วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Cartier - Eau de Cartier Concentree

Cartier - Eau de Cartier Concentree

ห่างหายจากแบรนด์นี้ไปนานมากหลังจากหายไปจากประเทศไทย (เฉพาะน้ำหอมนะ แต่เครื่องประดับยังอยู่) แต่เพราะน้ำหอมของแบรนด์นี้มีความดีงามก็ต้องหวนกลับมาเจอและสัมผัสความเรียบหรูของกลิ่นที่ Cartier ทำได้ดีมาเสมอ เช่นนั้นเลยมาจัดเต็มซะเลยกับรุ่นนี้ Eau de Cartier Concentree
 

บอกก่อน - ส่วนตัวไม่เคยได้ลองรุ่น Eau de Cartier ที่เป็นตัวปกติ เลยจะไม่ได้ว่ากันถึงความเชื่อมโยงของโทนกลิ่น ซึ่งแม้ว่าจะพอทราบมาว่ากลิ่นทนมากขึ้นก็ตาม เน้น Eau de Cartier Concentree เป็นสำคัญ

เปิด Top Notes ขึ้นมากลิ่นก็สว่างวูบสดชื่นกันเลยทีเดียวกับการเป็น Fresh Spicy Citrus เลย เพราะกลิ่นเผ็ดปร่าซ่าจะชัดเจนมากจากเม็ดผักชี โดยที่จะมีโทน Citrus ที่ไม่ได้คมจัดนักกลิ่นก้ำกึ่งระหว่างเลมอนกับมะนาวแต่มีความสดชื่นหวานอมเปรี้ยวเจือไปตลอดของส้มยูซุ แต่เพียงไม่นานกลิ่นออกโทนเขียวโปร่งอมหวานของใบไวโอเล็ตจะดันขึ้นมาเทคโอเวอร์ไวมาก และดึงเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่นสดชื่นในช่วงต้นจะลดลงมาเป็นสายสนับสนุนชั้นดีเสริมกลิ่นโทนเขียวอมหวานโปร่งเด่นชัดเจนมากเป็นตัวเด่น ได้อารมณ์แบบกลิ่นอายเขียวโปร่งหวานท่ามกลางอากาศสดชื่นติด Citrus กำลังดีไปตลอด ในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นลาเวนเดอร์แบบเกลากลิ่นให้มีความนุ่มสะอาดติดเขียวจางๆ แทรกอยู่ข้างในตลอด ซึ่งเลยจะได้ความนุ่มอะโรม่ากำลังดีเข้ามาด้วย และมีโทนไม้หอมจางๆ ขรึมๆ เรียบนิ่งๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ถือว่าความเป็นใบไวโอเล็ตจะชัดมากจริงๆ เรียกว่าซึมซับกันได้สบายๆ แม้จะเข้มข้นแต่ยังโปร่งสบายติดเขียวอมหวานอากาศดีๆ ไปตลอด จนเมื่อได้เวลอของ Base Notes กลิ่นไม้หอมที่จางๆ จะเริ่มชัดขึ้นมาแบบโปร่งใสกำลังดี แต่มีความอบอุ่นรองพื้นอยู่ ซึ่งความเป็นไวโอเล็ตจะยังตามมาในช่วงนี้ กลิ่นจะเริ่มเบาลงแต่ก็ยังมีความชัดและความสดชืิ่นอยู่ตลอดจากช่วงกลางที่มาตามมาไม่ว่าจะโทน Citrus บางๆ ความนุ่มสะอาดของลาเวนเดอร์ กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบสบายๆ สะอาด หอมเรียบแต่มีความหรูแบบไม่โฉ่งฉ่าง และมีความเป็นธรรมชาตินั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศกลิ่นอยู่ตรงกลางชัดเจนมาก ซึ่งเป็นกลิ่นที่ยังไงก็รอดในการใช้งานสูงเสียด้วย มหาชนไม่ยี้ แถมด้วยความ #น้อยแต่มากเรียบแต่โก้ไฮแฟชั่น ได้อยู่ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนกลางคืนถ้าใส่สบายๆ วันอากาศร้อนๆ ลงตัวมาก ออกงานก็ได้อยู่ แบบมาสายไม่รบกวนใคร แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีเต้นปลิ้นเอวพลิ้วคงโดนกลบหมดตั้งแต่เดินเข้าผับกันเลยทีเดียว 

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ รวมถึงประเภทผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นเรียกว่าไม่ได้โฉ่งฉ่าง เช่นนั้นการกระจายเลยจะมาแบบปานกลางในช่วงต้น แล้วลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ปิดท้ายชัดเจนด้วย Skin Scent 

ทิ้งท้าย - Safe Scent ชัดเจนไม่พอ คงต้องยกตำแหน่ง#ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่มีความเรียบหรูสะอาดสบายได้ลงตัวมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://www.parfumery.com/pictures/large/3432240008213.jpg



Review: Molinard - Lavande Eau de Toilette

Molinard - Lavande Eau de Toilette 

หนึ่งในแบรนด์น้ำหอมที่นำเสนอความเป็นกลิ่นอายแบบฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปี 1849 จนมาถึงปัจจุบัน โดยมาในสายน้ำหอมฝรั่งเศสแบบแท้ทรู และมีความเป็น Niche Perfume ที่มีอะไรดีๆ มาเสมอ ซึ่งเมื่อห่างหายแบรนด์นี้ไปนานมากจนได้เวลามาบรรจบกันอีกครั้ง ก็ได้มาแตะกับการชูโรง Note เด่นๆ กับไลน์ Les Elements บ้างกับการมาสัมผัสกลิ่นอายอะโรม่าของลาเวนเดอร์ ซึ่งกลิ่นจะเป็นแบบไหน จัดเต็มแล้วจึงมาบอกเล่าแบบนี้เลยว่า 

บอกก่อน - เนื่องจากไลน์ Les Elements จะเป็นน้ำหอมที่ความเข้มข้นอยู่ระดับ EDT ซึ่งปัจจุบันได้เลิกผลิตไปแล้วทั้งหมดก็จริง แต่ก็มีการอัพเกรดให้เป็น EDP กับไลน์ใหม่ชื่อเดิมเพิ่ม Exclusive ลงไป อย่าง Les Elements Exclusifs เช่นนั้นการบอกเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะเป็นตัว EDT ที่เป็น Les Elements เก่าเป็นสำคัญ 

Lavande EDT เปิดตัวกับกลิ่นอายของลาเวนเดอร์พุ่งเข้าจมูกกันเต็มๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะเป็นลาเวนเดอร์ที่มาสายธรรมชาติในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะกลิ่นจะมีโทนเขียวติดสมุนไพรแบบลาเวนเดอร์ธรรมชาติผสมผสานอยู่ในนั้น เลยจะได้อารมณ์แบบช่อลาเวนเดอร์สดเสียมาก โดยที่ในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนสมุนไพรปร่าซ่าติดเผ็ดแนวๆ กานพลูเสริมเข้ามาให้กลิ่นมีความเป็นโทน Spicy ที่มีความเผ็ดสดชื่นและโปร่งแบบกำลังดีเพิ่มความรู้สึกเหมือนห้องโล่งที่มีแจกันลาเวนเดอร์ตั้งอยู่เป็นหย่อมๆ กับลมข้างนอกที่พัดพาเอากลิ่นสมุนไพรโปร่งๆ ลอยเข้ามาผสมประมาณนั้นเลย ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นลาเวนเดอร์จะเป็นเหมือนกลิ่นหลักที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้าย โดยเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นของลาเวนเดอร์จะเริ่มมีความอุ่นมากขึ้น โดยมีกลิ่นวานิลลาค่อยๆ ดันขึ้นมาให้ความนวลหอมหวานเคล้าลาเวนเดอร์ที่เรียกว่าเป็นคู่บุญกันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเจอกันทีไรไม่ว่าจะเป็นในน้ำหอมรุ่นนี้หรือรุ่นไหนก็เกื้อกูลกันได้ดีเสมอ ซึ่งช่วงนี้กลิ่นอายจะเป็นกลางๆ ระหว่างความนุ่มติดสมุนไพรมีเครื่องเทศจางๆ กับความนวลหวาน ที่มีความอบอุ่นเป็นตัวเชื่อตรงกลาง แล้วจะส่งต่อให้ช่วงท้ายที่ความเป็นลาเวนเดอร์จะเริ่มหลบฉากให้วานิลลาขึ้นมาเป็นตัวเด่นแทน โดยจะมีความครีมมี่นวลๆ จากถั่วตองก้ามาเสริมให้มีความนุ่มละมุนกลั้วความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนมจนเกินไปเพราะว่ามีความนุ่มนวลสะอาดของ Musk มาผสมผสานด้วยเลยทำให้กลิ่นวานิลลาติดลาเวนเดอร์อบอุ่นจะมีความสะอาดนวลติดอบอุ่นแบบผิวกายนวลๆ รุมๆ ไม่เน้นปล่อยพลัง กลิ่นมาสายคลุกวงในนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่เอาเข้าจริงตัวนี้มีความเป็น Unisex สูงมาก ที่ผู้ชายสามารถใช้ได้สบายๆ เพราะลาเวนเดอร์มันกลิ่นอยู่ตรงกลางพอดีของทุกเพศ ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความรอดและอะโรม่าสูงเลยทีเดียว แต่ไม่เหมาะกับใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะกลิ่นจะอะโรม่าไปหน่อย ไม่ได้ทำให้สดชื่นและอาจจะอึดอัดได้ ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นจะเบาลงไปพอสมควรแล้ว ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมาก เพียงแต่ไม่เข้าทางการใส่เพื่อหาเหยื่อ แต่ลงตัวกับการใส่เพื่อผ่อนคลายสบายๆ ใส่ก่อนนอนซักสเปรย์ช่วยให้หลับสบายได้ด้วยนะนั่น 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. จะมีบวกลบไปบ้างราวๆ 1- 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว และปิดม้ายชัดเจนที่ Skin Scent เรียกว่าไม่ได้รบกวนใครให้ความอะโรม่าผ่อนคลายกับคนใส่เต็มๆ 

ทิ้งท้าย - ถือเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ทำกลิ่นออกมาได้ธรรมชาติพอสมควรเลย และยังใส่ความเป็นโทนสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเป็นน้ำหอมที่มีเสน่ห์สไตล์ Traditional ของฝรั่งเศส ปิดท้ายด้วยคู่บุญที่ให้ความหอมหวานอุ่นอย่างวานิลลา แม้จะเสียดายที่เลิกผลิต แต่ก็ถือว่ายังคงมีรุ่น EDP ที่รับช่วงต่อให้ได้ฟินอยู่ มีโอกาสคงต้องหามาลองอีกครั้ง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://www.parfumery.com/pictures/large/3305400065060.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Nest Fragrances - Citrine

Nest Fragrances - Citrine 

เมื่อผ่านกลิ่นอายของความเป็นโบตั๋นกับกุหลาบสดชื่นเคล้ากลิ่นไวน์กับการบอกเล่ากลิ่น Dahlia & Vines ของ Nest Fragrances ไปก่อนหน้านี้ ก็มีความติดใจเพราะแบรนด์นี้เขาทำน้ำหอมได้ดีงามสมกับการเป็นแบรนด์ที่ทำน้ำหอมในบ้านสไตล์ Luxury เช่นนั้นเรียกว่าต้องลองเพิ่มเพื่อให้รู้ว่ารุ่นอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง และก็จัดเต็มเป็นที่เรียบร้อยกับรุ่น Citrine ซึ่งจะออกมารูปไหนก็ขอเล่าตามนี้ว่า 

Fresh Floral เลย ถือว่าแบรนด์นี้ทำกลิ่นอายแบบนี้ได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะว่านี่เป็นอีกกลิ่นที่ใช้ง่าย มีความสดชื่นผสมผสานกับความเป็นดอกไม้ที่้หอมหวานโปร่งได้ดีมาก โดยเปิดต้น Top Notes ด้วยกลิ่นอายแบบกึ่งความเป็นดอกไม้กึ่งความเป็นโทน Citrus กันก่อน ซึ่งจะมาจากความเป็นดอกเลมอน และมีเลมอนจางๆ กลิ่นเลยจะได้ความสดชื่นแบบโทนหอมที่มีความเปรี้ยวแต่อมหวานปลายอยู่ กลิ่นจะมีความซ่าหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ทำให้มีความสดชื่นชัดเจนกันเต็มๆ ซึ่งกลิ่นของโทนสดชื่นกลั้วดอกไม้ในช่วงต้นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลย จนเมื่อกลิ่นของโทน Aquatic ออกแนวฉ่ำติดชื้นๆ จะเริ่มแทรกขึ้นมา ถือว่านำเข้าสู่ Middle Notes กันชัดเจน โดยกลิ่นอายดอกไม้สดชื่นเริ่มมีมีความฉ่ำกำลังดี ไม่ซับซ้อนผสมผสานอยู่ตลอด ซึ่งกลิ่นอายของดอกบัวจะชัดเจนขึ้นมาเสริมความหวานโปร่งแบบเบาๆ หอมแบบกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามอากาศ เคล้ากลิ่นดอกฟรีเซียที่จะติดเขียวติดโทนเผ็ดปร่าแบบพริกไทยอ่อนๆ ที่ทำให้เกิดความสดชืิ่น ซึ่งข้อดี คือ ฟรีเซียไม่ได้มาหนักหน่วงมากจนทำให้ออกโทนสบู่จนเกินไป มาแบบสบายๆ ยิ่งเจอกับโทน Aquatic ฉ่ำๆ ยิ่งทำให้กลิ่นมีความนวลฉ่ำสบายสดชื่นไปตลอด ที่สำคัญกลิ่นโทน Citrus กลั้วดอกไม้ในตอนต้นจะยังเป็นกลิ่นที่ลอยเด่นอยู่ให้ความสดชืิ่นแบบเปรี้ยวอมหวานเป็นเลเยอร์ที่อยู่ด้านบน ให้กลิ่นอายสดชื่นฉ่ำๆ ของบัวและฟรีเซียรองพื้นอยู่ กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางอากาศฉ่ำๆ สดชื่นได้ลงตัว แล้วหลังจากผ่านไปซักระยะกลิ่นจะเริ่มมีความแห้งเข้ามาแทนที่ความฉ่ำเรื่อยๆ จากความเป็นไม้หอมที่แห้งๆ ดึงเข้าสู่ Base Notes โดยที่จะมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆสบายๆ เคล้ากับกลิ่นสดชื่นของความเป็นดอกไม้เคล้า Citrus ที่ยังอยู่ เพียงแต่จะบางลงมาให้ความรู้สึกแบบรื่นรมย์เปรี้ยวอมหวานติดผิวกาย และฟรีเซียเมื่อกลิ่นแห้งลงมากลิ่นจะมีโทนนุ่มนวลติดสดชื่นอมเขียวกำลังดีเสริมให้มีความอ่อนโยนสบายๆ ในเนื้อกลิ่น ภาพรวมกลิ่นไม่ซับซ้อนเลย มีความหอมเปรี้ยวอมหวานสดชื่นยืนพื้นที่ดอกไม้เป็นสำคัญตลอด มีความคุณหนูในเนื้อกลิ่นเสียด้วย เรียกว่ามาสายใช้ง่ายและมหาชนชอบได้ไม่ยากชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ให้สาวๆ ได้เลย เพราะกลิ่นโทนดอกไม้สดใสหอมสดชืิ่นเคล้าความเปรี้ยวอมหวานมันเอื้อกับความเป็นผู้หญิงได้ดีมาก เลยจะเข้ากับสาวๆ ตั้งแต่ ม.ต้นขึ้นไป ก็สามารถใช้ได้สบายๆ กลิ่นสดชิื่น สดใส และรื่นรมย์ ไม่ได้ลั่นล้าก๋ากั๋นแต่อย่างใด โดยเข้ากับอากาศบ้านเรามากไม่ว่าจะร้อนจัดหรือชื้นเพราะฝนตก ใส่ได้หมดไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันแน่นอนและมั่นใจได้ แม้จะใส่เพื่ออกกำลังกาย ก็ยังพอได้เลย ใครได้กลิ่นก็มักชอบ ส่วนยามค่ำคืนเน้นวันอากาศร้อนๆ ให้สดชื่านผ่อนคลายดูน่ารัก อ่อนโยน และสดใสจะดีกว่า ซึ่งถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืนร บอกเลยสู้ชาวบ้านที่จัดเต็มไม่ได้แน่นอน แถมดูคุณหนูเกินไป เสียลุคหมด 

ความทน - ถือว่าทำได้ดีในเรื่องนี้ด้วยกับราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งก็อิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ เลยกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์แบบกดเต็มรวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเคล้าความสดใสแบบดอกไม้เปรี้ยวอมหวานได้เลย แล้วจะลดลงมาแบบออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนจะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน หรือขยับเนื้อตัวในช่วงท้าย มาสาย Safe Scent ด้วยนะนั่น

ทิ้งท้าย - แค่ได้กลิ่นและแค่เทสไป 3 รอบ รวมใส่เต็มจริงๆ ก็บอกได้แล้วว่ากลิ่นนี้มีความหอมแบบติดธรรมชาติในลักษณะของการเป็นโทนดอกไม้สดชืิ่นไม่พอ ต้องมอบตำแหน่งนี้ให้ด้วยเลยเพราะมีความครบถ้วนหมดไม่ว่าจะใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย มีความหอมแบบใครๆ ก็ชอบได้ไม่ยาก นั่นคือ#ของดีเทคนิคไม่ต้อง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.nestfragrances.com/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/c/i/citrine_50ml-edpspray_nobox_72dpi.jpg

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Jovan – Sex Appeal

Jovan – Sex Appeal

พูดถึงน้ำหอมถูกแต่ดี Jovan หรือเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ เลยที่เรียกว่าคุ้มค่าเกินราคาไปมากกับน้ำหอมที่ทำออกมาได้ดีไม่ว่าจะกลิ่นอายแนวผู้ใหญ่หรือร่วมสมัย แถมไพล่ไปกลิ่นอายทางอาหรับยังทำออกมาได้เกินคาดมาก ในเมื่อผ่านกลิ่นอายร่วมสมัยและตะวันออกกลางมาหลายตัวแล้ว ก็ขอมาแตะกลิ่นแนว Classic ที่ยังไงก็รอดและยังไงก็เหนือกาลเวลาที่แบรนด์นี้ก็ไม่เป็นสองรองใคร กับรุ่นนี้เลSex Appeal

เปิดตัวกับแรกฉีดด้วยกลิ่นอายเรียกว่า Green Spicy Bomb กันเลยทีเดียว เพราะกลิ่นในช่วงต้นนี้จะเป็นโทน Citrus แบบแห้งๆ ผสมผสานกับกลิ่นแนวเผ็ดปร่าสดชื่นกันเต็มๆ เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนน้ำหอมผู้ชาย Classic กันที่มีความเป็นกลิ่นอายแบบติดโทนดอกไม้ที่มีความเผ็ดซ่าๆ ของคาร์เนชั่นกลั้วกับความสะอาดนวลของลาเวนเดอร์ให้รู้สึกได้ สิ่งที่จับได้กันตั้งแต่ตอนนี้เลยคือกลิ่นอายของพิมเสนกับ Oak Moss ที่จะค่อยๆ เริ่มเด่นขึ้นมาทีละนิด เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงกลางที่เริ่มมีความนุ่มมากขึ้น ไม่เป็น Bomb ขนาดช่วงต้นแล้ว โดยที่พิมเสนจะเด่นออกมาตีคู่กับกลิ่นโทนดอกไม้ที่เป็นสายนวลติดเผ็ดหน่อยๆ แต่มีความเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ รองพื้นไว้อยู่ให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นจะผสมผสานกันได้ความรู้สึกแบบดึงดูดแบบรื่นจมูกแนวพิมเสนแต่ออกทางย้อนยุค มีความแมนจากไม้หอม และนุ่มนวลติดปร่าแบบหอมสบายจมูกจากโทนดอกไม้นวลเผ็ด กลิ่นจะได้ความรู้สึกของผู้ชายแมนๆ ดึงดูดกำลังดีสไตล์น้ำหอมแบบสุภาพบุรุษคลาสสิค บางวูบจะไพล่เป็นกลิ่นหอมที่คล้ายน้ำอบไทยบางๆ เสียด้วย และกลิ่นของพิมเสนและโทนไม้หอมจะไปผสมผสานกับความอบอุ่นของแอมเบอร์ทำให้ได้กลิ่นอายไม้จันทน์หอมที่ติดอบอุ่นนวลๆ จะไปเด่นสุดในช่วงท้าย เคล้ากับกลิ่นติด Animalic นิดๆ แต่มีความนุ่มสะอาดของ Musk ที่แน่ๆ กลิ่นอายแบบ Oak Moss ที่ให้ความเขียวติดสากดิบจะแทรกเข้ามาในช่วงนี้ด้วยประมาณหนึ่ง กลิ่นเลยได้อารมณ์แบบสุภาพบุรุษ Classic ที่หอมเท่ห์ติดสากแมนเคล้าอบอุ่นกำลังดีไปตลอดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นอาจจะมาสายย้อนยุคหริือติดผู้ใหญ่ ไม่ได้ชูโรงที่ความเป็น Modern แต่ก็มีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยความที่มันเป็นโทนผู้ชายติด Classic แบบนี้ยังไงก็รอดได้อยู่กับในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพียงแต่ว่าถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายแนะนำให้รอช่วงท้ายๆ ดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้ได้อารมณ์ผู้ชายที่แมนสมชายและเป็นสุภาพบุรุษสะอาดสะอ้านและอบอุ่นน่าอยู่ใกล้ไม่น้อย ที่สำคัญใส่ออกงานทางการยามกลางคืนหรือจิบทั่วๆ ไปก็ได้ด้วย เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาสายเรียกแขกจ๋าๆ ปล่อยพลังอะไรก็เท่านั้นเอง 
ความทน - แม้จะลงเอาไว้ว่าเป็น Cologne แต่ความทนเรียกว่าเกินคาด เพราะอยู่ที่ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ที่สำคัญถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมกลิ่นทนเกิน 8 ชม. ได้สบายๆ เพราะส่วนตัวเจอที่ 10 ชม. กับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่ด้านหน้าด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเลย แล้วถึงค่อยลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในต้นช่วงท้าย แล้วจะเป็น Skin Scent ชัดเจนแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งในความเหนือกาลเวลาที่ใช้ง่าย มีมาด สะอาดสะอ้าน และมีความภูมิฐานกำลังดีแบบที่ไม่จ๋าจัดจ้านมากเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง สุดท้ายราคาถูกมากกกกก คุ้มค่าเงินที่เสียไปมากมาย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://images-na.ssl-images-amazon.com/images/I/71oo-xBh86L._SL1300_.jpg

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Calypso Christiane Celle – Calypso Fique


Calypso Christiane Celle – Calypso Fique

หลังจากที่แบรนด์นี้กลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับเครือใหญ่อย่าง Calypso St. Bart เรียกว่าการเป็น Calypso Christiane Celle ก็ค่อยๆ จางหายไปจากตลาดเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่หลายตัวของแบรนด์นี้คือ Masterpiece เลยทีเดียว สบโอกาสได้มาครอบครองเพราะเห็นว่าเป็นโทนกลิ่นที่ชอบเป็นการส่วนตัว จัดแล้วเลยต้องบอกเล่าว่า

#คุณหลอกดาว

ก็ชื่อรุ่นนี้ คือ Calypso Figue แต่กลิ่นที่ฉีดออกมา Fig ช่างหลบๆ ซ่อนๆ มาก แต่ไม่รู้สึกแย่เลยแม้แต่นิดเดียวเพราะ

น้ำหอมรุ่นนี้กลายเป็นหนึ่งในกลิ่นพิมเสนที่งดงามมากเลยตัวหนึ่ง มีความเป็นโทน Earthy ที่มาสายกลิ่นออกทางสมุนไพรที่มีสาปตามธรรมชาติ มีความ Dirty อมหวานรื่นจมูกติดโทนแห้ง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นโทน Modern ออกทางสะอาดรื่นจมูกตามสไตล์น้ำหอมพิมเสนสาย Designer เรียกว่ามีความสมดุลที่เข้าทางการเป็นน้ำหอม Niche ที่มีความลุ่มลึกเลยทีเดียว ซึ่งพิมเสนจะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ แล้ว Fig ล่ะ อยู่ไหน?

ก็ไม่ได้ไปไหน แต่ออกแนวแทรกซึมอยู่กับพิมเสนเสียมากเพราะในช่วง Top Notes กลิ่นอายพิมเสนที่มาเต็ม มาหนัก มาพุ่ง มีความ Dirty จัดเต็ม และมีกลิ่นโทนสมุนไพรติดแห้งอื่นๆ ที่ให้ความเป็นโทนกึ่งๆ ยาจีนผสมยาไทยกลั้วแนวๆ ยานัตถุ์กันในระดับหนึ่งเลย แต่จะมีแทรกความความหวานโปร่งๆ ติดเขียวขมและแห้งติดอับๆ เขียวบางๆ ของ Fig เนียนอยู่กำลังดี จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes ความเป็นพิมเสนจะเริ่มลดลงมาเป็นกลิ่นหอมสมุนไพรแห้งหวาน เคล้าความเป็นกลิ่นลูก Fig ที่ติดหวานปนขมที่เริ่มโปร่งมากขึ้น กลิ่นจะเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างพิมเสนกับ Fig โดยที่ให้ความเป็นตัวเอกแก่พิมเสน และตัวรองคือ Fig นั่นเอง จนเมื่อผ่านไประยะหนึ่งความเป็นกลิ่นอายไม้หอมติดครีมมี่จางๆ จะเริ่มดันขึ้นมาให้รู้สึกได้ กลิ่นจะมีความอบอุ่นมากขึ้นแบบนวลๆ ที่รองพื้นอยู่ แต่กลิ่นที่ออกมายังคงมีความเป็นพิมเสนกับ Fig ที่หอมหวานโปร่งอยู่ตลอดจนถึง Base Notes ที่ความอบอุ่นเริ่มผสมผสานกับความเป็นกลิ่นหอมหวานโปร่งจนเป็นเนื้อเดียวกัน ยืนพื้นที่โทนอบอุ่นเป็นสำคัญซึ่งจะมีความเป็นกลิ่นอายคล้ายชอคโกแลตเบาๆ กับเคล้าความเป็นกลิ่นไม้หอมอบอุ่นที่กึ่งนวลกึ่งโปร่งเคล้ากับกลิ่นพิมเสนที่ยังเด่นอยู่ แต่ให้ความหวานจางๆ เจือกลิ่น Fig เบามากด้วย แต่จะรองพื้นด้วยกลิ่นอายติดเค็มนิดๆ คล้ายผิวกายตามธรรมชาติสไตล์นวลๆ ทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นหอมมีชั้นลึกและมีความลุ่มลึกใน 3 โทนที่มีกลิ่นอบอุ่น กลิ่นหวานสมุนไพรแห้งโปร่ง และกลิ่นไม้หอมมีระดับ ภาพรวมเลยจะได้ความรู้สึกมีภูมิ น่าค้นหา และมีความดึงดูดในแบบที่แตกต่าง และมีระดับติดเรียบหรูมีชั้นเชิงอย่างลงตัวเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นนี้เรียกว่าแตะได้ทุกเพศ เพียงแต่อาจจะผ่านน้ำหอมโทนพิมเสนมาซักหน่อยจะเข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะกลิ่นแบบนี้ถ้าใส่ลงตัวจะมีชั้นเชิงด้านกลิ่นแบบแตกต่างได้ แต่ถ้ามากเกินไปอาจจะเป็นร้านยาจีนเคลื่อนที่เสียก่อน ไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วๆ ไป แต่งดใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้เอื้อด้านนั้นเลย เดี๋ยวคนจะมองหน้าเอาก่อนได้ ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่าใส่ออกงานได้เลย เพราะกลิ่นสร้างออร่าภูมิฐานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าจะใส่ไปร่อนราตรีก็พอได้บ้าง สู้คนอื่นได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นอาจจะไม่ได้มาสายเนื้อเดียวพิมพ์นิยมอะไรมากขยาดนั้น หรืออาจจะทำให้คนได้กลิ่นงงไปเสียก่อนว่าทำยาสมุนไพรหกใส่หรือเปล่าเอาได้ 

ความทน - อันนี้ยกนิ้วให้จริงๆ เพราะกลิ่นทนดีงาม เฉลี่ยที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้สบายๆ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าจะมาชัดมาคมมาพุ่งกันก่อนเลย อาจจะมีผงะกันได้ แล้วจึงค่อยลดลงมาเป็นกระจายปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ถ้าบอกว่าน้ำหอมตัวนี้เป็นกลิ่น Fig ที่ดีที่สุดหรือไม่ ไม่ใช่แน่ๆ เพราะแม้ชื่อจะเป็น Figue แต่กลายเป็นพิมเสนที่ฆ่าตายหมู่ทั้งหมดแทน ซึ่งชื่อรุ่นคุณหลอกดาวมากมาย แต่ถ้าบอกว่าน้ำหอมตัวนี้ดีงามหรือไม่ มันคืออีกหนึ่งน้ำหอมที่เด่นด้วยโทนพิมเสนที่มีความเป็Masterpiece ในการส่งกลิ่นที่หอมลุ่มลึกและงดงามในความเป็นธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit - http://perfumedepot.net/christiane-celle-calypso-figue-eau-de-toilette-spray-3-4-oz/ 

วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Calvin Klein - cK All

Calvin Klein - cK All 

เมื่อเห็นคำโปรยว่า be one. be all. just be กับการเปิดตัวน้ำหอมในความเป็นไลน์ CK ตัวใหม่ล่าสุดอย่าง cK All แสดงว่าได้เวลาของการรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่จะแตกไลน์ออกมาให้มีอะไรมากกว่าความสำเร็จของ cK One และ cK Be แบบที่ยังคงความนิยมมาเสมอแล้วสินั่น เช่นนั้น ไม่ปฏิเสธใดๆ ก็ขอมาตามเทรนด์กับเขาด้วย เพราะอยากรู้ว่ากลิ่นที่ออกมาจะเป็นลักษณะไหน 

cK All เปิด Top Notes กลิ่นด้วยความเป็นกลิ่นอายของโทน Citrus ที่เด่นกับความเป็นส้ม ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นส้มที่ว่าไม่ได้มาแบบสายธรรมชาตินัก แต่มีความหอมแบบส้มที่มาสไตล์สังเคราะห์ติดซ่าเล็กๆ จากโทน Bergamot และมีความเปรี้ยวเจือของผักรูบาร์ปเสริมเข้ามา แต่สิ่งที่จะจับได้อีกอย่างหนึ่งคือ โทนกลิ่นที่รองพื้นหลังจะให้อารมณ์แบบติดเขียวนวลๆ เจือมะลิหน่อยๆ อารมณ์แบบชาเขียวมะลิที่เป็นสายสนับสนุนบางๆ ด้านหลัง และกลิ่นสไตล์ชาเขียวมะลิบางๆ ก็จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่ Middle Notes ซึ่งจะมาเป็นตัวเด่นในช่วงกลางเลยโดยอันนี้ชัดเจนว่าเป็นกลิ่นของสารหอมที่ชื่อว่า Paradisone ที่ให้ความเป็นกลิ่นออกทางชาเขียวติดโทนดอกไม้หอมใสๆ อ้อยอิ่ง โดยจะมีกลิ่นอายของมะลิใสๆ ตีคู่กับกลิ่นดอกไม้ที่ติดโทน Citrus อย่างดอกเกรปฟรุตที่กลิ่นอายใกล้ๆ ความเป็นดอกส้มแต่มีความโปร่งสว่างกว่า และกลิ่นอายสดชื่นของส้มในช่วงต้นจะลดทอนลงมาในระดับหนึ่งให้เป็นช่วงที่กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ผสมผสานกับ Citrus ได้ออย่างลงตัวและมีความนวลสะอาดให้โทนสีขาวในเนื้อกลิ่นชัดเจนมากขึ้น เพียงไม่นานเนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอุ่นเข้ามาผสมผสานทีละหน่อยจนนำเข้าสุ่ Base Notes ที่ชัดเจนเลยว่าโทนอบอุ่นที่สัมผัสได้คือกลิ่นสไตล์ของสารหอมที่ชื่อว่า Ambroxan ที่มีลักษณะเป็นกลิ่นติดเค็มมีความคล้ายลักษณะของ Ambergris และมีโทนอบอุ่นแบบแอมเบอร์เจืออยู่ตลอด ทำให้รู้สึกติดเย้ายวนดึงดูด แต่สิ่งที่มาทำให้กลิ่นนุ่มและคุมโทนความสว่างขาวอยู่ไม่มีผิดเพี้ยนนั่นคือ Musk ที่มาให้ความนวลสะอาดอยู่ตลอด โดยที่ยังมีกลิ่นอายสดชื่นบางๆ และมีวูบของโทนไม้หอมแห้งๆ จางๆ ให้รับรู้ได้แบบยาวไปจนกว่าจนหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - Unisex มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เป็นเช่นนั้น เพราะกลิ่นเรียกว่าอยู่กลางๆ ที่แตะได้หมดทุกเพศสบายๆ อยู่แล้ว โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดตามสไตล์น้ำหอมสดชื่นที่ใช้ง่ายเหมาะกับอากาศเมืองไทยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทางการหรืิอทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ทั่วๆ ไป อันนี้ถือว่าได้สบายมากกวาดหมด ครอบจักรวาลได้อยู่ แต่ถ้าจะใส่ไปเพื่อท่องราตรีเต้นแหลกลานอัดสเปรย์กันหน่อยก็พอไปได้ อาจจะไม่ได้มาสายยั่วตรงๆ จัดจ้านมากก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ตรงนี้คือจุดเด่นของน้ำหอมรุ่นนี้เลย ที่ความทนทำได้ดีมากกว่ารุ่One และ Be เพราะความทนเรียกว่า 8 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ เลยกับ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายจึงกลายเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน และกลิ่นยังติดผิวถ้าดมใกล้ 

ทิ้งท้าย - ถือว่าเป็นการต่อยอดจากการเป็น cK One อย่างชัดเจน ปรับโทนหลายๆ อย่างรวมถึงใช้เทคโนโลยีทางด้านสารหอมต่างๆ มาเกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเอาความเป็น cK Be มาผสมผสานนิดหน่อยให้พอเห็นทิศทางการรวมตัวกันจนเป็น cK All ซึ่งรุ่นนี้อาจจะไม่ได้ถึงกับทำให้รู้สึกว้าวแบบที่ cK One เคยแจ้งเกิดอย่างงดงาม เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป แต่แน่นอนว่ากลิ่นยังคุมโทนการใช้ง่าย มีความสว่างและอบอุ่นแบบกำลังดี และเป็นกลิ่นที่ยังไงก็รอด ผ่าน อย. ด้านกลิ่นสบายๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน หรือสภาพอากาศแบบใดของบ้านเราก็ตาม 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://images.woolworthsstatic.co.za/Calvin-Klein-CK-All-EDT-3614223164462.jpg?o=xehXKqQeRhjgCTPIOPbZDR%24rk6oj&V=cErX&

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Clean - Clean Reserve: Sueded Oud

Clean - Clean Reserve: Sueded Oud 

ห่างแบรนด์นี้ไปนานมากมายเลยทีเดียวจากที่เคยเล่ากลิ่นไป 1 ตัวเมื่อแรกๆ รีวิวน้ำหอมใหม่ๆ จนปัจจุบันพึ่งได้มีโอกาสวนกลับมาเจอกันอีกครั้งกับแบรนด์ Clean ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์นี้เขามีดีในเรื่องน้ำหอมที่เน้นกลิ่นอายสะอาดๆ สบายๆ ไม่รบกวนใคร เพราะเรื่องกลิ่นเป็นสิ่งที่ Sensitive กับหลายๆ คนไม่ใช่น้อย พูดง่ายๆ ทำมาเพื่อตอบโจทย์กลิ่นอายแบบ Safe Scent ในหลายๆ รูปแบบนั่นเอง แต่การวนกลับมาเจอครั้งนี้ ดันมาเจอกับไลน์ Exclusive ของแบรนด์อย่าง Clean Reserve แทน และที่สำคัญตะลึงตึ้งตึงกันน่าดูเพราะแบรนด์นี้เขาทำกลิ่น Oud เช่นนั้นไม่พลาดแน่นอน ลองซะ ผลออกมาก็เป็นเช่นนี้ 

Sueded Oud เรียกว่าเป็นการเอาลูกเล่นของความเป็น Oud ที่เน้นมาแบบเบาๆ ให้พอรู้สึกได้ แต่ยังคง Concept ของแบรนด์คือกลิ่นไม่หนักแน่นเกินไปอยู่นั่นเอง โดยเปิิดตัวที่ Top Notes กับกลิ่นโทน Spicy ที่เป็นกลิ่นติดหวานนิดๆ แต่โปร่งและปร่าเผ็ดกำลังดีมาวูบแรกเลย ซึ่งน่าจะมาจากพริกหวาน แล้วโทน Incense ที่มีความ Smoky จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น แต่จะไม่ได้มาหนัก มีความพอเหมาะพอเจาะกำลังดีฟุ้งกระจายขึ้นมาผสมผสานโดยดึงเอากลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่มีความเขียวนิดๆ เข้ามาแจมด้วย เลยจะทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายคล้ายโทนสบู่ที่ติด Smoky กำลังดี แน่นอนว่ามีกลิ่น Oud แบบเนียนๆ ไม่ได้มาสายอวลแผ่ปล่อยพลัง เน้นนิ่งๆ สร้างออร่ากลิ่นโทนกึ่งสว่างกึ่งดาร์กกำลังงามโดยมีพื้นฐานกลิ่นนุ่มสะอาดให้รู้สึกได้ 

เพียงไม่นานจะเริ่มรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีความอุ่นมากขึ้น แล้วกลิ่นนวลๆ กลั้วไม้หอมจะมาเสริมทัพแบบดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้า Middle Notes ที่กลิ่นโทน Smoky กับ Oud จะเริ่มนุ่มติดโทนสบู่กลั้วไม้หอมติดเขียวมากกว่าเดิม เพราะมีกลิ่นโทนดอกไม้แนวๆ ดอกไม้ขาวมาผสมผสานเลยทำให้มีความหวานเจือให้รู้สึกได้ และนางเอกของงานอย่างโทน Musky จากหนังกลับและ Musk จะชัดเจนแบบเฉิดฉายออกมาสร้างความนุ่มนวลในเนื้อกลิ่นมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งพอผสมผสานกันกลิ่นจะนุ่มนวลเจือหวานอุ่นติด Smoky ได้ลงตัว ไม่อวลเกินไป มีเสน่ห์แกมอบอุ่นลากยาวไปจนถึง Base Notes ที่กลิ่นจะเริ่มผันมาทางสายนุ่มนวลมากขึ้น อารมณ์จะได้แบบกลิ่นหนังกลับกับ Musk ที่ละมุนสะอาดและมีกลิ่นขนมแนวๆ ชอคโกแลตจางๆ ให้กลิ่นมีความหวานติดข้นขึ้นมาหน่อย แต่มีความ Smoky อ่อนๆ จากโทน Incense ที่ยังตามมาอยู่บางๆ ความผ่อนคลายแบบกลางๆ ไม่สว่างเกินไปและไม่ดาร์กออกนอกหน้า เนื้อกลิ่นอบอุ่นชัดเจน มีความน่าค้นหา ดึงดูดแบบมีความภูมิฐาน โดยที่เป็นโทนตะวันตกมากกว่าจะไปสายตะวันออกกลาง รวมถึงคุมโทนความเป็น Concept ของแบรนด์ได้ดี ที่ไม่เน้นให้คนอื่นตกใจในการปล่อยพลังนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นนี้กลางพอที่จะแตะได้ทุกเพศ เพียงแต่อย่างน้อยผ่านน้ำหอมแนวๆ Smoky มาในระดับหนึ่งจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กลิ่นมีความสะอาดรองพื้นก็จริง แต่ไม่ได้ Clean จ๋าสมชื่อมากขนาดนั้น เพียงแต่เน้นความภูมิฐานนุ่มนวลเป็นที่ตั้ง แม้จะมีความดึงดูดเย้ายวนบ้างก็ตาม เช่นนั้นจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป กลางแจ้งพอได้อยู่นิดหน่อย แต่งดใส่ออกกำลังกายไปได้เลยกลิ่นไม่ได้มาสายนี้ เดี๋ยวจะอึนๆ ไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายๆ เลย ไม่ว่าจะใส่เพื่อโรแมนติค หรือเหตุการณ์ทั่วๆ ไป ยกเว้นถ้าไปท่องราตรีอัดสเปรย์หน่อยก็พอไปสู้กับชาวบ้านได้บ้าง แต่จริงๆ เน้นสายคลุกวงในเสียมากกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวใช้แบบลูกกลิ้งไถตามตัวเทียบเฉลี่ยกับจำนวนสเปรย์ราวๆ 6 สเปรย์ กลิ่นอยู่ได้ถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบกำลังดีในตอนต้น ก่อนจะเป็นกราฟที่พุ่งขึ้นมากระจายปานกลางในช่วงกลาง ปล่อยของกันในระดับที่ไม่หนักมาก แบบว่ายืนห่างๆ ประมาณ 1 ช่วงแขนก็ได้กลิ่นที่ไม่หนัก แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว ตามด้วย Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่ามาจับตลาดโทน Oud แต่ตัวเด่นจริงๆ คือโทน Musky ที่เห็นสายปล่อยของหลักให้ความครีมมี่มากกว่า แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นนี้มีความคล้าย Jo Malone Velvet Rose & Oud ในช่วงท้ายแบบที่ตัดกลิ่นกุหลาบออก ใส่ความสว่างของโทน Musky จากหนังกลับนุ่มๆ ลงไปมากขึ้น ซึ่งถือว่าถ้าใครจะมาเริ่มต้นกับกลิ่นสไตล์ Oud ที่มาน้อยมากๆ ไม่หนักหน่วง ตัวนี้เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.sephora.com/productimages/sku/s1768449-main-zoom.jpg

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Corallium

Carthusia - Corallium 

ถ้ากล่าวถึงกลิ่นอายแบบตากอากาศที่มาสายสดชื่นบนเกาะกลางทะเลกลั้วสมุนไพร และมีความเรียบหรูแบบผู้ดีคงมองข้าม Carthusia ไปไม่ได้เพราะแบรนด์นี้เขามีดีทางด้านนี้ นอกจากหลายๆ รุ่นที่ผ่านการบอกเล่ามาก่อนหน้านี้ และคงคอนเซปท์การสื่อสารถึงความมีระดับของกลิ่นในแง่มุมต่างๆ ที่มีแรงบันดาลใจหลักมาจากกลิ่นอายของเกาะ Capri แล้ว ก็ยังมีอีกหลายรุ่นที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เช่นน
ั้นเลยได้กลับมาเจอแบรนด์นี้อีกครั้งกับน้ำหอมที่น่าสนใจอีกรุ่น ที่อ้างอิงชื่อรุ่นถึงปะการังสีทับทิมในท้องทะเลอย่างรุ่นนี้เลย Corallium 

เพียงแค่ Top Notes ก็ทำเอาประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกลิ่นของ Bergamot ที่วาบเข้ามาจะให้ความสดชื่นติดเขียวอมเปรี้ยวแห้งๆ แล้วจะวูบเหมือนจะหายไปแต่ทิ้งความเป็นกลิ่นอายสดชืิ่นติดขมเอาไว้ โดยจะมีกลิ่นอายของส้มเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นโทนสมุนไพรปร่านวลที่มาเกลากลิ่นให้มีความสดชื่นนุ่มๆ และมีความอะโรม่ากำลังดี แต่สิ่งที่สัมผัสได้เต็มๆ อีกอย่างคือกลิ่นอายทะเลที่ไม่ได้มีโทนคาวๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเค็มติดโทนเกลือหน่อยๆ กลิ่นเลยจะมีลูกเล่นความสดชื่นที่มี 3 โทนคือ Citrus สมุนไพร และทะเลจางๆ ที่ผสมผสานเนียนกันไป แล้วความเป็นสมุนไพรจะเริ่มกลายเป็นตัวเอกเมื่อเข้าสู่ Middle Notes เพราะกลิ่นอายสดชื่นติดเครื่องเทศโทนโปร่งคล้ายกานพลูแต่มีความนุ่มกว่าติดเขียวนุ่มอมหวานหน่อยๆ ของใบกระวานเคล้ากับกลิ่นของเซจที่ให้ความเป็นโทนเผ็ดปร่ากึ่งพริกไทยนวลๆ กำลังดีจะชัดเจนมากในช่วงนีิ้ โดยที่กลิ่นของ Bergamot ที่คิดว่าน่าจะหายไปแล้วก็ได้กลับมาตีคู่โทนสมุนไพรให้ความเปรี้ยวติดแห้งสดชื่นกลั้วไปตลอด กลิ่นโทนทะเลบางๆ ก็ยังพอให้สัมผัสได้ แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนยางไม้เคล้ากลิ่นไม้โปร่งๆ ของไม้ซีดาร์รองพื้นไว้อยู่ เลยจะมีมิติความสดชื่นที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเรียบนิ่งมีระดับของยางไม้กลั้วไม้หอมแบบลงตัว ไม่โฉ่งฉ่างจนเกินไป เมื่อผ่านไปจนถึง Base Notes สิ่งที่ทำให้แปลกใจมากคือ กลิ่นของ Bergamot ยังคงอยู่ ให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวแห้งๆ ชัดเจน โดยจะมีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ของซีดาร์ที่ให้โทนสว่าง และมีความเป็นกลิ่นอายแบบสะอาดติดฉ่ำหน่อยๆ ของ Musk ที่กลั้วกับกลิ่นอายของกุหลาบหินที่กลิ่นออกทางเขียวฉ่ำจางๆ มีความเป็น Aquatic ที่พอให้รับรู้ได้ ได้อารมณ์สะอาด สดชื่น และสว่างแบบไม่ดูเยอะสิ่ง มีความเรียบหรูกำลังดีเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มีความเป็น Unisex ชัดเจน กลิ่นเรียกว่ากวาดหมดในวัยตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว เพียงแต่กลิ่นจะมีความเรียบร้อย เรียบนิ่งติดหรู ที่มีความสดชื่นแบบเข้าถึงได้ง่ายและยังไงก็รอด จึงไปได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ออกกำลังกายยังใส่ได้เลย ส่วนยามค่ำคืน ถือว่าถ้าใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายในวันอากาศร้อนๆ ยังไงก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่น ส่วนเที่ยวกลางคืนตัดไปได้เลย สู้ชาวบ้านไม่ได้แน่นอน 

ความทน - เพราะรุ่นนี้เป็น EDP ความทนเลยน่าพึงพอใจมากกับ 8 ชม. ที่เป็นพื้นฐาน และมากกว่านี้ได้ด้วยถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเหมาะสม ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แบบกลิ่นยังคงอยู่ให้รู้สึกตีขึ้นตลอด กับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นนี้เรียกว่ามาสาย Safe Scent แบบเรียบหรู การกระจายเลยออกแนวเรื่อยๆ เสียมาก กระจายดีตอนต้น แล้วลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอผ่านซัก 8 ชม. ไปแล้วจึงเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัวให้รู้ว่ากลิ่นยังอยู่ไม่หนีไปไหน 

ทิ้งท้าย - จากใจ รุ่นนี้เป็นน้ำหอม Niche ที่เป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง และคาดไม่ถึงกับกลิ่นของ Bergamot หรือมะกรูดฝรั่งที่ให้ความรื่นรมย์ตั้งแต่ต้นยันจบได้ดีเกินคาดจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://www.saison.com.au/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/c/o/corallium_50_ml_w_.jpg




วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Memo Paris - African Leather

Memo Paris - African Leather

และก็ได้เวลาของที่หมายสุดท้ายของการเดินทางผ่านกลิ่นหนังที่เป็นเหมือนตัวเอกตามภูมิภาคต่างๆ ของแบรนด์ Memo Paris นั่นก็คือ “แอฟริกา” เช่นนั้น กลิ่นหนังของดินแดนแห่งนี้ เมื่อทำออกมาเป็นน้ำหอมจะออกมาในลักษณะไหน ได้เวลาของการท่องเที่ยวผ่านกลิ่นแล้วล่ะ กับรุ่นนี้เลย African Leather   

เปิดต้นกลิ่นมาด้วยความเป็นโทน Spicy อย่างชัดเจนกับเครื่องเทศทั้งโทนเผ็ดปร่าติดโปร่ง เครื่องเทศโทนเย้ายวน และเครื่องเทศโทนอบอุ่น โดยกลิ่นเด่นนำมาก่อนเลยอย่างเม็ดกระวานจะมาเย้าให้ความเผ็ดเจือหวานปลายพุ่งออกมาก่อนเลย แล้วกลิ่นของยี่หร่าแขกจะเสริมขึ้นมาแบบที่เกลากลิ่นให้หวานอมเย้ายวนชัดเจน โดยไม่มีกลิ่นออกทางสาปเครื่องเทศที่มักได้กลิ่นตามกลิ่นตัวแขกแต่ประการใด ตามด้วยหญ้าฝรั่นที่ให้ความขมอมหวานอบอุ่นติดโทนหนังจะเสริมเข้ามา เรียกว่าเป็น 3 ประสานที่ทำหน้าที่เด่นแบบ 3 เลเยอร์โดยเม็ดกระวานพุ่งออกมา ยี่หร่าอยู่ตรงกลาง และหญ้าฝรั่นรองพื้น ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็น Citrus แบบแห้งๆ ติดเขียวบางๆ ของ Bergemot มะกรูดฝรั้่งอยู่แต่เน้นเป็นสายสนับสนุนรห่างๆ ให้มีมิติของความสดชื่นไม่ได้ออกทางเครื่องเทศโทนเดียวแต่อย่างใด และกลิ่นโทนเครื่องเทศนี้จะยังคงตามไปเด่นในช่วงกลางโดยไปผสมผสานกับกลิ่นอายดอกไม้เจือความเขียวกึ่งกุหลาบของเจอราเนียม ซึ่งความเป็นเม็ดกระวานจะเริ่มผสมผสานกับหญ้าฝรั่นและยี่หร่าแขกแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันในระดับหนึ่งให้ความหวานโปร่งปนขมที่เย้ายวนและมีความเซ็กซี่เจือในเนื่อกลิ่นแบบไม่โจ่งแจ้งตลอด ซึ่งเกื้อกูลกับความเป็นเจอราเนียมที่เป็นกึ่งกุหลาบกึ่งเขียวติด Spicy ให้มีความนวลเจือความหวานที่ลอยฟุ้งออกมา แต่สิ่งที่จะเริ่มสัมผัสได้คือกลิ่นโทน Animalic ที่เป็นโทนสาปปลุกเร้าของกลิ่นหนัง จะเป็นตัวรองพื้นที่สร้างความสมดุลของโทนกลิ่นโดยรวมให้มีความเป็นเครื่องเทศ ดอกไม้ และหนังได้อย่างลงตัว กลิ่นจะมีระดับและหรูหราติดโทนแห้งได้แบบงามเลยทีเดียว แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายเริ่มสื่อสารถึงสภาพแวดล้อมได้ชัดเจนขึ้นเพราะในความเป็นกลิ่นหนังที่ติดโทนหวานเครื่องเทศ จะมีความเป็นหญ้าแฝกที่มาโทนแห้งๆ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมจางๆ ดาร์กหน่อยๆ แต่กลิ่นจะมีความนุ่มเจือไปด้วยตลอดจาก Musk ที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทางติดสาปแต่อย่างใด ที่สำคัญเนื้อกลิ่นจะล้อมไปด้วยกลิ่นรื่นจมูกแบบตัดโทนดิบออกไปพอสมควรของพิมเสนที่มาสายดึงดูดและน่าค้นหากันเต็มๆ ซึ่งอารมณ์จะได้ความรู้สึกแห้งๆ รื่นจมูกแบบทุ่งหญ้าที่มีความอบอุ่นท่ามกลางกลิ่นหนังติดสาปบางๆ ที่ให้เสน่ห์ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งนี่แหละ African Leather

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งก็เข้าทางได้อยู่ อาจจะมีเอนไปทางสายผู้ชายอยู่บ้างราวๆ 60% แต่ผู้หญิงใส่ได้สบาย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นถือว่ามีความใช้ง่ายในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับง่ายมากขนาดนั้นเพราะถ้าใครไม่ชอบกลิ่นโทนเครื่องเทศอาจจะเมินไปเลยก็เป็นได้ แต่อาจจะงดใส่เพื่อออกกำลังกายหรือว่ารอช่วงท้ายๆ ของกลิ่นก่อนค่อยว่ากันก็พอได้อยู่ (มันแพงนะ เปลืองตายชัก ถ้าใส่ไปออกกำลังกาย) ส่วนยามค่ำคืน ถือว่ากลิ่นนี้สามารถเรียกร้องความสนใจในเลยทีเดียว เพราะกลิ่นมีโทนเย้ายวนติดสาปปลุกเร้าจางๆ ให้น่าค้นหาเสียด้วย เพียงแต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปเต้นสะบัดช่อลืมตาย แต่เหมาะกับการใส่ไปเท่ห์ๆ และดึงดูดแบบมีระดับมากกว่า

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวจัดไปที่ 5 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ความเป็นเครื่องเทศมาเต็มเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงไปกระจายปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วกลิ่นจะเป็น Skin Scent ชัดเจน

ทิ้งท้าย - เป็นอีกตัวที่เรียกว่ากลิ่นดีเกินที่คิดไว้มาก เพราะคิดว่าจะมาแบบสภาพแวดล้อมจัดจ้านแบบหนังติดสาปสไตล์แอฟริกันที่ดิบๆ แต่เอาเข้าจริงเป็นการเล่นโทนเครื่องเทศ โทนแห้งๆ และโทนหนังได้ลงตัวและมีเสน่ห์และมีระดับมากพอโดยที่ไม่ทิ้งความเป็นกลิ่นอายแบบแอฟริกันที่ควรจะเป็นได้ดีทีเดียว ที่สำคัญ ตัวนี้เกลากลิ่นยี่หร่าแขกได้ดีจนทำให้รู้สึกฟินไปเลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”


วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Memo Paris – Italian Leather

Memo Paris – Italian Leather

เรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวพร้อมกลิ่นหนังจากแบรนด์ Memo Paris เลยก็ว่าได้จากฝรั่งเศส สู่ไอร์แลนด์เหนือ ตามด้วยรัสเซีย คราวนี้ก็ถึงจุดมุ่งหมายอีกหนึ่งแห่งแล้วนั่นคือ “อิตาลีซึ่งกลิ่นหนังในสไตล์นี้จะมาในลักษณะไหน ได้เวลาเปิดโปงกันแล้วล่ะนะ กับรุ่นนี้เลย Italian Leather

เพียงแค่แรกฉีดความน่าสนใจก็พุ่งขึ้นมาเลยกับการปล่อยของเสน่ห์ 3 โทนกลิ่นที่จะเริ่มกับโทนเขียวติดขมเจือๆ มาแบบพุ่งๆ กลั้วความเป็นสมุนไพรของใบมะเขือเทศ ซึ่งจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นยางไม้ที่ออกแนวเขียวคมของ Galbanum เป็นตัวช่วยให้กลิ่นโทนเขียวพุ่งชัดกว่าเดิมเสียด้วย ที่สำคัญในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนเผ็ดปร่าโปร่งๆ ติดเขียวของเซจที่ทำให้กลิ่นดูสว่างท่ามกลางความเขียว และมีความสดชื่นแบบเขียวปลอดโปร่งไปตลอด เพียงแต่กลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นนัก เพราะเลเยอร์ที่ 2 อย่างวานิลลา และเลเยอร์ที่ 3 อย่างกลิ่นหนังนวลๆ จะรองพื้นอยู่และรู้สึกได้เลยถึงการเป็นกลิ่นอายหอมหวานนวลแทรกอยู่ในความเขียวติดปร่าพุ่งๆ ไปตลอด จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นโทนเขียวติดขมของใบมะเขือเทศที่มีความพุ่งยังคงอยู่แต่จะเบาลงมาหน่อยนึงให้กลิ่นหนังเจอวานิลลาเด่นขึ้นมา โดยจะสัมผัสได้ถึงโทนอุ่นหอมหวานนวลฟุ้งกระจายขึ้นมา โดยจะมีกลิ่นอายหนังแบบหอมนวลๆ ตีคู่ความหวานอุ่นของวานิลลา ที่สำคัญมีกลิ่นกำยานที่หอมหวานอุ่นชัดมากเป็นตัวเสริมโทนเสียด้วย และจะจับความรู้สึกแบบกลิ่นออกแนวน้ำมันเครื่องจางๆ ซึ่งมันทำให้กลิ่นมันมีความเท่ห์ เล่นโทนเขียวโปร่งปร่าบางๆ นวลเท่ห์กับหนัง และหอมหวานอบอุ่นกำยานและวานิลลาได้ลงตัว จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายโทนกลิ่นเริ่มมาเป็นสายวานิลลาที่เด่นขึ้น โดยมีกลิ่นอายของยางไม้อบอุ่นหอมหวานแต่ไม่ได้มาแบบข้นหนักหน่วง แต่มีลูกเล่นกำลังดีทั้งติดโทน Incense หน่อยๆ ติดโทนอับหอม และติดโทนหวานแบบไม่ได้จัดเต็มความแน่นนัก เพราะแม้โทนเขียวในตอนต้นจะบางลงไป แต่ก็ยังมีอิทธิพลให้กลิ่นไม่ไปสายหวานอวลจัดหนัก กลิ่นหนังกับ Musk เบาๆ ยังตัดให้นุ่มนวลมีเสน่ห์ กลิ่นจะหอมนวลอบอุ่นวานิลลาเคล้าหนังและยางไม้คุมโทนให้กลิ่นมีความหรูหราอบอุ่นเย้ายวนกำลังดีไปตลอด อารมณ์เลยจะได้ไม่ต่างจากภาพที่หน้าขวดเลยว่าเป็นความรู้สึกแบบขับรถชมวิวชนบทที่เป็นภูเขาเขียวๆ เตียนๆ พร้อมกลิ่นเขียวๆ สดชืิ่นลอยเข้าจมูกพร้อมกลิ่นหอมหวานอบอุ่นจากน้ำหอมโทนวานิลลาชั้นดีเจือแสงแดดเคล้ากลิ่นหนังเบาะรถที่รื่นรมย์ มันได้ภาพในหัวแบบนี้เลย

เหมาะสำหรับ แบรนด์ตราเอาไว้ว่าเป็น Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเลย เพราะมันคาบเกี่ยวระหว่างความอบอุ่นและความหวานที่แตะความเป็นผู้ชายก็ได้ หรือเป็นผู้หญิงก็ลงตัว จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบอากาศไม่ได้ร้อนจัดมากหรืออยู่ในห้องแอร์เป็นหลัก แม้จะใส่ออกกลางแจ้งได้อยู่บ้าง แนวๆ เดินเล่นหรือไปปิคนิคชิลล์ๆ แต่ไม่ค่อยเหมาะกับกิจกรรมที่ใช้พลังงานหรือแนวๆ ออกกำลังกาย เพราะเดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนจุกเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน จัดไปกลิ่นหอมหวานอบอุ่นลงตัวระหว่างความเป็นวานิลลา หนังและโทนเขียวคมได้ดึงดูดไม่น้อย

ความทน เรียกว่ากลิ่นทนระดับต้นๆ ของไลน์ Cuirs Nomades กันเลยเพราะพื้นฐานคือวานิลลาและโทนยางไม้กำยานต่างๆ กลิ่นเลยเรียกว่ามาสายทนจัดที่ราวๆ 10 ชม. ได้เลย อาจจะบวกลบบ้างนิดหน่อย ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กับ 5 สเปรย์ ถือว่าต้องยกนิ้วให้เขาเลย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นกลิ่นพุ่งกันมาเลยทีเดียว ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ เป็นปานกลางในต้นๆ ช่วงท้าย แล้วลงไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้ว

ทิ้งท้าย ถือเป็นการเล่นโทนผสมผสานกลิ่นหนังกับกลิ่นโทนยางไม้กำยานและวานิลลา โดยมีตัวเสริมมิติความผ่อนคลายสไตล์เขียวติดขมได้น่าสนใจเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งตัวที่สายวานิลลาน่าจะปลื้มกับกลิ่นได้ไม่ยากเลยล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://images.neimanmarcus.com/ca/2/product_assets/C/1/V/F/Q/NMC1VFQ_mu.jpg