วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2562

My Top 25 Signature Scents of 2019

My Top 25 Signature Scents of 2019

ได้เวลาของการอัพเดทน้ำหอมที่เป็นลูกรักประจำปี 2019 แล้วครับ กับ 25 กลิ่นที่เป็น Signature บ่งบอกถึงความเป็นตัวของเข็มขัดสั้นเองในแง่มุมต่างๆ ตามแต่ละความรู้สึก ลุค และอารมณ์ ซึ่งแต่ละตัวจะเป็น Partner ชั้นดีงามทางกลิ่นที่เสริมคาแรคเตอร์ของผมในด้านนั้นๆ ออกมา แน่นอนว่าไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบแต่ประการใดนะครับ เพราะรักทุกกลิ่นเลย เช่นนั้น ก็ขอเริ่มที่

สดชื่น: Xerjoff - XJ 1861 Renaissance
โรแมนติค: Jul et Mad - Terrasse a St-Germain 
หรูหรา: Creed - Sublime Vanille 
เจ้าเสน่ห์: PRYN PARFUM - Marcello 
อำนาจ: Zoologist - Rhinoceros

หนักแน่น: Amouage - Honour Man 
ดาร์ก: Lalique - Encre Noire 
โหมดมาร: Strangers Parfumerie - Burning Ben
อบอุ่น: by Kilian - Amber Oud
เศร้า/นิ่งงัน: L'Artisan Parfumeur - Passage d'Enfer 

อ่อนโยน: Parfums Dusita - Issara
สันโดษ: Parfum Satori - Oribe/Hyouge 
ซับซ้อน: Parfum Prissana - Nimitr
สปอตไลท์: Maison Francis Kirkdjian - Grand Soir 
อะไรก็ได้: Molyneux - Quartz pour Homme

เท่ห์: Strangers Parfumerie - Oliver 
ผ่อนคลาย: PRYN PARFUM - Jardin d'Iris
เรียบง่าย: Escentric Molecules - Molecule 01 
สุภาพบุรุษ: Adolfo Dominguez - Vetiver Hombre
รื่นรมย์: Frederic Malle - Eau de Magnolia

หวาน: Aquolina Blue Sugar for Men 
ยั่วสวาท: Thierry Mugler - A*Men 
มั่นใจ: Lush - Dirty
เจ้าสำราญ: Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest
เมโทร: Paco Rabanne - Ultraviolet 

เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งทั้ง 25 ตัวนี้เปรียบเสมือนเป็น Signature ของผมในแต่ละอารมณ์ เห็นแล้วสนใจตัวไหน อยากสอยตามลุยโลดดด หรือถ้าอยากจะแชร์ลูกรักของแต่ละท่านเองก็ยินดีเลยครับ 

Happy New Year 2020 ทุกท่านนะครับ ^_^ 

Review: Montale - Arabians

Montale - Arabians 

เมื่อเห็นชื่อรุ่นครั้งแรกเมื่อตอนปี 2017 ส่วนตัวก็เดากันก่อนเลยว่า มาสไตล์ Oud กับกุหลาบและความแห้งๆ ของโทนเครื่องเทศกับบรรยากาศ กลิ่นแน่ๆ และกลิ่นคงปล่อยพลังจัดเต็มตามสไตล์ของ Montale เลยข้ามมาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนนี้ได้มีโอกาสและจมูกพร้อมเต็มที่ก็เลยต้องขอลองซะหน่อยว่ากลิ่นอายสไตล์อาหรับที่แบรนด์นี้ เอาแรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในม้าพันธุ์ดีสุดยอดของโลกอย่าง “Arabian Horse”
 ที่มีความสง่างามและความแข็งแกร่งทรหดเป็นที่ตั้ง เช่นนั้น แบรนด์จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร ก็ได้เวลาพิสูจน์

Arabians เปิดตัวออกมาที่ให้ความรู้สึกแบบโทนตะวันออกกลางกันชัดพอสมควร เพราะกลิ่นโทนไม้กฤษณาหรือ Oud แบบอวลๆ สไตล์อาหรับจะวูบออกมาให้รู้สึกได้ แต่ก็จะเป็นโทนองค์ประกอบสนับสนุนเสียมาก โดยจะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศแห้งๆ อย่างเม็ดกระวานที่ไม่ได้ถึงกับไปทางอวลจัดแต่ยังให้ความหวานปนเผ็ดนัวที่กลางๆ กำลังดีที่เด่นพุ่งออกมาเคล้ากับกลิ่นสมุนไพรแห้งๆ ที่มีออร่ากลิ่นหนังอ่อนๆ เคล้าโทนนวลลาเวนเดอร์ที่รองพื้นให้เนื้อกลิ่นมีความอวลๆ แต่ไม่ได้ถึงกับหนักพุ่งคมทะลุ แต่จะให้ความเป็นสายเครื่องเทศแห้งๆ นวลๆ เย้าๆ ติดสไตล์ไม้หอมอาหรับที่ออกแนวอบอวลแบบบรรยากาศเสียมากกว่า ซึ่งถือว่ากลิ่นเปิดไม่ได้แบบถึงกับจัดหนักทรงพลัง Powerhouse แผ่ไพศาลเต็มจนจุก แต่ก็มีพลังและรอบทิศทางกลิ่นที่ชัดเจนมากอยู่ 

ผ่านไปไม่นานก็เข้าสู่ช่วงกลางที่กุหลาบก็ได้ฤกษ์ในการเปิดตัวออกมาเพียงแต่จะให้โทนแห้งๆ ที่ให้ออร่ากลิ่นกุหลาบนวลๆ โดยกลิ่นจะติดดาร์กหน่อยๆ แต่มีความระเรื่อๆ หวานปนปร่าของพิมเสนที่เป็นคู่บุญของกุหลาบ พร้อมกับกลิ่นออกทางไม้แห้งๆ ที่ติด Earthy ดินๆ แห้งๆ ที่มาจากหญ้าแฝก ซึ่งเมื่อมาเจอกับโทนเครื่องเทศอวลๆ ติดอบอุ่นหน่อยๆ และกลิ่น Oud ที่ยังคุมโทนฉากหลังจากช่วงต้น ทำให้กลิ่นจะมีความกลมกล่อมมากขึ้น มีความเป็นกลิ่นอายโทนอาระเบียนที่มีระดับ หอมดึงดูด แต่ไม่ได้เย้ายวนเกินกว่าเหตุ กลิ่นมีคลาส ลักษณะแบบบรรยากาศแห้งๆ ที่มีความอบอุ่นกำลังดี อบอวลกำลังงาม ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะแต่ละโทนเด่นต่างมีซีนเป็นของตัวเองไม่พอ ยังสนับสนุนกันได้เป็นอย่างดี กลิ่นจะไล่เลเยอร์จากกุหลาบ ตามด้วยเครื่องเทศ และไม้หอมอวลๆ ที่จะเริ่มมีโทนออกทาง Musky กึ่งหนังเนียนเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ได้ความรู้สึกหอมอวลอะโรม่าแบบกำลังดีแบบโทนอาหรับที่ให้ความหรูหรามีระดับได้เลย

เมื่อความเป็นเครื่องเทศค่อยๆ จางลงไปตามลำดับจนกลายเป็นโทนเบาบาง และโทนกุหลาบเจือ Earthy ของพิมเสนและหญ้าแฝกก็ผ่อนลงไปพอสมควร สิ่งที่ขึ้นมาแทนที่และกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักเลยคือ กลิ่นโทน Musky เจือหนังที่มี Oud อวลเย้าแทรกเนียนกลั้วในเนื้อกลิ่นอยู่ ทำให้ได้เป็นโทนลักษณะ Arabian Musky Leather ติดสาบปลุกเร้าเซ็กซี่แบบเนียนๆ แฝงภาพรวมหลักของกลิ่นที่เป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นอย่างโทนหรูสง่าน่าค้นหาติดกลิ่นอายสไตล์อาระเบียนที่กำลังดีไม่ได้แขกจ๋าไปหรือตะวันตกเกินไป เป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากและอยู่ยาวๆ ไปกับผิวจนกว่าน้ำหอมเองจะพอใจเลย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความเป็นโทนบรรยากาศจึงครอบคลุมการใช้งานทุกเพศสไตล์ Unisex เลย ซึ่งอารมณ์มีความเป็นอาหรับอาระเบียนหรูๆ ติดแห้งอวล แต่มีพลังชัดเจนแบบนี้ เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์ต้องไม่มากเกินหรือหนักมือไป เพราะความแผ่บาเรียรอบทิศมันมีสูงอยู่ตามสไตล์ของแบรนด์ ซึ่งใส่ได้ทั้งแบบทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อการออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวจะขาดอากาศหายใจไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ลงตัวกับการใช้งานได้สบายๆ แต่ก็คุมจำนวนสเปรย์หน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะหนักจนวงแตกมากกว่าจะดึงดูด 

ความทน - สุดติ่งที่สุดของแจ้ เพราะ15 ชม. นี่เรียกว่าสบายมาก แถมยังลามต่อไปจนถึงอีกวันได้ แม้ว่าจะอาบน้ำแล้วแต่กลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ยาวไป สูงสุดที่เจอคือ 24 ชม. ที่นอนตื่นมาเช้าอีกวัน กลิ่นยังติดตัวระเรื่อๆ อยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น รอบทิศแต่ไม่ได้คมหนักเกินไป ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีคงตัวเสถียรกันแบบยาวๆ ไปจนถึงต้นช่วงท้ายเลยแล้วจะลดลงมากลางๆ พอผ่านไป 8 ชม. ถึงลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวคงที่ไปเรื่อยๆ แบบชิลล์ๆ 

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นของ Montale ที่แม้ว่าจะยังคงอยู่กับ Oud และกุหลาบ แต่ก็สามารถสร้างสรรค์กลิ่นที่สง่าและมีระดับได้ดีมากเกินคาดไม่พอ ยังเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สามารถเป็น Masterpiece ตัว Top ของแบรนด์แบบยาวๆ ไปได้เลยทีเดียว และสุดท้ายอย่าตัดสินเพียงแค่เห็นคำว่า Arabians เพราะไม่ได้หมายความว่ามันจะแขกจ๋าๆ เสมอไป 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttp://www.basenotes.net/threads/469157-SOTD-Wednesday-11th-September-2019


วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Montale - Wood & Spices

Montale - Wood & Spices 

ต้องบอกว่าชื่อรุ่นน้ำหอมหลายๆ รุ่นของ Montale สร้างความน่าสนใจแรกเห็นได้เสมอ และทำให้อยากรู้ด้วยว่าการทำกลิ่นจะออกมาเป็นแบบไหน ซึ่งส่วนใหญ่มักเดาไปสายตะวันออกกลางเสียมาก และหลายๆ ครั้งก็กลิ่นไม่ตรงปกก็มี (แต่ก็ยังทำกลิ่นได้ดีอยู่)
 คราวนี้ก็ได้เวลาของการมาเจอกับกลิ่นอายใหม่ที่มีโอกาสได้ลองอย่าง Wood & Spices ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหน ก็เล่าออกมาได้แบบนี้เลย 

ต้องบอกว่าไม่ได้มีลักษณะของการเป็นโทนกลิ่นอายแบบตะวันออกกลางเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าในกลิ่นจะมี Note หลักที่แบรนด์เก่งกาจอย่างไม้กฤษณาหรือ Oud รวมอยู่แบบห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็ตามเพราะช่วงเปิดคือการเอาความเป็น Orange Blossom ที่เป็นดอกส้มสกัดแบบตัวทำละลายที่ให้ความนวลหวานอมเปรี้ยวสะอาด ผสมผสานกับกลิ่นโทนลิ้นจี่ที่ให้ความเปรี้ยวอมหวาน และมีความเขียวกึ่งโทน Citrus หน่อยๆ รวมถึงมีความอวลๆ ติดเครื่องเทศปร่าเผ็ดและมีกลิ่นโทน Incense แบบติดสดชื่นกึ่งปร่า Spicy เนียนๆ ในกลิ่นอยู่ ซึ่งโทนแบบนี้ให้ลักษณะใกล้เคียงน้ำหอมรุ่นดังที่เด่นที่กลิ่นโทนดอกส้มและลิ้นจี่ของผู้ชายอย่าง Jacques Bogart - Silver Scent และ Nikos - Sculpture pour Homme เพียงแต่กลิ่นจะมีความ Spicy กว่า และอวลนวลปนหวานติดแปร่งกว่า 

เพียงไม่นานกลิ่นโทน Spicy ของสายเครื่องเทศก็เริ่มเปิดตัวออกมา ซึ่งจะจับต้องได้เต็มๆ ถึงกลิ่นแนวๆ พริกหยวกที่ให้ความปร่าเผ็ดเคล้าไปกับกลิ่นของเม็ดกระวานที่หวานความเผ็ดเย้าเจือหวาน และโทน Incense ก็ชัดเจนเช่นกันจนรู้ตัวซะทีว่ามาจาก Frankincense ที่จะให้ความเป็นโทนยางไม้กึ่งธูปติดปร่าโทน Peppery ซึ่งกลิ่นจะตีคู่โดดเด่นไปกับดอกส้มเลย ซึ่งจะจับต้องได้ทั้งความหอมดอกส้มติดหวานนวลอมเปรี้ยวปนกลิ่นเครื่องเทศที่ได้ทั้งอารมณ์ Fresh Spicy ที่เผ็ดฟุ้งกับเผ็ดลึกเจือหวานเย้า เคล้ากลิ่นอวล Incense แต่ยังมีกลิ่นลิ้นจี่ประปรายให้พอจับต้องได้ ทำให้ช่วงนี้จะมาหมดทั้งดอกไม้ขาวหวานอมเปรี้ยวนวล ฟรุตตี้ผลไม้ เครื่องเทศปร่าและลึก รวมถึงกลิ่นโทนยางไม้เจือธูปอวลปร่าเสริมความเปรี้ยวอมหวานของกลิ่นได้ดี ซึ่งก็เป็นช่วงกลางของน้ำหอมที่คงตัวยาวและปล่อยพลังได้ชัดเจนมาก แต่เมื่อกลิ่นดำเนินไปซักระยะความเป็นเครื่องเทศเริ่มจะเทคโอเวอร์ตามลำดับ และจะเริ่มมีกลิ่นโทนไม้หอมเนียนๆ เสริมเข้ามาด้วย โดยกลิ่นจะมีความค่อยเป็นค่อยไปในการเปิดตัวโทนไม้หอมที่จะให้กึ่งครีมมี่กึ่งแป้งนวลๆ ซึ่งเป็นลักษณะของกลิ่นไม้จันทน์หอม ตามด้วยกลิ่นไม้แห้งที่มีโทนดาร์กหน่อยๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้าย โดยที่โทนเครื่องเทศ Spicy ยังคงอยู่ ทีความอวลปร่าลึกเคล้ากลิ่นดอกส้มอมเปรี้ยวนวลที่ยังคงอยู่แบบเนียนไปกับเนื้อกลิ่นแล้วซึ่งจะตีคู่ไปกับกลิ่นโทนไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมมี่ติดจืดนวลเป็นตัวหลัก แต่ก็จะมีโทนสนับสนุนอย่าง Incense ติดดาร์กๆ มีความแปร่งอวลลึกหน่อยๆ แบบเนื้อไม้สีเข้มแต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนแย่งซีนใดๆ ยังคุมโทนกลิ่นไม้หอมติด Incense ตีคู่ไปกับกลิ่นเครื่องเทศปนดอกส้มหวานติดแปร่งนิดๆ ให้มีเสน่ห์ดึงความสนใจหน่อยๆ ซึ่งก็ถือเป็นการปิดท้ายที่เป็นไปตามชื่อรุ่นอย่าง Wood & Spices ได้ชัดเจนเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - แม้กลิ่นจะเด่นที่โทนดอกไม้ขาวก็ตาม แต่สิ่งที่รองพื้นอย่างโทนไม้หอมจะให้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์ผู้ชายที่มีความอวลปนหวานอมเปรี้ยวดาร์กแปร่งน่าค้นหา จึงเข้ากับการใช้งานของผู้ชายทุกเพศในวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งครอบคลุมการใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใช้เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ตอบโจทย์กับเหงื่อเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน จัดไป กลิ่นมีความกลางๆ ที่ใส่ได้ทั้งออกงานและท่องราตรีได้ไม่ยาก เพราะสไตล์ของแบรนด์นี้พลังล้นเหลืออยู่แล้ว

ความทน - กลิ่นทนดีงามตามประสาการเป็น Montale เลย กับ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และมากกว่านั้นได้อีกด้วย อิงที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายมาก กับการใช้งาน 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีและค่อนข้างเสถียรเลยทีเดียวตั้งแต่ช่วงต้นยันช่วงกลาง พอเริ่มเข้าช่วงท้าย จะดรอปลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - ความคาดหวังในครั้งแรกไม่คิดว่าจะเจอโทนดอกส้มกับกลิ่นแนวลิ้นจี่ ซึ่งเอาจริงๆ ก็แย่งซีนความเป็น Wood & Spices ไปเยอะเลยทีเดียว แต่ก็ยังดีที่ช่วงท้ายที่ยังคุมโทนตามชื่อรุ่นได้ดีและยาวไป ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นแนว Silver Scent หรือ Sculpture pour Homme แบบที่ระบุไว้ข้างต้น แต่ต้องการกลิ่นออกทางมาสายอวลหวานอมเปรี้ยวที่คุมโทนการปล่อยพลังได้ดี จะพิจารณาตัวนี้ก็ไม่เสียหาย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://zhuliany.mydutyfree.net/5092-montale-wood-and-spices


วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Memo Paris - Oriental Leather

Memo Paris - Oriental Leather

ถ้าจะไปเที่ยวประเทศโอมาน สิ่งที่ไม่ควรพลาดที่ต้องไปเยือนเลยคือ Wahiba Sands เขตทะเลทรายของโอมาน โดยเฉพาะการพักค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทรายนั่งชมดาวอารมณ์โรแมนติคเจ้าชายและเจ้าหญิงอาหรับท่องทะเลทรายจะมาเต็มๆ แล้วต่อเนื่องไปที่โอเอซิสกลางทะเลทรายอย่าง Wadi Shab ที่มีธารน้ำสีเขียวมรกตสวยงามลัดเลาะตามหน้าผ้าและชั้นหินให้ซึมซับความสวยงามเข้าไปอีก แต่ 

เพราะไม่ได้มาสาย Blue Planet รีวิวการท่องเที่ยว จึงมาเน้นกลิ่นของน้ำหอมเสียมากกว่า เช่นนั้น เมื่อ Memo Paris ได้เปิดตัวน้ำหอมใหม่ล่าสุดในปี 2019 นี้กับรุ่น Oriental Leather ที่ถอดเอาความเป็นกลิ่นอายสไตล์ประเทศโอมานและการท่องเที่ยวในเขตทะเลทราย Wahiba Sands ตั้งแต่ยามค่ำคืนสู่ยามกลางวัน มีหรือที่จะไม่ลอง เช่นนั้นก็ได้เวลาของการบอกเล่าของดีโอมานผ่านกลิ่นกันหน่อยแล้วว่าจะเป็นอย่างไร

สิ่งแรกที่ต้องยอมให้เขาเลยคือ การเอาจุดเด่นของประเทศโอมานมารวมในกลิ่นและสร้างอัตลักษณ์ของความเป็นกลิ่นโทน Oriental เครื่องเทศต่างๆ เคล้ากับความแห้งสไตล์กลิ่นอายทะเลทรายได้ดีมาก ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวกันเต็มๆ กับโทนเครื่องเทศแห้งๆ ที่มีความร้อนแรงกันพอสมควรอย่างกลิ่นของพริก Pimento ที่อารมณ์พริกชี้ฟ้าที่เผ็ดร้อนหน่อย แต่เท่าที่เห็น Note ไม่ได้มาจากพริกตรงๆ แต่มาจากใบ เลยทำให้กลิ่นจะไม่ได้เผ็ดจ๋ามาก เคล้ากับโทนเม็ดผักชีที่ปร่าคมๆ เผ็ดซ่าๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้คมจัดเผ็ดขึ้นจมูกอะไรมากนักเพราะจะให้ความเป็นโทนแห้งๆ เสียมาก และกลิ่นมีติดเผ็ดหวานอุ่นปนไม้หอมหน่อยๆ ของอบเชยมาสร้างความเป็นโทน Oriental ที่ติดอบอุ่นในเนื้อกลิ่นเข้าไป เลยจะเป็นการตัดทอนให้ได้ออร่าความ Fresh Spicy แบบเครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าที่ฟุ้งอวลกำลังดีแทนคมบาดพุ่งปรี๊ด เคล้ากับโทนเผ็ดหวานอุ่น Oriental กำลังดี และที่สำคัญมีความนวลแห้งอะโรม่าของลาเวนเดอร์เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย ทุกอย่างเลยคุมโทนความสมดุลย์ในการเป็นสายเครื่องเทศที่สื่อถึงความเป็นโอมานได้ดีเพราะกลิ่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมหรือกลิ่นกายคนมักจะมีเครื่องเทศเจือด้วยเสมอ

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะจะมีกลิ่นติดเขียวเจือกุหลาบอ่อนๆ แต่ค่อนไปทางแห้งๆ ของใบเจอราเนียมค่อยๆ เสริมเข้ามาตีคู่กับโทนเครื่องเทศ พร้อมกับเอาพรรคพวกอย่าง Anise หรือเม็ดเทียนสัตตบุษย์ที่จะให้ความหอมกึ่งๆ ชะเอมอวลๆ แต่ไม่ได้ไปสายไม้หอมเข้ามาร่วมด้วย รวมถึงกลิ่นโทนพิมเสนแห้งๆ ที่สร้างลักษณะค่อนไปทางดาร์กนิดๆ ปนเย็นๆ ติด Cool หน่อยๆ เข้ามา ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะมีความหยินหยางกันในระดับหนึ่ง เพราะเครื่องเทศทั้งหมดที่ผสมผสานกันจะให้อารมณ์สภาพบรรยากาศติดทะเลทรายที่เป็นสายโทนร้อน ส่วนลาเวนเดอร์และเจอราเนียมจะให้ความเขียวกึ่งสมุนไพรอ่อนๆ เจือแห้งๆ ของบรรยากาศ และพิมเสนจะให้ความดาร์กเย็นๆ แห้งๆ แบบอากาศยามค่ำคืน จะเป็นสายโทนเย็นๆ กลิ่นเลยจะได้ทั้งความอบอุ่นและเย็นๆ ตีคู่กันไป ที่วำคัญในช่วงนี้จะมีกลิ่นหนังเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยทำให้กลิ่นมีความอบอวลกำลังดี ได้ความเป็นบรรยากาศทะเลทรายยามค่ำคืนได้น่าสนใจมาก 

การเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมจะมีกลิ่นหนังเป็นตัวพาไปที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับเด่น ให้อารมณ์แบบเป็นพื้นหลังเสียมากกว่า โดนสายเครื่องเทศต่างๆ ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้น จะยังคงมีอยู่ประปรายให้รู้สึกได้ ความนวลปนเขียวกึ่งกุหลาบแห้งก็ยังมีระเรื่อๆ ส่วนพิมเสนจะบางๆ พอสมควร แต่จะเปิดตัวให้กลิ่นโทนอบอุ่นอย่างกำยาน Benzoin ที่ให้โทนกึ่งยางไม้กึ่งวานิลลาติดหวานแหลมเข้ามาเสริมกับโทนหนัง กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกเป็นโทนสว่างขึ้นมาหน่อย โดยยังมีมิติซ้อนเลเยอร์กันๆได้ดีของเครื่องเทศ เขียวสมุนไพรกึ่งดอกไม้แห้งอ่อนๆ ที่เป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นหนังเคล้ากำยานไม่ได้ไปสายข้นหนักมากเกินไป กลิ่นให้ความเท่ห์แห้งๆ มีระดับติดค่อนมาทางนวลเจือโปร่งกำลังดี ซึ่งถ้าไล่เรียงจากช่วงต้นสู่ท้าย อารมณ์กลิ่นจะได้ลักษณะจากหัวค่ำสู่รุ่งเช้าในแบบสไตล์ทะเลทรายได้เลย ซึ่งสื่อสารได้ครบถ้วนผ่านขวดนี้จริงๆ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่มันติดไปโทนผู้ชายมากกว่านิดนึง แต่ก็ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญอะไร ยังไงผู้หญิงก็ใช้ได้ กลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม และสภาพอากาศต้องไม่ร้อนรุ่มระอุอะไรนัก ไม่เช่นนั้นกระจายรอบทิศจนจุกเอาได้ ซึ่งถ้าอากาศร้อนๆ จะใช้ตัวนี้ จำนวนสเปรย์ต้องคุมดีๆ หน่อย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ส่วนออกกำลังกายบอกเลยตัดออกไปเถอะ เพื่อความสดชื่นในการเสียเหงื่อ จะได้ไม่มึนไม่เมาไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ออกท่องราตรีได้เลย กลิ่นสู้คนอื่นได้สบายมาก และไม่เหมือนใครอีกด้วย 

ความทน - ยอมมม 12 ชม. กลิ่นยังคงมีอยู่ และลากไปที่ 15 ชม. เลยจากที่เจอในการใช้งานทุกครั้ง ซึ่งถ้ามองเป็่นค่าเฉลี่ย ก็อยู่ที่ 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แต่ไม่ได้ถึงกับคมนัก เพียงแต่อวลเครื่องเทศเต็มๆ มากกว่า แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาตามลำดับจนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายที่ยาวไปเรื่อยๆ ไม่จบซักที จนกว่าจะอาบน้ำได้เลย 

สรุป - ถอดกลิ่นอายสภาพบรรยากาศทะเลทรายจากหัวค่ำสู่รุ่งเช้า โดยมีไฮไลท์ที่การเป็นค่ำคืนกลางทะเลทรายได้ดีมาก ถือเป็นการมาเจอกันตรงกลางอย่างลงตัวของสายเครื่องเทศ Oriental Spicy และ Leather ได้ดีมาก

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://abanuc.com/collections/memo-paris/products/eau-de-parfum-oriental-leather-un-perfume-de-memo-paris

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Memo Paris - Shams Oud

Memo Paris - Shams Oud 

นอกจากกลิ่นอายที่จะสื่อสารถึงสถานที่ต่างๆ บนโลก ที่เป็นความทรงจำมาใส่ขวด Memo เองก็มีการไปแตะกลิ่นอายแบบที่ไม่ใช่สถานที่ด้วยเช่นกัน เช่น ความเชื่อ เรื่องเล่า ตำนาน และประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน เช่น รุ่นที่กำลังจะเอามาเล่ากลิ่นในครั้งนี้อย่าง Shams Oud
 

ที่มาของน้ำหอมก็เป็นการเอาเรื่องของตำนานการสร้างกลางวันและกลางคืนของศาสนามิถราที่เกิดขึ้นในแถบเปอร์เซีย ในช่วง ค.ศ. 1-4 ที่มีพระเจ้าสูงสุดของศาสนาอย่าง Mithras เป็นผู้ขี่รถม้าทองคำพาดผ่านท้องฟ้าทำให้เกิดเวลากลางวัน แล้วพักผ่อนในยามกลางคืนรอจนรุ่งเช้าของวันใหม่ (ซึ่งปัจจุบันศาสนานี้กลายเป็นอดีตเป็นที่เรียบร้อย) Memo เลยเอาคำว่า Shams ที่เป็นภาษาอาระบิก แปลว่า ดวงอาทิตย์ มาสื่อสาร และใส่ความเป็นอาระบิกเข้าไปด้วยกลิ่นกฤษณาหรือ Oud ในการเล่าเรื่อง ซึ่งการถ่ายทอดจะเป็นอย่างไร ก็ว่ากันตามนี้เลย 

เปิดตัวด้วยความเป็น Spicy เจือกลิ่นอาย Woody ที่รองพื้นกันอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดต้องยกให้ พริกไทย เพราะกลิ่นจะมาแบบปร่านวลแน่นในตัวเองกันอย่างชัดเจน และจะมีตัวช่วยชั้นดีให้กลิ่นไม่ได้ถึงกับคมเกินไป แต่ให้ความเผ็ดเจือหวานสดชื่นเข้ามาร่วมด้วยอย่างขิง ที่จะรวมตัวกันสร้างโทนสว่าง ปร่าเผ็ด และนวล แต่กลิ่นจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะสิ่งที่รองพื้นอยู่ชัดเจนและจะรอรับช่วงในการเป็นตัวเด่นต่อไปในช่วงอื่นๆ อย่างโทนไม้แห้งๆ ที่จะเป็นตัวรองพื้นอยู่ เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นหน่อยๆ แต่ไม่ได้มากนัก อารมณ์ค่อนข้างชี้ชัดในการสร้างภาพในหัวได้ในระดับหนึ่ง แบบเวลาที่แสงแดดสาดส่องช่วงเช้าในเขตพื้นที่แบบตะวันออกกลางเปอร์เซีย ที่จะได้ความปร่านวลสว่างอารมณ์ติด Spicy หน่อยๆ แบบนั้นเลย 

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเป็นการสลับตำแหน่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง เพราะกลิ่นไม้แห้งๆ ติดโทน Earthy ที่ให้อารมณ์ดินแห้งๆ จะกลายเป็นตัวเด่นในการเดินกลิ่น แล้วโทน Spicy ในตอนต้นของพริกไทยและขิงจะเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นไม้แห้งมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นที่ได้จะจับต้องได้ชัดเจนคือโทนไม้แห้งที่มาจากหญ้าแฝกและกลิ่นต้นไม้ที่เรียกว่า Cypriol ที่จะให้โทนไม้แห้งๆ เจือกลิ่น Earthy อารมณ์กลิ่นในต้นช่วงกลางจะให้ความรู้สึกแบบกลิ่นไม้แห้งต้องแสงแดดมาในระยะหนึ่งแล้วมีกลิ่นไม้แห้งๆ ระเหยออกมาเคล้ากับบรรยากาศปร่านวล ซึ่งในโทนกลิ่นไม้หอมจะจับต้องได้ถึงความอวลลึกหน่อยๆ ที่จะค่อยๆ เนียนออกมาเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นของโทน Spicy เริ่มเหลือเพียงเบาๆ ความอวลติดหวานหน่อยๆ ก็จะชึ้นมาตีคู่กับไม้แห้งๆ ซึ่งจะมีกลิ่นไม้กฤษณาหรือ Oud ที่มาแบบติดแห้งอวลลึก เคล้ากับกลิ่นโทนยางไม้ติดแอมเบอร์ที่ให้ความหวานติดไม้ของ Tolu Balsam และ Labdanum ที่ให้ความลึกอุ่นของกลิ่น รวมถึงมีกลิ่นยางไม้ติดหวานเจือดอกไม้กึ่งวานิลลาอ่อนๆ ของกำยาน Styrax ทำให้กลิ่นในช่วงกลางจะมี 2 สเต็ปให้รู้สึกได้ ไล่เรียงอารมณ์ไอไม้แห้งระเหยปร่า กับกลิ่นไม้อวลหวานลึกสร้างความรื่นรมย์อบอุ่นแบบติดลักษณะแบบโทนสไตล์เปอร์เซียได้ดี โดยไม่ได้ตะวันออกกลางจ๋าเกินไป โดยอารมณ์กลิ่นต้องยอมเขาเลย เพราะจะสื่อมาทางกลิ่นอายยามท้องฟ้าช่วงกลางวันไปบ่ายได้ชัดเจนพอสมควร 

กลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยยังยืนพื้นที่โทนอวลหวานยางไม้เจือ Oud อยู่เช่นเดิม เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนติดแป้งครีมมี่เข้ามาเสริมมากขึ้น โดยที่โทนจะเป็นลักษณะอบอุ่นติดอวลชัดเจน ซึ่งต้องยกเครดิตให้โทนถั่วตองก้า ที่มาทำให้กลิ่นช่วงนี้มีความเป็นโทนแป้งเจือยางไม้อวลหวานระเรื่อและมีไม้แห้งๆ รองพื้นเป็นฉากหลังได้ดีมาก กลิ่นจะมีความ Smoky หน่อยๆ เคล้าโทนออกทางหนังให้พอรู้สึกเข้ามาร่วมด้วยแบบเป็น Background ซึ่งทำให้กลิ่นไล่เลเยอร์การดมจากยางไม้อวลลึกเจือแป้งไม้หอมอบอุ่นเรื่อๆ หรูหราเนียนๆ สู่ความเป็นโทนหนังติด Smoky อ่อนๆ ที่มีเสน่ห์ ซึ่งกลิ่นจะได้ความอบอุ่นนวลหอมมีชั้นเชิงและมีระดับกันได้เลยทีเดียว รวมถึงยังสื่ออารมณ์ได้ดีถึงกลิ่นอายแบบโทนสีส้มยามบ่ายค่อนเย็นได้ลงตัวมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศ กลิ่นมีความกลางๆ แบบที่เพศไหนก็สามารถจับต้องได้ แต่อย่างน้อยพื้นฐานคนที่ใช้กลิ่นนี้ต้องผ่านกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ ปร่าๆ เผ็ดๆ และอวลๆ ยางไม้มาบ้างจะอินและฟินตามกลิ่นได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันกับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะจะสร้างออร่ามีภูมิปนน่าค้นหาในโทนสว่างที่ไล่เฉดจากปร่าไปสู่อวลอุ่นได้ดีมาก แต่ถ้ามากไปจะจุกเอาได้ในช่วงต้นเพราะความปร่า Spicy ที่เต็มพอสมควร ซึ่งจัดได้ทั้งยามทางการและทั่วไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ให้ข้ามไปได้เลยเพราะไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเหมาะกับการใส่ออกงานมาก รวมถึงถ้าเอาไปเที่ยวกลางคืนแบบมีระดับไม่ได้ไปเต้นรากแตกเมาหยำเปจะสร้างความอะโรม่ามีภูมิได้ดีมากเลยทีเดียว

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นหลัก และสามารถไปต่อได้มากกว่านั้นได้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยระดับหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลยกับการใช้ที่ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - ช่วงแรกคือกระจายดีมาก และชัดเจนมากถึงกลิ่นโทนพริกไทย Spicy เลยจะหนักพอสมควรสำคัญคนที่ไม่คุ้นชิน แต่พอเข้าช่วงกลางจะผ่อนลงมากระจายดีซักระยะ ก่อนจะปล่อยออร่าปานกลางไปเรื่อยๆ ถึงค่อยไปออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สร้างเรื่องราวให้เห็นภาพการเดินทางของดวงอาทิตย์จากเช้ายันค่อนเย็นในฝั่งผืนแผ่นดินเปอร์เซียได้ดีมาก โดยเอา Oud มาเป็นองค์ประกอบที่ดีสร้างกลิ่นอายที่มีเสน่ห์แบบเบาๆ โดยที่มีชั้นเชิงและมีระดับมากพอติดหรูหราได้อย่างดีมากอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://us.memoparis.com/en/les-echappees/34-shams-oud


วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Sospiro - Wardasina / Xerjoff - Velvet Collection: Wardasina

Sospiro - Wardasina / Xerjoff - Velvet Collection: Wardasina

Sospiro เปิดตัวออกมาครั้งแรกในปี 2011 กับการเป็นแบรนด์ Niche Perfume ใหม่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของแบรนด์ Niche Perfumery หรูชื่อดังอย่าง Xerjoff กับการนำเสนอความเป็นศิลปะที่ถ่ายทอดออกมาทางกลิ่นอายต่างๆ แบบสไตล์อิตาเลี่ยนและเมดิเตอร์เรเนียนก็จริง แต่ไม่ได้ซ้ำกับแบรนด์ใหญ่อย่าง Xerjoff เพราะมุ่งมาที่การถ่ายทอดความเป็นกลิ่นอายต่างๆ ท
ี่มีแรงบัลดาลใจมากจากดนตรีคลาสสิคและละครโอเปร่าแทน กับรูปทรงขวดที่หุ้มด้วยกำมะหยี่หรูหราหมาเห่าที่สุดของแจ้มาแต่ไกล รวมถึงราคาเองก็สมฐานะการเป็นสาย Luxury ที่เห็นแล้วก็ ขนลุกไปอี๊กกกก!

Sospiro เดินทางมาจนถึงปี 2018 ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น เพราะแบรนด์เองก็สลัดภาพของ Xerjoff ไม่หลุดไม่พอยังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร ในปี 2019 จึงได้เกิดการควบรวม โดย Sospiro ได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นหนึ่งใน Collection หนึ่งของแบรนด์ใหญ่แทนอย่าง Xerjoff - Velvet Collection แต่จะปิดฉากแบรนด์ Sospiro ยาวเลยไหมก็ว่ากันอีกที ซึ่งหลายๆ รุ่นของ Sospiro ก็ได้มาประจำการกับการเป็น Xerjoff โดยไม่ได้มีการปรับสูตรแต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงรุ่นที่กำลังจะเล่ากลิ่นในครั้งนี้ด้วยอย่าง Wardasina ที่มาแดงแรงฤทธิ์เพียง 1 เดียวของไลน์นี้กับการนำเสนอความเป็นโทนกุหลาบซึ่งจะไม่ธรรมดาแค่ไหน ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย 

Wardasina เป็นน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่เรียกว่ามีความโดดเด่น 3 กลิ่นหลักเลย คือ กุหลาบ หญ้าฝรั่น และยาสูบ ที่แต่ละโทนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีและผสมผสานสอดรับกันเป็นอย่างดีที่สร้างลักษณะลึกลับน่าค้นหาแบบนิ่งๆ แต่มีความซับซ้อนซ่อนอยู่ได้อย่างน่าสนใจและงดงามมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวกันที่ความสดชื่นติดนิ่งๆ แต่ไม่ธรรมดา เพราะการเล่นโทนสมุนไพรติดเขียวๆ ที่ควรจะเป็นโทนสดชื่นแบบสายคลาสสิค แต่ปรับให้กลิ่นมีความลึกลับกันตั้งแต่แรกด้วยโทนติดดาร์กแต่ไม่สากดิบเกินไปของพิมเสน ที่ให้ความระเรื่อแบบเขียวปร่าซ่าหวานลึกแบบหรูหรากำลังดีที่เกลากลิ่นมาอย่างงาม ตีคู่กับความเป็นสมุนไพรติดเขียวปร่าอ่อนๆ แต่เพียงชั่วขณะตัวเอกของเราก็มา นั่นคื กุหลาบ ที่จะให้ความติดฝาดหวานขรึมเสริมเข้ามาแบบกำลังดี ไม่ได้ดูเป็นกุหลาบแห้งแดงฟุ้งๆ แบบสายกุหลาบคลาสสิค และไม่ได้ใสจ๋าแบบน้ำกุหลาบสดชื่นอะไรแบบนั้น ทำให้ช่วงต้นจะสร้างออร่าที่ชัดเจนถึงการเป็นกลิ่นอายสายลึกลับติดขรึมวางตัวมีระดับกันตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว 

กุหลาบจะเป็นตัวเอกหลักที่จะสร้างความเป็นกุหลาบแดงแบบเย้าลึกน่าค้นหากันอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลาง เพราะหญ้าฝรั่นจะเปิดตัวออกมาและเป็นตัวที่สร้างความลึกอวลน่าค้นหาของกลิ่น ทำให้กลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นจะผสมผสานกับกลิ่นในช่วงกลางนี้ ในลักษณะแบบกุหลาบ หญ้าฝรั่น และพิมเสนที่แท็คทีมกันได้ดีมากในการสร้างลักษณะความลึกลับเย้ายวนและดึงดูด อารมณ์จะไม่ได้ยั่วยวนอะไรโต้งๆ โจ่งแจ้งนัก แต่จะให้ความมีระดับและมีความสูงศักดิ์หรูหราแบบนิ่งๆ ขรึมๆ กึ่งเย็นชาหน่อยที่สร้างอัตลักษณ์ทางกลิ่นที่น่าค้นหาเป็นตัวตั้ง ที่สำคัญไม่ได้มีเพียงแค่ 3 โทนข้างต้น กลิ่นจะยังมีโทนไม้หอมที่ Smoky อ่อนๆ เข้ามาเสริมจากไม้ซีดาร์อีกด้วย ทำให้ทุกอย่างจะครบถ้วนกับการเป็นโทนอวลลึกดึงดูดมีระดับเข้าไปอีกแบบที่จะสัมผัสกลิ่นกุหลาบติดฝาดหวานระเรื่อปนอวลหวานปนขมลึกของหญ้าฝรั่น เสริมออร่าความดาร์กลึกลับด้วยพิมเสนกับโทนไม้หอมปนควันอ่อนๆ ดึงดูดโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์ ที่ทำให้เห็นภาพออกมาเป็นช่อกุหลาบแดงกลีบกำมะหยี่ที่มี Spotlight ส่องลงมาท่ามกลางความสลัวที่รายรอบ มันโดดเด่นน่าสนใจขนาดไหนก็แบบนั้นเลย 

และไม่นานกลิ่นโทนยาสูบจะค่อยๆ เนียนเข้ามาสร้างความ Aromatic เจือหวานเฉพาะที่ติดควันอ่อนๆ จนเปิดทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นโทนกุหลาบและหญ้าฝรั่นจะเริ่มเบาลงไปเป็นผู้สนับสนุนรองเสริมให้กลิ่นยาสูบเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก เพียงแต่จะไม่ได้เป็นยาสูบที่มาสายอะโรม่า เพราะจะให้ความเป็นยาสูบติดขรึมปนลึกอวลน่าค้นหาแทน โดยกุหลาบจะให้ความหอมนวลปนฝาดบางๆ และหญ้าฝรั่นยังคงให้โทนลึกอวลปนขมหวานกรุยกรายหน่อยๆ อยู่ ที่สำคัญกลิ่นจะมีตัวรองพื้นชั้นดีอย่างวานิลลาอ่อนๆ แบบ Lite Version ผสมผสานกับ Musk เจือกลิ่นออกแนวสาบปลุกเร้า Animalic หน่อยๆ แต่ไม่ได้ชัดเจนมากจนเป็นนัยยะสำคัญของทิศทางกลิ่นนัก ซึ่งทำให้กลิ่นที่ได้จะเป็นหอมยาสูบติดควันหน่อยๆ ขรึมๆ เคล้าความขมปนหวานอวลลึกอบอุ่นของหญ้าฝรั่นที่สร้างความกรุยกรายมีระดับในเนื้อกลิ่น และมีโทนเย้าของ Musk ที่สร้างความเย้ายวนแบบเนียนๆ ซึ่งกุหลาบจะเหลือเพียงเบาๆ สร้างออร่ากลิ่นโทนออกทางสีแดงประปรายบางๆ อยู่พอสมควรก่อนจะจางไป คงเหลือกลิ่นที่เป็นโทนยาสูบเจือหญ้าฝรั่นหรูหราและ Musk เป็นตัวยืนพื้นแบบยาวๆ สร้างออร่ามีเสน่ห์ สูงศักดิ์ อบอุ่นหน่อยๆ และหรูหราไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจบนผิวกายผู้ใช้นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นอายแม้จะมาสายกุหลาบสูงศักดิ์ หรูหรา ลึกลับและน่าค้นหา แต่ก็ไม่ได้ไปสายผู้หญิงเต็มๆ แต่อย่างใด มีความ Unisex สูงมากแบบที่ผู้หญิงใส่ก็จะดูมีความนางพญา ผู้ชายใส่ก็ดูเป็นคุณชายในโทนน่าค้นหา ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบมีมาดหน่อย เพราะมันคุมโทนหรูหรามีระดับแบบนิ่งๆ เลยไม่เข้าทางกับการใส่ไปลั่นล้า กรี๊ดกร๊าดวี้ดว้าย หรือลุยๆ แต่อย่างใด จึงแนะนำให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน การใส่ออกงานหรูนี่เข้าทางสุดๆ ส่วนท่องราตรีก็จัดได้เพียงแต่จะไปสายหรูหราวางตัว Cool และ Elegant มากกว่าที่จะปล่อยเสน่ห์เพื่อให้ได้ผัวได้เมียกลับบ้าน ก็มันกลิ่น High-End น่ะนะ 

ความทน - สุดติ่งมาก เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังทำงานได้ดีอยู่เสมอต้นเสมอปลายมาก อันนี้ยอมโดดเด่นมากจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดระดับลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อพ้นซัก 6 ชม. ก็ออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ แบบที่คงตัวและเสถียรมากจริงๆ อันนี้ก็ยอมเพราะคุมความกระจายแบบผู้ดีสูงศักดิ์ได้เป๊ะมาก 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นกุหลาบสายหรูหราติดโทนดาร์ก แต่ไม่ได้ดำดิ่งจนหนักหน่วง ทุกอย่างมีความสมดุลย์ที่ลงตัวในการสร้างโทนลึกลับน่าค้นหาแบบไม่ต้องข้นนัว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างได้อารมณ์ของกุหลาบแดงกำมะหยี่ท่ามกลาง Spotlight ได้อย่างหรูหรา ไม่ธรรมดา และมีระดับสูงศักดิ์ได้ชัดเจนมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.orental.ru/woman/xerjoff/sospiro-wardasina/ และ https://www.eaudeparfum.nu/en_GB/a-42846156/xerjoff-v/xerjoff-v-wardasina-100ml/


วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Hermes - Twilly d’Hermes

Hermes - Twilly d’Hermes 

เมื่อ Chistiane Nagel ได้เป็นสุคนธกรหลักของ Hermes เมื่อปี 2016 และก็ถือว่าเป็นการเปิดตัวเข้าสู่อีกทิศทางน้ำหอมของแบรนด์ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากรุ่น Galop d’Hermes ที่สร้างความงามทางกลิ่นระหว่างการโทนหนังและกุหลาบเจือผลไม้ ก็ได้เวลาของตัวที่สองของสุคนธกรคนนี้ที่ตามติดออกมาในปี 2017 ที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงวันรุ่นยุคใหม่ที่มีจิตวิญญาณอิสระ กล้า และคาดเดาไม่ได้ โ
ดยเน้นที่กลิ่นอายดอกไม้สดชื่น แต่ไม่ธรรมดา 

โปรยมาซะขนาดนี้ก็ต้องลองกันหน่อย เพราะประทับใจในฝีไม้ลายมือของสุคนธกรผู้นี้มาเสมอ เช่นนั้น Twilly d’Hermes กลิ่นก็ออกมาในลักษณะนี้เลย 

เปิดต้นด้วยกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่วูบขึ้นมาแบบติดครีมมี่ที่ออกจืดๆ แต่มีความปร่าเผ็ดปนหวานของขิงที่เข้ามาผสมผสานด้วย แต่ก็มีกลิ่นออกทางส้มหน่อยๆ ใสๆ มาเสริมให้กลิ่นมีโทนสีที่ออกทางส้มอ่อนๆ ทำให้ได้อารมณ์สดชื่นติดปร่าปนครีมมี่ที่มีความจืดนวลและมีความสะอาดให้รู้สึกได้เสริมอยู่ด้วย ที่เรียกว่าแปลกแต่เก๋แบบเรียบๆ อย่างมีระดับ ไม่ได้ดูโฉ่งฉ่างจนดูเยอะและประโคมหนักแต่อย่างใด ที่สำคัญแค่ช่วงเปิดก็เห็นความฉีกออกจากขนบจากการเป็นโทนแบบ Hermes เดิมๆ ที่ต้องมีส้มติดเขียวๆ ได้น่าสนใจมาก ซึ่งเปิดตัวมาก็ตรงกับ Concept ของรุ่นเลยที่เน้นในเรื่องความเป็นอิสระ ความกล้าและคาดเดาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ฉีกเกินไปจนหมดความเรียบหรูที่ควรจะเป็น เพราะยังคุมโทนการวางตัวดีอยู่ในเนื้อกลิ่นตลอด 

จนเมื่อกลิ่นเริ่มเซทตัวกันคงที่มากขึ้นจนไปสู่ช่วงกลางของน้ำหอม แน่นอนว่าความเป็นขิงยังคงอยู่ แต่ที่ชัดขึ้นมาเลยคือโทนดอกซ่อนกลิ่นที่เป็นตัวให้ความครีมมี่ติดจืดในช่วงต้น ก็จะเป็นกลิ่นหลักของน้ำหอมที่เริ่มมีความหวานขึ้นมาหน่อย และโทนสะอาดเข้าโทนส้มใสๆ ก็ยังมีอยู่ แต่ก็จะชัดขึ้นในการเป็นโทนดอกไม้ขาวสะอาดติดเปรี้ยวปลายกลิ่นนั่นก็คือ ดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) และมีความนวลหวานมะลิเจือๆ ในกลิ่นกับกลิ่นออกทางคล้ายโทนกุหลาบที่ให้ความดึงดูดเนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นในช่วงกลาง จะเป็นช่วงดอกไม้ขาวอ่อนโยนที่มีกลิ่นขิงรองพื้นให้กลิ่นไม่ได้ไปสายข้นคลั่กเกินไปนัก แถมเพราะโทนส้มใสๆ ที่น่าจะเป็นกลิ่นของส้มขมที่ยังมีอยู่ในช่วงนี้กับกลิ่นโทนผลไม้หน่อยๆ ที่พอจับต้องได้ ก็ทำให้กลิ่นดอกไม้ขาวในช่วงนี้มีความระเรื่อที่มีทั้งมิติในด้านควานนวล ความใสหวาน ความสะอาดหอมสดชื่นบางๆ ความเยาว์วัย ความดึงดูด และความอ่อนโยน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงเลย ให้ความพอดีๆ มีระดับและมีคลาสเกินคาดมาก แล้วความเป็นไม้หอมติดครีมมี่ของไม้จันทน์หอมจะเริ่มแทรกตัวขึ้นมาผสมผสานทีละนิดๆ เคล้ากับโทนออกทางแป้งวานิลลาอบอุ่นหน่อยๆ ทำให้กลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นขึ้น จนเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เริ่มเป็นครีมมี่แป้งนวลเจือไม้หอมที่อบอวลขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยที่กลิ่นโทนซ่อนกลิ่นให้ความครีมมี่หวานนวลยังคงตามมาอยู่ ทำให้ช่วงท้ายจะได้อารมณ์แป้งหอมครีมมี่ติดหวานนวลกำลังดี มีความอบอุ่นกำลังงาม กลิ่นให้ความสบายๆ แบบไม่หนักหน่วงแต่มีความเรื่อยๆ ยาวไปอย่างลงตัวมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก กลิ่นมีความสุภาพและไม่ปล่อยพลังมากก็จริง แต่มีความฉีกออกจากการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ต้องอ่อนหวานหรือกรุยกรายมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความอ่อนหวานได้ แต่ก็มั่นใจได้ด้วย โดยเน้นไม่ต้องเหมือนใครในทางของกลิ่นมากนัก ซึ่งสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะยังไงก็สู้สายหวานจัดหนักทั้งหลายที่ประโคมอาบกันมายากมากแน่นอน ส่วนคุณผู้ชายถ้าชอบกลิ่นซ่อนกลิ่นใสๆ เบาๆ ไม่หนักมากไป บอกเลยตัวนี้ใส่ได้สบายมาก อีกอย่างกลิ่นค่อนไปทาง Unisex หน่อยๆ เสียด้วยในตอนท้าย

ความทน - เห็นว่ากลิ่นอาจจะดูเบาๆ อ่อนๆ ไม่หนักมาก แต่ความทนไม่ใช่เล่นๆ เลย เพราะ 8 ชม. ได้สบายๆ และอาจจะมากกว่านั้นได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลย เรียกว่านี่แหละ กลิ่นอ่อนๆ ที่ทนเกินคาด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น และให้ความเรื่อยๆ ยาวๆ ไปแบบกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แอบค่อนไปทาง Whispering Scent บ้าง แต่ก็ไม่ได้เบาจนหาย แต่พอเริ่มเข้าช่วงท้ายออร่าอวลๆ กำลังดีก็จะเริ่มขึ้นซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นที่สร้างความเสถียรในการกระจายที่คงตัวมากเลยทีเดียว 

สรุป - เกินคาดก็พอสมควร เพราะกลิ่นฉีกจากขนบเดิมก็จริง แต่ยังอยู่ใน Concept ของการเป็น Hermes ได้อย่างน่าชื่นชมเสียด้วย ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ แต่ทน มีความ Unique ที่มีระดับ โดยที่ไม่ได้หลุดวงโคจรไปไหน คุณจะชอบ Twilly d’Hermes เอาได้ไม่ยากแน่นอน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.hermes.com/nl/en/product/twilly-d-hermes-eau-de-parfum-V36988/


วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Davidoff - Cool Water Intense for Men

Davidoff - Cool Water Intense for Men

30 ปีที่แล้ว Davidoff Cool Water ได้เปิดตัวออกมาเขย่าตลาดน้ำหอมทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจนได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ แบบที่ใช้เถอะยังไงก็รอด ยังไงก็ผ่าน และยังไงก็ได้หมดถ้าสดชื่น แต่เมื่อเทรนด์ของน้ำหอมได้เปลี่ยนแปลงไป Davidoff เองก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ทันกับความต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน และจะไปไหนเสียเมื่อแบรนด์เองมีน้ำหอมตัว Top Seller อย
่าง Cool Water อยู่แล้ว การต่อยอดเพื่อเป็นหนึ่งในเรือธงใหม่จึงได้เริ่มขึ้น และก็ได้เปิดตัว Cool Water Intense ออกมาในปี 2019 นี้ 

เช่นนั้น เมื่อของใหม่มา ก็ต้องลองสิจ้ะ เช่นนั้นก็มาทำความรู้จักกับทิศทางใหม่ของ Cool Water ฝ่ายชายกันหน่อย ว่าจะสื่อสารออกมาในลักษณะใด จะแตกต่างหรือเหมือนของเก่าที่เพิ่มแค่ความเข้มข้นหรือไม่ ก็ว่ากันตามนี้เลย 

Cool Water Intense for Men เปิดตัวด้วยความเป็นโทนสดชื่นติดโทน Sea Breeze ที่เด่นด้วยความเป็นส้มติดหวานปนขมซ่าปร่าๆ สมุนไพร เคล้ากลิ่นอวลๆ รองพื้นที่มาผสมผสานกับโทนกลิ่นสไตล์ Cool Water เดิมที่จะเป็นโทน Sea Breeze สดชื่นแต่ไม่มีกลิ่นคาวทะเลอะไรมารบกวนหัวใจและรูจมูก ซึ่งถือว่าเป็นการเอาของเก่ามาปูทางเรียกแขกกันก่อน โดยใส่ส้มเพื่อเพิ่มมิติกลิ่นที่สดชื่นไล่โทนได้ดีจากสีโทนฟ้าทะเลและสีโทนส้มสว่างๆ ค่อนช่วงเวลาติดบ่ายๆ โดยกลิ่นที่จับได้ชัดเจนเลยจะเป็นโทนออกทางกลิ่นทะเล กลิ่นสมุนไพรติด Spicy ปร่าซ่าหน่อยๆ แนวๆ โทนมินท์กับโรสแมรี่ กลิ่นออกทางลาเวนเดอร์นวล กลิ่นออกทางติดโทนแอมเบอร์อวลอ่อนๆ และแน่นอนส้มที่ออกทางหวานแต่ไม่ได้มาสายฉ่ำแต่อย่างใด 

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะกลิ่นโทนส้มจะลดทอนตัวเองลงไปเป็นโทนสดชื่นคลอแบบบรรยากาศ สิ่งที่เหลือคือโทน Sea Breeze จะมาเจอกับกลิ่นโทนน้ำมะพร้าวที่ติดครีมมี่อ่อนๆ เสริมเข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นจะชัดเจนเรื่องความแมนๆ สดชื่นในช่วงกลาง ติดทะเลกึ่งน้ำมะพร้าวได้กำลังดี แบบที่ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอกลิ่นแนวๆ ซันแทนโลชั่นแต่อย่างใด กลิ่นจะเด่นที่ความเป็นโทนน้ำมะพร้าวติดสดชื่นของส้มหน่อยๆ รองพื้นด้วยกลิ่นโทนทะเลที่เริ่มมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นชัดมากขึ้นตามลำดับ อารมณ์ทะเลยามบ่ายท้องฟ้าเจิดจ้าแสงแดดส่องจัดเต็มเคล้ากับกลิ่นน้ำมะพร้าว ที่แอบมีความอวลเซ็กซี่เนียนๆ แฝงอยู่ ซึ่งเมื่อกลิ่นผ่านไปพอสมควร โทนกลิ่นที่ออกทางอบอุ่นอวลๆ จะเริ่มผันตัวกลายเป็นโทนหลักของน้ำหอมในที่สุด และก็กลายเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่เด่นด้วยกลิ่นอบอุ่นเย้ายวนติดหวานแมนๆ กำลังดี ซึ่งชัดเจนเลยกับกลิ่นของโทนถั่วตองก้าที่ให้ความเป็นโทนนวลๆ กึ่งขมติดอัลมอนด์ โดยมาเจอกับกลิ่นโทนแอมเบอร์กึ่งผิวกายติดอวลเค็มอ่อนๆ ที่สร้างออร่าความอุ่นของกลิ่นที่มาจากสารหอมแนวๆ Ambroxan ที่เป็นเทรนด์กลิ่น Base สำคัญในปัจจุบัน แต่ก็มีมิติกลิ่นไม้โปร่งๆของโทนกลิ่นสไตล์ไม้ซีดาร์เข้ามาเสริมให้มีโทนไม้หอมสร้างลักษณะของความเป็นผู้ชายติดเท่ห์ๆ เข้ามาได้ด้วย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาแบบอวลเย้ายวน Sexy แบบจัดหนักกันไปข้าง แต่จะให้ความเย้ายวนเนียนๆ ปนอบอุ่นอวลๆ เคล้าอากาศริมทะเลยามบ่ายแบบแถวโซนตะวันตก (ที่ไม่ได้ร้อนนรกแตกแบบริมทะเลบ้านเรา) ได้ลงตัวและสร้างเสน่ห์แบบผู้ชายชิลล์ๆ ติดเท่ห์ได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นนอกจากจะเป็นโทนสดชื่นที่ทันสมัยแล้ว กลิ่นยังได้เรื่องความเย้ายวนเซ็กซี่ปนอวลอุ่นเนียนๆ ได้ดีแบบไม่หนักมากไปอีกด้วย ซึ่งสามารถใช้งานได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ใส่ได้เลยเข้าได้หมด จะมีก็แค่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะไม่ได้ Match นัก แต่ก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าเป็น Party แบบ Outdoor กลิ่นจะลงตัวมาก แต่ถ้าเป็นเที่ยวผับคลับเทค อันนี้อาจจะต้องอัดสเปรย์เพิ่มนิดนึง กลิ่นจะได้ไปสู้กับคนอื่นที่เน้นความนัวอวลแน่นได้สบาย 

ความทน - ลงตัวมากที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปได้มากกว่านั้นได้สบายเลย เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ เรียกว่าตรงนี้ต่อยอดจากของเดิมดีมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนถึงราวๆ 10-12 ชม. ถึงเป็น Skin Scent 

สรุป - มันคือทิศทางใหม่ เพราะพื้นฐานของ Cool Water เองน่ะ ดีอยู่แล้ว จึงมีชัยไปกว่าครึ่งในการมาเพิ่มเติมเสริมแต่งให้การเป็นโทนที่เข้ากับสมัยนิยมเป็นไปตามเทรนด์น้ำหอมชายที่ต้องใส่มิติโทนเย้ายวนอวลๆ Sexy เข้าไป และเพิ่มความเข้มข้นให้ชัดขึ้น ที่สำคัญทนมากมายกว่าตัวปกติเยอะมาก ซึ่งเหมาะแล้วที่จะเป็นเรือธงใหม่ที่ก็ยังเอาใจลูกค้าเก่าได้อยู่ และได้ลูกค้าใหม่ๆ เข้าสู่การเป็นทีม Cool Water ได้ไม่ยาก ซึ่งจะฮิตไหม ไม่รู้ อยู่ที่การทำตลาด แต่ถามว่าดีไหม ตอบเลยว่า ดีและเป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของผู้ชายในโทนทันสมัยต่อจากรุ่นปกติได้สบายมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.nl/parfum/Davidoff/Cool-Water-Intense-55266.html


วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: The Different Company - Sel de Vetiver

The Different Company - Sel de Vetiver

เรียกว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยก็ว่าได้กับการส่งต่อการเป็น Perfumer จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก: Father to Daughter: Jean-Claude Ellena --> Celine Ellena ซึ่งก็ผ่านน้ำหอมของรุ่นพ่อมาก็เยอะจากหลากหลายแบรนด์ คราวนี้ก็ขอมาลองกลิ่นอายการสร้างสรรค์ของฝั่งลูกบ้างกับการสร้างสรรค์ความหอมให้กับแบรนด์ The Different Company หลากหลายรุ่นเลยทีเดียว เช่นนั้น ก็ต้องเลื
อกตัวที่น่าสนใจกันซักหน่อยอย่างโทนกลิ่นหญ้าแฝก ซึ่งจะออกมาในลักษณะใดนั้น มาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Sel de Vetiver 

ชื่อรุ่นก็ทำให้รู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรที่น่าสนใจกับลูกเล่นระหว่างกลิ่นอายติดเค็มของ เกลือที่จะมีเจอกับ หญ้าแฝกที่เป็นหัวใจสำคัญในการเดินกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้ ซึ่งเปิดต้นกลิ่นมาจะสัมผัสได้ก่อนเลยถึงกลิ่นอายของโทน Citrus ติดสว่างติดแปร่งหน่อยๆ ตามธรรมชาติของเกรปฟรุตวูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นติดบรรยากาศขมเจือเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่เพราะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศให้ความหวานเผ็ดติดทึบอ่อนๆ ของเม็ดกระวานที่ทำให้กลิ่นมีความอวลมากกว่าจะใสสดชื่น และจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นติดเขียวกึ่งกุหลาบหน่อยๆ ด้วย แต่ในวูบถัดมาจะเริ่มจับตัวเอกทั้ง 2 ได้แล้ว เพราะจะแทรกตัวขึ้นมาค่อนข้างไว และเป็นเสมือน Center Notes ที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลยนั่นคือ หญ้าแฝก ที่ให้โทนออกทางติดถั่วออกเขียวมีความ Smoky อ่อนๆ และกลิ่นติดเค็มเกลือที่สร้างความรู้สึกออกทางกลิ่นโทนทะเลหน่อยๆ ทำให้ช่วงเปิด คือการผสมผสานกลิ่นที่สร้างลักษณะกลิ่นอายค่อนไปทางบรรยากาศสดชื่นติดริมทะเล เคล้ากลิ่นหญ้าแฝกเจือโทนเครื่องเทศหวานปนเขียวหน่อยๆ ได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางตัวเอกของน้ำหอมอย่างหญ้าแฝกและเกลือยังคงเดินกลิ่นไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง แต่กลิ่นโทนเขียวกึ่งกุหลาบจะชัดมากขึ้นจนจับต้องได้ว่าเป็นโทนกลิ่นของเจอราเนียม ซึ่งช่วงนี้คือไฮไลท์ของความเป็นหญ้าแฝกที่ให้ความสดชื่นก็ได้ ให้ความเป็น Nutty ติดถั่วก็ได้ ให้ความ Smoky ก็ดี ให้ความเป็นไม้แห้งๆ และมีความ Earthy ติดดินๆ แอบติดพิมเสนดิบอ่อนๆ รวมถึงมีความดาร์กที่ชัดเจนขึ้นมาที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวได้อย่างลงตัวมากจริงๆ โดยจะมีความเขียวเจือดอกไม้เย้าๆ ดึงดูดอ่อนๆ ที่เสริมให้กลิ่นไม่ได้หญ้าแฝกเพียวๆ แต่อย่างใด รวมถึงโทนกลิ่นเกลือที่ให้อารมณ์ติดบรรยากาศ Sea Breeze ริมทะเลเคล้ากลิ่นโทน Citrus ที่ให้ความสดชื่นประปรายอยู่ สร้างมิติอารมณ์กลิ่นชูโรงหญ้าแฝกริมทะเลได้น่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นจะจะให้ออร่าลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้าย กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะที่ให้ความเป็นโทนหญ้าแฝกที่ติด Smoky ปนดาร์กมากขึ้นพอสมควร แต่ยังติดเกลือเค็มๆ เจือ Citrus ติดแห้งๆ บางเบาที่มีความอวลอุ่นมากขึ้นมาหน่อย และยังมีกลิ่นออกทาง Airy ติดแป้งอับๆ บางๆ ของดอกไอริสที่เข้ามาเสริม เลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะมีความหยินหยางกันพอสมควรกับการเล่นโทนกลิ่นที่กึ่งดาร์กกึ่ง Dirty เคล้ากับโทนสว่างติดสะอาดสดชื่นติดเค็มบางๆ ซึ่งเป็นการสร้างมิติกลิ่นที่เหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ดันเข้ากันได้ดี มีความสมดุลย์ และอิงตามความเป็นจริงตามสภาพแวดล้อมที่มันไม่ได้มีแค่เลเยอร์กลิ่นที่ต้องไปในทิศทางเดียวเสมอไปได้อย่างลงตัวมาก ยอมมมมมม กลิ่นทำออกมาได้ดีจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - เป็นโทนกลิ่นอายสไตล์บรรยากาศ เลยเข้าทางที่การเป็น Unisex ที่ใช้ได้ทุกเพศ เพียงแต่กลิ่นจะเบนไปทางผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนิดหน่อย ซึ่งถ้าสาวๆ ไม่มายด์ก็ใส่ได้สบายมาก ซึ่งเหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป โดยแตะการใช้งานได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ได้ความผ่อนคลายและรื่นรมย์ของการเป็นโทนหญ้าแฝกที่ครบถ้วนเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นแบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้หนักนัก ถ้าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบแน่นอน 

ความทน - ลงตัวที่ราว 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะออกทางออร่ารอบๆ ตัว พ้นไปซัก 6 ชม. แล้วจะเป็น Skin Scent จนกว่าจะจางไป 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นอายสายหญ้าแฝกและความสดชื่นแบบบรรยากาศริมทะเลที่ทำออกมาได้ดีมาก เพราะนอกจากจะให้เสน่ห์ของกลิ่นอายหญ้าแฝกที่มีมิติแล้ว ยังมีความสดชื่นที่ลงตัวมีระดับแฝงอยู่ตลอด แตะความเป็นมินิมัลที่ไม่เยอะสิ่งและได้ความน้อยแต่มากได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญเป็นสไตล์ที่ไม่ได้มีความเป็นรุ่นพ่อจ๋าๆ แต่อย่างใด มีความแตกต่างและทิศทางของตัวเองได้ดี ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นไม่พอยังมีฝีมือที่งดงามและมีคุณภาพมากอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.luckyscent.com/product/25313/sel-de-vetiver-by-the-different-company


วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Elie Saab - Essence No.6 Vetiver

Elie Saab - Essence No.6 Vetiver 

เรื่องแฟชั่นในสายชุดราตรีโอกูตูร์ของผู้หญิงที่ Mix เอาความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันที่สวมใส่แล้วดูแพง หรูหรา พลิ้วไหว และเซ็กซี่ขับความเป็นผู้หญิง ก็ต้องยกให้แบรนด์ Elie Saab เขาเลย เพราะครอบครองพื้นที่พรมแดงมาอย่างยาวนานจริงๆ
 

ซึ่งนอกจากสายแฟชั่นแล้ว สิ่งที่น่าสนใจตามมา คือ น้ำหอม ที่เดิมทีเน้นฝั่งผู้หญิงเป็นหลัก จนเมื่อประกาศทำน้ำหอมไลน์สาย Exclusive & Luxury ที่เน้นลักษณะโทนกลิ่นที่ครอบคลุมการใช้งานทุกเพศแบบ Unsiex อย่าง Le Collection des Essences ที่ได้ร่วมงานกับ Maison Francis Kurkdjian ในการสร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นมา ความน่าสนใจเลยพุ่งพรวดเข้าไปอีก กับ 7 กลิ่นในปัจจุบัน ซึ่งกลิ่นอายสไตล์ Elie Saab X MFK จะออกมาในรูปแบบไหนก็ขอหยิบเอากลิ่นแรกมานำเสนอกับความเป็น หญ้าแฝกที่เป็นหมายเลข 6 ของแบรนด์นี้ว่ากลิ่นอายจะออกมาในลักษณะใดบ้าง 

No.6 Vetiver เป็นการนำเสนอโทนกลิ่นอายสไตล์หญ้าแฝกที่มาสายสดชื่นไล่เรียงสู่การเป็นหญ้าแฝกที่มีมิติทั้งไม้หอมและมีโทน Smoky แบบที่กำลังดีไม่เข้มจัดและไม่ดาร์กดำดิ่ง โดยในทุกๆ ช่วงกลิ่น หญ้าแฝก คือตัวเอกหลักที่เป็นเหมือน Center Notes ที่ให้มิติกลิ่นพื้นฐานที่ความเป็นโทนไม้หอมแต่มีเลเยอร์กลิ่นที่แตกต่างให้จับต้องได้เสียด้วย เพราะมีหญ้าแฝก 2 ประเภทอยู่ในน้ำหอมตัวนี้ โดยช่วงเปิดกลิ่นโทนหญ้าแฝกจะเป็นฉากหลังที่ให้โทนกลิ่นติดเขียวปนไม้แห้งๆ ที่มีความ Smoky อ่อนๆ รองพื้นอยู่ แต่ให้ผู้เล่นหลักอย่างโทน Citrus เปรี้ยวติดขมแห้งอย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และโทนเปรี้ยวสว่างติดแปร่งตามธรรมชาติของเกรปฟรุตเป็นตัวเปิดชั้นดีที่ทำให้โทนช่วงต้นมีความสดชื่นเจือสว่างปนกลิ่นอายไม้หอมติดเขียวปนSmoky และมีความติดกลิ่นดิน Earthy หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของกลิ่นแบบ Haitian Vetiver 

ซึ่งโทน Citrus เปิดตัวไม่นานก็ถอยทัพไปเป็นฉากหลังที่ให้ความสดชื่นบางๆ แทน เพราะจะหลีกทางให้โทนไม้แห้งๆ ติดเก่าๆ ขรึมๆ ของปาปิรัส กับโทน Fresh Spicy ที่ให้ความเผ็ดปร่าซ่าของกานพลูเด่นขึ้นมาแทนที่ และก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่เป็นลักษณะกลิ่นโทน Woody Spicy แบบที่มีความสมดุลย์แต่ละโทนกลิ่นที่ผสมผสานกันเข้ามา โดยให้ความมินิมัลแบบสายไม้หอมก็ได้ ความสุภาพติดขรึมขลังมีระดับก็ดี และความสดชื่นที่สนับสนุนให้กลิ่นมีมิติก็สามารถ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นเด่นต้องยกให้ปาปิรัสกับกานพลูเลย เพราะเป็นตัวเดินกลิ่นที่ชัดเจนที่สุดกับความเป็นไม้หอมแห้งๆ ติดเผ็ดปร่าซ่าอะโรม่าสมุนไพรแห้งๆ โดยยังมีโทนสดชื่นสว่างอ่อนๆ ของโทน Citrus ที่บางๆ สนับสนุน ส่วนหญ้าแฝกยังคงเป็นฉากหลังที่ให้กลิ่นอายติด Smoky ปน Earthy ให้พอรับรู้ได้แบบห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่ก็ไม่ได้จมหายไป เพราะเมื่อกลิ่นโทนกานพลูเริ่มเบาลง และความเป็น Citrus หายแซ่บหายสอยไปแล้ว คราวนี้คือการเป็นตัวเอกเด่นเพียง 1 เดียวที่จะเดินกลิ่นต่อในช่วงท้าย คือ หญ้าแฝกเต็มๆ เพราะในช่วงนี้มิติกลิ่นของหญ้าแฝกของ Haitian Vetiver จะเริ่มมีลักษณะของกลิ่นหญ้าแฝกที่แตกต่างออกไป เพราะกลิ่นจะ Smoky ปนดินๆ Earthy ติดขมสะอาดมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็เป็นลักษณะของ Javanese Vetiver ที่จะให้โทนกลิ่น Smoky ที่ชัดมากขึ้น แต่ไม่ได้ไปสายไหม้เข้มดาร์กนัก เพราะการผสมผสานที่มีโทนติดเขียวปนไม้แห้งๆ ของ Haitian Vetiver และความเป็นไม้หอมแห้งๆ จากปาปิรัสเคล้าปร่ากานพลูมาคุมโทนกลิ่นให้มีความสมดุลย์และติดสะอาดปนปร่าอ่อนๆ อยู่ เลยทำให้ช่วงท้ายจะได้กลิ่นอายสายไม้หอมติดดินๆ ที่สะอาดปนปร่าอ่อนๆ มีความสุภาพและสุขุมติดขรึมแบบกำลังดี ไม่ดาร์กไป ไม่เข้มจัดไป ให้ความเรียบหรูและมีระดับคลอผิวแบบไม่ปล่อยพลังได้อย่างลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นเบนเข็มไปทางผู้ชายชัดเจน ซึ่งถ้าผู้หญิงจะใส่ก็ได้อยู่ แต่ต้องลุคออกทางขรึมเท่ห์มาด Boy อะไรแบบนี้ก็จะได้อยู่ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ที่เน้นวางตัวขึ้นมาหน่อย เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายลั่นล้าเลย แม้ว่าจะใส่ออกกิจกรรมลุยๆ หรือออกกำลังกายได้ก็ตาม แต่เพราะออกทางขรึมๆ สุภาพ เรียบหรู เลยเน้นรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนนามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก แต่ไม่ได้เข้าทางการไปท่องราตรีนัก เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์ สภาพผิว รวมถึงสภาพอากาศด้วย เพราะสิ่งที่เจอถ้าอากาศร้อนๆ เกินไป กลิ่นจะราวๆ 6 ชม. ก็โบกมือลา แต่ถ้าอากาศสบายๆ เย็นๆ หรือชื้นๆ หน่อย กลิ่นจะลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะดรอปลงมาเรื่อยๆ เป็นปานกลางซักพัก แล้วจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวพอสมควร ซัก 5 - 6 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งโทนหญ้าแฝกที่ทำออกมาได้ดีมีความสุภาพและสุขุมไปในตัวได้ดี โดยคุมความสมดุลย์ของกลิ่นได้ดีมาก ซึ่งเข้าทางคนที่ชอบกลิ่นหญ้าแฝกสายสะอาดและสดชื่นแบบที่ไม่ดาร์กมากไปได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/news/Elie-Saab-La-Collection-des-Essences-Vetiver-and-Neroli-6773.html


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Christian Dior - Eau Sauvage Cologne

Christian Dior - Eau Sauvage Cologne 

ว่ากันด้วยความคลาสสิคของกลิ่นหอมฝั่งน้ำหอมผู้ชายของแบรนด์ Dior ที่หลายคนจะนึกถึงสาย Fahrenheit ที่เอาอยู่แบบมาดแมนเหลือทนในช่วงปลายยุค 80 และยาวนานจนถึงปัจจุบันแล้ว
 ยังมีคลาสสิคย้อนกลับไปมากกว่านั้นที่ยังอยู่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ช่วงยุค 60 จนถึงทุกวันนี้ด้วยเช่นกันกับกลิ่นอายสายสดชิ่นคลาสสิคมีระดับแบบสุภาพบุรุษนั่นก็คือสาย Eau Sauvage ซึ่งได้มีการแตกไลน์มีลูกหลานออกมาครั้งแรกก็ช่วงยุค 80 และข้ามมาอีกทีก็ช่วงปี 2000 ที่มีการต่อยอดออกมาอีกหลายรุ่นเลยทีเดียวจนถึงปัจจุบัน 

และเมื่อได้มีโอกาสได้มาเจอสายนี้ ก็ยังไม่ใช่ตัวต้นตระกูล แต่จะมาเจอกับรุ่นหลานแทนที่จะมาในลักษณะกลิ่นอายสไตล์ Cologne ของความเป็น Eau Sauvage ในการตีความความคลาสสิคที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น โดยการวางจำหน่ายในปี 2015 เป็นต้นมา เช่นนั้นได้เวลาพิสูจน์ว่ากลิ่นอายจะมาในลักษณะใด 

บอกก่อน - เนื่องจากเคยผ่านการใช้ Eau Sauvage ตัวต้นตระกูลเพียงผิวเผิน เลยจะไม่ได้เล่าความเชื่อมโยงอะไรที่อาจจะชัดเจนนัก แต่จะเล่ากลิ่นที่การเป็น Eau Sauvage Cologne เป็นสำคัญ 

เพียงแค่เปิดตัวขึ้นมาความเป็นโทนกลิ่นแนว Citrus Aromatic จะชัดเจนมากเลยทีเดียวกับกลิ่นอายโทนเปรี้ยวสดชื่นเจอความเขียวคมๆ รองพื้นที่ให้อารมณ์ติด Classic Traditional Cologne หรือลักษณะ Barber Shop Scent แบบเป็นวูบๆ ที่ไม่ได้หนักหน่วงคมปรี๊ดมากนัก แต่ให้ความเป็นตัวรองพื้นที่ดีที่เหมือนเป็นการส่งต่อจากกาลเวลาของกลิ่นหอมแนวสดชื่นคลาสสิคให้มาเจอกับความสดชื่นสว่างๆ ของสาย Citrus ที่มีความเป็นธรรมชาติดีเลยทีเดียว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นการไล่เลเยอร์กลิ่น Citrus ได้ดีมาก เพราะจะได้อารมณ์เปรี้ยวติดแปร่งสว่างๆ ของเกรปฟรุตเด่นออกมาตามด้วยความเป็นกลิ่นโทนส้มที่ติดหวานหน่อยๆ ของส้มจีน แต่จะมีกลิ่นอายเปรี้ยวติดขมปนเขียวปร่า Spicy หน่อยๆ ที่ล้อมๆ กลิ่นสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ร่วมอยู่ด้วย โดยที่กลิ่นอายติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นแบบคมหน่อยๆ จะรองพื้นอยู่ด้านหลังให้ความรู้สึกสดชื่นเต็มที่เลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็น Citrus ในช่วงแรกลงมาบ้าง แต่ก็ยังคงชัดเจนอยู่ คราวนี้กลิ่นโทนเขียวติด Citrus จะกลายเป็นผู้เล่นที่ตีคู่ขึ้นมาเคล้ากับ Citrus อย่างเต็มตัว ซึ่งความเด่นจะมาจากกลิ่นเขียวคมๆ ของยางไม้อย่าง Galbanum ที่ให้ความเขียวพุ่งๆ เพียงแต่พุ่งคมแบบกำลังดีเสียมากเพราะมีกลิ่นของกิ่งก้านส้ม (Petitgrain) มาช่วยทำให้กลิ่นเขียวมีค่อนไปทางกึ่งดอกส้มติดเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ หน่อยๆ รวมถึงมีกลิ่นของโทนออกทางมะลิติดหวานใสสบายๆ เคล้ากับโทนกุหลาบติดปร่านวลฝาดอ่อนๆ ที่น่าจะมีจากพริกไทยสีชมพู ทำให้กลิ่นให้ช่วงกลางจะเริ่มจากคมนิดนึงเคล้า Citrus แล้วค่อยๆ ปรับเป็นเขียวเจือ Citrus ที่ให้ความรื่นรมย์ปนสดชื่น โดยยังคุมโทนความเป็น Cologne สไตล์ติดคลาสสิคได้ดีไม่พอ กลิ่นยังมีความสะอาดและสบายๆ ติดเขียวเจือดอกไม้อ่อนๆ ที่มาเจอกันอย่างลงตัวทำให้คุมโทนความร่วมสมัยได้ดีและให้ความเป็นกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่มีความ Cool เคล้าคลาสสิคได้ดี จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีโทนออกทางหญ้าแฝกที่ให้กลิ่นไม้แห้งๆ ติดขมเสริมขึ้นมาทีละหน่อยและมีโทน Earthy ติดหวานเย้าอ่อนๆ เนียนๆ อ้อยอิ่งที่เนียนเข้ามาด้วย ก็เริ่มปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นกลิ่นอายหญ้าแฝกเด่นนำทางเพียงแต่จะไม่ได้เป็นสายดาร์กเลย กลิ่นมาแบบ Lite Version สว่างๆ ให้ความรู้สึกกึ่ง Earthy ติดดินเคล้าไม้แห้งๆ และมีกลิ่นโทน Musky อ่อนๆ สะอาดๆ ที่ซ่อนอยู่เนียนๆ เป็นโทนหลักของช่วงนี้ โดยที่กลิ่นในช่วงกลางอย่างโทนดอกไม้อ่อนๆ เคล้า Citrus ติดเขียวยังตามมาในช่วงนี้แบบเบาๆ สบายๆ ทำให้กลิ่นจะมีความรื่นรมย์ปนสะอาดเจือเขียวที่สมดุลย์กำลังดีเข้าทางสไตล์ Cologne กลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีระดับและกึ่งคลาสสิคกึ่งร่วมสมัย ได้อารมณ์แบบผู้ชายแต่งตัวแบบสะอาดสะอ้านติด Cool เรียบหรูได้ชัดเจนมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ได้หมดถ้าสดชื่นและติดคลาสสิคหน่อยๆ ได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะให้ความเป็นสุภาพบุรุษสดชื่นแบบที่ไม่ได้ถึงกับต้องเนี้ยบเรียบแปล้อะไรมากก็เอาอยู่และ Cool ได้อย่างสบายๆ โดยสามารถจัดได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ยังไงก็รอดและเรียบหรูได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปให้ความสดชื่นในวันอากาศร้อนๆ หรืออากาศสบายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่เข้าทางกับการใส่ไปเที่ยวผับบาร์เท่าไหร่ แต่ถ้าใส่ไปจิบๆ อะไรนิดหน่อยอันนี้ได้อยู 

ความทน - เกินคาดมาก เพราะโดยทั่วไปการเป็น Citrus Aromatic มักจะไม่ได้ถึงกับทนจัดนัก แต่ตัวนี้บอกเลยว่าสูงสุดที่เจอคือ 12 ชม. แบบชิลล์ๆ เลย ซึ่งค่าเฉลี่ยรวมๆ ทุกสภาพผิวน่าจะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีซักระยะ ก่อนเป็นปานกลางยาวๆ ไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่าสดชื่นไปเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ยอมเขาเลย ทำได้ดีจริงๆ 

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นอายสดชื่นสไตล์สุภาพบุรุษที่ร่วมสมัยแตะได้ทั้งความคลาสสิคและทันสมัยได้หมด และยังมีความเรียบหรูกึ่งสบายๆ ให้ความ Cool กำลังดีไปตลอด ยอมมม กลิ่นเข้าดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.myer.com.au/p/dior-eau-sauvage-cologne-50ml-288111070-288122950