วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

My Favorite New Comer Fragrances of 2017


My Favorite New Comer Fragrances of 2017  

ได้เวลาของการบอกเล่าเรื่องราวน้ำหอมในรอบปีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้สนใจว่าผลิตปีไหน เอาแค่ที่สอยมาเท่านั้นในปี 2017 นี้ แล้วเกิดอาการกรีดร้องโหยหวนมากชอบมากกกกกกก

จากปีก่อนเดิมทีมีแค่ 7(+1) ตัว มาคราวนี้มันผุดขึ้นมาเยอะมากก เลือกไม่ถูกจัดมาเลยแล้วกัน 9(+1) เลยแล้วกัน ที่สำคัญปีนี้เป็นปีทองมากมายของน้ำหอม Niche ที่หลั่งไหลเข้ามาให้กระเป๋าแบน แฟนไม่มีมากมาย เรียกว่า List ที่ได้เห็นและกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้นั้น Niche มากันให้ตรึมๆ แน่นอน แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ครอบครัวของผมประจำปี 2017 นี้ ขออ้างอิงตัวที่จำเป็นต้องตัดไปจาก List เพราะไม่งั้นมันจะบานตะไทเอาได้ เช่น 

Amouage – Bracken Man, Chanel – Coromandel EDT, Calypso Christiane Celle – Calypso Fique, Tauerville – When we cuddle and I can smell your perfume on my cloth, Tauerville – Patchouli Flash, Shay & Blue – Salt Caramel, Replica – Tea Escape, Atelier Cologne – Vanille Incensee, Thierry Mugler – Angel Muse, L’Artisan Parfumeur – La Chasse aux Papillons, Penhaligon’s – The Tragedy of Lord George, Ormande Jayne - Qi และ Serge Lutens – Bapteme du Feu เป็นต้น 

เช่นนั้นได้เวลาเข้าสู่ Top 9(+1) Fragrance’s Family of 2017 เลยดีกว่ากับ Mini Review ตัวที่ผมสอยมาแล้วไม่ผิดหวังเลย แบบไม่ได้เรียงลำดับความชอบเพราะรักหมด เริ่มที่ 

Jul et Mad – Terrasse a St-Germain 
มันคือการจับเอาความรักแรกพบลงมาใส่ขวดอย่างแท้จริง กับกลิ่นอายที่สว่างสไวระยิบระยับหอมหวานโปร่ง Sparkling ที่มีโทนดอกไม้เป็นตัวเด่นที่กุหลาบหวานนวลและฟรีเซีย เคล้ากลิ่น Citrus นวลๆ ไม่ออกเปรี้ยว และพิมเสนกลั้ว Musk ที่ละมุนมาก กลิ่นมีความสว่างสไวและไม่ได้ดูใสน่ารักเกินไป ให้อารมณ์โรแมนติคแบบรักแรกพบที่มีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ Puppy Love จนดูเว่อร์วังและน่าหมั่นไส้ ที่สำคัญกลิ่นนี้มีแรงบันดาลใจมาจากการพบรักกันระหว่างเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 คน มันเลยสื่อสารกลิ่นออกมาได้งดงามขั้นสุดมากกกกก

Xerjoff - 1861 Renaissance
King ของผม (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของคนอื่น 5555) ที่มากับกลิ่นอาย Citrus Mint ที่ดีงามมากลำกับต้นๆ ของโลก กลิ่นอายผ่อนคลายสดชื่น แต่หรูหราแบบธรรมชาติ กลิ่นไม่โฉ่งฉ่าง แต่ออร่าผู้ดีจัดๆ มันจับทันทีเวลาใช้งานน้ำหอมกลิ่นนี้ กับกลิ่นอายเปิดตัวด้วย Citrus ติดเขียวธรรมชาติ เคล้ามินต์ที่ผ่อนคลายสดชื่นได้อารมณ์ปลอดโปร่ง ก่อนจะเป็นโทนสะอาดเรียบหรูกับไม้หอมอบอุ่นเคล้าความสดชื่น On Top ที่กลิ่นมินต์ยังอยู่มาจนถึงช่วงท้าย เรียกว่ายอมยกดาวให้ทั้งฟ้าเลย กลิ่นมันสว่างสไว สดชื่น และหรูหราขั้นสุดจริงๆ

PRYN PARFUM – Hikari 
กลิ่นที่สว่างสไวสไตล์ญี่ปุ่นในช่วงเช้าเคล้าสดชื่นด้วยกลิ่นผลไม้หวานโปร่งเคล้าเหล้าสาเกที่ให้ความรู้สึกแบบบรรยากาศแดนอาทิตย์อุทัยมาก ตามด้วยช่วงเย็นออกทางล้ำด้วยแสงและสีนีออนยามค่ำคืนด้วยกลิ่นแนวเมทัลลิคแร่ธาตุเก๋ๆ และปิดท้ายเรียบนิ่งหรูหราวางตัวสุภาพด้วยกลิ่นสะอาดเนี้ยบลึกล้ำ ทุกอย่างลงตัวด้วยโทนสว่างคุมโทนหมดแบบว่ากลิ่นน่ารักและมีเสน่ห์มาก หนึ่งในฝีมือสุคนธกรคนไทยที่สร้างกลิ่นออกมาแล้วสามารถสร้างภาพในหัวเราได้เลยว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนให้ซึมซับและรื่นรมย์ไปกับกลิ่น 

Frederic Malle – Eau de Magnolia 
ดอกแมกโนเลียจริงๆ ความรู้สึกมันจะไม่ได้ออกทางครีมๆ เปรี้ยวอมหวานแบบที่เราเจอในน้ำหอมหลายๆ ตัวนัก เพราะมันจะมีความเขียวธรรมชาติติดสดชื่น มีความครีมบางๆ และดึงดูดเคล้าไปตลอด และนี่คือสิ่งที่ตามหามานานมากกับกลิ่นอายดอกแมกโนเลียที่ใกล้เคียงธรรมชาติจริงๆ กลิ่นมีความสดชื่นติดเขียวนำเด่น ตามด้วยความเปรี้ยวอมหวานสดใสพลิ้วไหว และปิดท้ายด้วยกลิ่นอายสะอาดเคล้าแมกโนเลียบางๆ กำลังดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มาสาย Less is More น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไม่ถึงกับไฮแฟชึ่น แต่อะโรม่าและผ่อนคลายสบายใจมากมาย

Parfumerie Naturelle – Sunset over Santorini 
Creamy Citrus ที่เข้ากับอากาศแบบทะเลมากมายก่ายกอง ซึ่งสมกับชื่อรุ่นอย่างแรงว่า พระอาทิตย์ตกที่ซานโตรินี่” (ไม่ใช่ที่ชะอำนะจ้ะ) ซึ่งกลิ่นอายจะมาด้วย Citrus สดชื่นติดโทนนุ่มไม่บาดมาทางแห้งๆ แล้วจะมีกลิ่นอายของไม้หอมนวลๆ มารับช่วงต่อให้ความอบอุ่นติดเค็มนิดๆ ให้รู้สึกได้ถึงทะเล และปิดท้ายด้วยความครีมมี่นวลๆ จาก Musk วานิลลา และ Tonka Bean ได้ลงตัวมาก บอกเลยว่าน้ำหอมตัวนี้ใส่แล้วกวาดคำชมสุดๆ แถมเป็นกลิ่นที่สู้กับลมได้แบบไม่ลดราวาศอกมากๆ ยิ่งกลิ่นนี้เจอลมทะเลกลิ่นยิ่งหอมสดชื่นแบบรื่นรมย์จริงจังมาก

Le Couvent des Minimes - Cologne of the Missions
ได้รับเป็นของขวัญปีใหม่ช่วงต้นปี 2016 มาจากกัลยาณมิตรทางด้านน้ำหอม เดิมทีไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่าแบรนด์อะไร แต่พอดมเท่านั้นแหละ นี่มันมาเพื่อฆ่า Guerlain - Spiritueuse Double Vanilla ชัดๆ กลิ่นคล้ายมากกกกกกก ให้ความรู้สึกอบอุ่นกับความเป็นวานิลลาติด Smoky ยางไม้ที่ละมุนและอบอุ่นดึงดูดมาก ในเนื้อกลิ่นจะได้ความรู้สึกของวานิลลายืนพื้นแต่จะมีหลากหลายอารมณ์ทั้งมีเสน่ห์ อบอุ่น น่าค้นหา เจ้าชู้นิดๆ และรื่นรมย์ดมแล้วเคลิ้มแบบไม่ต้องฉีดก็มีความสุขทันทีกับการได้กลิ่นนี้ 

Kemkudson - Wood after Rain
อันนี้ฝีมือเข็มขัดสั้นเป็นคนทำเองจากการไปเข้า Workshop ทำน้ำหอมกับ PRYN PARFUM แล้วสรรสร้างออกมาแบบที่เรียกว่า ฟลุ๊คเพราะก่อนหน้าที่จะได้น้ำหอมตัวนี้ ก็ทำพังพินาศไป 2 รอบ พอล้างไพ่ในเวลาอันจำกัดแล้วสร้างตัวนี้ขึ้นมา เรียกว่าโชคช่วยเพราะได้ตามConcept ที่อยากได้เลยคือ กลิ่นอายดินเปียกและไม้เปียกหลังฝนตกฉ่ำๆ และจะค่อยๆ แห้งขึ้นมาเรื่อยๆ มีความชื้นในอากาศแบบรื่นรมย์กำลังดี ก่อนจะปิดท้ายที่กลิ่นอายไม้ติดครีมมี่แห้งๆ อารมณ์แบบนั่งดูบรรยากาศหลังในตกไปจนแดดออก เรียกว่า ฟินขอบคุณโชคช่วยมากมายที่ทำให้ได้กลิ่นประจำตัวกลิ่นนี้ม

Parfums Dusita – Issara 
ความพลิ้วไหวของกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงความอิสระ มาสายนุ่มนวล ธรรมชาติ อบอุ่นแบบคล้ายต้องแสงแดดยามอากาศเย็นๆ (มากกว่าที่โดนแดดแล้วร้องโหยหวนแบบแดดเมืองไทย) กลิ่นอายมีความเป็น Family Man หรือผู้ชายอบอุ่นพอสมควร ได้อารมณ์พลิ้วไหวและคุณภาพกลิ่นจัเดเต็มและชัดเจน ให้ลองนึกถึงเวลาที่เที่ยวป่าอากาศเย็นๆ มีแสงแดดอุ่นกำลังดีส่องลงมา แล้วอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายแข็งแรงซักคนที่กลิ่นกายสะอาดนุ่มๆ หอมนุ่มละมุนเคล้ากลิ่นธรรมชาติดูสิ กลิ่นนี้ให้อารมณ์ประมาณนั้นเลยแหละ

Etat Libre d’Orange – You or Someone Like You 
Less is More น้อยแต่มากอีกหนึ่งกลิ่นที่สรรสร้างความเป็นกลิ่นอายของมินต์ได้ธรรมชาติมาก กลิ่นจะให้ความเป็นโทนสมุนไพรติดเครื่องเทศปนเขียวที่ปลอดโปร่งโล่งสบายขั้นสุด แล้วจะลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเป็นมินต์สะอาดนุ่มสบายๆ ให้อารมณ์แบบเหมือนเราผ่อนคลายกับกลิ่นมินต์ที่ให้ความอะโรม่า ซึ่งทำได้ดีงามมากในแง่ที่มีความเป็นธรรมชาติ และจำลองความเป็นสภาพแวดล้อมมาได้น่าสนใจแบบที่จะเห็นภาพบ้านสะอาดๆ อากาศดีๆ กลิ่นมินต์ทำให้ผ่อนคลายชวนให้หลับตาและซึมซับกลิ่นอายที่รื่นรมย์ได้ทุกเม็ด ปรบมือให้กับกลิ่นนี้รัวๆ 

Strangers Parfumerie – Fume Ma Peau
แบรนด์ไทยที่เป็นกิ่งก้านสาขาจาก PRYN สู่การเป็น Strangers Parfumerie ที่สรรสร้างน้ำหอมออกมาแบบ Niche แต่เข้าถึงได้ง่าย ไม่ได้อาร์ตจ๋า กับกลิ่นอายที่เป็นความเท่ห์ขาดบาดจิตมาก เหมือนชายหนุ่มมาดเท่ห์ลุคสุด Cool ขับรถเปิดประทุนผ่านเมืองที่มีมลภาวะกลิ่นต่างๆ ผสมปนเปกันไป แต่กลิ่นเหล่านั้นติดตัวไปผสมผสานกับลุคเท่ห์ๆ กลิ่นอายหนังและไม้หอมทำให้มีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาแบบติดดิบห่ามกำลังดี Dirty กำลังงามเสริมความเท่ห์ให้ดูดาร์กและน่าค้นหาไปอี๊กกก! จนมาแรงแซงโค้งสุดท้ายเข้ามาใน Top 9+(1) ทันทีแบบไม่มีข้อแม้ 

และนี่แหละ ครอบครัวสุดยอดน้ำหอมของผมประจำปี 2017 ที่ทำให้ชีวิตมีความสุขกับกลิ่นอายต่างๆ และอบอุ่นมากกับสมาชิกในครอบครัวนี้ทุกขวดในรอบปีที่ผ่านมานี้เลย

วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Versace - Yellow Diamond

Versace - Yellow Diamond

จากการปล่อยกลิ่นหอมสไตล์ความเป็น Crystal ในแง่มุมต่างๆ ของ Versace ไม่ว่าจะเป็น Crystal Noir ตามด้วย Bright Crystal ก็เริ่มต้องหาอะไรที่มากกว่าการเป็นผลึกแก้วให้ดูมีระดับมากขึ้นไปอีก จึงได้มาลงที่การเป็น Shine Bright Like a Diamond กับการปล่อยรุ่น Yellow Diamond ออกมาเมื่อปี 2011 ก็ได้เวลาจัดเต็มกันซะทีว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง
 

เปิด Top Notes มา กับความเป็น Citrus ของเลมอนที่ให้ความรู้สึกสว่างและสดชื่นจะวูบมาก่อนเลย ในเนื้อกลิ่นจะแอบมีความติดขมกึ่งแห้งนิดๆ ซึ่งอาจจะมาจาก Citrus อื่นๆ แนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่มาเสริมให้รู้สึกกลิ่นมีมิติของความสดชื่นอยู่ แต่เลมอนก็เลมอนเถอะ เจอแย่งซีนเต็มๆ เลย กับกลิ่นของแนวผลไม้ที่หอมหวานอย่างลูกแพร์ ที่ให้ความหวานใสมาเชียวทีเดียว กลิ่นเลยจะมาแบบ Citrus ติด Fruity แบบที่โปร่งหอมหวานติดสดชื่นให้รู้สึกสว่างสไวและมีได้อารมณ์ของโทนสีเหลืองกันอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะเริ่มมีตัวแย่งซีนอีกตัวที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาเนียนกับกลิ่นของลูกแพร์นั่นคือ Mimosa หรือกระถินเทศดอกเหลืองที่จะมาให้รู้สึกนวลโปร่งหอมหวานโปร่ง และมีความเป็นหญิงชัดเจน นำเข้าสู่ Middle Notes กันอย่างชัดเจน กับการมาเป็นกลิ่นเด่นตีคู่กับความเป็น Citrus กลายเป็น Fruity Floral ที่สว่างหอมหวาน แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความนวลเขียวติดครีมกึ่งๆ โทนพริกไทยจางๆ ที่จะมาจากดอกฟรีเซีย แต่มาแบบบางๆ อ่อนๆ ที่สำคัญจะจับโทนได้ว่ามีความเป็น Aquatic หน่อยๆ เสริมเข้ามาแบบบางๆ ให้รู้สึกว่ามีความฉ่ำอมหวานอยู่แต่ไม่ได้เด่นมาก ให้มีมิติของความนวลกำลังดีท่ามกลางความหอมหวานโปร่งโทนสีเหลืองที่คุมโทนได้ดีเสมอต้นเสมอปลายมาก และกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วง Base Notes เลย แต่จะลดหลั่นลงไปให้กลิ่นหอมดอกไม้โปร่งๆ อ่อนๆ กำลังดี ความหวานแบบใสลงตัวเคล้ากับกลิ่น Musk ที่มานวลๆ มีความนวลสะอาด และมีกลิ่นของไม้หอมอ่อนที่อบอุ่นจางๆ ท่ามกลางความหอมหวานใส ติดครีมมี่ให้ความรู้สึกสว่างแบบเหลืองนวลไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเลยทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ตัวนี้ได้แล้ว หรือว่าน้องๆ ม.ปลาย อยากจะมาใช้ก็ยังได้ แต่มันจะดูสาวสะพรั่งเกินวัยไปนิดก็เท่านั้นเอง ซึ่งสามารถใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย แม้กิจกรรมกลางแจ้งก็ยังใส่ได้ แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกาย รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า กลิ่นจะได้ไม่ออกทางหวานใสจนคนหันมองว่าตกลงมาออกกำลังกายหรือมาวิ่งในทุ่งดอก Mimosa ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ ถ้าใส่แบบทั่วไปได้เลยสบายมากเข้ากับอากาศบ้านเรา หรือจะใส่ออกงานก็ยังได้ แต่ถ้าจะไปท่องราตรีตามคลับบาร์ กลิ่นนี้อาจจะใสไป โดนกลบเอาได้ง่ายๆ 

ความทน - เรียกว่าลงตัวที่ราวๆ 8 ชั่วโมงกำลังดี อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดกที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะค่อยๆ เป็น Skin Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - ต้องบอกเลยว่ากลิ่นนี้ให้ความรู้สึกโทนสีเหลืองได้สว่างและสดใสหอมหวานโปร่งได้ดีมาก เรียกว่าใครได้กลิ่นก็ชอบได้ไม่ยาก ไม่แปลกใจที่ประสบความสำเร็จจนมีรุ่น Intense ออกตามมา เช่นนั้นขอยกตำแหน่งนี้ให้เลยดีกว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://www.muradeal.com/media/catalog/product/cache/1/thumbnail/600x/17f82f742ffe127f42dca9de82fb58b1/v/e/versace_yellow_diamond_edt_for_women_90ml_1.jpg



วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: L’Artisan Parfumeur - La Chasse aux Papillons

L’Artisan Parfumeur - La Chasse aux Papillons 

กลิ่นสบายๆ สาย Minimalist Scent ที่สื่อสารถึงยามดอกไม้แรกแย้ม ท่ามกลางอากาศดีๆ มันสามารถสร้างความรื่นรมย์และรอยยิ้มกันได้เลยทีเดียว
 ซึ่งกลิ่นอายแบบนี้มีหลายแบรนด์เลยที่ทำออกมาได้ทั้งสุดและไม่สุด หรือแถไถไปทั่วก็เยอะ และเมื่อมองไปที่ L’Artisan Parfumeur กลับกลายเป็นว่าแบรนด์นี้เขามีอยู่รุ่นหนึ่งที่ออกมานานตั้งแต่ปี 1999 และคงความนิยมลักษณะกลิ่นที่มาสาย น้อยแต่มากรวมถึงเป็นอีกหนึ่งตัว Top ของแบรนด์ได้เลย นั่นคือรุ่น La Chasse aux Papillons ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไง มาจัดกันหน่อยดีกว่า

คั่นจังหวะ - เนื่องจากรุ่นนี้มีแยกออกเป็น 2 ตัวคือ รุ่นปกติ และ Extreme เช่นนั้นการเล่ากลิ่นในครั้งนี้จึงจะเน้นที่รุ่นปกติเป็นสำคัญ เพราะส่วนตัวไม่เคยได้ลอง Extreme ไว้มีโอกาสได้ครอบครองจะมาเล่าอีกครั้ง 

เมื่อฉีดออกมาโดยผิวแล้วฟุ้งกระจาย สิ่งที่ได้กันเต็มๆ เลยคือความสดชื่นแบบผ่อนคลาย ไม่ได้มาสาย Citrus จัดๆ จ๋าๆ ที่จะเอาความสดชิื่นมาแถไถไว้ก่อนมันเข้าไป แต่เอาความเป็นกลิ่นอายดอกไม้ขาวที่หอมอ้อยอิ่งนุ่มนวลท่ามกลางอากาศเย็นๆ หรืออากาศยามเช้าก็ยังได้ กลิ่นอายของดอกไม้ขาวอ้อยอิ่งตามลมจะมาก่อนใครเลยคือกลิ่นของดอกมะนาวหรือดอกลินเดนที่จะมาแบบหอมหวานใสๆ กลิ่นจะไม่ได้มาเต็ม แต่มาลักษณะที่ใกล้เคียงกับความเป็นกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามธรรมชาติ และมีกลิ่นอายของความเป็นมะลิใสๆ ผสมผสานอยู่ในกลิ่นให้สัมผัสได้แบบรื่นรมย์และผ่อนคลาย และยังมีความเขียวแบบเบาๆ กับโทน Citrus หน่อยๆ ที่โดนเกลากลิ่นจนนุ่มมากกว่าจะเปรี้ยวสดชืิ่นที่มาผสมผสาน ทำให้ช่วงกลิ่นเปิดได้ความรู้สึกเหมือนเปิดหน้าต่างรับอรุณที่กลิ่นดอกไม้ยามเช้ากับอากาศเย็นๆ ลอยเข้ามาให้สัมผัสได้เลย จนเมื่อผันเข้าสู่ช่วงกลางความงดงามของกลิ่นอายดอกไม้ขาวที่ให้ความนวลครีมมี่อย่างซ่อนกลิ่น (Tuberose) จะเสริมเข้ามา แต่การเสริมจะเป็นการมาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ใช่มาแบบครีมมี่ข้นๆ ทำให้กลิ่นมีความเป็นดอกไม้หอมหวานและใสแบบกึ่งสดชืิ่นกึ่งอ่อนโยนได้อย่างลงตัว กลิ่นเขียวใสเบาๆ กับดอกมะนาวที่จะมีความหวานเจือน้ำผึ้งกับมะลิที่หอมใสๆ จะผสมผสานกับซ่อนกลิ่นจนได้ความหอมนวลและมีความใสบางๆ รื่นรมย์และมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก กับการเป็นกลิ่นดอกไม้หอมหวานลอยมาเข้าจมูก แต่สิ่งที่จะเริ่มสัมผัสได้อีกอย่างคือ กลิ่นของดอกส้มที่มาในลักษณะกลิ่นนวลติดอบอุ่นจะเริ่มเปิดตัวมาทีละหน่อยๆ ด้วย กลิ่นเลยจะไล่เรียงความรู้สึกแบบอากาศยามเช้าที่แสงแดดค่อยๆ ส่องประกายให้มีความสว่างเจือด้วยความอบอุ่นจางๆ บางๆ เคล้ากลิ่นดอกไม้ที่หอมนวลเบาสบายแบบนี้ไปตลอดลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะเริ่มมีกลิ่นอายสะอาดๆ นุ่มๆ เจอความหอมหวานใสของดอกไม้มารองพื้นกับกลิ่นอายนุ่มสะอาดแนวๆ Musk ที่เป็นสายรองพื้นเน้นๆ ไม่ได้เด่นพุ่งออกมาแต่ประการใด ยังคงให้กลิ่นของดอกไม้ขาวใสๆ ปล่อยของแบบอ้อยอิ่งตามธรรมชาติคงความรื่นรมย์ ผ่อนคลาย และเรียบหรูดูดีไปตลอด แบบที่ไม่ต้องมีอะไรมากก็เอาอยู่

เหมาะสำหรับ - ตราเอาไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นจะไปทางผู้หญิงถึง 70% เลยทีเดียว เพียงแต่เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและมาสายบางเบาไม่รบกวนใครมาก ผู้ชายเลยใช้ได้สบายๆ เผลอๆ จะฟินเสียอีกด้วยซ้ำเพราะกลิ่นมันงามในความเรียบง่ายจริงๆ ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กลิ่นนี้ยังไงก็รอด กวาดเกือบหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป เหมาะกับอากาศบ้านเราเสียด้วย ใส่ออกกลางแจ้งก็ยังได้ จริงๆ จะใส่ออกกำลังกายก็ได้อยู่แต่กลิ่นไม่ได้มาสายนี้ เลยให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน อันนี้ถ้าใส่สบายๆ อยู่กับบ้าน หรือเดินห้าง เที่ยวตลาดอะไรก็ว่าไปได้เลย แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อเที่ยวกลางคืน โดนกลบมิดแน่นอน และแน่ใจได้เลยว่ากริบ 

ความทน - ตัวนี้ค่อนข้างจะอิงเคมีรวมถึงประเภทของผิวกายพอสมควร ซึ่งความทนโดยทั่วๆ ไปจากที่เห็นมาเฉลี่ยจะราวๆ 4 ชม. แต่เอาจริงๆ หลายๆ คนที่ผิวกายเอื้อ เคมีได้ กลิ่นลากยาวไป 8 ชม. ขึ้นไปก็มีไม่น้อย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. ที่กลิ่นยังอยู่ แต่หลังจากนั้นจะเริ่มจางลงไปตามลำดับแล้วหายไป ไม่เกิน 10 ชม. 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้ความรู้สึกรื่นรมย์กำลังดี แล้วจะลดลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะปิดท้ายที่ Skin Scent เข้าทางสาย Safe Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - กลิ่นดอกไม้ขาวเอาจริงๆ ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมมาเสมอมาก เพราะถ้าตัวไหนที่มาแบบข้นๆ เรียกว่าจะสาวกันให้หนำไปข้างหรือไม่ก็เคมีของร่างกายจะทำปฏิกิริยาจนเวียนหัวกับกลิ่น แต่ตัวนี้ไม่ใช่ มาแบบกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ สบายๆ ธรรมชาติ และรื่นรมย์มากมาย คำว่า น้อยแต่มากชัดเจนทุกช่วงตัวจริงๆ สำหรับน้ำหอมกลิ่นนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://www.osmoz.fr/Public/Files/perfume/l_artisan_parfumeur_la_chasse_aux_papillons_100ml_296b262c1e.jpg



วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Amouage - Beach Hut Man

Amouage - Beach Hut Man

เมื่อออกมาใหม่ใสกิ๊งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2017 กับการนำเสนอความเป็น Amouage ในรูปแบบที่สื่อสารออกมาแนวๆ กระท่อมริมชายหาด ความตาวาวก็บังเกิด หามาลองทันทีแบบไม่รอว่าเมืองไทยจะขายเมื่อไหร่ เพราะเห็น Note กลิ่นที่ชอบอย่างมินต์ เมื่อซึมซับได้ที่แล้ว เลยมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่า Beach Hut Man จะออกมาในลักษณะไหน

กลิ่นเปิดมาเต็มเลยทีเดียวกับการผสมผสานของกลิ่นอายยางไม้ที่ให้ความรู้สึกเขียวติดเปรี้ยวขมของ Gallbanum ที่บางมุมจะมีความรู้สึกแบบกลิ่นออกทางผลไม้นิดๆ ผสมผสานกับกลิ่นสมุนไพรโปร่งเผ็ดปร่าติดเขียวของมินต์ที่วูบมาก่อนเลย ซึ่งกลิ่นแม้จะคมพุ่งกันในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงเพราะกลิ่นของดอกส้มจะมาผสมผสานในกลิ่นมีความนวลลงมา และจะมีกลิ่นอายแบบสบู่เลมอนมะนาวที่มาทำให้กลิ่นมีลูกเล่นติดเปรี้ยวสดชื่นนวลๆ อยู่ บางวูบจะรู้สึกได้ว่าคล้ายกับกลิ่นแนวๆ ลูกอมผลไม้รวมเปรี้ยวครีมบางๆ ซ่าๆ สมุนไพรอยู่บ้าง แน่นอนว่ากลิ่นในช่วงนี้จะตามไปสมทบกับช่วงกลางที่กลิ่นอายเขียวๆ อมหวานของตำลึงจะเสริมเข้ามา และมีความสากๆ เขียวเท่ห์ๆ ดาร์กนิดๆ ของ Oak Moss ที่เสริมเข้ามาด้วย ทำให้กลายเป็นกลิ่นอายลูกผสมตำลึงอมมินต์ติดที่ลอยเด่นออกมาเลย แต่จะรองพื้นด้วยกลิ่นอายของไม้หอมแห้งๆ Smoky อ่อนๆ จากความเป็นหญ้าแฝกแห้งๆ บางวูบมีกลิ่นอายแบบอากาศสดชื่นบางๆ ไม่ได้เป็นตัวละครหลักที่ดำเนินเนื้อเรื่องและไม่มีผลต่อกลิ่นหลักนัก แล้วกลิ่นไม้หอมแห้งๆ จะเริ่มเป็นตัวหลักที่เริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายเขียวๆ จะลดทอนลงไปความหวานยังมีอยู่นิดๆ แต่จะมีความแห้งเนียนไปกับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ เลย และมีความเป็นโทนสากเขียวจางๆ บางๆ จาก Oak Moss ที่มาผสมผสานกับพิมเสนอ้อยอิ่งเบาๆ ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนห่างๆ กันพอสมควร โดยกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ยังคงคุมโทนเด่นแบบยาวไป ซึ่งก็ได้อารมณ์แบบ Hut หรือกระท่อมไม้ที่แห้งๆ ไม่ได้ทาแลคเกอร์ได้อยู่ ภาพรวมจึงไม่ได้มาในลักษณะที่เป็นกลิ่นอายชายทะเลเลย ออกแนวอยู่ในกระท่อมไม้ที่มีกลิ่นอายเขียวสดชื่นติดนวลสากๆ มากกว่านั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้เพียงแค่ช่วงเปิดก็บอกได้แล้วว่าเป็นกลิ่นของคนวัยทำงานขึ้นไปอาจจะอายุซัก 25 อัพ จะเข้าถึงได้ง่าย แต่ถ้าน้องๆ วัยมหาลัยอยากจะลอง อาจจะรู้สึกว่ามันผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อยแม้ว่าจะกลิ่นสดชื่นก็ตามที ซึ่งกลิ่นใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่ใช่ล่อไปเป็น 10 สเปรย์นั่นเรียกว่า #มาเพื่อฆ่า แต่ถ้าถึงขนาดรับแขกบ้านแขกเมืองทางการจัดๆ ข้ามไปจะดีกว่า เพราะการเจอผู้คนสำคัญมันอาจจะไม่เหมาะเพราะเป็นสายชิลล์หรือกลิ่นไม่ได้ถูกใจทุกคน ออกกำลังกายพอได้บ้างในรอช่วงท้ายๆ ส่วนยามค่ำคืน ใส่ได้สบายมากไม่ว่าจะไปทำอะไร เพราะถือว่า Amouage ยังคงความดีงามในเรื่องการปล่อยของอยู่ 

ความทน - 8 ชม. ลงตัว และสามารถไปได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำไป เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่าชัดเจนและมาเต็ม แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบเสถียรพอตัวไปจนถึงช่วงท้ายๆ พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป 

ทิ้งท้าย - มันก็ดีอยู่ ถ้าไม่คาดหวัง แต่ถ้าคาดหวังอาจจะรู้สึกว่าเสน่ห์ของความเป็น Amouage ที่แม้ว่าจะเป็นโทนไหนก็จะสามารถใส่ลูกเล่นและมิติที่มีความลุ่มลึกลงไปได้แบบเฉพาะตัวของแบรนด์มันหายไป แต่มีความเป็นสไตล์ Designer ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมากแทน สุดท้ายอารมณ์ส่วนตัวจากการใช้ตัวนี้ คือ เปิดตัวน่าสนใจมาก แต่พอฉีดเท่านั้นแหละ อืมมมม อารมณ์เดียวกับที่อ่านเจอรีวิวตัวนี้จากบางเวบเลยว่า เหมือนเจอคนที่ดูดีมากแล้วพออีกฝ่ายเปิดปากพูดเท่านั้นแหละรู้สึกว่าน่ารำคาญและน่าเบื่อ (-.-) ขึ้นมาทันทีเลย 555555555 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://fimgs.net/images/secundar/o.50084.jpg



วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Strangers Parfumerie - MAIA

Strangers Parfumerie - MAIA 

หลังจากรู้ว่า Perfumer ของแบรนด์ PRYN PARFUM ได้ปล่อยน้ำหอมแบรนด์แยกออกมาอีกหนึ่งแบรนด์ที่จะนำเสนอความเป็น Niche Perfumerie ในแบบที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นแบบที่ไม่ได้เน้น Package และรูปลักษณ์ของขวด เน้นที่คุณภาพของกลิ่นเป็นสำคัญอย่าง Strangers Parfumerie เช่นนั้นมีหรือที่จะพลาดไม่ซื้อหามาลอง จนขอมาบอกเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่าตัวแรกของแบรนด์ที่จัดเต็มไปแล้
วอย่างรุ่น MAIA จะเป็นยังไงบ้าง 

เปิดตัวกลิ่นกันด้วยความเป็นโทนใสๆ ติดเขียวกันได้เลย โดยที่ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดผลไม้ออกทางหวานใสๆ ของพีชกลั้วกับกลิ่นเขียวๆ ออกทางหญ้าและมีกลิ่นติด Citrus หน่อยๆ เลยจะได้ความสดชื่นให้สัมผัสได้กำลังดี ที่สำคัญมีความเป็นดอกไม้ใสๆ กลิ่นอายแนวๆ ดอกโบตั๋นที่ให้ลักษณะแบบกุหลาบที่สดชื่นสว่างๆ ทำให้ได้ความหวานใสปนเขียวสว่างสดชื่นเลย เพียงไม่นานความหวานจะเริ่มเผยตัวออกมามากขึ้นและนำเข้าสู่ช่วงกลางโดยที่จะมีศูนย์กลางหลักของกลิ่นที่จะยอู่แบบยาวไป คือ น้ำผึ้ง ซึ่งจะไม่ได้มาแบบแนวข้นหวานเยิ้ม แต่จะมาแบบน้ำผึ้งแบบหวานใสๆ ผสมผสานกับกลิ่นดอกไม้ที่นวลๆ จากดอกลีลาวดีที่หอมเย็นๆ นวลๆ อวลงามๆ กับดอกส้มที่มีความสะอาดสดใส และมีกลิ่นกุหลาบเสริมอยู่หน่อยๆ ซึ่งจะแบ่งภาคกันเป็นอย่างดีคือ ดมห่างๆ จะได้ความใส ดมใกล้ๆ จะได้ความนวลดอกไม้ขาวอมหวานน้ำผึ้งไปตลอด ซึ่งกลิ่นจะมีความน่ารักและหอมหวานแบบใสๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย แถมด้วยความมีระดับติดธรรมชาติในเนื้อกลิ่นได้ดีเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นจะยังมีความหอมหวานนวลๆ สไตล์ดอกไม้ขาวกับน้ำผึ้งอยู่ เพียงแต่จะเริ่มมีมิติติดอบอุ่นจางๆ จากวานิลลาที่ไม่ได้ออกทางขนม มีความเป็น Lite Version แบบให้สัมผัสได้ค่อนไปทางติดแป้งนวลเสียด้วย และมีความเรียบหรูแฝงลงไปในเนื้อกลิ่นจากกลิ่นอายของพิมเสนที่มาแบบเบาๆ อ้อยอิ่งตีคู่กับ Oak Moss ที่มีกลิ่นอายติดเขียวสากบางๆ มีความอะโรม่าแบบ Rich Tone หรูหราและมีความเป็นธรรมชาติที่รองพื้่นมาผสมสาน กลิ่นในช่วงนี้เลยจะได้อารมณ์แบบผู้หญิงชุดขาวพลิ้วสบายๆ ไม่ได้ดูกรุยกรายจ๋าเดินเล่นท่ามกลางดอกไม้และกลิ่นหอมหวานใสๆ รอบตัวๆ ให้อารมณ์สว่างและอ่อนหวานแบบไม่จงใจมีความเป็นธรรมชาติได้ชัดเจนมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นนำเสนอความเป้นสาวแรกแย้มที่วางตัวดีมีระดับได้น่าดูชมก็ได้ จะออกแนวผู้หญิงที่อาจจะโตขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่นำเสนอด้านหอมหวานน่ารักใสและนวลมีระดับก็สามารถ ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป สร้างควาแต่ให้ตัดออกในเรื่องของการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายนี้เลย ส่วนยามค่ำคืนสามารถใช้ได้แบบออกงาน เดินเที่ยว พักผ่อน หรือสบายๆ ก็ได้หมด จริงๆ จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ ถ้าอยากจะนำเสนอความใสนวลสว่างให้บุคลิก แต่อาจจะต้องอัดสเปรย์หน่อยเวลาจะได้สู้กับโทนเย้ายวนหวานๆ กับคนอื่น 

ความทน - อันนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมกับ 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายๆ ส่วนตัวลองแล้ว 12 ชม. กลิ่นยังอยู่กับ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางจนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป

ทิ้งท้าย - อารมณ์ของกลิ่นอาจจะมีความใสนวลหวานแบบที่สาวๆ ได้กลิ่นมักจะชอบได้เลยในทันที และทำให้ประทับใจได้ง่ายเลย แต่สิิ่งที่เด็ดดวงกว่ามันคือการใส่มิติของกลิ่นอายสไตล์ Niche Perfume ที่สร้างอัตลักษณ์ที่เรียบหรูมีระดับแบบไม่จงใจและมีความเป็นธรรมชาติ เช่นนั้น กลิ่นนี้ใช้ง่ายไม่พอ แต่ใช้แล้วจะหอมอย่างมีระดับแล้วไม่เหมือนใครนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by Page: Strangers Parfumerie -https://www.facebook.com/strangersparfumerie/photos/a.127548157910376.1073741829.124616551536870/127549637910228/?type=3



วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Atelier Cologne - Cedrat Enivrant

Atelier Cologne - Cedrat Enivrant 

ได้เวลาของกลิ่นอายธรรมชาติสดชื่นสไตล์ Cologne แต่มาในรูปแบบความเข้มข้นแนว Cologne Absolue เป็น EDP ขึ้นไปถึง Pure Parfum ตามแต่ละตัวที่ Atelier Cologne จะนำเสนอ ซึ่งคราวนี้ได้วนมาเจอกับกลิ่นอายแบบ Citrus ที่เรียกว่ายังไงก็รอด เช่นนั้นลุยแล้วแล้วกันกับรุ่น Cedrat Enivrant ผลที่ออกมาคือ
 

กลิ่นเปิดสดชืิ่นมาก เรียกว่าเป็นการปล่อยพลังประวานโทน Citrus ได้เลย แต่ความดีงามอย่างนึงคือ การเกลาโทนกลิ่นของ Citron ที่คนฝรั่งเศสเขาเรียกว่า Cedrat (คนไทยเรียกว่า ส้มโอมือ”) ได้ลงตัวมากจริงๆ มีเสน่ห์ติดซ่าๆ เปรี้ยวสดชื่นตามธรรมชาติ แต่ไม่คมบาดเกินไป โดยผสมผสานกลิ่นเปรี้ยวสดชื่นของมะนาวที่มาวูบแรก และตามด้วยเปรี้ยวติดเขียวเจือไปทางขมของ Bergamot และมีกลิ่นออกทางสมุนไพรออกทาง Fresh Spicy โปร่งๆ ติดเขียว และมีความนวลๆ กลิ่นเลยเป็น Citrus ที่สดชื่นกำลังดี ไม่คมเกินไป และไม่นุ่มเกินไป ทำให้ปลอดโปร่งแบบอากาศดีๆ มีความซ่าๆ Sparkling กันได้เลย ซึ่งกลิ่นโทนสมุนไพรที่โปร่งๆ ติดเขียวจะเปิดตัวต่อเนื่องทำให้จับโทนได้เลยว่าเป็น Mint กลั้ว Citrus ที่กลิ่นสมดุลกำลังดีนำเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นสดชื่นจะเริ่มมีความเขียวติดนุ่ม มีความเป็นโทน Airy แบบอากาศดีๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นที่ทำให้โทนสดชื่นมีความนวลลงมาจะจับได้บางๆ อย่างโหระพา ทำให้กลิ่นมีความกลมมากขึ้น มีความเป็นโทนผ่อนคลายอะโรม่าท่ามกลางความสดชื่นติดเขียวได้ดีและเป็นธรรมชาติเลย เพียงไม่นานกลิ่นอายแห้งๆ แบบไม้หอมแห้งๆ จะมาผสมผสาน และนำเข้าสู่ช่วงท้าย ซึ่งจะเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ แบบหญ้าแฝกกลั้วความเป็น Citrus สดชื่นที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นแต่ลดระดับลงมาเป็นความสดชื่นติดแห้งๆ กำลังดี กลิ่นมีความสะอาดเป็นพื้นฐานเลย เนื้อกลิ่นมีความครีมมี่จางๆ อบอุ่นเอาๆ และมีความเป็นสมุนไพรหน่อยๆเสริมให้มีลูกเล่นเบาๆ เสียด้วย ภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่เรียกว่ามาสายสดชื่นมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้บาดหรือปรุงแต่งจนขาดๆ เกินๆ เลยจะได้ความรู้สึกทั้งสดชื่น ผ่อนคลาย สะอาด หรูหราแบบเป็นธรรมชาติครบถ้วน แถมยังเข้าถึงได้ง่ายมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลยตั้งแต่เด็กน้อยวัยประถมก็สามารถเพราะกลิ่นไม่หนัก มีความสดชื่นแบบธรรมชาติลงตัว เข้าถึงได้ง่าย และยังไงก็รอด ใส่ได้แบบกวาดหมดครอบจักรวาลในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แถมเหมาะกับอากาศบ้านเราอย่างมาก ส่วนยามค่ำคืนจะเหมาะกับการใส่แบบทั่วๆ ไป ผ่อนคลาย แบบคืนที่อากาศร้อนๆ นี่ก็สร้างความสดชื่นได้ดีมาก ยกเว้นใส่ไปท่องราตรี อันนี้โดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - เรียกว่าเป็นโทน Citrus Aromatic ที่ทำได้ดีในเรื่องความทนเลยทีเดียวกับราว 8 ชม. กำลังดี แม้จะมีเหงื่อซึมๆ หรือออกกำลังกายมาก็ตาม อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นให้รับรู้ยามร่างกายทำความร้อนในช่วงท้าย ดมที่ผิวจะยังติดอยู่ชัดเจน

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ Atelier Cologne ทำออกมาได้ดีมากในแง่ของกลิ่นอายที่ธรรมชาติและใช้งานได้ง่าย โดยไม่เหมืิอนใคร มีระดับและหรูหราในเนื้อกลิ่นได้ดี อันนี้ต้องยอมยกให้เขาจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://static.iledebeaute.ru/files/images/tag/part_4/95352/pre/500_500sb.jpg



วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Jaguar Classic Red

Jaguar Classic Red 

น้ำหอมค่ายรถที่เรียกว่าผ่านหูผ่านตากันให้ตรึมๆ และรึ่มๆ หนึ่งในนั้นต้องมี Jaguar อย่างแน่นอน กับกลิ่นอายเท่ห์ๆ ตามสไตล์รถของแบรนด์ โดยเมื่อปี 2009 แบรนด์นี้ได้มีการต่อยอดน้ำหอมมาโดยเป็นสาย Jaguar ปกติและ Jaguar Classic แต่เมื่อเห็นคำว่า Classic ไม่ใช่ว่าจะคิดไปเลยว่ากลิ่นจะมีอายุ แต่กลิ่นจริงๆ มีระดับและเป็นหนึ่งในน้ำหอม Designer ที่ทำกลิ่นได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว เช่นนั้น ได้มีโอกาสมาแตะฝั่ง Jaguar Classic ในรุ่น Classic Red เลยต้องเล่ากันหน่อยว่ามันจะเป็นลักษณะไหน และกลิ่นทำออกมาได้เท่ห์สมความเป็นแบรนด์หรือไม่

เปิด Top Notes ด้วยความเป็นผลไม้โทนเบอร์รี่หวานแต่ไม่เจี๊ยบมาก เพราะในเนื้อกลิ่นมีความอุ่นติดครีมมี่รองพื้นอยู่ชัดเจนตั้งแต่ต้นเลย เลยจะตัดทอนความเป็นผลไม้จ๋าๆ ออกไปพอสมควร แต่ยังมีลายเซ็นกลิ่นที่จับได้ชัดเจนอยู่ว่ามีกลิ่นของราสเบอร์รี่ลอยไปมาอยู่ตลอด โดยมีลักษณะกลิ่นโทนสีแดงอุ่นตามชื่อรุ่นว่า Red เลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นอายแบบเปรี้ยวติดซ่าหน่อยๆ แต่เกลากลิ่นมาแล้วของแบล็คเคอแรนท์ที่ทำให้มีความสดชื่นเคล้าความอบอุ่นให้สัมผัส จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นซ่าๆ ที่สัมผัสได้จะชัดมากขึ้น เพราะกลิ่นของเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่งจะเสริมกลิ่นของราสเบอร์รี่จะยังตามมาในช่วงนี้ แต่ออกแนวผสมผสานกลิ่นอายฟรุตตี้ติดเผ็ดโปร่งแบบแมนชัดเจนและกรุ้มกริ่มแบบไม่ได้โจ่งแจ้ง แต่ทั้งนี้นั้นสิ่งที่แย่งซีนตัวจริงเลยคือ โทนอบอุ่นที่เริ่มจะดันเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นอ้อยอิ่งรื่นจมูกของพิมเสนที่เกลากลิ่นให้นวลๆ จนได้ทีก็เป็นการเข้าสู่ Base Notes ที่จะชัดเจนในลักษณะโทนไม้หอมที่มีความอบอุ่นจากแอมเบอร์กับวานิลลาที่จะอบอุ่นเย้ายวนกำลังดี เสริมด้วยความครีมมี่ที่อยู่มาตั้งแต่ตอนต้นแล้วค่อยมาร่วมพีคในช่วงนี้ แต่ในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมขรึมๆ เคล้าอ้อยอิ่งสะอาดๆ ของพิมเสนที่ตีคู่ผสมผสานไปตลอด อารมณ์ของกลิ่นมีความเป็นสีแดงนวลๆ แต่ไม่ได้ร้อนแรงจัดๆ เลยจะได้อารมณ์แบบผู้ชายอบอุ่นไม่ได้ถึงกับฮอตช่า แต่มีความละมุนเย้ายวนและดึงดูดที่ลงตัวเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปสามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้แล้ว สร้างมาดและภาพลักษณ์แบบอบอุ่นติดเท่ห์และมีสไตล์เคล้ากรุ้มกริ่มบางๆ ได้อารมณ์สีแดงติดนวลกำลังดี โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งงานทางการก็ใส่ได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม และทั่วๆ ไปให้อบอุ่นเท่ห์ๆ หน่อยก็สามารถ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้เข้าทางแม้แต่น้อย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นถือว่ารอดและเรียกร้องความสนใจได้ดีไม้น้อยเลย 

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีเลยทีเดียว เพราะอยู่ที่ประมาณ 8 ชม. ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวฉีดไป 6 สเปรย์ อยู่ที่ 8 ชม. ได้สบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบเรื่อยๆ จนพอเข้าช่วงท้าย จะออร่ารอบๆ ตัว พ้นซัก 6 ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ Jaguar ทำออกมาได้เชื่อมโยงกับแบรนด์รถยนต์ Luxury ของตัวเองได้ดีเลยทีเดียว กลิ่นไม่ได้เหมือนใคร และมีสไตล์ที่ให้ความรู้สึกร้อนแรงแบบนวลๆ เข้าสายอบอุ่นน่าเข้าใกล้ได้น่าสนใจมาก

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.xpressionsstyle.com/ae/media/catalog/product/cache/1/image/600x600/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/j/a/jag_class_red.jpg

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Pierre Guillaume - Collection Croisère: Mojito Chypre

Pierre Guillaume - Collection Croisère: Mojito Chypre

หลายๆ คนที่ผ่านน้ำหอมของแบรนด์ Parfumerie Generale ขอเรียกย่อๆ ว่า PG มาแล้ว น่าจะคุ้นชื่อ Pierre Guillaume ที่หล่อลากกันมาพอสมควร เพราะเป็นทั้งเจ้าของแบรนด์และ Perfumer ของแบรนด์นี้ เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น
 การเป็น PG จึงได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูก และรวบรวมเอาไลน์ต่างๆ ที่สุคนธกรผู้นี้ทำมารวมกัน โดยตั้งชื่อแบรนด์หลักเป็นชื่อเดียวกับสุคนธกรแทน 

ในเมื่อรวมเป็นแบรนด์หลักแบรนด์ใหญ่ ไลน์ต่างๆ ที่รวบรวมเข้ามาหรือสร้างขึ้นมาใหม่ก็ถือว่ามีให้เลือกกันแบบตรึมๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไลน์ Collection Croisère ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการล่องเรือสำราญ และหนึ่งในนั้นจะมีอยู่ 1 รุ่นที่เห็นครั้งแรกก็ขวนขวายมาลองกันทันที เพราะสายน้ำหอมแนวดริ๊งค์ค็อกเทลนี่เป็นสิ่งที่โปรดปรานมากนั่นก็คือรุ่น Mojito Chypre และกลิ่นที่ได้ก็เป็นเช่นนี้ 

เปิดมากลิ่นมินต์เคล้าความเป็นสตรอเบอร์รี่ และมีมะนาวเจือพุ่งมาก่อนเลย กลิ่นจะได้อารมณ์แบบสดใสลั่นล้า แต่มีกลิ่นอายแบบ Aldehydes ที่เป็นสบู่คมๆ พุ่งๆ สว่างๆ รองพื้นอยู่ กลิ่นจะมีความสดชื่นแบบซ่าวูบขึ้นมาแบบวันฟ้าโปร่งเคล้าความเริงร่าของโทนสตรอเบอร์รี่กับมินต์ชัดเจน เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเหล้ารัมจะดันขึ้นมา ซึ่งอารมณ์ตอนนี้จะชัดเจนตามชื่อรุ่นเลยเพราะกลิ่นจะเป็นค็อกเทลสดชื่นอย่าง Mojito เต็มๆ แต่ไม่ได้เป็นแบบ Virgin Mojito แบบที่เป็นแค่รัม มินต์ มะนาว และเสริมโซดาหรืออาจจะไม่ก็แล้วแต่ แต่จะเป็นลักษณะของ Strawberry Mojito เลย เรียกว่าเอา Mojito ปกติใส่น้ำสตรอเบอร์รี่และผลสดลงไป กลิ่นเลยจะมาเป็นค็อกเทลสดชื่นน่ารักหอมหวานติดเปรี้ยวที่มีความขี้เล่นกำลังดี เรียกว่าเป็นกลิ่นที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมตัวนี้กันเต็มๆ ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไประยะหนึ่งโทนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงให้สัมผัสได้ โดยที่จะเริ่มมีลักษณะของความเป็นกลิ่นพิมเสนอ้อยอิ่งเสริมเข้ามาและมีกลิ่นอายติดสากดิบจางๆ ของ Oak Moss ค่อยๆ เปิดตัวออกมาเคล้ากับกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ซึ่งจะเป็นการดึงเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม โดยที่จะไม่ได้มาแบบเทคโอเวอร์เปลี่ยนโทนแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มาแบบสนับสนุนและตรึงให้กลิ่นของค็อกเทลยังคงอยู่แบบที่ลดระดับลงมาไม่ได้ลั่นล้ามากอย่างช่วงต้นและช่วงกลางแล้ว เลยจะได้ความรู้สึกเป็นกลิ่น Strawberry Mojito แบบอ่อนๆ เคล้ากลิ่นติดโทนดิบสากจางๆ ให้รู้สึกถึงความดาร์กเบาๆ และมีความเย้ายวนอ้อยอิ่งบางๆ ไม่ได้โจ่งแจ้ง กับสถานที่ที่ก่อสร้างด้วยไม้ที่มีสไตล์กับอากาศอบอุ่นจางๆ ได้อารมณ์พักผ่อนที่แอบมีความลั่นล้าและเซ็กซี่น่าค้นหาเบาๆ ไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเลย เพียงแต่จะเอนไปทางสาวๆ มากกว่าผู้ชายหน่อย เพราะความเป็นสตรอเบอร์รี่มันดูลั่นล้าร่าเริงไพล่ไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้ แต่ยังไงผู้ชายก็ยังใส่ได้ เพราะมันมีความขี้เล่นในเนื้อกลิ่นได้อยู่ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเที่ยวทะเล เดินเล่น Shopping หรือชิลล์ๆ อะไรก็ตาม แต่จะไม่ได้เข้ากับการใส่ไปทำงานหรือออกงานที่ทางการนัก เพราะกลิ่นมันลั่นล้าเกินไป รวมถึงใส่ออกกำลังกายก็ขัดแย้งกับกลิ่นเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาด้วย ยกเว้นใส่ไปทำทีเป็นออกกำลังกายแต่เดินอ่อยไปมานั่นอีกเรื่อง ส่วนยามค่ำคืน ถ้าเป็นลักษณะแบบปาร์ตี้ริมสระน้ำหรือปาร์ตี้กลางแจ้ง หรือปาร์ตี้ริมทะเลกลิ่นนี้ลงตัวมาก เข้าทางเหมาะเจาะทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าใส่ไปคลับหรือผับ โดนขาวบ้านกลบหมดแน่นอน เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลังได้มากพอเมื่อเมียบเท่ากับกลิ่นโทนหวานจัดหนักของคนเที่ยวกลางคืนขนาดนั้น 

ความทน - เรียกว่าแกว่งพอสมควร โดยจะอยู่ที่ราวๆ 4 - 8 ชั่วโมง อิงตามสภาพผิว เคมี และอากาศ รวมถึงจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งกลิ่นนี้กรณีถ้าเจอคนผิวแห้งหายต๋อมไวมาก เพราะมันจะไม่เกาะผิวเลย แต่ถ้าเจอกับผิวชุ่มน้ำ ลากยาวไป 8 ชม. ได้สบายๆ และมากกว่านั้นได้ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบปานกลางในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่าหอมสดชื่นสั่นล้ารอบๆ ตัว ลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายแบบไม่ได้เน้นปล่อยพลังแต่อย่างใด แต่พอผ่านไปซัก 4 - 6 ชม. อิงตามประเภทผิว จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นเบาๆ ยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - เอากลิ่นนี้ไปลองกับคนที่มีผิวแห้ง และลองกับตัวเองเทียบกันชัดเจน เรียกว่ามันพึ่งเคมีของสภาพผิวเต็มๆ เรียกว่า ถ้าลองก่อนได้ก็จะเป็นเรื่องดีมาก แต่ยกเว้นใครที่เป็นสาย Strawberry Lover บอกเลยไม่มีคำว่าผิดหวัง เพราะมันได้อารมณ์แบบลั่นล้า ขี้เล่น ที่มีระดับและมีชั้นเชิงแบบติดหรูหน่อยๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://i.pinimg.com/736x/7f/c1/10/7fc11078952a4f40cc631b965a4c2cbb--mojito.jpg



วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Mediterraneo

Carthusia - Mediterraneo 

กลับมาสู่กลิ่นอายของเกาะ Capri กันอีกรอบกับแบรนด์ Carthusia ที่สื่อสารถึงกลิ่นอายสดชื่นที่เรียบหรูและมีระดับแนวๆ
 ตากอากาศกันอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ได้เวลาของตัวที่เรียกว่าเรียกเรตติ้งของแบรนด์แล้ว และกลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่น Signature ของดาราและนักแสดงที่ยิ่งอายุมากยิ่งหล่อลากมากกกกอย่าง George Clooney เลย เช่นนั้น จะพลาดได้ยังไง ต้องจัดมาลองและเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน 

Mediterraneo เปิดต้นกลิ่นมาก็ทำให้รู้สึกสดชื่นกันแบบชัดเจนและเต็มๆ โดยจะมีกลิ่นของเลมอนที่ชัดเจนฟุ้งกระจายออกมา มีติดขมเล็กๆ คล้ายๆ โทนของมะกรูด Bergamot ที่นัวเนียอยู่ด้วย และจะเสริมด้วยกลิ่นออกทางเปรี้ยวติดเขียวแนวๆ ใบเวอร์บีน่าหรือใบเลมอน รวมถึงยังไม่พอมีกลิ่นอายแบบตะไคร้จางๆ แทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นเสียด้วย กลิ่นเลยจะเป็นโทน Citrus ที่คมเด่นก็จริง แต่จะมีความอะโรม่าทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายไปในตัวมาก ความเป็นเลมอนนี่เรียกว่าชนะเลิศไปเลยเพราะคุมโทนเด่นอยู่ตลอด และเพียงไม่นานกลิ่นอายของชาเขียวจะแทรกเข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงกลางกันเต็มๆ ช่วงนี้คิอไฮไลท์กันเลย เพราะเป็นกลิ่นอายแบบชาเขียวเลมอนที่สดชื่นมาก ซึ่งจะลอย On Top ออกมาเลย แต่ในเบื้องหลังจะมีกลิ่นสนับสนุนแบบสร้างบรรยากาศอยู่อย่างสายสมุนไพรสดชื่นอย่างมินต์ กับสายโทนดอกไม้ที่มานวลๆ สบายๆ ได้อารมณ์กลิ่นอายแบบจิบชาเลมอนเย็นท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นติดเขียวและดอกไม้จางๆ รอบตัวมาก ใครที่ชอบกลิ่นชาเลมอนแบบนี้เรียกว่าฟินจัดกันได้ ที่สำคัญกลิ่นโทนชาเลมอนนี้จะตามไปยังช่วงท้ายเลย กลิ่นจะมีอารมณ์แนวๆ สบู่จางๆ ในเนื้อกลิ่น และมีโทนของไม้หอมอ่อนๆ ความเป็น Musk จางๆ ที่ให้ความสะอาดด้วย เพียงแต่เป็นสายสนับสนุนทั้งหมดเลย กลิ่นยังคงเป็นลักษณะของชาเลมอนเย็นอยู่แต่จะมีความแห้งกลิ่นจะยังคงอะโรม่าแบบเลมอนกลั้วชายาวไป มีออร่าของความเรียบหรู สดชื่น และผ่อนคลายจนกว่าจะหายไปจากผิวเลย 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนประถมขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งใครชอบสายอะโรม่าของกลิ่นชาและฟินกับความเป็น Citrus ที่สดชื่น ตัวนี้อาจจะทำให้ฟินได้เพียงแค่แรกดมได้เลย โดยสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย กวาดหมดครอบจักรวาลชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ หรือตากอากาศ หรือทั่วไปรวมถึงออกงานก็ใส่ได้สบายมาก ให้ความผ่อนคลายและสดชื่นจริงจัง แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพราะโดนชาวบ้านกลบหมดแน่นอน 

ความทน - ตัวที่ใช้เป็น EDT ความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. มีบวกลบประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย มีลักษณะการกระจายที่เป็น Safe Scent ในระดับหนึ่ง เน้นให้คนใส่มีความฟินกับกลิ่นประมาณนั้น 

ทิ้งท้าย - ชาเลมอนของข้าาาาาาาาาาาาาาา ข้าชอบเจ้ามากกกกกก 5555555 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://fourseasonsproducts.com/wp-content/uploads/2015/08/cmededt.jpg



วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Carolina Herrera - Good Girl

Carolina Herrera - Good Girl 

เห็นขวดครั้งแรกก็ส้นเข็มกันซะขนาดนี้ กับชื่อรุ่นว่า Good Girl ของ Carolina Herrera แม้จะดู Contrast แต่มันเก๋ไก๋อย่าบอกใคร ยิ่งมีคำโปรยห้อยท้ายมาด้วยว่า “It’s so good to be bad” มันเลยมีความแซ่บอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เมื่อความเก๋มาเสิร์ฟขนาดนี้ ก็ขอลองกันซักหน่อยว่าความเป็น Good Girl ในนิยามของแบรนด์นี้จะออกมาในลักษณะไหน
 

เปิดต้นกลิ่นมาความรู้สึกแนวๆ ผลไม้ผสมกับเบอร์รี่จะมาแบบวูบแรกให้รู้สึกได้เลย แต่แล้วจะมีกลิ่นอายแบบครีมมี่ติดกาแฟจางๆ ผสมผสานอยู่ข้างใน และยังไม่พอกลิ่นโทน Floral ที่มีความนวลผสมครีมมี่ก็จะดันขึ้นมาเร็วพอสมควร ดึงเข้าสู่ช่วงกลางภายในระยะเวลาไม่นาน และคราวนี้จะชัดเจนเลยนั่นคือกลิ่นอายแบบครีมมี่เย้ายวนของซ่อนกลิ่น และมีกลิ่นอายของมะลิติดข้นนวลหน่อยๆ เสริม แต่สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือ กลิ่นอายเป็นโทนดอกไม้ขาวติดหวานก็จริง แต่เพราะการที่มีกลิ่นอายติดกาแฟ และมีกลิ่นอายของโกโก้ที่เสริมขึ้นมา เลยทำให้ดอกไม้ขาวหวานครีมช่วงนี้จะได้อารมณ์ติดดาร์กข้นเข้ามาด้วย กลิ่นเลยจะออกทางโทนสีน้ำตาลนวลหวานเด่นมาเลย มีทั้งความครีมนวลหวานและึความดาร์กเย้ายวนเข้ามากันให้ครบ เพียงแต่ไม่ได้ออกทางขนมนักเพราะมีโทนอับเซ็กซี่ติดแป้งเจืออยู่ตลอด ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้กลิ่นนี้มีลูกล่อลูกชนจะหวานก็ได้ จะยั่วก็สามารถ ซึ่งเนื้อกลิ่นครีมมี่จะเริ่มเปิดตัวมากขึ้นจนจับได้ว่าเป็นกลิ่นของถั่วตองก้า และก็เข้าสู่ช่วงท้ายกันอย่างชัดเจนที่จะมีความครีมมี่ติดโกโก้อบอุ่น เจือวานิลลาหน่อย ตัดทอนด้วยกลิ่นของไม้หอมที่ไม่ทำให้เป็นกลิ่นขนม ทำให้กลิ่นมีความขรึมมั่นเข้าด้วย เลยทำให้เป็นกลิ่นโทนเซ็กซี่เย้ายวนแบบติดดาร์กหวานกำลังดี มีกลิ่นโทนครีมมี่ซ่อนกลิ่นในช่วงกลางยังตามมาจางๆ เลยทำให้ได้อารมณ์ดึงดูดเข้ามาด้วย ซึ่งได้อารมณ์ลักษณะแบบน้ำหอมเซ็กซี่มาดมั่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เข้าทางตามที่คำโปรยบอกไว้เลยว่า It’s so good to be bad 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นมีความแซ่บที่ไล่เรียงมิติเหมือนจะน่ารักดูดี แต่จริงๆ มั่นและร้ายกว่าที่คิด สร้างมิติให้ตัวคนใส่มีความ Chic ได้ด้วย ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำกัดสเปรย์ เพราะถ้ามากไปเดี๋ยวจุกคอหอยตายเสียก่อน กลิ่นอาจจะไม่เหมาะกับการรับแขกบ้านแขกเมืองนัก รวมถึงไม่ควรใส่ออกกำิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายแต่ประการใด แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือใส่ทั่วๆ ไป อันนี้ได้สบายมาก ดูมาดมั่นดี ที่แน่ๆ ยามกลางคืนตัวนี้พร้อมรบมากอีกตัวที่ทำให้เห็นถึงความเซ็กซี่เย้ายวนแบบที่มีระดับกำลังดี และเรียกร้องความสนใจได้ดีอีกด้วย 

ความทน - ดีงามมมมม กับ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แล้วจะลดระดับลงมากระจายดี เรียกว่ามาสายปล่อยของกันในระดับหนึ่งเลย แต่พอเข้าช่วงท้ายจะลงมาที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วจะเริ่มผันเป็น Skin Scent ชัดเจน

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ อันนี้คือกลิ่นสาวมั่น แบบว่า ทำไมเหรอชั้นเป็นเด็กดีที่นุ่งสั้น ใส่ส้นเข็มไง ผิดตรงไหนเหรอที่แน่ๆ แค่ขวดก็กินขาดแล้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://www.punmiris.com/himg/o.44147.jpg



วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Chloe Absolu de Parfum

Chloe Absolu de Parfum 

ไล่เรียงกันมาด้วยการเป็นโบว์ต่างสีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่โบว์ครีม โบว์ดำ โบว์ขาว โบว์เขียว และโบว์บานเย็น ซึ่งได้รับความนิยมมาไม่หยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ และ Chloe ยังไม่จบ ปล่อยออกมาอีกเพื่อตอกย้ำความสำเร็จกับรุ่นล่าสุดที่ปล่อยออกมาในปี 2017 โดยระบุว่าเป็น Limited Edition ซะด้วย ซึ่งกลิ่นจะเป็นยังไงนั้น ต้องดมกับรุ่นนี้เลย Chloe Absolu de Parfum 

เปิดมาความรู้สึกบอกเลยว่า ไม่ได้เหมือนกับตัวต้นตระกูลอย่างโบว์ครีมที่จะเป็นโทนโบตั๋นกับกุหลาบใสๆ เคล้าลิ้นจี่คมๆ แต่จะเป็นกลิ่นกุหลาบที่มาแบบกึ่งใสกึ่งนวล ไม่ได้แห้งไป และไม่ได้ฉ่ำไป มีความใสในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้ถึงกับลั่นล้าเริงร่าเท่าไหร่นัก เพราะมีความอบอุ่นเจือๆ ให้รู้สึกได้บางๆ และหลังจากนี้ไปตั้งแต่ต้นจนจบกุหลาบ จะติดตามท่านไปจนกว่าจะหมดแรงไปเองเลย เพราะอยู่ในทุกช่วงของน้ำหอมแบบที่เป็นตัวเอกไปตลอดจริงๆ ซึ่งพอเข้าช่วงกลางความรู้สึกในสไตล์ Chloe โบว์ครีมเริ่มกลับมา กลิ่นจะมีความสดชื่นของกุหลาบกลั้วกับดอกไม้ที่มีความหวานอมเปรี้ยวจางๆ และติดเขียวหน่อยๆ ไปตลอด แต่สิ่งที่เด่นขึ้นมาชัดเจนเลยคือ พิมเสน เพราะจะตีคู่กับความสดชื่นของความเป็นดอกไม้กุหลาบติดดอกไม้หวานอมเปรี้ยวแบบว่าเพราะเราคู่กัน ทำให้กลิ่นช่วงนี้แม้จะคล้ายความเป็นต้นตระกูล แต่ก็จะได้โทนกลิ่นที่มาสาย Eatrhy สไตล์พิมเสน ที่จะเพิ่มมิติพลิ้วๆ รื่นจมูกเสริมความหรูหราให้กลิ่นชัดมากกว่ารุ่นปกติเลย โดยที่จะสัมผัสได้ว่ามีความอบอุ่นนิ่งๆ อยู่เป็นฉากหลัง กลิ่นเลยจะมีความซับซ้อนในระดับที่น่าสนใจคือ มีความนิ่งและรู้จักวางตัวมากขึ้น ไม่ใสหรูหราแบบโบว์ครีม ไม่ห้าวแบบโบว์ดำ และไม่ไปสายลูกสาวกำนันเดินท้องทุ่งแบบโบว์เขียว ซึ่งกลิ่นจะเริ่มพัฒนาเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งแม้ว่ากลิ่นกุหลาบจะยังตามมาเบาๆ เคล้าพิมเสนให้อารมณ์ลักษณะแบบสไตล์โบว์ครีม แต่กลิ่นอายอบอุ่นกำลังดีจะชัดเจนกันซึ่งๆ กับการเป็นวานิลลาซึ่งจะมาแบบนวลๆ อุ่นเบาๆ ในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ เสริมเข้ามา มีความครีมอุ่นมากขึ้นทำให้กลิ่นมีระดับหรูหราแบบวางตัวนิ่ง มีความเซ็กซี่เย้ายวนอยู่แต่ไม่โจ่งแจ้ง ภาพรวมบอกได้ชัดเจนเลยว่านี่คือ Chloe โบว์ครีมภาคที่โตขึ้น แบ่งสมดุลระหว่างความ Nice แบบผู้หญิงสดชิื่น และความนิ่งแบบผู้หญิงน่าค้นหาและวางตัวดีมีระดับนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ เลย วัยทำงานขึ้นไปใช้ได้สบายมาก เพราะมันเป็นเหมือนภาคที่โตขึ้นของโบว์ครีม ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมีความนุ่มและนิ่งมากขึ้น ใส่ออกกลางแจ้งพอได้ แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายสร้างความสดชื่น ส่วนยามค่ำคึืนจัดไป กลิ่นมีระดับไม่ได้ไร้เดียงสาและไม่ได้เปรี้ยวแรดแก่นแตก มีความหรูหราในตัวและมีมาดที่สวยแบบมีอะไรดีๆ ข้างในไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ ช่วง Base พอจะ Unisex ได้อยู่ ถ้าไม่มายด์ก็จัดไป 

ความทน - อันนี้ถือว่าทำได้ดีมาเสมอ รวมถึงตัวนี้ที่ 8 ชม. ได้สบายๆ และมากกว่านั้นด้วยซ้ำ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับ 5 สเปรย์ ถือว่าดีงาม 

การกระจาย - ต้องบอกว่า Chloe เขามีดีในการทำไลน์โบว์ต่างๆ นี้ให้เป็น Sillage Scent หรือกลิ่นที่เน้นกระจาย คนฉีดอาจจะได้กลิ่นแบบกำลังดี หรือเบาๆ แต่คนรอบข้างรับกลิ่นชัดเจนราวกับบาเรียรอบตัว และตัวนี้ก็เช่นกัน เพราะเปิดมากระจายดี แล้วจะเปลี่ยนเป็นกระจายดีมากแบบ Sillage Scent ที่ปล่อยของชัดเจน แล้วจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย แต่คงความเป็น Sillage เบาๆ อยู่ให้คนอื่นพอรับรู้ได้ 

ทิ้งท้าย - แม้กลิ่นจะไม่ได้แปลกหรือแตกต่างไปจากของเดิม เน้นความเชื่อมโยงในการเป็นโบว์ครีมที่ผู้คนต่างหลงรักกันทั่วโลก แต่สิ่งที่ได้คือ พัฒนาการทางอารมณ์ของกลิ่นที่ทำให้โบว์ครีมโตขึ้นมาอีก 1 สเต็ป ที่มีความน่าสนใจโดยไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.kingpower.com/pub/media/catalog/product/7/6/767781-l1.jpg

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Natural Teller - Indulgence

Natural Teller - Indulgence 

ว่ากันด้วยกลิ่นขนมหวาน กลิ่นลักษณะนี้มักจะเป็นที่ชื่นชอบกันมากโดยเฉพาะในหมู่หญิงสาวเพราะกลิ่นมันหอมหวานพาลไปให้คิดถึงว่าใส่น้ำหอมกลิ่นแบบนี้แล้วจะมีความน่ากินได้อีกด้วย ซึ่งจากที่ผ่านมาของ Natural Teller ว่ากันตรงๆ คือ ไม่เห็นกลิ่นแนว Gourmand แบบนี้มาก่อน และไม่คิดว่าจะทำเสียด้วยซ้ำเพราะเห็นมาสายอาร์ต เช่นนั้นในเมื่อปล่อยกลิ่นนี้มา ก็จัดซะหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะขนมหวานแบบไหนกับรุ่นนี้เลย Indulgence 

เปิดตัวหลังสเปรย์ก็สายหวานสุดใจกันอย่างชัดเจนเพราะกลิ่นโทนไซรัปผลไม้หวานๆ จะมากันเต็มที่เลย ซึ่งกลิ่นของพีชและราสเบอร์รี่จะเด่นมาเชียว และมีกลิ่นอายฉ่ำๆ ของลูกพลัมเจือกลิ่นหวานสับปะรดเสริมเข้ามาหน่อยๆ แม้กลิ่นจะหวานแหลมอยู่ แต่ใครชอบกลิ่นหวานๆ จะแบบว่าชั้นเกิดมาเพื่อสิ่งนี้กันได้เลย ในเนื้อกลิ่นแม้จะเป็นลักษณะแบบไซรัปผลไม้รวมหวานๆ เพียงชั่วขณะ ก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นนมและวานิลลาที่ออกทางขนมดันเข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู้ช่วงกลางที่เรียกว่าจัดเต็มความเป็นขนมที่มีกลิ่นอายแบบไซรัปหวานๆ มีกลิ่นน้ำตาลเจือไปตลอด แบบว่าเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางของหวานและขนมที่มีส่วนผสมของนม วานิลลา น้ำตาลไซรัป และแยมผลไม้กันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นไม่ได้มาสายกระจายตัวจัดจ้านปล่อยพลังนัก เลยจะได้อารมณ์ของหวานที่น่ากินกำลังดี ที่สำคัญในเนื้อกลิ่นมีโทนติดดอกไม้หน่อยๆ ด้วย เลยทำให้สื่อความรู้สึกถึงความเป็นผู้หญิงผ่านเนื้อกลิ่นหอมหวานได้ดี กลาเป็นสาวที่ชอบของหวานได้ลงตัว เข้าทางตามภาพที่สื่อสารของรุ่นนี้ชัดเจน เมื่อผ่านไปจนถึงช่วงท้ายกลิ่นความหวานขนมจะเริ่มลดทอนลงไป โดยจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ สะอาดๆ เคล้ากลิ่นหวานจางๆ ติดผิวกาย ให้มีความหวานเย้ากำลังดีไปตลอด ได้อารมณ์ขนมหวานที่เพียบๆ ตรงหน้านั้นอันตรธานไปหมดเพราะลงท้องไปแล้ว กลิ่นหอมหวานๆ เลยรุมๆ รอบตัวแทน ซึ่งอันนี้ต้องยกนิ้วให้เลย เพราะสื่อสารกลิ่นได้ดีมากกับคำว่า Indulgence ที่หมายถึงการปล่อยเนื้อปล่อยตัว แกมด้วยการไม่แคร์สื่อว่า ชั้นจะกินขนมอ่ะ ก็ชั้นชอบได้แบบชัดเจนมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมปลาย ขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เพียงแต่ต้องเป็นคนที่ชอบโทนหวานด้วยจะอินไม่ยาก โดยกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ เดี๋ยวจะหวานเกินลิมิตชีวิตเกินร้อยไปนิด ให้ข้ามการใส่แบบงานทางการไปจะดีกว่า แต่ถ้าใส่แบบทำงาน Office พอได้ และงดใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายได้เลย เดี๋ยวคนที่มาออกกำลังกายเพื่อ Diet จะหิว บาปกรรม นอกนั้นจัดไปแบบเหมาะสมได้เลย ใส่ท่องราตรีหรือยามกลางคืนเรียกว่าสบายมาก เผลอๆ คนใกล้ตัวได้กลิ่นพากันไปกินบิงซูก่อนนอนได้เลยทีเดียว 

ความทน - เรียกว่าลงตัวมากที่ราวๆ 8 ชม. ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กับราวๆ 4 สเปรย์ ถือว่าดีงาม 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกกในช่วงต้นเรียกว่าหวานเจี๊ยบกันมาเลย แล้วจะดรอผลงมากระจายปานกลางในช่วงกลางแบบไม่พุ่งมากจนคนอื่นมีอาการหิว ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายเบาๆ พอพ้นซัก 8 ชม. ก็เป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - อาจจะหวานเจี๊ยบหน่อยช่วงต้น ถ้าผ่านไปแล้วก็จะเริ่มเข้าใจและเข้าถึง และจะหอมหวานแบบยาวไป 

สรุป - จากทั้งหมดของไลน์นี้ต้องเรียกว่า มีทุกอารมณ์ทั้ง ดาร์กดำมืดดราม่า หม่นหมองเก็บกดแต่สวยงาม ปลอดโปร่งสบายๆ สไตล์ Nice Guy และปิดท้ายที่สายหวานสุดใจ ถือเป็นความหลากหลายที่ทำออกมาได้ชัดและแตกต่างด้วยการเล่าเรื่องได้น่าสนใจมากในทุกตัวเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.facebook.com/naturalteller/photos/rpp.808828592561385/1080836838693891/?type=3