแบบที่คนไม่ยี้ และสดชื่นไปด้วยในช่วงกลาง ก่อนจะเป็นออร่าหอมสดชื่นรอบๆ ตัวในช่วงท้ายครับ

ทิ้งท้าย - คนรักกลิ่นส้มยูซุอย่างผมนี่ฟินไปเลย สดชื่น สะอาด และสดใสมากจริงๆ ครับ

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Christian Lacroix - C'est La Fête Patchouli


Christian Lacroix - C'est La Fête Patchouli 

เป็นแบรนด์ที่ทำน้ำหอมออกมาได้สวยมากทั้งขวดและกลิ่น รวมถึงหลายๆ ตัวคือ Masterpiece ที่เลิกผลิตไปแล้วอย่างตัวเทพซีดาร์ Tumulte pour Homme ที่ตอนนี้คนหามาครอบครองกันให้ควั่ก เช่นนั้นเมื่อกลับมาหาแบรน Christian Lacroix เลยขอเอาตัวที่น่าสนใจมานำเหนอกันอีก (ไม่รู้ว่าเลิกผลิตไปหรือยังนะนั่น) กับตัวนี้ครับ C'est La Fête Patchouli

คนรักกลิ่นพิมเสนมาทางนี้เลยครับ เพราะนี่คือหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นพิมเสนนำที่ทำออกมาได้มีชั้นเชิงมากเลยตัวหนึ่ง มีทั้งความครีมมี่และเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีกลิ่นสาปของพิมเสนมาเบียดเบียนความไม่คุ้นชินเท่าไหร่ โดยแรกเริ่มเปิดตัว Top Notes กลิ่นจะฉายความเป็นซิตรัสเปรี้ยวนำหวานตามจางๆ ออกมาก่อนกับโทนของเลม่อนและมะกรูด แต่นางเอกของงานอย่างพิมเสนจะซ่อนตัว ปล่อยรังสีของกลิ่นออกมาแบบให้รู้สึกได้ ว่า "เจ๊อยู่นะ แต่เจ๊ยังอาย ขอยังไม่ออกมาเต็มตัวนะจ้ะ จุ๊บๆ" แต่เพียงไม่นานกลิ่นในช่วง Middle Notes จะเริ่มดันขึ้นมาเต็มๆ กับกลิ่นของเรซิ่นอย่าง Elemi ที่จะมาในโทนคล้ายๆ ไม้หอมอ่อนๆ ติดกลิ่นซิตรัสที่สะอาดๆ ไม่หนักจมูก โดยมีกลิ่นโทนครีมมี่หวานๆ แบบอัลมอนด์ของดอก Heliotrope ให้กลิ่นช่วงนี้กลายเป็นนุ่มนวลแบบติดสดชื่นกำลังดี ซึ่งแน่นอนนางเอกของเรา เริ่มกล้าปล่อยกลิ่นแรงขึ้นมาแทรกตามเคย จนนางจะเปิดตัวเต็มๆ ที่ Base Notes ที่บอกเลยว่ากลิ่นหอมมากกกกก เป็นครั้งแรกที่ผมได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นพิมเสนในแบบครีมมี่นุ่มๆ อบอุ่น โรแมนติค เพราะความเป็นโทนวู้ดดี้แบบติดนุ่มและถั่วตองก้ามาเป็นตัวดันให้กลิ่นพิมเสนมาในแบบผู้ดีนุ่มนวลได้เป๊ะเลย กลิ่นจะมีความอุ่นๆ กรุ่นๆ นุ่มจมูกแบบงามงดไม่น้อยเลยทีเดียว ขอปรบมือให้กับสุคนธกรที่ปรุงกลิ่นนี้เลย ยอดจริงๆ

เหมาะสำหรับ - รุ่นนี้แค่ขวดก็บอกแล้วของสาวๆ และก็ตราไว้ว่าเป็นกลิ่นของผู้หญิง แต่มันมีความเป็น Unisex มากเลยทีเดียวที่จะทำให้ผู้ชายใส่ได้ ซึ่งจะเหมาะกับวัยทำงานขึ้นไป ใช้ได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เช่น ทำงาน ออกงานทางการ หรือจะอยู่กับแฟนก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับการออกแดดจัดๆ หรือออกกำลังกายเลย ส่วนกลางคืนก็เหมาะกับการออกงานหรู หรีือทั่วๆ ไป แบบไม่จัดหนักมาก แต่ไม่ควรเลยกับการใส่ไปเมาแอ่นหน้าแอ่นหลังเดินไม่ตรงทางแต่ประการใด

ความทน - กลิ่นทนเลยทีเดียวครับ ซึ่งจะอยู่ที่ 8 ชั่วโมงขึ้นไป จากส่วนตัว 5 สเปรย์เท่านั้น ผ่านไป 12 ชั่วโมง กลิ่นยังลอยขึ้นมาให้รับรู้ได้อยู่เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอน Top และจะลดลงมากระจายปานกลาง ใครอยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่น ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วง Base ครับ

ทิ้งท้าย - ผมนี่เตรียมเอาเข้ามาใน Top 20 ที่ปลื้มปริ่มกันเลยทีเดียว เพราะหลงความเป็นพิมเสนแบบครีมมี่นุ่มๆ แบบนี้มากเลยล่ะครับ ดูดี๊ ดูดีเชียว

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Azzaro – Visit for Men


Azzaro – Visit for Men

ถ้าบอกถึงน้ำหอมที่โทนวู้ดดี้นำออกทางสว่างไสว และเย้ายวนกำลังดีในเวลาเดียวกันของแบรนด์ Azzaro ที่เปนที่นิยม คงจะไม่พ้นรุ่น Visit for Men เป็นแน่แท้ ยิ่งใครที่ชอบกลิ่นของไม้ซีดาร์ที่ให้อารมณ์นิ่งขรึมตัวนี้ ถือว่าสามารถตอบโจทย์ได้อยู่ แม้อาจจะไม่ได้เด็ดดวงเด่นเด้งเหมือนตัวเทพซีดาร์อื่นๆ ก็ตาม แต่ก็สร้างเสน่ห์ในแบบ Mass ที่เข้าถึงได้ง่ายไม่ยาก

โดยรวมกลิ่นนี้จะให้ความรู้สึกแบบผู้ชายในรูปแบบ Modern มีความเป็นตัวเองสูงไม่น้อย เพราะไม่ได้มาในโทนที่ต้องสดชื่นเป็นหลักนัก แบบว่าจะแตกต่างแบบมีเสน่ห์ว่างั้น เพราะจะมาเต็มในโทนวู้ดดี้ติดหวานเย้ากำลังดีเสียมากกว่า เพราะ Top Notes เปิดตัวด้วยกลิ่นอายเย็นๆ วาบๆ ติด Spice แกล้มหวานสดชื่นกำลังดี เพราะกลิ่นของจันทน์เทศนี่มาเต็ม กลั้วกับความหวานของพริกไทยสีชมพูและเม็ดกระวาน กลิ่นมีความสดชื่นจากขิงเข้ามาเสริมก็จริงแต่ไม่ได้มามากขนาดนั้น เป็นแค่บอกเล่าให้รู้ว่าก็สดชื่นได้อยู่นะ ซึ่งกลิ่นของโทนไม้ซีดาร์จะเริ่มแทรกตัวมาเรื่อยๆ จนมาเต็มในช่วง Middle Notes กลั้วไปกับกลิ่นโทนผงไม้ที่อัดกันจนกลายเป็นธูปหอม ซึ่งจะมีความหวานเย็นวาบจางๆ ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นจากจันทน์เทศ มาทำให้กลิ่นช่วงนี้กลายเป็นโทนธูปหอมไม้ซีดาร์หวานแบบ Modern ติดขรึมเท่ห์ได้ดีเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes แน่นอนว่ากลิ่นธูปหอมไม้ซีดาร์ยังไม่ไปไหน มากลั้วกับกลิ่นนุ่มเย้าของ Musk กับอำพันทองที่จะได้อารมณ์แบบผิวกายอบอุ่นกรุ่นๆ ตามธรรมชาติได้กำลังดีมาก กลายเป็นกลิ่นโทนวู้ดดี้นุ่มๆ อบอุ่นแบบมีคลาสขึ้นมาทันที ถือว่าเป็นกลิ่นที่เรียกร้องความสนใจในแบบที่ไม่ตามใครได้สบายๆ ท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่เน้นน้ำหอมเชิงสดชื่นคมๆ เป็นหลักนั่นเอง

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะกลิ่นใช้ง่ายอยู่ กลิ่นเปิดอาจจะแปร่งสำหรับคนที่ใช้แต่น้ำหอมสดชื่นซิตรัสเป็นหลักมาก่อน แต่ถ้าใช้ไปเรื่อยๆ จะชิน เพราะหัวใจมันอยู่ที่ช่วงกลางนั่นเอง สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ทั้งยามกลางวันและกลางคืนเลย เพราะครอบจักรวาลใช่ย่อย

ความทน – กลิ่นทนดีเลยทีเดียวกับ 8 ชั่วโมง ขึ้นไป

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น รอไม่กี่อึดใจช่วงกลางก็จะมาเสริมทัพความกระจายดีแบบเท่ห์ๆ และจะลดมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยามช่วงท้ายครับ

ทิ้งท้าย – ถือว่าเป็นตัวที่ดีและน่าสนใจมากในการหาน้ำหอมที่แตกต่างจากผู้คนอื่นๆ ที่ใช้น้ำหอมกลิ่นเชิงสดชื่นได้ดี แถมมีคลาสไม่น้อย ซึ่งส่วนตัวผมมักใช้ตัวนี้ยามไม่อยากใช้ตัวเทพซีดาร์อื่นๆ เพราะถือว่าพอทดแทนกันได้อยู่ แม้จะไม่มากก็ตาม แต่ก็เรียกเรตติ้งได้ไม่น้อยครับ