วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Jo Malone - Cypress & Grapevine

Jo Malone - Cypress & Grapevine

เพราะแบรนด์นี้ออกน้ำหอมบ่อยมี Collection พิเศษที่จับคู่น้ำหอมระหว่างการเป็น Cologne ปกติกับ Cologne Intense ที่เอาเข้ามาเสริมทัพกลิ่นต่างๆ ที่มีอยู่ในแบรนด์ในแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นในปี 2020 Collection - Lost in Wonder จึงได้เปิดตัวออกมาในช่วง Fall/Winter ของปี กับการนำเสนอกลิ่นอาย 2 รูปแบบอย่าง Fig & Lotus Flower ที่เป็น EDC ขวดใสเน้นความสว่างในกลิ่นกับ Cypress & Grapevine ที่มากับการเป็น EDC Intense ขวดดำที่เน้นความทันสมัย ซึ่งแน่นอนว่า เป็นไปได้ยากมากที่จะไม่สนใจ เพราะยังไงความเป็น Jo Malone มักจะมีอะไรที่ดึงดูดเสมอ แม้จะกลัวสอยแหลกเอามาเลเยอร์กลิ่นให้เต็มบ้านก็ตามที

เช่นนั้นเมื่อมาเจอ Collection นี้ ก็ต้องมาจัดกันให้รู้ ใช้รูจมูกให้เป็นประโยชน์มากที่สุดกันหน่อยกับการมาเจอกับการเป็นโซน Intense กันไปเลย (แล้วค่อยมาว่ากันภายหลังกับตัว Fig & Lotus Flower) เพราะอยากรู้ว่าการที่แบรนด์จะเอากลิ่นไวน์องุ่นมาทำให้เป็นกลิ่นอายในสไตล์ Jo Malone จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งผลลัพธ์จากการใช้งานที่ได้ก็คือ

เปิดต้นกลิ่นมาถึงกับต้องหันไปดูอีกทีว่าฉีดน้ำหอมผิดแบรนด์หรือเปล่า เพราะว่าเนื้อกลิ่นมันมาสายไม้หอมอบอวลแบบน้ำหอมผู้ชายยุค 2015 จนถึงปัจจุบันนี้ (2021) และมันมีสไตล์กลิ่นที่เป็นโทนผู้ชายใช้งานสูงมากจนน่าแปลกใจ เพราะกลิ่นแรกที่มาเตะจมูกกันก่อนเลย คือ โทนไม้หอมติดปร่าสไตล์ไม้สนแห้งๆ ติดออกทางปร่ายางสนมีความเขียวบางๆ ในแบบของกลิ่นสนไซเปรส ซึ่งแน่นอนว่ามาในสไตล์อบอวลแบบกำลังดีไม่ได้หนักไป และจับได้ตั้งแต่แรกเลยว่ามีตัว Support ที่ดีอย่างกลิ่นสารหอมแนว Amberwood หรือ Ambroxan แน่นอนเพราะกลิ่นมีความอวลไม้แกมอบอุ่นที่ตัดทอนกลิ่นแนวติดเค็มผิวกายออกไปเยอะพอสมควร รวมถึงมีกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้ความนวลแกมกลิ่นติดขมคล้ายโทนกลิ่นแบบ Bergamot เล็กๆ รองรับอีก เลยได้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์น้ำหอมผู้ชายที่ให้ความดึงดูดแนวกลิ่นแบบเมโทรนิ่งๆ เท่ห์ๆ อารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการรับรู้กลิ่นก็ประมาณ Dior Sauvage แนวๆ นั้น (ไม่ได้หมายถึงว่ากลิ่นเหมือนกัน แต่พื้นฐานกลิ่นให้ความเท่ห์ Cool ประมาณเดียวกันจาก Ambroxan)

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง นี่แหละที่เริ่มมีความเป็นกลิ่นอายสไตล์ไวน์องุ่นแบบไวน์แดง เข้ามาร่วมแจมด้วย ซึ่งกลิ่นจะให้ความเย้ากำลังดี ได้ความดาร์กแบบมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ เพียงแต่ไม่ได้มาแบบไวน์แดงโต้งๆ เพราะ Ambroxan ที่ยังคุมเป็นพื้นฐานกลิ่น รวมถึงสนไซเปรสที่ยังตามมาอยู่ แถมมีกลิ่นไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกเข้ามาร่วมแทคทีมอีก กลิ่นเลยจะชัดตามชื่อรุ่นเลยว่า Cypress & Grapevine เพียงแต่กลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ จะผนึกกันรวมตัวสร้างความหอมทันสมัยและมีเอกลักษณ์แบบกลิ่นอายไม้หอมยุคใหม่ที่เป็นตัวตั้งในน้ำหอมชายช่วงปี 2015 เป็นต้นมา มิติกลิ่นเลยจะได้วูบแรกคือกลิ่นโทนไวน์องุ่นที่ซ้อนไปด้วยกลิ่นอายไม้หอมแห้งอวล ที่มีมิติทั้งกลิ่นไม้สนแห้ง กลิ่นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝก และมีไม้โปร่งๆ ติดปร่าสุขุมของไม้ซีดาร์ ปิดด้วยเลเยอร์ท้ายสุดอย่างโทนแนว Ambroxan ที่ให้ความอวลอุ่นแบบสมดุลย์กำลังดี อารมณ์แบบจับวางมาเป๊ะๆ แล้วมาผสมผสานกัน แบบที่กลิ่นจะไม่ได้ให้ความหนาที่จัดจ้าน แต่ให้ความพอดี กำลังดี แบบที่อวลนะ กระจายนะ แต่ไม่ได้หนักเกินไป คุมโทนเรียบหรูได้อยู่ ซึ่งนี่แหละที่เป็นลายเซ็นของ Jo Malone ที่สมดุลย์มาก

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรและกลิ่นไวน์องุ่นแดงเริ่มจางไปตามลำดับ ช่วงท้ายคือชัดเจนมากกับการเป็นโทนไม้หอมอบอวลแกมอบอุ่นที่เป็นโทนไม้หอมทันสมัย ให้ความเท่ห์อวล Sexy มีเสน่ห์ ซึ่งความเป็นไม้จะยังตามมาทั้งหมดไม่ว่าจะไซเปรส ซีดาร์ และหญ้าแฝก แต่ Ambroxan ที่ค่อนไปทาง Amberwood ที่จะมาสร้างความอบอวลอุ่นแบบกำลังดี ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผ่านน้ำหอมสไตล์นี้อย่าง กลุ่มแนว Dior Sauvage มาก่อนเราจะจับโทนกลิ่นได้เลยว่ามันมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในความเป็น Jo Malone การคุมสมดุลย์ที่ให้กลิ่นอายสไตล์ Cologne ที่เข้มขึ้นมากว่าปกติเพราะเป็น Intense นี่แหละ เลยทำให้กลิ่นไม่ได้คมเกินไปแบบสาย Designer ที่จะเน้นปล่อยพลังเรียกแขก แต่มาให้ความอวลที่มีเสน่ห์ มีระดับเรียบหรูที่ทันสมัย แบบลดความพยายามแบบจงใจออกไป ถือเป็นการปิดท้ายที่ดี เข้าถึงง่าย ตอบโจทย์การใช้งานน้ำหอมยุคใหม่แบบที่ใส่สไตล์ของแบรนด์ลงไปได้ครบถ้วนเลยล่ะ

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงว่า Unisex แต่จริงๆ กลิ่นมาสายผู้ชายชัดเจนมาก แต่เอาจริงๆ ก็ใช่ว่าผู้หญิงใส่ไม่ได้ถ้ามั่นใจมาสไตล์ Smart Casual ก็ใส่ได้ เผลอๆ เท่ห์อีกด้วย ซึ่งจัดได้ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป แบบไม่ได้เน้นสายลุยหรือว่าออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ได้หมดทั้งออกงาน โรแมนติค และท่องราตรี เพราะกลิ่นให้ความเรียบหรูสไตล์เย้ายวนชัดเจน

ความทน - เกินคาดมาก เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ถือว่าเป็น Jo Malone ที่ทนจัดจ้านได้ดีจริงๆ ถ้าตีค่าเฉลี่ย ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วลดลงมากระจายดีซักราว 2 ชม. ที่เหลือจะปานกลางไปเรื่อย แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. ไปแล้วแบบคงตัว จนเมื่อผ่านไปราวๆ 10 ชม. ถึงเริ่มติดผิว

สรุป - กลิ่นนี้มาแบบเทรนด์สมัยนิยมมากเลยนะ เพราะพื้นฐานกลิ่นมีลักษณะที่เป็นสไตล์สาย Ambroxan ที่ชัดเจนมาก แบบที่เรามักจะได้เจอในน้ำหอมผู้ชายยุคนี้ที่มีหัวหอกนำทีมอย่าง Dior Sauvage แต่เพราะความเป็น Jo Malone ลายเซ็นก็เลยยังมีอยู่ในความเป็นสไตล์ Cologne ที่เข้มข้นขึ้นมาหน่อย และไม่ได้กระโชกโฮกฮากเล่นเต็มตั้งแต่ต้น รวมถึงเอาความเป็นไวน์องุ่นมาสร้างกิมมิคบนพื้นฐานของการเป็นโทนไม้หอมอวลๆ ที่ยังคงให้ความสมูธทางกลิ่นที่เข้มข้นกำลังดีและมีความทันสมัยในการใช้งาน ที่ถ้าคิดว่าหา O Boticario ตัว Malbec หรือ Malbec Noir ที่เป็นกลิ่นไวน์องุ่นเคล้าความอวลไม้หอมมาใช้งานไม่ได้ง่ายๆ (เพราะเป็นน้ำหอมแบรนด์บราซิล) Cypress & Grapevine นี่แหละ ที่เป็นตัวทดแทนที่ดีและมีคุณภาพกลิ่นที่เรียบหรูขึ้นมาอีกระดับได้ชัดเจน 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lanecrawford.com.hk/product/jo-malone-london/cypress-grapevine-cologne-intense-100ml/_/BOY225/product.lc

 

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Lolita Lempicka - Oh Ma Biche

Lolita Lempicka - Oh Ma Biche

ครั้งแรกที่ได้เห็นฝาขวดของน้ำหอมแบรนด์ Lolita Lempicka รุ่นนี้ครั้งแรก เรียกว่ามีความแบ๊วได้อีกกับหงส์หัวเป็นกวางน้อยไร้เดียงสา ซึ่งแน่นอนเดาไม่ยากว่าต้องเป็นน้ำหอมผู้หญิง ซึ่งพอพินิจพิเคราะห์ชื่อรุ่น Oh Ma Biche กับภาษาฝรั่งเศสเลยมีความโล่งใจที่ตอนแรกไพล่ไปคิดถึงคำที่คล้ายๆ กันในภาษาอังกฤษที่ความหมายแสบสันต์ แต่จริงๆ คือไม่ใช่ แปลออกมาได้ว่า “Oh My Honey” หรือเอาจริงๆ จะเรียกว่า “แม่กวางน้อยของฉัน” ให้ดูมีความเลี่ยนๆ ขึ้นมาอีกระดับก็ย่อมได้ ก็เลยมานั่งดู Notes กลิ่นกันหน่อยว่ามีความน่าสนใจแค่ไหนกัน

ซึ่งหลังจากดู Notes กลิ่นไม่นาน บอกเลยว่าความน่าสนใจมันอยู่ที่การนำเสนอกลิ่นค็อกเทลและแชมเปญนี่แหละ เช่นนั้นจะไปไหนเสียแม้จะเป็นกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงแต่กลิ่นสายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้ก็อยากเอาเข้าบ้านมาเพิ่มเหมือนกัน เช่นนั้นสอยไปอย่าได้เสีย จนเมื่อได้มาลองใช้จริงจนตกผลึก ก็ต้องบอกว่า

Oh Ma Biche ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด นำเสนอกลิ่นได้น่าสนใจมากแบบที่แม่หงส์กวางน้อยขวดนี้ นำเสนอกลายเป็นกลิ่นอายสไตล์ค็อกเทล Bellini ที่มีความเป็นพีชเคล้าส้มและแชมเปญเจือกลิ่นกุหลาบได้ดีมาก แต่สิ่งแรกที่จะเปิดตัวออกมาคือ ความเป็นนางเอกที่ต้องมีน้ำผลไม้คู่กายกันก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน น้ำนางเอกอย่างน้ำส้มนั่นเอง กลิ่นจะได้อารมณ์น้ำส้มส้มสื่นติดปร่าสดชื่นหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะไม่เป็นลักษณะแบบน้ำส้มคั้นสดจากลูกที่มาพร้อมเกล็ดส้มอะไรขนาดนั้น มีความเป็นน้ำส้มเปรี้ยวอมหวานติดเข้มข้นที่มีการผสมผสานมากกว่า เพราะในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ก่อนเลยคือ เกรปฟรุต เพราะมีความเปรี้ยวติดแปร่งเจือเมทัลลิคนิดๆ ที่สร้างโทนสว่างจะวูบขึ้นมาให้จับต้องได้ก่อนที่จะขนเอาความเป็นส้มที่จะมีโทนออกทาง Juicy ติดเปรี้ยวอมหวานสดชื่นหอมและมีความเย็นๆ เนื้อกลิ่นมีความฟุ้งพุ่งปร่าหน่อยๆ อารมณ์แบบมีโทนแนว Aldehydes เข้ามาเสริมด้วย แต่น่าจะมาเป็น Background มากกว่าที่จะเด่น เลยเสริมความซ่าหน่อยๆ เนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นกลิ่นจะกลายเป็นสบู่ส้มไปแทน ซึ่งไม่น่าจะเข้ากับการเป็นแม่กวางน้อยนัก

เพียงไม่นานซึ่งที่จะแทรกตัวขึ้นมาเริ่มจะกลายเป็นนางเอกสมัยใหม่ที่มีความมั่นใจมากขึ้นแทน เพราะกลิ่นจะไม่ได้เป็นแค่น้ำนางเอกเฉยๆ แล้ว เพราะจะมีกลิ่นกลิ่นสไตล์ Aldehydes ที่รู้สึกได้ในตอนแรกจะชัดเจนขึ้นมาเลยว่า อ้อ นี่มันอารมณ์แบบ Sparkling ซ่าๆ แบบแชมเปญนี่เอง ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะมีความเป็นกุหลาบมาแทรกๆ ในการเป็นสไตล์แชมเปญกลิ่นกุหลาบ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น กลิ่นที่แทรกตัวออกมาค่อยๆ กินซีนแชมเปญคือ ค็อกเทล Bellini ที่เป็นค็อกเทลพีชผสมผสานกับเหล้าองุ่นสไตล์แบบไวน์ขาว ซึ่งจะแทรกขึ้นมาและผนวกเอาความเป็นแชมเปญกุหลาบเข้ามาร่วมด้วยจนได้อารมณ์กลิ่นแนวค็อกเทลพีชฟุ้งๆ มีความซ่าๆ ในสไตล์แชมเปญเสริมแกมกลิ่นออกทางเมทัลลิคติดปร่าเผ็ดซ่านิดๆ แนวคล้ายพริกไทยเสฉวน เลยพอเข้าใจได้ว่าความซ่าที่มีผ่านการวางโทนกลิ่นเพื่อผสมผสานกันเป็นอย่างดีมาแล้ว ซึ่งเนื้อกลิ่นจะติดปลายกลิ่นน้ำส้มในตอนแรกอยู่บ้างเล็กน้อย เลยจะได้อารมณ์ค็อกเทลสีพีชกึ่งส้มแกมชมพูแบบกุหลาบอ่อนๆ ได้ชัดเจนและที่สำคัญดึงดูดและเย้ายวนไม่หยอก เรียกว่าช่วงนี้ถ้าใครที่ชอบกลิ่นแนวค็อกเทลเป็นทุนเดิมและชอบกลิ่นพีชด้วยอยู่แล้ว บอกเลยว่าโดนตกได้เลยล่ะ

การเข้าสู่ช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีนัยยะสำคัญนัก เพราะว่ากลิ่นจากช่วงกลางจะตามมาทั้งหมดเพียงแต่จะลดทอนการเป็นค็อกเทลจ๋าๆ ลงไปในระดับหนึ่ง แบบว่านางเอกสายมั่นใจจิบค็อกเทลกับแชมเปญยังมาชัด เพียงแต่จะมีการเกลากลิ่นด้วยโทน Musk เข้ามา ทำให้กลิ่นไม่ได้คมหรือค็อกเทลพีชจัดจ้านเท่าช่วงกลางแล้ว แต่จะได้อารมณ์กลิ่นสไตล์ค็อกเทลพีชหอมมั่นใจฉาบผิวกายนวลบางๆ มากกว่า ซึ่งถือเป็นกลิ่นอายโทนกึ่งฟรุตตี้แกมค็อกเทลที่กำลังดี ให้เสน่ห์แบบที่ไม่ได้ดูแบบก๊งมาจากไหนแค่มีความขี้เล่นก็ได้ ความน่ารักก็ได้ แต่ถามว่า Feminine จ๋าๆ ไหม? ก็บอกว่าไม่ได้ขนาดนั้นออกทาง Unisex เสียมากกว่าในช่วงนี้

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถจัดตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีความสดใสก็ได้เย้ายวนในการเป็นสไตล์ของค็อกเทลก็ดี เรียกว่าใส่แล้วมีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาไม่เหมือนน้ำหอมผู้หญิงอื่นๆ ในท้องตลาดเท่าไหร่ด้วย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ตัดยามทางการและออกกำลังกายออกไปได้เลย แต่ถ้าเป็นใส่ทั่วไป หรือกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ได้ลุยโลดโผนมากจะไปได้ดีเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือว่าใส่ปาร์ตี้ จะไพล่ไปใส่ทั่วไปก็ได้ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีอันนี้สู้เขายากหน่อย เพราะกลิ่นไม่ได้ข้นอวลจัดหนักสู้โทนหวานแน่นได้ง่ายนัก

ความทน - เกินคาด เพราะว่าสิ่งที่ส่วนตัวเจอคือ 12 ชม. สบายๆ แต่ถ้าตีค่าเฉลี่ยก็น่าจะราวๆ 6 - 8 ชม. ที่น่าจะให้เสน่ห์ได้ดีและลงตัว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ากลิ่นน้ำส้มมาเต็มเลย ก่อนจะลงมากระจายดีในช่วงกลางที่จะอยู่กับเราไปซักประมาณ 2 ชม. ได้ ก่อนจะลดลงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ก่อนเป็น Skin Scent หลังพ้นราว 8 - 10 ชม. ไปแล้ว   

สรุป - นี่ไม่ใช่กวางน้อยที่น่ารักดูใสๆ หลอกง่ายนะ แต่มาในการเป็นโทนกวางน้อยสายมั่นใจและไม่ได้เป็นนางเอกแบบขนบโบราณที่เอะอะก็น้ำส้มแล้ว แม้จะมีการ Tribute อยู่บ้างก็ตาม ไม่ธรรมดาเลยล่ะกลิ่นนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Oh-Ma-Biche-by-Lolita-Lempicka-12699.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Avon - Haiku Intense

Avon - Haiku Intense

จาก Haiku ปกติ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานของ Avon ตั้งแต่ปี 2000 กับการนำเสนอความเป็นกลิ่นอายดอกไม้สไตล์ Avon ที่มีเอกลักษณ์และเข้าถึงง่าย โดยมีที่มาที่ไปในการอ้างถึงอย่างสวนแบบญี่ปุ่นที่ประดับประดับไปด้วยดอกไม้ต่างๆ จนมีการแตกแขนงแยกย่อยกันไปเป็น Haiku อื่นๆ อีกมาก รวมถึงที่เป็น Special Edition ต่างๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งไม่ว่าแต่ละรุ่นต่างก็ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็น Comment มาเสมอ คือ กลิ่นไม่ได้เข้มข้นมากนัก มีความเรื่อยๆ เบาๆ รวมถึงความทนเองอาจจะไม่ได้โดดเด่น

ในเมื่อความต้องการมีหลากหลาย การสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้นในการใช้งานจึงได้เกิดขึ้น และก็ออกมาเป็น Haiku Intense ในที่สุดในปี 2021 นี้ และยัง Cover ทั้ง 3 รุ่นหลักที่ได้รับความนิยมสูงมาเสมอทั้งใน Collection นี้เลย (Haiku, Haiku Kyoto Flower และ Haiku Sacred) เช่นนั้นมาใหม่ใสกิ๊งซะขนาดนี้ ไม่ลองคงไม่ได้แล้ว เลยขอจัดมาซักหน่อยกับความคุ้นเคยที่ประทับใจกับกลิ่นอายสาย Haiku รุ่นปกติที่พอปรับมาเป็น Intense แล้วจะมีทิศทางของกลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง (รุ่นอื่นถ้ามีโอกาสค่อยว่ากันภายหลัง)

เปิดต้นกลิ่นมา ใช่เลย นี่แหละกลิ่นอายน้ำหอมที่เป็นโทนดอกไม้สไตล์ Avon ที่มีลายเซ็นชัดเจนมาก และแน่นอนมันคื Haiku แบบเดิมที่มีความเข้มข้นในเนื้อกลิ่นจนสัมผัสได้ถึงความหนาและอวลที่ชัดเจน ซึ่งตัวเปิดต้องยกให้ส้มยูสุที่จะเป็นตัวให้ความเป็น Citrus กึ่งเลเมอนกึ่งเกรปฟรุตที่เอาความหอมเฉพาะสไตล์เปรี้ยวอมหวานเจือปร่าซ่าอ่อนๆ มาเป็นพื้นกลิ่น แต่จะมีโทนติดออกทางผลไม้หวานหอมแต่ไม่ได้ฉ่ำมากของลูกแพร์ที่มาเสริมและมีกลิ่นออกทางติดเขียวสดชื่นที่เข้ามาผสมผสานเลยทำให้ได้อารมณ์ Citrus เจือผลไม้หวานเป็นเลเยอร์กลิ่นแรกก่อน แล้วตัวสมทบหลักต่อไปนั่นคือโทนดอกไม้ขาวสไตล์ของ Avon นี่แหละ เพราะมะลิจะมาแบบเข้มๆ แบบดอกไม้ขาวหวานนวลเต็มที่ มีปลายกลิ่นเป็นโทนใสๆ ติดเขียวหวานบางๆ ของดอกกระดิ่ง แกมกลิ่นออกทางสีชมพูอ่อนแบบกุหลาบสดชื่นที่เป็นโทนของดอกโบตั๋นเข้มาเสริมแบบชัดๆ เลยทำให้ช่วงต้นมันเป็นกลิ่น Citrus Floral ที่แบบมาเต็ม มาเข้ม มาชัด แต่ไม่ได้กระจายหมื่นลี้แบบรอบทิศนัก อารมณ์กลิ่นจะเข้มข้นมากขึ้นกว่าตัว Haiku ปกติชัดเจน ในลักษณะพื้นฐานกลิ่นที่เหมือนกัน  ซึ่งถ้าคนที่ชอบกลิ่นอายดอกไม้นวลหวานไล่เลเยอร์ไปใสปลายกลิ่นแบบ Avon’s Style แต่มีความเข้มและหนาในเนื้อกลิ่นมากขึ้นอันนี้แหละโดนตกแน่ๆ

ในช่วงกลางโทนกลิ่นของ Citrus จะผสานไปกับดอกไม้แบบชัดเจนจนเป็นเนื้อเดียว แบบที่ให้ความรู้สึกติปลายกลิ่นหอมส้มยูสุประมาณนั้น แต่ภาพรวมของกลิ่นจะเป็นดอกไม้ขาวสไตล์ Avon - Haiku รุ่นปกติ แต่มีความข้นนวลมากขึ้น ซึ่งมาครบถ้วนหมดทั้งมะลิ ดอกกระดิ่ง และโบตั๋นที่ 3 ประสานได้แบบชัดเจน หอมนวลหวานชัดเข้ม ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับต้องได้ถึงความครีมมี่ติดเย้าๆ ของซ่อนกลิ่นที่มาสร้างจริตแนวน้ำหอมผู้หญิงตัดทอนเข้ากับกลิ่นเขียวๆ ของ Fig ที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ข้นคลั่กเกินไป กลายเป็นทำให้กลิ่นมีเลเยอร์ที่น่าสนใจมากขึ้น ไม่ได้เบาๆ เรื่อยๆ แบบรุ่นปกติแล้ว เพราะมีความหอมหวานใสติด Citrus เป็นเลเยอร์แรกที่รับรู้ ตามด้วยความนวลดอกไม้ขาวหวานอวล แล้วกลายเป็นโทนครีมมี่ติด Fig ทึบเจือหวานของลูก Fig ซึ่งทำให้กลิ่นคงเสน่ห์แบบลายเซ็นเดมของรุ่นตั้งต้นแต่เพิ่มความเข้มข้นแบบที่กำลังดีและชัดเจน ซึ่งแน่นอนคุมโทนไม่ได้ปล่อยพลังเหมือนเดิม เน้นความอวลที่สร้างบาเรียรอบตัวแบบกำลังดีและจับต้องได้ราวๆ นั้น

และเมื่อกลิ่นโทนดอกไม้ขาวทั้งหลายได้เริ่มผ่อนพลังลงมา และมีโทน Musk เสริมขึ้นมาแบบสไตล์มินิมัล กลิ่นเริ่มจะเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายตามลำคับ และชัดเจนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงโทนออกทางแป้งกึ่งอบอุ่นของวานิลลาอ่อนๆ ที่เนียนๆ เคล้ากับ Musk ในเนื้อกลิ่น เพราะจับเลเยอร์ได้ชัดว่าเป็นนวลแป้งแบบวานิลลาอุ่นเบาๆ มีความครีมมี่นุ่มๆ แถมเขียวหญ้าแห้งเล็กๆ แบบถั่วตองก้า ก่อนจะเป็น Musk นวลสะอาด ซึ่งจะกลายเป็นตัวเด่นสุดในช่วงท้าย แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะนอกจากกลิ่นอายดอกไม้ในช่วงกลางที่ยังหลงเหลือแบบปลายกลิ่นอ่อนๆ ที่ให้ความ Feminine ในเนื้อกลิ่นจะยังคงอยู่ ก็จะมีกลิ่นโทนไม้แห้งๆ แกมไม้จันทน์หอมหน่อยๆ เข้ามาเสริมสร้างความเป็นโทนสีครีมอ่อนสว่างๆ ได้ดี ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นกลายเป็นโทนหอมนวลสว่างอ่อนโยนติดหวานดอกไม้ปลายระเรื่อหน่อยๆ กำลังดีไปเรื่อยๆ ปิดท้ายอย่างลงตัวในสไตล์ Haiku แบบดั้งเดิม เพิ่มเติมคือความชัดของกลิ่นนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็ใส่ตัวนี้ได้แล้ว เพราะพื้นฐานของ Haiku เป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายและมีความดีงามแบบดอกไม้ขาวหวานอวลนำตามด้วยใสอยู่แล้ว เลยใช้ง่ายและมหาชนชอบสูง จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด จะมีก็แต่การใช้ตอนออกกำลังกายนี่แหละ ที่ไม่ค่อยท่าเท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นมันหนาและเข้มขึ้นกว่ารุ่นปกติ มันจะตีขึ้นจนจุกได้ ส่วนยามค่ำคืนออกงานหรือโรแมนติคบอกเลยว่าจัดไป เพราะลงตัวมาก

ความทน - อันนี้แหละที่ Happy ขึ้นมามากเลย เพราะความทนลากยาวไปที่ 12 ชม. เรียกว่าไม่มีผิดหวังในเรื่องนี้แน่ๆ เพราะถ้าดูค่าเฉลี่ยยังไงก็ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นก่อน ถ้าใครชอบโทนดอกไม้หวานอวลแกม Citrus จะแบบว่าฟินได้เลย แต่ถ้าไม่ชินอาจจะตึ้บหน่อย แต่พอกลิ่นเซทตัวเข้าช่วงกลาง จะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ มีเสน่ห์ๆ จนผ่านไปราวๆ 4 ชม. ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาตัวผ่านไปซัก 10 ชม. แล้ว

สรุป - ทุกอย่างกลิ่นโทนและ Notes ต่างๆ เหมือนกัน แต่เพิ่มเติมความเข้มข้นของกลิ่นและปรับนิดๆ หน่อยๆ ให้กลิ่นมีมิติสมชื่อว่า Intense มากขึ้น ซึ่งส่วนตัวแม้จะตึ้บและมึนมากในช่วงต้น (เพราะไม่ได้เป็นสายใช้น้ำหอมผู้หญิงเป็นหลักก็จะมีอาการแบบนี้) แต่พอปรับตัวได้ก็อินกับช่วงกลางของตัวนี้ไปเลย เพราะนอกจากจะได้ลายเซ็นกลิ่นอายดอกไม้ของ Avon แล้วยังได้ความมีเสน่ห์ของกลิ่นตัดทอนกันเองของซ่อนกลิ่นและ Fig ได้ลงตัวและงามมากทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งของ Haiku ที่มีเสน่ห์มากในการใช้งานจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.avon.com/product/haiku-intense-eau-de-parfum-76678

 

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: BedeauX - Chienoir

BedeauX - Chienoir

จากการประกาศน้ำหอมสาย Niche Perfume ที่ได้รางวัล The Art & Olfaction Awards ประจำปี 2018 ในสาย Artisan Category ว่าน้ำหอมแบรนด์ BedeauX รุ่น Chienoir ได้รางวัลนี้ไปครอง ตอนแรกบอกเลยว่าไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อน เลยทำให้ต้องขวนขวายหามาครอบครองไม่พอ ยังต้องศึกษาแบรนด์นี้ซักหน่อยว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไรบ้าง

BedeauX มาจากการสร้างสรรค์กลิ่นของ Amanda Beadle ที่มีความชื่นชอบและมีความถนัดในด้านงานศิลปะ แต่ชีวิตมีความพลิกผันบางประการเลยทำให้ต้องไปทำงานด้านบัญชีแทน จนเมื่อได้เวลาอันสมควรและใจรัก ก็เลยขวนขวายศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง รวมถึงเข้าเรียนรู้วิธีการทำน้ำหอมต่างๆ จากสุคนธกรที่มีเปิดคลาส จนทำให้เริ่มในการสร้างสรรค์กลิ่นด้วยตัวเอง และเปิดแบรนด์ + เปิดตัวน้ำหอมอย่าง Chienoir ออกมาในปี 2017 และนำส่งเพื่อเข้าชิงรางวัล The Art & Olfaction Awards ในปี 2018 จนได้รางวัลมาในที่สุด เช่นนั้น นี่แหละน่าสนใจมากว่ากลิ่นนี้ที่ได้จะเป็นอย่างไงถึงได้รับคำชมและรางวัลนี้ไปครอง เช่นนั้นมาว่ากันดีกว่าว่ากลิ่นออกมาเป็นยังไงบ้าง

แรงบันดาลใจ - การถอดเอากลิ่นอายในสวนองุ่นไวน์ออกมาในลักษณะอยู่ในสวนองุ่นแล้วมองวิวรอบตัวเป็นลักษณะ Landscape ซึมซับเอากลิ่นรอบกายที่ทั้งระเหยออกมาจากพื้นดิน อากาศรอบตัว ความเขียวของกลิ่นพืชพันธุ์เถาเลื้อยอย่างองุ่น แล้วกักเก็บความทรงจำทางกลิ่นมาสู่ขวดในการเป็น Chienoir ในกลิ่นอายน้ำหอมสไตล์ Chypre

เนื้อกลิ่น - การเปิดตัวของ Chienoir เรียกว่าตีหัวเข้าบ้านกันทั้งแต่เริ่มแรกเลย เพราะว่าจะเป็นการผสมผสานกลิ่นส้มที่ค่อนไปทางหวานมีความเป็นน้ำส้มหอมสดชื่นติดหวานซ้อนด้วยกลิ่นมะกรูดฝรั่งที่มีความเขียวเจือเปรี้ยวอมขมมาตัดทอนและเป็นกลิ่นอายโทนกึ่งปร่าซ่าบรรยากาศเย็นๆ ทำให้กลายเป็นกลิ่นโทน Citrus เปรี้ยวอมหวานเจือขมหอมที่ให้อารมณ์แบบบรรยากาศขึ้นมาในวูบแรก ก่อนจะจับต้องได้ว่ามีกลิ่นของดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่ให้ความเขียวติดเขียวเปรี้ยวสว่างแกมกลิ่นติดฝาดหอมปนปร่าสมุนไพรของพริกไทยสีชมพูที่มีโทนออกทางกุหลาบบางๆ ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้กลิ่นรวมตัวกันป็นโทน Citrus ติดเขียวสดชื่นมีความเป็นบรรยากาศที่เย็นๆ สดชื่น ให้ลองนึกภาพกันได้เลยแบบเรายืนกลางไร่องุ่นแล้วมีกลิ่นติดเขียวไม้เลื้อยกลิ่นอากาศสดชื่นที่ผมเปรี้ยวอมหวาน และมีความปร่าซ่าๆ บางในอากาศเรียกว่าเปิดมาก็ครบถ้วนเบิกบานกันได้เลยทีเดียว

การปรับโทนในช่วงกลางจะมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นจะตามมาหมด และลดความปร่าฝาดของพริกไทยสีชมพูลงไป แต่จะเพิ่มเลเยอร์กลิ่นโทนปร่าหน่อยแบบสไตล์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้ถึงกับเป็นเหล้าจิน แต่ได้อารมณ์แบบไวน์องุ่นขาวอ่อนๆ เข้ามาเสริม ทำให้ได้อารมณ์แบบสวนองุ่นทำไวน์ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงจะมีกลิ่นยาสูบหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์แบบ Aromatic กึ่งหญ้าแห้งกึ่งสมุนไพรแห้งมีกลิ่นติดหวานรื่นจมูก ซึ่งถ้าดมเข้าไปติดผิวจะได้กลิ่นติดเขียวเข้มอ่อนๆ ให้อารมณ์กลิ่นอายเขียวแบบพืชล้มลุกแบบเบาๆ เรื่อๆ กำลังดีของ Oak Moss เป็นเสมอพื้นกลิ่นอีกด้วย ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นอายอบอุ่นเบาๆ กลิ่นมีความลึกแกมอบอุ่นผิวกายเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นอายของ Labdanum หรือยางไม้อื่นๆ ที่ใกล้เคียงที่มาให้มิติที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นเพราะมันคงไม่ได้ทื่อๆ ที่กลิ่นอายเย็นๆ และกลางๆ เพียงอย่างเดียว ซึ่งภาพรวมของเนื้อกลิ่นมีความแห้งมากขึ้นจากตอนต้นที่ติดชื้นๆ เย็นๆ เลยทำให้ได้อารมณ์สดชื่นติดแห้งๆ มีความหอมกึ่งสะอาดกึ่งธรรมชาติในไร่องุ่นที่ลงตัวและชัดเจนมากขึ้นไปนานพอสมควร และเข้าทางการเป็นกลิ่นอายสไตล์ Chypre ที่มีครบทุก Elements ที่ควรจะเป็น

จนเมื่อโทน Citrus เริ่มจางไป และกลิ่นมีความนวลสะอาดอ่อนๆ มากขึ้น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งจะยกพวกมาจากช่วงกลางเสียเกือบหมด แต่จะลดทอนลงไปเป็นกลิ่นสนับสนุนที่ให้อารมณ์กลิ่นบรรยาการเจือสมุนไพรติดหวานสบายๆ และจะมีกลิ่นไม้หอมเข้ามาเสริมให้อารมณ์กึ่ง Rooty ดินๆ หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากหญ้าแฝก รวมถึงมีกลิ่นปร่าหวานพิมเสนระเรื่อมาให้จับต้องได้ และแน่นอนว่า Oak Moss จะยังอยู่ แต่จะให้ความเรื่อยๆ เบาๆ ไม่ได้มาเข้มข้นจนดูกรุยกรายน่าค้นจัดๆ แต่อย่างใด และมีตัวสำคัญของ Musk มาเสริมด้วยเลยทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลฉาบหน้าด้วยกลิ่นอายบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ หอมรื่นรมย์แกมเขียวติดแห้งๆ สบายๆ เป็นสไตล์มินิมัลที่ไม่ต้องเยอะสิ่ง แต่มีความซับซ้อนเบาๆ จากการผสมผสานจนได้กลิ่นที่ใกล้เคียงความเป็นธรรมชาติคลอกลั้วผิวกายไปเรื่อยๆ อย่างพึงใจมาก ยอมให้เขาเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ไม่ว่าจะเพศไหนจับต้องกลิ่นนี้ได้หมดตั้งแต่วัยเด็กน้อยที่สามารถใช้น้ำหอมได้ก็ใส่ตัวนี้ได้ เพราะกลิ่นใช้ง่ายมาก และเข้าถึงได้ง่ายอย่างมีระดับในความเป็นธรรมชาติจริงๆ ซึ่งจัดไปได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดทุกช่วง (แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายเรียกว่าเปลืองไปหน่อย เพราะปริมาณมันสูงสุดแค่ 30 ml และก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ด้วยนะต้องซื้อที่ UK อย่างเดียวเท่านั้นด้วย) ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายให้ความรื่นรมย์จะดีมากที่สุด 

ความทน - มีความแกว่งพอสมควร เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง บางครั้งเจอ 4 ชม. กลิ่นก็จางไปแล้ว แต่บางครั้ง 12 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ แต่โดยเฉลี่ยถ้าหาค่ากลางก็ราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งถือว่าสมเหตุสมลที่สุดแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเปิดตัวแบบสร้างความประทับใจแรกพบกันเลย แล้วจะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 1 - 3 ชม. ที่เหลือจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไประหว่าง 6 - 8 ชม. ก็จะติดผิวแล้ว    

สรุป -  ก็ต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่เปิดจนท้าย กลิ่นมีพลิ้วไหวและงดงามมากจริงๆ ในสไตล์ที่ให้ความเป็นธรรมชาติ ถอดเอากลิ่นอายไร่องุ่นทำไวน์มาได้ครบถ้วนและกักเก็บใส่ขวดได้อย่างลงตัวสมกับการได้รางวัล The Art & Olfaction Awards ของปี 2018 มาครอง ยอดเยี่ยมมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bedeaux.co.uk/product-page/chienoir-30ml-eau-de-parfum

 

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums Dusita - Moonlight in Chiangmai

Parfums Dusita - Moonlight in Chiangmai

ให้จินตนาการเสมือนว่าตัวเราเองอยู่บนจุดชมวิวเรือนไม้ที่บ้านพักอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพในช่วงค่ำคืนในเทศกาลยี่เป็ง ที่ท้องฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์นวลผ่อง โคมลอยประดับประดาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน พร้อมกับ City View ที่งดงามอากาศเย็นๆ ของเมืองเชียงใหม่จากมุมสูงที่มองลงมาแล้วซึมซับความรู้สึกและบรรยากาศ คิดว่าอารมณ์และความรู้สึกมันจะสร้างความประทับใจกับเราแค่ไหน ซึ่งสำหรับผู้เขียนบอกเลยว่ามีความสุขมากที่ได้เห็นความงามเหล่านี้ ซึ่งจะบันทึกลงในความทรงจำเลยทั้งภาพ เสียง และกลิ่นอายรอบตัว

และเมื่อได้เห็นว่า Parfums Dusita ได้เปิดตัวสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมโดยมีที่มาที่ไปจากบทกวีของคุณพ่อเจ้าของแบรนด์ที่ทิ้งท้ายไว้ว่า “เราอยู่ภายใต้สรวงสวรรค์เดียวกัน” ผนวกเข้าร่วมกับความสวยงามของแสงจันทร์ยามค่ำคืนและเทศกาลยี่เป็งที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างความงามบนผืนโลกและสวรรค์ ความน่าสนใจจึงมาเต็มอย่างมาก ว่าจะสื่อสารกลิ่นอายออกมาอย่างไรที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเป็นแสงจันทร์นวลผ่องบนผืนฟ้า ณ เชียงใหม่ และจะเหมือนกับประสบการณ์ทางกลิ่นที่เราเคยสัมผัสมาหรือไม่ และผลที่ได้คือ

แรกสเปรย์คือกลิ่นอายติดแปร่งคล้ายยางกึ่งหนังหน่อยๆ จะมาทักทายก่อนเพื่อนเลย ซึ่งทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่พอสมควรว่ากลิ่นจะไปในทิศทางไหน แล้วไม่กี่วินาทีถัดมาความเป็นโทนหวานติดแหลมเล็กๆ อารมณ์กึ่งผลไม้กึ่งโทนวานิลลาหวานแหลมของกำยาน Benzoin แกม Citrus หอมผ่อนคลายของส้มยูซุที่เป็นเสมือนตัวล้อมกรอบให้กลิ่นมีความรื่นรมย์ ซึ่งยังไม่พอเนื้อกลิ่นมีโทนเสริมของดอกไม้ติดใสหอมเย็นที่ไม่ได้ไปทางนวลมากนักของมะลิแทรกอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นได้มิติอารมณ์กลิ่นที่ไล่เรียงจากความแปลกแบบไม่คุ้นชิน ตามด้วยความหวานหอมเย็นที่มีมิติความลึกของกลิ่นแบบกำลังดี และที่สำคัญสร้างโทนสีเหลืองนวลในกลิ่นค่อนข้างชัดเจนมาก

แต่ก่อนจะไปต่อที่ช่วงกลาง หลายๆ คนที่ได้รับกลิ่นนี้จะ Link ไปที่ MFK - Baccarat Rouge 540 เพราะเนื้อกลิ่นในช่วงต้นมีความคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างมันคือ ลักษณะอารมณ์กลิ่น เพราะในโทนที่เข้าข่ายคล้ายกัน BR 540 จะให้โทนออกทางสีแดงชาดลึกน่าค้นหาและมีความหวานน้ำตาลไหม้ดึงดูด แต่สำหรับ Moonlight in Chiangmai มันได้ความหอมหวานลึกแบบกำลังดี แต่มีความเย็นและความโปร่งในกลิ่นที่สร้างความรู้สึกสีเหลืองนวล มันเลยเป็นความแตกต่างที่ให้เรามาจับต้องและสร้างประสบการณ์ทางกลิ่นที่น่าสนใจขึ้นมาอีกสเต็ปประมาณนั้น

ช่วงกลางโทนกลิ่นจะเริ่มมีความหวานโทนออกทางผลไม้เข้ามาเสริม อารมณ์กลิ่นคล้ายโทนสับปะรดหอมเมื่อผสมผสานกับกลิ่นโทนออกทางวานิลลาติดหวานแหลมมีความลึกแกมครีมมี่หน่อยๆ ของ Benzoin ทำให้ได้ความหวานนวลเหลืองกำลังดีออกมาเลย สร้างความโรแมนติคในเนื้อกลิ่นแบบแกมน่ารักแกมรื่นรมย์ได้ดีมาก แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปทางสาย Gourmand หรือโทนขนมของกินแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่แทรกตัวเข้ามาเป็นเลเยอร์กลิ่นอีกชั้นนั่นคือโทนกลิ่นอายแบบไม้หอมเก่าๆ แกมกลิ่นหนัง และกลิ่นสมุนไพรซึ่งจับต้องได้เลยว่าเป็นกลิ่นพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย็นๆ ในเนื้อกลิ่นและมีความปร่านวลเกลาให้กลิ่นมีความกลมๆ เชื่อมโทนระหว่างสมุนไพรกับกลิ่นไม้หอมอย่างเม็ดจันทน์เทศ (ตัวเกลากลิ่นชั้นดี) ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีมิติที่น่าสนใจมากคือไล่จากโทนหวานหอมเหลืองนวลโรแมนติคแกมกลิ่นอายปร่าเย็นๆ ตามด้วยการ Contrast ด้วยกลิ่นไม้หอมแบบติดเก่าหน่อยที่มีเสน่ห์แกมขลังและมีความ Classic ซึ่งอันนี้ได้ภาพชัดเจนมาก อารมณ์เหมือนอยู่บนเรือนไม้นั่งชมวิวแสงจันทร์ยามค่ำคืนท่ามกลางอากาศเย็นๆ ที่เอาความหวานหอมมาสร้างให้โทนกลิ่นค่อนไปทาง Surreal หวานโรแมนติคประมาณนี้เลย

ในการเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มจับต้องได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะโทนหวานกึ่งสับปะรดกึ่งวานิลลาหวานแหลมครีมมี่ติดลึก จะผ่อนตัวเองลงไปเป็นโทนติดปลายกลิ่นที่ยังให้อารมณ์โรแมนติคแนวสีเหลืองนวลแสงจันทร์อยู่ แต่กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นมาเลยคือ โทนไม้หอมที่มีความแห้งแกมกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ซึ่งโทนที่มีความดาร์กอยู่ให้จับต้องได้แต่ไม่ได้ดาร์กลึกดำดิ่ง ออกทางโปร่งใสมองทะลุได้เสียมากกว่า เพราะว่าจะมีกลิ่นอายออกทางเย็นๆ ปร่าๆ ของพิมเสนที่ยังมีอยู่ แกมกลิ่นออกทางยางไม้แกม Incense ที่ให้โทนเย็นๆ แกมกลิ่น Smoky เนียนๆ ซึ่งน่าจะมาจาก Myrrh แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ กลิ่นช่วงท้ายมีลักษณะคล้ายคลึงกับรุ่น Issara เข้ามาให้รู้สึกรวมอยู่ด้วย ซึ่งจะมีโทนกึ่ง Oakmoss แกม Musk ที่มีความนวลแกมกลิ่นเขียวติดคล้ายหมึกของ Oak Moss แกมกลิ่นกึ่งยาสูบอ่อนๆ และหญ้าแห้งหน่อยๆ ที่มีความอบอุ่นเจือๆ ในกลิ่น ซึ่งเมื่อมาผสมผสานกับโทนไม้หอมติดดาร์กแกมกลิ่นอายเย็นๆ มันได้อารมณ์แบบอบอุ่นท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนได้ดีมาก ถ้าให้นึกภาพแบบเป็นความคิดเห็นส่วนตัวเหมือนเห็นภาพ “ผู้ชายอบอุ่นลุคแฟมิลี่แมนนั่งชมเดือนหงายบนเรือนไม้ร่วมกับครอบครัว” ซึ่งไม่แปลกใจ เพราะกลิ่นนี้สุคนธกรปรุงโดยมีแรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อด้วย เช่นนั้น ใช่เลย เป็นการปิดท้ายกลิ่นได้งดงามแกมหวานที่ลงตัวจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมีความหวานก็จริง แต่มันก็กลางมากพอในการใช้งานกับทุกเพศเพราะกลิ่นสร้างความรื่นรมย์ได้ไม่ยากเลยจริงๆ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงยามค่ำคืนที่เน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคก็ยังได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ออกกำลังกาย หรือว่าใส่ไปท่องราตรีจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายนี้แต่ประการใด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมีบวกไปได้อีกราวๆ 2 - 4 ชม. ตามแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 10 - 12 ชม. เสมอในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางกันยาวๆ จนเมื่อพ้นซัก 6 ชม. จะเริ่มผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ตอนซักประมาณ 8 ชม. เป็นต้นไปจนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - Moonlight in Chiangmai ในแรกสเปรย์ลบกลิ่นอายบรรยากาศที่ผู้เขียนเคยสัมผัสตอนไปพักที่บ้านพักบนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพออกไปทั้งหมดเลย เพราะไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เคยซึมซับมาและตามที่คาดคะเนเอาไว้ แต่กลายเป็นความประสบการณ์ทางกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปในการรับรู้กลิ่นอายสไตล์แสงจันทร์ที่มีความหวาน ความเย็น ความสวยงาม ความโรแมนติค ความ Classic ในแบบที่เป็นสไตล์อารมณ์แบบยืนบนเรือนไม้ดูแสงจันทร์นวลผ่อง แกมหวานแบบโรแมนติคก็ได้ แกมกลิ่นอบอุ่นแกมไม้หอมท่ามกลางโทนเย็นๆ นวลๆ ก็ดี เรียกว่าสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากอีกหนึ่งกลิ่นจากแบรนด์นี้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/product-page/moonlight-in-chiangmai-50ml

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Precious Oud

Mancera - Precious Oud

ในปี 2019 แบรนด์ Mancera เองปล่อยน้ำหอมออกมาเยอะเชียว 8 กลิ่นแบบที่มาหมอทั้งโซน Collection ปกติและ Collection ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ ซึ่งแน่นอนว่าในนั้นต้องมี Oud เพราะถ้าไม่มีก็ไม่น่าใช่แบรนด์นี้ ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยความเป็น Oud ออกมาเพียงรุ่นเดียว (ก็เอาดีทางนี้จะมาเม้มแค่ตัวเดียวคงไม่ได้) ซึ่งก็มาถึง 2 รุ่น คือ Crazy for Oud (ผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้วก่อนหน้านี้) และ Precious Oud

เช่นนั้นเพื่อให้ครบถ้วนในการเป็นแพ็คคู่ที่ออกมาในปีดังกล่าว เราก็ต้องเล่ากลิ่นให้ครบเพื่อจะได้รู้ว่า Mancera ตีความ Oud แบบสไตล์ล้ำค่าออกมาอย่างไร นอกจากที่หลงละเมอเพ้อพกกับ Oud ใน Crazy for Oud ไปแล้วในก่อนหน้านี้

Precious Oud เปิดต้นกลิ่นมาก็มาสาย Fruity แนวๆ ไซรัปกึ่งวิสกี้ที่พุ่งวูบขึ้นมาได้อารมณ์แนวๆ กลิ่นไซรัปที่ทำลูกอมสีแดงหอมหวานแนวฮาร์ทบีทหรือโอเล่ที่มีโทนเปรี้ยสติดขมเล็กๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เสริมอยู่ด้วย ซึ่งมาพอมาเคล้ากับโทนเหล้าวิสกี้เลยทำให้ได้อารมณ์แบบกึ่งลูกอมกึ่งไซรัปในวิสกี้มาเลย ซึ่งกลิ่นมาสายเย้ายวนแบบเปิดตัวชัดเจนเรียกแขกกันเต็มๆ และสามารถสร้างรอยยิ้มให้คนที่ชอบกลิ่นอายสายหวานเย้าได้ดีมาก แต่ในวูบถัดไปจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายกึ่งไม้หอมติดอวลกึ่งโทนออกทางชีสหน่อยๆ ในเนื้อกลิ่นซึ่งเป็นสไตล์ของกลิ่น Laotian Oud ที่เป็นไม้กฤษณาจากลาว จะให้โทนลักษณะชีสซี่แบบนี้ เริ่มเข้ามาแทรกซึมในเนื้อกลิ่น พร้อมกับมีกลิ่นติด Animalic หน่อยๆ ของหนังเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้กลิ่นจะมีความหวานหอมไซรัปเจือวิสกี้แกมกลิ่นตุ่นๆ ที่อาจจะมีความแปร่งบ้าง แต่มันดึงความสนใจจากหนัง และมีความอวลติดชีสที่มีเสน่ห์ซ้อนประปรายสร้างความดึงดูดได้ดีจาก Laotian Oud เข้าไปอีก และยังทำให้ได้ อารมณ์แบบรู้เลยว่ามี Oud อยู่และเป็นตัวแปรที่สร้างอารมณ์ที่ให้ความเป็น Precious Oud ได้ด้วยเพราะความเป็นโทนออกทางไซรัปฟรุตตี้สีแดงแกล้มวิสกี้นี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์แบบอัญมณีได้ด้วย ถือว่าเปิดมาก็ชัดตามชื่อรุ่นเลย

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มจากที่เริ่มมีโทนออกทางขนมที่มีความเป็นครีมคัสตาร์ดวานิลลาปนโกโก้แกมกาแฟแบบสไตล์เค้กทีรามิสุ ซึ่งเลยมีความเอ๊ะ! ขึ้นมาก่อนว่าคุ้นๆ ว่าเคยสัมผัสกลิ่นแบบนี้ของ Mancera มาก่อน แต่ยังไม่ปักใจฟันธงว่าเป็นรุ่นไหน ซึ่งกลิ่นทีรามิสุเองก็จะได้ตัวเสริมที่ดีอย่าง Laotian Oud ที่มีโทนชีสซี่อยู่แล้วมาทำให้กลายเป็นโทนออกทางขนมหวานที่มีความเย้าลึกของ Oud มากขึ้นไปอีก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางแป้งหอมกุหลาบเข้ามาเสริมด้วย เพราะเป็นการผนึกกำลังเข้าด้วยกันของกุหลาบและไวโอเล็ต เลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมกุหลาบโปร่งหวานอ่อนๆ มาเสริม แถมสอดรับไปได้ดีกับโทนหนังที่เริ่มจะมีความอบอุ่นติดละมุนมากขึ้น ตลอดจนกลิ่นโทนหวานไซรัปในช่วงแรกก็ยังตามมาอยู่ เลยทำให้กลิ่นจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจจากหวานไซรัปสีแดงที่อ่อนลงมานิดนึง สู่กลิ่นอวลกึ่งขนมหวานกึ่งแป้งหอมดอกไมที่เย้ายวนและมีเสน่ห์แกมดึงดูดของ Oud และหนัง ซึ่งตอนนี้แหละ ฟันธงได้เลย ว่านี้คือ Crazy for Oud ในรูปแบที่มีความหวานหมติดแหลมไซรัปที่ฉาบหน้าชัดเจน และไม่พอเมื่อไปดู Notes ให้เคลียร์ ก็ตึ่งโป๊ะ! เลย Notes เหมือนกันแทบทั้งหมด และออกมาแบบแพ็คคู่ด้วย เลยเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นการเล่นโทนกลิ่นเด่นที่ต่างกันในพื้นฐาน Notes กลิ่นที่เหมือนกันแทบจะทั้งหมดนั่นเอง

ในช่วงท้ายชัดเจนมากกับกลิ่นอายโทนหนังและ Oud ที่จะเริ่มเซทตัวเป็นลักษณะกลิ่นหนังกึ่ง Oud ที่มีความ Smoky แกมดาร์กกำลังดีจะเป็นแกนนำหลัก โดยที่กลิ่นอายสายหวานไซรัปเหลือเพียงเบาบางจนจางไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่มีจะมีกลิ่นโทนไม้หอมและโทนอบอุ่นแนวกึ่งแอมเบอร์และแป้งวานิลลามาเสริมแบบกำลังดีแทน ซึ่งกลิ่นทีรามิสุกับแป้งกุหลายก็ยังมีอยู่บ้างแต่มาแบบประปรายอ่อนๆ ซึ่งทำให้อารมณ์กลิ่นจะไม่ได้ Animalic จ๋าไป แต่ให้ลูกเย้าในโทนหนังที่ลงตัวในการเป็นกลิ่นอายอวลๆ รุมๆ แกมกลิ่นออกทางแป้งวานิลลาอ่อนๆ ที่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมนวลๆ และกลิ่นโทนแอมเบอร์ที่เน้นออกทางเสริม Effect ความอบอุ่นติดอวลในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายที่แน่นอนว่ากลิ่นใกล้เคียงลักษณะเดียวกันกับรุ่น Crazy for Oud เพียงแต่จะไม่ได้ถึงกับดิบเท่ห์มากเท่า ถือเป็นการปิดท้ายที่แน่นอนคุมโทนได้ดีและมีสมดุลย์ในการผสมผสานกลิ่นที่ยังไงก็ผ่านในการเป็นสไตล์ของ Mancera 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพียงแต่ช่วงต้นจะออกไปทางผู้หญิงนิดนึงเพราะกลิ่นไซรัปกึ่งลูกอมผสมเหล้าวิสกี้ แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็เป็นโทนกลางๆ ไม่แบ่งแยกเพศ ซึ่งถ้าไม่มายด์เรียกว่าใช้ได้หมดอยู่แล้วกับทุกเพศ โดยกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ข้ามเรื่องทางการ และการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรืออกกำลังกายไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องเหล่านี้เลย แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน Office อ่ะ แบบนี้ได้อยู่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอีกด้วยแบบสไตล์กรุ้มกริ่มเย้ายวนอวลน่าซุก ส่วนยามค่ำคืนจัดไปได้หมดทั้งออกงาน ทั้งท่องราตรี และทั่วๆ ไปแกมโรแมนติคที่เน้นเสน่ห์ดึงดูด

ความทน - จัดจ้านอยู่แล้วตามสไตล์ของแบรนด์ที่ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกยาว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นและลากยาวไปราว 1 ชม. ที่ฟุ้งกระจายรอบตัวแถมทิ้งค้างในห้องที่ฉีดอีกด้วย แล้วจึงค่อยๆ ลดลงมาที่กระจายดีซัก 3 ชม. แล้วจึงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ  

สรุป - อารมณ์ระหว่าง Precious Oud และ Crazy for Oud มาแนวเดียวกับ MFK - Gentle Fluidity ตัว Silver และ Gold ที่พื้นฐาน Notes กลิ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างมาก เพียงแต่สลับ Notes เด่น เลยทำให้กลิ่นจะแตกต่างอารมณ์กันไป โดยที่ Base Notes จะมีความใกล้เคียงกันมากจริงๆ ซึ่งถ้าชอบกลิ่นอายกึ่งขนมแกมดาร์กไปเย้าดึงดูดโดยมี Oud เป็นตัวเสริมที่ดีมาก ไป Crazy for Oud แต่ถ้าชอบหวานกึ่งไซรัปเย้ามีเสน่ห์สไตล์เรียกร้องความสนใจ และมีโทนสีแดงเปล่งประกายเสริมด้วย Oud ที่มีความอวลลึกเซ็กซี่แกมขนม + Baccarat Rouge 540 เนียนๆ มาที่ Precious Oud ได้เลย สามารถเลือกได้ตามใจชอบ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://krystalfragrance.com/products/precious-oud-by-mancera-edp-eau-de-parfum

 

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Amber Fever

Mancera - Amber Fever

หลังจากเกิดกระแสความฮิตติดลมบนกับกลิ่นอายหวานลึกมีเสน่ห์เย้ายวนของ MFK - Baccarat Rouge 540 (จะเรียกว่า BR540 หลังจากนี้) หลังจากนั้นก็จะมีน้ำหอมในสไตล์เดียวกันออกตามๆ กันมาเยอะมาก บางทีก็เป็นการต่อยอดให้มีอะไรมากขึ้นและมีความเป็นสไตล์ของแบรนด์นั้นๆ รวมถึงก็ไม่ได้ออกมาตามเขาหรอก แต่โทนกลิ่นดันไปใกล้เคียงบางส่วน คนก็จับมาเทียบกันให้วุ่นวายกันไปหมด ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่โดนไปจับเทียบหลายรุ่นไม่น้อยว่ามีโทนคล้ายคลึงมากนั่นก็คือ Mancera ซึ่งก็เรียกว่า โดนไป 3 รุ่นกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Precious Oud, Instant Crush และ Amber Fever

เช่นนั้น ทยอยๆ จับมาเล่ากลิ่น เลยขอมาเปิดกันก่อนกับรุ่นที่มีโอกาสได้จับต้องก่อนเลยจาก 3 กลิ่นที่กล่าวไว้ข้างต้น นั่นก็คือ Amber Fever มาดูกันหน่อยซิ ว่าจะเป็นอย่างไร

เปิดตัวด้วยวิสกี้มาชัดเจนมาเลย ซึ่งกลิ่นจะหอมออกทางเหล้าวิสกี้ที่ฟุ้งออกมาแกมโทนหวานคาราเมลกึ่งไซรัปฮาเซลนัทหอมที่ซ้อนอยู่อย่างชัดเจน เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ไปสายหวานข้น ยังมีความโปร่ง และมีโทนที่มีมิติให้จับต้องได้ว่าไม่ได้ใสโหวง มีความลึกในกลิ่นในสไตล์ของเหล้าวิสกี้พอสมควร และในวูบถัดมาจะมีกลิ่นออกทางติดโทนคล้ายหญ้าแห้งปลายหวานเจือเขียวนิดๆ ที่พอมาจับกับคาราเมล มันคล้ายถั่วตองก้าเข้ามาเสริมด้วยทำให้กลิ่นมีความหนาอวลในเนื้อกลิ่นขึ้นมาหน่อยนึง จนเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับได้ถึงโทนออกทางคล้ายไม้หอมกึ่งถั่วที่รองพื้นกลิ่นอยู่ เรียกว่ากลิ่นเปิดมามีมิติที่น่าสนใจมาก ในการเล่นโทนออกทางเจ้าเสน่ห์ดึงดูดของวิสกี้ที่มีความลุ่มลึกกำลังดีเสริมด้วยโทนหวานหอมต่างๆ และเพิ่มความอวลหนาของกลิ่นทีละหน่อยๆ ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ช่วงนี้ถ้าดมเผินๆ อาจจะไพล่ไปเหมือนกับ BR540 ได้ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์จริงๆ เนื้อกลิ่นมันไม่ได้เหมือนขนาดนั้น มันมีโทนเย้าและเจ้าเสน่ห์แนวสมาร์ทเจือหวานเรียกแขก โดยไม่ได้ไปทางโทนสีแดงชาดผลึกลึกกึ่งน้ำตาลไหม้แบบรุ่นดังที่ว่าแต่อย่างใด 

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มชัดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าโทนกลิ่นวิสกี้แกมคาราเมลยังคงเด่นเป็นสง่าในการเดินกลิ่นหลัก แต่เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งเข้าทางโทนแป้งกึ่งไม้หอมแกมอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งตัวที่มาแบ่งเค้กโชว์ซีนเด่นอีกหนึ่งนั่นก็คือ กุหลาบที่มีลูกผสมแบบโทนแป้งหอมดอกไม้มาสนับสนุน ทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความหนาและอวลแบบที่ไล่เลเยอร์ได้น่าสนใจเริ่มจากวิสกี้หวาน ตามด้วยแป้งกุหลาบหอมสนับสนุน ก่อนจะจับความหนาของกลิ่นในสเต็ปรองพื้นกลิ่นของไม้หอมติดแน่นปนอบอุ่นแกมโทนแอมเบอร์ที่เข้าทางวานิลลาหน่อยๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นช่วงที่กลิ่นมีพลังในการปล่อยของได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ช่วงแรกที่เปิดตัวมาก็เรียกแรกเจ้าเสน่ห์เลย แต่อารมณ์กลิ่นในช่วงนี้จะเปลี่ยนมาเป็นอบอวลแทน โดยที่จะได้ทั้งความเจ้าเสน่ห์แกมหวานเช่นเดิม เพิ่มเติมความเย้ายวน และความมีพลังที่ชัดเจนในพื้นฐานกลิ่นไม้หอมที่ตรึงให้กลิ่นไม่ลดราวาศอกในการสร้างบาเรียกลิ่นหุ้มรอบกายแบบสายสตรองและเป็นระดับ 1 เมตร กันเลย

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีความผ่อนตัวลงมาทำให้โทนไม้หอมที่ออกทางแนวไม้ที่มีกลิ่นอวลพอสมควรและแอบมีโทน Smoky หน่อยๆ แบบฝังในเนื้อไม้เคล้าโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เริ่มแทรกตัวออกมาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเด่นจนดึงซีนไปหมด เพราะว่ากลิ่นในช่วงกลางยังคงมีอิทธิพลชัดเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นวิสกี้แกมหวานที่เบาลงมาพอสมควร กลิ่นแป้งกุหลาบที่ยังมีให้จับต้องได้ แต่กลิ่นจะให้อารมณ์ลักษณะโทนอบอุ่นดึงดูดแทน โดยที่มีโทนแกมนวล Musk มาเสริมให้พื้นกลิ่นแบบติดผิวมีความนุ่มมากขึ้นด้วย โดยภาพรวมมิติกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากช่วงกลางมากนัก เพียงแต่ลดทอนความอวลแป้งติดหวานคาราเมลแกมวิสกี้ลงไปพอสมควร ดันให้กลิ่นไม้หอมติดแน่นและมีความนวลปนอบอุ่นหน่อยๆ ขึ้นมาทำหน้าที่คุมโทนหลักเด่นกันยาวๆ ไปแทน อารมณ์กลิ่นเลยให้ความเป็น Woody สายสมาร์ทและเจ้าเสน่ห์ชวนซุกเนียนๆ โดยคุมโทนกลิ่นแบบวางตัวดี ไม่ได้ดูพยายามกันยาวๆ ไป 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนตอนต้นเลย แล้วช่วงกลางจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าบ้างเล็กน้อยๆ แล้วสลับกลับมาไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าเล็กน้อยอีกทีในช่วงท้าย เลยเรียกว่าใส่เถอะได้หมดทุกเพศ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะถ้าเผลอหนักมือเรียกว่าถึงขั้นตึ้บเอาได้ เพราะกลิ่นมีพลังความแน่นและแผ่กระจายเต็มที่มาก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับงานทางการจัดๆ นัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อันนี้ได้อยู่แบบตามความเหมาะสม หรือจะเอาไว้ใส่แบบทั่วๆ ไปก็สบายมาก ยกเว้นใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกาย ลามไปถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงาน โรแมนติค หรือท่องราตรีเรียกว่ากวาดหมดและปล่อยเสน่ห์ได้ดีมากด้วย

ความทน - อันนี้แหละสุดติ่งจริงอะไรจริง เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ แถมอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวพอขยับตัวก็ยังตีขึ้นเป็นกลิ่นไม้อวลๆ อวลแบบไม่หนักมากอยู่ แต่พอตื่นเช้ามาก็จับไม่ค่อยได้แล้ว นี่แหละความสุดของกลิ่นนี้ล่ะ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากและคงตัวยาวไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายดีที่แบบสร้างบาเรียรอบตัวราว 1 เมตรอยู่ดี จนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงผ่อนลงมาเป็นปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 12 ชม. แล้ว ซึ่งนี่ก็เรียกว่าเป็นความสุดติ่งอีกหนึ่งได้เลย

สรุป - ถ้าจะมีติดก็มีนิดหน่อยที่ชื่อรุ่นว่า Amber Fever ก็จริง แต่ความเป็น Amber มันแค่เป็นตัวสนับสนุนชั้นดีแนวแทรกซึมเสียมากก็เท่านั้นเอง แล้วเหมือน BR540 ไหม? มันก็มีลูกเอื้อนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากเลยถ้าเทียบกับความเป็นโทนที่ฉีกออกไปเป็นไม้หอมอวลฉาบด้วยวิสกี้เคล้าคาราเมล แล้วรองรับด้วยโทนแป้งที่มีเสน่ห์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกเทศเลยก็ว่าได้ แถมมีความดีงามในความทรงพลังและการกระจายที่ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mancera-Amber-Fever-12968.html

 

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - So Iris Intense

Montale - So Iris Intense

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกมีมาครบเลยทั้ง So และ Intense ที่มาประกบคำว่า Iris เป็นแซนด์วิชกันเลย ซึ่งถือว่าแค่นี้ก็สามารถเรียกแขกได้ไม่น้อยจริงๆ รวมถึงพื้นฐานความเข้าใจที่เมื่อเห็น Montale แน่นอนว่าเราจะต้องเจอความ Power House ปล่อยพลังจัดจ้าน ซึ่งนี่แหละเลยอยากรู้ อยากเห็น และอยากลองขึ้นมาทันทีเลย

และย่อหน้าข้างต้นนั่นคือการคาดคะเนก่อนที่จะได้ได้งานรุ่น So Iris Intense ที่จะได้สัมผัสซะทีว่า Montale จะมาสื่อสารกลิ่นอายของรุ่นนี้ยังไง เพราะถือว่าเป็นการชูโรง Iris แบบเต็มๆ รุ่นแรกของแบรนด์เลยก็ว่าได้ และผลที่ได้จากการใช้งานก็เป็นเช่นนี้

เมื่อลงสเปรย์เรียบร้อยถึงกลับต้องหันไปมองขวด ว่าหยิบผิดกลิ่นมาฉีดหรือเปล่า เพราะมันมีความ เอ๊ะ! ในเนื้อกลิ่นสูงมาก และโดยส่วนใหญ่เวลาเจอกับ Montale เรามักจะเจอความทรงพลังเป็นตัวเปิดเสมอ แต่ So Iris Intense ดันไม่ใช่ เพราะกลิ่นจะเปิดมาในลักษณะมินิมัลมากๆ แต่มีความชัดเจนกับการเป็นโทน Iris ที่ให้โทนกึ่งดอกไม้จืดติดทึบลักษณะแบบแป้งฝุ่นที่มีโทนติดแป้งโปร่งหวานนิดๆ ที่เดาได้ไม่ยากว่าจะเป็นโทนของดอกไวโอเล็ตที่มาสนับสนุนให้มีมิติโทนแป้งที่ไม่ได้ทื่อๆ เกินไป ตามด้วยมีโทนออกทางสดชื่นแกมไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาเสริม ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายตะโกนเรียกร้องความสนใจเลย ออกแนวแบบรุมๆ อวลๆ รอบตัวแบบที่กลิ่นชัดเจนตีขึ้นให้รับรู้ตลอดเสียมากกว่าในการเป็นโทนแป้งแนวแป้งฝุ่นแกมดอกไม้ติดจืดระเรื่อแกมหวานปลายปนชื้นอ่อนๆ ที่มีกลิ่นไม้หอมคลอๆ ประมาณนั้น ซึ่งอันนี้เหวอและอึ้งไปพอสมควรเลยทีเดียว เพราะไม่คิดว่า Montale จะมาแนวนี้

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีความเข้มข้นมากขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป อารมณ์กลิ่นจะหนาจากตอนต้นขึ้นมาหน่อย เพราะจะมีกลิ่นไม้หอมติดจืดหอมแกมครีมมี่ปนหวานนวลของไม้จันทน์หอมที่เข้ามาเสริมกับโทนแป้งที่ Iris เป็นตัวนำทีม และโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่จับต้องได้ในช่วงแรก ที่เดาว่าน่าจะเป็น ISO E Super จะเริ่มเป็นตัวเสริมที่ดีที่ทำให้กลิ่นโทนไม้หอมมีมิติที่ไม่ได้ครีมมี่จนเกินไป แต่ให้ลักษณะที่เสริมกับโทนแป้งได้ลงตัวมากขึ้น อารมณ์กลิ่นจะแบ่งเค้กและเสริมกันอย่างลงตัว แบบที่แยกกลิ่นได้ชัดเจนว่านี่คือโทนแป้งเด่นที่ Iris นะเพราะมีโทนออกทางแป้งฝุ่นติดหวาน (ที่ไวโอเล็ตเสริมอยู่) และตัวแทรกอยู่คือไม้จันทน์หอมที่มีความจืดหอมนวลๆ แกมกลิ่นไม้แห้งโปร่งๆ ซึ่งกลิ่นจะไม่ซับซ้อนเลย ตรงไปตรงมามากกับการเป็น “แป้งไม้หอม” ชัดเจนจริงๆ และมีความรู้สึกหน่อยๆ ด้วยว่ากลิ่นมีโทนติดทึบ Earthy หน่อยๆ ที่น่าจะเป็นหัวเหง้าออริส (เหง้าของต้นไอริส) ที่มาแบบโทนติดแห้งๆ เสริมอยู่ด้วย และใช่เลยเพราะในช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นนี้กลิ่นออริสที่ติดทึบแกมแป้งจะมาสอดรับกับโทน White Musk ที่มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลและเสริมให้โทนแป้งมีความละมุนกำลังดีมากขึ้น และแอบจับได้เบาๆ ด้วยว่ามีกลินกลิ่นแป้งอบอุ่นแบบวานิลลาอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย เพราะมีกลิ่นนุ่มนวลผ่อนคลายจมูกแบบเวลาได้แป้งวานิลลาอ่อนๆ ให้สัมผัสได้ แต่ทั้ง White Musk และ Soft Vanilla ต่างก็เป็นตัวเสริมเท่านั้น เพราะโทนแป้ง Iris กับไม้หอมจะยังเด่นอยู่ เพียงแต่จะมีกลิ่นติด Earthy แห้งๆ แบบเหง้าใต้ดินหน่อยๆ ของออริสที่สร้างมิติกลิ่นให้มีเลเยอร์อื่นๆ ให้สัมผัสได้มากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจากการสัมผัสกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ มันได้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์มินิมัลเรื่อยๆ มาเรียงๆ เด่นที่โทนแป้งตีคู่กับไม้หอมแบบเรียบหรู และมีความ Unisex ในเนื้อกลิ่นสูงเพราะคุมสมดุลย์ความกลางๆ ได้ดี ซึ่งแน่นอนไม่คิดว่าจะได้เจอกับ Montale แต่พอเจอแล้ว ก็ทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะกลิ่นมีความกลางๆ มากพอที่จะเสริมบุคลิกผู้สวมใส่ในการเป็นโทนแป้งไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป ให้อารมณ์แป้งไม้หอมที่เรียบง่ายแต่น่าค้นหาและมีเสน่ห์แกมเรียบหรูได้ดี แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกายจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ไปได้ดีกับสถานการณ์เหล่านี้นัก รวมถึงการตัดออกจากการใส่ไปเพื่อเรียกแขกยามท่องราตรีจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เรียกร้องความสนใจเน้นรุมๆ อวลๆ รอบตัวแบบสไตล์คลุกวงในเสียมากกว่า

ความทน - แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็น Extrait de Parfum หรือ Pure Parfum แต่ความทนก็ตกที่ราวๆ 8 ชม. ประมาณนี้ แถมไปว่าอาจจะบวกลบราวๆ 2 ชม. ก็ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 2 - 3 ชม. ก่อนจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ตีขึ้นให้ผู้ใช้รับรู้ไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เต็มตัวเมื่อผ่านไปซักราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว เพราะกลิ่นช่วงท้ายค่อนข้างจมลงกับผิวพอสมควร แต่เป็นเรื่องดีเพราะไม่ทำให้เราอึดอัด เพราตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวเสียมากกว่า 

สรุป - เรียกว่าไม่เคยได้เจอความเป็นสไตล์มินิมัลจาก Montale มาก่อน เรียกว่าเหวอไปเลย จนคิดว่าตาลายหยิบขวดผิดมาฉีดหรือเปล่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสไตล์จัดหนักจัดเต็มในเรื่องการกระจายรอบทิศแบบที่ส่วนใหญ่เราจะเจอกับ Montale มาเสมอ แม้จะชื่อรุ่นว่า So Iris Intense ก็ตาม ซึ่งน่าจะเน้นเรื่องความเข้มข้นของน้ำหอมมากกว่าเพราะว่าเป็น Pure Parfum เลยให้ชื่อรุ่นประมาณนี้ แต่ถ้าตัดเรื่องการกระจายออกไป ถือว่ากลิ่นนี้เป็นการนำเสนอโทน Iris คลอไปกับไม้จันทน์หอมได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะให้ความเป็นหอมแกมไม้สว่างนวลไปตลอดแบบที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ในความเข้มข้นที่ชัดเจนมากในการให้จับต้องได้ และแน่นอนว่าถ้าใครชอบ Iris มาลองตัวนี้ระวังโดนตกเข้าให้เอาได้เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Montale/So-Iris-Intense-43413.html

 

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - Bakhoor

Montale - Bakhoor

ในการนำเสนอโทน Incense หรือธูปหอมต่างๆ ผ่านน้ำหอมที่ Montale ปล่อยออกมาวางจำหน่าย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีรุ่นดังอย่าง Full Incense ที่เรียกว่าจัดเต็มในการปล่อยพลังทางกลิ่นธูปแบบที่ชัดเจนทุกสโตรกและแผ่รังสีได้แบบถึงใจคนชอบโทน Incense มานักต่อนัก แต่ก็ไม่ใช่มีเพียงรุ่นเดียวที่ว่ากันในโทนนี้ เพราะกลิ่นอายสายธูปที่มีพื้นเพมาจากทางอาระเบียนมันก็มีหลากหลายพอสมควร

เช่นนั้น เลยเป็นที่มาของการสร้างสรรค์กลิ่นอายสายธูปขึ้นมาเสริมทัพในรุ่น Bakhoor ที่เป็นกลิ่นอายสไตล์ธูปหอมที่ผสมผสานความเป็นยางไม้ ไม้หอมต่างๆ และน้ำมันหอมระเหยเข้าด้วยกันจนเป็นกลิ่นโทนที่น่าค้นหา ขรึมขลังมีเสน่ห์ และเป็นโทนที่สื่อถึงวัฒนธรรมทางอาระเบียนได้ด้วยเช่นกัน เลยไม่ขอท้าวความอะไรมาก มาว่ากันเลยดีกว่าว่ารุ่นนี้ Montale จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นเรียกว่านี่แหละ Montale’s Style ชัดเจน เพราะจะต้องมีกลิ่นอายสไตล์อาระเบียนอยู่โดยการผสมผสานกลิ่นโทนไม้กฤษณา (ขอเรียกว่า Oud หลังจากนี้) กับกลิ่นอายติดแปร่งขมเจือหวานของหญ้าฝรั่นที่ให้โทนแบบอาระเบียนเข้ามา แถมมีกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ที่มีความ Smoky แฝงเสริมอยู่ แต่กลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงมากนักแบบปล่อยพลังพร่ำเพรื่อ จะให้ความกลางๆ ที่อวลๆ กำลังดี แอบมีความโปร่งมากกว่าที่คาดคะเนไว้ ซึ่งจะมีโทนไม้หอมแทรกประปรายให้จับต้องได้ ซึ่งนั่นก็คือโทนออกทางไม้ซีดาร์ ซึ่งคาดว่าจะต้องมี ISO E Super แฝงอยู่ด้วยเลยมีความโปร่งๆ ให้รู้สึก ทำให้กลิ่นช่วงต้นเลยออกแนวสร้างความรู้สึกในแบบลายเซ็นของแบรนด์กันก่อนว่าจะต้องมีโทนแบบนี้ให้รู้ ก่อนจะปูทางสู่ช่วงที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมต่อในช่วงกลาง

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มให้จับต้องได้เมื่อกลิ่นโทนไม้หอมต่างๆ เริ่มแทรกตัวมาเป็นตัวนำกลิ่นซึ่งต้องเรียกว่าเป็นการผสมผสานโทนไม้หอมที่เสริมกันเป็นอย่างดีมากและจับต้องแยกโทนกลิ่นได้ไม่ยากด้วย เพราะจะได้ความเป็นกลิ่นไม้หอมติดปร่าขรึมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์แกมกลิ่นออกทางไม้ดินสอ (แน่นอนว่า ISO E Super ชัดเจน) ตามด้วยกลิ่นไม้แห้งๆ ที่เป็นกลิ่นโทนสไตล์หญ้าแฝกที่ไม่ได้ออกทางรากใต้ดินหรือถั่วๆ และกลิ่นไม้ครีมนวลจืดหอมของไม้จันทน์หอมที่เสริม ทำให้มิติของกลิ่นไม้หอมในช่วงนี้ค่อนข้างเสริมกันได้ลงตัว รวมถึงกลิ่นจะมีความปร่ากึุ่งพริกไทยแกมยางไม้อ่อนๆ ที่เป็นลักษณะของ Frankincense เข้ามาร่วมด้วย และยังไม่พอกลิ่นในช่วงต้นก็ตามมาทั้งหมดเลย ทำให้กลิ่นไม้หอมที่เป็นพื้นกลิ่นจะมี Oud และหญ้าฝรั่นเข้ามาเสริมสร้างความอวลลึกดาร์กน่าค้นหา แถมมีโทน Smoky หน่อยๆ แกมหนังด้วย เรียกว่าช่วงกลางนี้มีความชัดเจนมากกับการเป็นอารมณ์ธูปไม้หอมที่มีความอวลลึกรุมๆ กรุ่นกำจายแบบสร้างบาเรียรอบตัวที่ขรึมขลังน่าค้นหา แต่มีความโปร่งและสว่างเนียนๆ มาตัดทอนไม่ให้กลิ่นดูดาร์กจนมากเกินไป อารมณ์หยินหยางกำลังดี

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปซักพักใหญ่ความอวลแกมอุ่นเริ่มชัดเจนมากขึ้น และมีโทนออกทางกึ่งไม้แห้งๆ กึ่งผิวกายติดเค็มเล็กๆ คล้ายโทน Ambergris หรืออำพันปลาวาฬเข้ามา แต่ถ้าให้คาดเดาน่าจะเป็น Ambroxan ที่ทำหน้าที่แทนเสียมากกว่า ซึ่งมาเสริมกับโทนไม้หอมให้ความอวลอุ่นกำลังดีไม่พอ ยังมีโทนไม้ออกทาง Smoky ติดออกทางกึ่งหนังแกมไม้นิดๆ ที่เสริมเข้ามาด้วยเลยทำให้กลิ่นธูปไม้หอมจากช่วงกลางเริ่มมีความ Smoky รุ่มรวยขรึมและน่าค้นหาแบบชัดเจนมากขึ้น แต่เพราระมีโทน Musk มาตัดทอนเลยทำให้กลิ่นมีความนวลสว่างกำลังดีเข้ามา และทำให้กลิ่นมีความนุ่มลงไม่ได้ตะยี้ตะบันอัดความเป็นธูปยางไม้+ไม้หอมแบบจัดหนักนัก เลยจะได้อารมณ์กลิ่นอายที่เป็นโทนธูปอวลๆ อบอุ่นแกมนุ่มๆ ที่คลอรอบกายไปเรื่อยๆ แบบที่มีลูกเอื้อนปลายกลิ่นอ่อนๆ สไตล์ Oud เบาๆ ที่มีเสน่ห์ปิดท้ายอย่างพอเหมาะและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่พื้นเพชอบกลิ่นอายสายไม้หอมและธูปยางไม้ รวมถึงกลิ่นอายสไตล์ตะวันออกกลางแบบอ่อนๆ ได้ (กลิ่นแนว Oud ไม่ได้หนักมาก ผ่านช่วงต้นไปที่เหลือก็สบายมากแล้ว) ก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายๆ เลย เพราะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เน้นสร้างออร่าความขรึมขลังแต่ไม่ได้ถึงขั้นหลอนเหมือนมีกลิ่นธูปคลอแบบนั้น ให้อารมณ์น่าค้นหาเสียมากกว่า รวมถึงสามารถใส่ออกงานกลางคืนได้อยู่ แต่ถ้าจะใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกาย แนะนำให้ข้ามไปดีกว่า รวมถึงใส่ไปท่องราตรี ที่กลิ่นอาจจะทำให้คนงงๆ ได้อยู่ว่าไปทำพิธีกรรมอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า แต่ถ้าแน่ จะลองก็ได้ เพราะกลิ่นมันมีโทนน่าค้นหาอยู่พอสมควร

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐาน 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถึงราวๆ 12 ชม. เลยกับการใช้เพียง 4 สเปรย์ ซึ่งเรื่องนี้ Montale ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

การกระจาย - อันนี้จะมาแปลกกว่าสิ่งที่เคยเจอจาก Montale พอสมควร เพราะไม่ได้มาสายปล่อยพลังสะท้านฟ้านัก ซึ่งแม้กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ก็จะผ่อนลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ แบบที่คงตัวและเสถียรกันยาวๆ พอสมควรถึงราวๆ 6 ชม. กลิ่นถึงจะเริ่มลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปยาวๆ จนพ้นซัก 10 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวแล้ว ซึ่งอันนี้เกิดคาด แต่เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันไม่หนักไปนั่นเอง  

สรุป - ถ้าเอาความหวือหวา กลิ่นนี้ไม่ได้มาแบบเต็มที่หนักหน่วงจัดจ้านในลักษณะน้ำหอมโทน Incense ในแบรนด์เดียวกันอย่าง Full Incense แต่ให้ความเรื่อยๆ อวลๆ แบบที่สร้างบาเรียน่าค้นหาและมีระดับรอบตัวแบบที่กำลังดีเสียมากกว่า โดยบาลานซ์กลิ่นได้ดีชูโรงกลิ่นไม้หอมและยางไม้แกมธูปเสริมด้วยโทนอาระเบียนแบบประปรายที่สร้างเสน่ห์ ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหอมสายธูปที่ใช้ไม่ยาก แต่ให้ความดีงามเสริมบุคลิกที่น่าค้นหาและขรึมขลังแกมสว่างนวลได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.instagram.com/p/CIu_FWAnZwm/?utm_medium=copy_link

 

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Montale - Tropical Wood

Montale - Tropical Wood

เมื่อเห็นชื่อรุ่นว่า Tropical Wood ของ Montale ครั้งแรกความคิดและจินตนาการแรกก็คาดการณ์ไว้ว่ากลิ่นจะต้องมาในลักษณะแบบไม้หอมในเกาะเขตร้อน ต้องน่าจะมีอะไรทะเลๆ มีดอกไม้ขาวครีมนวล และกลิ่นออกทางผลไม้เมืองร้อนที่จะต้องได้อารมณ์ในการตากอากาศแต่เด่นกลิ่นอายโทนไม้หรือน่าจะออกทางกลิ่นแนวป๋าเขตร้อน อะไรประมาณนี้แน่ๆ

แต่พอมาดู Notes กลิ่น ความเอ๊ะ! ก็เริ่มปรากฎ เพราะว่ามี Oud มีกุหลาบ และก็มีหนัง มันจะออกแนว Tropical Wood ไม้เมืองร้อนแบบไหน และจะบิดกลิ่น 3 Notes นี้ให้มีความ Tropical เช่นนั้น จัดไป ผลที่ออกมาคือ

เปิดต้นมาเรียกว่าสร้างความ Tropical จริงอะไรจริงแบบเขตร้อน นั่นก็คือโทนผลไม้ ซึ่งกลิ่นที่โดดออกมาก่อนเพื่อนเลยคือ เสาวรส ซึ่งกลิ่นจะมาแบบติดเปรี้ยวหอมนวลกึ่งเอียนเล็กๆ กำลังดี มีอารมณ์ค่อนไปทางไซรัปอยู่พอประมาณ แล้วก็จะมีตัวเสริมที่ดีเชื่อมความเป็นผลไม้เมืองร้อนเข้าไปอีกอย่างสับปะรดที่ให้โทนค่อนไปทางติดหวานอมเปรี้ยวหอมมาเสริม แบ่งเลเยอร์ได้ดีกับเสาวรสพอสมควร ก่อนจะได้อารมณ์สดชื่นติดปลายขมปร่าเจือเปรี้ยวหน่อยๆ ของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่มาเติมเต็มได้ให้มีความเป็นโทนผลไม้ที่ได้ความหวานอมเปรี้ยวติดนวลกึ่งแปร่งเอียนเล็กๆ ตามที่ควรจะเป็นออกแนวกึ่งไซรัปผลไม้รวมสีส้มเหลือง ซึ่งทั้งหมดที่บรรยายนี้จะเด่นจัดจริงๆ ในช่วง 1 - 2 นาทีแรกในการจับกลิ่น แต่ที่เหลือนี่สิ

ตัวที่แทรกขึ้นมาไวมากให้ความเป็นไม้หอมอวลลึกอย่าง Oud นี่แหละ ที่มาพลิกเกมกันเลย เพราะเนื้อจะมีกลิ่นไม้ติดดาร์กปนแปร่งอวลยวนจมูกเนียนแทรกเข้ามาให้โทนผลไม้ฉาบหน้า กลิ่นที่ได้เลยจะเริ่มมีความเป็น Tropical Wood แบบที่ชื่อรุ่นบอกมากขึ้น แม้มันจะทำให้การคาดการณ์ตามที่ระบุในย่อหน้าแรกพังพาบไปเลย ว่ามันไม่ได้เป็นกลิ่นแบบเกาะเขตร้อน ป่าเขตร้อนแล้ว แต่มันคือการจับเอาความ Tropical มา + กับ Wood ที่เป็นสไตล์หลักของ Montale เลย โดยไม่ได้ไปยุ่งกับสภาพแวดล้อมที่ไหน คือ เอามาป่ะกัน ประมาณนั้น แล้วเพียงไม่นานสิ่งที่เกินคาดไปอีกก็มานั่นคือกลิ่นออกทางกึ่งแป้งหอมกุหลาบที่มีความเป็นแป้งกุหลาบหวานโปร่งที่เสริมเข้ามาทำให้โทนกลิ่นมันเปลี่ยนไปกลายเป็น กลิ่นแป้งหอมกุหลาบกึ่งผลไม้รวมเปรี้ยวหอมหวานที่มีกลิ่นไม้หอมอวลลึกติดดาร์กคลอรองพื้นให้ความเย้าแปร่งเฉพาะตัวอยู่ตลอด ซึ่งนี่แหละคือช่วงกลางของน้ำหอมรุ่นนี้ ซึ่งช่วงแรกๆ ของการใช้งานก็ เหวอไปพอสมควร แต่พอมาพินิจพิเคราะห์กลิ่นแล้ว แน่นอนว่าแบรนด์ยังเป็นเอกในเรื่อง Oud กับกุหลาบ และพอมีโทนแป้งมาเสริมเลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมเย้ายวนอวลลึกมีเสน่ห์กึ่งตะวันออกกลางนิดๆ แบบที่คุมเกมได้ดีเช่นเดิม ซึ่งเมื่อมาเจอกับโทนผลไม้ที่ตามมาจากช่วงต้น มันเลยได้ความเฉพาะของโทนหวานอมเปรี้ยวมาเสริมให้โทนแป้งมีอะไรให้จับต้องได้มากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนช่วงนี้จะก้าวข้ามความ Unisex มาเป็น Feminine กันชัดเจนพอสมควร 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปในการเป็นแป้งกุหลาบผลไม้เคล้า Oud แทรกเนียนยาวไปพอสมควร จนจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นหนังกับโทน Musk ที่เริ่มแทรกเข้ามาทำให้กลิ่นโทน Oud เริ่มลงไปผสมผสานกับโทนหนังให้มีกลิ่น Smoky หน่อยๆ และมีความเย้าอวนกึ่งหนังที่มีความนุ่มของ Musk มาเจือจางความ Animalic ไปลงไป ก็จะเป็นการเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็น 3 ประสานอย่างแป้งกุหลาบที่มีโทนอบอุ่นเจือๆ คล้ายวานิลลาติดโทนแป้ง หนังที่มีความนวลแต่ให้ความเข้มเย้า และ Oud ที่มีโทนเย้าดาร์กแบบอ้อยอิ่งแต่จับต้องได้เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นตลอด ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นโทนผลไม้เริ่มหายไปเกือบหมดแล้ว อาจจะมีวูบจางๆ ปลายกลิ่นบ้างนิดหน่อย ซึ่งภาพรวมอารมณ์กลิ่นก็ยังค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าเพราะความเป็นโทนแป้งที่มีจริตกุหลาบนี่แหละ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่สร้างความกรุยกรายแกมเย้าลึกให้กับกลิ่นได้มีเสน่ห์และมีความเป็นนางพญากลายๆ ได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ มันค่อยไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมันโทนแป้งกุหลาบแกมอวลลึก Oud เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ชายจะใส่ไม่ได้ เพราะมันก็ยังมีโทนแนว Unisex อยู่บ้าง และถ้าพื้นฐานชอบโทนแป้ง ก็สามารถสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวได้เลย ซึ่งเข้ากับกลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ที่ต้องลงจำนวนสเปรย์เหมาะสมหน่อย เพราะ Montale เรื่องการแผ่รังสีนั้นไม่ลดราวาศอกอยู่แล้ว รวมถึงสามารถใส่ยามค่ำคืนได้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะออกงาน ท่องราตรี หรือโรแมนติค ก็ได้หมด ให้ความเย้ายวนอวลเย้าที่ไม่เหมือนใครในความเป็นโทนแป้งได้ดี ส่วนการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายนั้น บอกเลย ตัดทิ้งไปเถอะ จุกคือหอยตายตอนตีขึ้นหนักๆ กันพอดี

ความทน - กลิ่นทนจัดจ้านมาก เรียกว่า 15 ชม. ยังตีขึ้นให้รู้สึกตลอด แน่นอน Montale เรื่องนี้หายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก และคงที่มากด้วยไปจนถึง 6 ชม. กันเลย แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปยาวถึงราวๆ 10 ชม. ถึงลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ กลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวเอาเมื่อผ่านไปราวๆ 13-14 ชม. แล้ว

สรุป - เป็นการเอา Tropical + Wood เท่านั้น ไม่ได้อ้างอิงสภาพแวดล้อมที่ไหนอย่างไร ไม่งั้นจะรู้สึกเหมือนโดนสับขาหลอกเอาได้ แต่ทั้งนี้นั้น กลิ่นไม่ธรรมดาในเรื่องการสร้างสรรค์กลิ่นอายโทนแป้งกุหลาบที่มีลูกโทนผลไม้เย้าๆ แนวหวานอมเปรี้ยวไซรัปคลอไปตลอด ซ้อนให้มีความน่าค้นหาและเสน่ห์เฉพาะของ Oud ก่อนจะเป็นโทนอบอุ่นน่าซุกแกมกรุยกรายที่กำลังดีของหนังเคล้าโทนอบอุ่น ซึ่งถ้าใครชอบโทนแป้งตัวนี้ให้ความน่าสนใจแบบแนวๆ แป้งกุหลาบอวลเย้าได้ดีไม่น้อยเลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Montale/Tropical_Wood

 

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Dior Homme Intense (2011)

Dior Homme Intense (2011)

เมื่อ Dior ประกาศเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายสาย Dior Homme ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพื่อเข้าสู่การเป็น Generation ใหม่ ในปี 2020 (หลังจากปรับตัว Sport ไปก่อนหน้านี้ในปี 2017) อย่างแรกก็เรียกว่า อึ้งไปพอสมควร เพราะของเดิมก็ยังมีดีอยู่ในการเป็นกลิ่นอายคล้ายโทนเมโทรแบบมีรอยลิปสติกติดที่แผงอกหรือต้นคอ แล้วกลิ่นตีขึ้นชวนให้รู้สึกเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก และจงใจแบบคูลๆ และอย่างที่ 2 ไม่เพียงแต่ปรับรุ่นปกติ ยังลามมารุ่น Intense ที่เป็นขั้นกว่าของโทนกลิ่นสายนี้อีกด้วย เอาล่ะสิ ยังไม่ได้ใช้รุ่น Intense ในการเล่ากลิ่นมาก่อนเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งรุ่น 2007 และรุ่นปี 2011

เช่นนั้น เพื่อให้มีความชัดเจนและไล่เรียงกลิ่นสายนี้ให้ครบถ้วน จึงต้องใช้งานให้ชัด จัดให้รู้ แล้วมาบอกต่อกันก่อนที่จะไปเรียนรู้ Generation ใหม่ รวมถึงจะดูสิว่าจะเสียดายหรือไม่ที่มีการปรับสูตรไป มาเจอกันหน่อยแล้วกันกับ Dior Homme Intense ของปี 2011 (ที่ต้องขอข้ามปี 2007 เพราะว่าหาไม่ได้แล้ว) 

เปิดตัวมาเรียกว่าลาเวนเดอร์ยังคงอยู่ แต่ความเข้มข้นของกลิ่นไอริสที่ให้ลักษณะแบบแป้งเครื่องสำอางค์กึ่ง Buttery แนวกลิ่นลิปสติกจะชัดกว่าเดิมมาก ความเข้มข้นของโทนแป้งมาเต็มโดยมีความหนักประมาณหนึ่ง แบบที่ถ้าคนไม่ชอบโทนแป้ง ก็อาจจะมีความอึนๆ กันอยู่บ้าง แต่ถ้าปรับตัวได้ มันคือกลิ่นอายโทนแป้งออกทางคล้ายกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงแกมกลิ่นลิสติกที่มีลาเวนเดอร์มาเสริมให้เกิดความแมนเข้มกำลังดีตัดทอนกันสร้างกลิ่นอายลักษณะแบบ Metrosexual ที่ชัดเจน มีความกรุ้งกริ่มที่มีความ Cool เต็มๆ ถ่ายทอดความดีงามของกลิ่นสไตล์ Dior Homme ได้ครบถ้วน โดยเพิ่มเติมความเข้มข้นเข้ามา ซึ่งก็ตรงกับคำว่า Intense ชัดเจนกันตั้งแต่แรกเลย

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง ถือว่ายังคุมโทนได้ดีโดยยังมีกลิ่นแป้งของไอริสติดเนื้อ Buttery ที่น่าจะมาจากหัวเหง้าออริส (หัวเหง้าของต้นไอริส) เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นแนวลิปติกยังคงอยู่ แต่พระเอกอีกหนึ่งอย่างโกโก้จะปรากฎออกมาในช่วงนี้พร้อมกับกลิ่นออกทางหวานเบาๆ ติดกลิ่นเขียงใบผักอ่อนๆ เจือความเป็น Musky ซึ่งน่าจะมาจาก Ambrette ที่เป็นตัวที่ให้โทน Musky หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้คือเป็นกลิ่นโทนแป้งกึ่งโกโก้บัตเตอร์ที่อบอวลและมีเสน่ห์มาก ซึ่งจะมีโทนนวลลาเวนเดอร์กึ่งไวโอเล็ตเนียนๆ อยู่ด้วย มันเลยจะได้โทนแป้งที่มีหลายมิติให้จับต้อง ทั้งหวานติดโปร่งหน่อยๆ ทั้งนวลละมุนสะอาด ทั้งแป้งติดอับทึบแต่เย้าจมูก และแป้งกึ่งเนื้อเนยมันๆ แนวลิปสติกที่มีโกโก้เป็นตัวเสริมพร้อมกับกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ หน่อยๆ สร้างลักษณะแบบสีน้ำตาลเย้าน่าค้นหา ทำให้ได้อารมณ์เมโทรแนวๆ เจ้าเสน่ห์สายนิ่ง ที่มีความเย้ายวนและรัญจวนใจแบบที่เข้มข้นที่ลงตัวมาก ยิ่งถ้ากลิ่นแบบนี้อยู่กับอากาศเย็นๆ ถือว่าจะสร้างเสน่ห์ชวนคลุกวงในได้มากจริงๆ

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นไม้หอมจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับควบคู่ไปกับกลิ่นโทนอบอุ่นค่อนไปทางวานิลลาที่จะเปิดตัวออกมาแบบเนียนๆ เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ กับโทนแป้งที่ยังคงตัวอยู่ แต่เพราะการเข้ามาเสริม ทำให้กลิ่นออกทางลิปสติกจะเบาลงไป เหลือเป็นแป้งไม้หอมเจือโกโก้วานิลลา ที่จะเบลนด์กลิ่นออกมาได้เนียนและมีลูกเล่นโทนกลิ่นที่ส่งเสริมไล่เลเยอร์ที่สมูธมากเลยทีเดียว เนื้อกลิ่นจะมีมีลูกเย้าของกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกแกมติดโปร่งหน่อยของไม้ซีดาร์ที่ให้ความแมนเท่ห์ คลุกเคล้ากับโทนแป้งที่ยังให้ความเย้ายวน และมีกลิ่นออกทางอบอุ่นวานิลลาเจือโกโก้แกมกลิ่นออกทางแอมเบอร์หน่อยๆ เป็นตัวคุมเกมในภาพรวมที่ให้ความอบอุ่นและมีเสน่ห์แบบนิ่งอวล ซึ่งดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินเอาได้เลย แบบที่ทุกอย่างคุมโทนความ Cool มีระดับแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่ง ที่มี Sex Appeal สูงมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้แล้ว เพราะเป็นกลิ่นมาสายหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งที่ไม่ธรรมดา และมีความเจ้าชู้เงียบเนียนๆ ชัดเจน เพียงแต่ว่ารุ่น Intense กลิ่นจะค่อนข้างเข้ม ข้น และหนัก ขึ้นมาอีกสเต็ป ทำให้การใช้ควรจะเบามือลงมาหน่อยเพราะถ้ามาดไปอึดอัดและตีขึ้นจนมึนเสียก่อนจะเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาดนิ่งได้ ซึ่งเข้าได้กับหลายสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ยางทางการก็พอได้ แต่ต้องเลือกหน่อย แต่ถ้าใส่ทั่วไป ไม่ว่าจะทำงาน Office หรือว่าทั่วไปแบบเน้นสายเท่ห์ขรึมดูแลตัวเอง บอกเลยว่าเข้ากันมาก ไม่ใช่สไตล์สบายๆ ชิลล์ๆ หรือสาย Activities ลุยๆ ออกกำลังทั้งหลายที่เห็นควรตัดออกจากการใช้งานแบบนี้ไปดีกว่าเดี๋ยวจะชัดกับลุค ที่สำคัญยามค่ำคืนที่ไม่ว่าจะใส่ออกงาน ท่องราตรี หรือว่าโรแมนติค มันเข้าได้หมด มีเสน่ห์และมีความเร้าใจแบบหน้านิ่งๆ สูงมาก

ความทน - ดีงาม 8 ชม. ถือเป็นพื้นฐาน และไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เป็นเรื่องปกติได้ไม่ยากถ้าผิวกายเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าอาจจะตึ้บไปเลยถ้าอัดสเปรย์เยอะ แล้วจะผ่อนลงมากระจายดียาวไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวที่ให้ความรุมๆ อวลๆ ไปตลอดยาวไปถึงราวๆ 12 ชม. ถึงจะค่อยๆ ผ่อนลงเป็นติดผิว

สรุป - ถ้าเรียกง่ายๆ Dior Homme รุ่น 2005 เดิม เป็นสไตล์ Daily Scent ที่ครอบจักรวาลโดยการเอากลิ่นสไตล์เมโทรแนวกลิ่นกระเป๋าเครื่องสำอางค์ผู้หญิงและลิปสติกมาเรียกแขก โดยเอาไปใช้กับยามกลางคืนได้ แต่สำหรับ Intense จะเป็นการอัพเกรดจากของเดิม เพิ่มความดีงามในความเข้มข้นที่ชัดเจน จัดเต็ม และใส่ Sex Appeal ที่มีความแน่ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งจะตีเป็น Night Scent เองก็ยังได้ แต่ก็มาใช้เป็น Daily Scent ได้อยู่ โดยที่ความดีงามในการปล่อยเสน่ห์หน้านิ่งแต่กรุ้มกริ่นเนียนๆ ยังครบถ้วน ซึ่งบอกตรงๆ ว่า เสียดายมากที่มีการปรับสูตรและเปลี่ยน Generation เพราะของเดิมดีงามอยู่มากจริงๆ แต่ก็ยังปรามาสไม่ได้ว่ารุ่น 2020 จะออกมาในรูปแบบไหน ไว้ถ้าได้ลองก็จะว่ามากันอีกที 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.brandfield.com/christian-dior-homme-intense-eau-de-parfum-spray-150-ml-p-3g-303-b6