วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Pinrose - Secret Genius

Pinrose - Secret Genius

เวลาที่ได้เห็นแบรนด์ Pinrose ในแต่ละครั้ง มีโอกาสก็จะแว้บไปดูว่าจากที่มีน้ำหอมผู้หญิงเสียส่วนใหญ่จะมีน้ำหอมที่ผู้ชายใช้ได้บ้างหรือยังเพราะอยากจะรู้ทิศทางของแบรนด์ว่าจะสร้างสรรค์น้ำหอมผู้ชายออกมาหรือไม่ อย่างไร

แต่ก็ยังไม่มี เช่นนั้น เลยหันไปมองกลุ่ม Unisex ของแบรนด์นี้กันซักหน่อย ซึ่งก็มีความสนใจอยู่ไม่น้อยว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร และก็ได้เจอกับรุ่น Secret Genius ที่นำเสนอกลิ่นอายความหวานของวานิลลา คาราเมล และมีไม้หอมมาเสริมเช่นนั้น จัดมาให้จบๆ ขอลองให้สุดซักหน่อย และผลที่ได้คือ

เปิดมาก็บอกกันอย่างชัดเจนเลยว่า “ความหวาน” คือแกนหลักของกลิ่นนี้ ชัดกันตั้งแต่ต้นยันจบ และจะจับต้องได้ชัดเจนเลยว่ามีกลิ่นหลักผสมผสานอะไรกันบ้างในช่วงต้น ซึ่งนั่นก็คือ วานิลลา คาราเมล และชอคโกแลตขาว เรียกว่าผสมผสานความหวานอวลอบอุ่นกันตั้งแต่แรก แต่ในช่วงต้นจะมีลูกเล่นของโทน Citrus ฉาบหน้าอยู่หน่อยๆ เพราะจะมีกลิ่นติดคมๆ ขมติดเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีกลิ่นส้มหน่อยๆ ให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นสดชื่นที่มีเป็นมิติบางๆ อยู่บ้าง แต่ภาพรวมคือหวาน และมีความหวานติดคมเสียด้วย ซึ่งน่าจะเป็น Effect ของคาราเมลและชอคโกแลตขาวที่ค่อนข้างเข้มชัดพอตัว เพียงแต่ภาพรวมกลิ่นไม่ได้ไปสายแผ่ไพศาลอะไรนัก ยังให้ความอวลเป็นบาเรียรอบตัวเสียมากกว่าจะกระจายหมื่นลี้ เลยถือว่าคุมโทนได้ดีโดยไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงเกินไป 

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางเรียกว่า ปล่อยให้โทน Citrus ที่มีแบบบางๆ นั้นจากไปได้เลย เพราะไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับช่วงนี้แน่นอน แต่จะกลายเป็นกลิ่นออกทางคุกกี้วานิลลาผสมชอคโกแลตขาวสอดไส้คาราเมลเสียมากกว่า แถมด้วยการราดคาราเมลให้หวานเพิ่มขึ้นมาหน่อยๆ อีกด้วย ทำให้กลิ่นหลักๆ จะเด่นที่ชอคโกแลตขาวกับคาราเมล โดยมีวานิลลาเป็นพื้นกลิ่น ซึ่งจะมีลูกเล่นปลายกลิ่นด้วยกลิ่นดอกไม้คล้ายมะลิหน่อยๆ เลยเป็นการกล่อมกลิ่นให้ไม่หวานแหลมแบบช่วงต้น แต่ให้ความหวานอวลนวลได้อารมณ์หวานคาราเมลซ้อนไปกับชอคโกลแลตขาว เสริมโทนอบอุ่นหวานนวลของวานิลลา ซึ่งต้องยกให้อีกครั้งว่า กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากเกินไป อารมณ์คุมโทนกลิ่นให้มีความกลางๆ ไม่หนัก ไม่พุ่ง ให้ทุกอย่างยังคง Concept กำลังดี เลยทำให้กลายเป็นกลิ่นแนวขนมที่มีระดับ มีความดึงดูด เย้ายวน Sexy แบบไม่ได้แจกจ่ายความหวานจนเกินกว่าเหตุให้ผู้คนรอบตัวแบบจัดจ้านเกินไป

เมื่อมีกลิ่นไม้หอมที่เสริมเข้ามาตัดโทนความหวานและลดบทบาทของชอคโกแลตขาวลงทีละหน่อยๆ ที่เป็นเสมือนรอยต่อของช่วงกลางส่งต่อสู่ช่วงท้าย จนชอคโกแลตขาวกลายเป็นกลิ่นสายสนับสนุนให้อารมณ์กลิ่นหวานอวลเสริมแทน ก็เปลี่ยนเป็นโทน Woody Gourmand โดยที่วานิลลาจะกลายเป็นตัวเด่นขึ้นมาและมีกลิ่นออกทางไม้ติดครีมมี่ซึ่งเดาไม่ยากว่าเป็นไม้จันทน์หอม ที่เข้ามาตัดทอนความหวานข้นแน่น เสริมความเป็น Rich Tone ในเนื้อกลิ่นที่ให้อารมณ์ไม้จืดหอมนวลๆ ครีมมี่อ่อนๆ แกมหวาน และมีโทนโปร่งไม้แห้งๆ แนวไม้ซีดาร์ (คาดว่าน่าจะใส่ ISO E Super) ทำให้วานิลลาไม่ได้หนักข้นจนกลายเป็นขนมจ๋าเกินไป นอกจากนี้ในเนื้อกลิ่นคาราเมลจะเหลือเพียงอ่อนๆ แล้ว เลยเป็นตัวเสริมความหวานบางๆ ที่ดี กลิ่นจะมีความโปร่งมากขึ้นมาหน่อย เน้นให้ความผ่อนคลายสบายๆ เข้ามาแทนที่ และบางวูบก็ทำให้นึกถึงกลิ่นไม้ไอศครีมวานิลลาแท่งที่หลังจากกินไอศครีมหมดแล้วจะมีกลิ่นไม้เคล้าวานิลลาที่ติดอยู่ ซึ่งถือเป็นช่วงปิดที่น่าสนใจมากในการสร้างโทน Vanilla Woody ที่เป็น Soft Tone ที่มีความเป็นขนมอ่อนๆ ที่ได้ความน่ารักก็ได้ จะผ่อนคลายก็ดี ลงตัวก็เหมาะ

เหมาะสำหรับ - แบรนด์บอก Unisex แต่เอาจริงๆ ไปทางผู้หญิงถึง 75% เลย เพราะเนื้อกลิ่นมาสายขนมที่มีลูกเอื้อนทางกลิ่นที่มีความ Feminine พอสมควรเลย แต่ถ้าไม่มายด์ผู้ชายก็จัดได้ จัดไป เพราะช่วงที่ Unisex จริงๆ คือช่วง Base ยังไงก็รอดสบายมาก แกมกลิ่นแอบน่ากินเบาๆ ได้ด้วย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่เป็นทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office แนวๆ นี้ แต่ถ้าทางการมากๆ กลิ่นนี้ดูจะขนมไปนิดนึงนึงอาจจะไม่ได้เข้าทางเท่าไหร่ ที่แน่ๆ ตัดทิ้งการใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไปจ้ะ เข้าทางทั้งออกงาน โรแมนติค หรือท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อยก็ยังได้

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่จะไปต่อได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 - 10 ชม. ในแต่ละครั้งที่ใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นพอผ่านไปซัก 15 นาที ก็จะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. แล้วค่อยลงมาปานกลางกันยาวๆ จนเมื่อเข้าชั่วโมงที่ 4 ก็เริ่มที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันก่อนจะกลายเป็นติดผิวราวชั่วโมงที่ 6 เป็นต้นไป

สรุป - ถือเป็นหนึ่งในกลิ่นขนมและความหวานที่ทำออกมาได้น่ารักก็ได้ เซ็กซี่เย้ายวนก็เนียนอยู่ และผ่อนคลายก็ด้วย และผสมผสานความเป็นวานิลลา+คาราเมล+ชอคโกแลตขาวได้อย่างกำลังดี แม้ว่าช่วงแรกๆ จะหวานแหลมจนอาจจะทำให้มีความเอียนหน่อยๆ แต่พอผ่านไปที่เหลือคือความหอมหวานทางกลิ่นที่ลงตัวกันยาวๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pinrose.com/collections/secret-genius-collection/products/secret-genius

 

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Kiehl's - Original Musk

Kiehl's - Original Musk

ในสาย Skincare เรียกว่าไม่น่าจะมีคนที่ไม่รู้จัก Kiehl’s เพราะเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้าและผิวกายที่ไม่ธรรมดาในหลายๆ ตัวจนหลายๆ คนติดใจ (รวมถึงตัวผู้เขียนเอง โดยเฉพาะมาร์คดอกดาวเรืองที่ใช้ประจำ) ซึ่งแม้ว่าจะเด่นจะดังในสายดูแลผิว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหอมมาประดับบารมี ซึ่งแบรนด์นี้เขาก็ไม่ธรรมดา กับการสร้างสรรค์น้ำหอมที่เรียกว่ายืนหนึ่งมาตลอดกับการเป็นตัว Top ของแบรนด์มาเสมอ จนมีเป็นเซททั้งเจลอาบน้ำ โลชั่น หรือน้ำมันแต้มทาตัว แบบที่ตัวอื่นๆ ออกมาก็ไม่ได้โดดเด่นเท่า หรือออกมาไม่เท่าไหร่ก็จากไป

เช่นนั้น ยืนหนึ่งขนาดนี้ มาว่ากันหน่อยดีกว่าว่ากลิ่นจะเป็นแบบไหนกับ Original Musk

เพียงก็ช่วงเปิดก็บอกได้ทันทีเลยว่า มาสาย Classic Musk ชัดๆ ที่จะต้องมีกลิ่นโทน Musk ติด Animalic ให้ความตุ่ยๆ หน่อยก็จริง แต่มันเร้าใจและดึงดูดไม่น้อย ซึ่งแน่นอนชัดเจนเลยว่าเมนหลักของน้ำหอมจะต้องเป็น Musk ที่พ่วงกลิ่นโทนคล้ายชะมดเช็ดเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยหน่อยๆ เลยได้ความเป็น Animalic Musk เด่นหน่อย แต่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากนัก เพราะว่าการตัดทอนของกลิ่นออกทางนวลหวานติดเปรี้ยวหอมปลายกลิ่นของดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) และมีกลิ่นสดชื่นติดเปรี้ยวเจือขมปร่าปลายกลิ่นหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์ติดชื้นๆ สร้างบรรยากาศ อารมณ์กลิ่นเลยเป็น Fresh Classic Musk ที่มีความเป็นดอกไม้ขาวแกมนวลแทรกแบบกำลังดี

แต่เพียงไม่นานจะเริ่มจับต้องโทนดอกไม้สายเย้าอย่างกระดังงาที่จะค่อยๆ เสริมเข้ามาให้อารมณ์ดอกไม้เหลืองเย้าติด Dirty หน่อยๆ ที่เข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับ Musk อย่างมาก จะให้ความเป็น Floral Classic Musk ที่ชัดเจน ซึ่งไม่ใช่มีแค่กระดังงา แต่ดอกส้มก็ยังตามมาจากช่วงต้นอยู่ให้ความหวานอมเปรี้ยวสะอาดซ้อนอยู่ และรู้สึกว่าจะมีโทนออกทางเขียวกึ่งเปรี้ยวหอมแนวดอกส้มแบบสกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ผสมผสานรวมอยู่ด้วเลยทำให้มีลูกโทนสดชื่นอ่อนๆ ให้จับต้องได้เคล้าไปกับกลิ่นดอกลิลลี่เข้ามาเสริมให้ความหวานติดแว๊กซ์รุ่มรวยปลายกลิ่น เนื้อกลิ่นในช่วงนี้ความเป็น Musk จะค่อนไปทางโทนแป้งพอสมควร แต่ก็ยังจับต้องความเป็น Animalic Musk ได้แบบรองพื้นกลิ่นอยู่ เลยทำให้ได้มิติที่เหมือนจะเรียบง่าย แต่จริงๆ มีลูกเล่นทั้งความหอมนุ่มนวลสะอาดเจือแป้งดอกไม้ที่ฉาบความเป็นโทนติดสาบเย้าของ Musk เลยได้ทั้งกลิ่นอายที่สะอาดก็ได้ Dirty ก็ดี มีทั้งความหยินหยางในตัวเองแบบไม่เยอะสิ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความ Classic กับ Modern ที่เป็นความร่วมสมัยชัดเจน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็นโทนดอกไม้ลง และความเป็นโทนติด Animalic ก็เริ่มจางไปจนเหลือความเป็นกลิ่นอายที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็น Musk กับ White Musk ที่จะมีความหอมนุ่มนวล แต่ก็ยังติดโทนเย้าตุ่ยอ่อนๆ ให้รู้สึกดึงดูดเบาๆ ช่วงนี้จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกไม้อย่างกุหลาบอ่อนๆ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ ให้พอจับต้องได้ แถมยังมีกลิ่นพิมเสนปร่าระเรื่อหวานให้รู้สึกกรุยกรายเบาๆ กลิ่นก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นกลิ่นอายแบบนุ่มนวลแกมกลิ่นแป้งดอกไม้อ่อนๆ ปะหน้า โดยที่เนื้อกลิ่นหลักจะมีความครีมมี่นุ่มๆ เสริมโทน Musk เข้ามาร่วมด้วยจากถั่วตองก้า เลยสร้างเนื้อกลิ่นที่เป็นโทนสไตล์ Minimal Musk ที่แตะความ Modern กำลังดี กลิ่นจะให้ความนุ่มรุ่มรวยเรื่อยๆ มีความหวานปลายกลิ่นอ่อนๆ อย่างเรียบง่ายและเรียบหรู ปิดท้ายการเป็น Musky Style ที่เข้าถึงได้ง่ายมีลูกเล่นซ่อนอยู่เนียนๆ ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่น Musk จะอินกับน้ำหอมตัวนี้และเป็นน้ำหอมคู่กายได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นไปได้เกือบหมดเลยในแง่การใช้งานยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบทั่วๆ ไป หรือออกงานอันนี้สบายมาก แต่ถ้าเน้นไปปล่อยเสน่ห์ อาจจะกริบพอตัวเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเล่นใหญ่ใส่สารพัดพร้อมจะขยี้ยูให้แหลกคึเท่าไหร่

ความทน - ถือว่าลงตัวกับราว 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมีบวกลบบ้างตามสภาพผิว โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับ 6 สเปรย์ ก็ถือว่าน่าพึงพอใจมากเลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าความชัดในการรับกลิ่นมาเต็ม แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางซักราวๆ 3 ชม. ถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวพอประมาณ แล้วเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซัก 6-7 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ต้องบอกเลยว่านี่คือส่วนผสมของความ Classic สู่ Modern ที่ให้อารมณ์กลิ่นอายสไตล์ Timeless แบบที่ยังไงก็ไม่ตกยุค และไม่พอยังให้ความหยินหยางในเนื้อกลิ่นที่มีทั้งอารมณ์ Dirty สาบเย้า Animalic ก็ได้ Clean นุ่มนวลก็สามารถ โดยมีตัวเชื่อมโทนที่ดีอย่างสายดอกไม้ คุมโทนการเป็น Musky Scent ที่ครอบคลุมการใช้งานได้ทุกเพศอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกลิ่นนี้ยืนหนึ่งยาวนานในความเป็น Musk มาจนถึงทุกวันนี้ และยาวๆ ไปในอนาคตแน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.kiehls.com/body/fragrance/musk-eau-de-toilette-spray/557.html

 

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Lumberjack Cologne

Strangers Parfumerie - Lumberjack Cologne

เมื่อเห็นคำว่า Lumberjack อย่างแรกที่ต้องตั้งธงไว้ก่อนเลยก็คือ นี่คือช่างตัดไม้แบบฝั่งตะวันตก ที่เขามีอุตส่าหกรรมแปรรูปอย่างถูกกฎหมายนะ (ไม่ใช่ช่างตัดไม้แบบไทยๆ สไตล์ลักลอบตัดอะไรนั่น) ซึ่งการทำอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้และแปรรูปไม้ แน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่หลายๆ คนถ้านึกภาพไปก็จะเห็นผู้ชายมาดแมน ล่ำๆ ใส่เสื้อลายสก๊อต สะพายเลื่อยไฟฟ้า และอาจจะมีขวานร่วมด้วยอะไรก็ว่าไป ซึ่งคาแรคเตอร์แบบนี้บอกเลยว่ามีเสน่ห์ตามธรรมชาติอย่างมาก และน่าสนใจจริงๆ ที่จะเอามาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นน้ำหอมสไตล์คนตัดไม้แมนๆ เท่ห์ๆ และมีความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น

และ Strangers Parfumerie ก็เป็นแบรนด์ที่ดึงเอาคาแรคเตอร์นี้มาสร้างสรรค์กลิ่น กับหนึ่งใน Collection - Twenty Four- Seven ที่เป็นโซนน้ำหอมที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบชีวิตประจำวันแบบมีความเป็นธรรมชาติแฝงด้วยความเป็นศิลปะในการสร้างสรรค์กลิ่นแบบมีสไตล์ เช่นนั้นช่างตัดไม้ขวดนี้จะเนื้อกลิ่นอย่างไร ไขจนกระจ่างออกมาได้แบบนี้เลย

Lumberjack Cologne เปิดตัวด้วยความเป็นโทนลูกผสม 3 มิติที่จะจับต้องได้ถึงแกนนำเด่นเลยนั่นคือกลิ่นออกทางไม้หอมติดเขียวอารมณ์แบบกลิ่นไม้ตัดสดๆ เป็นมิติแรก เสริมด้วยลูกเอื้อนทางกลิ่นเป็นโทน Citrus ที่ไม่ได้มีความเปรี้ยวเด่นออกมา แต่ให้อารมณ์แบบกึ่ง Cologne ที่เป็น Citrus เด่นๆ แนวๆ เลมอนหรือมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แกมโทนติดสว่างสว่างในเนื้อกลิ่นอย่างเกรปฟรุต เป็นมิติกลิ่นที่ 2 แต่โดนความเป็นไม้หอมมากลบแบบไล่เลเยอร์จากกลิ่นไม้หอมติดเขียวชื้นที่อยู่ระหว่างการโดนตัดหรือว่าพึ่งตัดสดๆ ร้อนๆ แกมกลิ่นติด Traditional Cologne ที่มีความเป็น Citrus แต่ไม่จบแค่นี้เพราะมิติที่ 3 อย่าง โทนออกทางสบู่สะอาดๆ แกมสมุนไพรหน่อยๆ ที่รองพื้นอยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความเป็น Woody Cologne ที่เป็นธรรมชาติมาทั้งเนื้อกลิ่นที่เป็นอารมณ์ไม้โดนตัด + กับกลิ่นที่มาจากกายคนทั้ง Cologne และสบู่ เรียกว่าเปิดออกมาได้อย่างเห็นภาพชัดเจนว่าใคร ที่ไหน ทำอะไร และกลิ่นที่ควรจะเป็นออกมาเป็นอย่างไร ครบถ้วนมาก

สิ่งที่จับต้องได้ในช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนถ่ายจากช่วงต้นสู่ช่วงกล่ง คือ โทนไม้หอมที่ถ้าดมเผินๆ จะเหมือนมีโทนแทนไม้พึ่งโดนตัดแบบคล้ายๆ พวกสายกลิ่นไม้สนที่จะมีความเขียวอยู่ในเนื้อไม้ แต่จริงๆ มีมิติไม้อื่นๆ ที่มีความติด Smoky หน่อยๆ กับความปร่าขรึมโปร่งอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งนี่แหละคือตัวเปิดทางที่จะทำให้เราได้ไปเจอความเป็นไม้หอมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเป็นเนื้อเดียวแต่หลายมิติ โดยช่วงกลางจะบอกกันอย่างเต็มตัวถึงความเป็น Woody Scent ที่ชัดเจนมาก เพราะเนื้อกลิ่นจะแผ่วความชื้นติดเขียวลงมาสู่การเป็นความหลากหลายของประเภทไม้ ที่จะยังมีกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ให้ความขรึมโปร่งปร่าอ่อนๆ กำลังดี กลิ่นไม้โอ๊คที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ ติด Smoky ที่มาจากไม้ Guaiac และมีโทนออกทางกึ่งไม้แห้งกึ่งถั่วหน่อยๆ ที่มีความ Earthy หน่อยๆ มุกอย่างจะผสมผสานกันเป็นกลิ่นไม้หอมที่เป็นออร่าออกมาชัดเจน แต่ยังไม่ได่จบแค่นี้เพราะมีเนื้อกลิ่นสายสร้างบรรยากาศที่มีทั้งโทน Cologne สร้างบรรยากาศและโทนสบู่ติดสมุนไพรก็ยังตามมาในช่วงนี้ เพียงแต่จะเป็นตัวเสริมประปรายให้ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นที่มาจากตัวบุคคลแทน เลยยังทำให้รู้สึกได้เช่นเดิมว่า กลิ่นแบบนี้จะมาจากใคร สถานการณ์อะไร และผ่านการทำอะไรมา ชี้ชัดไปเลยว่านี่คือช่างตัดไม้ หรือ Lumberjack เต็มๆ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็นกลิ่นโทนไม้หอมลงมาระดับหนึ่ง เปิดทางให้กลิ่นที่เป็นพื้นฐานของโทน Classic ที่มี Oak Moss กับหนังเข้ามาทีละหน่อย และสัมผัสได้ถึงกลิ่นคล้ายๆ พวกน้ำมันหล่อลื่นหรือพวกน้ำมันเครื่องที่ไม่ได้หนักมาก แต่อารมณ์แบบน้ำมันเครื่องติดมือแล้วเราได้กลิ่นโชยมาเรื่อๆ ประมาณนั้น ก็เป็นการบอกได้ชัดเจนว่าช่วงท้ายมาถึงแล้ว ซึ่งตอนนี้โทนกลิ่นจะกลายเป็นลักษณะกลิ่นอายสไตล์ Classic ที่มีอารม์แบบกลิ่นกายคนแกมกลิ่นติดเขียวเข้มแบบพื้นฐานกลิ่น Oak Moss เป็นตัวสร้างออร่าขรึมๆ ยิ่งพอมีโทนหนังแกมแป้งทึบหน่อยๆ มาเสริม เลยได้อารมณ์แมนๆ ติดผิวกายผู้ชายแกม Dirty เร้าใจหน่อยๆ และแน่นอนไม้หอมลดทอนลงมาเหลือรุมๆ กำลังดี เคล้ากลิ่นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องจักรที่เนียนแทรกตัวรวมอยู่ด้วย ทำให้เมนหลักของกลิ่นคือกลิ่นกายผู้ชายสไตล์  Classic ที่มีความแมนแบบคนทำงาน มีเหงื่อ มีกลิ่นไม้หอมกับน้ำมันหน่อยๆ มาผสมกับกลิ่นกายมียังมีกลิ่นแกมสบู่สมุนไพรกึ่ง Cologne ที่จมกับผิวกายอยู่เบาๆ ซึ่งเป็นการสร้างโทนกลิ่นที่เป็นสไตล์ธรรมชาติที่ควรจะเป็นในลักษณะแบบที่เป็นกลิ่นอายสไตล์ Lumberjack ที่แมนแบบพอเหมาะ ไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดความแมนจัดจ้านเกินไปได้อย่างลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ไพล่ไปทางผู้ชายราวๆ 80% ได้เลย แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงใช้งานไม่ได้ เพราะเนื้อกลิ่นในช่วงต้นกับกลางมีความ Unisex สายไม้หอมที่กำลังดี เพียงแต่ปลายกลิ่นอาจจะเสริมความแมนหรือบอยสไตล์ Classic ให้ Contrast อะไรประมาณนั้น ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ทั้งทางการและทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ยามค่ำคืนแบบชิลล์ๆ เองก็ยังไง แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปปล่อยของแบบข้ามาเพื่อล่าแต้มนัก 

ความทน - ยกนิ้วให้เลยว่าเรื่องนี้ไม่เป็นสองรองใคร เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 - 18 ชม. ทุกครั้งที่ใช้งาน บอกเลยว่า 8 ชม. ยังไงก็เป็นค่าเฉลี่ยความทนได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีราวๆ 1 ชม. ก่อนจะยืนพื้นที่กลางๆ กำลังดียาวไปถึงราวๆ 6 ชม. จึงค่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ กายยาวไป พอพ้นไปซัก 12 ชม. ถึงแผ่วลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - กลิ่นมีแตกต่างจากการเป็น Traditional Cologne แบบทั่วไปเลย ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดู Concept ของการสร้างสรรค์น้ำหอม ถึงได้รู้ว่านี่คือการดึงเอาช่วงระยะเวลาภายหลังจากการทำงานตัดไม้ซึ่งอาจจะเป็นระหว่างวันหรือว่าสิ้นวันของช่างตัดไม้ แล้วกลิ่น Cologne ผสมกับกลิ่นกายตามธรรมชาติ กลิ่นไม้หอมต่างๆ ที่ตัดระหว่างวัน และกลิ่นออกทางพวกน้ำมันน้ำมันหล่อลื่นเครื่องจักรเกี่ยวกับการตัดไม้แบบกำลังดีที่กลายเป็นออร่ารอบกาย  ซึ่งก็ถือว่าใช่เลย กลิ่นไม่ได้เน้นที่จุดเริ่มต้นหรือใส่ความสดชื่นแนว Cologne ปกติ แต่มาเน้นที่ผลลัพธ์ปลายทางจากการทำงานที่มีเสน่ห์ตามที่ควรจะเป็นและมีความ Classic เนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจและลงตัวมาก กลิ่นถอดออกมาได้อย่างชัดเจนจริงๆ เรียกว่าใครชอบกลิ่นแนว Classic Woody ที่มีความเป็นธรรมชาติบอกเลย โดนตกแน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Annayake - Tsukiyo for Him

Annayake - Tsukiyo for Him

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรก ก็แบบว่า เอ๊ะ! Tsukiyo แปลว่า “คืนเดือนหงาย” อะไรประมาณนี้ ก็เลยมีความสนใจมาก เพราะไม่ได้สัมผัสน้ำหอมแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Annayake มานาน และยิ่งทรงขวดที่มีความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นเสียด้วย จึงไม่ลังเลที่จะจัดมาให้รู้ ดมดูให้ถึง ดูสิว่าจะมีความจึ้งมากขนาดไหน กับการเป็นกลิ่นผู้ชายกับคืนเดือนหงาย

และเมื่อใช้จนตกผลึกจึงได้รู้ว่า

Tsukiyo for Him เปิดตัวมาแบบที่ไม่ใช่แบบกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นสายมินิมัลนัก แต่จะให้ความ Modern จ๋าๆ เสียมากกว่า เพราะเปิดมาจะจับต้องได้เลยว่ามีโทนกลิ่นแนวครีมมี่เป็นตัวรองพื้นแน่นอน และมีตัวซ้อนแนวไม้หอมติดปร่าเป็นลูกคู่ เลยทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นจะมีอยู่ 4 โทนหลักๆ ที่ผสมผสานกัน นั่นคือ โทน Fresh Spicy ที่จะมีกลิ่นแนวเพพเพอร์มินต์ กับพริกไทยที่มีทั้งลูกเล่นปร่านวลอวลและติดฝาดระเรื่ออ่อนๆ โทนไม้หอมแนวไม้แห้งๆ ติดปร่าแบบไม้สนแน่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นของสนไซเปรส และกลิ่นออกทางครีมมี่คล้ายวิปครีมหรือครีมจืดเนื้อหนาหน่อย ซึ่งทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นเลยจะได้ลักษณะแบบวิปครีมกลิ่นมินต์ปร่าแกมทึบที่มีความแมนแบบเต็ม 100 แบบที่ได้กลิ่นก็บอกได้เลยนี่น้ำหอมผู้ชาย และความหนาของเนื้อกลิ่นมีความชัดเจน ซึ่งกลิ่นโทนแบบนี้บางวูบอาจจะทำให้เรานึกถึงกลิ่นอายแบบสายสเปรย์ดับกลิ่นกายหรือ Deodorant ผู้ชายจ๋าๆ หรือน้ำหอมสาย Mass ที่กลิ่นผู้ชายแมนมากๆ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์กลิ่นแล้ว มันมีลูกเล่น และมีอะไรที่มากกว่าความเป็นกลิ่นแนวสเปรย์ดับกลิ่นกายไปมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติของกลิ่นนั้นๆ ที่ควรจะเป็น ทำให้มิติกลิ่นมีอะไรให้จับต้องได้ และที่สำคัญมันมีความหวานเนียนๆ ซ่อนอยู่ด้วยแบบที่เป็นกิมมิคที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

การพัฒนาของเนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลาง แน่นอนว่ากลิ่นในช่วงต้นตามมาหมด เพียงแต่ว่าจะมีการเชื่อมโทนสาย Fresh Spicy กับไม้หอมมากขึ้นโดยมีเม็ดจันทน์เทศสายกล่อมเกลากลิ่นที่เป็นตัวกลางระหว่างสายปร่าเผ็ดกับไม้หอมมากล่องให้กลิ่นมีโทนเผ็ดเจือไม้หอมมากขึ้น และมีกลิ่นยางไม้อย่าง Elemi ที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นยางไม้สนที่ติดเปรี้ยวต้นๆ กลิ่นเข้ามาด้วย และตัวเชื่อมอีกตัวที่มาทำหน้าที่คือกลิ่นแนวยางไม้ติดวานิลลาหวานของกำยาน Benzoin ที่เชื่อมกับโทนครีมมี่ของวิปครีมกลิ่นมินต์เผ็ด พอรวมๆ กันเข้า เลยเป็นการกล่อมเกลากลิ่นที่ให้ความอวลแบบไม่หนักเท่าช่วงต้น แต่มีโทนไม้หอมติดปร่าเป็นตัวเด่นขึ้นมารองพื้นด้วยกลิ่นออกทางครีมเผ็ดอ่อนๆ ติดมินต์เจือหวานค่อนวานิลลา ซึ่งแน่นอนความรู้สึกยังชัดเจนมากว่า กลิ่นแบบผู้ชายเต็มเหนี่ยวไม่มีไพล่ไปทาง Unisex เลยแม้แต่น้อย

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความปร่าลงมาอีกสเต็ปทำให้กลิ่นเริ่มมีความนุ่มมากขึ้น และเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นวิปครีมแกมกลิ่นคล้ายาสีฟันมินต์อ่อนๆ แต่จะเริ่มมีลูกผสมของการเป็นโทน Musk และไม้หอมแกมกลิ่นแบบไม้เก่าๆ แปร่งติดสาบอ่อนๆ ที่เป็นเสน่ห์ติดสากดิบหน่อยๆ ของพิมเสนที่สร้างอารมณ์ดึงดูดเนียนแฝงอยู่ เนื้อกลิ่นค่อนข้างเรียงโทนได้น่าสนใจจาก Musky ครีมมี่ติดหวานอวลเนียนๆ มีความอบอุ่นแฝง เคล้าไม้หอมนวลๆ ไม้แห้งๆ แกมดิบแปร่งอ่อนๆ สะกิดจมูก เรียกว่าเป็นการปิดท้ายที่น่าสนใจในลักษณะที่เป็นกลิ่นอายสไตล์ Mass แนวแมนๆ แบบผู้ชายญี่ปุ่นสาย Modern ที่แตกต่างและมีเสน่ห์ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้เป็นสายเย้ายวน เน้นแสดงความแมนที่มีเสน่ห์แบบนิ่งๆ แกมเย้ายวนเนียนๆ ที่แฝงความอบอุ่นแกมหวานอ่อนๆ โรแมนติค ซึ่งถือเป็นช่วงที่ให้เนื้อกลิ่นลงตัวและเป็นช่วงที่กลมกล่อมมากที่สุดที่จะอยู่กับผิวเราไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยหนุ่มมหาลัยขึ้นไป สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบาย กลิ่น Cover สไตล์และคาแรคเตอร์ผู้ชายได้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายสายสมาร์ท ไปจนถึงผู้ชายสายสตรีทแนว Hip Hop ก็ยังได้ เพราะยังไงเนื้อกลิ่นก็แมนชัดมาก ได้หมดทั้งทางการและทั่วไปยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม แต่กลิ่นค่อนข้างแน่น เลยไม่เข้าทางกับการใส่เพื่อออกกำลังกายแบบเข้ายิมเข้าฟิตเนส มีตึ้บเอาได้ เพราะเนื้อกลิ่นมันเปิดมาก็อวลหนาไม่น้อยเลย แต่ถ้าเป็นช่วงกลางคืน อันนี้จัดได้สบายมาก ได้ทั้งออกงาน ชิลล์ๆ เท่ห์ๆ ได้สบายมาก เพียงแต่ไม่ได้เย้ายวนจัดจ้านก็เท่านั้น ก็กลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นเนาะ เลยไม่ได้ดูพยายามในเรื่องนั้น เน้นแฝงให้ซึมลึกนั่นแล  

ความทน - อันนี้เกินคาดมากเพราะ 8 ชม. นี่เป็นพื้นฐานของกลิ่นนี้เลย และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์ที่ใช้ ซึ่งเคยใช้ที่ 6 สเปรย์ (ก็เรียกว่าแน่นไม่น้อย) กลิ่นทนถึง 15 ชม. เลย แต่ถ้าจัดที่ 3 สเปรย์ แตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - ตีที่ 6 สเปรย์ ต้องบอกว่ากระจายดีมากกกกกกก ช่วงต้นคือจัดเต็ม แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีในช่วงกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราว 6 ชม. เลยก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางไปจนถึงราวๆ 10 ชม. แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป แต่ถ้าตีเป็น 3 สเปรย์ ก็จะลดหลั่นกันลงมา

สรุป - อารมณ์กลิ่นที่ได้รับ ไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า “คืนเดือนหงาย” หรือกลิ่นอายแสงจันทร์อะไร แต่สิ่งที่ได้คือ เป็นน้ำหอมสาย Designer ที่มีการนำเสนอในสไตล์ผู้ชายญี่ปุ่นที่มีความแมน ความนิ่ง ความ Cool ความเท่ห์ ความอบอุ่นเนียนๆ ความหวานโรแมนติคแฝง ถ้าใส่กลิ่นนี้แล้วรอไปถึงช่วงท้ายๆ บอกเลยว่ากลิ่นมีเสน่ห์มาก และถ้าจะเข้ากับชื่อรุ่นได้ ก็เหมาะมากกับการใส่ชมจันทร์แบบโรแมนติคกับคนที่เราชอบ (แล้วเขาก็ชอบเราด้วย) Modern ดีเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bol.com/nl/nl/p/annayake-tsukiyo-for-him-100-ml-eau-de-toilette/9200000054014936/

 

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Banana Republic - Classic Acqua

Banana Republic - Classic Acqua

เมื่อเริ่มมาแตะความเป็น Banana Republic ในสาย Classic ก็ดันมีความติดใจอยากจะลองมันให้หมดๆ ในการเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานที่ต่อยอดจาก EDT มาสู่การเป็น EDP ในอารมณ์กลิ่นต่างๆ ซึ่งจากที่ได้ผ่าน Classic Green ไปแล้วเรียกว่ามีความดีงามเกินคาดกับการเป็นน้ำหอมใช้ง่ายแต่ซ่อนความมีระดับโดยที่ไม่ทิ้งความเป็น Original แต่อย่างใด และไหนๆ ไลน์นี้ก็ทำออกมาเป็นเรนเจอร์ไล่สีกันเลย เช่นนั้นก็ขอมาจัดกันต่อกับการเป็นกลิ่นอายสีฟ้ากันบ้าง

ซึ่งนี่ก็คือรุ่น Classic Acqua ที่พึ่งวางจำหน่ายสดๆ ร้อนๆ ในปี 2021 นี้เลย

ต้องบอกว่าการเปิดตัวให้ความรู้สึกที่เริ่มฉีกออกไปจากความเป็น Classic ของต้นตระกูลนี้อยู่พอสมควร เพราะความเป็น Sea Breeze ที่เป็นตัวแฝงแนว Airy นี่แหละ ที่จะดึงโทนให้ความรู้สึกสดชื่นแกมสีฟ้าได้ดี โดยมาผสมผสานกับโทน Citrus อย่างเกรปฟรุตที่ค่อนข้างชัดเจนพอสมควร แต่เพราะตัวเชื่อมอย่างโทนพริกไทยที่ชมพูที่ออกแนวให้ความปร่าแกมนวล แถมมีโทนคล้ายลาเวนเดอร์หน่อยๆ ที่พอมาผสมผสานกับโทน Spicy ของพริกไทยสีชมพูกับให้ความเป็นโทนกึ่งทะเลเบาๆ ที่ไม่ได้มีกลิ่นคาวเค็มเสริมเข้ามาด้วย ช่วงเปิดเลยได้อารมณ์สีฟ้าครามสดชื่นสบายๆ กันตั้งแต่ต้นเลย

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง สิ่งที่รู้สึกได้คือ กลิ่นเริ่มไม่ได้เป็นโทนที่กระจายนัก ออกจะให้ความเรื่อยๆ ค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวเสียมากกว่า กับการเป็นอารมณ์กลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลสบายๆ ไม่มีกลิ่นคาวเค็ม ซึ่งจะมีความเป็นลาเวนเดอร์ที่ยังผสมผสานกับพริกไทยสีชมพูได้ดีในการสร้างกลิ่นแบบทะเลสดชื่นเบาๆ ยังมีความเป็น Citrus อ่อนๆ แกมกลิ่นดอกส้มที่มีความสะอาดแกมติดเปรี้ยวปลายกลิ่นที่ให้ความเอื่อยๆ สีฟ้าเรื่อยๆ เบาๆ ไม่โฉ่งฉ่าง แต่เมื่อดมใกล้ผิวจะมีโทนกึ่งติดหวานสมุนไพรแกมอบอุ่นปนนวลอ่อนๆ ติดผิวอยู่ ซึ่งช่วงนี้รู้สึกได้ถึงความเป็นโทน Airy ชัดเจนมาก อารมณ์แบบกลิ่นสดชื่นทะเลอ่อนๆ คลอรอบกายเบาๆ เย้าๆ อารมณ์สไตล์ Safe Scent ที่มีความสดชื่นคลอๆ แนวๆ นั้น

ช่วงท้ายจะชัดเจนมากว่ากลิ่นจะไม่ได้ขยับไปจากความเป็น Airy เบาๆ แต่จะให้ความรู้สึกของกลิ่นแนวต้นตระกูลเข้ามา คือ ความเป็นโทนไม้หอมอ่อนๆ แกมกลิ่น Musk นวลๆ สะอาด แต่มีกิมมิคเล็กๆ ที่บางมากหน่อยคือความ Smoky ที่จะเนียนอยู่กับความนวล ซึ่งในช่วงนี้จะยังจับความรู้สึกแบบดอกส้มที่ให้ความนวลหวานปลายเปรี้ยวอ่อนๆ ได้อยู่ อารมณ์กลิ่นจะติดผิวให้ความสะอาดๆ นวลอ่อนๆ โดยที่มีกลิ่นทะเลบางๆ อารมณ์แบบกลิ่นอายทะเลติดผิว ซึ่งไม่ซับซ้อน กลิ่นแบบเน้นปลอดภัยไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ครอบคลุมมาก ตั้งแต่เด็กน้อย (ฉีดเสื้อที่สวม) ยันผู้ใหญ่ และคนที่ไม่ได้ชอบกลิ่นน้ำหอมแรงๆ แต่ให้ความเป็นกลิ่นอายแบบเบาๆ เรื่อยๆ ใกล้เคียงกลิ่นเบาๆ ตามธรรมชาติที่ปลอดภัยสุดๆ ซึ่งกวาดหมดในการใช้งานยามกลางวัน ยังไงก็รอดแน่นอนมั่นใจได้ เพราะกลิ่นไม่ได้รบกวนใครเลย แต่ถ้าใส่ยามค่ำคืน เน้นการใส่แบบสบายๆ ชิลล์ๆ จะดีที่สุด ที่สำคัญใส่ไปเล่นกีฬาแบบไม่เน้นกลิ่นแรงแต่ให้ความรู้สึกสดชื่นอ่อนๆ สะอาดๆ เหมาะมาก

ความทน - เป็น Eau de Parfum ก็จริง แต่กลิ่นมาสายปลอดภัยมากแบบคลอผิวอ่อนๆ เลยทำให้รู้สึกได้ว่าความทนไม่ได้โดดเด่นบางครั้ง 2 ชม. กลิ่นก็เริ่มจม จนพอ 4 ชม. ลองดมใหม่ก็ยังมีอยู่แต่ให้อารมณ์กลิ่นอ่อนๆ แล้วพอ 6 ชม. ลองดม ก็ติดผิวนวลๆ สะอาดๆ เบาๆ เลยขอบอกแบบสรุปได้ว่า อยู่ที่ 2 - 6 ชม. เป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์เน้นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางให้ความสดชื่นสบายๆ ในช่วงต้น แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปราวๆ 15 นาที แล้วคงตัวไปราวๆ 2 ชม. ที่เหลือคือ Skin Scent ล้วนๆ จนกว่าจะจางไป   

สรุป - มันให้ความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นสดชื่นเจือทะเลอ่อนๆ ที่ติดผิวกายเราแนวๆ นั้น เพียงแต่แค่กลิ่นไม่ได้กระจาย อารมณ์เหมาะกับคนที่ไม่ได้ชอบน้ำหอมแรงๆ ใส่ไปเล่นกีฬา หรือว่าใส่ก่อนนอนก็ได้หมด หรือถ้าคนที่ไม่ได้ชอบน้ำหอมแต่อยากใช้เพื่อให้เรามีความรู้สึกสะอาดสดชื่น บอกเลยกลิ่นนี้ปลอดภัยมากถึงมากที่สุดจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นไปได้พกเติมระหว่างวันไว้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มความสดชื่นระหว่างวัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Banana-Republic/Classic-Acqua-69486.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Paul Emilien - Pure Addiction

Paul Emilien - Pure Addiction

จากจุดเริ่มต้นของการเอาดีทางด้านศิลปะการวาดรูปจนได้กลายเป็นหนึ่งในความช่ำชองของ Paul Emilien แต่ก็ยังไม่ได้ตอบโจทย์ซะทีเดียว เขาจึงได้เห็นหนทางในการสร้างสรรค์งานศิลปะทางด้านกลิ่นและการทำ Packaging เข้ามาร่วมด้วย และเนื่องจากมีพื้นเพเดิมในงานทางด้านศิลปะ + การเรียนรู้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพอความตั้งใจมีมากเข้าในการเรียนรู้และการใช้ความสามารถในการสร้างสรรค์ ผลผลิตจึงได้ออกมาเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมสาย Niche Perfume ในที่สุด

และเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก นอกจากขวดที่สวยเชียว สิ่งหนึ่งที่สะดุดสายตาในการอ่านก่อนเลย ก็คือการเห็นรุ่น Pure Addiction ที่มีการโปรยความน่าสนใจโดยสรุปว้ว่า “ความสะกิดรบกวนต่อมอยากรู้ ความดึงดูดสร้างความน่าสนใจ ความทรงพลัง และความเป็นขนมที่น่ากิน สิ่งเหล้านี้มักเป็นที่มาของการสร้างความรู้สึก -หลงใหล- แต่ทำไมต้องเป็นแค่โทนกลิ่นเหล่านี้ล่ะ โทนอื่นๆ ก็ทำได้เช่นกัน” เช่นนั้นจึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์กลิ่นอายน้ำหอมที่จะสื่อสารถึงความน่าหลงใหลโดยล่ะทิ้งขนบแบบ Mass มาแปลสารความน่าหลงใหลในสไตล์อื่นแทน และกลิ่นที่ได้จะเป็นอย่างไรนั้น ว่ากันได้ตามนี้

Pure Addiction เปิดตัวมาก็แบบว่า เอ๋ Citrus Herbal ที่มาสายสดชื่นติดเขียวสมุนไพรที่เป็นธรรมชาติมาเชียว ซึ่งกลิ่นที่เด่นชัดมาเลยคือกลิ่นของโหระพา ที่จะเกลาเอาความอึนๆ ตุ่นๆ ออกไป เหลือความเขียวนวลติดปร่าอ่อนๆ ที่สอดรับพอดิบพอดีกับกลิ่นโทน Citrus จากของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่มีโทนเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศก็จริง แต่มันรู้สึกได้ว่าไม่ได้มีแค่นี้ในโทน Citrus เพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นโทนเปรี้ยววาบอะโรม่าแกม Airy ที่มาเนียนๆ ของมะนาวมารวมอยู่ด้วย ซึ่งในความเขียวสดชื่นที่เป็นการผสมผสานและตีคู่ได้ดีมากของ Citrus และโหระพา แต่ก็ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะมีกลิ่นปร่าเผ็ดอ่อนๆ ที่เกลากลิ่นคมๆ ออกไปของกานพลู และมีโทนออกทางเขียวติดหวานหน่อยๆ ของเม็ดกระวานเป็นตัวเสริมอยู่ด้วย แต่ 2 ตัวท้ายมาเป็นลักษณะสายส่งเสริมความเขียว ความสดชื่น ความเป็นสมุนไพรที่สดชื่นและรื่นรมย์ในเวลาเดียวกันเสียมาก ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าช่วงเปิดของกลิ่นนี้ดึงดูดให้หลงใหลจริง อะไรจริง เพราะเป็นการผสมผสานกลิ่นได้อย่างลงตัวและสร้างความประทับใจอย่างมากจริงๆ บอกเลยว่าสามารถตกคนที่ชอบกลิ่นสดชื่นมีระดับและมีเสน่ห์ รวมถึงมีความเป็นธรรมชาติสูงได้เลย

การเข้าสู่ช่วงกลาง โทนกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็น Citrus ลงมาระดับหนึ่ง แต่เพิ่มความเป็นโทนสมุนไพรแกมไม้หอมเข้ามาแทนที่แบบค่อยเป็นค่อยไป แน่นอนว่าเนื้อกลิ่นในช่วงนี้ภาพรวมคือมินิมัล แต่จะมีความเป็นโทนกลิ่นที่มีเลเยอร์หลากหลายพอสมควรที่ซ้อนอยู่ในนั้น ซึ่งแน่นอนว่าความเป็น Citrus แกมเขียวนวลสดชื่นรื่นจมูกยังคงมีอยู่ แต่จะเริ่มมีความเป็นสมุนไพรที่มีโทนคล้ายมินต์แต่มีความตุ่นกว่าแกมติดขมและกลิ่นคล้ายจะเป็นโทนเมือกบางมากๆ แกมพริกไทย ซึ่งน่าจะเป็น Sage เลยทำให้กลิ่นโทนสมุนไพรมีมากกว่าความเขียวนวลมาผสมผสาน แต่อีกฝั่งอย่างไม้หอมอันนี้ก็ชัดเจนว่ามีกลิ่นโทนไม้โปร่งๆ แกมไม้อวลๆ แห้งๆ เข้ามาแท็คทีม แน่นอนว่าจับต้องได้คล้ายหญ้าแฝกที่ให้โทนติด Smoky อ่อนๆ แกมไม้แห้งๆ และแน่นอนว่าต้องมี ISO E Super แน่ๆ ที่ให้โทนไม้ซีดาร์ติดโปร่งๆ แต่เนื้อกลิ่นดันมีมิติที่มีน้ำหนักติดอุ่นเข้ามาร่วมด้วยเนียนๆ คล้ายโทนแอมเบอร์ติดลึก เลยทำให้ช่วงกลางมีมิติที่น่าสนใจมากเป็น 3 เลเยอร์ที่สร้างกลิ่นที่สดชื่นก็ได้ อวลแห้งในโทนไม้หอมก็ดี และปิดท้ายด้วยความอบอุ่นหน่อยๆ

เพียงไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ว่าโทนไม้หอมจะมีความหนาอวลมากขึ้นอีกสเต็ป และมีความอบอุ่นที่ชัดเจนมากขึ้นจนจับได้เลยว่ามีโทนแบบ Amberwood หรือ Ambroxan เป็นฐานกลิ่น ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงท้ายคือความเป็นไม้หอมอวลๆ มีความอบอุ่น ซึ่งความเป็นโทนไม้หอมที่มีความแห้งแกม Smoky บางๆ และขรึมโปร่งจะตามมาจากช่วงกลางเสริม Ambroxan ได้ดีมากในการเป็นโทนกึ่งอวลไม้หอมกึ่งอบอุ่นที่มีเสน่ห์แบบทันสมัย และมีตัวเย้าที่ดีอย่างพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อปลายกลิ่นแกมกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ และเมื่อดมใกล้ผิวกลิ่นได้โทนสะอาดนวลบางๆ ซึ่งน่าจะมี Musk รวมอยู่ด้วย เลยเป็นการปิดท้ายที่มินิมัลแต่มีเสน่ห์อวลๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์สมัยนิยมได้ดีมากในการใช้งาน แบบที่ก็ไม่แปลกใจเพราะนี่คือโทนกลิ่นสมัยนิยมที่ยังไงก็ดึงดูด

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ไพล่ไปทางผู้ชายถึง 80% เลยก็ว่าได้ เพราะปูทางไปสายสุภาพบุรุษที่มีความสดชื่นเป็นธรรมชาติและทันสมัยชัดเจนมาก ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป จะออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็สามารถ เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนสดชื่นที่เรียบง่ายก็จริง แต่มีเสน่ห์ชัดเจน ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไป ดินเนอร์ หรือปาร์ตี้ Outdoor จะดีกว่า เพราะว่าแม้กลิ่นจะชัดจะมีพลังในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเจอโทนแน่นหวานจัดจ้าน ก็โดนกลบไปเยอะอยู่

ความทน - บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะเจอไปที่ 15 ชม. แถมอาบน้ำไปแล้วกลิ่นยังติดผิวกายอ่อนๆ อยู่ด้วย ถือว่าความทนดีงาม ซึ่งถ้าเทียบกับสภาพผิวกายที่ไม่เอื้อกับการเก็บกักน้ำหอม ยังไงก็น่าจะแตะที่ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นแต่ไม่ได้บาดไม่ได้คม เรียกว่าเปิดมาสร้างความประทับใจในความสดชื่นที่มีเสน่ห์ติดเขียวนวลธรรมชาติกันเต็มๆ ก่อนที่จะลดลงมาที่กระจายดีไปซักพัก แล้วถึงเป็นปานกลางเมื่อผ่านไปราวๆ 3 ชม. ไปแล้ว แล้วคงตัวเสถียรกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 7 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว

สรุป - กลิ่นเปิดคือประทับใจมากจริงๆ เพราะเป็นการเกลากลิ่นโหระพาออกมาได้เป็นธรรมชาติและไม่ยัดเยียดความนวลปร่าจัดๆ ลงมาในน้ำหอม สร้างความสดชื่นปนอะโรม่าได้อย่างดีมาก อันนี้แหละ Pure Addiction กันเต็มๆ ส่วนที่เหลืออารมณ์กลิ่นจะเป็นน้ำหอม Niche ที่เข้าถึงได้ง่าย ใช้แล้วมีความรอดสูง โดยที่ยังทันสมัยอยู่นั่นเอง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://makeup.com.ua/ua/product/419115/

 

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: 4711 - Acqua Colonia Intense: Sunny Seaside of Zanzibar

4711 - Acqua Colonia Intense: Sunny Seaside of Zanzibar

เมื่อผ่านการได้ลองกลิ่นอายสาย Cologne Intense ของ 4711 ไปก่อนหน้านี้ 1 รุ่นที่เอาสถานที่สวยงามต่างๆ บนโลกมาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสรรค์กลิ่นอย่าง Floral Fields of Ireland ที่สัมผัสได้ชัดเจนถึงความทนที่มีมากขึ้นและเนื้อกลิ่นเองก็ได้อารมณ์ Cologne ที่ให้ความสดชื่นและรื่นรมย์ในเวลาเดียวกัน โดยให้ความเป็นโทนสีชมพูอ่อนของดอกไม้ที่ลงตัวมากๆ ในสไตล์มินิมัล เช่นนั้น มีหรือที่จะไม่ขวนขวายหากลิ่นอื่นๆ ในโซนนี้มาลอง

และก็ได้โอกาสในการคว้าตัวที่ 2 อย่างรุ่น Sunny Seaside of Zanzibar ที่คราวนี้ 4711 จะพาเราไปเที่ยวที่เกาะ Zanzibar ของแทนซาเนียที่มีเมืองเก่าอันสวยงาม (แนวๆ ปีนัง) + ทะเลที่งดงามมากๆ อีกแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งกลิ่นอายสายลม แสงแดด และทะเลแสนงามฟ้าสีครามสดใสจะเป็นอย่างไร กลิ่นก็บอกออกมาแบบนี้เลย

เปิดตัวออกมามีความชัดเจนเลยว่าพื้นฐานกลิ่นมาจะมาสายแนวซันแทนโลชั่นหรือกลิ่นอายแบบโลชั่นที่มีมะพร้าวและวานิลลาเป็นองค์ประกอบหลัก เพราะจับต้องได้ถึงความครีมมี่อวลๆ ในเนื้อกลิ่นได้ตั้งแต่ต้นเลย แต่กลิ่นกับไม่ได้ไปสายข้นคลั่กแต่อย่างใด เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีโทนออกทาง Aquatic กึ่งหวานผลไม้ที่มีความฉ่ำๆหน่อย ซึ่งก็ชัดเจนเลยว่าแตงโมมาเต็มๆ แต่กลิ่นไม่ได้ใสฉ่ำแบบน้ำแตงโมขนาดนั้น เพราะมีกลิ่นอายเครื่องเทศติดหวานหอมเสริมเข้ามาด้วยอย่างโป๊ยกั๊ก ซึ่งบางวูบจะได้อารมณ์กลิ่นแนวๆ คล้ายอยู่ริมสระว่ายน้ำและมีกลิ่นกึ่ง Sea Breeze อ่อนๆ เข้ามาร่วมด้วย ทั้งหมดจะซ้อนทับกลิ่นโทนครีมมี่มะพร้าวและวานิลลาไปเยอะเลยกลายเป็นข้อดีเลยที่ไม่ได้เป็นกลิ่นแนวซันแทนโลชั่นหนักๆ แต่ให้บรรยากาศแนวๆ ใกล้ทะเลที่มีความสดชื่นแกมหวานโปร่งที่มีกลิ่นอายครีมมี่อ่อนๆ ซ้อนอยู่ข้างในด้วย เรียกว่าเปิดมาก็ประทับใจไม่น้อยเลยว่าสามารถทำให้กลิ่นที่น่าจะหนักเป็นเบาลงได้ และมีความ Summer Scent ที่ชัดเจนได้เลยในมุมการรับกลิ่นสไตล์เที่ยวทะเลแบบชาวตะวันตก

เมื่อกลิ่นในช่วงต้นเริ่มเฟดตัวเองลงไปในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นขยับสเต็ปขึ้นมาเป็นโทนข้นมากขึ้นเท่าไหร่ แม้เนื้อกลิ่นจะหนามากขึ้นมาอีกสเต็ปก็จริงในช่วงกลาง แต่สิ่งที่ได้คือกลิ่นโทนครีมมี่ติดหวานอวลนวลรองพื้นที่มีโทนบรรยากาศล้อมกลิ่นแบบกำลังดีแทนมากกว่า ซึ่งแน่นอนความเป็นโทนออกทางซันแทนกึ่งมะพร้าวกึ่งวานิลลามีความชัดเจน แต่สิ่งที่เด่นขึ้นมาเลยคือโทนกลิ่นหอมเย็นระเรื่อของลีลาวดี ที่ได้ความปร่าซ่าในกลิ่นอ่อนๆ แกมกลิ่นหวานดอกไม้ขาวที่ได้ลักษณะค่อนไปทางบรรยากาศ Tropical เกาะเขตร้อนที่กลิ่นกลางๆ กำลังดี ซึ่งนี่แหละที่มาแท็คทีมตัดทอนให้เนื้อกลิ่นไม่ได้หนักข้นท่วมๆ แม้ว่าจะมีพื้นฐานกลิ่นนวลสะอาดของ Musk ที่ค่อนไปทางแป้งนวลด้วยที่รองพื้นเป็นฐานกลิ่นอยู่ด้วยก็ตาม แต่กลิ่นจะมีเลเยอร์ที่มาจากกลิ่นครีมมี่ที่มีบรรยากาศมาแทรกอยู่ตลอดแบ่งกันแบบครึ่งๆ  และที่สำคัญต้องยกให้คนปรุงเลยทีคือการคุมโทนที่ยังได้อารมณ์สไตล์ Cologne นี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นไม่หนักเกินไป สามารถใช้กับฤดูร้อนที่เสริมความนวลหวานปร่าไล่โทนไปโปร่งได้ดีอีกด้วย

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายสิ่งที่จะเริ่มจับต้องได้เลยก็คือเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนไม้หอมติดแห้งอวลหน่อยๆ แกมอบอุ่นเข้ามาและมีความเป็นกลิ่นไม้โปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้โทนออกทางโลชั่นซันแทนติดปร่าหอมหวานระเรื่อในช่วงกลางก็เริ่มเบาลงแต่ไม่ได้หายไปไหนแต่กลิ่นออกทาง Aquatic ของแตงโมนั้นไปหมดเรียบร้อย เลยจะได้โทนติดแป้งหอมแกมอบอุ่นของวานิลลาเจือมะพร้าวแทน โดยที่มีกลิ่นไม้หอมติดโปร่งๆ แนวไม้ซีดาร์และมีความเป็นไม้แห้งอวลเล็กๆ ที่ให้กลิ่นเป็นโทนสีออกทางนวลผืนทรายแกมแสงแดด ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เนื้อกลิ่นจะเป็นอารมณ์แนวแป้งนวลแกมกลิ่นซันแทนโลชั่นติดกายที่ให้ความหวานอ่อนๆ มีความหนาในเนื้อกลิ่นที่กลางๆ กำลังดี ได้ความหอมนวลละมุนๆ โดยมีโทนไม้หอมมาสร้างให้เนื้อกลิ่นมีมิติที่ไม่ได้เอะอะก็แป้ง เอะเอะก็โลชั่นมากไป สร้างความรื่นรมย์กลางๆ กำลังดีแบบไม่หนักไป ไม่เบาไป มีความผ่อนคลายแนวเที่ยวทะเล ผืนทราย แสงแดด ชิลล์ๆ พักผ่อนกับกลิ่นบรรยากาศนวลๆ แบบหรูๆ มีระดับปิดท้ายได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลางพอดีเลย อาจจะมีความรู้สึกค่อนไปทางผู้หญิงบ้าง เพราะเนื้อกลิ่นมาสายครีมมี่โลชั่นซันแทน แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้งานได้สบายมาก เนื้อกลิ่นมีความกลางๆ คุมโทน Cologne กึ่งอวลนวลได้ดี เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบแทบจะกวาดหมด มีเพียงการใส่เพื่อไปออกกำลังกายที่ควรตัดออกไปได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ชิลล์ๆ ท่องราตรี หรือเดินเล่นริมทะเลถือว่าลงตัวที่สุด แต่เอาจริงๆ เนื้อกลิ่นก็สามารถใส่ท่องราตรีแบบเบาๆ ได้อยู่กับสภาพอากาศแบบบ้านเรา   

ความทน - แน่นอนว่า Cologne Intense ความทนดีงามเลยทีเดียวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอกับกลิ่นนี้ที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติเลย ถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ ในเรื่องความทนนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากลางๆ ซักราว 3 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวอวลๆ ที่ตีขึ้นให้รู้สึกมุ้งมิ้งกับตัวเองไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 7 ชม. ก็จะเป็น Skin Scent แล้ว

สรุป - ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายสไตล์ Cologne สายอวลครีมมี่ที่คุมโทนกำลังดีมีความเป็น Summer Scent ที่แตกต่าง ไม่ได้พยายามยัดเยียดความเป็นทะเลมากไป แต่ให้โทรกลิ่นอายยามพักร้อนแบบรีสอร์ทริมทะเลในแบบวิถีของชาวตะวันตกมากกว่า แบบที่คนไทยเองอาจจะไม่ได้ชินกับกลิ่นแนว Summer แบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเอามาประยุกต์ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นกลิ่นที่คุมโทนการเป็นสไตล์ Cologne ที่จะไม่หนักมากได้ดี ทำให้สามารถใช้ได้กับอากาศบ้านเราได้ทุกฤดูเสียด้วย 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.4711.com/en/4711-acqua-colonia-intense-sunny-seaside-of-zanzibar-67

 

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Technique Indiscrete - Veloutine

Technique Indiscrete - Veloutine 

หลังจากที่เคยผ่านการเล่ากลิ่นรุ่น Paname Paname ที่สื่อสารถึงความเป็นปารีส ที่ให้ความร่วมสมัยแกม Retro กึ่งขนม และกลั้วเย้ากลิ่นดอกไม้ที่สื่อสารถึงผู้หญิงปารีสแนวสตรอง ในการลองครั้งนั้นก็เรียกว่าสร้างความสนใจในเนื้อกลิ่นที่สื่อสารที่อิงขนบน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส แต่ก็แอบฉีกให้ดูมีความนอกกรอบในการสร้างสรรค์ไม่น้อย เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และการกลับมาเจอน้ำหอมของ Technique Indiscrete อีกครั้ง ก็เจอกับกลิ่นที่มีความน่าสนใจเพราะคราวนี้จะมาเจอและลองกลิ่นอายสายเย้ายวนดึงดูดดูบ้าง เพียงแต่มีความสะดุดอยู่นิดนึงคือที่มาที่ไป มีความเก๋แกมขำดีไม่น้อย เพราะ

มาจากการดูนิยายแนวโรแมนช์ในยุควิคตอเรียนที่เขียนโดย Barbara Cartland ที่สร้างขึ้นมาเป็น Series ของช่อง BBC 1 ที่เอาคาแรคเตอร์ตัวละครผู้หญิงในเรื่องราวเหล่านั้นมาสร้างสรรค์เป็นน้ำหอม โดยจะเอาความเป็นกุหลาบและดอกไวโอเล็ตมาสื่อสาร ซึ่งชัดเจนว่างานแป้งกุหลาบก็มาแล้ว 1 เลยมาลองหน่อยซิ ว่าผลงานการสร้างสรรค์จะออกมาในลักษณะไหน  

Veloutine เปิดตัวมาก็ให้ความรู้สึกถึงความเป็นโทนแป้งกุหลาบกันเลย เพียงแต่ว่าจะฉาบหน้าด้วยโทนกลิ่นสดชื่นชื้นๆ กึ่ง Aquatic แกมแตงกวาติดเขียวหน่อยๆ ของใบไวโอเล็ต ที่มีกลิ่นโทนอารมณ์เปลือกเบอร์รี่สีแดง (ที่ไม่ใส่สตรอเบอร์รี่) แต่จะแนวๆ กึ่งแครนเบอร์รี่ ที่จะมีกลิ่นติดเปรี้ยวมีลูกเอื้อนปร่าๆ ออก Spicy หน่อยๆ ซึ่งจะมาตัดทอนกันจนโทนเปรี้ยวจะมาแบบจางๆ เลยจะได้ความชื้นๆ กึ่งปร่าให้ความเป็นสตรีเพศแบบวันสะออนแบบซ่อนอารมณ์ลั่นล้าหน่อยๆ ไว้ภายในได้ดี ซึ่งเปิดมาก็มีความเป็นตัวละครหญิงในนิยายสายโรแมนช์ย้อนยุคชุดฟูๆ สไตล์วิคตอเรียนได้เลย (อาจจะเป็นเพราะอ่านที่มาที่ไปก่อนจะเขียนด้วย เลยทำให้เทความรู้สึกและเห็นภาพในลักษณะนี้) แต่ถ้าจะไม่ได้อิงกับความเป็นสไตล์ย้อนยุค ก็ถือว่าเป็นโทนแป้งที่มีความสดชื่นอารมณ์แบบอาบน้ำยามเช้าที่ยังมีความชื้นคลอผิวแล้วทาแป้งหอมกุหลาบอ่อนๆ ทับก็ได้อยู่ ซึ่งถือว่ามีความ Nice และใช้ง่ายแบบมีเสน่ห์ตั้งแต่แรกเลย

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเลยเมื่อโทนชื้นๆ ของไวโอเล็ตจะเริ่มเบาลง เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งขึ้นมาอีกสเต็ป โดยที่ทุกอย่างในช่วงต้นจะผ่อนลงไปอีกสเต็ป ช่วงนี้แหละก็จะชัดเจนในการเป็นโทนแป้งที่มี 2 เลเยอร์ชัดขึ้นมาเลย นั่นก็คือ แป้งหวานโปร่งกึ่งชื้นเบาๆ ของดอกไวโอเล็ต และแป้งที่ติดทึบอ่อนๆ กึ่งแป้งเครื่องสำอางค์บางๆ ของดอกไอริสที่จะทำให้โทนแป้งในช่วงนี้มีเสน่ห์แบบกำลังดี ซึ่งแน่นอนมีกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ คลออยู่ตลอด ซึ่งตรงนี้กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ค่อนข้างตรงไปตรงมาในการเป็นโทนแป้งที่ติดหวานแกมกลิ่นแบบแป้ง Make up นิดๆ แต่ข้อดีที่รู้สึกได้เลยคือ กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติแบบที่โทนนี้ควรจะเป็น ไม่ได้พยายามยัดเยียดให้แป้งจ๋าๆ จัดๆ ใส่ดอกไม้เข้าไปเยอะ ๆแต่ให้ความหอมอวลแป้งอ่อนๆ แกมหวานที่เหมือนจะนิ่งๆ แต่จริงๆ มีเสน่ห์ติดรุ่มรวยแกมเย้ายวนสร้าง Sex Appeal แบบไม่ต้องดูพยายามเน้นที่ความ Nice คือถ้าจะนึกถึง Series ย้อนยุคก็นางเอกของเรื่องที่อารมณ์ชอบพระเอก แต่แสดงออกนอกหน้าไม่ได้ ต้องวางตัวอ่ะค่ะ เน้นส่งสายตาพลางจงใจเข้าใกล้ให้พระเอกประทับใจอะไรประมาณนี้

และช่วงท้ายที่เข้ามาเยือนเมื่อสมควรแก่เวลา โดยที่จะมีตัวแปรสำคัญที่ให้อารมณ์กึ่งจะ Sexy เนียนๆ ในสาย Animalic หน่อยๆ ที่เกลากลิ่นตัดความดิบห่ามออกไปเกือบหมดของโทนหนัง ที่แน่นอนว่าสอดรับกับทั้งโทนแป้งและกุหลาบอ่อนๆ ซึ่งโทนกนังจะกลายเป็นผู้เล่นหลักเลยในช่วงท้ายที่ให้ความเย้ายวนแบบอารมณ์ผิวกายติดแป้งหอมอ่อนๆ มีความนุ่มของ Musk มาตัดทอน และใส่กิมมิคกลิ่นโทนคล้ายโทนกึ่งผลไม้บางๆ กึ่งรูทเบียร์อ่อนๆ ที่มีความเย้ายวนเนียนๆ ลงไปด้วย (ซึ่งน่าจะเป็นตัว Salicylate) ช่วงท้ายเลยจะออกแนวเย้ายวนแบบนิ่งๆ แต่มีจริตในทีเสริมอยู่ตลอด ซึ่งแน่นอนกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน แต่มีความรุ่มรวยแกมกรุยกราย กึ่ง Retro เนียนๆ อยู่ตลอดจากโทนแป้งแกมหนังที่ขับความเย้าของผิวกาย ซึ่งชัดเจนกับกลิ่นอายแบบคาแรคเตอร์นางเอกในนวนิยายโรแมนซ์ย้อนยุคแบบอังกฤษที่ไม่หลุด Concept เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว แม้ว่าเนื้อกลิ่นจะมีอารมณ์ Vintage ย้อนยุคอยู่ก็จริง แต่มีแบบเบาๆ สร้างอารมณ์ที่กรุยกรายอ่อนๆ เป็นกิมมิคเสียมากกว่า เลยถือว่าเป็นโทนแป้งแกมสดชื่นที่มีเสน่ห์และให้ความเป็นธรรมชาติที่กำลังดี ไม่ได้ยัดเยียดให้แป้งจ๋าจนดูเป็นคุณนายแต่งหน้าเยอะแบบจงใจมาจากไหน เลยเข้าได้กับการใช้งานในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบเกือบกวาดหมด ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป มีเพียงแค่ที่อาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ก็ใส่ไปออกกำลังกาย ส่วนค่ำคืนไม่ว่าจะโรแมนติค ทั่วๆ ไป ออกงาน ได้หมด แต่ไม่ควรเลยคือใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนกลบหมดแน่นอนจากโทนหวานแน่นทั้งหลาย

ความทน - ลงตัวเกินคาด ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะทนมาก แต่ก็ลากไปถึง 12 ชม. ได้สบายๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้น 8 ชม. ได้ไม่ยากในหลายๆ สภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ไม่ได้ดูเล่นใหญ่อะไรมาก มีความกรุ่นๆ อวลๆ เสียมาก และคงตัวพอสมควรไปจนถึงราวๆ 4 ชม. เลยก็ว่าได้ แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปถึง 8 ชม. ถึงค่อยเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - เป็นกลิ่นแป้งที่ดูเหมือนไม่หวือหวา แต่ให้เนื้อกลิ่นที่พอเหมาะพอเจาะและคาแรคเตอร์กลิ่นที่น่าสนใจมากกับอารมณ์นางเอกสาวใน Series โรแมนติคย้อนยุค ที่ได้ความสดชื่นหอมนวลมีเสน่ห์แบบซ่อนความเนียนเย้าเอาไว้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ทำออกมาได้ลงตัวและเข้าถึงได้ไม่ยากในสไตล์ Niche Perfume ใช้ง่ายได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://techniqueindiscrete.com/en/fragrance/2-130-brown-bear-printed-sweater.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Gri Gri - Ukiyo-E


Gri Gri - Ukiyo-E

Gri Gri ถือเป็นแบรนด์น้ำหอมสัญชาติฝรั่งเศสจากฝีมือของสุคนธกรอย่าง Anaïs Biguine (ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เองด้วยโดยดูแลเองถึง 4 แบรนด์ Niche Perfume อย่าง Jardins d'Écrivains, Les Cocottes de Paris, Chapel Factory และ Gri Gri) ซึ่งตัวแบรนด์ Gri Gri เองมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นมาจากศิลปะการสักเรือนร่างที่เป็นหัวใจทางวัฒนธรรมต่างๆ จากทุกมุมโลกไม่ว่าจะเป็น การสักของชนเผ่าเมารี การสักภาษาสันสกฤตของชาวอินเดีย การสักสไตล์ Sideshows ของอเมริกา และการสักแบบคาบุกิบนเรือนร่างของญี่ปุ่น ที่ตอนนี้มีเพียง 4 รุ่นที่ออกมาวางจำหน่าย

ซึ่งครั้งแรกที่มีโอกาสได้รู้จักแบรนด์นี้ ก็มาจากการที่ได้รับคำแนะนำว่ามีน้ำหอมสาย Niche Perfume อยู่แบรนด์หนึ่งที่ทำน้ำหอมกลิ่นเกนมัยฉะหรือชาข้าวคั่ว (ซึ่งเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ชอบในชีวิตจริงอยู่เป็นทุนเดิมเวลาดื่มไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบเย็นพร้อมดื่มหรือแบบชาร้อนตามร้านอาหารญี่ปุ่น) เลยทำให้สงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่า แบรนด์นี้มาจากไหนอย่างไร และค้นคว้าสุดฤทธิ์เลยทีเดียว ก็ทำให้ได้รู้จักกับแบรนด์ Gri Gri กับรุ่น Ukiyo-E ที่มีแรงบันดาลใจแบบการสักบนเรือนร่างคาบุกิแบบญี่ปุ่น ผนวกกับเอากลิ่นอายความเป็นชาเกนมัยฉะมานำเสนอ เช่นนั้น แม้จะยากขนาดไหนก็ต้องหามาให้ได้ ซึ่งเมื่อความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น จนได้สัมผัสเนื้อกลิ่นแล้วตกผลึกได้ที่ ก็มาถ่ายทอดต่อได้แบบนี้เลย

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นโทนชาข้าวคั่วมาเลยกลิ่นจะมาแบบอบอุ่นแกมหอมกึ่งเขียวอวลกึ่งข้าวคั่วพองในน้ำส่งกลิ่นหอมแกม Smoky อ่อนๆ โดยมีกลิ่นติดขมปนหวานของส้มยูซุที่ได้ความสดชื่นเนียนๆ แทรกอยู่ตลอดแบบไม่ได้แย่งซีนหรือมาตัดทอนกันจนขัดแย้ง แต่ได้อารมณ์กึ่งหยินหยางส่งเสริมกันในกลิ่นเสียมากกว่า ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายบรรยากาศที่มีชาเกนมัยฉะกรุ่นหอมออกมาจากถ้วยเคล้ากลิ่นบรรยากาศที่มีความขมเจือหวานอ่อนๆ สว่างๆ ทุกอย่างเป็นองค์ประกอบที่ทำให้นึกถึงความเป็นญี่ปุ่นชัดเจน และไม่น่าจะมีเพียงแค่นี้ เพราะ

การเข้าสู่ช่วงกลางจะมีโทนออกทางคล้ายไอน้ำร้อนที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามามากขึ้น จนทำให้กลิ่นมีความอวลและอุ่น แต่ไม่หนักและไม่แน่นจนเกินไป อารมณ์แบบไออุ่นประมาณนั้น นี่แหละที่ทำให้ทึ่งไปเลย เพราะสร้างอารมณ์แบบไอบ่อน้ำร้อนแบบญี่ปุ่นให้รู้สึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีกลิ่นโทนน้ำฉ่ำๆ หรืออะไรที่มายัดเยียดความเป็นโทนแนว Aquatic หรือ Watery แต่มันรับรู้ได้เลยว่านี่แหละกลิ่นอายแบบไอน้ำร้อน จนประสบการณ์บอกต่อได้เลยว่านี่แหละกลิ่นอายไอบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่น ซึ่งพอมาผสมผสานกับกลิ่นชาข้าวคั่วและโทนยูซุที่ตามมาตั้งแต่ต้น กลิ่นเลยจะสร้างความรู้สึกรื่นรมย์และผ่อนคลายแบบอุ่นๆ ขึ้นมาทันที แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะว่าจะสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นมีความติดโทนเขียวออกทางชาเขียวละมุนแตะโทนมัทฉะแกมหวานดอกไม้อ่อนๆ อะโรม่าที่เข้ามา สอดรับพอดีกับกลิ่นข้าวคั่วพองหอมที่มีโทน Smoky ที่ชัดขึ้นมาอีกสเต็ปพอดี กลิ่นเลยสร้างภาพในหัวอารมณ์แบบจิบชาเกนมัยฉะใกล้หรือข้างบ่อน้ำร้อน หรือจะไพล่นั่งแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อนเลยก็ได้ท่ามกลางบรรยากาศรื่นรมย์ที่มีความหวานเจือให้จับต้องได้ตามลม

และเมื่อกลิ่นโทนไออุ่นของน้ำร้อนค่อยๆ เบาลง กลิ่นจะขยับเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็นกลิ่นอบอุ่นอ่อนๆ กำลังดี มีความนวลอวลแบบร่างกายคนอบอุ่นแกม Musk แต่จะมีกลิ่นโทนหวานอ่อนๆ ติดน้ำผึ้งบางๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางหวานโปร่งได้โทนออกทางสีค่อนไปทางชมพูนิดๆ แกมหวานกึ่งเชอร์รี่ใสๆ ค่อนไปทางดอกไม้ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดนั่นคือซากุระ ทำให้เมื่อรวมกับกลิ่นเกนมัยฉะและชาเขียว รวมถึงไออุ่นอ่อนๆ จากกลิ่นไอน้ำร้อนในช่วงกลาง  แน่นอนเพราะพื้นกลิ่นมีโทนออกทางนวลสะอาดอยู่ เลยจะเสริมองค์ประกอบแห่งความรื่นรมย์ที่ชัดเจนมากทางกลิ่น เหมือนเห็นภาพคนชิลล์ข้างบ่อน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อน ชมวิวธรรมชาติ ที่มีกลิ่นอายดอกไม้ จิบชาเกนมัยฉะ ทุกอย่างคือความเป็นญี่ปุ่นสุดๆ ได้ทั้งความอบอุ่น ความรื่นรมย์ ความหอมหวานโปร่ง รวมกันเป็นความเรียบง่ายแต่แฝงความสุขในเนื้อกลิ่นที่ลงตัวคลอผิวกายเราไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเพศไหนใช้ได้หมด กลิ่นมีความอะโรม่าและสร้างกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อมเป็นพื้นฐาน และให้ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่ลงตัวมาก จึงเข้ากับแทบทุกช่วงยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนถ้าจะออกกำลังกายรอช่วงกลางค่อนท้ายจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือชิลล์ๆ จะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นสายปล่อยของแต่อย่างใด

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ เพราะกลิ่นไม่ได้หนัก เลยจะให้ความทนที่กำลังดีเสียมาก สูงสุดที่เคยเจอคือ 10 ชม. เพราะฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย ความทนเลยยืดไปได้อีกหน่อย ซึ่งบนเสื้อผ้ากลิ่นทนกว่าบนผิว   

การกระจาย - ต้องบอกเลยว่ากลิ่นนี้เป็นสาย Skin Scent ที่จะกระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัวเสียมากตั้งแต่ต้น ให้ความมุ้งมิ้งผ่อนคลายกับตัวคนฉีดเองเสียมากกว่า รวมถ้าใครมาอยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่นอวลอ่อนๆ กำลังดี ซึ่งพอผ่านไปซัก 4 ชม. ก็เป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นอ่อนๆ ยามร่างกายขยับเนื้อตัวแล้ว

สรุป - กลิ่นอาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกได้ถึงลายสักแนว Ukiyo-E ที่มีความเป็นศิลปะ ลุ่มลึก ดุดัน แข็งแกร่ง เรื่องเล่าภาพรอยสัก หรือจะแนวยากูซ่า แต่ให้อารมณ์กลิ่นที่มีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นลุ่มลึกและรื่นรมย์ในความน้อยแต่มากแทน โดยการสื่อสารโทนกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่เด่นกับเกนมัยฉะ + มีอารมณ์แบบกลิ่นอายแบบไอน้ำร้อนสตรีมเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้เห็นภาพได้ในระดับหนึ่งแบบที่เรานั่งคูลจิบชาร้อนอบอุ่นในเรียวกังหรือออนเซ็นที่มีไอจากบ่อน้ำร้อนลอยมาสัมผัสตัว หรือถ้าจะอนุมานต่อเหมือนเห็นภาพผู้ชายมีรอยสัก Ukiyo-E แช่บ่อน้ำร้อนจิบชาเกนมัยฉะท่ามกลางบรรยากาศรื่นรมย์ อันนี้ก็พอไปได้อยู่เช่นกัน ซึ่งทุกอย่างมีความเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาและอะโรม่าโดยแท้เลย ซึ่งยกนิ้วให้สุคนธกรจริงๆ ที่ไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น แต่ถอดกลิ่นออกมาได้หมดจดมากๆ สุดยอด

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Gri-Gri-Parfums/Ukiyo-E-35555.html

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Guerlain - Cologne du 68

Guerlain - Cologne du 68

ในส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 180 ปี ของแบรนด์ Guerlain ในปี 2008 แน่นอนว่าจะต้องมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นมา โดยเฉพาะฝั่งหัวเรือใหญ่อย่างน้ำหอมที่จะต้องนำเสนอในความเป็นแบรนด์ออกมาให้สมกับความเก๋าและความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมา ซึ่งก็ออกมากันให้เต็มเหนี่ยวทั้ง น้ำหอม Special Set พิเศษ รุ่นเด่นต่างๆ ก็มีขวด Limited Edition ออกมาประดับบารมีของตัวเองกัน แต่หนึ่งในนั้นก็มีการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาอีก 1 รุ่นที่สื่อถึงความเป็นปาริเซียงสไตล์ Guerlain อีกด้วย นั่นก็คือ Cologne du 68

ซึ่งรุ่นนี้ตั้งชื่อตามเลขที่ของบูติคที่ตั้งอยู่ที่ถนนฌองเอลิเซ่ และเอา Notes กลิ่นต่างๆ เข้ามาผสมผสานกันตามเลขของที่ตั้งเลยนั่นคือ 68 Notes ในเมื่อความน่าสนใจถึงที่มาต่างๆ ช่างดึงดูดขนาดนี้ และเท่าที่ทราบกลิ่นนี้ก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ แล้วด้วย เช่นนั้น มาสัมผัสกันหน่อยดีกว่าว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาอย่างไรบ้าง และ Cologne du 68 สื่อออกมาตามการไล่เรียงโทนได้ 3 ช่วงแบบนี้เลย

Green Herbal Citrus จะเป็นช่วงเปิดที่ชัดเจนที่สุดของช่วงต้นแบบเต็มตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยกนิ้วให้เลย คือการเบลนด์กลิ่นออกมาให้ไม่เป็นกลิ่นที่คมเกินไป ทุกอย่างสมดุลย์อย่างมากกับการเป็น Nice Cologne ที่เนื้อกลิ่นเป็นธรรมชาติและมีคุณภาพดีมาก ทุกอย่างสอดรับกันได้อย่างชัดเจน โดยแบ่งเค้กกันกลายๆ ในการปล่อยของ ซึ่งวูบแรกคือโทน เขียวที่มีกลิ่นอายออกใบไม้ที่มีเมือกเขียวหน่อยๆ ชื้นๆ อารมณ์แนวกึ่งต้องน้ำค้างหน่อยๆ ที่จะมีกลิ่นติดกิ่งก้านส้มหน่อยๆ เคล้ากับใบไม้ใบหญ้าต่างๆ ที่มีมิติความเขียวที่มีความสดชื่น รวมถึงมีโทน Citrus ที่ให้อารมณ์แบบติดสดชื่นที่สมดุลย์มากทุกอย่างกึ่งกลางที่จับมิติกลิ่นได้ครบถ้วนมาก ทั้งๆ โทนปร่าเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศของมะกรูดฝรั่งที่ชัดกว่าเพื่อนหน่อย ซ้อนด้วยกลิ่นโทนออกทางส้มที่มีความฉ่ำแกมหวานหอมอมเปรี้ยว และมีกลิ่นโทนหอมสดชื่นติดสว่างของเกรปฟรุต แต่ไม่ได้ทื่อๆ เพียงแต่นี้เพราะมีโทนออกทางสมุนไพรมาตัดทอนให้กลิ่นมีความเป็นโทน Fresh Spicy อย่างสมดุลย์ติดปร่ารื่นรมย์อ่อนๆ เรียกว่าเปิดมาก็ให้อารมณ์เนื้อกลิ่นโทนสดชื่นสไตล์ฝรั่งเศสชัดเจนมาก และเป็นโทนสดชื่นที่ไม่โฉ่งฉ่างแต่อย่างใด ให้ความเรียบหรูดูมีสกุลสูงมาก

Soft Spicy Fruity Floral จะเป็นช่วงกลางของน้ำหอมที่จริงๆ จะเริ่มแทรกซึมในช่วงต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปมาตั้งแต่แรกแล้วแต่จะเด่นออกมาเมื่อโทนสดชื่นสายเชียวและ Citrus ในตอนต้นเริ่มเบาลง แต่ไม่ได้หนีไปไหน ยังเป็นลูกผสมอยู่ในเนื้อกลิ่นอยู่แบบสร้างบรรยากาศ แต่เพราะโทนดอกไม้ที่เป็นการผสมผสานกันหลากหลายโทนยืนพื้นที่สายดอกไม้ขาวอย่างดอกส้มที่ให้พื้นกลิ่นหอมสะอาด มีกลิ่นปร่าชื่นใจบางๆ ของลีลาวดีอ่อนๆ ที่สร้างความรื่นรมย์ เสริมด้วยโทนติดหวานดอกไม้อ่อนๆ ที่ให้อารมณ์กลิ่นดอกไม้ลอยเบาๆ ระเรื่อที่บางวูบก็มะลิ บางวูบมีกลิ่นกระดังงาอ่อนๆ บางวูบเจอกุหลาบ ทุกอย่างเรียกว่าผสมผสานโทนดอกไม้ที่ให้ความรื่นรมย์อ่อนๆ กลางๆ ได้ดีและมีระดับมาก ซึ่งจะมีกลิ่นโทนเครื่องเทศอ่อนๆ กึ่งสายเผ็ดแกมหวานสดชื่นอย่างขิง และที่สำคัญได้กลิ่นหวานกึ่งโป๊ยกั๊กบางๆ เข้ามารับช่วงสร้างความหวานในเนื้อกลิ่นสไตล์อ่อนๆ ลอยตามลม และทำให้กลิ่นมีมิติให้จับต้องได้แบบที่คุมโทนกลิ่นอายแบบธรรมชาติได้ดี โดยที่พื้นกลิ่นยังมีโทนกลิ่นลักษณะที่เป็น Cologne อยู่ ซึ่งช่วงนี้แหละได้ความรู้สึกสไตล์ปาริเซียงที่เด่นกับโทนน้ำหอมสายดอกไม้ให้ความเรียบหรูสไตล์ผู้ดี ณ ปารีสชัดเจน และจะเริ่มสัมผัสได้ทีละหน่อยว่าเนื้อกลิ่นเริ่มมีลักษณะแบบโทนแป้งกึ่งอบอุ่นอ่อนๆ ที่เริ่มค่อยๆ ให้รู้สึกได้ และใช่เลยปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายในที่สุด

Powdery & Soft Oriental ซึ่งชัดเจนเลยว่าช่วงท้ายจะกลายเป็นโทนแป้งอ่อนๆ ที่มีความอบอุ่นเบาๆ คลอผิว ซึ่งจะมีพื้นฐานกลิ่นเป็นลูกผสมระหว่างกลิ่นโทนติดแป้งกึ่งอบอุ่นของวานิลลาแกมยางไม้บางๆ ติดหวานอ่อนๆ เคล้าโทนไม้หอมโปร่งๆ ตามด้วย Musk ที่ดูพื้นกลิ่นให้ความนวลสะอาดคลอผิว ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาอยู่กับกลิ่นอายโทนดอกไม้บางๆ ซึ่งเข้าไปเนียนกับโทนแป้งได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วงท้ายเนื้อกลิ่นมีการผสมผสานผสานที่ซับซ้อนออกมาแต่ให้สไตล์ความเป็นโทนกลิ่นอายแบบวานิลลากึ่งแป้งอบอุ่นของ Guerlain ได้ชัดเจน แค่ไม่ได้หนักให้ความอ่อนโยนสบายๆ เบาๆ รับกับกลิ่นสายครีมมี่หน่อยๆ ที่แอบคล้ายโทนขนมอ่อนๆ และมีโทนกึ่งกรุยกรายบางๆ ที่ให้อารมณ์สไตล์ Classic แฝงของสาย Oak Moss กับพิมเสนปร่าระเรื่อให้รู้สึกซ่อนซ้อนในกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งทั้งหมดในช่วงนี้ยังคุมโทนความ Nice ที่ลงตัวให้ความสบายๆ อารมณ์ Cologne แกมอบอุ่นปิดท้ายไปอย่างเรียบหรูแกมเรียบง่ายกันจนกว่าจะจางไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - Unisex เนื้อกลิ่นมีความชัดเจนแบบกลางๆ ที่ไม่ว่าเพศไหนใช้งานก็เอาอยู่และมีระดับแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง (แม้ Notes กลิ่นจะไม่ธรรมดาก็ตาม) ซึ่งได้หมดไม่ว่าจะตั้งแต่น้องเด็กประถมก็ใช้ตัวนี้ได้แล้ว (แบบฉีดที่เสื้อแทนผิว) โดยกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมาสายเรียบหรูและไม่หนักหน่วง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปชิลล์ๆ สบายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง แต่ก็พอใส่ออกงานได้อยู่ เพราะมีเสน่ห์แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้สูงมาก

ความทน - ราวๆ 5 - 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีไปต่อได้นิดหน่อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามประเภทของเนื้อกลิ่นที่เป็นสาย Citrus Aromatic ในการเป็นสไตล์ Cologne ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 8 ชม. แบบกลิ่นติดผิวบางๆ แต่ยังมีติดเสื้ออยู่บ้าง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นวูบนึงแล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักราวๆ 2 ชม. ที่เหลือก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวตามด้วย Skin Scent เมื่อผ่านราวๆ 4 ชม. ไปแล้ว

สรุป - หนึ่งในกลิ่นอายแบบ Cologne ที่มีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่น แต่เบลนด์ออกมาจนกลายเป็น Minimal Style ที่ไม่ธรรมดา ใส่ความเป็นกลิ่นอายสไตล์ฝรั่งเศส ความเป็นโทนผู้ดีปาริเซียงที่เด่นด้วยดอกไม้อ่อนๆ และปิดท้ายด้วยลายเซ็นของแบรนด์ ครบถ้วนความหอมที่มีความเรียบหรูแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shoppingwave.ae/pub/media/catalog/product/cache/image/1000x1240/e9c3970ab036de70892d86c6d221abfe/6/8/68_guerlain_3.jpg

 

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Black Vanilla

Mancera - Black Vanilla

เมื่อเห็นชื่อรุ่นน้ำหอมครั้งแรก ก็คิดไปก่อนเลยว่า Black Vanilla ของ Mancera ขวดนี้จะทำออกมาอย่างไง ที่จะทำให้เนื้อกลิ่นวานิลลาที่เป็นสายโทนอบอุ่นและมีความเอิร์ธโทนออกทางสีเหลืองครีมสว่างมันมีความเป็นสาย Black หรือดาร์กได้ ซึ่งถ้าทำได้แตกต่างเลยเนี่ย มันจะมีความเริ่ดมากขึ้นมาทันที เพราะหลายๆ แบรนด์ก็มีเสนอกลิ่นแนววานิลลาสายดาร์กเย้ากันมาพอสมควรเลย รวมถึงแอบคิดไปก่อนด้วยว่าเพราะแบรนด์นี้เขาเก่ง Oud น่าจะจับมารวมบ้างแหละ

แต่พอได้ใช้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นแบบนี้

สปอยกันก่อนเลยว่าไม่มี Oud แน่ๆ แต่กลิ่นจะชัดเจนในทุกสโตรกของน้ำหอมเลยกับการเป็นวานิลลาที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ โดยจะเริ่มกันที่ช่วงต้นกับการเป็นโทน Fruity Vanilla กันก่อน เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้สว่างมาก ค่อนข้างมาสายสายเย้าดึงดูดพอสมควรเลย เพราะในเนื้อกลิ่นที่มีเมนหลักอย่างวานิลลาจะมีโทนผลไม้กึ่ง Citrus ชูโรงอยู่ ซึ่งจะจับได้ก่อนเพื่อนเลยคือมะกรูดฝรั่งที่เข้ามาทักทายจมูกก่อน ตามด้วยกลิ่นออกทางเปรี้ยวหอมแกมดาร์กปนปร่าคล้ายแอมโมเนียเล็กๆ ซึ่งเป็นสไตล์กลิ่นของแบล็คเคอแรนท์เลย ซึ่งตัวนี้แหละที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะที่เข้าโทนสีเข้ม ไม่ได้สว่างนัก รวมถึงจะมีลูกเล่นกลิ่นพีชเนียนๆ ทำให้เนื้อกลิ่นเปิดมาก็ Unisex เต็มๆ ซึ่งนี่เป็นแค่ฝากของสายผลไม้เอง แต่ในเนื้อกลิ่นที่นอกจากจะมีวานิลลาแล้ว ยังมีมะพร้าวติดออกทางครีมมี่แต่ไม่หนักไม่ข้นมาก ให้อารมณ์กะทิอ่อนๆ เสริมให้วานิลลาที่มีกลิ่นออกทางผลไม้กึ่ง Bubble Gum เย้าๆ แกมน่าค้นหามีโทนนวลๆ ซ้อนอยู่

แต่ในรอยต่อของการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นโทน Citrus จะจางไป เหลือแต่ผลไม้อย่างแบล็เคอแรนท์และพีชที่ยังคงอยู่แต่จะมาเป็นสายสนับสนุนแทน โดยที่วานิลลาจะเริ่มมีความหนาของเนื้อกลิ่นมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป โดยจะมีตัวมาเสริมอย่างกลิ่นโทนกุหลาบ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับโทนผลไม้ เสริมด้วยมะลิเบาๆ ซึ่งก็เปลี่ยนสถานะเข้าช่วงกลางในการเป็นโทน Fruity Floral ที่ซ้อนอยู่ในความเป็นโทนอบอุ่นแกมหอมนวลหวานอวลของวานิลลาที่มีความครีมมี่มะพร้าวคลออยู่ และเริ่มรู้สึกได้เลยว่าในโทนดอกไม้ไม่ได้มีแค่กุหลาบที่ค่อนข้างชัด แต่มีอีกโทนที่ให้อารมณ์แป้งโปร่งๆ แกมหวานของดอกไวโอเล็ตอยู่ด้วย เลยทำให้มีมิติกลิ่นของโทนแป้งที่เป็นตัวแปรสำคัญในการเข้าสู่ช่วงท้าย โดยจะกลายเป็นแป้งหอมอบอุ่นวานิลลาที่มีโทนกุหลาบแกมไวโอเล็ตนวลเนียนผสมผสานอยู่ในนั้น เนื้อกลิ่นจะมีความอวลนวลข้นและหวานแบบกำลังดี แตะความเป็นกลิ่นแนววานิลลาขนมอยู่ประมาณ ¼ ไม่ถึงกับแหลมจนเป็นขนมจ๋าเกินไป และในพื้นกลิ่นจะมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ White Musk ที่จะมีโทนติดผลไม้อ่อนๆ แกมแป้งกึ่งนวลสะอาดมารองพื้นให้มีโทนกลิ่นที่นุ่มและเสริมกับกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลาง กลิ่นเลยจะมีความกลางๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้ถึงกับไปโทนสว่างและไม่ได้ถึงกับดาร์ก โดยยังคุมโทนให้ความเย้ายวนดึงดูดแกมอบอุ่นผ่อนคลายของวานิลลาที่มีความอวลหวานปล่อยพลังออกมาแบบกางบาเรียวานิลลารอบตัวได้ชัดเจนตามสไตล์น้ำหอมของ Mancera ที่ฉีดแล้วต้องมีความทรงพลังในระดับดีถึงดีมาก แบบที่ยังให้อารมณ์อบอุ่น ดึงดูด และอวลนวลแบบที่มีความหรูหราประปรายไม่กิงก่องแก้วเกินไป

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้ เพราะความเป็นโทนแป้งดอกไม้ในช่วงกลางและความเป็นโทนผลไม้นี่แหละ แต่เอาเข้าจริงถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใครชอบวานิลลาด้วยเป็นทุนเดิม คือยังไงก็ฟิน ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์เพราะว่ากลิ่นมีความอวลแน่นพอสมควรตามสไตล์ของแบรนด์ (แต่ไม่ได้คมพุ่งนัก) ซึ่งก็ได้อยู่กับยามทั่วๆ ไป โดยสามารถใส่ทำงาน Office ได้ หรือพื้นฐานทั่วไปได้อยู่ จะมีก็ยามทางการที่ดูความเหมาะสมซักหน่อย และให้ข้ามไปได้เลยก็คือการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งและออกกำลังกาย เพราะบอกเลยแย่งซีน กินซีน และกันซีนชาวบ้านจนมึนกันได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าเน้นปล่อยเสน่ห์แบบยามค่ำคืนสไตล์มีระดับและเย้ายวนจะเข้าทางมากจริงๆ 

ความทน - สุดติ่ง บอกเลยว่า 15 ชม. ก็ยังไม่ลดราวาศอก ไปต่อได้แบบข้ามคืนไปเลยแม้ว่าจะอาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังมีอยู่หน่อยๆ จนถึงตอนเช้าถัดไป เช่นนั้น เรื่องนี้ไม่ผิดหวัง

การกระจาย - เรียกว่าคุมความเสถียรในการกระจายดีน่าจะถูกต้องที่สุด เพราะไม่มีแผ่วจริงๆ ใน 8 ชม. แรกเรียกว่ากระจายดีตลอด เพียงแต่จะไม่ได้บาดหรือคมตะบี้ตะบันเรียกร้องความสนใจโต้งๆ นัก พอเริ่มเข้า ชม.ที่ 9 ถึงลดการกระจายมาปานกลางไปถึงราว 15 ชม. แบบที่อาบน้ำไปแล้วก็ยังจับด้ถึงการติดผิวแบบออร่ารอบตัวอ่อนๆ ได้อยู่ ซึ่งอันนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน

สรุป - ในความรู้สึกส่วนตัว ชื่อรุ่นอาจจะไม่ได้ Match กับเนื้อกลิ่นได้แบบเต็ม 100% เท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นอยู่ระดับกลางๆ แตะค่อนมาทางดาร์กราวๆ 60-70% ได้ แต่ก็ยังถือว่าคุมโทนได้ดีเลย กับการคุมโทนให้มีความเย้ายวนดึงดูด ในความหวานอบอุ่นที่คนรักกลิ่นวานิลลาจะอินและชอบได้ไม่ยาก โดยที่คุณภาพกลิ่นไม่ได้ไก่กา มีความหรูหราอบอวลแบบที่สร้างออร่าหอมหวานมีพลังได้ดีแบบไม่ลดราวาศอกเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://manceraparfums.com/526/black-vanilla.jpg