วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Dolce & Gabbana - The One Royal Night for Men

Dolce & Gabbana - The One Royal Night for Men 

เมื่อ Dolce & Gabbana ได้ประกาศทำรุ่น Exclusive ของรุ่นที่ดังมากฝ่ายชายอย่าง The One for Men โดยมีคำว่าว่า Royal Night เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อวางจำหน่ายเฉพาะบูติคใหญ่ต่างๆ ทั่วโลก (ที่ไม่มีไทยในลิสต์) ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นนี้มีการ Screen ภาษาอาหรับไว้ที่ขวด จึงบ่งบอกไม่ยากว่าเอาใจตลาดตะวันออกกลางเต็มๆ เช่นนั้น ได้เวลาลองว่ากลิ่นอยจะมาแบบของเดิมเพิ่มเติมแค่เปลี่ยนลายขวด หรือว่าแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญกันแน่ 

The One Royal Night เปิดตัวด้วยกลิ่นอายแบบที่ทำให้รู้สึกได้ว่า เออ นี่คือ The One แหละเพราะมีความเป็นเกรฟฟรุตกับโหระพาชัดเจน ซึ่งกลิ่นมีความเปรี้ยวติดนัวนุ่มเขียวสมุนไพรปร่าๆ เคล้าความเป็นกระวานที่เผ็ดหวานโปร่งแต่เข้มมาเชียว ซึ่งคนที่ผ่านรุ่น EDP มาก่อนหน้านี้ก็คงคิดในใจกันว่า มันไม่ได้ต่างอะไรกันนักนี่นา แต่ความแตกต่างชัดเจนจะมาเทคโอเวอร์กันเต็มๆ ในวูบถัดมา เพราะว่ากลิ่นเกรฟฟรุตที่ให้ความเป็น Citrus จะลดลงไปเป็นสายสนับสนุนรองใจดีไวมาก โดยให้ความเปรี้ยวเจือในเนื้อกลิ่นเสริมโทนหวานเผ็ดโปร่งเย้าของกระวานให้เด่นชัดและจับได้เต็มๆ ซึ่งความหวานปนเผ็ดโปร่งของกระวานจะไม่ได้หวานแหลมคมอะไร มีความกลมกล่อมหอมหวานเผ็ดปนอวลนัวกำลังดี โดยมีกลิ่นอายโทนปร่าโหระพาเสริมเข้าไปและมีโทนเผ็ดโปร่งๆ ปร่าซ่าให้จับได้บางๆ เสียด้วย ทำให้ช่วงแรกจะชัดเจนว่ามีทั้งความเหมือนและแตกต่างจากต้นตระกูลอยู่ในที่เดียวกันเพียงแต่โชว์ตัวต่างเวลากันเพียงไม่นาน

และกลิ่นกระวานจะยังคงทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยนำไปสู่ช่วงกลางที่ความหวานเผ็ดปนเย้าดึงดูดจะยังคงชัด เพียงแต่กลิ่นจะไม่แหลมจัดและไม่นุ่มเกินกว่าเหตุ มีความกลมกล่อมอวลดึงดูด กลิ่นเริ่มมีโทนไม้หอมติด Spicy ของเม็ดจันทน์เทศมาผสมผสาน ทำให้กลิ่นมีความหวานคมแต่ไม่บาด มีกลิ่นอายติดเปรี้ยวอุ่นที่เริ่มสัมผัสได้จากความเป็นแอมเบอร์ที่ค่อยๆ เนียนแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ และติดโทนหนังเจือยางไม้หน่อยๆ ทำให้กลิ่นมีความลุ่มลึกน่าค้นหาติดดาร์กนิดๆ เลยได้ความรู้สึกเย้ายวน ลึกลับ และเซ็กซี่แบบหน้านิ่งๆ ที่แผ่ออกมาให้รู้สึกได้ชัดเจน กลิ่นจะคุมโทนความเป็นโทน Spicy หวานเย้านิ่งดาร์กลึกลับแต่เอาจริงแบบนี้ไปเรื่อย จนเมื่อกลิ่นอายแอมเบอร์ได้แทรกตัวจนกลายเป็นมากขึ้นแบบลักษณะกลิ่นอายเปรี้ยวอุ่นนวล พร้อมกับมีกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นโทนตะวันออกกลางติดแปร่งๆ เย้าเสริมเข้ามาแบบกำลังดี ก็เข้าสู่ช่วงท้ายชัดเจนแบบที่เป็นลักษณะของการเจอกันตรงกลางระหว่างโทนตะวันตกและตะวันออกกลาง โดยความเป็นไม้จันทน์หอมจะเด่นเป็นกลิ่นนำ คั่นกลางด้วยมิติของเครื่องเทศเย้าเซ็กซี่เบาๆ เคล้าโทนไม้หอมโปร่งสะอาดขรึมๆ แบบไม้ซีดาร์เจืออยู่ ทำให้กลิ่นไม่บิดไปในโทนตะวันออกกลางแบบจ๋ามาก และรองพื้นด้วยกลิ่นอายอบอุ่นเคล้ากลิ่นคล้ายหนังบางๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลกลิ่นยืนพื้นที่ความแห้งที่ได้อารมณ์ นัวแบบกำลังดี เย้ายวนเซ็กซี่กำลังงาม และให้ความรู้สึกน่าค้นหาไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นนี้มันลึกขึ้นและอวลขึ้น แบบที่เป็นอีกสเต็ปของความเป็น The One ที่มีความเป็นโทนหรูหราดึงดูดฉาบความเซ็กซี่เย้ายวนมากกว่า 2 หน่อ EDT กับ EDP ก่อนหน้าที่เอาใจตลาดเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดสเปรย์ เพราะกลิ่นมันอวล ถ้ามากไปเดี๋ยวจุกเอาได้ ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปก็จัดไปได้เลย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้ง หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นโทนเครื่องเทศเย้าอวลมันไม่ควรกับแนวๆ ลุยๆ อยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยให้จัดไป เพราะกลิ่นมีคลาสและดึงดูดความสนใจ ไม่ได้มาสาย Bad Boy โต้งๆ แต่เป็นหนุ่มมาดเท่ห์ในชุดเนี้ยบที่น่าค้นหาและมีรสนิย 

ความทน - อันนี้ยอม คือ 8 ชม. สบายมากไม่พอลากยาวไปได้ถึง 15 ชม. ด้วยซ้ำ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ เป็นอีกหนึ่งในจุดเด่นที่สมแล้วที่ Exclusive 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีอวลๆ ในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว ซึ่งถือว่าลงตัวเลยทีเดียว 

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวมองว่ารุ่นนี้คือรุ่นที่ดีที่สุดในความเป็น The One ฝ่ายผู้ชายทั้งหมด เพราะมีความลุ่มลึก น่าค้นหาแบบชัดเจน ซึ่งกลิ่นเต็มกว่า EDT และ EDP ที่สำคัญไม่ได้พยายามดันความเป็นยาสูบแบบตัวก่อนหน้า ซึ่งแม้ว่าจะมีโทนตะวันออกกลางจากไม้หอมก็จริงแต่ไม่ได้หนักหน่วงขนาดนั้น มันยังมีความหรูหราในทีไปตลอด ซึ่งเป็นสมดุลย์ที่ดีทำให้ใช้ได้ทุกภูมิภาคได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจแถมฟินไม่รู้ตัว และพลางเรียกร้องความสนใจได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Sephora UAE
--> https://m.sephora.ae/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/d/o/dolce-_-gabbana_737052945934_main.jpg

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Tom Ford - Private Blend: Oud Wood

Tom Ford - Private Blend: Oud Wood 

มาจะกล่าวบทไป ทราบเป็นอันดีมาก่อนหน้าว่า Oud Wood ของ Tom Ford สาย Private Blend นั้นดังระเบิดระเบ้อและเป็นที่กล่าวขานกันนักต่อนักมานานแล้ว เพียวแต่ว่าจะมีความรู้สึกหนึ่งเวลาที่มีคนชอบตัวไหนเยอะๆ จะเลี่ยงเพราะจะหาได้ไม่ยากหรอก จะเอามาครอบครองเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ และก็ได้ฤกษ์เสียทีหลังจากเฉยๆ ชาๆ เฉื่อยๆ แฉะๆ มานาน ก็จะได้รู้เสียทีว่ารุ่นนี้เป็นยังไง 

สิ่งแรกที่อุทานออกมาเบาๆ คือ แอบมี DNA ของ YSL - M7” ที่ Tom Ford เองเป็นคนวางรากฐานความ Oud มาก่อนหน้านี้อยู่นะนั่น เพราะความเป็น Oud หรืิอไม้กฤษณาที่ไม่ได้เน้นอบอวลแบบ Attar น้ำมันหอมระเหยของตะวันออกกลางจ๋าๆ ผสมผสานความเซ็กซี่ที่ติดดาร์กดึงดูดจัดๆ มากมาย แต่กลิ่นนี้ไม่ได้เหมือน M7 ที่ชี้ชัดไปทางเย้ายวนจัดจ้านเซ็กซี่สุดกู่ท่ามกลางความเป็น Oud เพราะมีความใช้ง่ายมากกว่า โดยเริ่มเปิดต้นโทนที่การเป็นกลิ่นอายไม้หอมติด Spicy เครื่องเทศโทนโปร่งกันก่อน ซึ่งไม้หอมที่ว่าคงหนีไปไม่พ้น Oud ซึ่งจะมาแบบกลิ่นเนื้อไม้มากกว่าจะเป็นน้ำมันสกัดอวลๆ เคล้าไปกลับกลิ่นอายของ Rosewood ที่เป็นกลิ่นไม้หอมติดซ่าๆ คล้ายตะไคร้ผสมผสานกับกลิ่นกุหลาบจางๆ ในเนื้อไม้เด่นออกมาเลย เพียงแต่จะจับได้ถึงโทนเครื่องเทศโปร่งเผ็ดปนหวานเย้าของกระวานที่ไม่ได้มาหนักหน่วงมากเคล้าความปร่าๆ จากพริกไทย โดยที่มีกลิ่นอายนวลวานิลลากับไม้จันทน์หอมให้พอจับได้บ้างซ่อนอยู่เบื้องหลัง กลิ่นมีความกำลังดีในแง่ของการกระจายที่ไม่หนักหน่วง ทำให้มีความเข้าถึงง่ายแบบที่คงสไตล์ Oud แบบไม่หนักได้ลงตัวมากจริงๆ 

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางทุกอย่างในช่วงต้นจะยกพวกลงมาหมด แต่ยังคงให้ Oud เป็นแกนนำหลักสมกับชื่อรุ่นอย่างชัดเจน กลิ่นจะมีความอวลแบบเนื้อไม้เช่นเดิมเคล้าความเป็นกลิ่นอายคล้ายยาสมุนไพรที่เป็นไม้แห้งๆ กำลังดี (นี่แหละที่เป็น DNA ของ M7) เคล้ากับกลิ่นไม้ติดกุหลาบกับหวานเม็ดกระวานเย้ายวนแบบโปร่งๆ แต่จะมีโทนกลิ่นออกทางไม้แห้งติดดินๆ ของหญ้าแฝกที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะเป็นสายไม้หอมเคล้ากับกลิ่นนวลๆ ไม้โทนสว่างของไม้จันทน์หอมที่พ่วงเอาวานิลลามาด้วยเบาๆ ให้ความครีมมี่กลิ่นเนื้อไม้บางๆ ในกลิ่นมากขึ้น ทำให้ช่วงนี้กลิ่นเด่นคือความเป็นโทนไม้หอมที่ชัดเจน มีความเย้ายวนเซ็กซี่ติดนัวจางๆ มีความดาร์กกำลังดี ทุกอย่างพอเหมาะพอเจาะลงตัวไปหมดกับการส่งต่อเสน่ห์ของกลิ่นแนวไม้หอมได้ดีงามมากจริงๆ จนเมื่อวานิลลาเริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับ ก็เป็นการส่งต่อให้ช่วงท้ายของน้ำหอมเป็นกลิ่นอาย Oud กลั้วครีมมี่วานิลลาติดอบอุ่นแบบไลท์เวอร์ชั่น เพราะกลิ่นจะไม่ได้หนักแน่นอวลเลย มีความเป็นไม้หอมที่ลอย On Top ออกมาแบบดึงดูดชัดเจน แต่พอดมใกล้ผิวแล้วจะมีความนวลวานิลลาติดอุ่นครีมบางๆ ไปตลอด ให้อารมณ์ที่นิ่งๆ มีเสน่ห์ ไม่ได้ดาร์กเกินไป ไม่ได้คิดแต่จะมาเพื่อยั่วยวน มีความภูมิฐาน หรูหราปนเท่ห์ๆ เคล้าเซ็กซี่ในเนื้อกลิ่นที่น่าค้นหา มีระดับ และน่าเข้าใกล้เสียมากกว่า นี่แหละ Oud Wood ของ Tom Ford 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งเอาเข้าจริงกลิ่นมีความเป็นโทนน้ำหอมผู้ชายมากกว่าราวๆ 70% แต่ยังไงผู้หญิงก็ใส่ได้อยู่ดี ยิ่งกับการแต่งกายแบบโทนสีดำจะแบบว่าเข้ากันอย่างน่าดูชมและน่าค้นหามาก กลิ่นลงตัวกับการใช้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการออกทางสุขุมน่าค้นหา หรือทั่วๆ ไป สร้างเสน่ห์ส่วนบุคคลที่ดึงดูดแบบไม่หนักหน่วงก็เอาอยู่ได้สบาย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ปิดท้ายที่ยามค่ำคืน ที่จัดไปได้เลยไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรี กลิ่นมีระดับ เซ็กซี่ และมีเสน่ห์เย้ายวนแบบมีชั้นเชิงแบบที่คนได้กลิ่นอาจจะต้องหันมามองเลยว่ากลิ่นนี้มาจากใคร 

ความทน - เรียกว่าเชื่อขนมกินได้ว่าดี และก็ดีจริงๆ กับราวๆ 8 ชม. มีบวกลบราวๆ 2 ชม. หรือทนยาวมากกว่านั้นก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ี 12 ชม. เป็นพื้นฐานเลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น คนฉีดได้กลิ่นชัด แต่จะปรับเป็นกระจายดีในช่วงกลางที่เรียกว่ายาวไป พอไปที่ช่วงท้ายจะดรอปลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว พ้นไปซัก 6 ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - ต้องยกความดีความชอบให้ Tom Ford และสุคนธกรผู้ปรุงเลยว่าทำกลิ่น Oud ออกมาได้มีระดับและมีชั้นเชิงมาก รวมถึงกลิ่นนี้เป็นประตูสำคัญที่ทำให้เรียนรู้กลิ่น Oud ในสไตล์ไม้หอมที่ไม่อวลจัดๆ ก่อนจะไปเจอ Oud ประเภทต่างๆ ที่มากกว่านี้ที่หนักยิ่งๆ ขึ้นไปได้ดีจริงๆ ส่วนราคาเหรอ เราจะไม่พูดถึงมันนะจ้ะ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.tomford.com/beauty/fragrance/private-blend/?prefn1=fragrancenotes&srule=Price%20-%20Descending&prefv1=Woods

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Miniso - Forest Green Men

Miniso - Forest Green Men 

เป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียวสำหรับ Miniso ที่จะมีน้ำหอมในราคาไม่แพงกลิ่นใช้ง่าย ยังไงก็รอดให้กับคนที่อยากได้กลิ่นหอมๆ มาประดับกาย โดยไม่ได้เสียทุนทรัพย์มากเกินไป อย่างน้อยก็ปลอดภัยกับตัวเองและผู้อื่นที่ได้กลิ่นได้ดีเลย ที่สำคัญหลายๆ กลิ่นก็ทำได้ดีเกินคาดเสียด้วยซ้ำไป เช่นรุ่น Wild Strawberry ที่เคยบอกเล่ากลิ่นไปแล้ว คราวนี้มาลองเจอกับตัวอื่นดูบ้างว่ากลิ
่นจะออกมาในลักษณะไหน และน่าสนใจในการใช้งานมากน้อยเพียงใดกับสายน้ำหอมผู้ชายอย่างรุ่นนี้เลย Forest Green Men 

Top Notes มากับความสดชื่นติดเขียวผสมผสานกับความเป็น Citrus กันก่อนเลย กลิ่นแอลกอฮอล์อาจจะมีเยอะนิดนึงในช่วงนี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้มาสายคมมากนักเพราะพื้นฐานของกลิ่นเป็นกลิ่นโทนสะอาดเป็นหลัก กลิ่นเลยได้อารมณ์สะอาดสดชื่นมีความเป็น Citrus ที่ไม่ออกทางฉ่ำน้ำ มีความแห้งๆ เย็นๆ ในเนื้อกลิ่น ผสมผสานกับกลิ่นออกทางเขียวสดชื่นติดเปรี้ยวสบายๆ ซึ่งถ้าจับโทนกลิ่นกันจริงๆ จะมีลักษณะของโทนเลมอนที่หวานปลาย และกลิ่นอายแนวๆ ใบเวอร์บีน่าที่ให้ทั้งความเขียวและเปรี้ยวสดชื่นก็ได้ โดยมีกลิ่นอายโทนสะอาดแนว Musk ที่รองพื้นให้พอรับรู้ได้ ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็ปลอดภัยกันได้เลยกับกลิ่นสดชื่นแนวๆ นี้ แล้วเมื่อส่งต่อให้ Middle Notes กลิ่นอายจากตอนต้นจะตามมาทั้งหมดเลย แต่กลิ่นจะมีความสะอาดมากขึ้น และมีโทนดอกไม้ให้รู้สึกได้เข้ามาผสมผสาน ซึ่งกลิ่นที่ได้จะมีความเป็นแนวๆ ดอกเจอราเนียมที่ให้ความเป็นกุหลาบติดเปรี้ยวเลมอนที่สอดรับพอดีกับช่วงต้นให้ความหอมสดชื่นสบายๆ แบบไม่ต้องพยายาม ที่สำคัญกลิ่นโทนเขียวก็ยังอยู่ ซึ่งเมื่อดมใกล้ๆ ผิวกลิ่นเขียวติดเปรี้ยวสะอาดจะชัดมากเลยทีเดียว ส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นสดชื่นจะเริ่มเบาลงมาเป็นกลิ่นอายสไตล์ Musk สะอาดๆ มีความเป็นไม้หอมอ่อนๆ กำลังดีเจือในกลิ่น กลิ่นติดเค็มบางๆ โดยที่ยังมีความสดชื่นอยู่ประปรายให้รู้สึกได้เบาๆ ไปตลอด เรียกว่าภาพรวมเป็นกลิ่นสายปลอดภัยใช้ยังไงก็ผ่าน อย. มีความสดชื่น มีความเขียว มีความสะอาด และมีความเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากนั่นแล 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนประถมขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมากถึงมากที่สุด ยังไงก็สดชื่นแบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดเกลี้ยง ที่สำคัญกลิ่นสไตล์นี้ไม่รบกวนใครเสียด้วย แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่วันอากาศอบอ้าวร้อนๆ จะดีกว่า และตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย ไม่เข้าทางและไร้ตัวตนด้านกลิ่นแน่นอน 

ความทน - ตรงๆ เป็นข้อเสียของรุ่นนี้เพราะความทนแกว่งมาก บางครั้ง 2 ชม. บางครั้งลากไปได้ยาวที่สุดคือ 6 ชม. ซึ่งอิงกับสภาพอากาศ จำนวนสเปรย์ และประเภทผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งโดยเฉลี่ยกลิ่นมักจะอยู่ได้ราวๆ 4 ชม. ถือเสียว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะกับการพกพาไปใช้ระหว่างวันสร้างความสดชื่นน่าจะเข้าทีกว่า 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น คนฉีดจะได้กลิ่นชัดเต็มๆ ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วกลายเป็น Skin Scent อย่างไวในที่สุด ซึ่งคนที่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆ กระจายดี เน้นให้ออร่าความสะอาดให้ตัวเองโดยที่คนไม่ยี้และมองด้วยหางตา ตัวนี้เข้าทีมากแม้ว่าจะฉีดซ้ำระหว่างวันก็ตาม 

ทิ้งท้าย - ถ้าคาดหวังในเรื่องกลิ่นว่าจะต้องธรรมชาติมากแบบ Xerjoff, Frederic Malle หรือ Jo Malone แนะนำไม่ตอบโจทย์นัก แต่ว่าในบางช่วงถือว่าทำได้ดีในแง่ความใกล้เคียงธรรมชาติใช้ได้เลย เพราะสารหอมที่นำมาเป็นส่วนผสมมันก็ให้โทนนี้ได้ไม่ยากอยู่แล้ว และอีกอย่างกับน้ำหอมที่ราคาไม่ถึง 100 บาทขนาด 15 ml คงไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ถ้ามันดีเกินราคาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ดังเช่นรุ่นนี้ที่เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใช้ง่ายและไม่รบกวนใครเข้าทาง Safe Scent แบบที่สบายกระเป๋าและพกพาไปเติมให้ความสดชื่นระหว่างวันได้ตลอดนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - เข็มขัดสั้น



วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: ICONOfly - Attache-Moi 55

ICONOfly - Attache-Moi 55

ICONOfly เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มาทางสายสื่อสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 โดยมีทั้งแมกกาซีน เว็บไซต์ แคตตาลอกต่างๆ ทางด้านเครื่องประดับ จนมีการแตกไลน์ทำสินค้าแนว Lifestyle ต่างๆ เข้ามาไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทางสายแฟชั่น แว่นตา กระเป๋า รองเท้าสนีกเกอร์ และนาฬิกา จนมาถึงน้ำหอมที่ได้มีการสร้างสรรค์ขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche ที่น่าสนใจไม่น้อย เช่นนั้นเมื่อมาสายกระทำควาNiche มีหรือที่จะไม่สนใจหามาพินิจพิเคราะห์กลิ่นของแบรนด์นี้ แม้ว่าจะไม่ได้เริ่มต้นที่กลิ่นแรกของแบรนด์ แต่ขอข้ามมาลองรุ่นที่ 2 แทนดีกว่าว่าจะออกมาในรูปแบบไหนกับ Attache-Moi 55 

ที่มาของน้ำหอมรุ่นนี้มาจากชื่อน้ำหอมรุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Attache-Moi เอามาผนวกรวมกับเสน่ห์ของ 55th Street แห่งมหานครนิวยอร์ค จนได้กลิ่นอายของความเป็น Attache-Moi 55 ออกมานำเสนอ ซึ่งส่วนตัวไม่เคยลองรุ่นปกติ จึงจะข้ามการเชื่อมโยงกลิ่นจากรุ่นสู่รุ่นไป เน้นที่กลิ่นอายของรุ่นนี้เป็นสำคัญ 

เปิดตัวด้วยความเป็นกลิ่นอายแบบ Spicy ติดหวานปลายกับการเป็นกลิ่นของเม็ดกระวานก่อนเลย ซึ่งในช่วงต้นนี้กลิ่นของเม็ดกระวานจะให้ความเผ็ดปนหวานเย้ายวนแบบติดโปร่ง มีความนัวติดอบอุ่นกำลังดีในเนื้อกลิ่น แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นมีความสว่างปนอบอุ่นเลยก็คือกลิ่นโทนส้มที่ให้ความเป็น Citrus ติดฉ่ำหวานเบาๆ เคล้ากลิ่นเขียวบางๆ ที่มาเป็นลูกคู่กับกลิ่นโทนเม็ดกระวาน กลิ่นเลยได้ลักษณะอบอุ่นติดสว่าง แต่ไม่ได้ถึงกับสดชื่นมากนักออกแนวมีเป็นมิติให้รับรู้ได้บ้างเสียมาก แล้วกลิ่นจะเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเป็น Citrus จะจางหายไป มาเป็นกลิ่นอายของดอกไม้ที่จะเทคโอเวอร์ทั้งหมดแทนโดยยังมีกลิ่นอายของกระวานที่ยังคงอยู่ในสายสนับสนุนให้กลิ่นอายดอกไม้มีความอบอุ่นติดเย้ายวนโปร่งๆ นัวเบาๆ ไปตลอด ซึ่งในช่วงนี้ตัวเอกเด่นที่ฉายแสงออกมาคือ Osmanthus ให้กลิ่นอายหอมหวานเจอผลไม้สไตล์แอปคริคอตเด่นออกมาเลยแต่ไม่ได้มาแบบใสฟุ้งกระจายเต็ม เพราะจะมีกลิ่นอายนวลใสของมะลิกับกลิ่นโทนแป้งที่มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้น เป็นกลิ่นแป้งหอมดอกไม้เจือผลไม้บางๆ แต่ออกโทนสว่างและอบอุ่นเย้าๆ จากโทนหวานติดเผ็ดของกระวานรองพื้นอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อดมระยะประชิดผิวจะเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายออกทางแห้งๆ Earthy ของหญ้าแฝกเจือแอมเบอร์อบอุ่นจะค่อยๆ เบียดโทนดอกไม้เรื่อยๆ จนกลายเป็นกลิ่นหลักในช่วงท้าย โดยกระวานจะให้ความหวานปลายเบาๆ อ้อยอิ่งแล้วในช่วงนี้ แต่กลิ่นโทนหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ ไม่ถึงกับ Smoky จัดๆ กลางๆ กำลังดี และมีกลิ่นออกทางโทน Musk ให้ความรู้สึกนุ่มสะอาดติดเย้ายวนบางๆ ให้รู้สึกดึงดูดน่าเข้าใกล้มากขึ้น ที่สำคัญมีโทนอบอุ่นที่ยังคงชัดเจนเพราะมีแอมเบอร์ที่ออกทางกลิ่นไม้หอมเจือวานิลลาเบาๆ เคล้ากลิ่นออกโทนแป้งดอกไม้ที่ดรอปลงมาจากช่วงกลางพอสมควร เลยทำให้กลิ่นได้อารมณ์สบายๆ อบอุ่นติดหวานโปร่งปนแป้งหอมเบาๆ น่าเข้าหาจากการผสมผสานอย่างลงตัวของแต่ละโทนไม่ว่าจะเป็น แป้ง Musky ไม้หอม และดอกไม้เจืิอเครื่องเทศบางๆ หวานปลายดึงดูดนั่นเอง 

จากภาพรวมถ้ามองในแง่ของสภาพแวดล้อมในลักษณะของ 55th Street ที่ความสว่างไสว มีตึกทรง Modern โรงละคร ต่างๆ ผู้คนเดินไปมา อย่างมีเสน่ห์ในความเป็นเมือง อันนี้ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจมากในลักษณะของการยืนพื้นที่โทนอบอุ่น แป้งดอกไม้ และไม้หอม ที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ระบุเอาไว้ว่าเป็น Unisex ซึ่งแม้กลิ่นจะไพล่ไปทางสาวๆ ราวๆ 65% ได้ แต่ยังถือว่ากลางพอที่ผู้ชายจะใส่ได้ เพราะเนื้อกลิ่นให้ความรู้สึแบบสภาพแวดล้อมด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นยามทางการหรือว่าทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนกิจกรรมกลางแจ้งพอได้อยู่ ถ้าอากาศไม่ร้อนเกินไป ส่วนยามค่ำคืนให้เน้นใส่ออกงาน โรแมนติค หรือว่าสบายๆ ผ่อนคลายจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีที่กลิ่นอาจจะโดนกลบจากโทนแย่งกันเด่นของคนอื่นๆ ได้ 

ความทน - ลงตัวกับราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วเป็นออร่ากำลังดีรอบๆ ตัวในช่วงท้าย พ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - น้ำหอมให้อารมณ์สีเหลืองสว่างแกมอบอุ่นได้ลงตัวมาก เรียกว่าสื่อสารชัดเจนตั้งแต่สีน้ำหอมสิ่งที่ประดับขวด และโทนกลิ่น จัดเรียงให้แตะอารมณ์กลิ่นได้ครบถ้วนและเห็นภาพได้ดีเชียว เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Parfum Attachemoi website
--> http://www.parfumsattachemoi.com/online-store/attache-moi-55

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Lotus Blossom & Water Lily

Jo Malone - Lotus Blossom & Water Lily 

เมื่อดอกบัวทั้ง 2 ประเภททั้งแนวบัวสาย ที่ปลูกเพื่อความสวยงาม หรือบัวหลวงที่เราเห็นกันจนชินตา ได้มาเจอกันด้วยการทำเป็นน้ำหอมสไตล์ Jo Malone กลิ่นจะออกมาในลักษณะไหน แถมรุ่นนี้เป็น Limited Edition ที่อยู่ในสาย Japanese Kohdo Wood (กลิ่นอายแบบธูป Incense ของญี่ปุ่น) เสียด้วย เช่นนั้น ได้โอกาสลองอย่างเต็มที่ จึงขอเล่าและถ่ายทอดกลิ่นออกมาตามนี้ว่า 

Lotus Blossom & Water Lily เปิดตัว Top Notes ด้วยกลิ่นที่ออกทางซ่าๆ Sparkling สดชื่นปน Citrus ของเกรฟฟรุตที่จะพุ่งมาก่อนใครเพื่อน และมีกลิ่นออกทางขมติดเขียวหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายเปรี้ยวคมพุ่งทะลุอะไรนัก เพราะจมีกลิ่นอายเย็นๆ Airy สบายๆ ผสมผสานกับกลิ่นออกทาง Aquatic ชื้นๆ ไม่ถึงกับฉ่ำน้ำจ๋าๆ ให้จับต้องได้ รวมถึงกลิ่นอายของดอกบัวที่ได้ความหวานโปร่งปนโทน Aquatic ที่มีในตัวดอกบัวเองแบบติดจืดน้ำปนเขียวจางๆ แทรกขึ้นมาตามลำดับ ทำให้ช่วงแรกนี้เป็นโทนสดชื่นปนกับกลิ่นอายหวานโปร่งติAquatic ที่ได้ความรู้สึกผ่อนคลายและสงบได้ดีเลยทีเดียว 

ซึ่งดอกบัวจะเป็นตัวปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่เป็นโทน Floral เต็มตัว ความเป็นดอกไม้จะชัดขึ้น แต่คงความชูโรงที่ดอกบัวที่ผสมผสานทั้งกลิ่นอายติดจืดน้ำปนเขียวปลายของบัวหลวง และกลิ่นหวานโปร่งติด Spicy จางๆ อ้อยอิ่งของบัวสาย กลิ่นยังคงมีความซ่าๆ อยู่บางๆ โดยจะมีกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวแบบนวลไพล่ไปทางโทนแป้งบางๆ ของดอกสายน้ำผึ้งเสริมเข้ามา ทำให้กลิ่นมีความนวลในความหวานโปร่งในภาพรวมได้ดีเลยทีเดียว อารมณ์แบบอยู่ในสวนที่มีกลิ่นดอกไม้ใสๆ ปนนวลๆ ลอยมา เคล้ากลิ่นหวานโปร่งของดอกบัวปนชืิ้นๆ ลอยมาให้สัมผัสกลิ่นได้ จนผ่านไปช่วงหนึ่งจะเริ่มรู้สึกได้ว่ากลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นเสริมเข้ามาพร้อมความรู้สึกแนวๆ Smoky จางๆ นิ่งๆ แทรกซึมเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่หนักหน่วง เรียกว่าเสริมมาแบบนิ่งๆ สงบๆ เริ่มแตะความเป็นลักษณะธูปกลิ่นไม้สงบๆ มากขึ้น ซึ่งก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่ทุกอย่างจะรองพื้นด้วยโทนสะอาดนุ่มๆ ของ Musk ที่รองพื้นอยู่ กลิ่นดอกบัวเริ่มจะจางลงไปให้ความหวานบางๆ เจือปลายกลิ่น แต่สิ่งที่เด่นออกมาคือกลิ่นอาย Smoky ติด Incense จางๆ กลิ่นจะมีความละมุนนวลๆ ไม่ได้หนักหน่วงควันโขมงอะไร ออกแนวกลิ่นผ่อนคลายอะโรม่าเนื้อไม้หอมติดควันและดอกไม้บางๆ ออกทางแห้งๆ กลิ่นมีความอบอุ่นเบาๆ กำลังดีสบายๆ ทุกอย่างคุมโทนความเป็นกลิ่นอายสไตล์ Cologne ที่โปร่งๆ ซีทรู สบายๆ เรียบง่าย บรรยากาศสดชื่นติดสงบๆ มีความเป็นธรรมชาติแบบไม่ได้ตะบี้ตะบันต้องโชว์ความเป็นดอกบัวอะไรจ๋าๆ จนทำให้จับได้ว่าประดิษฐ์กลิ่นไปนิด และเข้ากับธีมของกลิ่นที่เน้นความสงบนิ่งของกลิ่นอายธูปหอมญี่ปุ่นได้เลย

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก กลิ่นให้ความรู้สึกหอมแบบเป็นบรรยากาศเลยไม่ว่าใครที่ไม่ได้ยี้กลิ่นดอกบัวก็ใส่ได้ โดยกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย เพราะกลิ่นมาสายเบาไม่รบกวนใครแน่นอน ใส่ออกกำลังกายก็ได้แต่ว่า มันแพง เปลืองไปนะ ส่วนยามค่ำคืนเน้นคืนอากาศร้อนๆ จะดีกว่า ใส่แบบผ่อนคลายสบายๆ นิ่งๆ สงบๆ จะลงตัวที่สุด ที่เหลือตัดออกไปให้หมดได้เลย ยิ่งท่องราตรีใส่กลิ่นนี้ไป ถือว่าไร้ตัวตนด้านกลิ่นขั้นสุดกันเลยทีเดียว 

ความทน - กลิ่นมาสายเบาและเป็น Cologne จึงไม่แนะนำให้คาดหวังเรื่องนี้มากนัก เน้นผ่อนคลายและสดชื่นเรียบนิ่งสบายๆ จะดีกว่า ซึ่งกลิ่นจะอยู่ระหว่าง 3 - 6 ชม. ไม่เกินนี้ ส่วนตัวเจอนานสุดคือ 6 ชม. กับการใส่อยู่ในห้องแอร์เป็นหลัก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงแรก ให้ความสดชื่นแบบรับรู้ได้ ก่อนจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้ว Skin Scent ตามลำดับ เข้าทางการเป็นสไตล์ Whispering Scent ของ Jo Malone ไม่มีผิดเพี้ยน 

ทิ้งท้าย - Limited Edition และไม่ได้หาได้ง่ายๆ แล้ว เพราะตัวที่อยู่ยงคงกระพันมากกว่าในสายธูปญี่ปุ่นที่ออกมาคู่กันแถมเป็นสาย Intense อย่าง Dark Amber & Ginger Lily นั้นคนตอบรับมากกว่า เช่นนั้นใครมีในครอบครองถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยล่ะ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Pinterest
--> https://i.pinimg.com/originals/94/50/74/9450742a435b158e4ee93abd6ae73145.jpg

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Chanel - Egoiste

Chanel - Egoiste 

เวลาพูดถึงน้ำหอมผู้ชายของ Chanel รุ่น Egoiste เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงแน่ๆ เพราะเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เปิดทางการเป็นโทนร่วมสมัยของยุค 90 ได้อย่างน่าดูชมและดมกลิ่นอย่างมาก รวมถึงฮิตเสียด้วย (ก็ชื่อแบรนด์ปะว่าเป็น Chanel จะไม่ฮิตก็เกินไปแล้ว) และอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่ากลิ่นอายตามยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม เช่นนั้นได้เวลาปลดปล่อยความดีงามของกลิ่นกันหน่อยแล้วว่า Egoiste จะเป็นอย่างไรบ้าง 

เปิดตัวกันด้วย กลิ่นอาย Spicy เครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าวูบขึ้นมาเลยกับการเป็นเมล็ดผักชีพร้อมกับการเอากลิ่นกุหลาบเจือไม้หอมติดซ่าๆ ที่เป็นโทนของ Rosewood (ไม้ประเภทหนึ่งที่จะมีกลิ่นอายติดกุหลาบแบบโปร่งๆ สว่างๆ) และจะมีกลิ่นอาย Citrus ของส้มให้มีมิติของความสดชื่นบางๆ เข้ามาแจมด้วย เพียงแค่ช่วงเปิดก็จะสัมผัสความรู้สึกของกลิ่นอายสไตล์คลาสสิคที่แฝงอยู่ในน้ำหอมได้แล้ว แต่ไม่ได้คลาสสิคจ๋าแบบสุภาพบุรุษใส่ทักซิโด้และหมวกทรงสูงแบบย้อนยุคและไม่ได้มาสายสดชื่นแต่ประการใด เพราะโทนกลิ่นที่รองพื้นอยู่จะเป็นโทนอบอุ่นที่รองพื้นอยู่และจับต้องได้ชัดเจนมาก แบบมีโทน Animalic เจือๆ ด้วย จึงจะได้อารมณ์ลักษณะแบบร่วมสมัยคาบเกี่ยวระหว่างกลิ่นอายคลาสสิคและ Modern ได้ลงตัวมาก และโทนอบอุ่นที่รองพื้นอยู่นี่แหละจะกลายเป็นพระเอกหลักของงานในช่วงกลาง จากความเป็นอบเชยที่จะให้ความอบอุ่นเจือเผ็ดปนหวานอุ่นเด่นออกมาเต็มๆ แต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางนัวจ๋าแบบสไตล์น้ำหอมยั่วเสน่ห์ยุคใหม่ที่เรามักได้กลิ่นโทนอบเชยที่มาแน่นนัว เพราะการมาตัดทอนด้วยความนวลของกุหลาบและกลิ่นออกทางเขียวติดเผ็ดโปร่งๆ ของคาร์เนชั่นและแอบมีกลิ่นสไตล์กานพลูเผ็ดโปร่งเจือในช่วงนี้ ทำให้อบเชยจะอุ่นอวลๆ กำลังดี มีความขรึมๆ ปร่าๆ แมนๆ เข้าทางสไตล์คลาสสิค แต่ก็อ่อนโยนติดโรแมนติคละมุนเจือไปด้วย กลิ่นจะเริ่มมีความนวลขึ้นตามลำดับ จนจับได้ถึงกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมที่นวลๆ เจือวานิลลาที่ติดโทนแป้งที่ค่อยๆ ดันขึ้นมาเรื่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นของอบเชย จนนำไปสู่ช่วงท้ายของกลิ่นที่เป็นกลิ่นอายนวลอวบอบอุ่นเจือความหวานติดแหลมบางๆ ของอบเชยที่เคล้ากับกลิ่นกุหลาบออกทางสะอาดนวล และในเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนหนังให้จับต้องได้แต่ความ Animalic แบบสาปปลุกเร้าที่ปรากฎในวูบแรกของช่วงต้นนั้นได้หายไปกลายเป็นกลิ่นอายที่สนับสนุนกลิ่นโทนอบอุ่นให้มีความความเซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้ง เลยได้ความติดหรูมีคลาสไปด้วยในตัว ซึ่งแบ่งการกระจายของกลิ่นให้เป็นโทนอบอุ่นปนหวานออกทางโทนแป้ง และให้กลิ่นที่ติดผิวออกทางนวลเย้ายวนกำลังดีแบบยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิว คุมโืนความร่วมสมัยได้ลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป แต่เพราะว่ากลิ่นมีความคาบเกี่ยวและมาในโทนอบอุ่น เลยจะสร้างออร่าความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าอายุเกิน 28 ปี แล้วใช้กลิ่นนี้จะมีออร่าความอบอุ่นดึงดูดแบบผู้ชายที่มีเสน่ห์ในความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในระดับหนึ่งเสียด้วย แต่ไม่ได้เป็นป๋าอะไรขนาดนั้น เพราะมันมีโทนหรูหราด้วยเลยได้อารมณ์ติดคุณชายอบอุ่นประมาณนั้น ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้ไปสายลั่นล้าอะไรนัก และให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวกลิ่นจะตีขึ้นจนจุกเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานนี่เข้าทาง ใส่ไปท่องราตรีก็พอได้อยู่ หรือถ้าใส่อยู่กับคนรักก็เข้าทีดูน่ากอดขึ้นไปอีกขั้นไรงี้ 

ความทน - ลงตัวมากที่ประมาณ 8 ชม. มีบวกลบบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายออกทางปานกลาง พอเข้าช่วงท้ายเป็นออร่ารอบๆ ตัว ที่อบอุ่นดึงดูดแบบมีระดับ 

ทิ้งท้าย - ถือว่าสมดุลย์กันเป็นอย่างดีเลยที่เป็นการเดินสายกลางร่วมสมัยที่เป็นเหมือนการเชื่อมต่อจากโทนคลาสสิคสู่ Modern ซึ่งเข้าไปเป็นหนึ่งในกลิ่นที่คลาสสิคเหนือกาลเวลาได้ไม่ยากเลย จึงไม่แปลกใจที่ยังได้รับความนิยมมาในจนถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Chanel --> https://www.chanel.com/images/w_0.51,h_0.51,c_crop/q_auto,f_jpg,fl_lossy,dpr_2/w_1920/egoiste-packshot-default-114450-8800909393950.jpg

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Monotheme Fine Fragrances Venezia - Patchouly Leaves

Monotheme Fine Fragrances Venezia - Patchouly Leaves

พิมเสนในโลกน้ำหอม ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีเสน่ห์อย่างมาก เพราะสามารถปรับเปลี่ยนโทนต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น ดาร์ก สากดิบ ติดฝุ่นดินๆ สมุนไพร หวาน อ้อยอิ่ง สะอาดเมื่อโดนเกลา หรูหรา เย้ายวน และดึงดูด เป็นต้น ซึ่งเมื่อหลงเสน่ห์กลิ่นอายพิมเสนเข้าเต็มๆ แล้ว เวลาเจอน้ำหอมพิมเสนเด่นๆ มักจะสอยมาลองตลอด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในการสอยมาเพื่อลอง ทั้งเพราะติดใจในแบรนด์ Monotheme เองที่ทำน้ำหอมได้สะอาดและลงตัวแบบอิตาเลี่ยนในราคาที่ไม่ได้สูงมาก และอยากรู้ว่าสไตล์พิมเสนที่แบรนด์นี้ทำออกมาจะเป็นกลิ่นอายลักษณะไหน และผลก็คือ 

Patchouly Leaves มาสายพิมเสนใสๆ เข้าทางสไตล์ Cologne ที่ใช้ง่ายมากและมีความแมนสะอาดที่ลงตัวแบบที่ไม่ต้องพยายามปีนบันไดพินิจพิจารณาอะไรให้มากความก็เอาอยู่ได้สบายๆ เพราะกลิ่นอายจะเปิดตัวด้วยความเป็น Citrus ที่ออกทางแมนๆ กันเลย กลิ่นของมะกรูดฝรั่ง กับกลิ่นอายส้มที่ออกทางติดเขียวคล้ายจะมี Oak Moss อยู่เป็นหนึ่งในนั้น จะฟุ้งกระจายบ่งบอกความเป็นน้ำหอมผู้ชายกันตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายออกทางติดสากบาง อารมณ์กลิ่นสไตล์ Dusty (หรือติดฝุ่นๆ) ของพิมเสนจะเริ่มชัดเจนขึ้นมามากขึ้น ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะมีความคลาสสิคให้จับต้องได้ ไม่ได้มาสาย Citrus ฉ่ำๆ นัก ให้ความเป็นสุภาพบุรุษแมนๆ กันเต็มๆ แล้วกลิ่นจะเปลี่ยนเข้าช่วงกลางค่อนข้างไวพอสมควร เพราะกลิ่นโทนสดชื่นจะเริ่มดรอปลงไป ดันให้พิมเสนเป็นตัวเด่นชัดเจนมากขึ้นในโทนสว่างๆ กลิ่นจะติดสากบางๆ ปนไม้หอมที่เจืออยู่ในเนื้อกลิ่นออกทางชื้นนิดๆ ท่ามกลางความสะอาดใสๆ ได้อารมณ์แบบโคโลญจน์พิมเสนกลิ่นเย้าๆ สบายๆ ยาวไปจนถึงช่วงท้าย ที่จะกลายเป็นกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ เบาๆ เจือพิมเสนบางๆ ความสะอาดแบบ Airy จะคงอยู่ไปเรื่อยๆ ตลอด เรียกว่ากลิ่นไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ชูโรงความเป็นพิมเสนออกทางใสๆ สบายๆ ที่มีความแมนเป็นตัวเด่นก่อนที่จะไล่เรียงมาเป็นกลิ่นสะอาดๆ แต่มีเสน่ห์ และปิดท้ายที่ความสะอาดเคล้าผิวกายสบายๆ ไม่ต้องอะไรเยอะก็เอาอยู่ ได้อารมณ์ผู้ชายที่ใส่เชิ้ตขาวแมนๆ สบายๆ สะอาดสะอ้าน หวีผมเรียบแปล้แบบติดคลาสสิคก็ได้ ร่วมสมัยก็ดีประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก เอาจริงๆ น้องๆ ม.ปลายก็ได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นอาจจะให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหน่อย ถ้าไม่ใส่ใจก็จัดไป เพราะกลิ่นนี้ใส่ไปเถอะยังไงก็รอด เพราะมาสายสะอาดๆ แมนๆ เหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบว่ากวาดหมดครบถ้วน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบชิลล์ๆ สบายๆ ออกกำลังกายยังใส่ได้เลย ส่วนยามค่ำคืนถ้าเน้นใส่ทั่วๆ ไปอันนี้ได้สบายมาก แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี แล้วจะให้กลิ่นเป็นตัวเรียกแขก บอกก่อนเลยว่า นกแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 4 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างตามประเภทผิวผู้ใช้งานราว 2 ชม. อิงจากจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวใช้แล้วอยู่ในห้องแอร์สลับเจออากาศร้อนบ้าง พอลากไปได้ที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ที่ 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความสดชื่นติดแมนๆ มาเลย ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบสะอาดๆ ติดเสน่ห์ออกทาง Earthy ที่ให้กลิ่นแนวๆ เขียวทึบติดดินๆ จางๆ ท่ามกลางความใสๆ แล้วจะเป็น Skin Scent ต่อมาในที่สุด 

ทิ้งท้าย - หนึ่งในกลิ่นที่ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะใช้ไปยังไงก็ผ่าน อย. และรอดทางด้านกลิ่นในทุกกรณียามกลางวันจริงๆ ข้อด้อยคือ ไม่ทนเท่าไหร่ แต่พกไปเติมระหว่างวันให้ความสดชื่น สะอาดๆ เรียบๆ แต่คลาสสิคได้ดีเชียวล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Ozon.ru
--> https://www.ozon.ru/context/detail/id/140577335/

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Collection Noire: Poudre de Riz

Pierre Guillaume - Collection Noire: Poudre de Riz

Collection Noire (เดิมทีคือ Huitième Art Collection ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่และเปลี่ยนรูปทรงขวดใหม่ เพราะขวดเดิมเหมือนโล่ห์ป้องกันในหนังแนวอัศวินไปนิด) เป็นหนึ่งในการนำเสนอกลิ่นอายผ่านทางน้ำหอมที่เป็นการถ่ายทอดกลิ่นออกมาแล้วสร้างเป็นภาพในหัวของเราเหมือนได้เห็นสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ หรือว่าสถาปัตยกรรม รวมถึงสถานที่นั้นๆ ของ Perfumer สุดหล่อที่สร้างแบรนด์มาหลายแบรนด์จนปัจจุบันมารวมศูนย์อันแยกเป็น Collection แทนอย่าง Pierre Guillaume เช่นนั้น เมื่อได้มีโอกาสมาชิมลางสาย Noire แบบนี้ ก็ขอเล่ากลิ่นรุ่นผู้หญิงหนึ่งเดียวในสายนี้ก่อนเลยนั่นคือรุ่น Poudre de Riz 

"The air in the closed room was heavy with a mixture of odours: soap, face powder, the pungent scent of cologne". Henri Barbusse, The Inferno, 1908 T


สิ่งที่เร้าใจมากก่อนการใช้งานจริง เพราะภาพชัดมากมายเพียงแค่ประโยคเดียวจากนิยายเรื่อง The Inferno ที่เป็นที่มาของน้ำหอมรุ่นนี้ ซึ่งเมื่อได้สัมผัสกลิ่นจริงกลิ่นเปิดมาตอนแรกชัดเจนมากสร้างภาพในหัวถึงอากาศในห้องปิดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสบู่ แป้งหอม โลชั่นหรือ Oil ทาตัว และกลิ่นน้ำหอมโทนดอกไม้มากันให้เต็ม แบบที่เราเปิดเข้าไปในห้องนั้นแล้วกลิ่นพรั่งพรูมาให้รับรู้ โดยจับได้ชัดเจนถึงโทนหวานของกลิ่นที่รองพื้นอยู่ด้านหลัง ปล่อยให้กลิ่นแนวกุหลาบติดแห้งเคล้ากับความเป็นดอกไม้ขาวครีมมี่ของดอกพุด Tiare ทำให้ได้ความรู้สึกออกทางสบู่ครีมกุหลาบ ที่มีกลิ่นมะพร้าวออกกะทิคลออยู่พุ่งออกมาก่อน และสิ่งที่ชัดเจนขึ้นมาอีกอย่างคือ โทนแป้งแนวๆ เครื่องสำอางก็ไม่ได้ลดราวาศอกในการนำเสนอตัวเองไปกับเขาด้วย ซึ่งแต่ละโทนอาจจะดูมาเต็มไปพอสมควรก็จริง แต่พอเข้าช่วงกลางสิ่งที่จัดเต็มให้มีซีนของตัวเองในช่วงต้นจะเริ่มสามัคคีกันโดยให้กลิ่นอายโทนแป้งเครื่องสำอางหอมหวานเป็นตัวเด่นแทน ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์แบบโต๊ะเครื่องแป้งผู้หญิงที่มีความอวลของกลิ่นแป้งเครื่องสำอางหอมๆ และมีกลิ่นอายหวานๆ นวลๆ ย้อนยุคบางๆ เจือไปตลอด โดยกลิ่นโทนแป้งจะมาจากแป้งข้าว (ให้นึกถึงเวลาใช้แป้งไรซ์แคร์เนื้อละเอียดแล้วมีกลิ่นแป้งติดขาวอ่อนๆ นวลออกมา) แต่จะโดนกลิ่นแนวครีมๆ ติดมะพร้าวกับกุหลาบทำให้กลายเป็นกลิ่นหอมดอกไม้นวลๆ และความหวานที่รองพื้นจะเริ่มปล่องของคลอไปด้วยอย่างกลิ่นคาราเมล แต่เพราะในความหวานคาราเมลจะรู้สึกได้ถึงความแอบโปร่งปลายเลยจับความเป็นเมเปิ้ลไซรัปได้พอสมควร ซึ่งความหวานจะไม่ได้มาแบบจัดเต็มหนักหน่วงนัก มีความพอดีทำให้กลิ่นแป้งดอกไม้มีความหอมหวานดึงดูดมากขึ้น ตลอดจนกลิ่นอายนวลติดแป้งวานิลลาที่แทรกเข้ามาเนียนๆ เลยทำให้ได้ความรู้สึกมีระดับ เรียกว่าแบ่งโทนกันได้เป็นอย่างดีสามัคคีชุมนุมชัดเจน 

และสิ่งที่นำเข้าสู่ช่วงท้าย คือ กลิ่นอายของวานิลลาที่มาแบบโทนแป้งสอดรับต่อเนื่องจากช่วงกลางเป็นอย่างดีทำให้ได้กลิ่นอายออกทางอบอุ่นนวลๆ เคล้าโทนแป้งหอมเจือความหวานที่เริ่มโปร่งมากขึ้นซึ่งในเนื้อกลิ่นมีความนวลเย้าหวานของยางไม้ที่ไม่ไดออกทางแน่นลึก เพราะมีความเป็นโทนไม้หอมสว่างๆ ติดนวลๆ เจือไปด้วยตลอด ทำให้กลิ่นออกทางแป้งหอมเจือหวานที่เบามากขึ้นจากช่วงกลาง แต่ละมุนสบายๆ ไปตลอด ซึ่งภาพรวม ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นโทนแป้งที่มีความหอมสไตล์แป้งเครื่องสำอางปนความหวานกำลังดี มีความย้อนยุคหน่อยๆ ให้จับต้องได้แต่ไม่ได้ไปสายคลาสสิคจ๋าๆ แต่ประการใด และสร้างภาพในหัวได้ชัดมากเหมือน

เดินเข้าไปในห้องที่ฟุ้งกระจายด้วยกลิ่นตามคำโปรย แล้วไปนั่งข้างๆ ผู้หญิงที่แต่งหน้า ทาแป้งหอมเย้ายวนที่ผิวกายตัวเองอยู่จนเสร็จสิ้น แล้วเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท โดยที่ยังมีกลิ่นอายหลงเหลือเคล้ากับความโปร่งสบายของบรรยากาศที่มากขึ้นนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงวัยเรียนมหาลัยขึ้่นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายมาก แม้ว่าจะมีกลิ่นอายติดย้อนยุค แต่มันก็มีความเยาว์วัยจากความหวานมาทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายคุณนายมากขนาดนั้น ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมีเสน่ห์ที่หลากหลายมุมต่างๆ ทั้งละมุน หวาน เย้ายวน อบอุ่น นุ่มนวล ในความเป็นผู้หญิงได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญกลิ่นนี้ใส่ออกกลางแจ้งได้ในระดับหนึ่งเพราะไม่ได้มาสายปล่อยความแน่นมากเกินไป แต่ให้งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นโทนแป้งติดหวานแบบนี้เดี๋ยวหมดความกันสดชื่นที่อยากจะออกกำลังเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือว่าไปท่องราตรีทำได้หมด เพียงแต่สเปรย์เพิ่มขึ้นกว่ากลางวันหน่อยจะลงตัวและปล่อยเสน่ห์แบบมีชั้นเชิงได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้สำหรับผู้ชาย เอาจริงๆ กลิ่นนี้มีความ Unisex ในตัวสูงเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไม่มายด์ใส่ได้สบายๆ เลย ได้ความเป็นเมโทรติดหวานในตัวได้ด้วยนะเออ 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก ส่วนตัวเจอที่ไป 12 ชม. กลิ่นยังอยู่เลยกับการใช้ที6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นให้ความจัดเต็มของกลิ่นที่เมนหลักกับโทนแป้งได้ชัดเจน แล้วจะลดลงมาที่กระจายปานกลางคงตัว ก่อนที่จะดรอปลงไปเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นแป้งเครื่องสำอางที่ดมแล้วมีความน่ารัก ไม่หนักหน่วง เรียกว่าเข้าได้กับอากาศเมืองไทยได้ดี แถมผู้ชายใส่แล้วมีเสน่ห์แบบเมโทรกึ่งๆ แป้งหอมหวานสบายๆ ได้น่าสนใจมาก ใครที่เป็นสายชอบน้ำหอมกลิ่นโทนแป้งมีโอกาสลองแล้วจะรู้ได้เลยว่า กลิ่นกระทำความฟินนนนสามารถเป็นได้เช่นกลิ่นของรุ่นนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - 
http://www.pierreguillaumeparis.com/102-huitieme-art-collection-poudre-de-riz.html

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG14 Iris Oriental

Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG14 Iris Oriental 

จากที่สังเกตและผ่านการใช้งานมาพอสมควร ก็เล็งเห็นว่า Parfumerie Generale เก่งทางด้านกลิ่นอายออกทางโทนหวานซึ่งทำได้ดีงามมาตลอดแทบทุกตัวที่ผ่านการใช้งานมา และเมื่อเห็นว่ามีการนำเอากลิ่นอายของดอกไอริสมาผสมผสานกับความเป็นโทนอบอุ่นสไตล์ Oriental สไตล์ตะวันออกแนวๆ เอเซีย อยากจะรู้ว่าจะออกมาในลักษณะไหน เช่นนั้นจัดซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย PG14: Iris Oriental (ชื่อเดิม คือ Iris Taizo) 

ถือว่าเป็นการชูโรงกลิ่นอายของ 4 โทนที่แตกต่างแต่ลงตัวในการผสมผสานกันเลยทีเดียว คือ Powdery, Spicy, Woody และ Oriental ซึ่งช่วงต้นหลังจากฉีด ความเป็นโทน Spicy ของเม็ดกระวานจะเด่นชัดขึ้นมา กลิ่นจะมีความแน่นนัวในระดับหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเผ็ดปนหวานนวลเย้ายวนออกมาชัดเจนท่ามกลางความนัวติดโทนแป้งและกลิ่นอายออกทางไม้หอมติดโทน Incense กันเลย โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนอย่างหนึ่งให้สัมผัสได้ไม่ยากคือ กลิ่นโทนอบอุ่น ที่จะเป็นโทนหลักแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย

พอผ่านไปไม่นานนัก ความเป็นโทนแป้งของไอริสเริ่มที่จะเป็นตัวเอกหลักให้ความเป็นโทนแป้งติดจืดอับบางๆ กำลังดี โดยมีตัวสนับสนุนอย่างกลิ่นอายโทนไม้หอมกลั้ว Incense ที่ยังคุมโทนความอวลปนดาร์กแบบที่ไม่ได้ดำดิ่งลึก แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ลดราวาศอกลงไปมากนักคือกลิ่นอายกระวานที่ยังมะรุมมะตุ้มเฮฮาอยู่ด้วย เลยทำให้เป็นกลิ่นอายแป้งเจือไม้หอมที่นวลอุ่นติดเย้าเผ็ดที่ค่อนข้างชัดก็จริง แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความหวานออกทางกลิ่นอายคล้ายน้ำผึ้งให้พอรู้สึกได้บางๆ ตัดทอนไปบ้าง เลยให้ความรู้สึกนวลๆ อวลๆ แบ่งเค้กทางกลิ่นได้ดีเพราะจับโทนกลิ่นได้ชัดหมดเรียงลำดับความเด่นจาก Powdery ไปที่ Woody Incense และ Spicy โดยที่มีกลิ่นหวานหอมเจือแบบไม่หนักหน่วงแบบยาวไป จนถึงช่วงท้ายที่ความเป็นโทนอบอุ่นติดไม้หอมจะเริ่มชัดมากขึ้น กลิ่นจะเริ่มให้โทนอบอุ่นอวลๆ แต่นิ่งขรึมกำลังดี เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Oriental แบบอบอุ่นที่เริ่มเปิดตัวออกมาด้วยกลิ่นอายของวานิลลาเป็นตัวรองพื้นในช่วงนี้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนม เพราะความเป็น Woody Incense ของกลิ่นไม้หอมที่ติดกลิ่นอาย Smoky แบบไม่ได้ออกทางไม้ไหม้จนดำขนาดนั้น มีอารมณ์ควันๆ ในกลิ่นแทนเสียมาก ที่สำคัญกลิ่นอายโทนแป้งยังคงตามมาอยู่ เพียงแต่จะเบาลงไปให้ความอวลหอมติดผิวไปเรื่อยๆ เคล้าความหวานจางๆ แบบที่กลิ่นยังอบอุ่นนวลๆ ปนวานิลลาแบบยาวไป ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ เย้ายวน และดึงดูดน่าค้นหา คุมโทนกลิ่นด้วยความอบอุ่นได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นมีความลงตัวกลางๆ กำลังดี และมีความอวลแบบมีชั้นเชิง ไม่ใช่ไก่กา โดยที่แฝงได้ด้วยความเซ็กซี่ดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้งไปตลอด ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นเดี๋ยวขาดออกซิเจนกันพอดี ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อย ไม่ใช่ไปเต้นริมลานรถบัมพ์อะไรเทือกนั้น ก็จัดไป เพราะกลิ่นนี้เรียกว่าสร้างความรู้สึกน่าค้นหา มีระดับ และอบอุ่นติดโทนแป้งเซ็กซี่ได้ดีจริงๆ 

ความทน - ดีงาม เพราะพื้นฐานอยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้าง ซึ่งอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็นัวกันก่อนเลย แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง แล้วจะดรอปลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เป็นหนึ่งในกลิ่นไอริสอบอุ่นที่ทำได้ดีมาก เอาความเก่งของแบรนด์ในสาย Oriental ติดหวานนวลๆ มาผสมผสานกับโทนแป้ง เชื่อมโยงและสร้างมิติให้กลิ่นด้วยกลิ่นไม้หอมติดธูป Incense เช่นนั้นผลที่ออกมามันเลยมาสายกลิ่นงามได้น่าสนใจมาก และสร้างออร่าความเท่ห์อบอุ่นให้คนใส่ได้เป็นอย่างดีเสียด้วย 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - market.yandex.ru
--> https://market.yandex.ru/product--pierre-guillaume-pg-14-iris-oriental/14278728

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Phaedon - Pluie de Soleil

Phaedon - Pluie de Soleil 

ติดใจในความเรียบหรูของน้ำหอมแบรนด์ Phaedon และที่สำคัญขวดสวยดูดีมีพลังแบบเรียบขรึมน่าวางเรียงเป็น Colletions อย่างน่าประหลาด เช่นนั้นก็ต้องหาอะไรที่น่าสนใจมาดมกลิ่นเพิ่มกันหน่อย สบโอกาสเมื่อเห็นว่าน้ำหอมอยู่รุ่นหนึ่งมีกลิ่นสตรอเบอร์รี่ที่เป็น Unisex จากฝีมือการปรุงของสุคนธกรสุดหล่ออย่าง Pierre Guillaume ที่สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมาด้วย ก็จัดมาเลยแล้วกันกับรุ่นที่บอกถึงความเป็น Summer อย่าง Pluie de Soleil และเมื่อได้ใช้จนหนำใจก็รู้ว่ากลิ่นออกมาเป็นเช่นนี้ 

#คุณหลอกดาว 

เพราะรูปลักษณ์ขวดที่มีความขรึมขลัง เรียบหรู แต่สิ่งที่อยู่ภายในกลายเป็นหนังคนละม้วนไปได้เลย เพราะ Top Notes มากับการเป็นโทน Citrus Berry ติดผลไม้กันแบบที่ อาจจะทำให้แปลกใจได้ว่านี่ฉีดน้ำหอมผิดขวดหรือเปล่า มันทำไมลั่นล้ามาเต็มจัง ซึ่งในความรู้สึกเริ่งร่าแบบนี้ ความเป็น Citrus ยังทำหน้าที่ได้ดีในแง่ของการให้ความรู้สึกสดชื่นมีระดับลงตัวได้ดี ออกแนวคุณหนูที่มีความเริงร่าสดใสแบบที่มีความหรูหราไม่โฉ่งฉ่างมากกำลังดี ท่ามกลางการเป็นโทนผลไม้ที่สว่างสดใสเปรี้ยวอมหวานกันอย่างชัดเจน แต่เพียงไม่นานการเปลี่ยนโทนเข้า Middle Notes กลายเป็นสายฟรุตตี้เต็มขั้นกันเลย เพราะกลิ่นของสับปะรดและสตรอเบอร์รี่จะแทคทีมดันขึ้นมากันอย่างจัดเต็ม กลายเป็นตัวหลักที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเลย ซึ่งจะมาในลักษณะของแบบลั่นล้า เริงร่าเต็มที่ ความเป็น Citrus จะผ่อนลงไปเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความสดชื่นเปรี้ยวเจือหวานปลายอยู่ ความมีมาดแบบเดินเอียงอายมาในตอนแรกเริ่มหลุดออกมาเป็นลักษณะที่เริงร่าเต็มที่แล้ว กลิ่นสตรอเบอร์รี่ให้ความเป็นโทนสว่างสีแดงสดใส เคล้าความเป็นกลิ่นสับปะรดที่มีความนัวเปรี้ยวอมหวานกำลังดี และมีความเป็นโทนผลไม้ออกกึ่งหวานกึ่งเปรี้ยวแต่ไม่ฉ่ำเท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นของการเป็นโทนดอกไม้ติด Spicy พริกไทยจางๆ เขียวนิดๆ ผสมผสานกับความครีมมี่ไพล่มาทางคล้ายความเป็นโยเกิร์ต กลิ่นเลยจะได้ความน่ารักสดใสก็ได้ เริงร่าลั่นล้าแฮปปี้กลางแจ้งมีความสุขก็ชัด แล้วเมื่อขยับไปที่ Base Notes กลิ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงกลางมากนัก เพราะว่าความเป็นผลไม้ยังคงลั่นล้าอยู่แบบ On Top เปรี้ยวอมหวาน เพียงแต่กลิ่นจะนวลมากขึ้นเพราะ Musk จะเป็นตัวรองพื้นกลิ่นจะมีความสะอาดเจือและมีกลิ่นไม้หอมครีมอ่อนๆ คลอเบาๆ เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นกำลังดีจากวานิลลาแบบอ่อนๆ ไม่ได้ข้นหนักจนกลายเป็นขนมหวาน เลยได้อารมณ์แบบสว่างและกลางแจ้งเริงร่าสนุกสนานที่เบาลงมาหน่อย (อาจจะสนุกไปจนเหนื่อยเลยพักบ้างประมาณนั้น) เข้าสไตล์แบบนั่งเล่นพลางจิบกลิ่นค็อกเทลน้ำผลไม้ติดโทนครีมบางๆ ท่ามกลางเสียงวี้ดว้ายของกิจกรรมในฤดูร้อนหรือปาร์ตี้กลางแจ้งประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ตราเอาไว้ว่าเป็น Unisex แต่เอาเข้าจริงความสาวของเนื้อกลิ่นมาเต็มถึง 90% เลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นนี้ถือว่าเป็นกลิ่นที่ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย เด่นที่โทนผลไม้เบอร์รี่ที่สาวๆ ชอบ จึงใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน อาจจะไม่เข้ากับงานทางการจัดๆ นัก เพราะกลิ่นมันมีความลั่นล้าในระดับหนึ่ง แต่ถ้าใส่แบบทำงานใน Office ทั่วไป พักผ่อนชิลล์ๆ หรืิอว่าเที่ยวทะเล เดินเล่นโน่นนี่อันนี้ได้หมด จะใส่ทำกิจกรรมกลางแจ้งอันนี้ก็สามารถ แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกาย อันนี้เบามือนิดนึง กลิ่นมันผลไม้จ๋าไปคนจะมองหน้าหรืออึดอัดเอาได้ ส่วนยามกลางคืนก็ได้สบายมากยิ่งไปท่องราตรีหรืิอไปงานปาร์ตี้ เพียงเพิ่มสเปรย์ก็เอาอยู่แถมดูสดใสได้อีกด้วยนะ 

ความทน - อันนี้ยอม กลิ่นทนมากราวๆ 8 -10 ชม. เลย โดนส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์ ยาวไป 12 ชม. ชัดเจนแม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนๆ เหงืิ่อซึมบ่อยๆ ก็ตาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกกในตอนต้น เรียกว่า โหยยย มาถึงก็สดใสลั่นล้าเลย แล้วลดลงมากระจายดีแบบยาวไป จนพอเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะเริ่มดรอปลงมาตามลำดับเป็นปานกลางและออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - คุณหลอกดาวอีกที เพราะว่าอารมณ์ขวดกับอารมณ์น้ำหอมมันคนละทางอย่างแรง แต่ยอมรับอย่างหนึ่งว่ากลิ่นนี้ให้อารมณ์ของสาวน้อยสดใสในฤดูร้อน และกิจกรรมกลางแจ้งสไตล์สาวๆ เริงร่าได้ดีมากจริงๆ อ้อ อีกอย่าง จริงๆ ถ้าเอาน้ำหอมกลิ่นนี้ไปใส่ขวดของ Escada ซักรุ่น นี่ใช่เลยยยยยยยย ขอบอกกกกกก! 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นผู้นำเข้าแบรนด์นี้มาขายในประเทศไทยโดยตรง นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Website - Phaedon Paris
--> http://www.phaedonparis.com/eau-de-toilette-pluie-de-soleil-phaedon-paris.html

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Collection Croisère: Paris Fidji

Pierre Guillaume - Collection Croisère: Paris Fidji

เมื่อล่องเรือหรูหราไฮโซจาก Ibiza ไปยัง Miami กับรุ่น Mojito Chypre หนึ่งใน Collection Croisiere ของแบรนด์ Pierre Guillaume ก็ได้เวลาล่องเรือหรูต่อที่รุ่นอื่นๆ บ้าง ซึ่งคราวนี้จะเป็นการนำเสนอด้วยการล่องเรือไปต่อที่เกาะ Fidji (Fiji) ซึ่งกลิ่นอายจะชิลล์และมีความ Summer ขนาดไหน จัดไปอย่าให้ได้เสียจนได้ข้อสรุปยาวๆ แบบนี้ว่า 

Paris Fidji เปิดตัวมาก็น้ำส้มมาเลย กลิ่นส้มค่อนข้างแท้ทรูมากในระดับหนึ่ง มีทั้งความเปรี้ยวและอมหวานหอมสดชื่นเต็มๆ ในเนื้อกลิ่นมีโทนเปรี้ยวของเกรฟฟรุตมาผสมด้วยให้ความสดชื่นแบบโทนสว่างเข้าไปอีก แต่ในวูบถัดมากลจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความเป็นโทนครีมนวลที่แทรกซึมเข้ามาทีละนิด แอบมีกลิ่นออกทางเหมือนกลิ่นซันแทนออกทางติดมะพร้าวกะทิมันค่อยๆ เนียนแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ด้วย จนทำให้กลิ่นกลายเป็นน้ำส้มออกทางค็อกเทลน้ำส้มใส่กะทิหรือออกทางคล้ายเค้กส้มเปรี้ยวติดครีมในระดับหนึ่งเลย กลิ่นหอมสดชื่นและชัดเจนจนทำให้ยิ้มได้สบายมาก 

ผ่านไปไม่นานจะมีวูบของกลิ่นโทนเหล้ารัมดันขึ้นมาและนำเข้าสู่ช่วงกลางที่จะกลายเป็นกลิ่นอายโทนค็อกเทลเต็มๆ มากขึ้น เด่นที่กลิ่นครีมมี่ปนหวานกำลังดี ซึ่งครีมกะทิที่ได้รับในตอนต้นจางๆ จะเริ่มนุ่ม และกลิ่นส้มจะเริ่มจางลงไปจนเหลือเบาบางให้พอรู้สึกเบาๆ บางๆ แต่จะมีลักษณะที่ติดโทนผลไม้คล้ายๆ สับปะรดที่พอมาเจอกับกลิ่นอายกะทิครีมๆ ตามด้วยใส่เหล้ารัมเข้าไป ก็กลายเป็น Pina Colada ค็อกเทลสุดหอมและสดชื่นกันได้เลย กลิ่นจะมีความนัวอวลอยู่พอให้สัมผัสได้จากกลิ่นรัมเคล้ากับกลิ่นออกแนวครีมมะพร้าวจางๆ ที่เหมือนแอบมีวานิลลาหรือกลิ่นออกทางนมๆ ชีสๆ อยู่ในนั้น เลยจะมีความอวลอุ่นติดโทนขนมหวานกำลังดีไปตลอด ที่สำคัญแอบมีกลิ่นติดโทนทะเลบางๆ ให้รับรู้ด้วย เพียงแต่มาเบาๆ ให้มิติของอารมณ์แบบกลิ่นอายชิลล์ๆ ริมทะเลพร้อมค็อกเทลแก้วโปรดติดครีมสดชื่นขณะนอนอาบแดดได้ในระดับหนึ่งเลย จนเมื่อกลิ่นของไม้หอมครีมมี่ของไม้จันทน์หอมเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นวานิลลาที่ชัดมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงท้าย โดยกลิ่นจะมีความนวลนุ่มติดครีมนมกึ่งกะทิบางๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะนวลนุ่มนมมาเชียว และยังมีกลิ่นอายค็อกเทลสดชื่นที่ตามมาจากช่วงกลางเจืออยู่เบาๆ อารมณ์จะกึ่งๆ ระหว่างขนมก็ได้ โลชั่นกลิ่นครีมนมนุ่มนวลเคล้ากลิ่นผิวกายอบอุ่นก็สามารถ ให้มิติรื่นรมย์ชิลล์ๆ ให้รู้สึกได้ไปตลอด เช่นนั้นภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่ออกทางพักผ่อนแบบหรูๆ จิบค็อกเทลนอนเล่นริมหาดน้ำใสสวยๆ อาบแดดเพลินๆ ท่ามกลางบรรยากาศเขตร้อนเคล้ากลิ่นผิวกายนวลนุ่มนมระเรื่อได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แต่อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงอยู่ราวๆ 65-70% แต่ยังไงผู้ชายก็สามารถใส่ได้สบายๆ เพราะกลิ่นออกมาแนวสร้างบรรยากาศแบบชิลล์ๆ ริมทะเลเสียมาก โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไปเป็นสำคัญ เช่น อยู่ Office เดินเล่น พักผ่อน เที่ยวทะเล อะไรก็ตาม อาจจะไม่เหมาะกับงานทางการเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันชิลล์ไป รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะมันมีความเป็นขนม ถ้ากระจายเพราะร่างกายทำความร้อนเกรงจะไปยั่วให้คนหิวเสียมากกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบทั่วไปดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้กระจายมาก ถ้าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างอิงตามสภาพผิว จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอระหว่าง 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสภาพอากาศร้อนๆ ทั่วไป หรือห้องแอร์ตลอดวัน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ายิ้มกับกลิ่นส้มที่ฟุ้งขึ้นมาได้เลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ในช่วงกลาง ก่อนจะกลายเป็น Skin Scent นุ่มๆ ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ใครชอบกลิ่นส้มที่ออกทางน้ำส้ม ค็อกเทลส้ม ครีมส้ม เค้กส้ม บอกเลยว่าฟิน แถมจะได้ความรู้สึกชิลล์ๆ ผ่อนคลายไปด้วยแบบลงตัวสบายๆ เชียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit
– Extrait.it --> 
https://www.extrait.it/wp-content/uploads/2017/06/fb-paris-fidji-pierre-guillaume.jpg