วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Yves Rocher - Autour de Minuit

Yves Rocher - Autour de Minuit 

ใน Collection - Eaux de Parfum ของ Yves Rocher ที่เข้ามาจำหน่ายในไทย มักจะมาสายใสๆ หรือนวลๆ ที่ใช้ง่ายและอยู่ในโซนเข้าถึงได้ง่าย แต่มีอยู่ 1 ตัวที่ค่อนข้างมีเอกเทศที่ไม่ได้มาสายใสๆ เท่าไหร่ เพราะเด่นที่ความเป็นพิมเสนกรุยกรายเป็นหลัก และเมื่อเห็นชื่อรุ่นก็บ่งบอกถึงความน่าค้นหาและเย้ายวนไม่น้อยเลยทีเดียวกับ Autour de Minuit ที่แปลเป็นไทยได้ง่ายๆ ว่า เวลาประมาณเที่ยงคืนซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหน ใช้แล้วบอกต่อได้แบบนี้เลย 

เปิดต้นกลิ่นได้น่าสนใจมากกับการผสมผสานกลิ่นอายโทน Citrus ของส้มและโทน Spicy ติดอวลๆ ที่คาบเกี่ยวระหว่างความปร่าเผ็ดอวลของเครื่องเทศแนวๆ พริกไทยหรือเม็ดผักชีหน่อยๆ และตัวเอกหลักของน้ำหอมย่างพิมเสนที่ให้ความปร่าสมุนไพรสากแบบกำลังดี สร้างอารมณ์กรุยกรายน่าค้นหาเจือความสดชื่นอ่อนๆ กันตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีวูบของโทนผลไม้ติดหวานคล้ายโทนกลิ่นของลูกแพร์กับเบอร์รี่สีม่วงๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่มาแบบเนียนๆ เป็นเนื้อเดียวกับส้มไปพอสมควร เลยทำให้ช่วงต้นจะเป็นลูกผสมระหว่างความน่าค้นหากับบรรยากาศติดสดชื่นค่อนมาทางเข้มดาร์ก ซึ่งเปิดมาก็สื่อถึงกลางคืนที่อากาศเย็นๆ กำลังดีได้น่าสนใจมาก 

เมื่อกลิ่นผันเข้าสู่ช่วงกลาง โทนสดชื่นแนว Citrus จะเบาลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ปล่อยให้พิมเสนเริ่มกลายเป็นตัวเอกหลักกันตั้งแต่ช่วงนีโดยจะจับคู่กับกลิ่นโทนแป้งติดอับอ่อนๆ ของดอกไอริสที่ทำให้กลิ่นจะมีความเย้ายวนดึงดูดปนกรุยกรายกันชัดเจน โดยจะมีตัวมาเสริมทัพอย่างโทนออกทางคล้ายพริกไทยสีชมพูที่แอบมีกลิ่นโทนกุหลาบอ่อนๆ และดอกไม้แนวๆ มะลินวลเจือ ที่สำคัญจะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศสายเผ็ดซ่าบางๆ ที่ตามมาจากตอนต้นทำให้กลิ่นมีความปร่าเย้าแบบลงตัว ซึ่งช่วงกลางนี้จะเป็นการผสมผสานกันโดยมีพื้นฐานของการเป็นโทนแป้งเคล้าพิมเสนเป็นสำคัญ กลิ่นจะเรื่อยๆ มาเรียงๆ หรูหรามีระดับ เย้ายวนแบบกำลังดี โดยที่คุมโทนกลิ่นเป็นกลิ่นโทนดาร์กโปร่งแนวกลางคืนอยู่เช่นเดิมโดยไม่หลุด Concept แต่อย่างใด จนเมื่อกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ ติด Smoky อ่อนๆ ค่อยๆ เนียนแทรกเข้ามา ก็ปูทางกันไปที่ช่วงท้าย โดยที่กลิ่นโทนแป้งของไอริสเคล้าพิมเสนยังคงอยู่ชัดเจน แต่กลิ่นจะมีความอุ่นนวลมากขึ้นมาหน่อยซึ่งจะเริ่มจับต้องได้ถึงโทนวานิลลาอ่อนๆ เคล้ากลิ่นไม้แห้งที่เป็นฐานกลิ่นอยู่ ซึ่งถือเป็นตัวเสริมชั้นดีให้กลิ่นโทนแป้งเคล้าพิมเสนมีความนวลมากขึ้นไม่พอ ยังมีมิติที่ได้อารมณ์กลิ่นออกทางติดขนมอ่อนๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมปนอวลเบาๆ อีกด้วย โดยภาพรวมของกลิ่นจะมีความกรุยกรายกำลังดี เย้ายวนดึงดูดกำลังงาม รวมถึงคุมโทนการเป็นโทนดาร์กแบบซีทรูที่น่าค้นหาคลอยาวไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงว่า Unisex แต่บอกเลยว่า ไม่น่าใช่ เพราะกลิ่นมาสายผู้หญิงชัดเจนมากถึง 95% ได้เลย แต่ยกเว้นผู้ชายที่ชอบน้ำหอมกลิ่นโทนกรุยกรายพิมเสนที่ไม่หนักเกินไป ถ้าจะใช้ก็ตามสะดวก ซึ่งแม้ว่ากลิ่นนี้จะบอกถึงโทนกลางคืน แต่เอาเข้าจริงใส่ยามกลางวันได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายข้นหนักแต่อย่างใด ซึ่งเข้ากับหลายๆท สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ที่เน้นสร้างออร่ามีระดับและน่าค้นหาเป็นสำคัญ และยิ่งเข้าทางถ้าใส่กับชุดโทนสีเข้มเลยล่ะ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ กับออกกำลังกายไปได้เลย เพราะดูผิดที่ผิดทางเผลอๆ กลิ่นจะตีขึ้นจนอึดอัดไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป เพิ่มจำนวนสเปรย์จากใช้กลางวันหน่อย ก็ใส่ท่องราตรีแบบมีเสน่ห์ปนกรุยกรายกับอากาศบ้านเราได้สบายมาก 

ความทน - ลงตัวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ซึ่งส่วนตัวจากที่ได้ลองใช้สามารถยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลย ถือว่าถ้าเทียบกับกลิ่นอื่นๆ ของไลน์นี้ที่เข้ามาขายในไทย ตัวนี้เรื่องความทนดีเป้นลำดับต้นๆ เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมากลางๆ ไปเรื่อยๆ ซักพัก ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอพ้นไปซัก 6 - 8 ชม. ถึงเริ่มเป็นสายติดผิวอ่อนๆ ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

สรุป - ถ้ากลิ่นอายของความเป็นพิมเสนและกุหลาบในฝั่งสาย Collection - Quelques Notes d’Amour ของ Yves Rocher เองเป็นกลิ่นอายสายกรุยกรายมีระดับแบบโทนสว่าง Autour de Minuit เองคือกลิ่นอายพิมเสนปนแป้งเจือดอกไม้ที่บ่งบอกถึงความเป็นกลางคืนแบบโทนโปร่งดาร์กซีทรูแบบเรียบหรูนั่นเอง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.co.il/perfumes/Yves-Rocher/Autour-de-Minuit-56460.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Yves Rocher - Tropicale Tentation

Yves Rocher - Tropicale Tentation 

เห็นชื่อรุ่นว่า Tropicale Tentation ของ Yves Rocher ที่รวมอยู่ใน Collection - Eaux de Parfum สิ่งแรกที่ปิ๊งแว้บขึ้นมาในทันทีแบบไม่ต้องดูข้อมูลทางกลิ่นใดๆ ก่อนเลย คือ “กลิ่นนี้ต้องเป็นโทนผลไม้แน่ๆ” และเมื่อได้ไปเทสกลิ่นพร้อมดูข้อมูลประกอบ พับผ่าสิ ทำไมซื้อหวยแล้วไม่ถูกเหมือนเดากลิ่นน้ำหอมบ้างเนี่ย เพราะกลิ่นนี้เรียกว่ายืนหนึ่งในการเป็นโทนผลไม้ใน Collection นี้เลยก็ว่าได้ เช่นนั้นจัดไปอย่าได้เสีย สอยสิจะรออะไร ก็เลยซึมซับจนมาถ่ายทอดต่อได้ว่า 

Tropicale Tentation จะเปิดตัวที่ความเป็น Citrus กลั้ว Fruity ที่ชัดเจนมาก กลิ่นที่วูบขึ้นมาจะได้อารมณ์ของโทนกลิ่นที่จับแยกเป็นโทนต่างๆ เท่าที่จับได้ เช่น กลิ่นส้มแนวๆ สายส้มเขียวหวานที่หวานอมเปรี้ยวปลายมีความฉ่ำกำลังดี กลิ่นน้ำส้มใสๆ ของส้มขม กลิ่นลูกฝรั่งเนื้อแดงที่หอมหวานอมเปรี้ยว กลิ่นคล้ายเสาวรสที่ให้ความเปรี้ยว กลิ่นออกทางโทนเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นเจือหวานแปร่งปลายกลิ่น และตัวที่ค่อยๆ เนียนออกมาทีหลังเพื่อนเลยคือ กลิ่นแอปริคอตที่ให้ความหวานหอมติดหวานอมเปรี้ยวกึ่งพีชแห้งๆ ซึ่งทำให้ช่วงต้น กลิ่นจะไล่เรียงมิติเริ่มจากกลิ่นส้มปนเลมอน ตามด้วยกลิ่นออกทางเนื้อลูกฝรั่ง แล้วมาที่เสาวรสกึ่งแอปริคอต ให้อารมณ์ให้โทนสีส้มกลางๆ ไปสู่สีส้มอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว และขาดไม่ได้เลยคือ กลิ่นช่วงนี้มันสร้างความสดใสรื่นรมย์ติดค็อกเทลผลไม้รวมได้ดีมากจริงๆ 

เมื่อกลิ่นโทนผลไม้เริ่มเบาลง เพราะมีความนวลของดอกไม้หอมอ่อนๆ เสริมเข้ามา กลิ่นก็เข้าสู่ช่วงกลางที่จะได้ลูกผสมของการเป็นโทนดอกไม้เคล้าผลไม้ ที่ตอนนี้จะจับได้ถึงกลิ่นแอปริคอตที่ชัดขึ้นแต่มาติดโทนแห้งๆ หน่อย ซึ่งกลิ่นโทนเสาวรสและส้มก็ยังคงสร้างสีสันให้มีความสดชื่นในเนื้อกลิ่นอยู่ เพียงแต่จะไม่ได้ฉ่ำพ เพราะโทนดอกไม้ที่มาตีคู่จะได้ลักษณะกลิ่นติดครีมมี่บางๆ หอมหวานนวลๆ ซึ่งสอดรับกับโทนแอปริคอตเลย อารมณ์เดียวกับดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) บางๆ และมีกลิ่นติดโทนครีมมี่กึ่งดอกไม้กึ่งนมๆ สร้างลูกเล่นที่มีความนวลเข้ามาหน่อย เพียงแต่เพราะการคุมโทนกลิ่นที่เป็นฉากหลังของโทนไม้หอมโปร่งๆ กึ่งแห้งหน่อยๆ เลยทำให้กลิ่นไม่ไปสายข้น ยังคงเป็นกลิ่นผลไม้ที่หอมสดชื่นติดเปรี้ยวที่มีความนวลระเรื่อเคล้ากลิ่นไม้แห้งโปร่งกำลังดี ซึ่งรู้สึกว่ากลิ่นโทนไม้หอมช่วงนี้จะมีลูกผสมอยู่หน่อยๆ ระหว่างความเป็น ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์โปร่งๆ กับกลิ่น Clearwood ที่ให้ลักษณะไม้โปร่งๆ ติดพิมเสนบางๆ และ 2 โทนนี้แหละที่จะพาเอาเพื่อนอย่างโทนแนวๆ หญ้าแฝกและไม้แห้งมาเป็นตัวหลักในช่วงท้าย ที่จะเป็นกลิ่น Fruity ติดเปรี้ยวปนสะอาดมีหวานปลายกลิ่นฝังเนียนลงไปกับไม้แห้งโปร่งสะอาดเลย ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นไม้หอมที่มีความเป็นโทนผลไม้สะอาดประปรายสร้างความรื่นรมย์ให้จับต้องได้ไปเรื่อยๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพียงแต่ช่วงเปิดมันจะออกไปทางสาวๆ เสียมากกว่า แต่พอช่วงกลางเป็นต้นมาก็ Unisex ยาวๆ ไป เช่นนั้นกลิ่นนี้ใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทั่วๆ ไป ลั่นล้า พักผ่อน หรือใส่ทำงาน Office แบบที่ไม่ได้มีความทางการมากนัก อันนี้สบายๆมาก จะมีก็แต่การใส่กับงานทางการที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ส่วนยามค่ำคืนถ้าไปปาร์ตี้แบบสบายๆ หรือชิลล์ๆ อันนี้จัดไป กลิ่นลงตัวเข้ากับทุกสภาพอากาศ 

ความทน - เกินคาดที่สุดเลย เพราะนึกว่าความทนจะด้อยๆ เพราะกลิ่นมีความเป็นผลไม้ที่ธรรมชาติในระดับหนึ่ง แต่เอาจริงๆ แล้ว 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และที่เจอส่วนตัวคือลากมาที15 ชม. ได้เลย ซึ่งอันนี้ชื่นชม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อนแล้วถึงค่อยลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเลย จนเมื่อพ้นซัก 8 - 10 ชม. แล้ว ถึงค่อยเป็น Skin Scent 

สรุป - มีความ Escada เพราะโทน Fruity กึ่งค็อกเทลผลไม้รวมนี่แหละ เพียงแต่เพราะไม่ได้มีกลิ่นอายสายเครื่องดื่มกรุ้มกริ่มหรือโทนเจ้าชู้ลั่นล้าในเนื้อกลิ่น เลยทำให้อารมณ์กลิ่นเปลี่ยนเป็นรื่นรมย์และสดใส ตามด้วยการเป็นโทนไม้หอมที่โปร่งๆ สบายๆ เช่นนั้นเรียกว่าเป็น ผลไม้ x ไม้หอม ที่ Yves Rocher ทำกลิ่นได้น่าสนใจมากเลยล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Yves-Rocher/Tropicale-Tentation-56455.html

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Yves Rocher - Garden Party

Yves Rocher - Garden Party 

เมื่อ Yves Rocher เป็นตัว Collection น้ำหอมใหม่ในชื่อ Eaux de Parfum ที่ออกมาพร้อมกันถึง 9 รุ่น ในความเข้มข้นระดับ EDP ในปี 2019 โดยมีแรงบันดาลใจกลิ่นอายที่เชื่อมโยงกับกลิ่นอายตามธรรมชาติ รวมถึงใช้วัสดุที่เป็นการ Recycle มาเป็นทั้งขวดและ Package คุมโทนการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้นเมื่อ Collection นี้เข้าไทย แต่อาจจะไม่ได้เข้าครบทั้ง 9 รุ่น เพราะเท่าที่เห็นมีเพียง 6 รุ่นที่เป็นโทนกลิ่นแบบใสๆ ไปถึงกลางๆ เท่านั้นที่เข้ามา ซึ่งเสียดายไม่ใช่น้อย เพราะอีก 3 รุ่นที่ไม่ได้วางขายในไทย เป็นโทนกลิ่นสายเข้มขึ้นมาหน่อยแนวๆ Oriental อบอุ่นที่น่าสนใจทั้งนั้นเล 

เช่นนั้นมาแค่ไหนลองแค่นั้น ก็มาเล่ากลิ่นหลังจากใช้จริงกันหน่อยดีกว่าว่าจะเป็นอย่างไรบ้างกับรุ่นแรกของไลน์นี้อย่าง Garden Party 

สดชื่นและสดใสกันเลยตั้งแต่เริ่มต้น กลิ่นจะให้โทนเขียวสดชื่นเจือกลิ่นมินต์และมีความเป็น Citrus ที่ไม่ได้ถึงกับเปรี้ยวคมแย่งซีน แต่เป็นลักษณะแบบโทนอากาศสดชื่นสบายๆ เสียมากกว่า แต่เพียงชั่วขณะกลิ่นโทนกุหลาบใสๆ ก็จะเสริมเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ช่วงต้นของน้ำหอมจะได้อารมณ์แบบอากาศสดชื่นเย็นๆ ติดเขียวสว่างๆ เคล้ากับกลิ่นมินต์ที่สร้างความปลอดโปร่งโล่งสบายทางจมูก และมีความน่ารักของโทนน้ำกุหลาบใสๆ อ่อนๆ เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความรื่นรมย์กำลังดี จนเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นโทนกุหลาบจะชัดขึ้นมาอีกในระดับหนึ่ง แต่ยังให้ความใสอยู่ อารมณ์กลิ่นจะค่อนไปทาง Peony หรือดอกโบตั๋นหน่อยๆ ที่จะให้โทนกุหลาบออกทางใสๆ ซึ่งจะมีกลิ่นโทนบรรยากาศติดเขียว โดยที่กลิ่นมินต์ยังคงอยู่ให้ความปร่าเขียวสบายๆ สลับลงมาเป็นตัวเสริมโทนกลิ่นให้ยังคุมโทนสดชื่นอยู่ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ขาวใสๆ เบาๆ เนียนๆ อยู่เป็นฉากหลังด้วย กลิ่นมีลักษณะติดมะลิใสๆ ฉ่ำๆ สดชื่น ให้อารมณ์บรรยากาศที่เริ่มมีความเป็นสวนที่มีมากกว่ากุหลาบไปซักระยะ ก็จะเริ่มมีกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่เข้ามาสมทบ และก็เริ่มกระบวนการเทคโอเวอร์ไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ที่กลิ่นจะกลายเป็นโทนสะอาดๆ เด่นที่ไม้หอมโปร่งๆ สไตล์ไม้ซีดาร์ที่จะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นแบบยาวไปหลังจากนี้ สร้างพื้นกลิ่นที่เป็นโทนไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ มีโทน Musky หน่อยๆ เนียนๆ เจืออยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความสว่าง สะอาด และเข้าถึงได้ง่ายแบบไม่เยอะสิ่ง โดยที่กลิ่นโทนเขียวสดชื่นและมินต์ได้โบกมือลาไปเป็นที่เรียบร้อย หรือกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ของกุหลาบที่ยังจับต้องได้อยู่ แต่มาในลักษณะประปราย Airy อ่อนๆ ซักระยะแล้วจะผ่อนตัวลงไปเรื่อยๆ จนหายไป เหลือเพียงไม้หอมที่จะอยู่ไปเรื่อยๆ แบบเบาๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นเป็นสายดอกไม้ใสๆ สไตล์กุหลาบอ่อนๆ กึ่งใสกึ่งนวล ที่ได้ทั้งความอ่อนโยนโรแมนติคก็ได้ ให้ความสดใสก็ดี ให้ความเยาว์วัยก็ใช่เลย ซึ่งสามารถใส่ได้แบบกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป กวาดหมดครอบจักรวาลเต็มๆ แม้กระทั่งออกกำลังกายยังใส่ได้เลย เพราะกลิ่นมันใสๆ เบาๆ นี่แหละ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลย โดนกลบมิดแน่นอน ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะมันไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังหนักๆ เน้นเรื่อยๆ มาเรียงๆ ถ้าใส่กลิ่นนี้กับเสื้อโทนสีอ่อนๆ นี่เข้ากันมากเลย 

ความทน - แม้ว่าจะเป็น EDP แต่เพราะกลิ่นเป็นโซนใสๆ เบาๆ ตีเฉลี่ยที่ 6 ชม. ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นก็ อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ได้เลย ซึ่งถ้ากลัวไม่ทน พกไปเติมระหว่างวันจะดีที่สุด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาจนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง พอพ้นซัก 4 ชม. แล้ว ก็เป็น Skin Scent 

สรุป - เป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายมาก มีความมินิมัลสูงเว่อร์ ไม่ได้ซับซ้อนเลย ตรงไปตรงมา กุหลาบใสๆ สดชื่น แล้วปิดท้ายด้วยความสะอาดโปร่งๆ มีความน่ารัก มีความสดใส และมีความอ่อนโยนสบายๆ กำลังดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Yves-Rocher/Garden-Party-56456.html

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: J-Scent - Hanamizake

J-Scent - Hanamizake 

เมื่อได้เห็นว่ามีแบรนด์น้ำหอมจากญี่ปุ่นที่ชื่อแบรนด์มีความชัดเจนไม่น้อยว่า J-Scent เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เล็งหาช่องทางกันน่าดูชมเลยทีเดียว เพราะพื้นเพเป็นคนชอบกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นอยู่เป็นทุนเดิม และยิ่งเมื่ออ่านข้อมูลมากเข้าว่าแต่ละกลิ่นจะเป็นการบอกเล่าสภาพแวดล้อม สถานการณ์ และเจาะจงถึงกลิ่นอายที่มีความเป็นญี่ปุ่นแบบชัดๆ มีหรือที่จะไม่รีบขวนขวายหามาครอบครองสร้างความหอมรอบกาย และเมื่อซึบซับจนได้ที่แล้ว กลิ่นแรกของแบรนด์นี้ที่จะเอามาเล่าอย่าง Hanamizake ก็มีคำโปรยแบบนี้เลย

การนั่งอยู่ใต้ต้นซากุระที่เบ่งบาน พลางจิบสาเกพร้อมซึมซับบรรยากาศความรื่นรมย์รอบๆ ตัว โดยเอาการเล่นคำว่า Hanami = การชมซากุระ และคำว่า Sake = เหล้าสาเก มาเจอกัน ซึ่งจะเล่าออกมาได้ชัดเจนแค่ไหน ก็มาว่ากันเลยดีกว่า 

เปิดตัวด้วยความเป็นโทนผลไม้สายฉ่ำแนวญี่ปุ่นมาเต็มมาก โดยเฉพาะกลิ่นหอมหวานฉ่ำของลูกแพร์ที่เด่นออกมาเลยและในเนื้อกลิ่นจะมีโทนแอปเปิ้ลหวานแบบโทนแอปเปิ้ลสายฉ่ำและยังมีกลิ่นโทนราสเบอรี่ที่เพิ่มความหอมหวานเฉพาะเข้ามาอีก จนมีลักษณะเป็นโทนผลไม้รวมให้ความหวานฉ่ำ เคล้ากับกลิ่นเหล้าสาเกที่ให้อารมณ์ฟุ้งๆ โดยจะค่อนข้างมีความเป็นธรรมชาติมากพอสมควรเพราะจะมีกลิ่นติดอับให้พอรับรู้สไตล์แอลกอฮอล์หมักผลไม้ให้รู้สึกได้ด้วย ซึ่งกลิ่นจะมีความใสพอสมควร จนบางวูบอาจจะทำให้นึกถึงกลิ่นเวลาที่เราสระผมตามร้านเสริมสวย แล้วเขาใช้แชมพูโทนผลไม้เจือดอกไม้หวานก็ได้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่กลิ่นของตัวน้ำหอมเองจะค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากกว่า

เมื่อกลิ่นโทนผลไม้เริ่มเบาลงจนเหลือกลิ่นโทนเหล้าสาเกที่ยังคงอยู่ โทนกลิ่นสายดอกไม้ก็เริ่มเข้ามา โดยเฉพาะกลิ่นดอกซากุระ หรือ Cherry Blossom ซึ่งกลิ่นจะออกแนวลักษณะหวานใสติดเปรี้ยวอ่อนๆ แบบโทนเชอร์รี่ผสมผสานกับดอกไม้ขาว ทำให้ได้โทนสีชมพูหวานใสเจือเปรี้ยวปลายสดชื่น (ต้องบอกก่อนว่าดอกซากุระจริงๆ มันไม่มีกลิ่น ถ้ามีก็หอมจืดๆ บางๆ โทนนี้เลยเป็นการจำลองกลิ่นออกมาสร้างลักษณะที่ควรจะเป็นเสียมากกว่า ) ซึ่งกลิ่นช่วงนี้ถือว่าชัดเจนในการเล่ากลิ่นที่ตีคู่กันไประหว่างโทนเหล้าสาเกและกลิ่นโทนดอกไม้ที่ให้ภาพออกมาเป็นซากุระ โดยที่มีกลิ่นผลไม้หวานเป็นตัวเชื่อมโทน ทำให้กลิ่นสร้างความหอมรื่นรมย์และโทนสีออกทางชมพูได้ดีเลยทีเดียว จนเมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นเริ่มมีความนวลเข้ามาแทรกเรื่อยๆ ก็ปูทางเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นจะคล้ายเป็นโทนสีชมพูอ่อนที่จะมีความกึ่งนวลบางๆ ยืนพื้นที่โทน Musk เจือดอกไม้ที่ติดโทนแป้งนวลหน่อยๆ กลิ่นจะมีความมินิมัลที่ให้ให้ความเบาๆ ไปเรื่อยๆ ตามสไตล์ลักษณะแบบญี่ปุ่นที่ไม่ได้เล่นโทนกลิ่นที่หนักนัก ให้ความเรื่อๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ที่กวาดหมดทุกเพศ แต่เพราะกลิ่นโทนดอกไม้เด่น เลยทำให้ 

ความทน - มีความแกว่งอยู่พอสมควร ตีเป็นค่าเฉลี่ยก็ราวๆ 4 ชม. เป็นสำคัญ แต่สามารถลากยาวไปต่อได้ถึง 8 ชม. ถ้าสภาพผิวเก็บกักน้ำหอมได้ดี และจำนวนสเปรย์ที่ลงตัวมากพ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวไวพอสมควร แล้วเป็น Skin Scent เมื่อเข้าช่วงท้าย 

สรุป - กลิ่นมีความเป็นสาเกผลไม้ชัดมากอันนี้ต้องยกให้เขาเลยว่าสื่อสารโทนกลิ่นได้ดี แต่ที่เหลือ ถ้าไม่ยึดติดความคุ้นชินแบบคนไทยที่กลิ่นอาจจะทำให้นึกถึงยาสระผมผลไม้ปนดอกไม้ในร้านเสริมสวย กลิ่นนี้ก็ถือว่าสื่อสารความหอมของเหล้าสาเก และความเป็นสีชมพูอ่อนของบรรยากาศใมนกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่ให้ความเรื่อยๆ ได้ดีและน่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.luckyscent.com/product/814003/hanamizake-cherry-blossom-sake-by-j-scent

Review: Zoologist - Civet

Zoologist - Civet

ในโลกของน้ำหอม ชะมด หรือ Civet” เองนี่เรียกว่าคลาสสิคตลอดกาลมาเสมอในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Animalic ที่มีความลุ่มลึกให้ความเซ็กซี่แบบสาบปลุกเร้าเข้าทาง Dirty รัญจวนยวนใจ และยังเข้ากันได้ดีกับกลิ่นโทนดอกไม้ต่างๆ มาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10 รวมถึงในไทยเราเองก็เช่นกัน
 เพราะสารคัดหลั่งที่ได้จากชะมด ที่เรารู้จักกันว่า ชะมดเช็ดก็เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบในการสร้างสรรค์กลิ่นหอมต่างๆ ทั้งในส่วนของน้ำอบและน้ำปรุงโบราณ (แบบโบราณที่แท้ทรูนะ) รวมถึงเป็นหนึ่งในกระสายยาที่เสริมฤทธิ์ให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

ซึ่งเอาเข้าจริงกลิ่นเพียวๆ ตรงๆ ของไขชะมดเช็ดนั้น คือ โคตรเหม็น แต่เพราะกรรมวิธีต่างๆ ในการนำมาใช้แปรให้กลิ่นนี้ขับความดีงามออกมาในแง่ของการเป็นโทน Animalic และสารตรึงกลิ่นที่ให้ความลุ่มลึกที่งดงามมากอีกหนึ่งโทนในโลกของน้ำหอม เช่นนั้น เมื่อ Zoologist นำเสนอกลิ่นอายที่จะสื่อสารถึงความเป็น ชะมดเช่นนั้นต้องมาลองกันหน่อยว่า จะสื่อถึงความเป็นชะมดแบบเพียวๆ ไม่มีเสียวไปที่โทนอื่นๆ หรือจะเล่ากลิ่นชะมดในทางไหนบ้าง 

เมื่อได้ใช้งานจริง ต้องสปอยกันตรงๆ เลยว่า Civet ขวดนี้ ไม่ได้มาในสายการเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของชะมดเอง หรือว่าการเป็นกลิ่นของชะมดตรงๆ เพราะถ้ามาแบบนี้มีสิทธิ์เป็นลมเอาได้ เพราะมันไม่น่าจะใช่น้ำหอม แต่จะมาในลักษณะการ Tribute กลิ่นอายโทน Civet ที่สร้างออร่าความมีเสน่ห์เร้าใจมาอย่างยาวนานกับโลกน้ำหอมมากกว่า โดยจะมีกลิ่นอายแบบสาย Old School หรือกลิ่นโทน Vintage ที่มีเสน่ห์ลุ่มลึกเป็นสำคัญ โดยกลิ่นของ Civet จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ แบบค่อยเป็นค่อยไปเริ่มจากการเป้นสายสนับสนุนที่มีซีนเป็นของตัวเองตลอด จนกลายเป็นตัวเอกหลักซึ่งช่วง Top Notes คือ การเปิดโลกสู่โทนดึงดูดของกลิ่นอายแบบ Citrus ติดโทน Balsamic ยางไม้เคล้ากลิ่น Musky Animalic รองพื้นกันอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นที่ค่อนข้างชัดมากในช่วงนี้คือกลิ่นโทนเปลือกส้ม ที่ติดขมหอมเคล้ากลิ่นเครื่องเทศปร้านวลเจือหวาน และมีกลิ่นโทนยางไม้หน่อยๆ ซึ่งบางวูบบอกเลยว่าจะคล้ายโทนบ๊วยเปลือกส้มพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ออกทางเป็นบ๊วยจ๋าๆ ขนาดนั้น เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนพริกไทยที่ให้ความหนาของกลิ่นในลักษณะปร่านวล และทาร์รากอนที่ให้ความหวานหอมนวลๆ พร้อมกับกลิ่นที่รองพื้นอย่าง Civet ที่ไม่ได้มาแบบดิบๆ แต่มาแบบที่เกลากลิ่นสร้างความอวลของกลิ่นได้ดี พร้อมกับกลิ่นของยางไม้ที่ให้ความรู้สึกในโทนกลิ่นที่ออกทางสีน้ำตาลเจืออบอุ่นแบบกำลังดี รวมตัวกันเป็นช่วงเปิดที่สร้างออร่าความเป็นโทนอบอุ่นติด Vintage ที่มีลูกเล่นไล่เรียงกันจาก Citrus สมุนไพร เครื่องเทศ ยางไม้ และ Civet ได้ดีมากเลยทีเดียว 

กลิ่นในช่วงต้นดำเนินไปได้พอประมาณ จะเริ่มสัมผัสโทนดอกไม้ที่แทรกตัวขึ้นมาเนียนๆ ทีละหน่อยจนชัดเจนในที่สุด ก็เป็นการเข้าสู่ Middle Notes ที่จะเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของกลิ่นดอกไม้ที่จะมี 3 โทน คือ ครีมมี่เย้ายวนเย็นๆ ลุ่มลึกของดอกไม้ขาวที่จับต้องได้เต็มๆ จากกลิ่นโทนซ่อนกลิ่นและลีลาวดี เสริมด้วยกลิ่นรัญจวนดึงดูดของโทนดอกไม้เหลืองปนหวานของกระดังงาและดอกลินเดน และกลิ่นออกทางติดเขียวปนปร่า Spicy ของคาร์เนชั่นและไฮยาซินท์ รวมถึงมีกลิ่นติดโทนแป้งหอมที่ทำให้ช่วงกลางจะได้ความรู้สึกครีมมี่ปนแป้งหอมดอกไม้ที่มีอารมณ์กลิ่นจากแต่ละโทน เคล้ากับโทนในช่วงต้นที่ตามมาทั้งหมด โดยเฉพาะกลิ่นโทน Animalic ของ Civet กับยางไม้ที่จะเริ่มกลายเป็นตัวเด่นผสมผสานกับโทนแป้งหอมดอกไม้ทำให้ได้ความหรูหรามีระดับแบบที่มีพลังกึ่งดึงดูดได้ดีมาก จะมีเฉพาะโทน Citrus ที่จะเหลือกลิ่นแนวเปลือกส้มแห้งๆ เคล้ากลิ่นสมุนไพรหวานโปร่งหน่อยๆ ที่ประปรายให้พอรู้สึกได้เสริมให้มิติกลิ่นมีอะไรมากกว่าแป้ง ดอกไม้ ยางไม้ และ Civet 

แต่เพียงไม่นานกลิ่นโทน Citrus เคล้าสมุนไพรจะจางไป ก็เปิดตัวเข้า Base Notes ที่กลิ่นโทนแป้งหอมดอกไม้จะเนียนเป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นโทน Civet ทำให้ได้อารมณ์ดอกไม้หอมนวลปนอบอุ่นเป็นตัวคลอไปเรื่อยๆ แบบออร่ากลิ่นแป้งดอกไม้อบอุ่น แต่เลเยอร์ที่ซ้อนลงไปอีกคือความซับซ้อนที่แท้ทรู เพราะกลิ่นวานิลลาเจือกาแฟจะให้อารมณ์แบบโทนขนมอ่อนๆ กลั้วไปกับกลิ่นโทนยางไม้ติด Incense ที่อารมณ์ออกทางแอมเบอร์ผมยางไม้เรซิ่นที่มีความดึงดูดปนอบอุ่น และมีโทนหนังและ Oakmoss ที่เสริมพลังทางกลิ่นของ Civet ให้มีความหรูหราน่าค้นหาปนกรุยกรายติดสาบเร้าใจ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะเรียงเสต็ปที่สร้างเสน่ห์ในการรับรู้จากแป้งหอมดอกไม้ครีมมี่นวลอบอุ่นหรูหรา ตามด้วยกลิ่นโทนกึ่งขนมกึ่งยางไม้ติดแปร่งดึงดูด และกลิ่นโทนสาบ Animalic เคล้ากลิ่นดาร์กกึ่งขมปนกลิ่นคล้ายหมึกเล็กๆ ที่สร้างมิติความมีระดับ มีคลาสและมีพลัง ซึ่งทั้งหมดจะสไตล์กลิ่นออกทาง Vintage อบอุ่นเย้ายวนอบอวลและมีเสน่ห์แบบร่วมสมัยได้ดีมากจนถึงปลายทางของกลิ่นบนผิวเลย 

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะพื้นฐานของ Civet อยู่ในน้ำหอมที่ครอบคลุมทุกเพศอยู่แล้วตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เช่นนั้น กลิ่นนี้จะสร้างออร่าความมีระดับ กรุยกราย สไตล์ Vintage ที่มาสายอบอุ่นมากกว่าจะไปสายแป้งจ๋า หรือสดชื่นคมๆ จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป โดยจำนวนสเปรย์เหมาะสมและไม่ควรหนักมือเกินไป เพราะกลิ่นมีพลังมากเลยทีเดียวในการปล่อยของกระจายรอบตัว แต่ให้ตัดการใช้เพื่อกิจกรรมลุยๆ แนวๆ ออกกำลังกายออกไปจะดีที่สุด เพราะไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืน กลิ่นนี้ถือว่ามีเสน่ห์สไตล์ร่วมสมัยกึ่ง Vintage มากในการใส่ออกงานเพื่อเน้นความหรูหรามีระดับและออกแนวตัวพ่อตัวแม่ที่ดูนิ่งๆ แต่มีออร่าดึงดูดให้สนใจแบบที่ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย 

ความทน - มากกกกกกกกก สุดติ่ง เพราะสิ่งที่เจอคือข้ามวันแม้อาบน้ำไปแล้ว 2 รอบ กลิ่นก็ยังติดผิวโชยระเรื่อๆ อ่อนๆ อยู่ เช่นนั้นตีเฉลี่ยได้เลยที่ 12 - 15 ชม. ยังไงก็ทนจัดจริงจัง

การกระจาย - ทรงพลังกันตั้งแต่เริ่มแรก เพียงแต่จะไม่ได้บาดหรือคมแต่อย่างใด ให้การกระจายที่ดีมากชัดเจน ก่อนจะลดลงมากระจายดีแบบยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย พอผ่านไปซัก 8 ชม. ก็กระจายกลางๆ ก่อนจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ให้ความหรูหรามีเสน่ห์เร้าใจแบบนิ่งๆ ตัวจริงอยู่ตรงนี้กันยาวๆ ไปเลย 

สรุป - ไม่ต้องกลัวว่ากลิ่นนี้จะมาแบบสาบสัตว์ตัวชะมดแต่อย่างใด แต่เป็นการ Tribute โทน Vintage โดยชูโรงความเป็น Civet แบบที่สมดุลย์กำลังดี ปล่อยเสน่ห์อย่างมีชั้นเชิงและลุ่มลึกเย้ายวนได้อย่างงดงามเสียมากกว่า และถ้าจะให้พูดจากใจ นี่คืออีกหนึ่งกลิ่นที่เป็น Masterpiece จากแบรนด์นี้ได้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.theperfumerybarcelona.com/en/producto/zoologist-civet/

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: John Varvatos for Men

John Varvatos for Men 

เมื่อครั้งเปิดตัว John Varvatos เข้าสู่สายธุรกิจ Skincare และน้ำหอมในปี 2004 จากเดิมที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสายแฟชั่น โดยมีน้ำหอมตัวแรกของการเป็นแบรนด์น้ำหอมเต็มตัวอย่างรุ่น John Varvatos for Men เช่นนั้นมีหรือที่จะไม่หามาลอง ได้ฤกษ์งามยามดีก็เล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะถ่ายทอดความเป็นผู้ชายสาย Cool แบบไหนบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมีความรู้สึกเหมือนจะธรรมดาเพราะโทนที่ได้จะเป็นสไตล์ติดสมุนไพรปร่าหน่อยๆ มีความอวลๆ กำลังดี ไม่ได้ไปสายดู Bad Boy แต่มีเสน่ห์แบบผู้ชายสายเท่ห์นิ่งๆ คูลๆ ได้เลย แต่พอจับโทนกลิ่นจริงๆ มันมีความหอมอวลติดหวานกึ่งคาราเมลอ่อนๆ แต่ไม่ได้ไปสายข้นแบบคาราเมลแท้ๆ นัก มีความใสในระดับหนึ่ง ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าโทนแบบนี้คือ กลิ่นอินทผาลัม และในความเป็นโทนสมุนไพรติด Spicy จะมีกลิ่นติดกึ่งเปรี้ยวอ่อนๆ อยู่ด้วย เลยจะมีมิติของโทนติดเขียวเจือความสดชื่นบางๆ อยู่ด้วย จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้จับต้องได้เพราะเริ่มเป็นโทนสมุนไพรปร่านุ่มติดหวานปนอุ่นอวลเด่นมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเป็นสายแมนมีเสน่ห์แบบเต็มตัว ซึ่งโทนสมุนไพรต่างๆ ที่มีความสมดุลย์กันเป็นอย่างดี ทุกอย่างจะให้ความปร่านุ่มลงตัวทั้งหมด และต้องยอมให้เลยคือ การกล่อมให้กลิ่นโทนเม็ดผักชีให้กลิ่นไม่คมบาดพุ่ง แต่มีความนวลปร่าแบบกำลังดี รวมถึงกลิ่นโทนหวานร้อนของเม็ดเทียนเยาวพาณี ที่จริงๆ ควรจะต้องให้โทนกลิ่นร้อนอุ่นหวานหอม แต่ก็กล่อมให้มีความหวานปนอุ่นมีเสน่ห์ได้อย่างลงตัว ต้องยกเครดิตให้กลิ่นอินทผาลัมที่เป็นตัวตัดทอนกลิ่น รวมถึงการเนียนๆ เข้ามาของโทนหนังกับกลิ่นแอมเบอร์ติดวานิลลา ที่ทำให้ช่วงกลางกลายเป็นกลิ่นโทนอบอุ่นติดเย้ายวนปนหวานอวลๆ แบบที่ไม่หนักหน่วงให้เสน่ห์ที่ลงตัวพอเหมาะพอเจาะได้ดีมาก 

เมื่อกลิ่นโทนหวานติดคาราเมลของอินทผาลัมเริ่มจางลงไป เหลือเพียงกลิ่นอวลอุ่นของโทนวานิลลาติดแป้งเคล้าแอมเบอร์และกลิ่นหนังที่ค่อนมาทางกลิ่นกึ่งๆ หนังกลับหน่อยๆ แต่มีความเป็นโทน Animalic อยู่อ่อนๆ ให้พอรู้สึก รวมถึงแอบมีความ Smoky ประปรายในเนื้อกลิ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเข้าสู่พาร์ทของความอบอุ่นแบบลุ่มลึกอวลแบบกำลังดี ให้ความเย้าจมูกและดึงดูดปนเซ็กซี่แบบเนียนๆ ก็ต้องยกให้การเบลนด์กลิ่นที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว ทุกอย่างคุมโทนแบบไม่หนักแน่นนัวเกินเหตุ แต่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่เร้าใจดึงให้เข้าไปใกล้ๆ ได้ดีมากในแง่ของน้ำหอมผู้ชายที่เซ็กซี่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องถอดเสื้อผ้า เป็นการปิดท้ายบนผิวกายไปเรื่อยๆ ที่ดีงามมากเลยทีเดียวของ John Varvatos for Men ขวดนี้

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้สบายมาก กลิ่นมีความแมนเท่ห์ในโทนอบอุ่นที่ไม่ได้หนัก ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ สะกิดเย้าๆ จมูกแบบมีระดับแทน จึงเข้ากับการใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะแตะสายเท่ห์เนี้ยบก็ได้ แตะความเซ็กซี่เนียนๆ ก็สามารถ จะมีที่ให้ห้ามก็ใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืน ต้องอัดสเปรย์กันหน่อยถึงจะพอไหว แต่ก็เบาไปถ้าจะเอาไปสู้กับสายหวานแน่นข้นนัว เน้นไว้ใส่เพื่อความโรแมนติคน่าจะดีกว่า 

ความทน - ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างแต่ก็ไม่มากนัก สามารถแตะ 8 ชม. ได้ถ้าอากาศไม่ได้ร้อนเกินไปนัก 

การกระจาย - กระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักระยะ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนเมื่อถึงราวๆ 5 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งตัวที่ได้อารมณ์น้ำหอม Designer ที่เหมือนจะธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลย มีความเนี้ยบก็ได้ ความเท่ห์ก็ได้ ความร่วมสมัยก็สามารถ และมาสาย Sexy มีระดับแบบเนียนๆ หล่อๆ ก็เอาดีทางนี้ก็ได้ เรียกว่ามีความครบเครื่องกันไม่น้อยเลย ต้องยอมเขาล่ะ ทำกลิ่นออกมาได้ดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrancelondon.com/product/john-varvatos-eau-de-toilette-spray-125ml/

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Strangers Parfumerie - Salted Green Mango

Strangers Parfumerie - Salted Green Mango

หั่นมะม่วงเบาออกเป็นแว่นๆ แล้วจิ้มพริกเกลือเอาเข้าปาก”

แค่คิดก็น้ำลายแตกเปรี๊ยะๆ ในปากได้เลย เพราะมันจะเปรี้ยวสดชื่นและ Happy ในการกินมากๆ ซึ่งกลิ่นมะม่วงเบาเวลาจิ้มพริกเกลือแล้วฟุ้งในปากหรือก่อนเอาเข้าปากกินมันมีเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถไปอยู่ในความทรงจำของเราได้ไม่ยากด้วย คือ ได้กลิ่นเมื่อไหร่จะรู้แล้วน้ำลายสอเอาเลย และตอนนี้ก็มีแบรนด์น้ำหอมไทยสาย Niche Perfume ได้สร้างสรรค์กลิ่นอายสายมะม่วงเบาเคล้าพริกเกลิอออกมาแล้วนั่นคือ Starngers Parfumerie 

ซึ่งน้ำหอมกลิ่นที่ว่านี้จะอยู่ใน Collection - Twenty Four-Seven โดยมีแรงบันดาลใจมาจากมะม่วงเบาจิ้มพริกเกลือ และอากาศของภาคใต้ ณ ไทยแลนด์ที่มีกลิ่นอายทะเลเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้น มาสัมผัสกันผ่านตัวอักษรกันดีกว่า ว่ากลิ่นของมะม่วงเบาจิ้มพริกเกลือในรุ่น Salted Green Mango จะเป็นอย่างไรบ้าง 

บอกเลย เปิดมาก็ฟินไปข้างได้เลย เพราะกลิ่นเปิดมันคือไอมะม่วงเปรี้ยวปนขมนิดๆ วูบออกมาชัดเจนมาก แล้วในชั่วขณะกลิ่นเกลือและกลิ่นพริกจะตามมาทำให้กลายเป็น กลิ่นแบบมะม่วงเปรี้ยวเคล้าพริกเกลือชัดมาก และเมื่อจับต้องกลิ่นลงไปดีๆ จะรู้ได้เลยว่านี่คือการผสมผสานกลิ่นที่สมดุลย์และลงตัวมากจริงๆ กับการสร้างสรรค์กลิ่นมะม่วงเบาออกมา เพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นมะม่วงดิบที่เป็นตัวตั้งก่อน แล้วจะมีกลิ่นเปรี้ยวจัดของมะยม ปนความเปรี้ยวแบบ Airy วูบๆ ในอากาศของมะนาว แอบมีความใสๆ ของส้มขมเคล้ากับกลิ่นส้มโอที่ให้ความเปรี้ยวแปร่งเฉพาะหน่อยๆ รวมถึงมีความเขียวเปรี้ยวของกิ่งก้านส้มปนเปรี้ยมขมแห้งๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แกมกลิ่นติดฝาดเขียวๆ ของใบฝรั่ง ซึ่งทุกอย่างจะผสมผสานกันรวมเป็นกลิ่นที่ฟุ้งออกมาในรูปแบบมะม่วงดิบเปรี้ยวชัดเจนมาก ซึ่งช่วงแรกบอกเลยสามารถทำให้ความทรงจำในการกินมะม่วงเปรี้ยวจิ้มพริกเกลือมาเยือนได้ทันที โดยเฉพาะคนไทยที่จะคุ้นชินกับกลิ่นแบบนี้ 

กลิ่นของโทนมะม่วงเบาเปรี้ยวจะยังคงอยู่ และตามไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย เพียงแต่จะลดหลั่นความเป็นมะม่วงจิ้มพริกเกลือลงไป โดยจะมีความเป็นดอกไม้อ่อนๆ และมีโทนกลิ่นออกทาง Spicy ค่อนมาทางพริกไทยติดเปรี้ยวCitrus กึ่งเลมอนนิดๆ เคล้ากลิ่นออกทางไม้นวลๆ ที่สำคัญเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางไอทะเลที่เริ่มเนียนชัดเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายใสๆ นัก แต่มีความแน่นกำลังดีแบบโทนสดชื่นติดเปรี้ยวเจือนวลปร่า ทำให้ช่วงนี้คือการแบ่งภาคที่ชัดเจนพอสมควรระหว่างโทนมะม่วงเบาพริกเกลือที่ตามมาจากตอนต้นแต่ผ่อนตัวลงมามีความนวลมากขึ้น กับกลิ่นอายทะเลติดไม้หอมที่ตีคู่กันไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นโทนพริกเริ่มจางไป เหลือเพียงมะม่วงที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นประปรายในอากาศ แล้วกลิ่นโทนไม้แห้งแบบหญ้าแฝกเริ่มแทรกเนียนเข้ามามากขึ้น ก็เข้าสู่ช่วงท้าย ที่กลิ่นไอทะเลติดเค็มจะเริ่มเผยออกมาว่าเป็นกลิ่นโทนสาหร่ายเคล้ากับกลิ่นเกลือ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้เป็นสาหร่ายที่เขียวอึนๆ เปียกๆ เอียนๆ แต่เป็นไออ่อนๆ ที่สร้างความรู้สึกอารมณ์แบบกลิ่นใกล้ทะเลมากกว่า ทำให้การรับรู้สึกเวลาดมห่างๆ จะได้อารมณ์อากาศแบบใกล้ๆ ทะเล เคล้ากลิ่นมะม่วงประปราย แต่พอดมใกล้ๆ จะจับต้องได้ถึงกลิ่นไม้แห้งๆ ปนกลิ่นออกทางขมเขียว Oak Moss นิดๆ มีพิมเสนรื่นจมูกหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งสร้างความรู้สึกแบบกลิ่นโทนคลาสสิคเป็นวูบๆ แต่ไม่ได้ไปซะทางสาย Vintage เพราะจะให้ความเรียบหรูในทีแบบแฝงๆ กับโทนที่เป็นเลเยอร์ด้านบนอย่างไอทะเลอ่อนๆ และมะม่วงดิบเปรี้ยวประปรายไปเรื่อยๆ แทน 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมาสายสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ เลยมีความกลางๆ ที่เข้าได้กับทุกเพศเลย อาจจะมีบางวูบที่อาจจะทำให้นึกถึงน้ำหอมติดโทน Classic บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญอะไร เพราะยังไงพระเอกของงานอย่างมะม่วงเบาก็ไม่ใครมาแย่งซีนง่ายๆ อยู่แล้ว ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะมากกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบใช้ทั่วๆ ไปเป็นหลัก ไม่ว่าจะใส่ไปทำงาน Office ใส่ชิลล์ๆ ใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายก็ยังได้ และใส่แบบทางการก็ยังได้ เพราะกลิ่นมันสร้างความรื่นรมย์ติดเปรี้ยวสดชื่นของมะม่วงเคล้ากลิ่นโทน Classic ที่มีระดับมากพอได้สบายมาก จะมีก็แต่การใส่ไปท่องราตรีที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ เดี๋ยวจะเปรี้ยวปากชวนกันปอกมะม่วงจิ้มพริกเกลือมากกว่าจะเย้ายวน 

ความทน - เกินคาดมาก เพราะตอนแรกคิดว่ากลิ่นมันธรรมชาติมากแบบนี้ ความทนอาจจะสวนทาง แต่ไม่ใช่กลิ่นทนจัดมาก เพราะ 8 ชม. ก็แล้ว 12 ชม. ก็แล้ว กลิ่นยังอยู่ และลากไป 15 ชม. เสมอเวลาที่ใช้งาน แม้ว่าจะอากาศร้อนๆ ก็ตาม เออ ของเขาดีจริงๆ 

การกระจาย - ความทนว่าดีแล้ว อันนี้ก็ตีคู่มาเลย กลิ่นกระจายดีคงที่และคงตัวเลยทีเดียวจากต้นสู่ปลายช่วงกลาง แต่พอมาช่วงท้ายกลิ่นจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ จนเมื่อผ่านไป 10 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป 

สรุป - ถือว่าเป็นการถอดเอาความดีงามของการเป็นมะม่วงเบาและพริกเกลือ แถมความสดชื่นติด Classic หน่อยๆ ให้มีระดับทางกลิ่นได้อย่างลงตัวและดีงามมาก อันนี้บอกเลยภาษีคนไทยเราในการรับรู้แบบนี้จะชัดเจนกว่าชาวตะวันตกที่ถ้าเขาใช้น้ำหอมกลิ่นนี้อาจจะรับรู้กลิ่นที่ไม่ได้เหมือนอย่างที่คนไทยอย่างเราๆ แน่นอน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie/photos/a.127354841263041/385166795481843/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Bottega Veneta pour Homme Extreme

Bottega Veneta pour Homme Extreme

ว่ากันด้วยเรื่องของเครื่องหนังชั้นดีจากอิตาลี คงหนีไม่พ้นแบรนด์ที่ชื่อว่า Bottega Veneta ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าในด้านนี้ กับเอกลักษณ์ในเรื่องการทำเครื่องหนังด้วยเทคนิคการสานหนังแผ่นเฉพาะที่เป็นลายเซ็นของแบรนด์มาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันอย่าง Intrecciato ในการนำมาทำกระเป๋าและเครื่องประดับอื่นๆ จนมาถึงแฟชั่นเสื้อผ้าในปัจจุบัน แบบที่ใครเห็นแม้ไม่ต้องเห็นแบรนด
์ ก็สามารถ อ๋ออออ ได้เลย นี่แหละ Bottega Venenta 

แต่แบรนด์เองไม่ได้มีแค่เรื่องเครื่องหนังและแฟชั่น เพราะความครบครันในการเป็น Fashion House มันต้องมีน้ำหอมด้วย และคุณภาพมาระดับเดียวกับ Chanel และ Dior กันเลยล่ะ เช่นนั้น ได้มาเจอกับน้ำหอมของแบรนด์นี้ในโซนน้ำหอมผู้ชายมีหรือที่จะไม่ใช้แล้วบอกต่อ เช่นนั้น ก็มาว่ากันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Bottega Veneta pour Homme Extreme 

บอกก่อน - เพราะยังไม่ได้มีโอกาสลองและใช้รุ่นปกติที่ถือเป็นน้ำหอมที่ยอดเยี่ยมของแบรนด์มาก่อน เคยแค่ลองผ่านๆ นิดหน่อยเท่านั้น เช่นนั้นเลยจะเล่ากลิ่นเฉพาะตัว Extreme เพียงอย่างเดียวไม่มีการเทียบเคียงกลิ่นกับรุ่นตั้งต้นนะจ้ะ 

เปิด Top Notes เรียกว่าได้ความรู้สึกปร่าเขียวปนกลิ่นไแนวๆ ยางไม้สนที่ชัดเจนมาก กลิ่นมีความอะโรม่าที่กำลังดีมีลักษณะบรรยากาศสดชื่นแต่มีความดาร์กเท่ห์เนียนๆ อยู่ให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นที่ให้ความปร่าอะโรม่าที่เด่นออกมาเลยคือ จูนิเปอร์เบอร์รี่ ที่ให้ความปร่าเจือเขียวตีคู่กับกลิ่นของโทนแนวๆ ยางสน ที่มาจากสนไพน์ที่สร้างกลิ่นโทนไม้หอมสะอาดๆ ปร่าๆ เสริมทัพกันเข้าไป แต่เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนที่สร้างบรรยากาศเย็นๆ เข้ามาร่วมด้วยอย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความสดชื่นเปรี้ยวเจือขมบางๆ ประปราย แต่มีความหม่นที่น่าค้นหาหน่อยๆ รองพื้นอยู่ เลยทำให้กลิ่นโทนเขียวปร่าจะไม่ได้ไปสายสว่างมากเกินไป มีความกึ่งกลางที่จะสดชื่นก็ได้ ดาร์กหน่อยๆ ก็ดี โดยอยู่ในพื้นฐานของกลิ่นไม้หอมแนวไม้สนเป็นสำคัญ 

Middle Notes ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่ชูโรงความเป็นกลิ่นอายสายไม้สนติดปร่าที่ชัดเจนไม่พอ ยังมีกลิ่นบางอย่างจากตอนต้นที่จับได้ว่ามันแอบหม่นๆ หน่อย ก็จะมาชัดเจนในช่วงนี้ และเป็นลายเซ็นที่บ่งบอกถึงความเป็น Bottega Veneta เลยนั่นคือ กลิ่นหนัง ซึ่งจะมาสร้างออร่ากลิ่นหนังที่ให้ความดาร์กอวลแบบกำลังดีเป็นพื้นกลิ่น โดยให้กลิ่นแนวไม้สน Fir (ต้นสน X’Mas) ที่ให้ความเป็นไม้หอมปร่าเขียวมีความชะอุ่มๆ ผสมผสานอยู่ในกลิ่น เด่นขึ้นมาประสานรวมกับกลิ่นที่ตามมาจากช่วงต้นอย่างสนไพน์และจูนิเปอร์ รวมถึงมีลักษณะติดเผ็ดบางๆ สร้างมิติให้จับต้องได้มากกว่ากลิ่นไม้หอม ทำให้ช่วงกลางจะได้อารมณ์กลิ่นไม้สนปร่าเผ็ดสะอาดกลมๆ ไม่แหลมไม่บาด แต่ติดดาร์กเจือ Dirty จากโทนหนังที่รองพื้น ทำให้จะได้ลักษณะที่น่าค้นหาเข้ามาชัดเจนมากไม่พอ ความ Cool ในเนื้อกลิ่นยังมาเต็มแบบนิ่งๆ แต่เอาอยู่ได้อย่างลงตัวมาก 

เมื่อกลิ่นดำเนินความเป็นไฮไลท์ไปยาวๆ พอสมควร การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้น และคราวนี้ก็เป็นการเข้า Base Notes ที่กลิ่นโทนไม้สนจะค่อยๆ ผ่อนตัวลงไป จนเหลือกลิ่นโทนไม้ติดเขียวปร่าสะอาดเบาๆ แต่กลิ่นหนังจะกลายเป็นตัวเอกหลัก ที่ต้องบอกเลยว่าช่วงท้ายของน้ำหอมรุ่นนี้คือการผสมผสานกลิ่นได้ดีมากกับการสร้างกลิ่นอายแบบกระเป๋าหนังชั้นดีที่มีความติด Animalic แบบกลิ่นหนังจริงๆ เคล้าความอวลลึกติดอบอุ่น และมีโทนสมุนไพรแห้งๆ ติดหวานบางๆ ของพิมเสนเคล้าไม้หอมสะอาดบางๆ ที่ตามมาจากช่วงกลางแบบประปรายสร้างมิติความดึงดูดและเย้ายวนแบบนิ่งๆ คุมโทนความ Cool ติดเร้าใจเนียนๆ ปนดาร์กลึกที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวได้ดีมากและยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้แล้ว แต่อย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนไม้สนและโทนหนังมาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ง่ายขึ้นและอาจจะอินจนต้องใช้เป็นตัวหลักยาวๆ กันได้เลย ซึ่งแน่นอนความความเท่ห์ Cool ปนเร้าใจของกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการและทั่วๆ ไป ที่เน้นมานิ่งๆ มีระดับแต่มีเสน่ห์โดนใจเป็นสำคัญ แต่กลิ่นไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป กลิ่นสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความ Cool และ Sexy แบบมาดนิ่งเท่ห์ปน Bad Boy คูลๆ เนียนๆ ได้ดีเลยล่ะ

ความทน - ดีงาม เพราะ 10 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และยาวไปถึง 12 ชม. ได้เลย ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ย ยังไงก็ 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และคงความเสถียรในเรื่องการกระจายที่ดีไปจนถึงช่วงกลางของน้ำหอมเลย และเมื่อพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้ว กลิ่นจะเริ่มลดลงมาปานกลางไปซักระยะแล้วจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวในที่สุด 

สรุป - เป็นการเล่นโทนกลิ่นที่ลงตัวมากเลยทีเดียวระหว่างโทนไม้สนและหนังได้ดีมาก คุมโทนกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงความเป็นสายเครื่องหนังที่มีความเท่ห์และ Cool ของ Bottega Veneta ได้ชัดเจน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Bottega_Veneta/Bottega_Veneta_pour_Homme_Extrme

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Diptyque - Essences Insensees Tiare

Diptyque - Essences Insensees Tiare

การเปิดตัวของ Limited Edition ที่เป็น Collection เฉพาะอย่าง Essences Insensee เมื่อ ปี 2014 ของ Diptyque กับกลิ่นอายสายอะโรม่าเน้นที่โทนดอกไม้เป็นหลัก ที่มาพร้อมกับขวดสวยๆ และมีหัวฉีดที่หรูหราแบบหัวผ้าที่ใช้บีบในการพ่นสเปรย์
 ถือเป็นอีกหนึ่งสายน้ำหอมที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะในแต่ละปีนอกจากรูปลักษณ์ของขวดจะแตกต่างกันไปแล้ว กลิ่นที่เอาความเป็นดอกไม้แต่ละประเภทมาชูโรงก็แตกต่างด้วยเช่นกัน ซึ่งได้ดำเนินมา 3 ปี จนถึงปี 2016 แล้วก็หายไป 

แต่ในปี 2019 สายนี้ก็ได้เวลากลับมาอีกครั้ง แน่นอนขวดยังคงมีความงดงามและหรูหราเช่นเคย โดยยังคงเจาะจงไปที่กลิ่นดอกไม้เช่นเดิม และก็เลือกเอากลิ่นโทนดอกพุดแสงอุษา หรือดอก Tiare มานำเสนอ เช่นนั้นจัดไปอย่าได้เสีย และก็สามารถเรียบเรียงกลิ่นออกมาเล่าต่อได้แบบนี้เลย 

จากที่ได้ใช้น้ำหอมกลิ่นดอกพุดแสงอุษา หลังจากนี้จะขอเรียกว่า Tiare มักจะเจอกลิ่นอายสไตล์ซันแทนครีมมี่เกาะเมืองร้อน แต่บอกเลยว่า ตัวนี้ไม่ใช่แบบนั้นแม้แต่น้อย เพราะว่ามาสายกลิ่นอายติดเขียวปนดอกไม้ขาวที่มีโทนวานิลลาอ่อนๆ และมีกลิ่นอายติดเค็มๆ นิดๆ ตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของดอกไม้ประเภทนี้เติบโตคือแถบเกาะเมืองร้อน ซึ่งช่วงเปิดจะเป็นการปลดปล่อยความเขียวสดชื่นเคล้ากลิ่นติดฝาดปร่าหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ขาวเป็นตัวแฝงอยู่ฉากหลัง กลิ่นจะมีลักษณะแบบดอกไม้ขาวบานตอนเช้าเคล้าน้ำค้างติดชื้นๆ ปนกลิ่นเค็มอ่อนๆ ของบรรยากาศ และกลิ่นเขียวๆ ของพืชพันธุ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเปิดที่ทำให้ประทับใจได้เลย เพราะกลิ่นมีความอะโรม่าและเป็นธรรมชาติ รวมถึงแอบมีความน่ารักสบายๆ ในกลิ่นอีกด้วย 

เมื่อเข้าช่วงกลางโทนเขียวจะยังอยู่และกลิ่นจะไม่ได้มีความชื้นของบรรยากาศเท่าไหร่แล้ว แต่ยังจะได้ความรู้สึกเย็นๆ ในกลิ่นอยู่ชัดเจน ที่สำคัญช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดอกไม้ขาวจะเป็นตัวเดินกลิ่น โดยมีโทนเขียวๆ พืนพันธุ์ใบไม้ไใบหญ้าหรือเมือกเขียวใสๆ ตามธรรมชาติเป็นตัวสนับสนุนแทนแล้ว ซึ่งช่วงนี้กลิ่นของดอก Tiare เองก็ไม่ได้ครีมมี่เด่นอะไรนัก ออกแนวติดนวลอ่อนๆ ครีมมี่บางๆ แต่จะมีกลิ่นของดอกลีลาวดีที่มาร่วมผสมโรงแย่งซีนไปพอสมควรกับความหอมติดหวานเย็นๆ ระเรื่อจมูกที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายรื่นรมย์แบบดอกไม้ขาวเย็นๆ เจือความเขียวสดชื่นกำลังดีไปตลอด จนเมื่อโทนเขียวๆ เริ่มจางไปตามลำดับ กลิ่นจะเริ่มนวลมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นกลิ่นโทนหวานนวลติดครีมมี่อ่อนๆ โดยมีวานิลลาเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างโทนกลิ่นหอมนวลกับดอกไม้ขาว กลิ่นยังคุมโทนความครีมมี่อ่อนๆ อยู่ แต่จะได้ความสว่างนวลที่สบายๆ อะโรม่ารื่นรมย์กำลังดีไปตลอด แต่จะไม่ได้ทื่อเกินไปนัก เพราะจะยังคงมีความเขียวบางเบาเคล้ากลิ่นเครื่องเทศปร่านวลอ่อนๆ ที่สร้างอะโรม่าให้ความหวานนวลรื่นรมย์แบบที่ไม่ได้หนักหน่วง อารมณ์กลิ่นดอกดอกไม้ขาวของ Tiare ที่ติดระเรื่อๆ อ่อนๆ ครีมมี่บางๆ ที่ลอยตามลมสร้างความผ่อนคลายไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ออกแนวเป็นกลิ่นโทนสภาพบรรยากาศโดยมีดอกไม้เป็นตัวชูโรง จึงมีความ Unisex ที่ชัดเจนมาก อาจจะมีไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วง เลยไม่ว่าเพศไหนก็ใช้ไปเถอะ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้แทบจะครอบจักรวาลทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ เพราะกลิ่นนี้ออกทางกลิ่นสายอะโรม่ามีระดับมากกว่าจะเอาไปสู้เหงื่อ ส่วนยามค่ำคืนเน้นแค่ใส่เพื่อผ่อนคลายหรือชิลล์ๆ ก็พอ เพราะกลิ่นเบาไปในการเอาไปสู้กับการท่องราตรี 

ความทน - กลิ่นทนเกินคาด แต่ก็มีแกว่งอยู่ เพราะอิงตามสภาพผิวพอสมควร ถ้าเอาเฉลี่ยก็ประมาณ 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่ถ้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะสภาพอากาศ ผิวกาย และจำนวนสเปรย์ลงตัว กลิ่นนี้สามารถทนลากยาวไปได้ถึง 12 ชม. ได้เลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากลางๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนเมื่อพ้นซัก 5 ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ติดผิวไปเรื่อยๆ ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

สรุป - กลิ่นน่ารัก สบาย และสร้างอะโรม่าที่รื่นรมย์ได้ดีในสไตล์มินิมัลและเป็นธรรมชาติได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นลักษณะนี้อาจจะไม่ได้หวือหวาโฉ่งฉ่าง แต่บอกเลยว่ามันเรียบหรูในตัวสูงมากเลยทีเดียว เสียอย่างเดียวราคาพีคแล้วพีคอีก 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.diptyqueparis.com/en_uk/p/essences-insensees.html


วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Zadig & Voltaire - Just Rock! Pour Lui

Zadig & Voltaire - Just Rock! Pour Lui 

จากความสำเร็จของรุ่น This Is Her และ This Is Him ที่ทำให้แบรนด์ Zadig & Voltaire ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่แม้จะทำน้ำหอมสาย Designer ก็จริงๆ แต่คุณภาพกลิ่นไม่เป็นสองรองใคร และสามารถเทียบชั้นความเป็น Niche Perfumer ได้เลย ก็ได้เวลาของการขยับมาจับน้ำหอมคู่ชายหญิงใหม่กับการนำเสนอความเป็นกลิ่นอายสไตล์ Rock และ Chic ที่ตามมาออกมาติดๆ ต่อเนื่องอย่าง Just Rock!

แน่นอนว่าออกมาแบบคู่ แต่การเขียนเล่ากลิ่นไม่ได้เขียนเล่าคู่ แต่จะขอมาเจาะที่ความเป็น Rock ของฝั่งน้ำหอมผู้ชายดีกว่าจะเร้าใจขนาดไหน

Just Rock! Pour Lui เปิดต้นกลิ่นกันด้วยกลิ่นอายที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นโทน Earthy Spicy และ Woody ซึ่งจะจับต้องได้เต็มเหนี่ยวก่อนใครเพื่อนเลย คือ พิมเสน แต่จะไม่ได้มาแบบยาจีน สมุนไพรแห้งๆ หรือว่าสากดิบอะไร แต่จะมาแบบ Earthy ติดปร่ารื่นจมูกกำลังดี ซึ่งจะมีกลิ่นอายโทนเครื่องเทศติดปร่านวลเจือฝาดหน่อยๆ แนวๆ พริกไทยสีชมพู ทำให้กลิ่นมีความโปร่งกำลังดี บางวูบอาจจะทำให้นึกถึงกลิ่นยาหม่องนิดหน่อย เพียงแต่ไม่ได้พุ่งตัวเข้าสู่การเป็นกลิ่นทาถูทาถูขนาดนั้น เพราะเนื้อกลิ่นที่รองพื้นจะได้โทนของไม้หอมเจิอธูป Incense ติดปร่าๆ ที่มาแบบโปร่งๆ สร้างออร่าแบบติดโทนน่าค้นหา ลึกลับ และดาร์กแบบที่ไม่ดิบห่ามเกินไป แถมด้วยกลิ่นโทนวานิลลาที่เริ่มจะเข้ามาเนียนๆ สร้างกลิ่นให้มีความอวลอุ่นแบบแมนๆ เข้ามาเสริมตามลำดับด้วย ทำให้ได้ความไล่โทนกลิ่นในการรับรู้กลิ่นมีเสน่ห์ในด้านความน่าค้นหาและดาร์กแบบมีระดับที่ไม่ดำดิ่ง รวมถึงคุณภาพแตะความเป็นสไตล์ Niche Perfumery ได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว 

และเมื่อวานิลลาที่ติดออกทางธูป Incense เริ่มจะเป็นตัวเดินเกม โดยมีกลิ่นโทน Spicy เครื่องเทศนวลปร่าติดนุ่มของพริกไทย ความระเรื่อของพิมเสน และกลิ่นนวลกึ่งอัลมอนด์กึ่งเครื่องเทศอบอุ่นแบบเนื้อเปลือกไม้อบเชยอ่อนๆ สไตล์แบบเดียวกับถั่วตองก้า ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่เรียกว่าเป็นกลิ่นโทนวานิลลาน่าค้นหาติดดาร์กเท่ห์ โดยที่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายนวลอุ่นนัววานิลลาจัดๆ แต่อย่างใด ทุกโทนกลิ่นทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีในการเกลาให้โทนกลิ่นวานิลลาให้มีความดึงดูดแบบติดปร่าที่มีความกลางๆ และสมดุลย์มากในการสร้างออร่าความน่าค้นหาปนอบอุ่นกำลังดีไม่หนักหรือเบาไป รวมถึงตอกย้ำชัดเจนถึงความเท่ห์ของกลิ่นเข้าไปอีก เพราะจะเริ่มมีโทนไม้หอมติดนวลกึ่งเสริมเข้ามาทำให้กลิ่นมีมิติไม้หอมที่ชัดมากขึ้นตามลำดับ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นการเปลี่ยนตัวเดินกลิ่นหลัก เพราะไม้หอมติดนวลครีมสไตล์ไม้จันทน์หอมจะกลายเป็นตัวเด่น เสริมด้วยโทนธูป Incense ที่มาสายนวลดึงดูดมากกว่าจะเป็นสาย Smoky เสริมด้วยโทนแอมเบอร์ติดวานิลลาอบอุ่นกำลังดีแกมด้วยโทนหวานหน่อยๆ เนียนๆ ในกลิ่น ซึ่งช่วงนี้เรียกว่ายังคงคุมโทนความน่าค้นหาของกลิ่นอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ดาร์กเท่าไหร่ ค่อนไปทางโทนนวลละมุนแมนที่มีความเท่ห์ลงตัวมากและคงตัวให้ความระเรื่อดึงดูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ซับซ้อน เข้าถึงได้ง่ายแบบสไตล์ Designer ได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมาสายอบอุ่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ข้นนัวจนดูร้อนรุ่มอะไรมากจนใช้งานยาก ซึ่งกลิ่นจะเป็นสายอุ่นเท่ห์น่าค้นหาเสียมากกว่า โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นโทนอุ่นเมื่อเจออากาศร้อน ความรุมๆ มันจะคูณสองทันที เลยต้องกะปริมาณที่เหมาะสมพอตัว ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ก็จัดได้ เพียงแต่ให้ข้ามยามทางการจัดๆ และกิจกรรมลุยๆ ออกกำลังกายทั้งหลายไปจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยว่า ลุยยยยยยกลิ่นอุ่นเท่ห์ดึงดูดดีมาก

ความทน - ยอดเยี่ยมมากกับ 8 ชม. ขึ้นไปและลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลย อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. ทุกครั้ง กับการใช้ที่ 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าชัดเจนทุกสโตรก ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายดีไปพักใหญ่ แล้วดรอปลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปในช่วงท้าย 

สรุป - ถามว่าเร้าใจทันทีทันควันไห? ไม่เลย แต่ออกแนวตะล่อมเรื่อยๆ ไม่ได้ดูโจ่งแจ้งและ Wannabe แต่อย่างใด แล้วมารู้สึกอีกทีคือกลิ่นมันเร้าใจไม่ใช่เล่น อารมณ์แนวๆ หนุ่มมาดเท่ห์นิ่งๆ แต่มีเสน่ห์ที่ค่อยเป็นค่อยไปในการตกผู้คน จนสุดท้ายก็อืมมม น่าซุกจังในที่สุด ประมาณนี้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.amazon.co.uk/ZADIG-VOLTAIRE-Just-Rock-Men/dp/B07517BH84