วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Montale - Fougeres Marines

Montale - Fougeres Marines 

จากที่ใช้และรู้กันว่า Montale นี่เขาเก่งเรื่อง Oud และกุหลาบ เพราะทำน้ำหอมออกมาได้งามงดมาก ไม่ได้แขกเกินไป มีความ Modern เท่ห์ๆ ที่มีเสน่ห์สุดๆ แล้วโทนสดชื่นล่ะ แบรนด์นี้จะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งแน่นอน ได้โอกาสลองซะทีกับรุ่นนี้ Fougeres Marines ดูซิว่าจะเป็นอย่างไง

เปิดตัวกันแบบว่า โหยยยย กลิ่นสดชื่นแมนๆ มาเลยกับกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่มาแบบคมๆ กันเลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นของโทนซิตรัสกับสมุนไพรติดเขียวที่มาจาก Oak Moss มาทำให้กลิ่นช่วงนี้เปิดตัวด้วยความสดชื่นแบบคมออกทางเขียวคราม มีกลิ่นอาย Old School แบบติดคมกำลังดีแซมประปรายเรียกว่าใส่แล้วแมนจัดแอบแน่นกันเลย ส่งต่อให้ช่วงกลางกลิ่นของดอกเจอเรเนียมที่จะมาด้วยโทนแบบกุหลาบสดชื่นติดโทนซิตรัสรับช่วงต่อให้ความสดชืิ่นแบบนุ่มขึ้น โดยจะมีโทนของกลิ่นน้ำทะเลดันขึ้นมาทำให้กลิ่นอายจะสดชื่นแบบทะเลติดกลิ่น Old School จางๆ ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นทำให้เริ่มออกแนวผ่อนคลายสบายๆ สดชิื่นคาบเกี่ยวระหว่างกลิ่นอายของสมุนไพรและน้ำทะเลลากยาวไป จนปิดท้ายที่กลิ่นอายแบบทะเลสดชื่นนุ่มๆ เพราะกลิ่นโทนสมุนไพร Old School เริ่มจางลงเบาลงไป ให้กลิ่นโทนน้ำทะเลดันขึ้นมา โดยมี Musk มาทำให้กลิ่นอายนุ่มๆ เคล้าโทนพิมเสนอ้อยอิ่ง กลิ่นจะสดชื่นออกทาง Aquatic นุ่มๆ มีความสะอาดให้รู้สึกได้ไปตลอดแบบชิลล์ๆ ริมทะเลสบายๆ กำลังดีไปตลอดเลย 

เหมาะสำหรับ - จริงๆ กลิ่นนี้ Unisex ตามที่แบรนด์เขาตราเอาไว้ แต่เอาเข้าจริงมันแมนมากถึง 80% เลยทีเดียว เรียกว่ากลิ่นแบบที่ผู้หญิงได้กลิ่นแล้ว เอิ่ม มันคงไม่ใช่น้ำหอมผู้หญิงแน่ๆ ซึ่งเหล่ากระทาชายวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการชิลล์ๆ ทั่วไป ใส่ออกกำลังกายรอช่วงกลางๆ เป๋็นต้นไปจะดีกว่า ส่วนใส่ยามค่ำคืน ใส่ได้อยู่เพราะกลิ่นมีความแน่นอยู่ แต่ถ้าจะใส่ไปหาเหยื่อ คาดว่าผิดวัตถุประสงค์ไปเพราะกลิ่นมันออกทาง Old School ติดชิลล์ๆ สดชื่นริมทะเลน่ะ 

ความทน - ถือว่ายังคงลายเซ็นความทนได้ดีมากตามแบบฉบับของ Montale กับประมาณ 8 ชม. กำลังดี ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแมนดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ ลงตัวไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - จากความรู้สึกคือกลิ่นนี้อาจจะไม่ได้ว้าววววอะไรเท่าไหร่ เพราะมันหาได้จากแบรนด์ Mass โดยทั่วๆ ไปเลยล่ะ ก็เข้าใจว่า Montale เขาไม่ได้เป็นเอกทางด้านนี้ แต่ถ้ามองในแง่กลิ่นสดชื่นใช้ง่ายและติดโทน Old School ที่กวาดตั้งแต่หนุ่มยันแก่มาสนใจและใช้ได้ ถือว่าก็เป็นกลิ่นที่ลงตัวรุ่นนึงเลยครับ 

Credit ภาพ - http://2benice.com.ua/image/cache/data/BREND/Montale/MONTALE%20FOUGERES%20MARINE%20(M)%20EDP%20100%20ml-500x500.jpg

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Mont Blanc – Emblem

Mont Blanc – Emblem

เมื่อได้เห็นน้ำหอมขวดทรงดาว 6 แฉกขวดๆ ดำๆ แถมมาในแบรนด์ของ Mont Blanc ซะด้วย ในหัวก็คิดไปแล้วว่า มันคือรุ่นอะไร แล้วจะหอมไหม กลิ่นแน่นแน่ๆ เลยเมื่อสบโอกาสเลยต้องสอยมาซะหน่อยว่ากลิ่นจะเป็นยังไงจากความอยากรู้อยากดมของตัวเองกับรุ่นนี้ Emblem

Top Notes ก็ตรงตามที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเปิดมาด้วยกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวออกโทนอุ่นๆ ที่มาแบบแน่นหน่อยจากใบเซจที่จะมีกลิ่นของเกรฟฟรุตมาเสริมให้มีโทนซิตรัสและมีเม็ดกระวานมาให้ความแน่นหวานเย้ายวนรองพื้นด้านหลัง กลิ่นช่วงนี้ถือว่าเปิดตัวกันอย่างแรงกันพอสมควร คนไม่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแน่นๆ อาจจะผงะกันได้ แต่พอเข้า Middle Notes นี่สิ กลิ่นแน่นๆ ตอนแรกจะเบาลงไปกลายเป็นกลิ่นโทนเขียวนุ่มๆ ของใบไวโอเล็ต ที่ยังมีกลิ่นโทนสมุนไพรแน่นๆ ของเซจมาผสานประปราย แต่ตัวเอกอีกตัวที่มารับช่วงต่อความหวานเลยคือ อบเชย ที่มาทำให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนเขียวนุ่มหวานเย้ากลิ่นจะออกทางกลางๆ ระหว่างความภูมิฐานมีระดับและความเย้ายวนไปในตัวเรียกว่าตีคู่มากลั้วกันไปมา โดยกลิ่นในช่วงกลางนี้จะส่งอิทธิพลไปต่อที่ส่ง Base Notes กันเต็มๆ โดยมีกลิ่นครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้ามาเบรกและมีกลิ่นขรึมๆ เข้มของไม้หอมมาผสานเลยทำให้กลิ่นอายเขียวๆ ติดหวานจะจางลงไป กลิ่นจะโปร่งมากขึ้น นุ่มสบายๆจมูก และออกทางเบาๆ มากขึ้น ซึ่งภาพรวมกลิ่นนี้เลยเป็นการไล่เรียงจากหนักสู่เบาๆ ได้น่าสนใจ และเป็นกลิ่นที่บอกถึงผู้ชายที่แมนๆ ติดอบอุ่นแกล้มหวาน แต่งตัวเนี้ยบเท่ห์ที่น่าสนใจและภูมิฐานในเวลาเดียวกันนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเปิดอาจจะค่อนข้างหนักนิดนึงถ้าผ่านไปได้ชีวิตจะดี ซึ่งจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ถ้าจะออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนสามารถจัดได้สบายๆ อาจจะไม่ได้ยั่วยวนอะไรมาก แต่ก็มีบ้างให้รู้สึกว่าคนใส่กลิ่นมีของไม่น้อย เรียกว่าเป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลในการใช้งานเลยทีเดียว

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. เพราะว่ากลิ่นช่วงท้ายจะออกครีมมี่เบาๆ สบายๆ อทจจะทำให้นึกว่ากลิ่นมันหายไปไหนหว่าแล้วก็เป็นได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ลากไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย กลิ่นกระจายแน่นนิดนึงในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ ในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วยออร่านุ่มๆเบาสบายจมูกในช่วงท้ายที่ค่อนไปทาง Skin Scent

ทิ้งท้าย ถือว่าเป็นอีกกลิ่นที่น่าสนใจของ Mont Blanc ที่น่าสนใจในด้านกลิ่นและขวดสวยไม่น้อย เลยไม่แปลกใจที่ได้รับความนิยมและต่อยอดจนมีรุ่น Intense ตามมา




Review: Bond No.9 – Little Italy

Bond No.9 – Little Italy 

หลังจากหันมาเจอน้ำหอมโทนสดชื่นของ Bond No.9 ไปแล้วอย่าง Riverside Drive เช่นนั้นก็สนใจตัวเบาๆ ตัวอื่นของแบรนด์นี้บ้าง เลยได้มาเจอว่าแบรนด์นี้ทำน้ำหอมรุ่นนี้ออกมา เพื่อ Tribute ให้กับย่านดังใน New York ที่จะเป็นโซนที่มีร้านอาหารและสินค้าอิตาเลี่ยนต่างๆ ที่รู้จักกันดีอย่าง Little Italy แถมขวดก็สีส้มซะขนาดนี้ เช่นนั้นก็ต้องลองสิจ้ะ ว่าจะออกมาเป็นยังไง (เพราะแพ้ทางอะไรที่เป็นสีส้ม ^^") 

เปิด Top Notes มาเรียกว่าขนความเป็นส้มกันมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยสมกับสีของขวดสุดๆ ซึ่งกลิ่นส้มที่ได้จะมาแบบฉ่ำสดชื่นเปรี้ยวๆ อมหวานจางๆ โดยกลิ่นแนวๆ เปลือกเกรฟฟรุตมาเสริมให้สว่างใสมากขึ้น ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้แบบว่าดึงดูดให้คนที่ชอบกลิ่นโทนสดชื่นปลื้มกันได้เลย (ก่อนที่จะรู้ราคาแล้วถอย 5555) เพียงไม่นานก็เข้าสู่ช่วง Middle Notes กับกลิ่นของดอกส้มที่มาแบบนวลๆ ติดหวานหน่อยๆ ซึ่งรับช่วงต่อผสมผสานกับกลิ่นส้มในตอนแรก เลยกลายเป็นกลิ่นแบบลูกอมรสส้มใส่ครีมนวลๆ เปรี้ยวๆ อมหวาน หอมสดชื่นติดนวลจมูกแบบที่ยังคงความเป็นส้มแต่ใส่ความ Modern เข้าถึงง่ายด้วยความนุ่มเข้าไปนั่นเอง จนมาปิดท้ายที่ Base Notes กลิ่นส้มนวลๆ แบบลูกอมรสส้มใส่ครีมก็มาเจอกับ Musk ที่เป็นตัวรองพื้นให้กลิ่นส้มนุ่มลงมาอีกต่อนึง ทำให้เป็นกลิ่นสะอาดๆ นุ่มๆ ติดกลิ่นส้มนวลๆ บางๆ ครีมๆ สดชื่นแบบเบาๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ ได้หมดเลยครับทั้งหญิงและชาย กลิ่นมีความเป็น Unisex ชัดเจนมาก แถมเข้าถึงง่ายสุดๆ แบบไม่คิดว่า เฮ้ย! นี่ Bond No.9 จริงๆ เหรอเนี่ย ซึ่งสามารถใส่ได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ แต่รับแขกบ้านแขกเมืองหรือสถานการณ์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือจัดๆ อะไรแบบนี้อาจจะไม่ได้เข้าทางมากนัก เพราะกลิ่นมันชิลล์ไป นอกนั้นจัดไปเหอะ กลิ่นแบบว่าใครได้กลิ่นก็สบายๆ มหาชนชอบเลยล่ะ กลิ่นแบบนี้ (ยกเว้นคนไม่ชอบกลิ่นส้ม) ส่วนยามค่ำคืน ถ้าแบบชิลล์ๆ อากาศบ้านเราใส่ได้เลยจ้า แต่ถ้าไปท่องราตรี มันเบาและไม่ยั่วเลยจริงๆ นะจ้า บอกก่อน 

ความทน กลิ่นทนอยู่ที่ประมาณ 6 ชม. ตามประสาน้ำหอมโทน Citrus Aromatic แบบนี้อยู่แล้ว แม้จะเป็น EDP ก็เถอะ อาจจะทนมากกว่านี้อยู่ที่การอัดสเปรย์เน้นๆ เลย ซึ่งส่วนตัวอัดที่ 9 สเปรย์เต็มๆ รวมฉีดที่เสื้อด้านหน้าลากยาวได้ถึง 10 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย กลิ่นกระจายกำลังดีเลยในตอนต้น และลากยาวการกระจายแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอจะเข้าช่วงท้ายๆ ถึงลกระดับมาเป็นกึ่งออร่ากึ่ง Skin Scent แล้วจางไปตามเวลาที่ผ่านไป 

ทิ้งท้าย กลิ่นดีสดชื่น นุ่ม และส้ม บ่งบอกความเป็นน้ำหอมติดกลิ่นอายแบบ Italy ที่ผสมความเป็น Modern ของ New York ได้เลยล่ะ แต่เอาเข้าจริงกลิ่นโทนส้มฉ่ำๆ แบบนี้มันก็หาได้จากน้ำหอมหลายๆ ตัวอยู่ไม่น้อยที่ราคาไม่เท่า Bond No.9 ซึ่งอันนี้ก็อยู่ที่กำลังทรัพย์แล้วจ้า หนูไม่เกี่ยวนะจ้า 555555 

Credit ภาพ - http://www.bondno9.com/images/photos/0000/0591/little-italy_photo_large.jpg?1222326161

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Christian Dior - Sauvage

Christian Dior - Sauvage 

เรียกว่ากูรูทางด้านน้ำหอมของต่างประเทศหลายคนค่อนขอดน้ำหอมรุ่นนี้ของ Dior แบบเผ็ดแซ่บถึงกึ๋นกันอย่างน่าดูชมและฮามากมาย เพราะแทบทุกสำนักกูรูต่างบอกว่านี่คือพี่น้องฝาแฝดของ Bleu de Chanel กันเสียเกือบทั้งหมด จนบางคนถึงขั้นไปตัดต่อขวดลบคำว่า Sauvage ออก ในคำว่า Unoriginal ลงไป เล่นเอาซะฮาแทบกรามค้าง เช่นนั้น ได้เวลามาที่เราต้องได้ลองกันบ้างแล้วว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงหรือไม่ ผลออกมาก็คือ 

เอิ่มมมมม มันเหมือนจริงๆ อ่ะ กร๊ากกกกกกกกกกก เพราะกลิ่นเปิดมันคือ Bleu de Chanel เลยจ้า มาเต็มมากกับกลิ่นของโทนซิตรัสอย่างมะกรูดและเกรฟฟรุตจะมาเด่นมาก มีกลิ่นอายของมิ้นท์จางๆ และที่โดดออกมาหน่อยแบบให้รู้สึกได้คือ จะมีกลิ่นอายแบบสับปะรดเด่นขึ้นมาด้วย แต่เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นรองพื้นด้านหลังเลยทำให้กลิ่นจะเข้มข้นแน่นพอสมควร พูดง่ายๆ คือ Bleu de Chanel ใส่โทนผลไม้ลงไปเลยล่ะในช่วงนี้ ซึ่งกลิ่นในช่วงตอนต้นนี้จะตามไปที่ช่วงกลาง โดยกลิ่นอายแบบสับปะรดกลั้วซิตรัสจะยังคงอยู่ แต่จะลดโทนลงมาแบบหอมสดชื่นกลั้วอบอุ่นแบบติดโทนไม้หอมวู้ดดี้ โดยจะมีกลิ่นของพริกไทยสีชมพูและโทนเครื่องเทศอื่นๆ ที่เด่นขึ้นมาทำให้กลิ่นอายของช่วงนี้ออกทางเมโทรกันชัดเจน โดยจะมีลาเวนเดอร์มาตัดลดทอนความแน่นลงไปให้นุ่มจมูกมากขึ้น ส่งต่อให้ช่วงท้ายกลิ่นอายของโทนแอมเบอร์ติดกลิ่นผิวกายสะอาดที่มาจากอิทธิพลของ Ambroxan (เป็นเคมีสังเคราะห์ประเภทหนึ่งที่จะให้กลิ่นโทน Ambergris หรืออำพันทองจากปลาวาฬ ซึ่งเป็นตัวที่เสริมความหอมเฉพาะตัวแต่ละบุคคลโดยอิงจากเคมีของคนนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง) โดยมีกลิ่นของไม้หอมที่ติดกลิ่นอายแบบ Smoky ของหญ้าแฝกจะเด่นขึ้นมาแบบกำลังดี และลงตัวมาก มีพิมเสนจางๆ ให้ความนวลๆ เย้าๆ อ้อยอิ่ง คงความเป็นเมโทรติดทางเท่ห์ๆ ด้วยกลิ่นอายเครื่องเทศที่ตามมาจากช่วงกลางได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว 

ซึ่งจากทั้งหมดที่ได้ลอง เลยไม่แปลกใจที่กูรูเขาจิกกัดน้ำหอมตัวนี้กันอย่างหนำใจขนาดนั้น เพราะกลิ่นมันดูไม่ต่างจาก Bleu de Chanel นัก แม้จะมีจุดต่างที่ชูความเป็นโทนแอมเบอร์ที่มาแนวอบอุ่นเด่นนำแทนแนวเมโทรโดยมีกลิ่นอายแบบนวลเท่ห์ ซึ่งถือว่าทำได้ดีเลย เพราะมันมีอะไรที่แตกต่างอยู่แม้โทนกลิ่นจะมาแนวเดียวกัน แต่ก็นะ คนส่วนใหญ่เขาคาดหวังว่า Dior จะทำอะไรออกมาได้เก๋กว่านี้นี่นา ทำไงได้ล่ะ ^^"

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไปได้สบายๆ ถ้าจะเอาไปใส่เพื่ออกกำลังกายแนะนำว่าไม่ควรนัก รอให้เป็นช่วงท้ายๆ ก่อนจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่ได้สบายๆ และมีความดีงามกว่า Bleu de Chanel ตรงที่มันมีโทนอบอุ่นและมีความแน่นกว่านี่แหละที่จะดึงความสนใจของคนที่ได้กลิ่นนี้ได้สบายๆ 

ความทน - เกิน 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยจะอิงเคมีจากตัวคนใส่บ้าง แต่เรียกได้เลยว่ารุ่นนี้ทนกว่า Bleu de Chanel แน่ๆ กับอากาศอย่างบ้านเรา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น อาจจะแน่นนิดนึงแต่พอปรับตัวได้ กลิ่นจะดีงามไปเรื่อยๆ กระจายกลางๆ จนปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

หมายเหตุ - การเปรียบเทียบกับ Bleu de Chanel ผมเทียบกับรุ่น EDT นะครับ 

Credit ภาพ - http://www.unpacked.ph/wp-content/uploads/2015/09/Sauvage-Cover-Photo.jpg

Review: Avon - Elite Gentleman

Avon - Elite Gentleman 

เป็นน้ำหอมผู้ชายตัวที่ 2 ของ Avon ที่ได้ใช้หลังจากวนเวียนกับน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นี้มาพักใหญ่ ซึ่งเพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้างจะเด็ดดวงหรือไม่ เพราะหลายๆ คนบอกว่านี่เป็นน้ำหอมกลิ่นเหล้าของแบรนด์นี้ที่น่าสนใจ ก็เลยจัดซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Elite Gentleman 

เปิดต้นกลิ่นมาที่ Top Notes รับรู้ได้เลยถึงกลิ่นอายของเครื่องเทศโทนหวานของเม็ดกระวานที่เด่นขึ้นมาเลย โดยมีกลิ่นโทนนุ่มเขียวของใบโหระพามากลั้วไปมาด้วย โดยที่ไม่พลาดที่จะมีโทนสดชืินของกลิ่นซิตรัสมาผสานแต่ไม่ได้มาเด่นมากนัก เรียกว่าเปิดมาให้เกิดความนุ่มนัวติดหวานแบบไม่หนักหน่วงกันก่อนในตอนต้น และส่งต่อให้ช่วง Middle Notes กับกลิ่นโทนไม้หอมที่จะดันขึ้นมากลั้วกับกระวานที่เด่นในช่วงต้นตัดกันให้กลิ่นอายออกทางอบอุ่นติดสบายๆ กำลังดี ที่สำคัญกลิ่นของบรั่นดีคอนญัก (ที่เป็นเหล้าบรั่นดีที่ดีที่สุดในโลก) จะเริ่มดันขึ้นมาให้กลิ่นเอายเย้ายวนเพิ่มเข้ามาทีละนิดๆ จนเข้าสู่ช่วง Base Notes ที่กลิ่นของคอนญักจะเด่นขึ้นมา ตีคู่กับกลิ่นไม้หอมของซีดาร์ที่จะมาให้ความอบอุ่นโปร่งๆ มีกลิ่นยางไม้หอมโปร่งๆ จางๆ ให้ความเคร่งขรึมในกลิ่น ซึ่งภาพรวมเหมือนผู้ชายแต่งตัวในชุดโทนเข้มเนี้ยบกำลังดีจิบวิสกี้แบบเบาๆ นิ่งๆ แต่มีเสน่ห์กำลังดีให้เกิดความน่าสนใจกับคนที่เห็นคนๆ นี้นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้่นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นไม่ได้เข้าถึงยากแต่ประการใด มีความอบอุ่น และเย้ายวนแบบตามธรรมชาติเบาๆ ไม่ได้จงใจจะยั่วอะไรแต่ประการใด สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยามทางการก็พอได้อยู่เพราะกลิ่นมีความอบอุ่นกำลังดีอยู่ และยามอื่นๆ ก็ใส่ได้สบายๆ ขอข้ามการออกกำลังกายออกไปเพราะกลิ่นไม่ได้เหมาะนัก ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ ก็ใส่ได้ แต่เบาไป สู้คนอื่นยากนิดนึง ยกเว้นไม่ใส่ใจแค่จิบวิสกี้เบาๆ สบายๆ แล้วกลับบ้านไรงี้ 

ความทน - อยู่ที่ไม่เกิน 6 ชม. อาจจะลากยาวไปได้นิดหน่อยถ้าจำนวนสเปรย์มากพอ 

การกระจาย - กลิ่นนี้เน้นมุ้งมิ้งกับตัวเองเสียมาก เพราะว่าไม่ได้กระจายหนักหน่วงเลย ออกแนวกระจายกลางๆ ในตอนต้น และลดลงมาเป็นออร่าเพียงไม่นานก็ Skin Scent อย่างชัดเจน 

ทิ้งท้าย - เรียกว่ากลิ่นดีไหม ก็ถือว่าไม่เสียชื่อ Avon เพราะไม่ได้เน้นยามค่ำคืนเน้นยามปกติแบบทั่วไปเสียมากกว่า ที่สำคัญเหมาะสำหรับคนอยากได้น้ำหอมเย้ายวนติดกลิ่นอายวิสกี้แบบไม่ต้องการรบกวนใคร เรียกว่าเย้าเองแบบเบาๆ ประมาณนี้

Credit ภาพ - http://fimgs.net/images/secundar/o.21566.jpg

Review: Mancera – Roses Vanille

Mancera – Roses Vanille

Mancera เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche ของฝรั่งเศสที่เรียกว่าทำน้ำหอมออกมาได้เจ๋งมากเลยทีเดียว แถมอยู่ในเครือเดียวกับ Montale เสียด้วย เลยจะสังเกตได้ว่า ad มันมักจะเหมือนกัน และลักษณะน้ำหอมมาแบบ Power House แน่นๆ กระจายดีจัดๆ เหมือนกันด้วย สบโอกาสได้ลองรุ่นนึงของผู้หญิงเลยต้องมาบอกเล่าซะหน่อยว่าจะขนาดไหนกับ Roses Vanille 

เปิดต้นกลิ่นมาต้องบอกเลยว่า มันแน่นมากกกกกก 55555 คือกลิ่นของโทนซิตรัสกลั้วผลไม้กับกลิ่นออกฉ่ำๆ น้ำหน่อยๆ มันโดดออกมาเพียงแว้บเดียวแล้วโดนแทนที่ด้วยกลิ่นอายของกุหลาบที่มีวานิลลาเป็นตัวรองพื้นด้านหลัง แต่ไม่ได้โดนกลบหมดเพราะยังมีความเป็นโทนผลไม้อยู่เลยทำให้กลิ่นอายจะออกทางกุหลาบกลั้วผลไม้แน่นๆ ที่กลายเป็นช่วงกลางอย่างชัดเจน โดยที่จะมีกลิ่นโทนหวานแบบน้ำเชื่อมดันเข้ามาพร้อมกับวานิลลาที่มาเต็มไม่ต่างกัน กลิ่นจะแน่นเต็มเหนี่ยวหอมหวานมาก ออกทางขนมหวานที่มีกลิ่นอายผลไม้และกุหลาบอย่างชัดเจน มีกลื่นอายติด Smoky จางๆ เรียกว่าช่วงนี้เป็นการผสมผสานกลิ่นอายของช่วงต้นให้มาอยู่กับกุหลาบ และให้กลิ่นน้ำเชื่อมหวานมาอยู่กับวานิลลาที่จะโยงไปสู่ช่วงท้ายได้หอมหวานอบอุ่นกระจายมากแน่นไม่ลดราวาศอก และก็ได้เวลาของช่วงท้ายที่กลิ่นไม้ซีดาร์กับ Musk จะมาตัดทอนให้กลิ่นอายหอมอุบอุ่นและหวานมีความซอฟท์ลงมากขึ้นกลายเป็นกลิ่นวานิลลาที่มีความเป็นแป้งขึ้นมาหน่อย กลิ่นกุหลาบมีความครีมมี่พอสมควร และกลิ่นน้ำเชื่อมหอมหวานกลายเป็นกลิ่นแบบเบียร์ที่ออกทางหวานๆ แต่ไม่ซ่าเรียกว่าเป็นช่วงที่ลดทอนความหวานแน่นในตอนต้นลงมาได้พอสมควรจนเป็นโทนหวานนุ่มที่มีเสน่ห์น่าสนใจมากแบบไม่ทิ้งลายเซ็นความเป็นกุหลาบวานิลลาแต่ประการใด 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เรียกว่าต้องผ่านน้ำหอมโทนที่หวานมาพอสมควรด้วยก็น่าจะดี เพราะกลิ่นตัวนี้เรียกว่า Strong! ไม่พอ ยัง Powerful! ขั้นสุดอีกด้วย ในแง่ความหอมหวานอบอุ่น เช่นนั้น สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ ทั้งงานทางการและไม่ทางการจะเป็นประโยชน์มาก ไม่งั้นฆ่าชาวบ้านตายหมู่เพราะควานหวาน งดใส่ออกกำลังกาย หรือออกกำลางแจ้งอากาศร้อนๆ เด็ดขาด ฆ่าตายหมู่ซ้ำซ้อนอีกทีเอา ส่วนยามค่ำคืนท่องราตรีจัดได้เลยจ้า แต่ขอให้จำกัดจำนวนสเปรย์แบบเหมาะสมด้วย ไม่งั้นไม่ได้เมาเหล้านะ เมาน้ำหอมทั้งผับก่อนเพราะมาหนักจริงอะไรจริง ส่วนผู้ชายสามารถใช้ตัวนี้ได้บ้างครับ เพราะช่วงท้ายๆ พอไหวได้อยู่ แต่จำกัดจำนวนสเปรย์เช่นกัน

ความทน ตัวแม่เลยจ้ะ เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่เรียกว่า มาเต็ม มาหนัก และ พี่ไม่ได้มาเล่นๆแน่นอน 

การกระจาย เพราะเป็น Power House ที่มีความ Strong! และ Powerful! สูงมากกกกกก เช่นนั้นกระจายแบบดีสุดๆ ในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่ชอบหรือไม่ชินกับโทนหวานจุกคอหอยตายไปเลยได้นะ มาแบบ #ของจริงไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ เป็นไงล่ะ Sillage มาเต็ม และคงความกระจายดีงามกับตีขึ้นหนำเสมอต้นเสมอปลายไปจนถึงช่วงท้ายที่จะเริ่มลดระดับมาเป็นกระจายกลางๆ และเป็นออร่ารอบๆ ตัวตามระยะเวลาที่ผ่านพ้นไปเกิน 12 ชม. 

ทิ้งท้าย กลิ่นดี กลิ่นงามมากจริงๆ ยอมรับในความหอมของตัวนี้เลยที่อาจจะดูเหมือนหวานมันเข้าไป แต่มีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นหวานๆ ที่มีเสน่ห์และเต็มแน่นมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ควรสเปรย์เยอะ อย่างดี 2 สเปรย์กับอากาศบ้านเราก็อยู่หมัดแล้วจ้า 

Credit ภาพ - http://manceraparfums.com/304-large_default/roses-vanille.jpg

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: One Direction – You & I


One Direction – You & I

เพราะหนุ่มๆ วันดี ณ ทางเดียว (One Direction) ดังมากกกก จึงไม่แปลกใจนักที่จะมีแบรนด์น้ำหอมของเป็นตัวเอง แต่แปลก ไม่มีน้ำหอมผู้ชาย มีแต่น้ำหอมผู้หญิง คงเป็นเพราะใส่น้ำหอมของแบรนด์ Celebrity นี้แล้ว อาจจะทำให้ได้เจ้าหลี เจ้าเสน เจ้าแนว เจ้าลู และเจ้าเหลี่ยมมาผลัดกันดมซอกคอคนฉีดเป็นแน่แท้ แต่เพราะอยากรู้ว่ากลิ่นที่เจ้าพวกนี้ปล่อยออกมาเป็นยังไง มีโอกาสเลยขอดม
กับรุ่นนี้เลย You & I

แน่นอนว่าน้ำหอมตัวนี้คงทำมาเพื่อ FC สาวๆ โดยเฉพาะ เพราะกลิ่นสาวจริงอะไรจริงดูอ่อนหวานกันเลยทีเดียวเชียวมาตั้งแต่เริ่มต้น เปิด Top Notes มาด้วยกลิ่นมะม่วงติดหวานกลั้วซิตรัสก็จริงๆ แต่โทนดอกไม้นวลๆ ติดหวานดันขึ้นมาเร็วมากเช่นกัน เลยกลิ่นในช่วงนี้จึงกลายเป็นโทนหวานสดชื่น ออกทางสาวน้อยน่ารักกันเต็มๆ แบบว่าใส่เองก็สะท้อนใจ เอิ่ม หวาน ใส อ่อนโยน ขัดกับหน้ามาก 55555 ซึ่งกลิ่นอายดอกไม้นวลๆ นุ่มๆ ติดสดชื่นนี่แหละ จะมาเด่นเต็มที่ในช่วง Middle Notes โดยที่ยังดึงความเป็นกลิ่นมะม่วงมาอยู่ ความหวานอ่อนโยนและความสดชื่นเบาๆ ก็ยังมีอยู่ แต่กลิ่นของดอกโบตั๋นที่มาแบบใสๆ สบายๆ โทนสีชมพูอ่อนโยน ติดกุหลาบจางๆ จะมาเด่นมาก มีกลิ่นดอกไม้ที่ติดโทนผลไม้อย่างดอกพีชและหอมหมื่นลี้ผสมกันออกกลิ่นพีชสดชื่นเบาๆ เสียด้วย เรียกว่าน่ารักอ่อนโยนไม่พอ ยังสดใสวัยสะออนเข้ามาอีกต่อนึง ซึ่งกลิ่นโทน Fruity Floral ที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ช่วงต้นจะจางลงเป็นพื้นหลังตอนเข้า Base Notes โดยกลิ่นของชอคโกแลตสอดไส้ของพราลีนดันขึ้นมา กลิ่นจะออกแบบชอคโกแลตหอมหวานจางๆ เพรามัไม้จันทน์หอมและ Musk กลั้วเลยทำให้กลิ่นนุ่มๆ แบบผิวกายติดชอคโกแลตเบาๆ เรียกว่าอินโนเซนต์กำลังดีนี่เอง ภาพรวมของสาวๆ ที่หนุ่มวงนี้อยากให้เป็นจากรุ่นนี้ ก็แบบนี้แหละจ้า 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นออกทางวัยรุ่น วัยใสพอสมควร เข้าถึงได้ง่ายด้วย เพราะ Top Notes ถือเป็นกลิ่นที่ทำให้เสียตังค์ได้ยามแรกดมอยู่ไม่น้อย สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ที่เป็นแบบทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ ทำงานใน Office ก็ได้ แต่งานทางการจัดๆ อาจจะไม่เหมาะนัก เพราะกลิ่นออกทางวัยใสไปนิดนึง ออกกำลังกายก็ไม่ได้เหมาะนัก เพราะดอกไม้กับเหงื่อมันไปด้วยกันยาก ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้เบาไปครับ ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปได้อยู่ แต่ถ้าไปยั่วจบเลย สู้คนอื่นไม่ได้ 

ความทน เป็น EDP นะจ้ะ แต่กลิ่นโทนนี้มันไปได้ง่ายนิดนึง ความทนจึงอยู่ประมาณ 6 ชม. อาจจะน้อยกว่านั้น จึงอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญที่ต้องถึงพอ ซึ่งแนะนำพกไปเติมความน่ารักอ่อนโยนสดใสระหว่างวันจะดีที่สุด 

การกระจาย กลิ่นกระจายกำลังดีในช่วงต้น แล้วจะลดมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วย Skin Scent 

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้ไม่เหมาะกับหน้าและลุคผมเลย 55555 แต่ถือว่าถ้าเป็น Celebrity Scent ที่ใส่แล้วหอม ก็ทำได้ดีในระดับที่ OK อยู่นะครับ และกลิ่นนี้ผมว่าน้องๆ ม.ต้น มหาลัยจะชอบได้ไม่ยากเลยล่ะ และขอ add เป็นสมาชิกคนที่ 5 ของวงแทนเจ้าเสนเป็นเจ้าสั้นได้ไหม ไหนๆ ก็ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้แล้ว 5555555 

Credit ภาพ - http://johnlewis.scene7.com/is/image/JohnLewis/233932418?%24prod_exlrg%24



Review: Molyneux – Quartz Silver pour Homme


Molyneux – Quartz Silver pour Homme 

เพราะ Quartz pour Homme คือหนึ่งในรุ่นที่ผมรักมากที่สุดตัวนึงเลยทีเดียว เช่นนั้นเมื่อได้เห็น Molyneux Quartz Silver pour Homme ตาก็วาวสิ เพราะว่าอยากรู้ว่ารุ่นที่ตามมาจากรุ่นต้นตำรับจะเป็นยังไง ผลออกมาคือ 

ปรับโทนจากกลิ่นอายสดชื่นติดหวานแมนๆ จากรุ่นต้นตระกูลมาเป็นโทนออกทางเมทัลลิคสมชื่อ Silver ได้น่าสนใจมาก โดยยังคงความสบายๆ ในเนื้อกลิ่นได้อย่างชัดเจนตามที่ควรจะเป็นอยู่ไม่หนีไปไหน เพราะ Top Notes มากับกลิ่นอายสดชื่นของโทนซิตรัสอย่างส้มโดยเน้นทางเปลือกส้มกลั้วกับเม็ดกระวานที่ออกทางหวานเย้า โดยมีกลิ่นอายแบบโทนเมทัลลิคแทรกเข้ามา แต่ข้อดีเพราะของลาเวนเดอร์ที่แทรกเข้ามาทำให้กลิ่นสดชื่นแบบไม่ได้คม ออกทางสบายๆ เสียมากกว่า จนเมื่อเข้า Middle Notes ลาเวนเดอร์จึงกลายเป็นตัวนำเด่นให้กลิ่นนุ่มๆ สะอาดๆ สบายๆ ไปตลอดโดยมีกลิ่นโทนหวานจางๆ ของอบเชยแทรก ที่สำคัญช่วงนี้มีความเป็นแป้งจากดอกไวโอเล็ต ลักษณะเลยกลายเป็นกลิ่นสะอาดนวลๆ ติดโทนหวานและโทนเมทัลลิคที่ยังตามมาอยู่ตั้งแต่ตอนต้น กลิ่นออกทางสบายตัวและจมูกมาก จนเมื่อ Base Notes เข้ามา กลิ่นนวลๆ สบายๆ จึงเริ่มมีความนุ่มเข้ามามากขึ้น เพราะถั่วตองก้าจะมาทำให้กลิ่นออกทางอบอุ่นนุ่มนวลครีมมี่ เสริมด้วยโทนขรึมๆ เท่ห์ๆ แมนๆ ของไม้ซีดาร์ มีกลิ่นนวลๆ จางๆ ของพิมเสนหน่อยๆ และกลิ่นอายโทนแป้งก็ลดระดับไปเบาๆ มากลั้วไปตลอด ซึ่งยังคุมโทนชัดเจนกับกลิ่นอายสบายๆ ผ่อนคลายไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัย ม.ต้นก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นใช้ง่ายมาก เข้าถึงได้ง่ายมาก ไม่เน้นรบกวนใคร มาแบบสบายๆ ชิลล์ๆ และมีความเป็น Safe Scent ไปตลอด สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและไม่ทางการ ส่วนยามคำคืนถ้าอากาศร้อนและเน้นทั่วๆ ไป ไม่ได้เน้นไปยั่วยวนอะไร ตัวนี้ก็ใส่ได้อยู่ แต่ถ้าจะไปหาเหยื่อเก็บตัวนี้ เอาตัวต้นตระกูลหรือตัวอื่นที่ยั่วมาใช้แทนจะดีกว่า 

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 ชม. จะลากยาวกว่านี้ได้หรือไม่ อิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นมาในลักษณะแบบสบายๆ และมีโทนแบบ Safe Scent เช่นนั้น จึงกระจายๆ กลางๆ ในช่วงต้น แล้วลดลงมาเป็นออร่าสบายๆ รอบตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่จะตีขึ้นยามขยับตัว

ทิ้งท้าย กลิ่นอายตัวนี้ตรงๆ คือไม่หวือหวานัก ออกทางสบายๆ Relax ใครที่ต้องการน้ำหอมไม่เหมือนใครและยังความเป็น Safe Scent แบบไม่รบกวนใครตัวนี้เข้าทางมากครับ ราคาก็ไม่แพงด้วยนะนั่น 

Credit ภาพ - http://iacom.s8.com.br/produtos/01/00/item/114426/1/114426165_1GG.jpg

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Afnan - Supremacy Silver

Afnan - Supremacy Silver

ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียวว่า Afnan คืออะไร จนเมื่อวันหนึ่งมีคนบอกว่า Afnan รุ่น Supremacy Silver นี้แหละ คือตัวที่คล้าย Creed Aventus มากที่สุดเลยตัวนึง อ้าวงานนี้ก็สนสิจ้ะ เลยไปค้นหาข้อมูลไม่พอก็ขอสอยมาบ้างไรบ้างว่าแบรนด์จาก UAE แบรนด์นี้จะทำน้ำหอมออกมาเป็นยังไง

อุ๊ต่ะ! เปิดมานี่มัน Aventus จริงๆ ด้วยแหละแกร๊~ เพราะกลิ่นมาเลยจ้ากับความเป็นสับปะรด แอปเปิ้ลเขียว กับแบล็คเคอร์แรนท์ ล้อมด้วยกลิ่นโทนซิตรัส มันใช่เลย แต่! มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกลิ่นเปิดนี่มีความเป็นผลไม้ชัดกว่า Aventus ที่จะมีกลิ่นของจูนิเปอร์เบอร์รี่และพิมเสนเด้งขึ้นมาล้อมตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งตัวนี้ไม่ได้มีแบบนั้นเท่าไหร่ มันจึงกลายเป็นกลิ่นอายแบบสดชื่นของผลไม้เสียมากนั่นเอง แถมตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเสียด้วย มันเลยมีความต่างจาก Aventus ออกมาบ้าง โดยในช่วงกลางกลิ่นอายของเปลือกเบิร์ธจะเด่นนำขึ้นมาให้โทนเขียวหอมนุ่มๆ และพิมเสนเริ่มมาบ้างแล้วแต่มาแบบกลางๆ กำลังดี ไม่ได้เด่นออกมามากนัก โทนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ในช่วงนี้ก็มาแบบบางๆ เรียกว่าเป็นตัวสนับสนุนที่ดีของกลิ่นโทนผลไม้เสียมาก โดยกลิ่นจะมาแบบสดชื่นเย้าๆ กำลังดี มีความสดใสและขี้เล่นแฝงอยู่ในแบบที่ Aventus ไม่ได้มาในความรู้สึกแบบนี้ ในลักษณะโทนกลิ่นที่เหมือนกัน เพียงแต่ความเด่นของกลิ่นที่เป็นโทนหลักจะแตกต่างกัน เอาล่ะสิ งั้นมาดมต่อที่ช่วงท้าย ซึ่งใช่เลย เรารู้แล้วว่าอะไรคืออะไร กลิ่นเด่นนำขึ้นมาในช่วงนี้จะเป็นกลิ่นอายนุ่มๆ ติดเขียวกลั้วกลิ่นผลไม้จางๆ ที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้น โดย Musk กับ Oak Moss จะคุมโทนหลัก และมีกลิ่นอายหอมนวลๆ ติดกลิ่นผิวกายนวลๆ อบอุ่นเบาๆ ซึ่งมาจาก Ambergris ตรึงไว้ให้มีความหรูหรากำลังดีเลย แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นที่ได้รับจะมีความใสสดชื่นเบาๆ แฝงอยู่ให้รู้สึกได้ไปตลอด จึงเป็นความเหมือนในรูปแบบที่เบาลงนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ กลิ่นเรียกว่าหอมแบบสดชื่น ตามด้วยนวลๆ ปิดท้ายด้วยอบอุ่นโดยมีความสดใสในเนื้อกลิ่นแฝงไปด้วยตลอด ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการที่ไม่ได้ถึงขั้นรับแขกบ้านแขกเมืองและไม่ทางการทั่วๆ ไปก็สามารถ เรียกว่ากลิ่นครอบจักรวาลได้เลยทีเดียว รวมไปถึงกลางคืนที่จัดได้สบายๆ เพราะเนื้อกลิ่นมันมีความขี้เล่นนี่แหละ

ความทน อันนี้ต้องยกให้เขา เพราะเป็น EDP ที่กลิ่นทนถึง 8 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว 

การกระจาย เรียกว่ามีความดีงาม มาในลักษณะ Sillage Scent เช่นเดียวกับ Aventus เลยที่กลิ่นจะมาถึงก่อนคน คนไปแล้วกลิ่นยังอยู่ ต่อให้โต้ลมแค่ไหน กลิ่นก็ยังอยู่กับเรา เพียงแต่คนใส่จะไม่ค่อยได้กลิ่นจากตัวเองเท่าไหร่นักในช่วงต้นและช่วงกลาง หรืออาจจะได้กลิ่นชัดตามสภาพผิว มีช่วงท้ายๆ ที่จะลดระดับการกระจายมาแบบกลางๆ ที่จะเริ่มตีขึ้นให้รับรู้ จนค่อยๆ ลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัวจนหายไปจากผิว 

สรุป ใช่เลย มันคือ Aventus แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจะให้มาอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาด้วยการให้ตัวเทพเป็นตัวพ่อก็จะบอกว่านี้คือ Aventus ในรูปแบบที่วัยรุ่นขึ้น สดใสขึ้น ไม่ได้ออกทาง Smoky ติดกลิ่นอายคุณชายนุ่มนวลหรือทางการ และกลิ่นนวลเนียนเนี้ยบแบบที่ Aventus ทำได้นั่นเอง ที่สำคัญถ้าสั่งมาได้จาก ตปท. ราคาถูกกว่า Aventus เรียกว่าเกินครึ่งนะจ้ะ ขอบอกกกกกก! 

Credit ภาพ - http://mrscentman.com/wp-content/uploads/2015/10/afnan-supremacy-silver-100ml-apa-de-parfum-8358424.jpg

Review: Beyonce – Heat


Beyonce – Heat

Heat เป็นน้ำหอมตัวแรกของควีนบี Beyonce เลยที่เปิดตัวออกมากับการเป็นน้ำหอม Celebrity ในแบรนด์ของตัวเองที่จะสื่อถึงความฮอตฉ่าและเซ็กซี่เหมือนกับเวลาที่ Beyonce โชว์บนเวทีแล้วเร่าร้อนจัดเต็ม เช่นนั้น ได้มาลองก็ดูสิจะเป็นยังไง ต้องทำท่าโอ๊ะโอ โอโนโน ในเพลง Crazy in Love หรือไม่ ผลออกมาก็คือ 

เปิดตัว Top Notes ด้วยผลไม้มาเลยจ้า หวานเลยล่ะกับกลิ่นพีชกลั้ววานิลลาติดเขียวจางๆ และมีกลิ่นโทนดอกส้มเบาๆ ให้รู้สึกสดชื่นแบบนิดๆ แต่ยังไงความหวานก็เด่นเป็นสง่า เพียงแต่ไม่ฉ่ำมากเพราะกลิ่นของอัลมอนด์และขนมหวานๆ จะดันขึ้นมาเร็วพอสมควร จนเข้าสู่ Middle Notes ใช่เลยจ้าเป็นมาการองอัลมอนด์เด่นเป็นสง่าหวานเป็นขนมมาเลย แต่มีความดีงามอย่างนึงที่จับได้ในช่วงนี้ที่ทำให้กลิ่นขนมหวานๆ เป็นโทนนุ่มมากขึ้นคือ White Musk ที่มาแบบครีมมี่ เลยทำให้โทนขนมที่จะต้องหวานอวลลดลงมากำลังดี โทนอบอุ่นมาแบบนุ่มนวลเลย แต่ไม่ได้เร่าร้อนอะไรมากนัก เพราะมีกลิ่นพีชที่ตามมาจากตอนต้นจางๆ เสริมให้รู้สึกหวานติดใสหน่อยๆ ได้อยู่ จนเข้าสู่ Base Notes กลิ่นครีมมี่ของ White Musk มาผสานกับถั่วตองก้า และความอบอุ่นเริ่มสมชื่อรุ่นขึ้นมาแล้วเพราะ Amber เป็นตัวให้ความอุ่นนวล กลิ่นพีชแทบไม่เหลือให้จับได้แล้ว เพียงแต่ภาพรวมไม่ได้ฮอตฉ่าแบบจัดหนัก มาแบบเซ็กซี่กำลังดี อุ่นๆ นวลๆ ไปตลอดนั่นเอง ให้ลุคแนวๆ MV เพลง Irreplaceable สวยๆ เซ็กซี่แบบกำลังดีประมาณนี้เลย

เหมาะสำหรับ สาวๆ ตั้งแต่วัยมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นออกทางขนมก็จริง แต่มีความหอมหวานกำลังดีจากพีชที่มาแบบใสหน่อยๆ เลยไม่ได้หนักหน่วงเกินไปนัก สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทั่วไปและทางการแบบไม่ใช่รับแขกบ้านแขกเมือง งดใส่ออกกำลังกายเถิด เดี๋ยวกลิ่นหวานจะตีขึ้นหนัก แต่ถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืนก็จัดไปจ้า อัดได้เลย กลิ่นเซ็กซี่กำลังดีเลยล่ะ 

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย ข้อดีคือกระจายกำลังดีตั้งแต่ต้นไปยันท้ายๆ ของช่วงกลางเลย มีช่วงท้ายที่กลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่ง Skin Scent 

ทิ้งท้าย เอาเข้าจริงผมเองก็รู้สึกว่าน้ำหอม Celebrity ผู้หญิงมักจะมาโทนเดียวกันไปหมดเลยกับการเป็นขนม หวานๆ ซึ่งตัวนี้ก็หนึ่งในนั้น ซึ่งถามว่ากลิ่น OK ไหม ดีเลยครับ ใช้ง่ายด้วย เหมาะกับสาวๆ ที่อยากลองน้ำหอมของ Beyonce ซึ่งตัวนี้เป็นตัวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยครับ

Credit ภาพ - https://lifetreeworldadmin.com/product-images/19443502031441563431_beyonceheateaudeparfum30ml1369314417.png

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Zoologist – Rhinoceros


Zoologist – Rhinoceros

แรดดดดดดดดดด! เอ่ยถึงคำนี้รับรองมีตีความกันว่าแกด่าใครหรือเปล่า? แต่เปล่าเลยจะมาว่ากันถึงเรื่องน้ำหอมต่างหาก เพราะว่าแบรนด์น้องใหม่ของ Zoologist จากแคนาดา ได้ปล่อยน้ำหอมออกมาสื่อถึงสัตว์แต่ละประเภทซึ่งตอนนี้มีมาเพียง 4 รุ่น กับสัตว์ 4 ชนิด ซึ่งลงทุนยอมสั่งจากแคนาดามาลองกันเลยทีเดียว โดยเปิดศักราชกับรุ่น Rhinoceros ว่ากลิ่นที่สื่อถึง #แรด ระดับนายพล (ตามรูปของรุ่นที่สื่อ) แบบนี้จะเป็นยังไง

#นายพลแรดเปิดตัว - พอฉีดเข้าตัวเท่านั้นแหละแกเอ๊ยยยยยย! มาแบบ อื้อหืออออออเลย กลิ่นหนักและแน่นมากในแบบเหล้ารัมคมๆ ปริ๊ดขึ้นมา กลั้วกับกลิ่นอายเขียวๆ ออกทางสมุนไพรแบบเข้มๆ วู้ดดี้แน่นๆ ผสมโทนซิตรัสสดชื่น เรียกว่ากลิ่นเปิดแหลมคมมากเลยทีเดียว ได้อารมณ์แบบเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ที่มาเต็มเหนี่ยว แบบว่าผงะกันได้ แถมอาจจะทำให้รีบไปล้างออกดันเพราะมาหนักจริง อะไรจริง ไม่เกรงใจใครเพราะข้าใหญ่

#นายพลแรดผู้น่าเกรงขาม - แต่สิ่งที่ดีงามก็ได้ฤกษ์ปรากฎมาในช่วงกลาง เพราะกลิ่นของเหล้ารัมที่แหลมเฟี้ยวในตอนต้น จะลดระดับลงมากลมกล่อมกับกลิ่นใบยาสูบ ทำให้กลิ่นอายออกทางนัวๆ นวลๆ แบบมีระดับ มีกลิ่นสดชื่นแบบประปรายเข้ามาแทรก ผสานกับกลิ่นอายของ Oud จะมากลั้วนวลๆ กลิ่นอายออกทางธรรมชาติ มากกว่าจะเป็นน้ำมันสกัดเข้มแบบตะวันออกกลาง ทำให้กลิ่นอายจะออกทาง Rich Tone มีความเคร่งขรึมจากกลิ่นของไม้ซีดาร์เสริมเข้าไปทำให้ดูขลังและขรึม โดยที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นนุ่มๆของหนังรองพื้นอยู่แบบหรูหรา กลิ่นช่วงนี้จะบ่งบอกุถึงความน่าเชื่อถือ นิ่ง ขรึม มีอำนาจ ขลัง มีระดับ และน่าเกรงขาม โดยมีความนุ่มติดสดชื่นบางๆ แฝงอยู่

#นายพลแรดผู้มากบารมี - กลิ่นอายของโทนเคร่งขรึมน่าเกรงขามและมีระดับในช่วงกลางของ Oud ใบยาสูบ และเหล้ารัมจางๆ ยังคงอยู่แต่จะมาเสริมกลิ่นหนังนุ่มๆ ที่รองพื้นอยู่ตอนช่วงกลางที่เด่นขึ้นมาคลุมทั้งหมดเป็นแกนนำหลัก มีกลิ่นอาย Smoky แบบเท่ห์ๆ จากหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์ ทำให้กลิ่นอายจะออกเป็นเครื่องหนังชั้นดีที่กลิ่นนุ่มงามไม่มีกลิ่นสาป ในห้องที่มีเครื่องไม้เครื่องเรือนกลิ่นอายขลังๆ กับกลิ่นเหล้ารัม และใบยาสูบชั้นดีจากไปป์ เพราะกลิ่นบ่งบอกถึงบารมีที่แรงกล้า ทั้งเท่ห์ ทั้งอบอุ่นจางๆ และมีความหนักแน่นมาดแมนและเป็นผู้ใหญ่เต็มเหนี่ยวไปเลย เป็นช่วงที่กลิ่นงามงดที่สุดจริงๆ

ภาพรวม - ถ้าเปรียบเทียบกับแรด เรียกว่าใช่ คือ กลิ่นอายแบบหนักแน่น นิ่ง บารมีแรงกล้า แต่เวลาเอาจริง แผ่รังสีแบบนิ่งๆ แล้วพ่อเอานอเสยไส้แตกแบบที่หน้าเดิมๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ได้เลย เรียกว่าแสดงความเป็นกลิ่นของแรดแบบอนุมานได้งามมาก และเป็นการดีแล้วครับที่ไม่เอากลิ่นแรดธรรมชาติจริงๆ มาเป็นน้ำหอม ไม่งั้นฆ่าตายหมู่เอาได้

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานที่อายุ 30 อัพ หรือจะอายุน้อยกว่านี้ก็พอได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอม Niche มาในระดับหนึ่ง ไม่งั้นเจอกลิ่นช่วงแรกไปตายสนิทเพราะมาแรงจริงอะไรจริง สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะกลิ่นอายแบบนี้มันเสริมบุคลิกภาพให้ดูมีอำนาจและบารมีมากเลยทีเดียว งดใส่ออกกำลังกายเด็ดขาด รวมถึงถ้าใส่แบบชิลล์ๆ ก็เบาๆ เดี๋ยวข่มขวัญชาวบ้านด้วยรังสีกลิ่นเอาจะดูไม่ชิลล์เอาได้ ยามค่ำคืนใส่ได้เลยนะครับ รับรองกลิ่นยิ่งกว่าคำว่าป๋า เพราะอาจจะมีสาวๆ เรียกว่า "ท่าน" เอาได้เลยล่ะ

ความทน - ความเข้มข้นของน้ำหอมแบรนด์นี้จัดที่ 20% เช่นนั้น ห้าห่วงทนหายห่วง 15 ชม. กลิ่นยังมีอยู่ให้รู้สึกได้อยู่เลย

การกระจาย - เรียกว่าเปิดตัวแรงมากกกกก แล้วลดระดับมาที่กระจายดีงาม ก่อนจะลดลงไปเป็นกลางๆ และออร่ารอบๆ ตัวตามเวลาที่ผ่านไป

ทิ้งท้าย - ตอนแรกไม่คิดว่าจะชอบเพราะลองผ่านๆ เจอช่วง Top ผ่านกระดาษแล้ว อูยยย หนักมากจนอึ้งแล้ว พอลองมาใส่เต็มๆ 2 รอบ แบบจำนวนสเปรย์ลงตัวกำลังดี อูยยยย Middle กับ Base มันหอมเท่ห์ หนักแน่น นิ่งขรึม มีอำนาจ และบารมีมาครบเลย ชอบมากกกกก กลิ่นดีงามมากกกกก บอกเลยตรงนี้



Review: Thierry Mugler - A*Men Pure Coffee


Thierry Mugler - A*Men Pure Coffee 

Pure Coffee เป็นตัวแรกเลยที่แตกออกมาจากต้นตระกูลอย่าง A*Men โดยได้รับความนิยมมากเลยทีเดียวกับการสืิ่อสารด้วยการทำให้กลิ่นกาแฟเป็นหลักเด่น แต่เพราะเป็น Limited Edition จึงออกมาแล้วค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นของหายากมากลำดับต้นๆ ของไลน์นี้ จนภายหลังเพราะเสียงเรียกร้องเริ่มมีมากขึ้น Thierry Mugler จึงทำออกมาวางตลาดอีกครั้ง ผ่านการขายแบบ Online ของแบรนด์โดยเปลี่ยน Package ใหม่อีกด้วย เช่นนั้น ในเมื่อกลับมาอีกครั้งก็ฉลองด้วยการ Review เลยดีกว่า 

ภาพรวมของ Pure Coffee เอาจริงๆ แล้วมันยังมีความเป็น A*Men แบบต้นตระกูลสูงมาก เพราะโทนกลิ่นต่างๆ ดึงความเป็น A*Men มาเป็นเมนหลัก โดยให้กลิ่นของกาแฟมาเด่นควบคู่ไปด้วย และอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมเลย เริ่มที่ Top Notes กับกลิ่นอายแบบกาแฟกลั้วลาเวนเดอร์และมินท์ มีกลิ่นอายเครื่องเทศแบบสดชื่นของเม็ดผักชี กับกลิ่นออกทางผลไม้รวมกลั้วซิตรัสจางๆ ติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งมันคือกลิ่นเปิดแบบ A*Men ปกติ ที่ใส่กาแฟเข้ามาตีคู่อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้กลิ่นที่หลายๆ คนรับไม่ได้จากช่วงนี้ของ A*Men จะสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพราะกาแฟมาตัดกลิ่นโทนแหลมบาดในช่วงต้นได้อย่างลงตัว แต่กาแฟจะยังไม่ได้แสดงตัวเด่นมาก จนเข้าสู่ Middle Notes ที่งานนี้กาแฟยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่ โดยที่กลิ่นพิมเสนที่เป็นตัวเชื่อมโยงความเป็น A*Men จะดันขึ้นมาเด่นคู่กับกาแฟ โดยมีกลิ่นของไม้ซีดาร์มาให้ความเคร่งขรึมเท่ห์ๆ ในเนื้อกลิ่น เรียกว่าช่วงนี้กาแฟจะเริ่มชัดเจนขึ้น กลิ่นอายแบบนุ่มนมติิดคาราเมลของต้นตระกูลที่ยังมีในตัวนี้ เพียงแต่จะลดระดับมาแบบไม่หนักหน่วงนัก เพราะความเข้มของกาแฟที่มีมามากขึ้นตัดทอนโทนหวานออกไปได้มากเลยทีเดียว เลยทำให้มีความภูทิฐานและกลิ่นสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น ส่งต่อให้ช่วง Base Notes ที่กลิ่นของโกโก้จะเริ่มดันขึ้นมาตีคู่กับกาแฟ มีความครีมมี่เบาๆ และวานิลลาแบบนวลๆ โดยที่อิทธิพลจากพิมเสนและไม้หอมในช่วงกลางยังคงตามมาอยู่ ที่สำคัญกลิ่นอายของหญ้าแฝกที่มาแบบ Smoky ทำให้กลิ่นในช่วงนี้กลายเป็นกาแฟติด Smoky ใส่ผงโกโก้ได้ลงงามมาก เรียกว่าดันให้กลิ่นกาแฟเด่นแบบนุ่มๆ แต่ไม่นวลจนเป็นกาแฟนม ออกแนวเป็นเหมือนกาแฟดำที่ใส่ผงโกโก้ให้ดูเข้มขึ้น และไม่ได้ออกทางเป็นกาแฟแบบที่เราได้กลิ่นจากร้านกาแฟ เพราะมีพิมเสนมาให้ความนวลและมีความอบอุ่นอวลๆ ของไม้หอมเข้ามาผสาน เลยกลายเป็นกลิ่นกาแฟที่มีเสน่ห์มากอีกหนึ่งตัว โดยไม่ทิ้งความเป็น A*Men ที่ยั่วยวน แต่ใส่ความเคร่งขรึมเข้ามาให้ดูมีมาด และไม่ออกทางชวนมากินกันโต้งๆ แบบที่ต้นตระกูลสื่อสารผ่านกลิ่นนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปครับ แน่นอนถ้าใครไม่เคยใช้ A*Men มาก่อน เจอตัวนี้อาจจะรักมากกว่า เพราะใช้ง่ายกว่า แต่ถ้าใครผ่าน A*Men มาแล้วจะยิ่งรักในกลิ่นแบบนี้มากขึ้นไปอีก เพราะจะฟินกับกาแฟ โดยกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ เพราะคาบเกี่ยวความมีมาดและภูมิฐานพอสมควนร งดใส่ออกกำลังกายเลยจ้ะ ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เลยครับ กลิ่นดีเลยทีเดียวเชียว แถมไม่ได้เน้นเรียกร้องความสนใจมากขนาดต้นตระกูลด้วย แต่ก็ยังเรียกแขกได้อยู่ดีในอีกรูปแบบหนึ่ง 

ความทน - 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ามาเต็ม แล้วจึงค่อยๆ ลงเป็นกระจายกลางๆ และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว หรือ Skin Scent ตามแต่ละประเภทของผิว 

ทิ้งท้าย - ประทับใจกลิ่นมากเลย เพราะไม่ได้มาหนักและชวนมาได้กันขนาด A*Men ซึ่งทำให้ใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์มากขึ้น เรียกว่า มาในโทนที่เบาลงให้เราได้หายใจหายคอหัวกระไดแห้งบ้างอะไรบ้าง 555555 

Credit ภาพ - http://img.photobucket.com/albums/v231/psychoskip/Cologne/PC_01.jpg

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Bvlgari - Eau Parfumee: au the Bleu


Bvlgari - Eau Parfumee: au the Bleu

ผ่านมานานมากกกกกกับไลน์ Eau Parfumee ของ Bvlgari ที่บอกถึงน้ำหอมกลิ่นชาประเภทต่างๆ ที่เคยทำเป็น Series เรียงต่อกันตั้งแต่เริ่มรีวิวน้ำหอมไหม ก็นึกว่าจะไม่มีตัวไหนออกมาอีก ซึ่งที่ไหนได้มาอีกจ้าาาา งานนี้จากชาเขียว ชาขาว และชาแดง ก็มาถึง #ชาอู่หลง กันซะที ซึ่งก็เป็นตัวนี้เลย au the Bleu

ก่อนที่จะฉีดมีความคาดหวังพอสมควรว่าจะต้องเป็นชาอู่หลงหอมๆ นวลๆ ออกโทนสีฟ้าเหมือนขวด ซึ่งพอเปิด Top Notes เท่านั้นแหละ เอิ่มมม ทิ้งไปหมดเลยความคาดหวัง 55555555 เพราะกลิ่นใบชิโซะที่ออกทาง Spicy แบบมินท์แต่ไม่เย็นวาบเท่าตีขึ้นมาก่อนใครเพื่อนเลย และมีกลิ่นโทนเครื่องเทศสดชื่นอย่างขิงนิดๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งถ้าไม่มีกลิ่นอายแบบลาเวนเดอร์นุ่มๆ สะอาดๆ ติดโทนแป้งจางๆ ดันขึ้นมานะ คงจะได้อารมณ์แบบน้ำจิ้มข้าวมันไก่หรือน้ำจิ้มที่ใส่ขิงกับใบซิโซะเอาได้ ต้องปรบมือให้ลาเวนเดอร์จริงๆ กับงานนี้ แต่นี่เพียงแค่ช่วงแรก หลังจากนี้แหละได้เวลาของชาแล้วในช่วง Middle Notes แต่สิ่งที่ Amazing Bvlgari มากคือ สามารถทำให้กลิ่นช่วงนี้เป็นกลิ่นอายแป้งหอมกลิ่นชาอู่หลงได้ ซึ่งกลิ่นอายโทน Spicy กับลาเวนเดอร์ในช่วงต้นจะรองพื้นด้านหลังแบบนุ่มสะอาด ดันให้ดอกไวโอเล็ตที่มาในโทนแป้งดอกไม้นวลๆ เบาๆ กลั้วกับกลิ่นชาอู่หลงแบบกำลังดี ให้ความรู้สึกสบายตัวนุ่มนวลแบบหรูๆ มีระดับมากขึ้น ไม่พอผ่านไปไม่นานกลิ่นของดอกไอริสที่มาในโทนแป้งจะค่อยๆ มาผสมผสาน จนเข้าช่วง Base Notes ดันอย่างเต็มตัว คงความนวลเนียนแบบโทนแป้งมีระดับอย่างชัดเจน และมีความเซ็กซี่ในเนื้อกลิ่นเข้าไปเสียด้วย รับช่วงต่อจากช่วงกลางโดยที่กลิ่นชายังตามมาอยู่แบบเบาๆ เนื้อกลิ่นมีความสะอาด ให้ความรู้สึกสบายๆ แบบเซ็กซี่ๆ ติดหรูกำลังดีไปตลอดเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยจ้า แต่กลิ่นออกทางผู้หญิงประมาณเกือบ 70% เลยเพราะโทนแป้งออกทางดอกไม้ติดเซ็กซี่จะเอื้อให้สาวๆ มากกว่า แต่เอาเข้าจริงผู้ชายใส่ได้เพราะโทนติด Spicy สดชื่นในตอนแรก และกลิ่นชาอู่หลงนี้่แหละ สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ แต่ออกกำลังกายควรงดเพราะกลิ่นโทนแป้งมักไปได้ไม่ดีกับกลิ่นเหงื่อ ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ ถ้าใส่ทั่วๆ ไปก็ใส่ได้แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี กลิ่นเบาไปจ้าาาาาา

ความทน - เป็น EDC หรือ Cologne ที่กลิ่นทนเทียบเท่า EDT เลยทีเดียวกับประมาณ 6 ชม. อาจจะมีบวกลบประมาณ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะลดมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวลากยาวไปเรื่อยๆ จนถึงปลายๆ ช่วงท้ายเลย คงตัวได้ดีจริงๆ แล้วค่อยเป็น Skin Scent ก่อนหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย - ง่ายๆ คือ 
au the Rogue - สีแดงเต็มแน่นและหรูหรา
au the Blanc - สีขาวสะอาดและนุ่มนวล
au the Vert - สีเขียวสดใสและสดชื่น
au the Bleu - สีฟ้าที่สบายๆ และผ่อนคลาย

และตอนนี้รออีกตัวที่พึ่งออกมาไม่นานในไลน์นี้อย่าง #ชาดำ - au the Noir ด้วยแหละ ^^



วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: L'Artisan Parfumeur - Séville à l'Aube


L'Artisan Parfumeur - Séville à l'Aube

กว่าจะได้มาเจอตัวนี้หลังจากคลาดกันไปหลายรอบเพราะโดนความน่าสนใจอื่นๆ ดึงไปทางโน้นที ทางนี้ที ก็ได้มาป่ะกันแล้วกับ L'Artisan Parfumeur - Séville à l'Aube เพราะได้อ่านและได้ยินความชื่นชมกลิ่นนี้จากหลายๆ คนมานาน เช่นนั้นมาพิสูจน์กลิ่นเลยว่าจะตรงกับสิ่งที่เขาได้ชื่นชมไว้หรือไม่

หูยยยยยยยยยยยยยย มันห๊อมหอมอ่ะ แกร๊! จริงๆ นะ หอมมาก ยิ่งใครที่ชอบกลิ่นดอกส้มเด่นๆ แบบไม่ได้มาแรงจัดๆ ตัวนี้เป็นตัวที่กลิ่นอายหอมดอกส้มติดหวานที่งามเลยทีเดียว เพราะ Top Notes มากับกลิ่นอายสดชื่นแบบติดเขียวก่อนเลยกับใบส้ม ที่จะมาแบบไม่คมจัดมีกลิ่นโทนหอมหวานจางๆ แบบพีชนิดๆ โดยที่กลิ่นของลาเวนเดอร์และดอกส้มจะดันขึ้นมาเร็วมาก เพียงไม่นานก็เข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่งานนี้มาเต็มนั่นคือดอกส้ม แต่จะมีความนุ่มนวลจมูกจากลาเวนเดอร์มาเบรกความเป็นดอกไม้ขาวแน่นๆ ได้เยอะมากไม่พอ ยังมีตัวเอกอีกตัวอย่างไขผึ้งที่ออกทางเรซิ่นหวานๆ มาตัดทอนลงไป จึงกลายเป็นกลิ่นดอกส้มที่หอมนวลๆ ติดหวานได้งามมากเลย กลิ่นอายมีความเป็นดอกไม้ขาวแบบเย็นๆ นวลๆ อ้อยอิ่งแบบมีระดับและหอมแบบอ่อนโยนเสียด้วย ที่สำคัญช่วงนี้จริงๆ ต้องออกสาวแต่เพราะมีใบยาสูบหวานจางๆ มาแทรกเลยทำให้กลิ่นอายเป็น Unisex กำลังดี ไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes ที่ยังคงความเป็นดอกส้มหวานนวลอยู่ เพียงแต่กลิ่นอายจะเริ่มออกทางอบอุ่นติดเย้าๆ ด้วยกำยานและยางไม้ที่มาแบบนุ่มๆ ไม่ได้มาแบบเอาตายจนจะกลายเป็นธูปเลยทำให้กลิ่นอายยังคงความหอมนวลแบบอ้อยอิ่งมีระดับมากขึ้น โดยที่รักษาสมดุลย์ของโทนหวานและสดชื่นได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นใช้ได้ทั้งหญิงและชาย เพราะมาในโทน Unisex อย่างชัดเจน เพียงแต่จะมีความเป็นหญิงอยู่ที่ 60% ยิ่งใครชอบกลิ่นดอกส้มนวลๆ ติดหวาน คุณจะรักตัวนี้ได้เลยีี โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ งดใส่ออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนก็สามารถใส่ได้ แต่ไม่ควรใส่ออกไปเที่ยวเต้นลืมตายเพราะกลิ่นจะไม่ได้เข้าทางนัก

ความทน - ขอปรบมือให้เลย กลิ่นทนมากกว่าที่คิด เพราะ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังตีขึ้นแบบอ้อยอิ่งนุ่มนวลตลอดเวลา ลากยาวไป 12 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ให้รับรู้จางๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ไม่ได้กระจายแบบหนักหน่วงหรือดีมาก และคงตัวการกระจายแบบนี้ไปตลอด จนถึงปลายๆ ของช่วงท้ายๆ ที่จะค่อยๆ ลดลงมาเป็น Skin Scent

ทิ้งท้าย - นี่กลายเป็นอีกหนึ่งในตัวที่ผมปลื้มเลยจากการใช้งาน กลิ่นอายดอกส้มหอมเย็นๆ ติดหวานนุ่มๆ แบบนี้มันอะโรม่าทำให้ผ่อนคลายมากมายจริงๆ


Credit ภาพ - https://akafkaesquelife.files.wordpress.com/2013/03/seville2.jpg