วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Serge Lutens - Vetiver Oriental

Serge Lutens - Vetiver Oriental 

ขึ้นๆ ลงๆ ระหว่าง Collection ปกติแต่เป็น Limited Edition กับการ Exclusive ขวดทรง Bell Jar ขายเฉพาะที่ Paris กันมาอยู่ระยะหนึ่ง แต่เพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่มีความดีงามสูงมากและได้รับคำชมอย่างมากมาย จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในรุ่นที่กลับมาผลิตและวางจำหน่ายแบบยาวๆ ไปของ Serge Lutens แล้ว ซึ่งความเก๋ของรุ่นนี้ คือ การนำเอาหญ้าแฝกมาเจอกับชอคโกแลตได้อย่างงดงาม เช่นนั้นพลาดไม่ได้ที่จะเล่ากลิ่นต่อว่าเป็นอย่างไร กับรุ่นนี้เลย Vetiver Oriental 

หญ้าแฝก จะกลายเป็นตัวเด่นนำที่อยู่ยาวไปตั้งแต่ต้นยันจบ เพียงแต่อารมณ์กลิ่นจะมีมิติที่จับต้องได้และให้ความลุ่มลึกที่สร้างความรู้สึกที่เชื่อมต่อกันอย่างลงตัว โดยเริ่มจากการเป็นหญ้าแฝกที่ให้ความ Earthy ติดกลิ่นดินและรากไม้ Rooty แบบกำลังดี มีความเป็นไม้แห้งกึ่งชื้นหน่อยๆ ที่สมดุลย์โดยไม่ได้หนักไปทางใดทางหนึ่ง เสริมโทนด้วยกลิ่นของไอริสที่ให้ความเป็นแป้งติดอับอ่อนๆ บางเบา และกลิ่นมีความเขียวเจือแต่ไม่ได้ไปสายคมๆ ออกทางแห้งๆ เจือสดชื่นติดชื้นหน่อยๆ ให้พอสัมผัสได้ ซึ่งเป็นการสร้างความอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงติดสมาร์ทปนขรึมพอสมควร และที่สำคัญสัมผัสความรู้สึกออกทางโทนดาร์กขมติดอวลลึกๆ น่าค้นหาที่แฝงเนียนรองพื้นอยู่ไปตลอดเสียด้วย จนเมื่อโทนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง โทนไอริสจะเริ่มเหลือเพียงบางเบา แต่หญ้าแฝกจะยังคงอยู่ให้ลักษณะโทนออกทาง Earthy ที่ออกดินหน่อยๆ รากไม้แบบแห้งๆ ที่ยังคุมโทนได้ดีมาจากช่วงต้น แต่จะเริ่มมีกลิ่นอายที่สร้างความลึกลับน่าค้นหาและมีความดาร์กขมอวลๆ เสริมขึ้นมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะมาจาก 2 โทนกลิ่นคือ โทนไม้หอมที่ติดดาร์กเจือหวานกึ่งกุหลาบปนไม้ไหม้ที่ออกทางนุ่มของไม้ Guaiac กับกลิ่นอายของดาร์กชอคโกแลตที่เสริมขึ้นมาสร้างออร่าความดาร์กติดขมปนลึกลับน่าค้นหาและมีความขรึมมีระดับ แฝงไปด้วยกลิ่นอายออกทางอบอุ่นติดครีมมี่นวลๆ ทำให้กลิ่นที่ได้จะเป็นการคลอกลั้วกันไประหว่างความเป็นหญ้าแฝก ไม้หอมและดาร์กชอคโกแลตที่งดงามมาก มีความนุ่ม ลุ่มลึก ดาร์ก ขรึม น่าค้นหา ดึงดูด มีระดับ และสมาร์ทกันอย่างชัดเจนสมกับชื่อรุ่นว่า Vetiver Oriental ที่แต่ละโทนส่งเสริมกันและกันอย่างดีงามมาก 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควร ความนุ่มติดครีมมี่เบาๆ + ความอวลลึกติดอบอุ่นที่มาสายสนับสนุนแฝงในเนื้อกลิ่นก็จะเริ่มมีมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งโทนกลิ่นของหญ้าแฝกและดาร์กชอคโกแลตจะลดทอนลงมาให้ออร่าความดาร์กแบบติดนุ่มนวลและหรูหรามีระดับในทีไปตลอด ซึ่งช่วงนี้จะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทน Musk ที่ให้ความนุ่มนวลปนสะอาดเนียนอยู่กับเนื้อกลิ่น และมีความอบอุ่นปนครีมมี่นวลที่มีมากขึ้นจากไม้จันทน์หอมและโทนกลิ่นของแอมเบอร์แบบกำลังดี ทำให้ช่วงนี้จะเป็นโทนกลิ่นลักษณะออกทางดาร์กนุ่ม มีความเป็นโทนสีออกทางสีดินปนดาร์กชอคโกแลตที่มีกลิ่นสะอาดๆ เจือไม้หอมแห้งๆ เข้าทางหญ้าแฝกที่ให้ความอะโรม่าติดลุ่มลึกน่าค้นหากึ่งสมาร์ทไปเรื่อยๆ โดยยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายที่เป็นสายดาร์กแต่สวยงามทางกลิ่นได้อย่างดีไม่มีผิดเพี้ยน 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่าเป็น Unisex แต่เอาเข้าจริง กลิ่นนี้ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าราวๆ 70% ได้ ซึ่งถ้าผู้หญิงจะใส่เอาจริงๆ ก็ได้อยู่ เพียงแต่อาจจะต้องมาในลุคแนวๆ สายเท่ห์แทน โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบลุคแนวสมาร์ท เสริมความน่าค้นหา ขรึม และออร่าความดาร์กอย่างมีชั้นเชิง รวมถึงยามค่ำคืนที่อาจจะใส่ออกงาน หรือท่องราตรีแนวๆ จิบแบบ Cool มีระดับก็เข้าท่าไม่น้อย แต่กลิ่นนี้จะไม่เข้ากับการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายเลย เสียดายน้ำหอมที่จะไปกับเหงื่อหมด

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับราว 10 ชม. อาจจะมีมากหรือน้อยกว่า ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไป 12 ชม. ได้สบายมากกับการใช้งานเพีย5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงความเสถียรในการกระจายที่ดีแบบยาวไป ซึ่งพอผ่านไปซัก 2 ชม. ถึงลดลงมากระจายปานกลาง และผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งเมื่อพอเข้าชั่วโมงที่ 10 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - นี่คือหนึ่งในผลงาน Masterpiece ของ Serge Lutens ที่สร้างสรรค์กลิ่นหญ้าแฝกกับดาร์กชอคโกแลตได้อย่างลึกลับ น่าค้นหา และดึงดูดอย่างสวยงามทางกลิ่นมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Serge-Lutens/Vetiver-Oriental-469.html &https://www.harrods.com/en-gbd/serge-lutens/vetiver-oriental-eau-de-parfum-p000000000005929718?bcid=1468398303906

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Eau D’Italie - Paestum Rose

Eau D’Italie - Paestum Rose

ถ้าสนใจที่จะท่องเที่ยวแนวโบราณสถานและเมืองร้างที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ก็คงต้องชี้ไปที่ทางใต้ของอิตาลีที่ Province of Salerno กับเมืองเก่า Paestum ที่ปัจจุบันเป็นมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องของโบราณสถานแบบนี้เกี่ยวอะไรกับน้ำหอมล่ะ? 

ก็เกี่ยวตรงนี้แบรนด์ Niche ของอิตาลีอย่าง Eau D’Italie ได้มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มาจากกุหลาบที่เบ่งบานอยู่ในเขตและรอบๆ เมืองเก่าแก่อย่าง Paestum นั่นเอง ซึ่งจะถ่ายทอดกลิ่นออกมาในลักษณะไหนก็ไล่เรียงโทนกลิ่นกันได้ในลักษณะนี้เลย 

Paestum Rose จะเริ่มด้วยกลิ่นอายโทน Fresh Spicy เจือความเขียวปน Fruity จางๆ โดยที่จะมีศูนย์กลางของกลิ่นอย่างกุหลาบแบบเบาสบายบางๆ ที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันช่วงท้าย โดยจะมาเคล้ากับกลิ่นโทนพริกไทยสีชมพูที่ให้กลิ่นอายปร่านุ่มติดกลิ่นออกทางกุหลาบอ่อนๆ เคล้ากับกลิ่นพริกไทยที่แห้งนวลเผ็ดนุ่มสะอาดเป็นตัวเสริมที่ดีงามก่อนในช่วงต้น แต่ไม่ได้มาแบบแน่นนัวจัดเต็มแต่ประการใด และมีความหวานติดผลไม้บางๆ ของดอกแบล็คเคอแรนท์ ทำให้จับต้องได้ตั้งแต่ตอนแรกเลยว่าเป็นน้ำหอมโทน Soft Spicy Rose แบบที่ให้ความรื่นรมย์เป็นสำคัญ แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นโทนขลังๆ อ่อนๆ ในเนื้อกลิ่นแนวๆ ยางไม้และไม้หอมด้วยที่ยังไม่ได้ชัดเจนมากว่าเป็นโทนในลักษณะไหนนัก 

เพียงไม่นานก็ปรับโทนเข้าสู่ช่วงกลางที่ความชัดเจนของกลิ่น Soft Spicy Rose จะเริ่มมีโทนดอกไม้อื่นๆ มาเสริมอย่างโบตั๋นที่ให้ความเป็นกุหลาบหวานโปร่งเบาๆ เจือกลิ่นผลไม้แนวๆ คล้ายแอปริคอตบางๆ ผสมกับชาติดขมอ่อนๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นชากุหลาบติดขมออกฝาด แต่สิ่งที่มาตีคู่คลอไปเรื่อยๆ คือกลิ่นโทน Incense ผสมผสานกับกลิ่นโทนยางไม้เจือหวานติดฝุ่นอับบางๆ และมีกลิ่นไม้หอมติดโปร่งขรึมแนวไม้ซีดาร์เนียนไปกับเนื้อกลิ่น แต่จะไม่ได้ไปสายข้นอวลนักเพราะยังคุมโทนความโปร่งของกลิ่นได้เป็นอย่างดี ทำให้ความรื่นรมย์จากโทนดอกไม้มีความน่าค้นหาลึกลับและขลังปนดาร์กแบบติดโปร่งให้รู้สึกด้วยตลอด ซ้อนกันเป็นมิติที่ไล่เรียงจากกลิ่นกุหลาบเจือฝาดอ่อนๆ ซ้อนลงไปเจอกลิ่นของโทนยางไม้ Incense และอ้อยอิ่งด้วยโทนกลิ่นเครื่องเทศโปร่งๆ ได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นกุหลาบเริ่มกลายเป็นลักษณะแบบ Airy ให้ได้กลิ่นเบาๆ เปิดทางให้กลิ่นอายโทนไม้หอมปน Incense ค่อยๆ กลายเป็นตัวเด่นกลิ่นจะให้ความ Dark ติดแห้งโปร่งได้ความรู้สึกแบบธูปไม้หอมอวลกำลังดี และมีความโปร่งจากโทนไม้หอมติดแห้งๆ แฝงความ Smoky อ่อนๆ และเจือโทนสะอาดจากกลิ่นอายโทน Musk ให้สัมผัสได้เวลาดมใกล้ผิว ให้อารมณ์แบบดาร์กทึมๆ แต่ไม่ได้อึดอัดแน่นอวล มีความปลอดโปร่งถ่ายเทสะดวก จนเป็นภาพออกมาในหัวเหมือนออกแนววิหารหรือปราสาทที่มีบรรยากาศทึมๆ สลับโทนสว่างบ้าง แต่อากาศถ่ายเทเอากลิ่นกุหลาบลอยเข้ามาพร้อมกับกลิ่นธูปหรือควันเผายางไม้ที่อ้อยอิ่งทำให้ดูลึกลับน่าค้นหาได้อย่างลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กวาดหมดทุกเพศ เพราะเป็นกลิ่นอายออกทางบรรยากาศ กับเสริมบุคลิกที่น่าค้นหาติดดาร์กแบบที่ไม่ค่อยเหมือนใครนักในแง่ของน้ำหอมโทนกลิ่นกุหลาบเด่น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะยามทางการที่ต้องการความขรึมขลัง หรือทั่วๆ ไปที่ออกแนวสร้างออร่าความดาร์กน่าค้นหาแบบมีสไตล์ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่ากลิ่นนี้เข้าทางไม่น้อยกับการนำเสนอความน่าค้นหาและลึกลับโดยที่ไม่จำเป็นต้องแน่นอวล เอาแบบอ้อยอิ่งที่ค่อยๆ ซึมลึกมันมีลูกเล่นและชั้นเชิงมากกว่า ซึ่งจะใส่ไปออกงานก็ได้ หรือท่องราตรีแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวก็สามารถ 

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบไม่หนักหน่วงให้ความลึกลับแบบโปร่งๆ ได้อย่างน่าสนใจ แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายที่สร้างความขรึมขลังนิ่งๆ แต่มีเสน่ห์

สรุป - จากแต่ละช่วงของน้ำหอมทำให้ภาพรวมของกลิ่นอายให้ความรู้สึกแบบกุหลาบลอยเบาๆ ตามลมเคล้ากับกลิ่นโทนยางไม้ปนธูป Incense ที่ให้ความน่าค้นหาและดาร์กแบบโปร่งๆ ได้เป็นอย่างดี โดยที่มีความซับซ้อนแบบ Gothic แต่ไม่ได้ออกทาง Classic Vintage นั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.mecca.com.au/eau-ditalie/paestum-rose-edt/I-010946.html

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Ralph Lauren - Safari for Women

Ralph Lauren - Safari for Women

หนึ่งในความ Classic และเหนือกาลเวลาของน้ำหอมแบรนด์ Ralph Lauren ในโซนน้ำหอมผู้หญิงนอกจากตัวหลักๆ อย่าง Lauren แล้ว อีกหนึ่งรุ่นที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือ Safari ของฝั่งผู้หญิง กับการนำเสนอดินแดนแห่งการผจญภัยและความอิสระเสรีของอเมริกันชนที่มีความลุยๆ ในสไตล์ของผู้หญิงอเมริกัน แถมมากับการเป็นโทน Floral Green ที่มาเขียวแบบเต็มที่เสียด้วย เช่นนั้น ต้องมาสัมผัสความ Classic ในสไตล์สาวอเมริกันแนวสาว Cowgirl ที่จะมั่นใจก็ได้และลุยๆ ก็สามารถแบบนี้หน่อยแล้วว่าจะเป็นในลักษณะใด

เปิดต้นกลิ่นด้วยโทนเขียวแบบมาเต็มกันได้เลยจากกลิ่นอายโทนยางไม้ที่ให้โทนเขียวคมพุ่งอย่าง Galbanum ที่จะชัดเจนแถมเอาเพื่อนอย่างโทนกลิ่นอายคล้ายหญ้าเขียวสดชื่นติดหวานปลายนิดๆ และกลิ่นเขียวติดเมือกชัดๆ ของดอกไฮยาซินท์พ่วงเข้ามาด้วย ทำให้ได้ความเขียวที่มีเลเยอร์แตกต่าง และจะมีลักษณะกลิ่นแบบโทน Citrus สไตล์ส้มที่มีความเปรี้ยวติดซ่าคมไม่พอ ยังมีโทนสบู่คมๆ อวลแบบอ่อนๆ ของ Aldehydes เสริมเข้าไปอีก ซึ่งก็คมสะใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่กลิ่นกลับให้ความรู้สึกที่ไม่ได้ถึงกับบาดคมจัดนัก เพราะจะสัมผัสได้ถึงความเป็นโทนหวานที่อยู่ปลายกลิ่นตลอดที่จะเริ่มจับได้ในไม่นานว่าเป็นดอกดารารัตน์ (Daffodil) ที่เป็นลูกคู่ให้มิติความหวานในความเขียวปลายกลิ่น รวมถึงจะพอจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายหญ้าแฝกที่ติดเป็นกลิ่นออกทางรากต้นที่ติดโทนดินคล้ายถั่วหน่อยๆ เนียนแฝงในเนื้อกลิ่นอยู่ด้วย เพียงแค่ช่วงต้นกลิ่นก็ให้ความรู้สึกเป็นลักษณะของโทน Classic สไตล์น้ำหอมยุค 80 พอสมควรเลย 

ความคมจะอยู่พอสมควรก่อนที่จะเริ่มลดทอนลงมาและผสมผสานกับโทนดอกไม้ต่างๆ ที่จะกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลาง ซึ่งจะกลิ่นจะแบ่งเค้กกันเป็นอย่างดีระหว่างโทนเขียวคมกับโทนดอกไม้ โดยมีกลิ่นโทนแป้งปน Spicy เป็นฐานรองกลิ่นทำให้ความคมลดลงเพิ่มความนวลกำลังดีติดสบู่หน่อยๆ เคล้าความสดชื่นจากโทนเขียวที่ยังมีอยู่ครบทั้ง Galbanum กลิ่นโทนเขียวหญ้าและไฮยาซินท์ที่เบาลงมา โดยฝั่งของดอกไม้จะมีกลิ่นดอกดารารัตน์ที่ให้ความชัดเจนมากขึ้นแบบเขียวเจือหวานตีคู่กับกลิ่นโทนดอกไม้ที่ติดเผ็ดนุ่มเจือเขียวอย่างคาร์เนชั่น เคล้าไปกับโทนดอกไม้ขาวแบบมะลิติดใสๆ มีกุหลาบนวลบางๆ เจือหวานปลายคล้ายกลิ่นน้ำผึ้งเบาๆ ให้รับรู้ว่าปลายกลิ่นจะติดเขียวเจือหวานให้รู้สึกรื่นรมย์ไปตลอดได้ด้วย นอกจากนี้กลิ่นจะมีเลเยอร์ของโทนหญ้าแฝกที่ค่อยๆ เนียนแฝงและชัดขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายที่พกเพื่อนอย่าง Oak Moss มาให้ความเข้มปนน่าค้นหาแบบติดเซ็กซี่ Classic กำลังดี โดยมีโทนไม้หอมสนับสนุนแบบกำลังดีค่อนไปทางหวานดอกไม้ออกแป้งหน่อยๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง โดยมีความสะอาดของ Musk รองพื้นให้ความนวลไปเรื่อยๆ ซึ่งภาพรวมบอกกันได้อย่างชัดเจนแม้ว่ารุ่นนี้จะออกมาวางตลาดในช่วงต้นยุค 90 แต่กลิ่นอายความเป็นยุค 80 ที่กลิ่นชัดคมและมีความเป็นโทน Classic จะเป็นตัวเด่นที่มีอิทธิพลสูงก็จริง แต่มีความเป็นโทน Timeless ที่สามารถนำมาใช้กับยุคปัจจุบันก็ได้ โดยที่ยังมีเสน่ห์จากโทนเขียวกับดอกไม้เป็นตัวสร้างออร่าที่มั่นใจอย่าง Classic นี่แหละ Safari 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย ยิ่งถ้าใครชอบโทนเขียวๆ และ Classic ฟุ้งๆ คมๆ เป็นทุนเดิมจะชอบกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป ใส่ทำงานก็ได้ ชิลล์ๆ มีความ Retro ก็สามารถ ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็ได้ (แต่กลิ่นจะพุ่งถ้าใส่ออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ยามอากาศร้อนๆ เพิ่มความสดชื่นจะลงตัว แต่ถ้าคิดว่าเอาอยู่จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ เพราะกลิ่นก็พุ่งฟุ้งคมสะใจแข่งกับสายหวานฟุ้งทั้งหลายได้สบาย 

ความทน - กลิ่นทนดีงามมากกับราวๆ 8 ชม. ขึ้นไปเป็นเรื่องปกติเลย ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ในวันอากาศอบอ้าวเสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกที่สุด เรียกว่าง่วงๆ อยู่ตื่นเลย แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายถึงดรอปผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - อีกหนึ่งความดีงามทางด้านความหอมที่ Classic อย่างมีระดับ มั่นใจ และมีสไตล์ ในความเป็น Ralph Lauren ที่เคียงคู่สาย Polo มาเป็นอย่างดีมาตลอด รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกลิ่นสำหรับคนชอบน้ำหอม ถ้าได้มีโอกาสควรได้ลองดมความเหนือกาลเวลากับโทนเขียวสะใจสไตล์นี้ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
 https://www.fragrancenet.com/perfume/ralph-lauren/safari/eau-de-parfum#122499

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Tom Ford - Private Blend: Tobacco Vanille

Tom Ford - Private Blend: Tobacco Vanille 

ถ้าพูดถึงหนึ่งในตัว Top ของสาย Private Blend จาก Tom Ford หนึ่งในนั้นก็หนีไม่พ้นสาย Cool และเซ็กซี่มีระดับซ่อนความมีเสน่ห์เหลือร้ายอย่างรุ่น Tobacco Vanille แน่นอน ซึ่งถ้าไม่ได้ Review ตัวนี้ก็ใช้น้ำหอม Tom Ford ได้ไม่สุด เช่นนั้นก็ต้องมาบอกเล่าความเร้าใจของรุ่นนี้กันหน่อยแล้วว่าจะเป็นอย่างไร
 

เปิดช่วงต้นกลิ่นกันก้วยความเป็นยาสูบที่ชัดเจนล้อมกลิ่นด้วยโทนเครื่องเทศ ที่ให้ความปร่า เผ็ด ปนหวานปลาย ที่แบ่งเค้กและสอดรับสนับสนุนกันได้อย่างลงตัว ซึ่งยาสูบจะให้ความเป็นโทนอะโรม่าติดหวานปลายที่มีความแห้งลุ่มลึกน่าค้นหาและเซ็กซี่ดึงดูดกันอย่างชัดเจน เสริมด้วยกลิ่นเผ็ดปนหวานของขิง และมีความปร่าอ่อนๆ ของเม็ดผักชี ตามด้วยความเผ็ดซ่าของกานพลูเบาๆ แต่ก็ตัดทอนกันเองด้วยโทนกลิ่นออกทางเครื่องเทศหวานโปร่งของเมล็ดเทียนสัตตบุษย์ ที่ให้ความหอมหวานติด Airy กำลังดี แอลมีกลิ่นคล้ายเหล้าหวานๆ หน่อยๆ เสียด้วย ทำให้กลิ่นยาสูบในช่วงนี้มีมิติที่สร้างความเซ็กซี่ปน Aromatic และมีความเป็นโทนเครื่องเทศ Oriental ที่สุขุมนุ่มดึงดูดและสมูธกันอย่างชัดเจน 

แต่เพียงไม่นานความเป็นโทนออกทางกลิ่นอายคล้ายผลไม้แห้งเคล้ากับกลิ่นโกโก้ออกทางเข้มจะแทรกเข้ามา และปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเป็นสาย Oriental จะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นจะยังมีความชัดเจนอยู่โดยเฉพาะยาสูบ แต่โทนเครื่องเทศจะลดทอนลงไปเป็นสายสนับสนุนให้ความ Spicy ในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งกลิ่นอายโกโก้แบบติดเข้มหน่อย คล้ายกลิ่นอายโกโก้ที่ออกทางอุ่นๆ แบบชอคโกแลตร้อนๆ ติดหวาน ปนกับกลิ่นผงโกโก้จะให้ความลุ่มลึกดึงดูดแบบติดดาร์กกำลังดี เคล้าความหวานของวานิลลาที่เริ่มเปิดตัวออกมา และมีความติดแป้งเจือครีมมี่นมๆ หน่อยๆ จากถั่วตองก้าเสียด้วย ทำให้ช่วงนี้จะได้โทนกลิ่นที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดีจากความเซ็กซี่อะโรม่าของยาสูบเจือกลิ่นอายผลไม้แห้งปลายกลิ่น หวานอุ่นลุ่มลึกวานิลลา ดาร์กน่าค้นหาจากโกโก้ และครีมมี่เย้ายวนของถั่วตองก้า เสริมความเผ็ดเซ็กซี่เนียนๆ ด้วยกลิ่นอายโทนเครื่องเทศ และมีความรู้สึกคล้ายกลิ่นหญ้าแห้งติดหนังอ่อนๆ แฝงให้ความดึงดูดอยู่ด้วยบางๆ ซึ่งน่าจะมาจากดอกยาสูบที่ให้โทนแบบนี้ เลยทำให้ช่วงกลางคือ ไฮไลท์กันได้เลยทีเดียว เพราะปล่อยของออกมาได้ชัดเจนแบบมีความเซ็กซี่เจือความเท่ห์อย่างมีชั้นเชิงชัดเจนมาก ซึ่งไม่ได้ดูพยายามตะบี้ตะบันออกแนว Bad Boy แต่ประการใด เพราะทุกโทนกลิ่นแบ่งหน้าที่ให้การประสานโทนกันได้อย่างลงตัว โดยให้ความหวานลุ่มลึกที่ค่อนไปทางติดคมหน่อยๆ ที่สร้างความเร้าใจได้ดีเลย 

จนเมื่อกลิ่นโทนเครื่องเทศเริ่มจางลงไป โทนยาสูบเริ่มกลายเป็นฉากหลัง และโกโก้เริ่มเบาลงให้ความหอมดาร์กนวล ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่วานิลลาจะเป็นตัวเด่นนำ เพียงแต่จะไม่ได้ออกทางข้นนวลนัก ยังมีความหวานคมเล็กๆ ที่เป็นลักษณะคล้ายโทนกำยาน Benzoin หน่อยๆ กลั้วไปกับกลิ่นออกทางหวานหอมผลไม้แห้งแนวๆ คล้ายอินทผาลัมหรือลูกแอปริคอตแห้งเข้ามาสร้างมิติความหวานและกลิ่นโทนไม้หอมที่มีความติดครีมบางๆ โปร่งนิดๆ โดยที่ยาสูบจะเหลือบางๆ ให้ความลุ่มลึกอยู่เนียนๆ กลิ่นวานิลลาเลยจะให้ความหวานเหมาะพอดีคลอเคลียไปกับผิวและมีออร่าความหวานลุ่มลึกติดนวลครีมมี่อ่อนๆ ที่ลงตัวและมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ลงเอาไว้ว่าเป็น Unisex แต่โทนกลิ่นค่อนไปทางผู้ชายเสียมากกว่าราวๆ 70% ได้ เพราะความเป็นยาสูบที่เสริมโทนลุ่มลึกและเซ็กซี่เข้าทางสไตล์ผู้ชายสมาร์ทเสียมาก แต่เพราะกลิ่นออกทางหวาน ผู้หญิงเลยใส่ได้ด้วยเช่นกัน แต่จะให้ความเป็นโทน Sexy ติดแมนๆ ให้ดู Contrast อย่างมีสไตล์ก็ได้ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะกลิ่นมีความอวลหวานเจออากาศร้อนจัดๆ อาจจะกระจายหนักหน่วงจนมึนเอาได้ ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งยามทางการ ออกงาน (แบบดูสถานการณ์และความเหมาะสม) ทำงาน Office หรือว่าทั่วๆ ไป แบบออกทาง Smart Casual ก็ได้หมด กลิ่นเข้าทางการใส่กับชุดโทนสีดำเสียด้วย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวตีขึ้นจนเมาเอาได้ ส่วนการใส่ยามค่ำคืนที่ไม่ว่าจะใส่ไปท่องราตรี ดินเนอร์ โรแมนติค หรือออกงานจัดไปได้เลย กลิ่นสร้างเสน่ห์ได้ดีมาก 

ความทน - ดีงามจริงจัง เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกด้วย เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. สบายมาก 

การกระจาย - เปิดต้นทางกระจายดีมาเลย ก่อนจะลดลงไปกระจายปานกลางให้ความลุ่มลึกไปเรื่อยๆ ก่อนปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไ ป

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจที่ทำไมกลิ่นนี้ได้รับความนิยม ยิ่งในฝั่งคนใช้น้ำหอมผู้ชายต่างยกกลิ่นนี้ให้เป็น Modern & Smart Sexy Scent กันได้เลย เพราะมีทั้งความดีงามของยาสูบและความหวานของวานิลลาที่ลงตัวและเบลนด์สอดรับกันได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.tomford.com/tobacco-vanille/T0-TOBACCO-VANILLE.html



วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Ermenegildo Zegna - Acqua di Bergamotto

Ermenegildo Zegna - Acqua di Bergamotto 

ว่ากันถึงโทน Citrus ที่ให้ความสดชิ่นติดฉ่ำและเข้ากับอากาศร้อนๆ มักจะหนีไม่พ้นน้ำหอมจากแดนอิตาลีที่สร้างสรรค์กลิ่นออกมาได้ตอบโจทย์การใช้งานและให้ความสดชื่นติดผ่อนคลายแบบสาย Citrus ที่แท้ทรูมักจะฟินกันไปตามๆ
 กัน ยิ่งถ้ากลิ่นอาย Bergamot เจอกับกลิ่นโทน Sea Breeze ที่ให้ความสดชื่นแบบติดทะเลหน่อยๆ ด้วย อารมณ์มันจะยิ่งได้เหมือนเดินเล่นในอ่าวหรือชายหาดที่สะอาดและสงบรื่นรมย์มากเลยทีเดียว 

เกริ่นบิลด์สร้างอารมณ์มาขนาดนี้ก็เพื่อปูทางไปสู่การเล่ากลิ่นอายสไตล์สดชื่นแบบอิตาเลี่ยนที่เด่นกับโทน Bergamot เคล้าบรรยากาศเดินริมหาดแถวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากแบรนด์สาย Smart เน้นน้ำหอมผู้ชายเป็นหลักอย่าง Ermenegildo Zegna กันหน่อยกับสาย Acqua ที่ได้วนกลับมาเจอตัวแรกของไลน์หลังจากที่ได้เล่ากลิ่น Neroli ไปก่อนหน้านี้ เช่นนั้นมาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Acqua di Bergamotto 

Bergamot จะเป็นกลิ่นที่เป็นศูนย์กลางของน้ำหอมตัวนี้ตั้งแต่ต้นยันจบเลย เพียงแต่จะลดหลั่นกันไปตามแต่ละช่วง โดยในช่วงต้นเปิดตัวกลิ่นจะให้ความสดชื่นเปรี้ยวติดขมที่มีความปร่าอ่อนๆ แบบติดเปลือก มีความฉ่ำกลางๆ ไม่ได้เด่นจัดมากนัก แต่จะเสริมโทนด้วยกลิ่นอายของดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่ให้ความเขียวปนเปรี้ยวสดชื่นเจือดอกไม้ขาวอ่อนๆ และมีกลิ่นอายติดทะเลปนสมุนไพรเบาๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งจะได้ความรู้สึกสดชื่นติดเรียบหรูกำลังดี มีความฉ่ำหน่อยๆ ที่สร้างความรื่นรมย์และผ่อนคลายได้อย่างพอเหมาะ และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นของ Bergamot จะลดทอนความฉ่ำลงไปกลายเป็นกลิ่นจะเป็นสดชื่นแห้งๆ เคล้ากับกลิ่นสมุนไพรที่มีกลิ่นเขียวปนปร่าคล้ายมินต์ ซึ่งจะเป็นคุณสมบัติทางกลิ่นของ Rosemary ทำให้ได้ความรู้สึกแบบอากาศปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย ปนความสดชื่นปนสะอาด โดยมีกลิ่นออกทางติดเค็มปนกลิ่นอายทะเลเบาๆ มีโทนดอกไม้อ่อนๆ เบาๆ แบบโซนดอกไม้ขาวแนวๆ ดอกส้มที่ยังตามมาจากตอนต้นเคล้ากลิ่นคล้ายโทนมะลิแบบใสๆ เสริมเป็นฉากหลัง ซึ่งช่วงนี้จะเป็นการสื่อสารที่ชัดเจนพอสมควรว่าไม่ได้มาสายปล่อยพลัง แต่จะให้ออร่าความสะอาดติดไอทะเลเค็มอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ ตรงตาม Concpet ที่แบรนด์ได้ระบุไว้ คือกลิ่นอายแบบทะเลเคล้าความสดชื่นแบบหาดหรืออ่าวในอิตาลี ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะแทบไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนักจนถึงช่วงท้ายที่จะมีเพิ่มเติมความเป็นโทนไม้หอมอ่อนๆ ติดแห้งๆ ของหญ้าแฝก และมีกลิ่นอายของ Musk ที่รองพื้นให้ความนวลสะอาดแบบติดผิวให้มีมิติและออร่าความสะอาดเรียบหรูเสริมเข้ามาแบบเบาๆ ให้ความสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ไปตลอดจนกว่าจะจางหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใส่ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นมาโทนสดชื่นสะอาดปลอดภัยยังไงก็รอด และให้ความเรียบหรูผ่อนคลายได้ดีเสียด้วย จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันกวาดหมดทุกสิ่งอย่าง เพราะยังไงก็ไม่ได้รบกวนใคร ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เผื่อความสดชื่นและออร่าสะอาดๆ ได้เลย เพียงแต่จะไม่ได้ไปสายเซ็กซี่และไม่ควรเอาไปสู้กับชาวบ้านยามท่องราตรีเพราะยังไงก็แพ้บาย ส่วนคุณผู้หญิง ถึงแม้ว่ากลิ่นนี้จะบอกว่าเป็นน้ำหอมผู้ชายแต่เอาจริงๆ ผู้หญิงใช้งานได้สบายมาก เพราะกลิ่นมันเป็นโทนสดชื่นติดสะอาดที่ใครๆ ก็ใช้งานได้ไม่ยาก 

ความทน - ความทนอยู่ที่ราวๆ 4 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 5 - 6 ชม. กับการฉีดใส่เสื้อที่สวมได้รวมทั้งหมด 7 สเปรย์ ซึ่งแนะนำพกไปเติมระหว่างวันสร้างความสดชื่นจะดีที่สุด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้น ให้ความสดชื่นติดฉ่ำกำลังดี แล้วจะลดทอนลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ผ่านไปไม่เกิน 2 ชม. ก็จะกลายเป็น Skin Scent ยาวไป แต่จะให้ความรู้สึกสะอาดๆ ให้จับต้องได้ไปเรื่อยๆ เข้าทางการเป็น Safe Scent ที่เรียบง่ายและสบายๆ 

สรุป - ถ้า Italian Bergamot ในไลน์ Essenze เป็นตัวตั้งต้นให้ความสะอาดมีระดับเรียบหรูในการเป็นกลิ่นอายของ Bergamot ที่ให้ความอะโรม่าตามด้วยโทนไม้หอมอ่อนๆ เรียบหรู ตัว Acqua di Bergamotto ก็คือเวอร์ชั่นที่ใสกว่า สดชื่นกว่าและมีความเป็นกลิ่นอาย Aquatic ติดทะเลแทนที่โทนไม้หอม โดยยังคงยืนพื้นที่การเป็นกลิ่นอายสไตล์ Cologne ในโทนกลิ่นแบบ Citrus ที่ไม่เน้นปล่อยพลัง มาสายปลอดภัย ที่ให้ความสดชื่น สะอาด และผ่อนคลายสบายๆ มีความเรียบหรูกำลังดี แถมพ่วงการเป็นสไตล์ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง แบบที่คนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมหนักๆ ก็ไม่ยี้แต่ประการใดนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.soriana.com/soriana/es/c/Moda-y-Accesorios/Fragancias/Lociones/Locion-Ermenegildo-Zegna-Acqua-di-Bergamotto-Eau-de-Toilette-100-ml/p/11336782



วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Xerjoff - XJ 1861 Renaissance

Xerjoff - XJ 1861 Renaissance 

ค.ศ. 1861 เป็นปีที่มีความหมายกับประเทศอิตาลีอย่างมาก เพราะเป็นปีคริสต์ศักราชที่ประเทศอิตาลีได้กำเนิดขึ้นและผ่านสิ่งต่างๆ มาอย่างมากมายจนคงอยู่อย่างงดงามจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเมื่อปี 2011 ประเทศนี้ก็มีอายุครบที่ 150 ปีเป็นที่เรียบร้อย และการครบรอบ Aniversary นี่เองที่เป็นที่มาในการ Tribute ทางกลิ่นหอมที่จะสื่อสารถึงความเป็นอิตาลีในแง่มุมที่งดงามต่างๆ จากแบรนดLuxury ของประเทศนี้อย่าง Xerjoff ที่ได้สร้างสรรค์กลิ่นอายออกมา 3 รุ่นในความเป็น 1861 ทั้งหมด คือ Renaissance - ความเป็นอิตาลีที่สืบต่อกันมา, Naxos - เกาะซิซิลี และ Zefiro - กรุงโรม 

และหนึ่งใน 3 รุ่นนี้ คือ หนึ่งในความสุดยอดส่วนตัวที่ให้ความยอดเยี่ยมของกลิ่นที่ต้องเอามาบอกเล่าถึงความดีงามกันหน่อย นั่นคือรุ่นนี้ XJ 1861 Renaissance 

บอกก่อน - เดิมทีรุ่นนี้มีชื่อรุ่นว่า 1861 เฉยๆ แต่มีการเพิ่มคำว่า Renaissance เข้าไปภายหลัง และพึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบขวดจากทรงเหลี่ยม มาเป็นทรงรีคล้ายแจกันเมื่อไม่เกิน 2 ปี ที่ผ่านมา

เปิดต้นกลิ่นได้ชัดเจนมากถึงความเป็น Citrus ติดเขียวที่ชัดเจนพอสมควร จับต้องได้ถึงโทนกลิ่น Citrus ที่ติดแปร่งอ่อนๆ เปรี้ยวเจือหวานปลายของเลมอนได้ชัดเจนมาก โดยจะมีความเปรี้ยวเจือขมติดซ่า Spicy หน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซ้อนด้วยกลิ่นออกทางส้มที่ให้ความใสฉ่ำกำลังดีค่อนไปทางเปรี้ยวปนสดชื่นที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและจับได้ในแต่ละโทนที่ชัดเจนไล่เรียงเลเยอร์กลิ่นสร้างความรู้สึกปลอดโปร่งสดชื่นและสว่างสไว อากาศดีๆ เคล้าแสงแดดได้อย่างสนใจมาก ซึ่งกลิ่นโทน Citrus นี้จะมีกลิ่นโทนเขียวติดเปรี้ยวของกิ่งก้านส้มเสริมให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและมีโทนอะโรม่าสดชื่นที่ชัดเจน คงสไตล์การเป็นน้ำหอมโทน Citrus แบบอิตาลีได้ดีมาก แต่กลิ่นในช่วงต้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะกลิ่นที่ค่อยๆ เปิดตัวขึ้นมาของมินต์จะให้ความอะโรม่าปนปร่าติดเขียวรื่นรมย์และผ่อนคลายกับโทน Citrus ในช่วงต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ความเป็น Citrus Mint ที่เรียบหรู สดชื่น และมีระดับชัดเจนเลยทีเดียว รวมถึงมินต์นี่แหละ ที่จะเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมกลิ่นนี้ ที่จะอยู่ตั้งแต่ช่วงต้นไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย 

เมื่อเข้าช่วงกลาง โทน Citrus ในตอนต้นจะผ่อนลงมาในระดับหนึ่ง ให้ความรู้สึกแบบ Airy สดชื่นสว่างๆ แบบมีระดับคงเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ความเป็นมินต์จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับแบบให้โทนปร่าติดเขียวเย็นๆ ผ่อนคลายมีความสบายในเนื้อกลิ่น เสริมด้วยความพลิ้วไหวกำลังดีกับกลิ่นโทนดอกไม้อ่อนๆ แบบกลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลม เด่นที่โทนดอกไม้ขาวหอมโปร่งเจือหวานอ่อนๆ เสริมโทนอะโรม่าให้มีมิติที่จับต้องได้ทั้งมินต์ Citrus และดอกไม้เบาๆ แบบยืนสูดอากาศและธรรมชาติสดชื่นยามเช้าที่มีความเรียบหรูและผ่อนคลายปลอดโปร่งได้ดีมากไปเรื่อยๆ จนเริ่มจับต้องได้ถึงเนื้อกลิ่นที่เริ่มมีความสะอาดติดติดอบอุ่นอ่อนๆ เสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนกลิ่น Citrus เริ่มลดทอนลงไปเหลือปลายกลิ่นบางๆ ก็เป้นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่มินต์ยังคงมีอยู่แบบเบาๆ เคล้ากับกลิ่นโทน Musk ที่ให้ความสะอาดนวลปนอบอุ่นกำลังดีรองพื้น ให้ความรู้สึกแบบอากาศที่อุ่นขึ้น โดยยังมีความสะอาดเคล้าความเรียบหรูจากพิมเสนที่ให้ความเบาๆ อ้อยอิ่งบางๆ เจือกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ ของซีดาร์ที่ให้มิติความสะอาดที่ผ่อนคลาย ติดขรึมเบาๆ อารมณ์แบบอากาศยามสายที่เริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้นมาอีกระดับ เพียงแต่ยังอากาศดี มีความอะโรม่าเย็นอ่อนๆ จากมินต์ให้จับต้องได้ไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นเป็นโทนสภาพแวดล้อม ให้ความรู้สึกแบบสดชื่นรับอากาศปลอดโปร่งเคล้า Citrus และ Mint ทำให้มีความสุขและรื่นรมย์ จึงสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด โดยกลิ่นมาสายธรรมชาติและเรียบหรูมีระดับชัดเจน เลยอาจจะดูความเหมาะสมเพื่อเพิ่มออร่ายกระดับทางกลิ่นด้วยก็เป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณา ส่วนยามค่ำคืน เน้นยามอากาศร้อนๆ สร้างความสดชื่น สบาย ผ่อนคลาย และรื่นรมย์แทนดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนเหมาะกับใส่ไปท่องราตรีนัก เพราะคงไปสู้กับโทนหวานเย้าแน้นอวลจากคนอื่นที่จัดเต็มกันมาไม่ได้ 

ความทน - ดีเกินคาดกับกลิ่นแนว Citrus Aromatic แบบนี้ และเป็นกลิ่น Citrus Mint ที่ทนดีงามมาเลยทีเดียว กับราวๆ 8 ชม. และอาจจะมากกว่านั้นได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ให้ความสดชื่นสว่าง แสดงแดดกับอากาศดีๆ เคล้ากลิ่นมินต์ปลอดโปร่งได้ดีมาก ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางที่พลิ้วไหวและรื่นจมูก รวมถึงปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ สะอาดให้ความเรียบหรู พ้นไปซัก 6 - 8 ชม. กลิ่นจะเป็น Skin Scent คลอผิวไปตลอด

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงได้มีคำจำกัดความว่า หนึ่งใน Citrus Mint ที่ดีที่สุดในโลกเพราะตั้งแต่ต้นยันจบให้ความเป็นมินต์ที่ได้ทั้งโทนสดชื่นจาก Citrus ความผ่อนคลายจากบรรยากาศเคล้ากลิ่นดอกไม้อ่อนๆ และความสะอาดเรียบหรูปนอากาศดีๆ ที่อบอุ่นอ่อนๆ จะไม่ยกให้ตัวนี้เป็นหนึ่งในความสุดยอดส่วนตัวจนกลายเป็น My King of Fragrances ก็คงไม่ได้แล้วล่ะ มันดีงามมากในทุกๆ ช่วงกลิ่นจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
https://www.fragrantica.com/perfume/Xerjoff/XJ-1861-Renaissance-12126.html

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Acca Kappa - Green Mandarin

Acca Kappa - Green Mandarin

ถ้าจะพูดถึง Note กลิ่นสาย Citrus ที่คนหลายๆ คนมักจะชอบเป็นลำดับต้นๆ เลย คงหนีไม่พ้น ส้มเป็นแน่แท้ เพราะเป็นกลิ่นที่จะสร้างความสดชื่น เจือความหวานหน่อยๆ ให้ความรื่นรมย์และผ่อนคลายได้ในตัวเอง ซึ่งกลิ่นนี้ก็เป็นหนึ่งในกลิ่นยอดนิยมของน้ำหอมไม่ว่าจะเป็น Designer และ Niche Brand มาเสมอ มีทั้งธรรมชาติชัดเจนไปจนถึงกลิ่นออกทางสังเคราะห์ที่มีลูกเล่นและมีสไตล์ และเมื่อผ่านกลิ่นส้มมาหลากหลายแบรนด์ ก็ได้เวลาของการมาลองทางฝั่งแบรนด์อิตาลีที่ผลิตหวีดีมีคุณภาพอย่าง Acca Kappa บ้าง กับการสร้างสรรค์กลิ่นส้มขึ้นมาในสไตล์ไหน ก็ว่ากันตามนี้เลย 

Green Mandarin เปิดตัวช่วงต้นกลิ่นด้วยความเป็นส้มที่ออกทางเปรี้ยวคมติดกลิ่น Spicy ของน้ำมันหอมระเหยที่อยู่บนผิวส้มติดปลายเขียวปนขมปร่าอ่อนๆ สดชื่น แบบเวลาที่เราปอกเปลือกส้มแล้วจะมีกลิ่นฟุ้งออกมา ซึ่งถือว่ากลิ่นเปิดเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากเลยทีเดียวของกลิ่นโทนส้มที่ชัดเจนและที่ชัดเจนกว่าคือกลิ่นเปรี้ยวติดขมเจือหวานปลายของเลมอนที่เด่นเป็นสง่ากินซีนส้มอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เทคโอเวอร์ทั้งหมด รวมถึงกลิ่นสายสนับสนุนที่ทำให้โทนกลิ่นในช่วงนี้มีความเป็นส้มที่เปรี้ยวสดชื่นและมีความธรรมชาติพอสมควรอย่างกลิ่นโทนเขียวปร่ามินต์ที่ให้ความปร่าอะโรม่า กลิ่นโทนสมุนไพรปร่าอ่อนๆ ของโรสแมรี่ และกลิ่นที่ออกทางเขียวเปรี้ยวเจือดอกไม้ขาวของดอกส้ม เลยทำให่ช่วงต้นสามารถสร้างความประทับใจในความสดชื่นแบบส้มที่มีความเปรี้ยวเจือเขียวได้ดีเลยทีเดียว 

เพียงชั่วครู่ก็เข้าช่วงกลาง เพราะกลิ่นจะเริ่มมีความซอฟต์ลงมาโดยที่กลิ่นส้มจะเบาลงมาแบบสายสนับสนุนที่ให้ความเป็นส้มติดเปรี้ยวอมหวานในน้ำหอมอยู่ชัดในลักษณะเลเยอร์กลิ่นตรงกลางเชื่อมโทน แต่กลิ่นของเลมอนจะกลายเป็นตัวเด่นกว่าแทน โดยจะมีความเปรี้ยวแปร่งตามสไตล์เลมอนที่จะมีความขมหน่อยๆ แต่หวานปลายกลิ่นผสมผสานกับมินต์และมีกลิ่นปร่าเผ็ดอึนเบาๆ ของยูคาลิปตัสมาเป็นทีมเสริมที่ให้ความปร่าอะโรม่าสดชื่นผ่อนคลายเป็นเลเยอร์บนสุด และที่สำคัญจะมีกลิ่นอายโทนเขียวเจือดอกไม้เบาๆ เป็นเลเยอร์รองพื้นในช่วงนี้ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นของกิ่งก้านส้มที่ให้ความเขียวสดชื่นและมีกลิ่นออกทางมะลิเบาๆ กระดังงาให้ความหวานอ่อนๆ และสร้างโทนสีเหลืองเจือส้มให้กับกลิ่น ซึ่งกลิ่นจะยังคุมโทนการเป็Citrus ที่สดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกันได้ตั้งแต่ช่วงต้นได้ดีมาก จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นเริ่มเบาลงไปเรื่อยๆ คงเหลือไว้แต่กลิ่นโทนเผ็ดนวลนุ่มเบาๆ ของพริกไทยที่ไม่บาดไม่แน่น กับกลิ่นอายออกทางเขียวหญ้าหอมติดเขียวมีความหวานเย้าอ้อยอิ่งบางๆ เจือความนุ่มสะอาดอ่อนๆ รองพื้นของ Musk ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวและจะระเรื่อติดผิวไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติติดเขียวกำลังดี ให้ความเป็นส้ม+เลมอนสดชื่นลงตัว โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เรียกว่ากวาดหมดตั้งแต่ทางการยันชิลล์ๆ และสายออกกำลังกายได้หมด ที่สำคัญปลอดภัยในการใช้งานและไม่รบกวนใคร แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่ให้ความสดชื่นผ่อนคลายจะดีกว่า เพราะกลิ่นมาสายเบาๆ ใส่ไปท่องราตรีโดนชาวบ้านกลบหมดแน่นอน

ความทน - เพราะเป็น Eau de Cologne กลิ่นจะอยู่ระหว่าง 2 - 4 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 8 สเปรย์ กลิ่นยาวมาที่ 6 ชม. ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเพียงไม่นาน อยู่ซักครู่ถึงเป็น Skin Scent ยาวจนกว่าจะจางไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นให้ความเป็นส้มเปลือกเขียวเปรี้ยวติดหวานปลายได้ดีและมีความเป็นธรรมชาติ แต่แรกสเปรย์ก็ทำให้สดชื่นปลอดภัย และผ่อนคลายได้ไม่ยาก เพียงแต่กลิ่นโทนนี้จะด้อยเรื่องความทนหน่อย แนะนำพกมาเติมระหว่างวันจะดีที่สุด 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.accakappa.us/products/green-mandarin-cologne-for-women

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Abercrombie & Fitch - First Instinct Extreme

Abercrombie & Fitch - First Instinct Extreme 

จาก First Instinct รุ่นแรกที่เป็น EDT ได้รับความนิยมอย่างมากกับการเป็นน้ำหอมชายอีกหนึ่งเรือธงของแบรนด์ Abercrombie & Fitch ก็ได้เวลามาสู่การเพิ่มความเร้าใจและความเข้มข้นเข้าไปอีกกับการต่อยอดมาเป็นรุ่น Eau de Parfum กับการเป็น First Instinct Extreme ที่จะมาสร้างความหอมแบบผู้ชายสบายๆ แต่มีความนัวเข้ามาแจม เช่นนั้น ต่อยอดขนาดนี้ก็ไม่พลาดสิที่จะไ
ด้ลอง ผลสรุปทางกลิ่นที่ออกมาคือ 

เปิดต้นกลิ่นด้วยโทนแมนๆ ติดอบอุ่นกำลังดีกันก่อนเลยเพราะเนื้อกลิ่นที่รองพื้นจะจับต้องได้ตั้งแต่ช่วงแรกเลย คือ กลิ่นโทนใบไวโอเล็ต ที่ให้โทนเขียวติดเมทัลลิคหอมสดชื่นติดโทน Aquatic เบาๆ ที่ชัดเจนวูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นเม็ดกระวานหวานเผ็ดเย้าที่คลอเคลียให้ความนัวและนวลเป็นพื้นกลิ่น โดยที่จะมีเลเยอร์กลิ่นนวลเผ็ดของพริกไทยและกลิ่นออกทางหวานอมเปรี้ยวคล้ายโทนกลิ่นแนวๆ ลูกแพร์ผสมแอปเปิ้ล หวานอมเปรี้ยวไม่ฉ่ำเกิน (ซึ่งเมื่อไปดู Note แล้วจึงได้รู้ว่าเป็นโทนกลิ่นมะเฟือง) เป็นตัวซ้อนอยู่ด้านบน ทำให้กลิ่นจะผสมผสานกันเป็นโทนผลไม้ติดนัวๆ มีความนวลเขียวเจือเมทัลลิคกำลังดี ซึ่งสร้างความแมนกันตั้งแต่ต้น ซึ่งยังไม่พอ เพราะว่าโทนกลิ่นของกระวานมาเจอกับโทนกึ่งผลไม้ออกเปรี้ยวอมหวานหรือ Citrus มักจะมีความรู้สึกติด Bad Boy อยู่เสมอ ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นก็มีโทนนี้ให้จับต้องอยู่ด้วย

จนเมื่อกลิ่นโทนผลไม้เริ่มเบาลง และมีความครีมมี่บางๆ เสริมขึ้นมา ทำให้กลิ่นของไวโอเล็ตและกระวานจะกลายเป็นตัวเอกเด่นนำไปตลอด ให้ความเขียวนวลเย้ายวนกำลังดีมีความเป็นใบไวโอเล็ตให้จับต้องได้แบบเต็มๆ เคล้ากับความเซ็กซี่ของกระวานที่ให้กลิ่นหวานเย้าเร้าใจปนเผ็ดร้อนที่เซ็กซี่ที่เริ่มจับต้องได้จากกลิ่นของพริกไทยแนวๆ หนึ่งที่ไม่ใช่สไตล์นวลสะอาดแบบพริกไทยปกติ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะได้อารมณ์ Green ปน Aquatic ที่มีเมทัลลิคกับเครื่องเทศหวานเย้าฟุ้งสนับสนุนเต็มชัดพอสมควร โดยจะมี Background เบื้องหลังที่เสริมโทนอยู่เป็นกลิ่นออกทางกึ่งไม้กึ่ง Musk ที่จับได้ถึงกลิ่นโทนหนังกลับหน่อยๆ กลิ่น Musk อ่อนๆ เสริมด้วยโทนอบอุ่นสไตล์แอมเบอร์นัวๆ แทรกตัวเข้ามาเนียนๆ รองพื้น จึงทำให้ช่วงกลางกลิ่นจะได้2 มิติคือ Green Aromatic & Spicy และรองพื้นด้วยโทน Warm Musky ที่มีความนัวกำลังดีไปเรื่อยๆ ได้ความรู้สึกแบบผู้ชายอบอุ่นสบายๆ มีความเท่ห์กำลังดี จนเมื่อกลิ่นโทนเขียวเริ่มเบาลงเหลือเพียงบางๆ กลายเป็นโทน Warm Musky เด่นขึ้นมาแทน ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะจับได้ถึงโทนของกลิ่น Musky เจือไม้หอมที่นัวๆ ตามสไตล์ของกลิ่น Cashmirwood ที่เป็นกลิ่นโทนสังเคราะห์ลูกครึ่งระหว่าง Musk กับไม้หอมติดนัวๆ อวลๆ ดึงดูด ผสมผสานกับกลิ่นโทนหนังกลับกับ Musk รองพื้นด้านหลังให้ความเซ็กซี่นวลๆ รุมๆ แต่สิ่งที่จะจับต้องได้อีกอย่างคือกลิ่นโทนครีมมี่ติดมะพร้าวกะทิที่แอบเนียนมากับเขาด้วยหน่อยๆ แต่มาวูบบางๆ ก็จมไปกับเนื้อกลิ่นเลยสร้างมิติความครีมมี่ให้กลิ่นอยู่ในระดับที่เบาๆ จนผ่อนหายไปหมดเมื่อปลายๆ ช่วงท้ายที่จะเริ่มเป็นโทนสะอาดติดอบอุ่นมีความนัวอ่อนๆ ติดผิวกำลังดีจนกว่าจะจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายก็สามารถใช้ตัวนี้ ได้สบายมาก เพราะแบรนด์มาสายแนวๆ วัยรุ่นตั้งแต่ตอนต้นสู่ตอนปลายอายุ 60 ก็ยังใช้งานได้อยู่ ซึ่งกลิ่นนี้มีความเกือบครอบจักรวาลในระดับหนึ่ง คือ ใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ทั้งยามกลางวันและกลางคืนได้เลย ไม่ว่าจะใส่แบบทำงานหรือทั่วๆ ไป ลามไปถึงใส่ไปปาร์ตี้ ท่องราตรี ซึ่งจะมีก็แต่การใส่ออกทางการจัดๆ ที่อาจจะต้องพิจารณาหน่อย รวมถึงการใส่เพื่อไปออกกำลังกายเลยที่ถ้าเป็นได้ ให้รอช่วงท้ายๆ ก่อนจะดีที่สุด 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ ก็อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ชัดเจนกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางซักระยะก่อนลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นประมาณ 5 ชม. ไปแล้ว จะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ตัว Extreme จะเป็นการต่อยอดจากรุ่นปกติโดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาและปรับโทนให้เข้มขึ้น โดยตัดบางกลิ่นเพิ่มความชัดเข้ามาให้มีความ Bad Boy แบบมีชั้นเชิงแต่ยังคุมโทนการเป็นหนุ่มสบายๆ ได้อยู่ รวมถึงความทนที่ดีมากขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าแยกง่ายๆ รุ่นปกติเข้าทางการใช้ยามกลางวันสไตล์ Daily Scent ที่ให้ภาพลักษณ์หนุ่มข้างบ้านที่หล่อจัง และรุ่น Extreme ใช้ต่อเนื่องยามกลางคืนที่ทำให้หนุ่มข้างบ้านคนเดิม เพิ่มเติมความเซ็กซี่เย้ายวนใจและมาดแมนนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://cf.shopee.co.th/file/56e24310ff2f1e4698487c0902dd3465



วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Kenzo - Tokyo

Kenzo - Tokyo 

โตเกียวในยามเย็นสู่ยามค่ำคืน จากที่เราๆ ได้สัมผัสและเห็นจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแสงสีต่างๆ จากธรรมชาติทั้งเหลือง ส้ม และแดงยามพระอาทิตย์อัสดง หรือว่าจะเป็นแสงสีจากหลอดไปและนีออนต่างๆ ที่ตัดกับสีดำเข้มของท้องฟ้ายามค่ำคืน รวมถึงสีเขียวที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่างต่างๆ ของต้นไม้ที่ต้องเป็นหนึ่งในซีนที่เราได้เห็นเสมอ ทุกอย่างคือองค์ประกอบที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ทำให้เราอยากไปยืนหรือไปเยือน (ซ้ำแล้วซ้ำอีก) ได้ไม่ยากเลยทีเดียว 

ซึ่งทั้งหมดนี่แหละ คือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของ Kenzo ที่ได้สร้างกลิ่นอายของโตเกียวไล่เรียงตั้งแต่ยามเย็นจนถึงค่ำคืน โดยเน้นที่สีสันต่างๆ ของแต่ละ Notes กลิ่นมาผสมผสานผสาน จนกลายเป็นการ Tribute กลิ่นออกมาถึงความเป็น Tokyo ในลักษณะนี้เลย 

Top Notes จะให้ความเป็นโทนกลิ่นออกทางสีเหลืองกันก่อนเลยกับการเปิดตัวด้วยกลิ่นขิงคลอกับโทCitrus ที่มีกลิ่นเปรี้ยวหอมเจือแปร่งหน่อยๆ แต่สร้างความกระฉับกระเฉงของเกรปฟรุต โดยจะให้โทน Citrus Spicy โปร่งๆ สดชื่นเจือหวานปลายจางๆ ไม่อุ่นไปหรือเย็นไป มีความกำลังดีตั้งแต่ต้น โดยกลิ่นของขิงนี่แหละที่จะเป็นเหมือนตัวเดินกลิ่นหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันปลายให้ความรื่นรมย์สไตล์ Fresh Spicy ไปตลอด แล้วเพียงชั่วครู่กลิ่นชาเขียวจะเสริมขึ้นมาให้ความเขียวอ่อนๆ อะโรม่าเจือ Spicy แล้วกลิ่นโทน Citrus ก็ค่อยๆ ดรอปลงไป จนกลายเป็น Middle Notes ที่กลิ่นจะเป็น Aromatic Spicy ให้โทนสีของกลิ่นที่มีมิติให้จับต้องได้ทั้งเหลืองจากขิงและเกรปฟรุต กลิ่นโทนเขียวผ่อนคลายของชาเขียวอ่อนๆ แต่จะเพิ่มความเป็นสีส้มของส้มขม (Bitter Orange) ที่ให้โทนกลิ่นออกทางสีส้มแบบน้ำส้มใสๆ เสริมด้วยโทนกลิ่นสีแดงของพริกไทยสีชมพูที่ให้ความนวลไพล่ไปทรางโทนกุหลาบเคล้า Spicy นวลๆ และแอบมีโทนปร่านุ่มหน่อยๆ กับไม้หอมเนียนๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นด้วย ซึ่งจะผสมผสานกันออกมาเป็นกลิ่นชากับไม้หอมรองพื้นและให้ความเป็นโทนเผ็ดนุ่มเจือ Citrus เป็นเลเยอร์นำอยู่บนของกลิ่นให้ได้รับรู้ชัดเจนเป็นสเต็ปลงมา ซึ่งช่วงกลางนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ให้ความมีมิติของการผสมผสานโทนกลิ่นได้ลงตัว และให้อารมณ์กลิ่นสื่อถึงโทนสีได้อย่างแตกต่างได้เลยทีเดียว 

และเมื่อกลิ่นเริ่มมีการขยับโทนให้ความเป็นไม้หอมติดขรึมๆ นิ่งๆ มีความโปร่งเจือความ Smoky อ่อนๆ ของไม้ซีดาร์และไม้ Guaiac (ที่จะให้กลิ่นติด Smoky เจือน้ำมันดินอ่อนๆ) เด่นขึ้นมาตีคู่กับโทนเผ็ดนุ่มที่ยังคงชัดเจนอยู่ โดยจะยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นขิงที่มีแบบเบาๆ แต่กลิ่นจะมีความกลมกล่อมปร่านุ่มเข้าโทนไม้หอมมากขึ้นจากเม็ดจันทน์เทศ และมีความซ่าหน่อยๆ ของกานพลูให้พอสัมผัสได้แบบเบาๆ กำลังดี ทำให้ช่วงได้ได้ความเป็นโทนติดออกทาง Dark แต่ยังโปร่ง เข้าทางกลิ่นอายสุภาพบุรุษสบายๆ และน่าค้นหาได้อย่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย แต่ไม่ได้ไก่กา และมีระดับมากกว่าที่คิด โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่กิจกรรมลุยๆ กับออกกำลังกายที่อาจจะไม่ค่อยเข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นจะเหมาะกับแนวๆ สบายๆ เรื่อยๆ โรแมนติค หรือชิลล์ๆ มากกว่าที่จะใส่ไปท่องราตรีปาร์ตี้สุดเหวี่ยง เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายกระจายสร้างความโดดเด่นอะไรนัก 

ความทน - ราวๆ 4 - 8 ชม. แล้วแต่สภาพอากาศ สภาพผิว และจำนวนสเปรย์ เพราะส่วนตัวถือว่าตัวนี้ค่อนข้างแกว่งตามแต่ละสถานการณ์เลย วันไหนอากาศร้อนจัดๆ เหงื่อซึม 4 ชม. ก็ถือว่างดงามแล้ว วันไหนอากาศดีๆ หน่อย ไม่ร้อนมาก 6 - 8 ชม. ก็ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะดรอปมาที่ออร่ารอบๆ ตัวในเวลาไม่นาน ก่อนจะกลายเป็น Skin Scent ต่อมา ซึ่งถ้าอิงลักษณะแบบน้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่นแล้วก็ใช่เลย เพราะกลิ่นจะไม่รบกวนใครเท่าไหร่นั่นเอง 

ทิ้งท้าย - กลิ่นให้ความรู้สึกเป็นโตเกียวได้ดี และมีความเป็นกลิ่นอายแบบผู้ชายตะวันออกหรือจะเป็นผู้ชายแบบญี่ปุ่นที่ติด Cool เท่ห์สบายๆ แต่ยังมีความสุภาพได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งเสียดายจริงๆ ที่กลิ่นนี้ #เลิกผลิต ไปพักใหญ่แล้ว (เบื่อชะมัด ของดีมักเลิกผลิต) 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

Review: Imaginary Authors - The Cobra & The Canary

Imaginary Authors - The Cobra & The Canary 

เข้าสู่งานศิลปะในรูปแบบกลิ่นตัวที่ 2 ที่เล่าเรื่องราวแบบตอนสำคัญของนิยายซักเรื่องแล้วมาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ Imaginary Authors อีกครั้งหลังจากได้ไปเยือน โบสถ์แห่งการไถ่บาปในรุ่น Saint Julep มาก่อนหน้านี้ และเรื่องราวที่ 2 ที่ได้มาสัมผัสก็พร้อมที่จะได้บอกเล่ากลิ่นอายแล้ว นั่นคือ The Cobra & The Canary
 

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - 2 หนุ่มเพื่อนซี้ได้ขับรถ Shelby Cobra รุ่นปี 1964 ออกมาสู่โลกกว้าง ท่องเที่ยวไปเรื่อย สุดเหวี่ยงในแต่ละรูปแบบไม่ว่าจะปลอมชื่อปลอมตัว คั่วสาวฮอต และทำอะไรที่อยากจะทำแม้จะดำดิ่งลงไปในด้านที่สุดกู่แค่ไหนก็ตาม 

จากคำโปรยนี่มันเหมือนนั่งดู Road Trip Movie ชัดๆ เลย ซึ่งกลิ่นเองให้จุดเริ่มของกลิ่นไล่เรียงไปจนถึงปลายทางได้อย่างน่าสนใจมาก กับการเปิดตัวกลิ่นโทนแห้งกันมาแบบมาเต็มชัดพอสมควรของหญ้าเขียวแห้งๆ และเลมอนที่มีกลิ่นอายของหนังติดออกทางจืดปนแป้งอ่อนๆ เสริมเป็นพื้นหลังอยู่ อารมณ์กลิ่นจะประมาณเหมือนได้กลิ่นหญ้าแห้งๆ เคล้าอากาศเย็นสดชื่นกับเบาะหนังรถเก่าหน่อยแบบเป็นเลเยอร์ซ้อนกัน 2 ชั้นได้อย่างน่าสนใจมาก จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของโทนกลิ่นค่อนข้างชัดเพราะกลิ่นโทนเลมอนแห้งๆ จะเริ่มจางลงไป เปิดทางให้โทนแป้งจืดสไตล์ดอก Iris ที่แอบมีความข้นติดอับหน่อยๆ จากหัว Orris ที่เป็นเหง้าใต้ดินของต้นไอริสเด่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทน Smoky ออกทางควันที่มาเป็นลูกคู่ ทำให้กลิ่นโทนหนังเคล้ากลิ่นเขียวหญ้าแห้ง จะมีความเป็นโทนแป้งติดแห้งจืดแต่ไม่ถึงกับสะอาดจ๋าๆ จนกลายเป็นโทนแป้งเต็มๆ นัก เพราะจะมีกลิ่นออกทางยางมะตอยเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นโทนใกล้ๆ กับความเป็นยางรถยนต์หน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางควันบุหรี่อ้อยอิ่งให้พอจับต้องได้เจือไว้อยู่ ซึ่งชัดเจนมากขึ้นจนเป็นภาพออกมาเหมือนสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศเวลาขับรถเปิดกระจกแล้วสูบบุหรี่ไปด้วย โดยมีกลิ่นไอร้อนจากถนนและจากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เป็นทุ่งหญ้าแห้งลอยเข้ามาปะทะตัวและได้รับกลิ่น ซึ่งกลิ่นค่อนข้างชี้ทางชัดพอสมควรเลยที่จะให้เรานึกถึงสถานการณ์ยามขับรถเปิดกระจกรับลมเวลาอากาศที่กึ่งร้อนกึ่งกลางๆ หน่อยๆ 

กลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในช่วงท้าย เพราะโทนหญ้าแห้งจะเริ่มหายไป ให้กลิ่นโทนหนังเป็นตัวนำของกลิ่นที่มีความชัดเจนมากที่สุดเสริมความอวลติดแป้งที่ทำให้กลิ่นหนังมีความชัดขึ้นจากโทนกลิ่นสไตล์ Iris ซึ่งกลิ่นจะมีความกึ่งดิบสาปปลุกเร้า Animalic แบบหนังเก่าๆ หน่อยเวลาดมติดผิว และกลิ่นที่กระจายออกมาจะได้ความเป็นหนังติดจืดๆ มีความ Smoky อวลกำลังดีเสริมในกลิ่น ทำให้ได้เสน่ห์ของมิติของโทนกลิ่นหนังได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกทางสภาพแวดล้อมจ๋าๆ แล้ว เพราะเหมือนอารมณ์กลิ่นหนังที่โดนอากาศร้อนๆ แล้วระเหยออกมาให้ได้ความเข้มข้นเป็นมิติของการรับกลิ่น ให้อารมณ์แบบรถจอดเบาะหนังแท้เก่าๆ โดนแดดที่จุดจอดพักรถเคล้ากับกลิ่นอายติดควันบางๆ ที่ติดอ่อนๆ อยู่ตามด้านในรถเริ่มระเหยถ่ายเทออกมา ซึ่งถือว่าสื่อสารออกมาได้ดีถึงกลิ่นอายสไตล์การเดินทางแบบมีความชิลล์ ห่าม ปน Cool รื่นรมย์โดยอิงที่ความเป็นกลิ่นอายสไตล์หนังได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นเป็นโทนสภาพแวดล้อมลงเป็นโทน Unisex ได้สบายมาก เพียงแต่จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย แต่ยังไงผู้หญิงที่ชอบโทนหนังกลิ่นนี้ก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ทางการจัดๆ นัก ซึ่งกลิ่นจะได้ความแปลกและแตกต่างจากน้ำหอมทั่วๆ ไปแน่นอน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้หมดเลย ใส่ท่องราตรีก็ยังได้ มันให้ความเท่ห์ๆ ได้เลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ไปสายจัดหนักจัดเต็มปล่อยความเย้ายวนอะไรนัก เน้น Cool เท่ห์ และอารมณ์หนังดึงดูดเสียมากกว่า 

ความทน - กลิ่นทนได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้อีกสบายมาก อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นมีความเสถียรในการกระจายได้ดีเลยทีเดียว กับเริ่มต้นที่กระจายดียาวไปจนถึงช่วงกลาง แล้วจะผ่อนมาแบบค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ภาพในหัวได้ดีเลยทีเดียวกับการสื่อสารการขับรถเดินทางตั้งแต่ต้นยันจบ (ที่อาจจะจบที่จุดหนึ่งแล้วค่อยไปต่อ) ซึ่งอาจจะไม่ได้ธรรมชาติจ๋าๆ แบบขับรถเที่ยวป่าอะไรนัก เป็นขับรถไปเรื่อยๆ รอบข้างเป็นแนวทุ่งหญ้าแห้งๆ เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเสน่ห์ เพราะบางครั้งแค่ขับรถเปิดเพลงร้องเพลงสูบบุหรี่ แล้วเปิดหน้าต่างรถรับลมไปเรื่อยๆ มันก็เป็นความสุขเล็กๆ ที่อยู่ในความทรงจำของเราได้ไม่น้อย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://imaginaryauthors.com/product/the-cobra-the-canary/



วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Jean Paul Gaultier - Le Male Popeye Eau Fraiche

Jean Paul Gaultier - Le Male Popeye Eau Fraiche 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมชายระดับตำนานสร้างความเป็นผู้ชายที่เป็นสายป๋าอบอุ่นหรือมีออร่าชวนเคลิ้มคงหนีไม่พ้น Jean Paul Gaultier ในรุ่น Le Male ไปได้แน่ๆ รวมถึงอยู่ยงมาจนถึงทุกวันนี้แตกลูกแตกหลานออกมาก็มากมาย โดยยืนพื้นหลักที่มีลายเซ็นกลิ่นอายสไตล์ Le Male อยู่เสมอ เช่นนั้น ผ่านมาก็หลายรุ่นตั้งแต่ตัวพ่อยันลูกหลานมาไม่น้อย ก็ได้เวลามาเล่ากลิ่นสายสดชื่นอีกหนึ่งรุ่นของไลน์นี้กันบ้างอย่างโซน Eau Fraiche ที่ได้รับคำชมในด้านกลิ่นมาไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็คือ Le Male Popeye Eau Fraiche 

บอกก่อน - สาย Eau Fraiche จริงๆ แล้วสิ่งที่แตกต่างกันจริงๆ จะเป็นที่ลายขวดและปีที่วางจำหน่ายเสียมากกว่า อาจจะมีบิดนิดบิดหน่อย แต่พื้นฐานของกลิ่นโดยทั่วไปไม่ได้มีความแตกต่างอะไรนัก ไม่ว่าจะเป็นขวด Popeye ขวด Superman ขวด Gaultier Airlines หรือขวด Andre Edition เช่นนั้นการเล่ากลิ่นนี้สามารถเป็นตัวตั้งต้นของกลิ่น Eau Fraiche ของทั้ง 4 ลายขวดเลยก็ย่อมได้ ส่วนการเลือกใช้อาจจะอยู่ที่การได้ลองและความชอบของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ 

Top Notes เปิดตัวมากับโทนกลิ่นที่พุ่งและฟุ้งกระจายกันอย่างชัดเจนกับกลิ่นมินต์และกลิ่นดอกส้มที่มีความเป็นโทนเขียวเจือ Fresh Spicy ออกทางสมุนไพรในโทนแมนๆ แบบกำลังดี เสริมด้วยกลิ่นอายของโทนฟุ้งติดคมเจือสบู่สดชื่น และมีความเป็น Citrus เจือๆ ของ Aldehydes โดยแอบมีโทนวานิลลาเนียนอยู่ด้วยเป็นตัวรองพื้นทำให้กลิ่นมีความสดชื่นอวลแบบแน่นกำลังดี ไม่ได้หนักหรือเล่นใหญ่ไป รวมถึงมีความหวานนวลอุ่นปลายที่ทำให้ยังจับต้องได้ถึงความเป็น Le Male ที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes ก็เริ่มจับต้องได้ว่ากลิ่นโทนเขียวติดสมุนไพรให้ความ Fresh Spicy ออกทางแมนๆ จะมาจาก Clary Sage และ Sage ที่เป็น 2 ประสาน ทำให้กลิ่นมีลักษณะโทนใกล้เคียงลาเวนเดอร์แต่ไม่ได้ไปสายนวล มาสายสดชื่นติดสมุนไพรที่มีโทนเผ็ดนุ่มๆ เสริมและสอดรับกับกลิ่น Aldehydes กลั้วมินต์ที่ยังตามมาเด่นในช่วงนี้ โดยจะผสมผสานไปกับกับกลิ่นโทนสารหอมที่ให้กลิ่นติดอบอุ่นเจือเค็มมีความนัวปนนวลแบบผิวกายมนุษย์ติดไอเค็มหน่อยๆ อย่าง Ambroxan และมีกลิ่นไม้หอมเบาๆ เสริม เคล้ากับวานิลลาที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ได้โทนลักษณะที่เป็นโทนอบอุ่นกำลังดี มีความสดชื่นประปรายแบบติดอวลแน่นที่ไม่ได้ถึงกับทำให้อึดอัด เลยจะได้ความเย้ายวนปนเซ็กซี่ที่ไม่ได้มาสายปล่อยฟลังแต่ให้ความแน่นอนถึงความหอมได้เลย จนโทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในการเข้าสู่ Base Notes โดยคราวนี้ความเป็น Le Male จะชัดเจนในช่วงนี้ แต่ไม่ได้หนักและดูนัวข้นน่าซุกชวนเคลิ้มเกินไป ให้ความครีมมี่ปนอบอุ่นกำลังดีมีความสบายๆ เสียมากกว่า เพราะกลิ่นที่โดดเด่นจะเป็นการเล่นความนวลกับครีมมี่ได้อย่างลงตัวของวานิลลาและถั่วตองก้า และเสริมด้วยกลิ่นโทนนวลผิวกายมนุษย์ติดเค็มของ Ambroxan ที่ทำให้มีความเย้ายวนนัวอวลอ้อยอิ่งเย้าจมูก โดยมีกลิ่นไม้หอมติดครีมนวลสบายๆ ของไม้จันทน์หอมเคล้ากลิ่นไม้ขรึมเท่ห์หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากซีดาร์เป้นสายสนับสนุน ทำให้ช่วงนี้จะเป็นโทนอบอุ่นกำลังดี มีความเย้ายวนปนเซ็กซี่กำลังงาม ให้ความเรื่อยๆ แต่แน่นอนและมั่นใจไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว โดยไม่ทิ้งลายเซ็นความเป็น Le Male ที่ยังไงก็คงความดึงดูดเย้ายวนได้เป็นอย่างดีนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ก็ใช้งานตัวนี้ได้แล้ว เพราะตัวนี้เปรียบเสมือนเป็Le Male ในรูปแบบที่เยาว์วัยมากขึ้น ทำให้ใส่และใช้งานได้ง่ายแต่มีระดับปนความเย้ายวนแบบไม่ได้ดูพยายามและจัดเต็มมากนัก แบบค่อยๆ ซึมลึกในความหอมแทนอะไรประมาณนี้ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นยามทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ แต่ถ้าออกกำลังกายอาจจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่รอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป ได้หมดทุกสถานการณ์ที่จะสร้างความเย้ายวนแบบกึ่งสดชื่นอวลๆ ปนเซ็กซี่แบบไม่เน้นปล่อยพลัง แต่เน้นปล่อยเสน่ห์ส่วนบุคคลร่วมด้วย อันนี้แหละลงตัวมาก 

ความทน - ดีงาม กับราว 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวใช้ที่ 6 สเปรย์ กลิ่นติดทน 12 ชม. ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ากลิ่นพุ่งพอสมควรเลย แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่าดึงดูดเซ็กซี่เย้ายวนติดสบายๆ มีเสน่ห์ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ใครที่คิดว่า Le Male มันจัดเต็มจัดหนักไป และดูป๋าไปนิด (จริงๆ ก็ไม่ป๋านะ ถ้าใช้จำนวนสเปรย์กำลังดีและเหมาะสม จะเซ็กซี่ชวนเคลิ้มได้เลย) สามารถลดระดับมาใช้ตัวนี้ได้ ซึ่งยังคงความดีงามของ Le Male แต่เพิ่มความสบายๆ และความสดชื่นเข้าไปอย่างมีระดับ ใช้ง่าย และดูวัยรุ่นมากขึ้นแบบที่มีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างน่าสนใจและลงตัว

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumu.ro/parfumuri/parfumuri-pentru-barbati/jean-paul-gaultier-le-male-popeye-eau-fraiche-ap-de-toalet/