วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Atelier Cologne - Pacific Lime


Atelier Cologne - Pacific Lime

น้ำหอมโทน Citrus ที่ให้อารมณ์แบบ Cologne หอมสดชื่นรื่นจิตในรุ่นต่างๆ ที่มาจาก Atelier Cologne ต่างก็เรียกว่าเป็นตัวท็อปฟอร์มในด้านการใช้งานที่นอกจากยังไงก็รอดสูงแล้ว ยังมีเสน่ห์แบบที่ไม่ต้องพยายามอีกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโทนส้มต่างๆ โทนเลมอน และมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ต่างก็ตกคนที่ชอบกลิ่นสดชื่นและเรียบหรูมีระดับกันมานักต่อนัก จนเมื่อมาถึงปี 2018 กลิ่นสาย Citrus ตัวใหม่ก็ได้ออกมากระตุ้นความอยากกันอีกกับการนำเสนอกลิ่นโทน Lime หรือมะนาว กับแนว Tropical เขตร้อนแถบทะเลใต้ เช่นนั้น ออกมาก็ต้องลองสิ จะพลาดได้อย่างไรกัน และกลิ่นที่แบรนด์สื่อสารกันก็ออกมาเช่นนี้เลย

เปิดทางกันด้วยความเป็นลูกผสมความเป็นโทน Citrus ของมะนาวที่จะให้ความเปรี้ยวปรี๊ดในวูบแรกชัดเจน แล้วจะผ่อนเป็นเปรี้ยวหอมลอยล่องในอากาศสไตล์ Airy ที่ยังรับรู้ได้ตลอด แต่การผ่อนเป็นเปรี้ยว Airy จะค่อยเป็นค่อยไปพอสมควร เพราะกลิ่นที่ตีคู่ขึ้นมาทัดเทียมได้ไว้พอสมควรเลยคือ สับปะรด ที่จะมาให้ความเป็น Tropical Fruity กันค่อยข้างชัดเจน ซึ่งจะได้กลิ่นติดเปรี้ยวอมหวานอวลกำลังดี รวมถึงยังได้กลิ่นตัวเอกอีกหนึ่งกลิ่นที่จะอยู่เคียงข้างกลิ่นมะนาวกันยาวๆ ไปอย่าง มะพร้าว ที่มาในลักษณะออกทางน้ำมะพร้าวหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แถมยังเสริมโทนด้วยกลิ่นมินต์สบายๆ เบาๆ ประปราย ทำให้กลิ่นในช่วงต้นนี้จะได้วูบกลิ่นที่ทั้งสดชื่น ทั้งลั่นล้ากำลังดี และที่สำคัญบางวูบกลิ่นจะได้กึ่งๆ เครื่องดื่มค็อกเทลที่มีลูกผสมของน้ำสับปะรดและรัมมะพร้าวอย่าง Pina Colada เพียงแต่เอามาผสมกับ Mojito ที่มีทั้งมินต์และมะนาวประมาณนั้นเลย

ช่วงกลางถึงท้าย ขอรวมๆ กันเป็นช่วง Dry Down จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากกันเท่าไหร่ มีแต่อย่างเดียวคือ ลดทอนการกระจายลง ซึ่งจะเริ่มจากโทนมินต์เริ่มหายไป แต่มีกลิ่นยูคาลิปตัสเข้ามาเสริมทัพต่อเนื่องแทน ซึ่งตัวหลักที่เดินกลิ่นยังคงเป็นมะนาว สับปะรด และมะพร้าวอยู่เช่นเดิม กลิ่นยังคงมีความอวลกำลังดี ได้ความสดชื่นติดครีมมี่อ่อนๆ อยู่ตลอดมีความปร่ากำลังดีของยูคาลิปตัส ที่สร้างมิติกลิ่นที่มากกว่าความสดชื่นปนอวลให้มีความปร่าเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลิ่นอวลๆ เริ่มจะลดทอนลงมาติดผิว ก็จะมีกลิ่นของ White Musk ที่ให้ความนวลสะอาดเข้ามาร่วมด้ว โดยที่กลิ่นความหอมจะไล่จากโทนมะพร้าวติดอวลอ่อนๆ เคล้ากลิ่นมะนาวปลายกลิ่น และมีความสะอาดติดเปรี้ยวสดชื่นมีโทนเมทัลลิคเคล้า Musky ติดผักอ่อนๆ คลอเป็นพื้นกลิ่นกันยาวๆ ไป ได้ความเรียบหรู มีระดับ สดชื่น และอิงความเป็นโทน Tropical เมืองร้อนได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะตอบโจทย์การใช้งานทุกเพศ กลิ่นมีความสดชื่น เรียบหรู และมีระดับในสายโทนสดชื่นได้ดี โดยที่มีความเก๋ๆ เป็นกิมมิคจากการเอามะนาวกับมะพร้าวมาเจอกัน โดยสามารถในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกลางแจ้งและออกกำลังกายก็ได้อยู่ แต่อาจจะกลิ่นอวลครีมมี่อ่อนๆ นิดนึง ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ชิลล์ๆ ทั่วๆ ไป จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะกลิ่นไม่ได้หนักมากนัก

ความทน - ถือว่าลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะลากไปมากกว่านี้ได้ ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมา ปานกลาง เพียงไม่นานก็ออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนกลายเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปประมาณ 6 - 8 ชม.

สรุป - ความคิดในตอนแรกคิดถึงกลิ่นมะนาวจ๋าๆ มาก่อนเลย แต่พอใช้จริง ลบความคิดนั้นแทบไม่ทัน เพราะไม่ได้ชูโรงแค่การเป็นมะนาวอย่างเดียว แต่เอาสายผลไม้เมืองร้อนอย่างสับปะรดและมะพร้าวมาผสมผสานด้วยอย่างลงตัวเกินคาด ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะไม่เช่นนั้นกลิ่นนี้จะโดนเอาไปเปรียบเทียบกับสาย Lime ต่างๆ ของแบรนด์อื่นแน่ๆ เช่นนั้นยืนหนึ่งไม่เหมือนใครไปเลย มันแน่นอนกว่ามากจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.ateliercologne.eu/pacific-lime-100-ml.html


วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Atelier Cologne - Figuier Ardent


Atelier Cologne - Figuier Ardent

จาก Notes กลิ่นต่างๆ ที่แบรนด์ Atelier Cologne ได้มาถ่ายทอดผ่านแต่ละรุ่นโดยดึงเอาโทนนั้นๆ มาตั้งเป็นชื่อกลิ่นที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นสาย Citrus (ที่แบรนด์นี้ทำได้ดีมาก) กลิ่นโทนดอกไม้ กลิ่นไม้หอม และกลิ่นแนววานิลลา ต่างก็มีดีในตัวและสร้างความประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียวจากที่ได้ผ่านการใช้งานมา แต่สาย Fig หรือมะเดื่อฝรั่งนี่สินี่สิ ที่ไม่เคยได้มีโอกาสได้ลองมาก่อน แม้จะเห็นว่าแบรนด์นี้มีน้ำหอมสาย Fig อยู่กับเขาด้วย

และเมื่อโอกาสมา ได้มาใช้งานจริง เสน่ห์ความเป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของ Fig ที่แบรนด์นี้จะนำเสนอจะออกมาในรูปแบบไหน และแตกต่างจากแบรนด์อื่นที่ทำกลิ่นนี้มานักต่อนักหรือไม่ เล่ากลิ่นกันได้แบบนี้เลย

เปิดตัวมาความเป็น Fig ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่ชัดเจนมากเลยคือกลิ่นอายโทน Fresh Spicy ของเครื่องเทศโทนปร่าปนเผ็ดเจือหวานติดไม้หอมหน่อยๆ ที่ไม่ได้ถึงกับหนักมากนัก แต่ให้ความสมดุลย์ระหว่างโทนหอมค่อนไปทางสมุนไพรติดหวานเคล้าโทนเผ็ดที่กำลังดีมีความอวลเบาๆ เน้นโปร่งหอมมีความหวานระเรื่อของเมล็ดเทียนสัตตบุษย์ (Anise) และกลิ่นโทนเม็ดกระวานที่ให้ความเผ็ดปร่านวลอวลค่อนไปทางติดเขียวที่ผสมผสานกันได้น่าสนใจมาก แต่กลิ่นจะไม่ได้เผ็ดจ๋าจัดจ้านอะไร เพราะโทน Citrus ติดเปรี้ยวปร่าขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) สร้างบรรยากาศ ที่ติดสดชื่นชื้นกึ่งแห้ง จะมาตัดทอนไปเสียเยอะ ทำให้ได้ความ Fresch Spicy ที่สดชื่นติดเผ็ดนุ่มมีกลิ่นหวานอวลอ่อนๆ ปลายกลิ่น และที่สำคัญพื้นกลิ่นจะมีโทนติดเขียวแบบ Fig ที่ค่อยๆ เปิดตัวมาตามลำดับให้รู้สึกได้ที่ละหน่อย จนกลายเป็นกลิ่นหลักที่รับช่วงการเป็น Fig ที่ชัดเจนตามชื่อรุ่นในช่วงต่อไป

เมื่อความเป็นสายเครื่องเทศติดสมุนไพรค่อยๆ ลดทอนลงไปกลายเป็นสายสนับสนุนความเป็น Fig ก็มาชัดเจนเลยทีเดียวและมีมิติพอสมควรในการแยกกลิ่นเพราะ จะมีกลิ่นเขียวขมติดทึบที่มีความเฉพาะของใบ Fig กับกลิ่นออกทางเขียวกึ่งมิลค์กี้ปนหวานใสปลายกลิ่นของลูก Fig ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมแล้ว ซึ่งจะไม่ได้แค่ตะบี้ตะบันยัดความเป็น Fig มันเข้าไป เพราะเนื้อกลิ่นจะมีตัวมาแบ่งภาคให้กลิ่นมีมิติของความเป็น Fig ที่แตกต่าง นั่นคือ พริกไทย ที่นำทีมเด่นในฝั่งของเครื่องเทศ Fresh Spicy ที่มาสนับสนุนให้กลิ่น Fig ทั้งลูกและใบมีความปร่านวลเผ็ดเนียนๆ คลอไปด้วยตลอด และมีกลิ่นติดหวานกึ่งไม้หอมเนียนๆ ซึ่งมาจากเทียนสัตตบุษย์ที่ยังตามมาในช่วงนี้ด้วยแบบประปราย ทำให้ช่วงนี้ถือว่ามีความเขียวเฉพาะตัวของ Fig ที่คลอด้วยบรรยากาศปร่านวลได้ดีและมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่นไม่น้อยเลย จนเมื่อโทน Fig เริ่มเบาลง แล้วมีกลิ่นไม้หอมติดโปร่งๆ ปนกลิ่นติดโทนแป้งอับบางๆ เสริมเข้ามา ก็เริ่มส่งต่อการเดินกลิ่นให้ช่วงท้าย โดยโทนกลิ่น Fig จะปตะมือให้กลิ่นโทนไม้หอมติดโปร่งของไม้ซีดาร์ เป็นตัวเดินกลิ่นหลักแทน เพียงแต่ความเป็น Fig จะไม่ได้หนีไปไหน เพราะยังให้ความเขียวในเนื้อกลิ่นเนียนๆ อยู่ตลอด แถมรับลูกได้ดีกับโทนดอกไม้เจือแป้งบางเบาของไอริสอีกด้วย ทำให้ช่วงท้ายจะได้อารมณ์กลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ติดเขียวสบายๆ ไปเรื่อยๆ ที่มีระดับและเรียบหรู ถือเป็นการปิดท้ายความเป็น Figuier Ardent ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะมีความกลางๆ ที่แตะได้ทุกเพศ แต่อย่างน้อยพื้นเพต้องผ่านกลิ่นโทน Fig หรือชอบ Fig เป็นทุนเดิมจะอินได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเน้นทั่วๆ ไป สายชิลล์หรือพักผ่อนกับกลิ่นแนวอะโรม่ามากกว่าใส่เพื่อทางการจะดีที่สุด ส่วนออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีกว่า รวมถึงช่วงเย็นถึงค่ำคืนที่เน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ ไปสร้างออร่ากลิ่นอายมีระดับจะเข้าทาง ซึ่งตัดการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย ไม่เวิร์ค

ความทน - ดีงามสมกับการเป็น Cologne Absolue ในความเข้มข้นแบบ EDP ซึ่งกลิ่นอยู่ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก และลากยาวไปได้มากกว่านั้นจนถึง 12 ชม. ได้สบายๆ ซึ่งก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ

การกระจาย - ค่อนข้างสม่ำเสมอในการกระจายแบบปานกลางไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นยันช่วงท้ายเลย ก่อนที่จะค่อยๆ ลดทอนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวซักระยะ จึงจะค่อยๆ เป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว

สรุป - อีกหนึ่งในกลิ่น Fig ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองไม่ใช่น้อยกับการเอาโทนเครื่องเทศสมุนไพรมาสนับสนุนความเป็น Fig ที่สร้างความมีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้ดีเลยทีเดียว

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://parfum-irk.ru/shop/zhenskaya/atelier-cologne-figuier-ardent-lady-100ml-edp/


วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Essential Parfums - Orange X Santal


Essential Parfums - Orange X Santal

Essential Parfums เป็นแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่เปิดตัวในปี 2018 ในสาย Niche Perfum และเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อยๆ โดยสร้างสรรค์กลิ่นอายความหอมต่างๆ ออกมาแล้วในปัจจุบันถึง 6 รุ่น โดยที่ Concept ที่ดีต่อใจอย่าง “การสร้างสรรค์กลิ่นอายสายหรูในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย” และแบรนด์ยังได้ร่วมงานกับ Perfumer มือฉมังต่างๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแค่นี้การดึงดูดก็มาเต็มจนทำให้ต้องขวนขวายหากันหน่อยว่ากลิ่นที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์จะเป็นอย่างไร จนได้โอกาสได้ลองรุ่น Orange X Santal ทีถือเป็นกลิ่นแรกที่ได้สัมผัสจากแบรนด์นี้ เช่นนั้นก็มาปูทางกันหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นได้ดีเลยทีเดียวกับการเป็นกลิ่นส้มใสๆ ที่เป็นสไตล์ของกลิ่นส้มขม (Bitter Orange) ที่ให้อารมณ์แบบน้ำส้มใสๆ สบายๆ ตีคู่กับกลิ่นออกทางนวลไม้ติดครีมมี่ที่เป็นไม้จันทน์หอม ซึ่งเรียกว่าเปิดตัวมา ตัวเอกของกลิ่นทั้ง 2 ก็มาต้อนรับกันเลย และอยู่เป็น Center Notes กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับต้องอารมณ์กลิ่นกึ่ง Citrus เปรี้ยวเจือขมแบบแห้งบางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เนียนๆ อยู่ด้วยซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะคุมโทนการเป็นโทนสดชื่นกันอย่างชัดเจน จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความปร่านวลสมุนไพรเริ่มแทรกเข้ามาร่วมแจมจนจับต้องได้ว่าเป็นกลิ่นของโหระพา กลิ่นเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง โดยที่กลิ่นโทนส้มใสๆ สดชื่นเริ่มลดทอนลงมาตีคู่เสมอกับโทนไม้จันทน์หอมที่เริ่มชัดเจนขึ้นถึงความเป็นไม้หอมที่มีความครีมนวลจืดหอมเฉพาะมากขึ้น และยังไม่พอมีกลิ่นออกทางติดไม้ปร่าเขียวสะอาดที่เป็นลักษณะของสนไซเปรสเข้ามาร่วมด้วย เพียงแต่จะยังรักษาสมดุลย์กลิ่นที่เป็นหยินหยางกันอย่างดีระหว่างความสดชื่นของ Citrus และความมีเสน่ห์ปนสะอาดของโทนไม้หอมสายสว่าง ซึ่งจะมีตัวเชื่อมคือโทนปร่านวลสมุนไพรของโหระพาแกมกลิ่นปร่าหวานบางๆ ของพิมเสนที่เกลากลิ่นอย่างดีเข้ามาทำให้กลิ่นมีลูกเล่นความเรียบหรูกำลังดี โดยไม่ได้ปล่อยให้ 2 โทนเด่นเล่นกันอยู่ 2 โทน กลิ่นจะได้ความรื่นรมย์เรื่อยๆ มาเรียงๆ และมีออร่าความสุภาพที่ชัดเจนเลยทีเดียว เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนเริ่มสัมผัสกลิ่นโทนเขียวขมอ่อนๆ ที่แทรกเข้ามาทีละหน่อยของ Oakmoss ที่มาผสมผสานกับไม้จันทน์หอม ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่ตอนนี้สายไม้หอมจะเป็นตัวเดินกลิ่นชัดเจนแล้ว เพราะโทนส้มใสๆ เริ่มจางไปเหลือเพียงปลายกลิ่นอ่อนๆ ซึ่งพื้นกลิ่นจะจับต้องได้ถึงความเรียบหรูกำลังดี มีระดับกำลังงามอย่างสมดุลย์ และมีความสะอาดของความเป็นไม้หอมจากสนไซเปรสที่ตามมาในช่วงนี้ด้วยแบบ รวมถึงจับได้ว่ามีโทน Musky อ่อนๆ ที่สร้างความสะอาดนวลในเนื้อกลิ่นเบาๆ ทำให้ช่วงท้าย สร้างความเรียบหรูและมีระดับในเนื้อกลิ่นที่ลงตัวและผ่อนคลาย ซึ่งจากทั้งหมดก็จับได้เต็มๆ ด้วยอีกอย่างหนึ่ง คือ การผสมผสานโทนกลิ่นสไตล์ Chypre เข้ามาร่วมกับความเป็น Citrus กับ Woody Aromatic ที่จะเล่นโทนเปิดด้วย Citrus สดชื่น ตามด้วยไม้หอมเจือปร่าสมุนไพร ก่อนติดท้ายด้วยกลิ่น Earhty เขียวขมบางๆ เคล้าไม้หอมสว่างๆ ที่สร้างอารมณ์ส่งต่อกันอย่างลงตัวตั้งแต่แรกยันปลายนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ไม่ว่าจะเพศไหนก็ใช้ได้หมด ซึ่งจะเข้ากับวัยมหาลัยขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นโทนไม้จันทน์หอมมันมีความสุภาพและสุขุมในโทนสว่างที่สร้างออร่าความน่าเชื่อถือปนดึงดูดแบบไม่ได้เย้ายวนจ๋าๆ เข้ามาร่วมด้วย โดยที่กลิ่นยังคงใช้ง่ายและเข้าถึงได้ง่ายมาก ซึ่งจะไปได้ดีกับการใส่แบบทางการก็ได้ ทั่วๆ ไปก็ดี ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้อยู่ ง่ายๆ ครอบจักรวาลการใช้งานยามกลางวันพอสมควร แต่พอมาในยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไป หรือออกงานทางการจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาและสุภาพ เลยไม่เข้าทางทุกประการกับการใส่ไปท่องราตรีแน่นอน

ความทน - แกว่งบ้างเพราะอยู่ระหว่าง 3 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์ สภาพอากาศและผิวกายผู้มช้ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะบางครั้งอากาศร้อนเหงื่อโทรมบอกเลยไปไวพอสมควร แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์ตลอด และไม่ได้ร้อนเกินไป อันนี้ 8 ชม. ขึ้นไปได้อยู่ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันซักพัก ที่เหลือก็ Skin Scent ติดผิวกันจนกว่าจะจางไปในที่สุด ง่ายๆ มีความ Safe Scent กันอย่างเต็มๆ

สรุป - เป็นการจับคู่และส่งต่อช่วงกลิ่นกันได้ดีมากในการเป็นโทนสีส้มอ่อนสดชื่นสู่สีนวลครีมสุภาพที่คุมโทนการเป็นโทนมินิมัลได้ดี มีความเรียบง่ายเคล้าความเรียบหรูกันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่เน้นหวือหวาหรือโฉ่งฉ่าง แต่เอาอยู่ในแง่กลิ่นดีที่ครอบคลุมการใช้งานแบบที่ยังไงก็รอด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ลงตัวมากเลยทีเดียวจากแบรนด์นี้

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.essentialparfums.com/en/products/orange-x-santal/


วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Maison Martin Margiela - Replica: Whispers in the Library


Maison Martin Margiela - Replica: Whispers in the Library

เวลาที่เราไปห้องสมุด สิ่งที่นอกเหนือจากการมองเห็นสายตาที่มีแต่หนังสือมากมายและการสัมผัสหนังสืิอตั้งแต่ปก กระดาษ หมึกพิมพ์ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความทรงจำห้องสมุดให้กับเราได้ดีมากๆ เลยนั่นคือ “กลิ่น” เพราะกลิ่นของห้องสมุดจะมีความขรึมขลังจากกลิ่นของหนังสือเก่า กลิ่นชั้นวางไม้หรือโต๊ะอ่านที่เคลือบแว๊กซ์หรือแลคเกอร์ หรืออาจจะเป็นกลิ่นโลหะที่เอามาทำชั้นวาง รวมถึงกลิ่นอายขลังปนทึบน่าค้นหาในสไตล์ติดสุขุมของบรรยากาศ ที่เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยากเลย

แล้วน้ำหอมกลิ่นที่สื่อถึงห้องสมุดล่ะ มีบ้างไหม? แต่ก็เรียกว่าแทบจะไม่ได้มีเลยที่ถอดเอากลิ่นห้องสมุดมาสร้างสรรค์น้ำหอม แม้จะมีอยู่พอสมควรแต่กลิ่นมักจะออกไปทางกลิ่นหนังสือเสียมากกว่า ซึ่งเมื่อเห็นว่า Maison Martin Margiela ในสร้างสรรค์กลิ่นอายในห้องสมุดขึ้นมาโดยเอามาอยู่ในสายการเล่ากลิ่นสภาพแวดล้อมที่น่าสนใจใน Collection - Replica กับรุ่น Whispers in the Library ก็ต้องไม่พลาดที่จะได้ลองสิ เช่นนั้นลองแล้วบอกต่อเลยแล้วกันว่า เสียงกระชิบในห้องสมุด ขวดนี้จะให้อะโรม่าออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นกันด้วยความเป็นโทนพริกไทยเจือไม้หอมซ้อนด้วยความเป็นวานิลลาอ่อนๆ ที่ให้ลักษณะค่อนไปทางโทนหวานดึงดูดแบบกำลังดี คาบเกี่ยวระหว่างการเป็นโทนแป้งกึ่งขนมหน่อยๆ แต่โทนไม้หอมกับวานิลลาจะออกแนวเป็นตัวรองที่เสริมให้กลิ่นพริกไทยเป็นตัวสร้างความปร่านวลเสียมากกว่า ทำให้มิติกลิ่นที่ได้จะไล่เรียงจากกลิ่นปร่าพริกไทยเด่นตามด้วยกลิ่นไม้หอมเจือวานิลลาที่หวานเย้ากำลังดี ซึ่งอนุมานได้ว่าเป็นกลิ่นอายแบบเปิดเข้าสู่ห้องสมุดที่มีกลิ่นปร่านวลต้อนรับกันในคราวแรก แล้วจึงค่อยเป็นกลิ่นไม้หอมเจือนวลวานิลลาที่เบาๆ กำลังดี แล้วไม่นานกลิ่นโทนวานิลลากับไม้หอมจะเริ่มเทคโอเวอร์แทน ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่เป็นโทนไม้หอมขรึมๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางแว็กซ์หน่อยๆ โดยมีกลิ่นนวลวานิลลาที่ติดกึ่งหวานกึ่งแห้งแป้งที่เมื่อผสมผสานกับกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ แห้งหน่อยๆ จะได้อารมณ์กระดาษนวลๆ มีความเก่าเล็กๆ ทำให้ได้ความรู้สึกแบบหนังสือขึ้นมาทันที แต่เพราะกลิ่นอายปร่านวลพริกไทยยังคงอยู่เลยได้ความเป็นบรรยากาศที่ได้อารมณ์แบบกลิ่นชั้นวางหนังสือติดแว๊กซ์กึ่งกลิ่นหนังสือหน่อยๆ และมีความปร่าของอากาศรอบๆ ตัว ที่สร้างความรู้สึกเหมือนกำลังยืนเลือกและอ่านหนังสือได้ไม่ยากเลย

เมื่อกลิ่นโทนพริกไทยเริ่มจางไป กลิ่นที่เหลือคือโทนแว๊กซ์อ่อนๆ กลิ่นไม้หอมที่มีความโปร่งของไม้ซีดาร์ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมเก่าๆ และกลิ่นวานิลลาที่มาแบบหวานบางๆ ซึ่งจะได้อารมณ์แบบกลิ่นกระดาษติดเก่าและสะอาด เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสีกระดาษแบบกระดาษถนอมสายตานวลวานิลลาเบาๆ กลิ่นมีความอบอุ่นเนียนๆ ให้รับรู้ได้ด้วย ซึ่งช่วงนี้อารมณ์พอไปกันได้กับเหมือนนั่งอ่านหนังสือแล้วกลิ่นกระดาษเข้าจมูกอ่อนๆ เคล้าความนวลหวานโปร่งบางๆ ของบรรยากาศรอบๆ ตัวแบบห้องสมุด ซึ่งถือว่าสื่ออกมาได้ลงตัวและได้อารมณ์ห้องสมุดที่โปร่งหน่อยได้อย่างน่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - เพราะกลิ่นกลางๆ แบบสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ เลยเข้าได้กับทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้สบายมาก ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นหนังสือ กลิ่นไม้ กลิ่นกระดาษติดวานิลลาหน่อยๆ รับรองฟินได้เลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะสร้างออร่าความสุมขุม ติดอบอุ่นหวาน น่าค้นหาได้ดี แต่จะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือว่ากิจกรรมกลางแจ้งแต่อย่างใด เพราะกลิ่นมันไม่ได้สดชื่นนัก รวมถึงไม่เข้ากับการใส่เพื่อไปท่องราตรีเลย เพราะกลิ่นถือว่าเบาไปถ้าเทียบกับสายแน่นๆ ทั้งหลาย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ได้อยู่ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม ความทนก็น่าพึงพอใจได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมากระจายแบบปานกลางราวๆ 2 ชม. ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นไปซัก 6 ชม. แล้วก็ Skin Scent ชัดเจน

สรุป - เสียงกระซิบในห้องสมุดขวดนี้ ถือว่าสร้างสรรค์กลิ่นอายแบบบรรยากาศห้องสมุดได้ดีและน่าสนใจ โดยไม่ได้ออกทางเป็นกลิ่นหนังสือจ๋าๆ มากไป แต่ให้อารมณ์องค์รวมของความเป็นห้องสมุดที่มีความนิ่ง ขรึม และน่าค้นหาเคล้าความหวานประปรายของโทนกระดาษ โทนนวลอุ่นอ่อนๆ และโทนไม้หอมที่ลงตัวมากอีกกลิ่นนึงเลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.maisonmargiela-fragrances.eu/en/product/526329/replica-whispers-in-the-library


วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Imaginary Authors - Memoirs of a Trespasser


Imaginary Authors - Memoirs of a Trespasser

ความแนวของน้ำหอมถือว่าเป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วกับแบรนด์ Imaginary Authors ที่แต่ละกลิ่นจะมีความพีคความเก๋ที่แตกต่างกันไป ตามแต่ละเรื่องราวในคำโปรยที่เสมือนเป็นที่มาที่ไปของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะแบรนด์นี้มีน้ำหอมเยอะ ก็เลยได้เวลากับการลองกลิ่นอื่นๆ กันต่อ และคราวนี้ก็ถึงเวลาของรุ่นนี้กันบ้าง Memoirs of a Trespasser

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - งานเขียนที่เกิดขึ้นจากการสำรวจต่างๆ ของ Phillip Sava ถือเป็นนิยายสมัยใหม่ที่ทะลุข้อจำกัดต่างๆ ในการเล่าเรื่อง เพราะสามารถโน้มน้าวให้เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ตาม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในนิยาย Collection ภาพลวงตาของ Sava เรื่อง Memoirs of a Trespasser เป็นหัวใจหลักเลยก็ว่าได้ เพราะเนื้อเรื่องที่มาจากการเดินทางของเขานั้นสร้างความแตกต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่า Sava จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่เขาก็ใช้ชีวิตสมถะที่ฟาร์มทางตอนใต้ของมาดาร์กัสกา

เรื่องราวของนักเขียนอย่างแท้ทรู แต่กลิ่นที่สื่อสารออกมาถือว่าเป็นการบอกเล่าเอาลักษณะของกลิ่นอายโทนหนังสือเก่าๆ แกมกลิ่นอายเชิงการเดินทางที่มีความแปลกไม่น้อย โดยการนำเอา Vanilla มาเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันปลายกลิ่นกันเลย ซึ่งเปิดตัวกันเต็มๆ กับกลิ่นที่อาจจะทำให้งงๆ กันก่อน เพราะกลิ่นมีความสุดโต่งพอสมควร เพราะจะมีโทนหวานแหลมวานิลลาแนวๆ กำยาน Benzoin เจือผลไม้มาแบบชัดเจนมาก ปนเปไปด้วยกลิ่นอับชื้นค่อนไปทางดินเหนียว แกมด้วยกลิ่นออกทางไม้ไหม้ควันไอ คือ มีความงงๆ อับๆ กันอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อกลิ่นเริ่มผสมผสานกันกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบกลิ่นหนังสือเก่าๆ ที่มีความชื้นอับหน่อยๆ และมีความปร่าๆ ติดเผ็ดๆ Spicy เจือไม้ Smoky เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็เป็นการปูทางไปสู่การช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มมีความสมูธมากขึ้น โดยจะเป็นการแท็คทีมกันของโทนวานิลลา + ไม้หอมติด Smoky ที่มีความอบอุ่น โดยคุมโทนความแห้งๆ ในเนื้อกลิ่นได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว ซึ่งจะมีโทนติดเครื่องเทศปร่าเผ็ดประปรายในเนื้อกลิ่น และช่วงนี้แหละที่ได้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายโทนหนังสือเก่าที่จะมีความอวลอับอ่อนๆ กำลังดี ไม่ได้ไปทางวานิลลามากเกินไป ทำให้ไม่มีความรู้สึกแบบขนมหวานวานิิลาหรือแป้งนวลวานิลลา หรือไม้เข้มๆ จัดๆ มาทำให้รู้สึกผิดแผกไปจากกลิ่นอายที่ควรจะเป็นในรูปแบบกลิ่นอายหนังสือเก่าที่สะอาดๆ ไม่มีกลิ่นชื้นๆ อับดินมารบกวนอะไรแล้ว

เมื่อกลิ่นเริ่มเดินทางมาถึงช่วงท้ายของน้ำหอม กลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาทั้งหมด แต่จะมีกลิ่นอายโทนไม้โอ๊คที่ให้ความเป็นกลิ่นคล้ายถังเหล้าไม้ติดขม พร้อมกับกลิ่นยางไม้ที่ติดหวานหน่อยๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงให้โทนไม้หอมเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก มีความหวานอวลเบาๆ เคล้ากลิ่นวานิลลานวลเนียนติดออกทาง Lite Version เป็นตัวสนับสนุน ซึ่งกลิ่นจะให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ อารมณ์แบบกลิ่นไม้หอมปนปร่าขมเจืออบอุ่นวานิลลาติดหวานยางไม้เบาๆ ที่เคล้าคลอผิวกำลังดีไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์เหมือนเห็นสภาพแวดล้อมที่มีหนังสือ เก้าอี้ไม้ และถังเหล้าไม้ ในสถานที่โทนสีไม้อบอุ่นที่ลงตัวและผ่อนคลาย แต่แฝงด้วยความดึงดูดและเย้ายวนเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - เพราะเป็นกลิ่นออกทางสถาพแวดล้อมเลยแตะการใช้งานได้ทุกเพศ ที่สำคัญแม้จะเป็นกลิ่นวานิลลาเด่น แต่มันไม่ใช่วานิลลาแบบขนม หรือแป้ง หรือครีมมี่หวานๆ แต่อย่างใด เพราะเป็นวานิลลาเคล้าไม้ที่ให้อารมณ์แบบหนังสือเก่า เช่นนั้นเลยจะเข้ากับการใช้แบบทางการมากเลยทีเดียว ส่วนยามทั่วๆ ไป สามารถใส่ได้แบบที่นำเสนอความนิ่งอบอุ่นเนียนเย้าดึงดูดก็จะลงตัวไม่น้อยเช่นกัน แต่ให้ตัดการใช้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรี ก็สามารถทำได้ แต่อาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนอวลโจ่งแจ้งนักก็เท่านั้นเอง

ความทน - ดีงาม เพราะเจอที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็เกิน 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น พอหายงงกับกลิ่นแล้วจะลดทอนลงมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยแบบยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นวานิลลาที่นอกขนบ ไม่ได้เหมือนใคร ไม่ขนม ไม่หวานจ๋า และไม่แป้งนวลเลย ทุกอย่างอยู่ในทางของการเป็นวานิลลาไม้หอมปนกลิ่นถังไม้โอ๊คที่มีกลิ่น Smoky มาเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์เฉพาะออกมาได้อย่างดีมาเลยทีเดียว หลังจากซึมซับกลิ่นมาทุกช่วง บอกเลยว่านี่แหละ Niche Perfume ชัดๆ เลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://imaginaryauthors.com/products/memoirs-of-a-trespasser

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Serge Lutens - Baptême du Feu


Serge Lutens - Baptême du Feu

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกของ Serge Lutens ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2016 ก็ลองแปลออกมาดูถือเป็นความหมายที่น่าสนใจมาก คือ Baptême du Feu = การล้างบาปของไฟ ซึ่งเมื่อได้ดูที่มาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอม ก็ถือว่ามีความน่าสนใจมากกับการบอกเล่าว่า “ให้จินตนาการถึงงานรื่นเริงของหมู่บ้านในเขตสงครามที่มีกลิ่นอายควันปืนใหญ่ผสมผสานไปกับกลิ่นอายหอมหวานของขนมปังขิง อบเชย กานพลู และส้มแช่อิ่มหวาน นี่แหละการล้างบาปของไฟ” ซึ่งถ้าอนุมานเอาได้ว่าน่าจะเป็นงาน Fair รื่นเริงหลังจากจบศึกสงครามอะไรประมาณนั้น

และเมื่อคำโปรยมีความน่าสนใจขนาดนี้ กลิ่นอายที่สร้างสรรค์และถ่ายทอดออกมาจะขนาดไหน เช่นนั้นขอเล่าออกมาได้แบบนี้เลย

Baptême du Feu เปิดตัวด้วยกลิ่นอายหอมหวานกลั้วควันไอที่เป็นฉากหลังกันค่อนข้างชัดเจน โดยทัพหน้าของของกลิ่นจะมาในสายกลิ่นอาย Citrus ของส้มค่อนทางหวานกึ่งไซรัปหอม แต่มีความสดชื่นให้พอจับต้องได้แบบปลายกลิ่น แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อๆ แต่อย่างใดๆ เพราะมีโทนติดกึ่งเขียวเจือกุหลาบบางๆ แบบกลิ่นของกิ่งก้านส้ม (Petitgrain) กึ่งดอกส้มเล็กๆ เข้ามาร่วมด้วยเป็นเลเยอร์แรก ตามด้วยเลเยอร์ที่ 2 คือ กลิ่นออกทางหวานปร่าเผ็ดโปร่งของขิงที่สร้างมิติกลิ่นให้มีโทนออกทางเครื่องเทศสายสดชื่นอยู่ในเนื้อกลิ่นด้วย ก่อนจะไปเลเยอร์ที่ 3 ที่เป็น Background ของกลิ่นคือกลิ่นควันไออวลปร่ากึ่งพริกไทยเคล้า Incense ธูปที่เป็นลักษณะโทนกลิ่นคล้ายควันดินปืน ทำให้มิติกลิ่นช่วงแรกอารมณ์กลิ่นเหมือนจะหวานติดสดชื่นแต่จริงๆ มีความอวลและมิติกลิ่นที่ซับซ้อนเนียนๆ ให้สัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกที่แตกต่างและ Mix & Match ได้พอสมควรเลย

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงเพราะโทนส้มหวานติดไซรัปเริ่มจะผ่อนลงมา ให้กลิ่นของขิงเริ่มชัดขึ้นมามากขึ้น และเริ่มมีกลิ่นอบอุ่นออกทางโทนขนมปังขิงเปิดตัวออกมาด้วย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมซึ่งแน่นอนสิ่งที่ยังคงมีอยู่คือ Background ของกลิ่นอย่างกลิ่นติดควัน Incense เคล้าดินปืน แต่ทัพหลักที่เดินกลิ่นคือกลิ่นขนมปังขิงอุ่นเคล้ากลิ่นผงอบเชยหอมหวาน แกมความปร่าหน่อยๆ ของเครื่องเทศสายปร่าเผ็ด แต่จะมีสายสนับสนุนสำคัญที่สร้างอารมณ์มิติที่กึ่งความเป็นโทน Fruity และดอกไม้เข้ามาร่วมด้วยอย่างกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ ที่จะให้โทนกึ่งแอปริคอตกึ่งดอกไม้ที่มีความอวลกำลังดี โดยที่ยังมีส้มหวานไซรัปที่มีอยู่ประปรายเป็นตัวเสริม ทำให้อารมณ์กลิ่นจะมีมิติโทนขนม Gourmand และกลิ่นโทนกึ่งดอกไม้และผลไม้หวานตีคู่ไปด้วยกัน โดยที่มีกลิ่นน่าค้นหาของควันเป็นฉากหลัง ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนเมื่อเริ่มจับต้องถึงโทนไม้หอมและโทนแป้งที่เริ่มจะเข้ามาเปลี่ยนสถานะของกลิ่น ก็จะเป็นช่วงเปลี่ยนที่เข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นกลิ่นแป้งไม้หอมที่มีโทน Incense ควันหน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางหนังเล็กๆ เนียนๆ อยู่ด้วย ซึ่งความหอมหวานขนมปนเครื่องเทศอุ่นหวานในช่วงกลางยังตามมาอยู่ เพียงแต่ลดทอนลงไปพอสมควร ทำให้การรับกลิ่นจะไล่จากกลิ่นแป้งเจือไม้หอมเคล้ากลิ่นควัน ไล่ไปหอมหวานโทนขนมบางๆ ปลายกลิ่น โดยภาพรวมของกลิ่นยังคุมโทนอบอุ่นอวลๆ อยู่ซึ่งรู้สึกได้เบาๆ ว่ามีโทน Ambroxan ที่ให้อารมณ์ลูกครึ่งกึ่งอำพันปลาวาฬและไม้หอมแห้งๆ เนียนอยู่ด้วย ซึ่งทำให้กลิ่นมีความอวลมีเสน่ห์เข้ามาร่วมด้วยนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นอายมาแนวสภาพแวดล้อมและสถานการณ์เป็นหลัก เลยแตะได้หมดทุกเพศเลย ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นใส่ออกงาน ใส่ทำงาน หรือใส่ทั่วๆ ไป แบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้าอากาศร้อนๆ กลิ่นจะอบอวลหนักเอาได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่แบบทั่วๆ ไปหรือออกแนวออกเดทโรแมนติค เพราะกลิ่นจะลุ่มลึกน่าค้นหาปนหวานซึ่งสร้างเสน่ห์เฉพาะออกมาได้ด้วย ส่วนใส่เที่ยวร่องราตรี ก็ได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้พุ่งตรงไปที่การปล่อยเสน่ห์โต้งๆ นักก็เท่านั้นเอง

ความทน - ลงตัวที่ค่าเฉลี่ย 8 ชม. ซึ่งกลิ่นสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเอื้ออำนวย ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลยกับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาทีละสเต็ปตามแต่ละช่วง จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปเรื่อยๆ

สรุป - ถ้ามองในแง่กลิ่นที่หวือหวามีความอาร์ตแบบสายศิลปะลุ่มลึกตามที่ Serge Lutens ทำได้ อาจจะไม่ได้จัดจ้านขนาดนั้น ซึ่งแฟนๆ ของแบรนด์นี้อาจจะแบบว่าทำไมมันดูธรรมดาจัง แถมมีกลิ่นเด่นของตัวเก่าๆ ของแบรนด์อย่าง Five O’Clock au Gingembre เข้ามาเนียนๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าในแง่เนื้อกลิ่นที่ทำออกมาได้ดีเกินมาตรฐานและยังมีความซับซ้อนเนียนๆ อันนี้ยังเชื่อขนมกินได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวัง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.casadelprofumo.it/serge-lutens-bapteme-du-feu-eau-de-parfum-unisex-50-ml-64119.html


Review: Lubin - Princesses de Malabar


Lubin - Princesses de Malabar

Lubin เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1798 กับการสร้างสรรค์น้ำหอมต่างๆ เพื่อเหล่าราชวงศ์ของฝรั่งเศสในยุคนั้น และก็ได้ผ่านยุคทองของแบรนด์ ความเสื่อม และอยู่คู่ประวัติศาสตร์ของน้ำหอมที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ผ่านมือผู้ดูแลมาอย่างมากมายจนทุกวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ Niche Perfume ที่ยืนยงคู่ฝรั่งเศสมาอย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว

เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกับสาย Classic ต่างๆ ของแบรนด์ที่มีประวัติมายาวนาน แต่ก็ได้มาเจอกับกลิ่นอายสาModern ที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์มาในช่วงปี 2018 แทนอย่าง Princesses de Malabar กับเทรนด์น้ำหอมที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นโทนสายมินิมัลมากขึ้น ที่ถือเป็นตัวกำหนดทิศทางใหม่ของแบรนด์ด้วยก็ว่าได้ เช่นนั้น เข้าเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่

ที่มาที่ไปของน้ำหอมคือการ Tribute ให้กับตำนานเจ้าหญิงทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถปกครองอาณาจักรด้วยปัญญาและความเยือกเย็น จนเป็นที่มาแห่งแรงบันดาลใจทางด้านเพื่อนหญิงพลังหญิงในการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นนี้ออกมานั่นเอง

เปิดต้นกลิ่นมาอารมณ์กลิ่นที่ออกทางคล้ายกลิ่นผ้าฝ้ายดิบสีขาวนวลเจือกลิ่นเปรี้ยวเจือขมปนเขียวแปร่งนิดๆ แต่ค่อนมาทางสะอาดจะมาชัดพอสมควร ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็สร้างความรู้สึกเป็นธรรมชาติเจือความสะอาดแนวกลิ่นผ้าฝ้ายได้พอสมควร และเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงความอับบางๆ ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นอีกด้วย ซึ่งพอเดาเนื้อกลิ่นได้ไม่ยากว่าเป็นโทนกลิ่นไอริสที่ให้โทนแป้งติดอับบางเบา แต่เพียงไม่นานโทนกลิ่นแป้งที่เริ่มชัดขึ้นแถมมาพวกมาด้วยอย่างโทนดอกไม้ขาวที่จะเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นออกทางติดผลไม้ที่ออกทางกึ่งชื้นกึ่งแห้งแนวๆ กลิ่นพีช ซึ่งก็จะปูทางเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่นอกจากจะมีลูกเล่นของโทนสะอาดแบบผ้าฝ้ายสีขาวแล้ว จะมีกลิ่นโทนแป้งหอมดอกไม้เจือผลไม้เข้ามาเสริม โดยจะมีมีมิติกลิ่นที่หอมนวลหวานเย้าๆ จมูกยวนใจอ่อนๆ มีจริตเนียนๆ ของกระดังงาเจือมะลิบางๆ ที่มาโซนดอกไม้หอมละมุน จะมาผสมผสานกับกลิ่นพีชที่มาแบบหอมติดหวานนวลเคล้าความสดชื่นกึ่งดอกไม้ขาวกึ่งเลมอนของแมกโนเลียก็จะมาเสริมให้ดูสดใสกำลังดีไม่ได้โฉ่งฉ่างอะไรนัก โดยมีตัวเชื่อมโทนอย่างโทนแป้งติดอับอ่อนๆ เคล้ากลิ่นผ้าฝ้ายขาว ทำให้เลเยอร์กลิ่นจะมี 3 ชั้นภายใต้การเป็นโทนแป้งเลยคือ หอมละมุนติดเย้าของดอกไม้เด่นที่กระดังงา หอมน่ารักเจือสดใสของผลไม้เด่นที่พีช และหอมนวลสะอาดของแป้งเจือกลิ่นฝ้าย กลิ่นจะให้ความอ่อนโยนกึ่งนวลกึ่งหวานน่ารักที่ไม่ได้หนักแต่กลิ่นชัดเจนได้อย่างลงตัวมาก และช่วงนี้จะอยู่อย่างยาวนานเลยทีเดียว

เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเพิ่มเติมเรื่องความอบอุ่นเข้ามาเสริมทัพ โดยจะมีโทนไม้หอมเจือครีมนวลถั่วตองก้า ทำให้กลิ่นมีมิติที่นุ่มนวลเข้ามาเคล้ากับโทนแป้งหอมของไอริสเคล้ากระดังงาหวานเย้าอ่อนๆ มีจริตยังคงอยู่ แต่กลิ่นพีชเริ่มบางลงไปตามลำดับ และจะมีกลิ่นโทน White Musk และถั่วตองก้าเข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นแป้งนวลอวลอุ่นเข้าไปอีกสเต็ป โดยจะมีสายสนับสนุนอย่างโทนอบอุ่นติดไม้หอมอย่างแอมเบอร์เบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมิติที่อบอุ่นท่ามกลางเป็นโทนแป้งนวลขาวหอมละมุน สร้างออร่าความนุ่มนวลมีระดับได้ดีอารมณ์ผู้หญิงในชุดสีขาวนวลที่มีมิติได้หมดทั้งนุ่มนวล อ่อนโยน และมีโทนสว่างเป็นที่ตั้งได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ไม่ยาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสว่างนวลสว่างแบบแป้งหอมเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ส่วนน้องมหาลัยเอาจริงๆ ก็ใช้งานได้ เพียงแต่กลิ่นจะมีความล้ำลึกเข้ามาร่วมด้วยอาจจะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาหน่อย ถ้าไม่มายด์ก็จัดไป ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบที่ไม่ได้มาสายลุยๆ แต่มาสายนิ่งๆ ละมุนๆ วางตัวดี แอบมีจริตเนียนๆ อะไรประมาณนี้ เช่นนั้นก็ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด

ความทน - ถือว่าลงตัวมากเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่กลิ่นนี้อิงเคมีด้วยส่วนหนึ่งเยอาจจะมีบวกลบกันไปตามแต่ละสภาพผิวกายผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอที่ราวๆ 10 ชม. กำลังดี แต่พอให้คนอื่นเทส 6 ชม. กลิ่นจะค่อยๆ จางไป เช่นนั้น ในเรื่องความทนอาจจะต้องลองก่อน

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนแรก แต่ก็ขยับไปกระจายดีอยู่พักใหญ่พอสมควร พอผ่านไปซัก 4 ชม. กลิ่นจะเริ่มลดทอนลงมาตามลำดับจนเป็น Skin Scent เมื่อผ่าน 6 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - คนที่ชอบกลิ่นแป้งหอมที่ดูสวยๆ ละมุนๆ อันนี้สามารถโดนตกได้แน่นอน แต่สิ่งที่กลิ่นนี้ให้เพิ่มเข้าไปอีกคือความวางตัวดีที่กลิ่นจะสร้างออร่าละมุนๆ มีจริตเนียนๆ ในรูปแบบโทนสาย Feminine ที่มีเสน่ห์ในโทนสว่างได้อย่างดีงามเลยทีเดียว

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/news/Lubin-Princesses-de-Malabar-11362.html


วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Comptoir sud Pacifique - Vanille Coco


Comptoir sud Pacifique - Vanille Coco

หลังจากผ่านน้ำหอมสายขนมหวานหอมอบอวลของ Comptoir sud Pacifique มาแต่ละตัวเรียกว่ามาเต็มมานักต่อนักโดยเฉพาะกลิ่นอายสาย Vanille กับ Coco ต่างๆ ที่เรียกว่าขนทัพความหอมน่ากิน (จนบางครั้งทำให้หิวเอาเลย) มาก็มาก แต่ถ้าเอาความเป็น 2 สายนี้มาเจอกันล่ะ จะออกมาในรูปแบบไหน เพราะต่างก็มีความหอมหวานอบอวลกันทั้งคู่ เช่นนั้นแบรนด์นี้เขาก็มีและไม่พลาดที่จะเอามาเจอกัน เช่นนั้นกลิ่นอายจะเป็นอย่างไร มาว่ากันเลยความหอมมาเต็มกันเลยดีกว่ากับรุ่นนี้เลย Vanille Coco

ช่วงเปิด - กลิ่นมาก็ชัดมากเลยทีเดียวกับกลิ่นวิปครีมเจือความหอมนวลหวานอุ่นของวานิลลาเคล้าโทนแป้งออกทางอัลมอนด์หน่อยๆ ซึ่งแอบมีกลิ่นออกทางผลไม้คล้ายกล้วยกึ่งไซรัปกล้วยหอมหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่ในวูบกลิ่นถัดมาความเป็นมะพร้าวที่ออกทางกึ่งกะทิกึ่งครีมมี่มิลค์กี้นวลๆ ที่ไม่ได้ถึงกับเป็นกลิ่นแนวน้ำมันมะพร้าว ซันแทนโลชั่นมะพร้าว หรือกะทิสดแต่อย่างใด แต่มาเป็นกลิ่นออกทางหวานหอมสายขนมเคล้ากลิ่นเนยเสียมากกว่า และมีบางวูบจะได้อารมณ์แบบมะพร้าวป่นอบหรือคั่วแห้งเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงเปิดเรียกว่าเปิดทางสายขนมที่ชัดเจนมาก โดยจะได้อารมณ์เหมือนขณะทำขนมที่จะมีกลิ่นส่วนผสมต่างๆ ให้รับรู้ ตั้งแต่วิปครีม เนย วานิลลา แป้งอัลมอนด์ มะพร้าว และครีมสดอะไรประมาณนี้ได้เลย

ช่วง Dry Down - ช่วงนี้จะเป็นการรวมเอาช่วงกลางกับท้ายเข้าด้วยกันเลย เพราะกลิ่นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักแต่จะมีมิติที่สลับตัวเด่นกันบ้างเล็กน้อย โดยที่เมื่อได้กลิ่นส่วนผสมในช่วงต้น การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มชัดเจนมากขึ้น ตรงที่กลิ่นจะมีความอบอุ่นและอบอวลคล้ายขนมอบแนวคุกกี้กันเต็มๆ จากการผสมผสานส่วนประกอบต่างๆ ในช่วงต้น ซึ่งสามารถทำให้รู้สึกได้ถึงการเป็นคุกกี้ที่มีส่วนผสมของมะพร้าวป่นในเนื้อคุกกี้วานิลลาที่อบร้อนเสร็จใหม่ กลิ่นจะชวนหิวไม่น้อย และไม่พอ ชวนให้รู้สึกพึงใจกับความหอมอบอวลที่กำลังดีแนวขนมเสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะอวลอย่างแฮปปี้ไปเรื่อยๆ จนเนื้อกลิ่นมะพร้าวเริ่มพร่องหรือลดทอนไป ก็จะกลายเป็นกลิ่นแนวคุกกี้วานิลลาติดครีมมี่หอมนวลอวลอุ่นที่จะคลอผิวไปเรื่อยๆ และยาวไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - จริงๆ กลิ่นนี้ระบุว่าเป็นของผู้หญิง แต่เอาจริงๆ มันก็ Unisex อยู่ ซึ่งผู้ชายใช้ได้สบายๆ ถ้าชอบกลิ่นขนม โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ใช่ช่วงทางการและช่วงกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายทั้งหลาย เน้นแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office แบบที่ไม่ได้มีพิธีการสำคัญระหว่างวันก็ได้เลย ซึ่งกลิ่นจะหอมหวานขนมน่ากินและอบอุ่นพึงใจได้ดีกันยาวๆ ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ใส่ท่องราตรีก็ได้ ออกงานปาร์ตี้หรืองานแต่งก็ได้ เพราะกลิ่นดึงดูดและเรียกแขกได้ดีเลยล่ะ

ความทน - มากกกกกก แบรนด์นี้ทำกลิ่นขนมได้ทนทายาดอยู่แล้ว พื้นฐานที่ 8 ชม. สบายมาก และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกด้วย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว กับการใช้ที่ 4 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นก่อน ไม่ได้มาหนักหน่วงบาดแหลมคมนัก แต่กลิ่นชัดเจนจริงๆ ใน Concept ขนม ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลางกันยาวๆ ไป จนเมื่อครบ 8 ชม. แล้ว ถึงจะค่อยๆ ลงมาเป็นออร่าหอมอวลคุกกี้รอบๆ ตัว

สรุป - อีกหนึ่งในกลิ่นขนมที่ถอดกลิ่นความเป้น Vanilla และมะพร้าว ออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว เอาความอวลมาเจอกันแล้วผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยที่ไม่ได้ถึงกับแน่นจัด (ถ้าไม่อัดสเปรย์มากไป) ซึ่งบอกเลยว่าใครชอบกลิ่นขนมหรือกลิ่นคุกกี้อันนี้แหละ เด็ดจริง อะไรจริง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.amazon.ca/Comptoir-Sud-Pacifique-Vanille-Bottle/dp/B00IG4DQZI


วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum


Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum

สำหรับแบรนด์ Diptyque สิ่งที่สามารถสสังเกตุได้ในการสร้างสรรค์น้ำหอมมาเสมอ คือ ถ้ามีรุ่น Eau de Toilette แล้วมักจะมีรุ่น Eau de Parfum ตามมาเสมอ โดยที่การสร้างสรรค์กลิ่นที่พื้นฐานอาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมในแง่ของการใช้ Notes กลิ่นต่างๆ แต่สิ่งที่ได้มักจะมีความแตกต่างให้จับต้องได้ แต่ก็ไม่แตกแยกจากพื้นฐานเดิมของกลิ่นนั้นที่เคยปูทางมาเสมอ ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบกันไป แต่มีอยู่หนึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2010 อย่าง Vetyverio ที่ยังไม่มีรุ่น EDP เมื่อครบ 7 ปี เข้าปี 2017 ก็ได้ฤกษ์ในการปล่อยความเป็นหญ้าแฝกที่เข้มข้นขึ้นซะที ซึ่ง EDP จะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันแบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นชัดเจนกันตั้งแต่เริ่มเลยว่าหญ้าแฝกเป็น Center Note ที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งจะมาในรูปแบบโทนติดทางสว่างกันก่อนในช่วงต้น โดยจะเป็นลูกผสมการเป็นหญ้าแฝกที่ติดโทนสดชื่นของเกรปฟรุตที่มาให้ความเปรี้ยวติดแปร่งสดชื่นแบบที่เป็นธรรมชาติกำลังดี ให้ความรู้สึกกระปรี้ประเปร่าสว่างๆ มีความฉ่ำหน่อยๆ ของส้ม ติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่นของเลมอน และมีความเปรี้ยวติดขมซ่าบางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่จะมีความเป็นหยินหยางตรงที่หญ้าแฝกจะให้ความเป็นออกทางกึ่งถั่วกึ่งเขียวกึ่งไม้แห้งหน่อยๆ ที่มีความสะอาดเป็นฉากหลัง เลยทำให้กลิ่นจะได้ลักษณะของความสดชื่นติดสว่างตีคู่ไปกับโทนติดขรึมสะอาดได้ลงตัวมาก

เมื่อความเป็น Citrus ที่สร้างความสดชื่นเริ่มเบาลงไป กลิ่นโทนเขียวติดถั่ว Nutty หน่อยๆ เริ่มจะชัดขึ้นพร้อมกับความ Smoky ติดไม้แห้งที่เริ่มมาเสริมทัพให้ความเป็นหญ้าแฝกของกลิ่นนี้ในช่วงกลาง แต่กลิ่นก็มีอีกทีมเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนอย่างโทนดอกไม้แนวๆ ออกทางกุหลาบกึ่งเจอเรเนียม ที่จะได้ความเป็นกุหลาบติดเขียวที่เสริมให้กลิ่นของหญ้าแฝกมีเสน่ห์น่าค้นหากำลังดีเข้ามาร่วมด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นยังคงมีโทนสดชื่นประปรายแบบอ่อนๆ ที่ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นจะติดดาร์กแบบซีทรูบางๆ กำลังดี ไม่ได้ถึงกับ Dirty และ Sexy แต่มาแนววางตัวสุขุมที่น่าค้นหาแบบที่ยังมีระดับในความอะโรม่าติดสะอาดอยู่เหมือนเดิม จนเมื่อกลิ่นเริ่มเข้าสู่ความเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ ปน Earthy มีความระเรื่อเบาๆ ของพิมเสนที่เนียนเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงไม้หอมแห้งๆ มีความ Smoky ติดควันบางๆ เคล้าความมีความเป็นโทน Earthy ติดดินอ่อนๆ อวลบางๆ และจับต้องได้ว่ามีโทน Musky เบาๆ ให้รู้สึกได้ด้วย เลยทำให้ได้พื้นฐานกลิ่นอายแนวๆไม้หอมแห้งสะอาด แต่มีความดาร์กบางๆ ที่มีเสน่ห์เนียนๆ โดยที่คุมโทนความสุขุมคัมภีรภาพได้เสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ค่อนมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อยตรงที่กลิ่นมาสายสุขุมติดมีระดับ แต่ถ้าไม่ใส่ใจไม่ว่าเพศไหนก็จัดไป ซึ่งกลิ่นเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ลามไปถึงกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายด้วย เพียงแต่กลิ่นจะมาสายขรึมสุภาพ วางตัวดีที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือออกเดทลงตัวที่สุด

ความทน - ตีค่าเฉลี่ยก็อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน แต่ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางแล้วพอผ่านไป 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งอันนี้การกระจายชัดกว่ารุ่น EDT ที่เน้นสุภาพเรียบหรูติดผิวเป็นหลัก

สรุป - พื้นฐานกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากรุ่น EDT นัก เพราะยังคงให้ความเป็นหญ้าแฝกที่มีความอะโรม่าและมีระดับชัดเจนอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่สิ่งที่ต่างคือ โทนกลิ่นที่สร้างความสุขุมมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้นในการซึมลึกในกลิ่นของหญ้าแฝกที่มีความดีงามในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Earthy ที่มาหมดทุกอารมณ์ที่ควรจะเป็นของหญ้าแฝก ง่ายๆ ถ้าใครชอบหญ้าแฝกคลอผิวอย่างออร่ามีระดับอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงที่สุภาพเข้าทางโทนสว่าง EDT คือใช่เลย แต่ถ้าชอบความเข้มมีความสุขุมเคล้าโทนดาร์กน่าค้นหาเข้ามาเป็นตัวเดินกลิ่นสร้างความหยินหยางระหว่างสายสว่างเดิมและสายดาร์กเนียนๆ EDP คือ คำตอบ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Diptyque/Vetyverio_Eau_de_Parfum