วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d’Orange - Putain des Palaces

Etat Libre d’Orange - Putain des Palaces

เรียกว่าชื่อรุ่นนี้ถ้าไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสอาจจะแบบว่าไม่ได้คิดอะไร ซึ่งก็อย่ารู้เลยเนาะข้ามมาสนใจเรื่องกลิ่นที่ Etat Libre d’Orange เขาทำในรุ่นนี้ดีกว่า ว่าจะออกมาในลักษณะไหน แต่ถ้าจะเดาว่ากลิ่นบอกออกมาในลักษณะไหน ให้ดูที่ Logo ของรุ่นนี้แล้วจะถึงบางอ้อนะจ้ะตะเองว่ากุญแจไขเข้าไปในร่องสีชมพูมันหมายถึงอะไร >< 

Putain des Palaces ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นโทนแป้งที่ทำออกมาในลักษณะแบบกลิ่นแนวเครื่องสำอางลิปสติคเด่นมาเลย ผสมผสานกับกลิ่นที่สื่อสารตรงตัวว่ามาเต็มและเย้ายวนแบบชวนเข้ามานัวกำลังดีของกลิ่นหนังที่มาแบบนุ่มละมุน ซึ่งแรกเริ่มจะได้ความรู้สึกชัดเจนของโทนแป้งแนวๆ ไอริส ผสมผสานกับกลิ่นติดโทนซิตรัสจางๆ และมีกลิ่นขิงที่มาให้ความหวานโปร่งกันก่อน ซึ่งจะได้ความสดชื่นเคล้าแป้งเพียงแค่วูบสั้นๆ ซึ่งกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามันมีความ Dirty ในเนื้อกลิ่นแบบปลุกเร้ากันพอสมควรเพราะเหมือนจะมีเครื่องเทศแนวๆ ยี่หร่าแบบบางมากๆ มาผสมผสาน แล้วก็จะเข้าสู่ช่วงกลางที่มาไวและเด่นจัดกับการเป็นโทนแป้งที่มีความนวลโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่จะมีกลิ่นอายนวลๆ ของกุหลาบมาเจือ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบกระเป๋าเครื่องสำอางกันอย่างชัดเจนมาก กลิ่นจะให้ความรู้สึกแบบหญิงสาวที่แต่งหน้าพร้อมลุยกันพอสมควรแต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับก๋ากั๋นอะไรมากขนาดนั้น ออกแนวมีความดึงดูดในความเอียงอายกันได้อยู่ ซึ่งกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยที่กลิ่นโทน Animalic แบบสาปปลุกเร้าจะเริ่มดันขึ้นมา ซึ่งกลิ่นโทนแป้งมันตัดความดิบห่ามออกไปให้กลายเป็นความนุ่มนวลเย้ายวนและเซ็กซี่กึ่งดิบเร้ากึ่งนวลเนียนคลอเคลีย ซึ่งจะมี Musk มาให้ความใกล้เคียงการเป็นกลิ่นผิวกายเย้าๆ เข้าไปอีก โดยมีกลิ่นอบอุ่นรองพื้นจากแอมเบอร์นวลๆ เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้จะเป็นกลิ่นผิวกายที่เซ็กซี่ติดแป้งเครื่องสำอางที่มีกลิ่นกุหลาบจางๆ แบบชัดเจน กลิ่นสื่อสารตรงตัวถึงความเร้าใจที่ในฉากหน้าดูแบบว่าใสซื่อเอียงอายจริตมีกำลังดี แต่จริงๆ แล้วข้างในคือชั้นในซีทรูที่อื้อหือออออ พร้อมให้ไขกุญแจเปิดผ่างกันเต็มๆ บอกเลย! กลิ่นนี้มันร้ายยยยยยย วู้ววววว 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถแล้ว สิ่งที่บรรยายข้างต้นแบบไม่ต้องสนใจชื่อรุ่น ก็จะมีค่อนไปทางสุภาพได้อยู่บ้าง แต่เย้ายวนอันนี้ชัดเจนตามประสาโทนน้ำหอมแบบนี้อยู่แล้ว จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะยั่วยวนโจ่งแจ้งไปนิด ยกเว้นว่าต้องการนำเสนอความเซ็กซี่แบบมีจริตและดึงดูด อันนี้ก็จัดไปกลิ่นมาสายปลุกเร้าเช่นนี้อยู่แล้ว ซึ่งงานทางการอาจจะพอได้บ้าง ใส่ทำงาน Office ได้เลยสบายๆ รวมถึงใส่แบบทั่วๆ ไปก็จัดเต็มได้เลย ยกเว้นใส่ออกกำลังกายกับกิจกรรมกลางแจ้งกลิ่นไม่เข้าทางแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้สื่อสารชัดเจนถึงความเย้ายวนอยู่แล้ว ยังไงก็ผ่าน อัดสเปรย์หน่อยก็สามารถเรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างด 

ความทน กลิ่นทนอยู่ที่ระหว่าง 6 – 8 ชม. โดยประมาณ อาจจะมากหรือน้อยกว้านี้อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 10 ชม. แบบอยู่ในห้องแอร์ ถือว่ามีความดีงามในเรื่องนี้ไม่น้อย 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง แล้วจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายซึ่งเมื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้ว กลิ่นจะเป็น Skin Scent นัวน่าฟัดชัดเจน 

ทิ้งท้าย อย่างที่บอกเลยว่า กลิ่นนี้มันร้ายยยยยยย! เพราะว่าในความเอียงอายจริตดูผู้หญิงแบบนี้ แฝงไปด้วยความพร้อมที่จะปล่อยความเซ็กซี่แบบเอาให้เต็มที่กันได้เลย แต่ไม่ใช่ว่าใส่กลิ่นนี้แล้วจะสามารถสอยผู้ชายกลับบ้านได้เลย มันอยู่ที่บุคลิกส่วนตัวด้วย ถ้าวางตัวดีกลิ่นนี้เป็นตัวแทนของความ Feminine ที่ใช้ความเป็นเพศหญิงในการคุมเกมได้ไม่ยาก แต่ถ้าแบบเสื้อขาวชั้นในลายเสือดาว อันนี้ชัด กลิ่นนี้เสริมเข้าไปอีกว่า พร้อมได้อี๊กกกกกกกก!” 5555555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://etatlibredorange.com/wp-content/uploads/2015/07/etat-libre-orange-putain-s.jpg และ https://leblogdelavieenrouge.files.wordpress.com/2010/01/13758_28528.jpg

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum

Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum 

เมื่อ Polo Blue อยู่ยั้งยืนยงมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2003 และเป็นอีกหนึ่งรุ่นของ Ralph Lauren ที่ได้รับความนิยมมาตลอดในการเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายสดชื่นติด Aquatic เด่นที่แตงกวาและเมล่อน ที่แน่ๆ คนเล่นน้ำหอมหลายๆ คนต้องผ่านกลิ่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน เมื่อแบรนด์ได้เอารุ่นยอดนิยมแบบนี้มาต่อยอดจาก EDT มาสู่ EDP เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมากลิ่นจะเป็นอย่างไร จะปรับเปลี่ยนหรือว่าคงเดิมเพิ่มความเข้มข้นหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์

เปิดตัว Top Notes กันด้วยความแตกต่างจากที่เคยได้กลิ่นมาในระดับหนึ่งเพราะไม่ได้มีลักษณะของการเป็นแตงกวากับเมล่อนแบบที่ได้รับรู้บน EDT แล้ว แต่จะเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลแบบติดความเป็น Citrus กันก่อน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความแน่นติดเครื่องเทศที่หอมกึ่งหวานกึ่งเผ็ดปร่าแต่นุ่มจมูกอย่างเม็ดกระวานทำให้กลิ่นช่วงต้นนี้มีความสดชื่นที่แน่นและชัดมากให้รู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมันเข้มข้นขึ้น เพียงไม่นานความรู้สึกซ่าๆ ของสมุนไพรจะดันขึ้นมานำเข้าสู่ Middle Notes โดยความเป็นทะเลในเนื้อกลิ่นจะมีความปร่าซ่าของเซจและนวลติดเขียวของใบโหระพาเลยทำให้กลิ่นจะไม่มีโทนออกทางคาวทะเลแต่ประการใด ที่สำคัญยังคงความรู้สึกออกทาง Citrus ติดเขียวสดชื่นได้อยู่ โดยที่กลิ่นยังคงความชัดเจนที่สัมผัสได้ตลอด มีความแน่นแต่ไม่หนักหน่วงตามสไตล์น้ำหอมที่เป็นโทนสดชื่นเด่น แล้วเพียงไม่นานกลิ่นอายของไม้หอมแห้งๆ ที่นำทางด้วยหญ้าแฝกจะเริ่มเปิดตัวชัดขึ้นแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเอาความเป็นลักษณะของ Polo Blue เดิมมาให้รู้สึกได้เสียด้วยใน Base Notes ซึ่งกลิ่นอายของหนังกลับนุ่มๆ เคล้ากับกลิ่นอายของ Musk จะเป็นเหมือนตัวรองพื้นให้กลิ่นมีความนวลสะอาด โดยที่หญ้าแฝกที่เป็นโทนไม้หอมแห้งๆ จะตีคู่ขึ้นมากับพิมเสนที่ให้ความรู้สึกนวล โดยที่กลิ่นอายของทะเลติดสมุนไพรยังคงอยู่แต่ลดระดับลงมาจากช่วงกลางซึ่งจะยังให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ตลอด ภาพรวมยังคงมีลักษณะที่เป็นกลิ่นอายสดชื่นได้อารมณ์ติดเท่ห์หน่อยๆ มีความเป็นโทนสีฟ้าน้ำเงินสมกับความเป็น Polo Blue ที่โทนกลิ่นหลักคล้ายกันแต่เปลี่ยนตัวเอกในการนำกลิ่นที่แน่นและชัดเจนโดยไม่ทิ้ง Concept เดิมแต่อย่างใด

เปรียบเทียบความแตกต่าง ทั้ง 2 รุ่น มีพื้นฐานกลิ่นในช่วง Base อารมณ์เดียวกันคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ
EDT – กลิ่นจะใสและสดชื่นเด่นที่แตงกวากับเมล่อนมีความเป็นโทน Aquatic มากกว่า
EDP – กลิ่นจะเน้นที่โทนทะเลกลั้วสมุนไพรที่ชัดและแน่นมากขึ้น

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นยังคงความเข้าถึงง่ายใช้ง่ายและมหาชนปลื้มปริ่มตามสไตล์ความเป็น Polo ที่ Ralph Lauren ทำมาได้ตลอดเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลกันสุดๆ ที่สำคัญรุ่น EDP ยังสามารถใส่ยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเราได้ดีเสียด้วย แม้ว่าอาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนอะไรมากก็ตาม แต่มันเข้าทางยังไงก็รอดได้สบายๆ

ความทน ในเมื่อเป็น EDP กลิ่นเลยเข้มข้นและทนมากขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสดชื่นเป็นผู้ชายสีฟ้าอมน้ำเงินเข้มกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย รุ่น EDT มีความดีงามอยู่แล้วแลเป็นหนึ่งในของดีเทคนิคไม่ต้องดียังไงก็ผ่าน อย. ทางด้านกลิ่น แต่พอเป็น EDP ถือว่าเป็นการต่อยอดที่ดีและชัดเจนมาก ซึ่งทำให้ Polo Blue ยังคงอยู่ในยุทธจักรน้ำหอมสดชื่นแบบตีคู่กันไปทั้ง 2 แบบได้อีกนานมาก ยังไงก็ตาม รุ่น EDP ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ต้องยกตำแหน่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ให้อยู่ดี ซึ่งส่วนตัวผมจะชอบ EDP มากกว่าเพราะความแน่นและความชัดเจนของเนื้อกลิ่นที่จับต้องได้มากขึ้นครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit
ภาพ - http://s7d2.scene7.com/is/image/PoloGSI/s7-1235777_standard?%24flyout_main%24&cropN=0.12%2C0%2C0.7993%2C1&iv=ZHYdm0&wid=1410&hei=1770&fit=fit%2C1



วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Bond No.9 - Central Park South

Bond No.9 - Central Park South 

เคยพาเข้าสวนมาแล้วโซนนึงกับรุ่น Central Park West ที่เป็นดอกไม้หอมนวลติดสดชื่นกันเต็มๆ ก็ได้เวลาเดินมาทางใต้ของ Central Park ของนิวยอร์คกันบ้างว่ากลิ่นอายที่ Bond No.9 ทำออกมาเพื่อ Tribute ให้โซนนี้จะเป็นอย่างไร 

เปิดมาก็ดอกไม้มาเลยทีเดียวเชียว เจ้าข้าเอ๊ยยย! กลิ่นในช่วงต้นจะมีความเป็นกลิ่นอายแบบดอกไม้ขาวกันเต็มๆ ที่มีความสดชื่นบางๆ ติดกลิ่นผลไม้โทนเบอร์รี่นิดๆ ซึ่งน่าจะมาจากดอกแบล็คเคอแรนท์ กับดอกเกรฟฟรุตที่ได้อารมณ์คล้ายดอกส้มที่จะมาเพียงวูบแรก แล้วจะเริ่มทยอยเข้าช่วงกลางกับการเป็นโทนดอกไม้ขาวที่มาเต็มมาก เด่นที่ความใสที่พอสมัผัสได้ของกลิ่นดอกกระดิ่งและดอกเกรฟฟรุตที่ตามมาตอนต้น มีกลิ่นมะลิที่เปรียบเสมือนเป็นตัวกลางที่เชื่อมกับกลิ่นดอกไม้ขาวโทนครีมมี่ข้นๆ อย่างดอกพุดและดอกซ่อนกลิ่นที่มาแบบท่วมท้นไม่น้อย กลิ่นที่จะเลยจะมีความเป็นโทนขาว ครีม นวล อวล ชัดเจน แต่ว่าจะยังมีความใสให้พอรู้สึกได้บ้าง ซึ่งกลิ่นโทนนี้จะเปรียบเสมือนเป็นตัวหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะอยู่ยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายแบบที่เด่นเสมอต้นเสมอปลายมาก จนเมื่อเรื่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความเบาลงมาหน่อยและมีกลิ่นอายของไม้หอมสะอาดๆ กำลังดี เคล้ากับ Musk ที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกสะอาดนุ่ม ก็เดินทางมาถึงช่วงท้ายของน้ำหอมแล้ว ซึ่งกลิ่นอายของดอกไม้ขาวจะเริ่มลดกำลังลงมาทำให้รู้สึกได้ว่า ในความนวลขาวครีมนั้น มีความรู้สึกติดโทนเขียวหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติที่มีกลิ่นอายแบบเดินเล่นในสวนที่มีดอกไม้ขาวเป็นหลักแล้วกลิ่นลอยมาตามลมให้ความรู้สึกนวล สะอาด และผ่อนคลาย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ตราไว้ชัดเจนว่าเป็นกลิ่นของผู้หญิง ก็หมายความตามนั้นเลย เพราะแม้ว่าจะ Unisex ตอนช่วงท้ายก็จริง แต่ว่าความเป็นดอกไม้ขาวก็สาวกันจนแทบไม่นึกถึงแล้ว ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป แบบกลางแจ้งก็พอได้ แต่ให้จำกัดจำนวนสเปรย์ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์จะลงตัวมาก เพราะกลิ่นปล่อยพลังแผ่บาเรียกันได้สุดติ่งจริงๆ ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปเลย ไม่เหมาะทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ตัวนี้สามารถใส่ได้เพราะการปล่อยของโทนดอกไม้ขาวนี่แหละ ซึ่งจะทำให้รู้สึกถึงความอ่อนโยน สีขาวออกครีม และนุ่มนวลได้ดีไม่น้อยเลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ถึงกับยั่วยวนก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ขั้นสุดมากกกกกกก คือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้รับรู้ได้ตลอด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบรอบทิศและเต็มเหนี่ยวมากในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวปล่อยของกระจายดีแบบยาวไปจนถึงต้นๆ ช่วงท้ายเลย จึงค่อยลดลงมาเป็นปานกลาง ลงมาเรื่อยๆ เมื่อผ่านราวๆ 8 ชม. ไปแล้วถึงได้เป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - ไม่เข้าใจว่ากลิ่นมันมาสายดอกไม้ขาวมากกกกกกก แต่ขวดนี่ดอกชมพูกันให้ตรึมๆ รวมถึงดอกที่ประดับขวดแยกก็ชมพูบานเย็นซะขนาด แต่กลิ่นไม่ได้ทำให้รู้สึกได้ถึงโทนสีหวานๆ นี้หรือมีกุหลาบเลย มีอาการมองบน โดนขวดหลอก 55555 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นอีกกลิ่นที่เป็นโทนดอกไม้ขาวชัดเจนมาก ใครชอบโทนนี้มีฟินแน่นอน

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.bondno9.com/central-park-south.html

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Penhaligon’s - Blenheim Bouquet

Penhaligon’s - Blenheim Bouquet

เรียกว่าเป็นหนึ่งในตัวยอดฮิตเสมอต้นเสมอปลายมาอย่างยาวนานกับกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่ให้ความเรียบหรูผู้ดีอังกฤษ และเป็นหนึ่งในกลิ่นที่เป็น Signature หลักทำขึ้นให้กับบุคคลสำคัญในตระกูลเชอร์ชิลอย่าง Dukes of Marlborough และถ่ายทอดมาถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่าง “วินสตัน เชอร์ชิลที่ใช้กลิ่นนี้เป็น Signature Scent เสียด้วย ซึ่งแน่นอนความคลาสสิคก็มาตีคู่กับความร่วมสมัยจนเป็นหนึ่งใน Timeless Scent และเป็น Masterpiece ของแบรนด์ Penhaligon’s มาเสมอ เช่นนั้นกลิ่นจะมาลักษณะไหนต้องลองกันหน่อยแล้ว กับ Blenheim Bouquet 

กลิ่นนี้เอาชื่อของวัง Blenheim ที่ไม่ได้เป็นวังของเครือราชวงศ์แต่ประการใด แต่เป็นของตระกูลเชอร์ชิลที่เป็นบ้านที่ใหญ่มาก จนเรียกเป็นวังมาในทุกวันนี้ ซึ่งในเมื่อกลิ่นนี้ทำขึ้นเพื่อเจ้าของวังชื่อก็เลยต้องมานั่นเอง 

ต้องบอกว่าใครที่ชอบกลิ่นโทBarber Scent ที่เป็นกลิ่นอายแบบสะอาดคมๆ จะโดนตัวนี้เข้าให้เลย แถมสิ่งที่ได้มันไม่ใช่แค่ลักษณะแบบสะอาดคมๆ แบบร้านตัดผมผู้ชายลักษณะวินเทจตามต่างประเทศ แต่จะได้ความเป็นกลิ่นอายโทCitrus ที่มีความเปรี้ยวฉ่ำเจือกลิ่นติดขมแบบน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ โดยมีกลิ่นอายคมๆ สดชื่นของมะนาวมาเจือให้ความสดชื่นจัดเต็ม เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบฉ่ำมาก อยู่ระหว่างความแห้ง (สไตล์แบบฝรั่งเศส) กับความฉ่ำ (สไตล์อิตาลี) ได้ลงตัวจนกลายเป็นสไตล์อังกฤษเลยก็ว่าได้ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับความหวานเจือจางๆ ท่ามกลางความเปรี้ยวสดชื่นจากเลมอนเสริมเข้ามา และทั้งหมดจะรองพื้นด้วยกลิ่นอายสะอาดนุ่มนวลของลาเวนเดอร์แบบติดเขียวและมีกลิ่นอายแบบเหล้าจิน ที่ให้ความรู้สึกแบบอากาศเย็นๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย กลิ่นเลยจะได้อารมณ์ผู้ชายที่มีระดับ มีคลาสและมีความเป็นสุภาพบุรุษสไตล์ผู้ดีอังกฤษชัดเจน แบบใส่ชุดสูทนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในสวนสวยท่ามกลางอากาศเย็นๆ สดชื่น ซึ่งกลิ่นในตอนต้นที่เปิดตัวมานี้จะอยู่ในระดับหนึ่งจนค่อยๆ ลดลงมาเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นโทนไม้หอมนวลจมูกของสนไพน์เป็นพระเอกแทน โดยจะได้กลิ่นอายไม้หอมนวลอมหวานนิดๆ มีความสุภาพ สะอาด และมีกลิ่นอายนุ่มนวลของ Musk เคล้าความเป็นพริกไทย ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นก็ยังตามมาผสมผสานอยู่ให้รู้สึกได้ตลอดทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นแบบสะอาดกลั้วกลิ่นอายเย็นๆ ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบโทนสว่างขาวหอมแบบสุภาพบุรุษที่สะอาดสะอ้าน เยือกเย็น สุขุม และมีความปลอดโปร่งในเนื้อกลิ่นให้มีระดับไปตั้งแต่ต้นยันจบเลย 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว ซึ่งกลิ่นจะให้ความสดชื่นเด่นก็จริง แต่มีความเป็นสุภาพบุรุษวางตัวดีที่แกนหลักให้รู้สึกได้ไปตลอด จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งแบบทางการและทั่วๆ ไป กวาดหมด รวมถึงการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมกลางแจ้ง เพียงแต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่แล้วลั่นล้าวิ่งโลกสวยกรีดร้องกรี๊ดกร๊าดในทุ่งลาเวนเดอร์หรือเต้นไก่ย่างถูกเผาอะไรขนาดนั้น กลิ่นออกแนวให้ความรู้สึกนิ่งสุขุมวางตัวดีเสียมาก ส่วนยามค่ำคืนถ้าเป็นอากาศบ้านเราจัดได้ กลิ่นเหมาะกับการออกงานสร้างความรู้สึกสดชื่นที่ภูมิฐานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 

ความทน กลิ่นทนกว่าที่คิดมากกับประมาณ 8 ชม. บวกลบประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายเรียกว่ากำลังดี ไม่มากไปและไม่น้อยไป ให้อารมณ์แบบผู้ชายสะอาดสะอ้าน มีความสุขุมและเป็นสุภาพบุรุษ เลยจะออกแนวกระจายไล่เรียงกันจากปานกลาง ออร่ารอบๆ ตัว และ Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย ส่วนตัวชอบกลิ่นสนไพน์ของตัวนี้มาก ให้อารมณ์สะอาดนวลผู้ดีขั้นสุดมากจริงๆ เรียกว่าสมความเป็นกลิ่นอายที่เหนือกาลเวลาและเป็น Masterpiece มาเสมอของแบรนด์นี้ สุดท้ายยกตำแหน่งนี้ให้ไปเล #ของดีเทคนิคไม่ต้อง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.penhaligons.com/images/products/large/BLENHEIMBOUQUETEAUDETOILETTE.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Shay & Blue - Framboise Noire

Shay & Blue - Framboise Noire

เพราะรอคอยมานานกับการได้ลองแบรนด์นี้จากการถูกชะตาจากชื่อแบรนด์เป็นการส่วนตัว รวมถึงได้ข่าวว่ามีหลายๆ รุ่นกลิ่นเริ่ดจริงอะไรจริง จนได้รับการช่วยเหลือจากมิตรที่น่ารักในการได้มาซึ่ง Shay & Blue กับกลิ่นที่เรียกว่าเป็นตัว Top ของแบรนด์ เช่นนั้น ต้องมาพิสูจน์ว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่บอกว่ากลิ่นอายมันมีความดีงามมันเป็นเช่นไร กับรุ่นนี้เลย Framboise Noire 

ใครว่าราสเบอร์รี่จะดาร์กกับเขาไม่ได้ และนี่แหละคือการบอกเล่าถึงความดาร์กที่ชัดเจนของความเป็นโทนเบอร์รี่ที่ไม่ได้มีแค่ด้านที่สดใสอย่างที่คิด โดยที่เปิดตัวกันด้วยกลิ่นอายที่บอกทิศทางของน้ำหอมตัวนี้ชัดเจนนั่นคือกลิ่นอายของโทนเบอร์รี่ต่างๆ ที่ทั้งความหวานและเปรี้ยว แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความดาร์กและเข้มชัดเจนซึ่งต้องให้เครดิตของความเปรี้ยวเข้มกึ่งจะขมหน่อยๆ ของแครนเบอร์รี่และกลิ่นอายโทนเบอร์รี่แบบเข้มๆ ที่ดึงโทนหวานที่ควรจะใสของราสเบอร์รี่ให้มีความเข้มมากขึ้น ยังไม่พอกลิ่นของไม้หอมติด Smoky เล็กๆ แต่เข้มแบบเนื้อไม้สีดำอย่าOud จะเป็นตัวดันให้ความเป็นโทนเบอร์รี่มันเข้มมากขึ้น ดึงเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่กลิ่นอายของโทนเบอร์รี่เข้มๆ จะเริ่มเบาบางลงไปเป็นสายสนับสนุนให้ราสเบอร์รี่ยังคงความเป็นตัวเอกอยู่ โดยจะมาผสมผสานกับกลิ่นของ Oud ที่ไม่ได้มาสายอวลหรือตะวันออกกลางแบบจัดเต็มนัก แต่จะมีความสมดุลระหว่างความอวลที่มีอยู่บ้างและจะมีความเป็นไม้หอมติด Smoky บางๆ ได้ความรู้สึกดาร์กนัวด้วย แต่เป็นลักษณะที่ดันให้ความเป็นราสเบอร์รี่นั้นเด่นแบบติดเข้มไม้หอม ซึ่งจะได้ความหวานอวลลึกลับเย้ายวนดึงดูดชัดเจน จนเมื่อเข้าสู่ Base Notes กลิ่นอายยังคงคุมโทนชัดเจนถึงความดาร์ก โดยที่กลิ่นไม้หอมอย่าง Oud จะยังคงอยู่และจะมีความลึกของกลิ่นเนื้อไม้ที่มาแบบขรึมนิ่งมีระดับ โดยที่มีความหวานของราสเบอร์รี่จะลดโทนลงมาหวานแบบกำลังดี ซึ่งมีกลิ่นอายนุ่มๆ ของ Musk มาเสริมให้มีความเย้ายวนท่ามกลางความนัวที่ยังเป็นความรู้สึกหลักของโทนกลิ่นนี้ไม่หนีไปไหน ประมาณว่า เชิญมาเสพตความหวานในความมืดดาร์กที่เห็นสิ มันน่าตื่นเต้นดีนะชัดเจน เรียกว่าคุมโทนกลิ่นนัวได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ 

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย กลิ่นนี้กวาดทุกเพศ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องผ่านน้ำหอมที่มีกลิ่น Oud มาบ้าง แม้ว่าตัวนี้จะไม่ได้มาสายแขกตะวันออกกลางก็ตาม ซึ่งเข้ากับวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะมันคาบเกี่ยวความน่าค้นหา ความลึกลับ ความนิ่งขรึม และความหวานเย้ายวนได้ลงตัว จึงเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดจำนวนสเปรย์ ทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกลางแจ้งพอได้บ้าง แต่งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน กลิ่นนี้ลงตัวมากกับการพรีเซนต์ตัวเองให้ดูน่าค้นหา เซ็กซี่เย้ายวนแบบมีชั้นเชิง อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปเต้นพล่านนัก แต่เหมาะกับการใส่ไปเพื่อไปจิบเบาๆ แบบมีระดับเสียมากกว่า 

ความทน ลุกขึ้นปรบมือให้เลยกับราวๆ 12 ชม. ที่กลิ่นยังปล่อยของอยู่ไม่หนีไปไหน อาจจะบวกลบไปบ้าง อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ที่สำคัญกลิ่นติดเสื้อได้ดีมากเสียด้วย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้นมีความชัดเจนถึงโทนราสเบอร์รี่ที่มีสีดำเข้มเต็มๆ ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางเย้ายวนขรึมๆ ยาวไป จนถึงช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบน่าค้นหา

ทิ้งท้าย เดิมทีตัวนี้เป็นตัวพ่วงในการสอยมาอย่างมาก เพราะกะจะเอาตัวที่เป็น The Best ที่คนแนะนำของแบรนด์นี้อย่าSalt Caramel มาเพียงตัวเดียว ซึ่งพอได้มากกว่า 1 เลยเลือกจากโทนกลิ่นและความน่าสนใจจากรีวิว สรุปคือ กลิ่นนี้ดีงามมากกกกกกกเมื่อได้ลองใช้เอง และมากกว่าที่ได้ซึมซับผ่าน Review จากที่ต่างๆ มาเสียด้วย ของเขาดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.shayandblue.com/media/catalog/product/cache/1/image/1800x/040ec09b1e35df139433887a97daa66f/1/0/100ml_framboisenoire_open_1100_1.jpg

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Britney Spears – Hidden Fantasy

Britney Spears – Hidden Fantasy

เรียกว่าไม่มีใครไม่รู้จักขุ่นแม่ Britney Spears กันแน่ๆ รวมถึงในแวดวงน้ำหอมที่เป็นหนึ่งใน Celebrity Brand ที่ฮิตติดลมบนมาตลอดไม่เคยลดราวาศอกแต่ประการใ และไม่มีใครสามารถโค่นตำแหน่งน้ำหอม Celeb ที่ขายดีที่สุดมาอย่างยาวนานไปได้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าตัวยอดฮิตของแบรนด์นี้จะหนีไปไหนไม่ได้นอกจากรุ่น Fantasy ที่ใช้กันให้รึ่มไม่พอ ยังมีของปลอมกับน้ำหอม cc กล
ิ่นนี้เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดด้วยเช่นกัน แต่

จะไม่พูดถึงรุ่นฮิตอย่าง Fantasy เพราะว่าไม่เคยใช้มาก่อนเลย (ไม่ใช่กลัวใช้แล้วจะร้องเพลงลิ้นบวมคับปาก แต่เพราะดมแล้วมันส๊าววววสาวววไปหน่อย) ก็มารุ่นหลานเหลนโหลนอย่าง Hidden Fantasy ดีกว่า เพราะเตะตากันเต็มๆ กับขวดสีแดงแรงฤทธิ์ ว่าจะเป็นอย่างไรและสาวขนาดไหนบ้าง 

ต้องบอกว่า สาวได้อี๊กกกกกแม้ว่ากลิ่นอายจะมีความเป็นCitrus เด่นนำก็เถอะ แต่กลิ่นมีความสาวแบบขี้เล่นได้น่าสนใจมาก เพราะเปิดตัว Top Notes กับกลิ่นอายของความเป็นส้มมาเลย แต่กลิ่นส้มที่ได้รับนี่จะออกมาทางปรุงแต่งสังเคราะห์เลยจะได้อารมณ์แบบกลิ่นส้มที่เป็นลักษณะใส่ในขนม ลูกอม หรือออกแนวน้ำส้มที่เป็นน้ำอัดลมหรือพวกใส่ในค็อกเทลพอสมควร (มาลักษณะส้มแนวๆ A*Men Ultra Zest ในระดับหนึ่ง) ซึ่งกลิ่นเรียกว่าทำให้รับรู้ได้เลยว่านี่และกลิ่นส้ม อาจจะมีไพล่ไปทางกลิ่นเชอร์รี่หน่อยๆ เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีความหวานเจือให้รับรู้ได้ ที่สำคัญกลิ่นมีความซ่าปร่าในตัวระดับหนึ่งให้ความความลั่นล้าชัดเจน และกลิ่นโทนนี้แหละจะอยู่แบบยาวไปจนถึงต้นช่วงท้ายๆ โดยผสมผสานกับโทนกลิ่นแต่ละช่วงโดยคงลายเซ็นความเป็นส้มร่าเริงแบบนี้ให้รับรู้ได้ตลอด ซึ่งเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นจะเริ่มมีความหวานมากขึ้นแอบจับได้ถึงความเป็นวานิลลาแบบเบาๆ แต่ยังคงความเป็นส้มลั่นล้าอยู่ และความซ่าแบบโซดาป็อปก็จะเริ่มจับได้ชัดว่ามาจากโทน Fresh Spicy โปร่งๆ เผ็ดปร่าของกานพลู แต่มาในลักษณะที่กลางๆ เพราะมีโทนแนวๆ ดอกไม้ขาวมาตัดทอนให้กลิ่นมีความนวลลงมาในระดับหนึ่ง กลิ่นเลยจะหวานกำลังดี ไม่ได้ฉ่ำโบ๊ะจนเลี่ยน เพราะถือว่าสมดุลกันดีเลยระหว่างความเป็นส้มซ่าๆ ความนวล และความหวาน ส่งต่อให้ Base Notes ที่คราวนี้ความหวานจะเริ่มมีความอบอุ่นเข้ามาเสริม เพราะวานิลลาที่จับได้แบบเบาๆ ในตอนแรกจะชัดขึ้น และมีกลิ่นอายแบบนวลหวานติดกลิ่นไม้หอมนวลๆ ที่เป็นโทนอบอุ่น และมีความเป็นโทนดอกไม้ขาวจางๆ กลั้วกับกลิ่นส้มซ่าๆ โซดาป็อปที่ตามมาจากช่วงกลางเสริมเข้ามาแบบค่อนไปเบามาแบบสายสนับสนุนให้กลิ่นยังคงคุมโทนลายเซ็นความลั่นล้าได้เช่นเคย เช่นนั้นภาพรวมน้ำหอมตัวนี้ของขุ่นแม่หอกศรีมาในลักษณะสาวลั่นล้าสนุกสนาน ที่มีความใช้ง่ายเข้าถึงง่าย ลงลายเซ็นลักษณะความหวานสไตล์น้ำหอม Celeb ได้ดีและครบถ้วนไม่มีผิดเพี้ยน 

เหมาะสำหรับ สาวๆ เลย กลิ่นนี้เป็นของคุณได้หมดตั้งแต่สาวน้อยวัยละอ่อนแบบ ม.ต้น จนถึงวัยที่ยังอยากใช้ Britney อยู่ กลิ่นเข้าถึงง่ายจริงๆ มีความลั่นล้าชัดเจน ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ที่ไม่ได้เป็นทางการมากนัก ใส่ทำงาน Office นี่ได้อยู่ แต่ถ้าใส่ไปรับแขกบ้านแขกเมืองหรือทางการจัดๆ ไม่ค่อยเข้าทีเท่าไหร่ ใส่แบบทั่วๆ ไป ทั้งในร่มและกลางแจ้งได้หมด ส่วนออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่าส่วนยามค่ำคืน ถ้าเป็นปาร์ตี้แบบเฮฮาสบายๆ ไม่ได้เน้นว่าจะต้องไปยั่วยวนอะไร ตัวนี้ใส่ได้ ดูลดอายุได้ แต่ถ้ากะจะเอาไปปล่อยของยามท่องราตรี อัดสเปรย์ก็พอไหวอยู่ 

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ อาจจะมากกว่านี้ได้ถ้าอัดสเปรย์เหมาะสม 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจึงลดลงมาเป็นกระจายแบบปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ค่อนไปทาง Skin Scent ในช่วงท้าย พอผ่านไปซัก 6 ชม. แล้ว จะเป็น Skin Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย ถ้าบอกว่า Hidden Fantasy กลิ่นนี้ก็ออกแนว เล่นซ่อนหาตามกลิ่นหนูมาสิตะเอง แล้วคุณจะตื่นตาตื่นใจมาก บอกเลย!ประมาณนั้น ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงกับความเป็น Fantasy รุ่นปกติอยู่ในเรื่องของกลิ่นอายหวานติดขนม ซึ่งกลิ่นส้มลักษณะนี้ของรุ่นนี้บางวูบอาจจะทำให้นึกถึงยาแก้ไอรสส้มของเด็กน้อย อะไรก็ตามที่เป็นขนมกลิ่นส้ม หรือพวกน้ำอัดลมไปบ้าง แต่กลิ่นแบบนี้ก็ได้ความสนุกสนานน่ารักและสดใสดีเลยล่ะครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Credit ภาพ - http://th-live-03.slatic.net/p/5/britney-spears-hidden-fantasy-edp-100-ml-7410-2171081-1.jpg



วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Guerlain – Habit Rouge L'Eau

Guerlain – Habit Rouge L'Eau

ผ่านน้ำหอม Guerlain มาอาจจะไม่ได้มาก เพราะว่ากลัวติดใจแบรนด์นี้แล้วจะต้องตามเก็บทุกตัวที่ออกมาทั้งหมด คงจะได้ขายไต ขายตัวกันเข้าให้ แต่ยังไงก็ไม่เคยพลาดที่จะลองอะไรใหม่ๆ กับน้ำหอมชายของแบรนด์นี้ ซึ่งเดิมทีเรียกว่าสนใจไลน์ Habit Rouge เพียงแต่ตัวเดียวคือ รุ่น Sport (ผ่านการบอกเล่าไปเมื่อนานมาแล้ว) ครั้นพอกลับมาเจออีกที ก็มีความสนใจรุ่นที่ชื่อว่า L’Eau พ่วงนี้เข้ามา เพราะจะคงความเป็น Guerlain’s Style หรือว่าปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง ผลการพิสูจน์จึงได้ออกมาเป็นลักษณะนี้

(เพราะไม่เคยลอง Habit Rouge ปกติมาก่อน เลยจะไม่พูดถึงในเรื่องความเชื่อมโยงกลิ่น เช่นนั้นจึงจะเน้นความเป็น Habit Rouge L’Eau เพียงอย่างเดียว)

กลิ่นมีลักษณะที่คงความหรูหราและนวลเนียนตามสไตล์ของความเป็น Guerlain อยู่ไม่หนีไปไหน แน่ๆ และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่าเป็นตัวที่บอกถึง Signature ของทั้งแบรนด์เลยทีเดียว โดยกลิ่นที่เริ่มที่ความเป็น Citrus ที่มีความนุ่มจมูกเลยทีเดียว เพราะกลิ่นจะไม่ได้มาแบบว่าส้มจ๋า มะนาวจ๋า แต่มาแบบสดชื่นติดหวานอมเปรี้ยวมีความซ่าจางๆ ให้พอรู้สึกได้ ซึ่งน่าจะมาจากกลิ่นของส้มซ่า เคล้ากับความเขียวเบาๆ และมีเสริมด้วยกลิ่นใกล้ความเป็นโทนอบอุ่นให้พอรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงนี้ แล้วจะเข้าสู่ช่วงกลางกันในเวลาไม่นานซึ่งกลิ่นนวลนุ่มจะเริ่มเป็นตัวหลักให้สัมผัสได้จากความเป็นมะลิที่จะมาตีคู่กับพิมเสนเจือเขียวนวลอ้อยอิ่ง โดยที่ความเป็นกลิ่นสดชื่นอมหวานติดปลายซ่าจะยังคงตามมาอยู่ และมีความอบอุ่นที่เจอเข้ามามากขึ้นมีความรู้สึกแบบติดโทนแป้งนวลกึ่งสบู่อบอุ่นกำลังดี กลิ่นจะสะอาดติดหรูหรา ซึ่งโทนอบอุ่นจะเริ่มมาเทคโอเวอร์ในช่วงท้าย กับกลิ่นแนวถัั่วอมหวานนวลจากฮาเซลนัท จะมาเคล้ากับความเป็นโทนแป้งวานิลลาที่เป็นสไตล์ของ Guerlain แบบนวลเนียน เนื้อกลิ่นมีโทนหนังนุ่มๆ เจืออยู่ให้พอรู้สึกได้ กลิ่นเลยจะได้ความอบอุ่น สะอาด มีระดับและติดเนี้ยบ แบบมีสุภาพบุรุษที่ไม่หนักหน่วงยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นมีความทันสมัย ใช้ง่ายในแบบที่มีความคลาสและหรูหราเข้ามาด้วย โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป มีออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ออกงานหรือว่าจิบเบาๆ สบายๆ พูดคุยกับเพื่อนๆ หรือโรแมนติคกับคนรักจะเข้าทางมากกว่าใส่ไปเรียกร้องความสนใจยามท่องราตรี

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 8 ชม. กำลังดี ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้น อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับ 6 สเปรย์ ยามอากาศชื้นๆ ที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วลงมาเป็นปานกลาง ปิดท้ายด้วยออร่าสะอาดอบอุ่นหรูๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - เดิมทีค่อนข้างหวาดเสียวเพราะอ่านมาบ้างว่าตัวปกติกลิ่นหนังค่อนข้างชัด แอบกลัวความเป็นสุภาพบุรุษสไตล์ Guerlain อยู่ไม่น้อย แต่พอได้ลองตัวนี้ เรียกว่าทิ้งความกลัวได้เลย มันได้ความเป็น Modern แบบวางตัวดี สะอาดอบอุ่นได้ดีมาก ^^

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 


Credit ภาพ - https://www.guerlain.com/sites/default/files/products/P030329_Old/images/P030329_Old.png 

วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Ulric de Varens – Varens Lavande

Ulric de Varens – Varens Lavande

เมื่อเป็นคนชอบกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้ชอบไปวิ่งในทุ่งของมันนัก เลยมักจะเผลอเรอเสาะหามาตลอดว่าแบรนด์ไหนมีกลิ่นลาเวนเดอร์แบบไหนบ้าง ดียังไง ถูกจริตหรือไม่ และอยากใช้ต่อไหม เมื่อสบโอกาสหันไปเห็น Ulric de Varens เขาเองก็มีน้ำหอมที่ชูความเป็นลาเวนเดอร์ ก็เสร็จโต๋สิจ้ะ จัดมาเลย ผลออกมาคือ 

Varens Lavande เรียกว่ามีความเป็นลาเวนเด๊ออออ ลาเวนเดอร์มาก โดยจะเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบมีความชัดเจนในทุกช่วงและกลิ่นจะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเริ่มจากการเป็นลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นกลิ่นอายแบบธรรมชาติในระดับหนึ่งเพราะจะมีความนุ่มเจือเขียวให้รู้สึกได้แบบช่อลาเวนเดอร์ แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนในเวลาไม่นานเข้าสู่ช่วงกลางที่เป็นกลิ่นอายแบบลาเวนเดอร์นุ่มสะอาดและผ่อนคลายเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมอ่อนๆ เสริมอยู่ แต่มาแบบสายสนับสนุนเบาๆ ให้พอรู้สึกได้ โดยที่ตัวหลักคือความหอมละมุนสไตล์ลาเวนเดอร์ที่มาแบบกำลังดี ไม่มากไม่มาย จนเมื่อมีกลิ่นอายนุ่มๆ ออกติดไปทางแป้งอบอุ่นแบบวานิลลาอ่อนๆ ดันเข้ามาเสริมทัพ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่จะได้ความรู้สึกแบบลาเวนเดอร์ที่นุ่มคลอเคลียผิวลักษณะแบบโลชั่นลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้ข้นคลั่ก มาแบบหอมละมุนนุ่มเบาๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นมีพิมเสนมาเสริมให้เกิดความนุ่มนวลจมูกเบาๆ แบบยาวไป ภาพรวมกลิ่นให้ความรู้สึกอะโรม่าผ่อนคลายแบบกำลังดี สบายๆ คุมโทนความเป็นลาเวนเดอร์ได้ชัดเจนจั้งแต่ต้นยันจบแบบไม่ซับซ้อนและไม่ได้มามากสิ่ง เน้น Minimalist ที่เข้าถึงง่ายนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใส่ได้แล้ว เพราะกลิ่นนี้ใช้ง่ายมาก มีความสะอาด นุ่ม แต่กลิ่นได้ความเป็นลาเวนเดอร์แบบสบายๆ เต็มๆ ที่สำคัญมาสายปลอดภัยไม่รบกวนใครเสียด้วย ซึ่งกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันในการใช้งาน ไม่ว่ากลางแจ้งหรือในร่ม ส่วนยามค่ำคืนเน้นฉีดสบายๆ ให้ความอะโรม่าจะเข้าทางมาก หรือว่าใส่ก่อนนอนให้เกิดความผ่อนคลายและหลับสบายได้เลย ส่วนตัวนี้คุณผู้หญิงคนไหนที่ชอบกลิ่นลาเวนเดอร์สะอาดๆ สามารถจัดได้สบายมาก เพราะมันก็มีความเป็น Unisex พอสมควรเลยทีเดียว

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. โดยประมาณ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับ 7 สเปรย์ พร้อมการฉีดเสื้อด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย ตัวนี้ต้องยกให้เขาเรื่องการเป็นกลิ่นที่ปลอดภัย นุ่มสบาย และไม่ทำร้ายใคร เช่นนั้น Skin Scent ชัดเจน โดยในช่วงแรกจะกระจายแบบปานกลาง แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แบบอ่อนๆ แล้วปิดท้ายด้วยความเป็น Skin Scent ที่ให้ความรู้สึกนุ่มสะอาดได้ไม่ยาก 

ทิ้งท้าย เอาจริงๆ นี่คืออีกหนึ่งกลิ่นยามที่นึกอะไรไม่ออก สามารถหยิบขวดนี้มาใช้งานแบบที่ยังไงก็รอดได้เสมอ ที่สำคัญกลิ่นอายนุ่มอะโรม่าผ่อนคลายแบบลาเวนเด๊ออออ ลาเวนเดอร์จริงๆ ในราคาที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Zara - Tobacco Collection: Rich Warm Addictive

Zara - Tobacco Collection: Rich/Warm/Addictive

ได้ยินมาพอสมควรว่า Zara ได้ปล่อย Collection น้ำหอมกลิ่นอายยาสูบที่น่าสนใจและเป็นอีกหนึ่งในตัวที่ทำออกมาได้ดี ที่สำคัญหลายๆ คนบอกว่ามันคล้ายรุ่นดังอย่าง Tom Ford – Tobacco Vanille เสียด้วย เช่นนั้นไม่มีทางพลาด การพิสูจน์จึงต้องมีก็เลยจัดมาซะเลยกับรุ่น Tobacco Collection: Rich/Warm/Addictive ผลที่ออกมาคือ 

ไม่ได้เหมือน Tobacco Vanille นะนั่น คือ มันมียาสูบมันมีวานิลลาอันนี้ใช่ แต่กลิ่นที่ได้มันไม่ได้มาสายสุขุมนุ่มลึกและเซ็กซี่จัดๆ ทั้งๆ ที่ยังใส่เสื้อผ้าเต็มยศแบบที่ Tom Ford ทำได้และทำดีมาก แต่ฉีกออกมาเป็นสายอบอุ่นน่ากินแทนเสียมากกว่า เพราะกลิ่นเปิดจะมาด้วยการเป็นกลิ่นอายของมะพร้าวที่เด่นพุ่งออกมาเลย ได้อารมณ์แนวๆ กลิ่นอายซันแทนโลชั่นหน่อยๆ มีความเป็นกะทิกำลังดีแบบไม่ได้ข้นมากให้รู้สึกได้ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นวานิลลาที่ชัดเจนมากแกมหวานเสียด้วย และแน่นอนว่า 2 กลิ่นนี้แหละจะเป็นตัวยืนพื้นกันเลยที่จะอยู่แบบยาวไปตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นอายของความเป็นมะพร้าววานิลลาจะยันเด่นเด้งขึ้นมาอยู่ แต่จะเริ่มได้กลิ่นอายของน้ำผึ้งที่มาให้โทนหวานแบบชัดเจน รวมถึงได้เจอกลิ่นอายยาสูบที่มาแบบเย้าๆ หวานนวลแบบสายสนับสนุนที่เป็นตัวเสริม Add-on ให้กลิ่นของวานิลากับมะพร้าวมีมะติของการเป็นขนมกลั้วกลิ่นยาสูบจางๆ แตะ Theme ที่ควรจะเป็นได้อยู่ และเป็นสายอบอุ่นน่ากินนวลมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซักระยะกลิ่นอายขนมแบบวานิลลามะพร้าวหวานจะเริ่มมีกลิ่นไม้หอมมาตัดทอนให้เบาลงมา ซึ่งจะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นจะเริ่มเป็นวานิลลามะพร้าวที่เริ่มตีจากจากการเป็นขนม มาเป็นโทนอบอุ่นแกมหวานที่มีไม้หอมอย่างจันทน์หอมที่เสริมแบบนวลสะอาด แต่ยังมีความดึงดูดครบถ้วนไม่หนีไปไหน กลิ่นจะให้ความรู้สึกแบบโทนสีออกทางน้ำตาลครีมนวลๆ ไปตลอด ภาพรวมอาจจะไม่ได้แตะคำว่า Rich ตามแบบที่สื่อสารมาเท่าไหร่ แต่ที่เหลือเรียกว่ากวาดหมดทั้ง Warm และ Addictive เลยออกแนวแบบกลิ่นอายผู้ชายที่อบอุ่น ขนม หวาน น่ากินน่าซุกได้สบายๆ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นมันมาสายหวานอบอุ่นน่ากิน ไม่ได้มาสายเนี้ยบอะไรมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ส่วนออกกำลังกายกับกิจกรรมกลางแจ้งให้ตัดออกไปได้เลย ไม่เช่นนั้นจะมึนตึ้บวานิลลามะพร้าวเต็มๆ จุกคอหอยกันเอาได้ทั้งคนใส่เองและคนรอบๆ ตัว ส่วนยามค่ำคืนถือว่าจัดไป เพราะกลิ่นใส่เที่ยวท่องราตรีได้ เรียกร้องความสนใจได้ดี น่าเข้าหาน่าซุกน่ากอดได้มากด้วย 

ความทน อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ Zara เพราะรุ่นนี้เรียกว่าทนดีงามเลยทีเดียวกับ 8 ชม. ซึ่งสามารถยาวไปได้มากกว่านี้อีกอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้รับรู้ได้ กระจายก็ยังลงตัวเสียด้วย 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าวานิลลามะพร้าวมาเต็ม ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีกึ่งปานกลาง แบบที่คนรอบตัวจะรับรู้ คนใส่เองก็รับเต็มๆ ได้อยู่ และค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายแบบอบอุ่นน่าเข้าใกล้ 

ทิ้งท้าย รุ่นนี้เรียกว่าชูความเป็นวานิลลาและมะพร้าวได้ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าถ้าใครคาดหวังความเป็นยาสูบที่จะมาชัดๆ ดีๆ อาจจะผิดหวังกันได้ เพราะมันไม่ได้มาชัดอะไรเท่าไหร่ มาแบบเบาๆ เสียด้วยซ้ำไป และถ้าสายที่ชอบความหวานอบอุ่นวานิลลา รับรองฟินกันแบบยาวไป ที่แน่ๆ ราคาไม่แพงมาก ไม่เกิน 1,000 บาท กับขวด 100 ml ก็คุ้มวนไปสิจ้ะแบบนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://static.zara.net/photos///2017/V/2/2/p/0045/457/999/2/w/1024/0045457999_1_1_1.jpg?ts=1470850988361

วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Comme des Garcons – Energy C Lime

Comme des Garcons – Energy C Lime

ไม่ใช่ว่า Comme des Garcons (ขอเรียกสั้นๆ ว่า CDG) จะมีแต่น้ำหอมล้ำๆ ที่ทำให้เราทึ่งและอึ้ง แต่ยังมีกลิ่นอายที่เข้าถึงง่ายใช้ง่ายและมีความน่าสนใจอีกไม่น้อยเลยทีเดียว แถมออกมาแบบเป็นไลน์ที่สอดคล้องกันเสียด้วย สามารถเลือกได้ตามความชอบหรือสอยมันให้หมดไลน์เลยก็ว่าได้ เช่นนั้น เนื่องจากส่วนตัวเสาะหาน้ำหอมกลิ่นมะนาวที่น่าสนใจมาเสมอเพราะมาสายเปรี้ยวมาตั้งแต่ต้น เช่นนั้นเมื่อได้เจอว่ามีน้ำหอมกลิ่นอายมะนาวจากแบรนด์นี้จึงไม่พลาดที่จะลองนั่นคือ Energy C Lime

เปิดต้นทางก็เปรี้ยวสดชื่นกันเลยทีเดียว กลิ่นอายจะมาสไตล์มะนาวที่อาจจะไม่ได้มาสายฉ่ำ มีความสดชื่นติดแห้งๆ ในระดับหนึ่งแบบที่ให้ความเปรี้ยวสะอาดสบายๆ เย็นๆ ตื่นตัว มีความรู้สึกแบบอากาศที่สดชื่นติดกลิ่นปลอดโปร่งที่เด่นกับความเป็น Citrus โทนสว่างเสียมาก แต่ในเนื้อกลิ่นจะติดปลายหวานเจือขมหน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากเลมอนและมะกรูดที่เป็นสายสนับสนุนที่พอสัมผัสแยกโทนได้ ซึ่งความสดชื่นลักษณะนี้จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายแบบค่อยๆ ลดระดับลงไป ซึ่งเพียงไม่นานจะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นอายของโทนดอกไม้ซึ่งจะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงกลาง กับกลิ่นอายบางๆ นวลๆ ของมะลิที่มาแบบหอมใสๆ ตีคู่กับกุหลาบที่มาโทนเบาๆ ได้ความรู้สึกสะอาดนวลๆ มีกลิ่นหวานใสนิดๆ ให้พอจับได้จากโทนดอกไม้ที่ไม่ใช่มาสายแน่นแต่ประการใด อารมณ์ที่ได้จะมาแนวๆ สดชื่นติดกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลมแบบเบาๆ บางๆ อยู่ระหว่างความปลอดโปร่งโล่งสบายและกระตุ้นความรู้สึกกระปี้กระเปร่าได้ลงตัว ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีเริ่มมีความเป็นโทนสะอาดเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมาสไตล์เรียบง่ายเพราะไม้หอมมาแบบเบาๆ อบอุ่นอ่อนๆ กลิ่นติดขรึมแห้งกำลังดี เจือความสะอาดแบบโทน Musk อ่อนๆ ซึ่งกลิ่นโทน Citrus จะยังคงอยู่ให้รู้สึกได้อยู่แบบสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ยังให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเคล้าความสะอาดสบายๆ ใกล้เคียงธรรมชาติแบบเข้าถึงง่ายแบบมีระดับอยู่ตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย เพราะว่ากลิ่นโทนสดชื่นสไตล์ธรรมชาติแบบนี้เข้าถึงได้หมด ได้ทุกช่วงวัยยกเว้นเด็กทารก ถ้าเป็นเด็กน้อยให้ฉีดเสื้อแทนน่าจะดีกว่า โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยกวาดหมด ยิ่งกับอากาศบ้านเรานี่เหมาะมากสุดๆ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าอากาศร้อนๆ ใส่ให้สดชื่นผ่อนคลาย ถือว่าเข้าทาง แต่ถ้าจะใส่ไปหาเหยื่อ หรือปล่อยพลังเสน่ห์ส่วนตัว มีแพ้ชาวบ้านเอาได้เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนแต่ประการใด 

ความทน กลิ่นแม้จะมาสาย Citrus Aromatic เด่นๆ ที่กลิ่นน่าจะไม่ค่อยทนมากนัก แต่ถือว่า CDG ทำได้ดีในการทำให้กลิ่นทนได้ราวๆ 6 – 8 ชม. ซึ่งจะมีบวกลบบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ แต่กลิ่นนี้อาจจะทำให้รู้สึกคุ้นชินง่าย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันไม่ทนเอาได้ ต้องถาม Feedback ผู้อื่นด้วยในระดับหนึ่ง 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นเรียกว่าสร้างความสดชื่นสว่างแบบโทนเขียวมะนาวกันได้เลย แล้วจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย เป็นน้ำหอมกลิ่นเด่นที่มะนาวอีก 1 กลิ่น ที่ทำออกมาได้ดีมากในแง่ของการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โดยที่ไม่เน้นฉ่ำเกินไป ก็ถือว่าสมชื่อรุ่นว่า Energy เลยล่ะครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://img5.zozo.jp/goodsimages/401/1739401/1739401_39_D_500.jpg

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Montale – Intense Tiare

Montale – Intense Tiare 

ได้เวลาของ Summer หรือฤดูร้อนที่เวลาเราไปตามรีสอร์ทริมทะเลอาจจะในไทย หรือว่าเมืองนอกแนวๆ บาหลี กับหมู่เกาะต่างๆ ในแถบแปซิฟิค เรามักจะได้กลิ่น Suntan Lotion หรือน้ำมันหอมระเหยนวดตัวกลิ่นมะพร้าวกะทิหรือกลิ่นครีมมี่ดอกไม้ขาวเมืองร้อนที่เรียกว่า Tiare (ชื่อไทย ดอกพุดแสงอุษา หรือดอกพุดพันธุ์ตาฮิติ) ที่เวลาได้กลิ่นจะอ้อ ฝรั่งทากันอีกแล้วสินั่น หรือไม่ก็เดินเข้าใกล้สปาในรีสอร์ทก็จะได้กลิ่นแบบนี้ ซึ่งแน่นอนกลิ่นนี้มีเสน่ห์และตรึงใจไม่น้อย Montale เลยเอามาเพิ่มเติมความเข้มข้นให้หนำใจไปเลยกับรุ่น Intense Tiare ซึ่งกลิ่นก็เป็นแบบนี้เลย 

ครีมมี่กันมาเลยตั้งแต่ช่วงเปิด เพราะว่ากลิ่นของ Tiare จะเป็นตัวเอกหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบสมคำว่า Intense Tiare เลย ซึ่งกลิ่นจะมาลักษณะเดียวกับดอกพุดที่มีความเป็นครีมมี่นวลๆ ข้นๆ เจือกันเลยทีเดียว ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นมะพร้าวที่เป็นโทนครีมมี่ชัดเจนเป็นตัวสนับสนุนทำให้กลิ่นได้อารมณ์แบบ Suntan ชัดเจนก็จริง แต่กลิ่นมีความเป็นสบู่ครีมๆ ให้รู้สึกได้ และมีความหวานนวลๆ ละมุนพอสมควรตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นอายของมะลิจะเริ่มเสริมเข้ามาให้ความหอมนวลอ้อยอิ่งบนความครีมมี่ของ Tiare กับมะพร้าวอยู่ และในเนื้อกลิ่นมีเจือกุหลาบจางๆ ให้พอรู้สึกได้ ว่าเป็นช่วงของโทนดอกไม้เด่น กลิ่นจะมีความเป็นดอกไม้ขาวนวลครีมไปตลอดลากยาวไปเรื่อยๆ และมีความหวานหอมอบอุ่นติดวานิลลาให้สัมผัสได้ ซึ่งกลิ่นครีมมี่ดอดไม้ขาวกลั้วมะพร้าวจะลดระกับให้วานิลลาเป็นตัวเด่นในช่วงท้าย กลิ่นจะมีความอบอุ่นนวลๆ หอมละมุน ที่สำคัญกลิ่นอายที่เป็นลักษณะขาวข้นๆ ครีมมี่ในตอนแรกจะเริ่มเปลี่ยนโทนเป็นสีออกสีครีมค่อนเหลืองนวลๆ ก็ในช่วงนี้ เพราะกลิ่นของดอกกระดังงาฝรั่งจะมาแบบนวลๆ ที่เข้ากับกับวานิลลาอย่างมากให้เกิดความเย้ายวนกลั้วอบอุ่น ซึ่งทั้งหมดจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายรีสอร์ทริมทะเลของเกาะเขตร้อน มีความเป็นแนว Tropical ของมะพร้าวกะทิแบบกลางๆ กลั้วกับความเป็นดอกไม้ขาวครีมๆ ที่หอมนวลจมูกไม่บาดและมีความอบอุ่นแบบอารมณ์ชิลล์พักผ่อนดีแท้เลย 

เหมาะสำหรับ – Unisex และกลิ่นนี้แตะความชอบของทุกเพศที่เขาวัดจากฝรั่ง ซึ่งถ้าวัดจากจมูกไทยๆ กลิ่นนี้จะโอนเอียงไปทางสายสาวๆ ประมาณ 60-70% เพราะความเป็นดอกไม้ขาวครีมมี่ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ที่อาจจะไม่ได้ทางการมากนัก ใส่ทำงานหรือใส่แบบทั่วๆ ไปได้ ถ้าต้องรับแขกบ้านแขกเมืองกลิ่นนี้อาจจะชิลล์และข้นจนคนตกใจเอา แม้ว่ากลิ่นนี้จะออกกลางแจ้งได้ แต่ให้จำกัดจำนวนสเปรย์จะถือว่าหอมและเอาตัวรอดได้ ส่วนออกกำลังกายงดเลย กลิ่นไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ซักนิด แม้กลิ่นนี้จะทนเหงื่อก็ตาม เดี๋ยวกลิ่นจะตีจนจุกคอหอยเอาเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน ตัดใส่ออกไปตระเวนราตรีได้เลย ยกเว้นใส่ชิลล์ๆ สบายๆ หรือเที่ยวทะเลเดินเล่นริมหาดยามมืดอันนี้ได้อยู่ 

ความทน กราบบบบบบบ กลิ่นทนมากกกกกก 12 ชม. แล้วกลิ่นยังอยู่ และตีขึ้นตลอด แม้ผ่านไป 15 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ ยกนิ้วให้แบรนด์นี้เรื่องนี้จริงๆ 

การกระจาย อันนี้ก็กราบบบบบบ กลิ่นกระจายดีมาก มาเต็ม ไม่ลดราวาศอกใดๆ ในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาในช่วงกลางแบบกระจายปานกลาง แล้วจะมีความคงตัวแบบยาวไปถึงปลายๆ ช่วงท้าย ที่ผ่านซัก 10 ชม. แล้วกลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย จากเดิมที่เป็นคนไม่ค่อยถึงกับปลื้มกลิ่นโทนดอกไม้ขาวครีมมี่ แต่ตัวนี้ทำให้รู้สึกว่าเหมือนได้พักผ่อนที่บาหลี กลิ่นอายนวลๆ ครีมมี่ ลอยเข้าจมูก หอมหวาน ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เรียกว่าเป็นอีกตัวของ Montale ที่ทำให้อยากเสียเงินขึ้นมาทันทีเลย ซึ่งถ้าเทียบกลิ่นใกล้เคียงกันของแบรนด์นี้ เรื่องความเข้มข้นของกลิ่นครีมมี่ของ Tiare ต้องยกให้ Intense Tiare นี่แหละที่มาเต็มกว่า ส่วน Aoud Lagoon จะออกแนวอะโรม่ามากกว่า มีความเป็นไม้หอมแจมเข้ามาและติด Aquatic กว่าหน่อยนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/originals/3d/a0/99/3da09954baa2b09b7a78f1a5915e6ef9.jpg