วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Monsillage - Pays Dogon

Monsillage - Pays Dogon

Pays Dogon หรือจะเรียกว่า Dogon Country ก็ได้ เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศมาลีที่มีชนเผ่า Dogon ที่เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากอียิปต์โบราณ อาศัยอยู่ในแถบนั้น ซึ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีเป็นของตนเอง รวมถึงการแต่งกายที่จะมีหน้ากากสวมไว้เวลามีเทศกาลอะไรต่างๆ ซึ่งชาว Dogon เองถือเป็นผู้รับสืบทอดความรู้ทางด้านจักรวาลวิทยาและดาราศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณ

แล้วที่เกริ่นมาเนี่ย เกี่ยวอะไรกับน้ำหอม?

เกี่ยวเต็มๆ ตรงที่ทุกอย่างในการเป็นบรรยากาศของ Pays Dogon นั้นได้ถูกจับลงมาสู่ขวดกับการสร้างสรรค์ทางกลิ่นจากแบรนด์ Niche Perfume จากแคนาดาที่ค่อนไปทาง Indie Perfume อย่าง Monsillage โดยมีแรงบันดาลใจในการไปท่องเที่ยวที่มาลีและเข้าไปสู่ในพื้นที่ที่ชาว Dogon อาศัยอยู่ ทั้งสภาพแวดล้อม วิธีชีวิต ความเป็นธรรมชาติในแบบแถบแอฟริกา เลยถูกจับขมวดรวมเข้ามาเพื่อเป็นหนึ่งในความทรงจำที่จะมีกลิ่นเป็นตัวสื่อสาร และที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นหนึ่งเดียวที่ได้รางวัล The Art & Olfaction Awards ประจำปี 2018 ในฝั่งของ After Award for Handmade Perfume เสียด้วย เช่นนั้น เมื่อมีการันตีดีขนาดนี้ ก็ต้องจัดมาลองให้รู้ ซึ่งผลที่ได้จากการใช้งานจะเป็นอย่างไรว่ากันตามนี้เลย

แก่นหลักของกลิ่นจะอยู่ที่หญ้าแฝกที่เป็นตัวเด่นสำคัญในการอยู่ตั้งแต่ต้นสู่ท้ายอย่างชัดเจน โดยจะให้อารมณ์แบบไม้แห้งๆ แกม Earthy ดินนิดๆ โดยไม่มีความ Smoky จัดจ้านหรือดาร์กดำดิ่งมาแย่งซีนแต่อย่างใด โดยกลิ่นเปิดจะให้อารมณ์ปร่าติดเขียวที่มีความเป็นกลิ่นแบบพืชผักชื้นๆ ที่วูบขึ้นมาแบบตีคู่กับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่มีความปร่าแกมเผ็ดเจือฝาดที่มาในสาย Spicy แกมกลิ่นกุหลาบปลายกลิ่นซึ่งน่าจะเป็นพริกไทยสีชมพู และขิงที่ให้ความปร่าฟุ้งหวานเผ็ดแกมสดชื่น แบบที่มีความ Contrast กันก็จริง แต่ดันสื่อสารได้ดีถึงกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่ออกแนวเหมือนอยู่ในจุดที่มีพืชผักและเครื่องเทศท่ามกลางบรรยากาศแห้งๆ อารมณ์จะตลาดก็ย่อมได้ หรือจะเป็นจุดพื้นที่สีเขียวที่มีอากาศแห้งๆ รอบๆ พร้อมกลิ่นปร่าของสภาพอากาศแห้งๆ ก็สามารถ เรียกว่าช่วงเปิดคนที่ชอบกลิ่นอายโทน Woody Spicy จะรู้สึก Happy ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความสมดุลย์และสร้างบรรยากาศที่มีเสน่ห์ได้เลย และที่สำคัญได้ความรู้สึกเปิดตัวที่ให้อารมณ์แบบบรรยากาศที่ควรจะเป็นในสไตล์แบบแอฟริกาอีกด้วย

การผันตัวเข้าช่วงกลางแน่นอนว่าโทนไม้หอมแกมเครื่องเทศเผ็ดปร่าจะยังคุมโทนความเป็น Woody Spicy เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีความลดทอนความเข้มข้นชัดๆ จากตอนแรกลงมาหน่อยเลยให้ความสมูธติดปร่ารื่นจมูกมากขึ้น เพราะตัวเสริมอย่างโทน Spicy ของพริกไทยจะมาให้ความเผ็ดนวลอวลในเนื้อกลิ่นชัดเจนและดันให้กลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกมีความชัดเจนอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามานั่นคือกลิ่นอายติด Smoky เนียนๆ ที่นุ่มๆ ที่เข้ามาทำให้หญ้าแฝกมีมิติทางกลิ่นที่ครบมากขึ้นด้วย แต่มิติของกลิ่นไม่ได้มีแค่ความโดดเด่นที่โทนไม้หอมและเครื่องเทศโทนโปร่ง แต่ยังมีกลิ่นที่ติดออกทางดอกไม้อ่อนๆ จืดแกมหวานเบาๆ และมีความเขียวหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งน่าจะเป็นดอกชบาและกลิ่นติดผักหน่อยๆ ที่อยู่ในช่วงต้นที่เข้ามาเสริมด้วย เลยได้ความหวานแกมนวลเขียวปลายกลิ่นเบาๆ ที่มีเสน่ห์เคล้าคลอจมูกตลอด ซึ่งภาพรวมเนื้อกลิ่นจะให้พลังแบบแห้งๆ มีความปลอดโปร่งและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องมีโทนอุ่นร้อนมาจากไหน ก็สร้างออร่าความเป็นโทนแห้งของบรรยากาศเคล้ากลิ่นไม้หอมได้ดีจริงๆ

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย ความเป็นไม้หอมจะไม่ได้จบแค่นี้เพราะจะเริ่มมีพลังมากขึ้นตามลำดับจนได้กลิ่นไม้หอมที่มีมิติหลากหลายพอสมควร และจะเริ่มมีกลิ่นออกทางคล้ายหิน หรือทราย หรือแนวๆ แร่ธาตุเข้ามาเสริมทีละหน่อยด้วย ซึ่งเมื่อทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัวก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ติดปร่าระเรื่อและจะมีมิติไม้หอมหลากหลายรวมกันเริ่มจากหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นไม้หอมแห้งๆ มีความดินๆ สะอาดๆ ค่อนไปทางไม้ซีดาร์ ไม้ Guaiac ที่ให้อารมณ์ Smoky ติดหนังที่โดนเกลาจนนุ่มกำลังดี ไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมมี่นวลๆ รองพื้นกลิ่น โดยมีตัวเสริมสำคัญอย่างตัว Cypriol (คล้ายๆ หัวแห้วหมู) ที่ให้อารมณ์กึ่งอับไม้กึ่งดินแห้งๆ ที่มาเสริมความเป็นโทนไม้กึ่ง Spicy อวลๆ ให้กลิ่นมีพลังมากขึ้น โดยที่จะมีกลิ่นออกทางแร่ธาตุหินทรายประปรายแฝงอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกถึงสภาพบรรยากาศ แต่สิ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กลิ่นชัดเจนมากที่ทำให้เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อๆ อยู่แค่ความเป็นไม้หอมอย่างเดียวต้องยกให้พิมเสนเลย ที่ให้ความปร่าระเรื่ออยู่ตลอดเวลาในช่วงนี้ และเมื่อดมใกลๆ้ ก็จะติดและคงค้างในจมูกสร้างความเพลินเสียอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายในการเป็นโทนสร้างบรรยากาศกับความเป็น Woody Spicy ที่สมูธและมีความโปร่งรื่นรมย์ในทุกสเต็ปแบบที่ทำให้ประทับใจในทุกๆ ครั้งที่ใช้ได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะว่าเป็นกลิ่นอายโทนบรรยากาศที่ไม่ว่าเพศไหนก็จับต้องและเสริมออร่าตัวเองด้านกลิ่นส่วนบุคคลได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด แต่จะไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นแม้จะโปร่งแต่ก็มีพลังในตัวที่ถ้าร่างกายทำความร้อนก็จะปล่อยรอบทิศเอาจนทำใหคนที่ไม่ชินอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้ทั้งออกงานและทั่วๆ ไป แต่ไม่เข้ากับการท่องราตรีที่เน้นปล่อยเสน่ห์ทางเพศแน่ๆ เพราะกลิ่นมาสายท่องเที่ยวและบรรยากาศจากสถานที่เสียมาก ไม่ได้มีความรู้สึกเซ็กซี่เท่าไหร่

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เลย เพราะตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะมากในการสร้างสรรค์กลิ่นที่เป็นแนวบรรยากาศ แต่เอาเข้าจริงเจอไปที่ 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้งาน เช่นนั้นพื้นฐานยังไงก็แตะ 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราว 2 ชม. ถึงลดลงมาเป็นปานกลางกันยาวๆ ราว 4 ชม. ถึงค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวพอแตะชั่วโมงที่ 10 เป็นต้นไปถึงเริ่มจะเข้าสู่การเป็น Skin Scent

สรุป - สิ่งที่รางวัลการันตีนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลย เพราะว่ากลิ่นนี้ทำออกมาได้ดีมาก ไม่ความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่เป็นลักษณะแบบแอฟริกันจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับใช้งานยาก และไม่ได้หนักข้นจนเกินไป ทุกอย่างคุมโทนความสมูธในเนื้อกลิ่นได้อย่างเหนือชั้นจริงๆ เรียกว่าเป็น Masterpiece เลยก็ย่อมได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://monsillage.com/products/pays-dogon

 

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Cartier - La Panthere Edition Soir

Cartier - La Panthere Edition Soir

จากจุดเริ่มต้นในปี 2014 กับการเปิดตัว Collection น้ำหอมใหม่ของ Cartier ที่เอาสัญลักษณ์ของแบรนด์ คือ เสือ Panthere มาสร้างสรรค์เป็นทรงขวดรูปหน้าเสือ และนำเสนอการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่สื่อสารถึงความเป็นอิสระ สง่างามแซ่บอย่างมีชั้นเชิง และมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง โดยอิงพื้นฐานกลิ่นที่การเป็นโทน Chypre Floral ที่มีโทนผลไม้สร้างความเป็นโทน Feminine แบบชัดเจน ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere ที่เป็นตัวต้นตระกูลในการต่อยอดสร้างลูกหลานออกมาในการเป็น La Panthere มาอย่างต่อเนื่อง

แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาที่การเป็นรุ่นต้นตระกูล แต่มากับการเอารุ่นที่เปิดตัวมาในปี 2016 ซึ่งมีความน่าสนใจในการสื่อสารถึงความสตรองและมั่นใจอย่างเต็มเหนี่ยวของการเป็นผู้หญิงที่มีพลัง โดยเอาโทน Animalic มาเป็นตัวเดินกลิ่น อารมณ์นางพญาที่มีความเป็นเสือในตัวฉาบหน้าด้วยความหรูหรามั่นใจ เช่นนั้น จะสตรองขนาดไหน มีโอกาสได้ใช้ก็ต้องมาจาระไนกันซักหน่อยว่าจะเป็นดังเช่นคำโปรยหรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere Edition Soir

เปิดตัวมาก็ได้กลิ่นของดอกพุดที่วูบขึ้นมาแบบที่มีลูกเอื้อนกลิ่นหอมนวลครีมมี่ แต่มีความเป็นโทนกึ่งเห็ดตุ่นๆ หน่อยๆ ซ่อนอยู่เด้งมาก่อนใครเพื่อน แล้วจะสัมผัสได้ว่าจะมีโทนออกทางสาบปลุกเร้าแบบ Animalic ที่มีความตุ่ยๆ แกมเย้ายวนดึงดูดที่ให้อารมณ์แบบสตรองซ่อนหวานเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบขนบนิยมนักในแง่ของน้ำหอมผู้หญิงที่เปิดมาใสๆ โลกสีชมพูแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นเสือที่มีความมั่นใจและมีเสน่ห์ ซึ่งถือเป็นการเล่นโทนและเชื่อมโทนต่อกันได้ดีระหว่างความเป็นดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic และโทนสาบ Animalic ที่คาดว่าน่าจะมาจาก Musk แฝงโทนหนังเนียนๆ โดยที่มีปลายกลิ่นมีความเป็น Citrus เบาๆ สร้างมิติที่ไม่ทื่อเกินไป เรียกว่าเล่นโทนได้สตรองกันตั้งแต่ต้นเลย

การเปลี่ยนแปลงจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ไม่ทิ้งความเป็นโทน Animalic เพียงแต่จะผ่อนความสตรองในตอนแรกลงมาในระดับที่เจอกันตรงกลางพอดี ซึ่งคราวนี้จะสัมผัสได้มากกว่า 2 โทนหลักๆ คือ ดอกไม้ขาวกับสาย Animalic Musk นั่นคือ โทน Earthy ที่จะมีลูกผสมของ Oak Moss ที่มาแบบเขียวเข้มแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเข้าโทนกรุยกราย Classic กับพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย้ามีเสน่ห์ และไม่พอยังมีโทนแป้งที่เสริมเข้ามาด้วยซึ่งน่าจะเป็นลูกผสมของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งโปร่งหวาน + ไอริสที่ให้โทนติดแป้งฝุ่นมีเสน่ห์กำลังดี ซึ่งจะมีลูกผสมโทนดอกไม้อื่นๆ เข้ามาซึ่งพอจับต้องและคาดเดาได้ว่าน่าจะมีมะลิและกุหลาบมาเนียนๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกผสมที่ลงตัวในการดึงเสน่ห์ของแต่ละโทนหลักออกมาได้ดีมาก เพราะจะรู้สึกได้เลยว่ามันมีกลิ่นสาบเร้า แต่ก็มีกลิ่นครีมมี่หอมหวานดอกไม้ขาว และมีความนิ่งน่าค้นหาแถมหรูหรามีระดับของสาย Earthy และมีความละมุนๆ แป้งหอมติดหวานคลอเคลียได้อย่างพอดิบพอดี เรียกว่าเป็นช่วงที่สมดุลย์มากจริงๆ

เมื่อโทน Animalic เริ่มผ่อนตัวลงมา และมีโทน Musky หน่อยๆ ที่เข้าโทนนุ่มนวลแกมแป้งที่เป็นลูกผสมของ Musk และน่าจะเป็นวานิลลาที่เข้าโทนแป้งอบอุ่น เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความหอมเย้ามีเสน่ห์ และมีโทนติดทางคล้ายแอมเบอร์ที่ไม่ได้เป็นโทนแปร่งยางไม้ แต่เป็นอุ่นลึกค่อนโทนหนังที่สะอาดๆ ซึ่งน่าจะเป็น Labdanum ที่ให้โทนแบบนี้ เนื้อกลิ่นเลยจะเป็นโทนที่ให้ความอบอุ่นนวลสะอาดที่มีความน่าค้นหาติดเข้ม Oak Moss แกมแป้งหอมติดหวานกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์เบาๆ หรูๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง + แป้งอบอุ่นวานิลลาที่มีความครีมมี่กำลังดี กึ่งติดเย้าที่มี Effect ของโทนสาบเร้าอยุ่แบบเนียนๆ โดยมีปลายกลิ่นที่เป็นพิมเสนหน่อยๆ ที่ถือว่าเป็นการขมวดความสตรองมาสู่ความความอบอุ่นและมีความเป็นโทน Feminine ที่มีความมั่นใจแกมหรูหรามีเสน่ห์ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป และอย่างน้อยพื้นฐานรับโทน Indolic ตุ่ยๆ กับโทนสาบ Animalic ได้อยู่บ้างจะอินกับการใช้น้ำหอมตัวนี้ได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะไม่งั้นเดี๋ยวปล่อยความสตรองเกินจนคนอื่นตกใจเอาได้ เนื้อกลิ่นเข้ากับการใส่ยามทางการอยู่บ้าง แบบให้ผ่านช่วงต้นไปก่อน และใส่ทั่วๆ ไปแบบโชว์ความเป็นนางพญาก็ดีไม่น้อย ส่วนนามค่ำคืนบอกเลยว่าเข้าทาง แต่จะไม่ได้โฉ่งฉ่าง เน้นมาแบบมีพลังและมีเสน่ห์ที่น่าสนใจและแตกต่างเสียมากกว่า เลยแตะได้ทั้งใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ

ความทน - แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกอาจจะถึง 12 ชม. เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็อิงตามจำนวนเสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าถ้าไม่ชินกับกลิ่นติดตุ่ยๆ Indolic ของสายดอกไม้ขาว หรือว่ากลิ่นสาบตุ่ยๆ แนว Animalic Musk จะอึ้งกิมกี่ไปกันได้เลย แต่พอเข้าช่วงกลาง การกระจายจะลดลงมากำลังดี หรูหราและมีเสน่ห์ แล้วค่อยๆ ลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว จนเป็น Skin Scent เอาเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป

สรุป - เก๋และสตรอง แบบที่ได้ความเป็น Panthere แบบทรงขวดชัดเจนไม่พอ ยังมีความหรูหรามั่นใจได้อย่างดี โดยที่คุมโทนความ High - End ในเนื้อกลิ่นที่สื่อถึงความเป็น Cartier ได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้ามองในแง่ของการเป็น Flanker ก็ถือว่าต่อยอดออกมาจากรุ่นปกติได้ดีมากๆ เลยทีเดียวในการชูโรงความเป็นดอกพุดและโทน Animalic ที่มีเสน่ห์ในแบบมั่นใจ อีกหนึ่งในความไม่ธรรมดาของ Cartier เลยก็ย่อมได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cartier.com/en-gb/eau-de-parfum-edition-soir-la-panthere_cod25372685655533003.html

 

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Caron - Pour Un Homme de Caron L'Eau

Caron - Pour Un Homme de Caron L'Eau

จากความสำเร็จมาอย่างยาวนานของ Pour Un Homme de Caron ตั้งแต่ปี 1934 กับกลิ่นสุขุมนุ่มลึกกับการผสมผสานระหว่างลาเวนเดอร์และวานิลลา ที่แตกต่างจากกลิ่นอายสาย Classic ต่างๆ จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายที่เหนือกาลเวลาที่จะไปต่อเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าอยู่คงกะพันชาตรีมาอย่างยาวนานจริงๆ จนเมื่อปี 2005 ถึงได้มีการต่อยอดออกรุ่นลูกหลานมาในที่สุด ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามสไตล์ของการต่อยอดทางการสร้างกลิ่นหอมให้ครอบคลุมมากขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ให้กับแบรนด์

ซึ่งในรุ่นลูกหลานนั้น Caron เองก็เปิดตัวมาเรื่อยๆ แบบห่างๆ ไม่ได้ต่อเนื่องมากนัก ซึ่งถ้าไม่นับรวมรุ่นต้นตระกูลแล้วก็มีรุ่นแตกหน่ออกมาเพียง 5 รุ่นเท่านั้น โดยจะออกมาถี่หน่อยในช่วงปลายยุค 2010s ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีอยู่หนึ่งกลิ่นที่เริ่มเจาะตลาดที่มาสายสดชื่นมากกว่าจะสุขุมนุ่มลึก โดยที่ยังคงลายเซ็นลาเวนเดอร์และวานิลลาของตัวต้นตระกูลไว้ ซึ่งมีความน่าสนใจมากกับการนำเอามาเล่ากลิ่น เช่นนั้นไม่เกริ่นอะไรมาก มาเจอกันเลยแล้วกันกับรุ่นนี้ Pour Un Homme de Caron L'Eau

ลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ จะมาแบบชัดเจนและเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก เรียกว่าขนความเป็นลาเวนเดอร์ที่แท้ทรูมาเสิร์ฟถึงจมูกเลย เพียงแต่ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความเขียวกึ่งนวลที่มีความเป็นสมุนไพรกึ่งเมทัลลิคนิดๆ จะมีโทน Citrus ที่ติดเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่งเสริมอยู่ เลยทำให้กลิ่นมีความสดชื่นเป็นเสมือนบรรยากาศเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่ากลิ่นเปิดตรงไปตรงมาและมินิมัลในการส่งต่อความเป็นลาเวนเดอร์ให้ผู้ใช้งานชัดเจน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มปรับเปลี่ยนโดยมีกลิ่นออกทางกึ่งมินต์กึ่งเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบที่เป็นลักษณะจองเจอราเนียมเข้ามาเสริมทีละนิดๆ และมีความชื้นๆ หน่อยๆ เข้ามาให้รู้สึกด้วย ก็ชัดเจนว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งเนื้อกลิ่นจะกลายเป็นลาเวนเดอร์ติดเขียวปร่าอ่อนๆ ที่มีโทนเขียวกึ่งกุหลาบชื้นๆ เป็นฉากหน้า แต่เมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับต้องได้เลยว่ามีวานิลลาอ่อนๆ รองพื้นอยู่ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้โดดเด่นออกมาแต่ให้ความละมุนอ่อนๆ ที่กึ่งโทนแป้งที่ไม่หวานกึ่งอบอุ่นเบาๆ แบบฉากหลังจริงๆ ซึ่งทำให้มิติในการดมมีเลเยอร์ให้จับต้องได้มากกว่าที่จะชูโรงลาเวนเดอร์สมุนไพรเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญวานิลลานี่แหละตัวเสริมชั้นดีให้กับช่วงถัดไปเต็มๆ 

ช่วงท้ายความเป็นกลิ่นอายแบบต้นตระกูลจะเริ่มกลับมานั่นคือโทนกลิ่นอายไม้หอมแกม Musk ที่มีกลิ่นออกทางติดอวลเค็มอ่อนๆ แบบผิวกายที่มีความเบาๆ ซึ่งลาเวนเดอร์จะจางไป เหลือวานิลลาที่พอมาเสริมกับโทนไม้หอมที่เด่นด้วยความเป็นหญ้าแฝกที่มาแบบไม้แห้งๆ แกมดินๆ กลายเป็นสร้างกลิ่นอายแบบหนังสือเก่า ที่เป็นกลิ่นแบบห้องสมุดออกมา ซึ่งรุ่นหลักช่วงท้ายก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นจะไม่ได้เข้มข้นนัก มีความเรื่อยๆ เบาๆ มินิมัลมากกว่า แต่ก็ยังเข้าทางการเป็นกลิ่นอายแบบสุขุมภูมิฐานได้อยู่ แค่ไม่ได้ดูแบบทางการเท่ารุ่นต้นตระกูล ซึ่งก็ถือว่าเข้าทางการเป็นกลิ่นอายสไตล์ L’Eau ที่สดชื่นขึ้นและมีความทันสมัยมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ ยิ่งถ้าพื้นเพเป็นคนชอบกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ อยู่เป็นทุนเดิม สามารถโดนตกได้เลยตั้งแต่แรกฉีด ซึ่งเลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปยังกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นช่วงท้ายจะสุขุมนิดนึง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไป สบายๆ หรือใส่ก่อนนอนให้หลับสบาย อันนี้จะลงตัวสุด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่า Lavender is all around กันเลยทีเดียว ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางซักราว 2 ชม. แล้วที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัว พอแตะที่ 6 ชม. ก็เริ่มเป็น Skin Scent แล้ว

สรุป - ลายเซ็นในการเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อันนี้มาชัดเจนไม่หนีไปไหนแถมกลิ่นมีความธรรมชาติมากเกินคาด แต่สิ่งที่ลดทอนลงไปจนเหลือเพียงเบาบางกลายเป็นวานิลลา เลยเป็นการปรับโทนให้มีความเป็น L’Eau ด้วยการเอาความเป็น Citrus กึ่ง Herbal มาเป็นตัวเอกแทน ก่อนจะกลับสู่การเป็นกลิ่นอายแบบหนังสือเก่าอ่อนๆ ที่ลดทอนความเข้มข้นลงมาจากต้นฉบับ ซึ่งถือว่าสร้างความเป็นกลิ่นอายที่มีความสดชื่นมากขึ้นทำให้เข้าถึงได้ง่าย โดยที่ไม่ทิ้งความเป็น Pour Un Homme de Caron แต่อย่างใด อีกหนึ่งกลิ่นที่ต่อยอดออกมาได้ดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.myngled.com/parfums-dexception-la-maison-de-parfumerie-caron/

 

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Nissan - Voyage

Nissan - Voyage

หลังจากที่ผ่านน้ำหอมของแบรนด์รถยนต์ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Nissan มาบ้างแล้ว ก็ยอมรับได้เลยอย่างหนึ่งว่าเป็นการทำน้ำหอมที่ไปจับ Match ได้อย่างลงตัวกับประเภทและรุ่นรถยนต์ของแบรนด์เองได้อย่างน่าสนใจมาก แบบที่ไม่ต้องได้ขับจริงหรือว่าได้นั่งไปตลอดการเดินทาง แต่ก็เห็นภาพบุคลิกที่เอื้อกับรถยนต์รุ่นนั้นๆ ได้เลย เรียกว่าเป็นการต่อยอดสร้าง Product เสริมกับรถยนต์ได้ดีมากอีกหนึ่งแบรนด์

แต่ก็มีบางรุ่นที่ไม่ได้ผลิตออกมาเพื่อเป็นกลิ่นอายที่สนับสนุนรุ่นรถยนต์ แต่เป็นเอกเทศแบบที่นำเสนอผู้ชายสไตล์ Nissan กันอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งรุ่นที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เพราะมีกรอบโครเมียมสีทองอร่ามแท้แลตะลึงอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญพอได้เห็น Notes กลิ่นแล้ว มันมีความเดจาวูในขั้นต้นว่ามันจะไปเหมือนรุ่นดังระดับ King อย่าง Creed Aventus หรือไม่ เช่นนั้นซักหน่อยเถอะ จะได้รู้ๆ กันไปว่ารุ่น Nissan - Voyage รุ่นที่กำลังจะถ่ายทอดกลิ่นต่อนั้นจะเป็นอย่างไร 

เปิดต้นกลิ่นมาในวูบแรกความเป็นโทนกึ่งเปรี้ยวกึ่งเขียวที่เป็นลูกผสมระหว่างแบล็คเคอร์แรนท์กับมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) จะวูบมาทักทายก่อนเพื่อนเลยราวๆ 5 วินาทีแรก โดยเฉพาะกลิ่นมะกรูดฝรั่งที่จะค่อนข้างเด่นกว่า แล้วจะตามต่อเนื่องด้วยความ Juicy ที่ออกทางน้ำผลไม้ที่เป็นลูกผสม 4 โทนกลิ่นหลักๆ เรียงตามความเด่นที่จับต้องได้ คือ ส้มที่จะมาแบบให้อารมณ์แนวๆ น้ำส้ม + แอปเปิ้ลแดงหน่อยๆ เสริมด้วยมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเปรี้ยวปร่าเขียว โดยที่ตัวรองพื้นที่สร้างความเป็นโทนออกทางน้ำผลไม้เลยคือ สับปะรด ซึ่งเนื้อกลิ่น ถือว่ามีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียวในการเปิดตัวด้วยความสดชื่นแนว Fruity Citrus แบบนี้ ซึ่งแน่นอน ไม่ได้มีความเป็นโทนลักษณะแบบ Aventus ชัดๆ เท่าไหร่ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องดี

หลังจากผ่านช่วงต้นไปราวๆ 5 นาที ก็เปลี่ยนโทนในการเข้าสู่ช่วงกลางที่เริ่มจับโทนเด่นๆ ได้คือ Birch Tar ที่ให้โทนกึ่ง Smoky เคล้ากับกลิ่นติดเขียวเข้มแปร่งหน่อยๆ ของ Oak Moss ที่เสริมตัว Birch Tar อยู่แบบเป็นสายดัน ซึ่งช่วงนี้จะจับต้องได้ถึงความแมนที่ตรงไปตรงมามาก และเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนที่ให้อารมณ์แบบ Armaf - Club de Nuit Intense ที่เป็นโทน Smoky Woody เด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นโทน Fruity Citrus ที่ตามมาจากช่วงต้น เพียงแต่ว่ากลิ่นไม่ได้มีความทรงพลังขนาดนั้น จะให้ความแปร่ง Smoky ติดเขียวค่อนไปทางกลิ่นหมึกแกมแมนๆ คล้ายมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงกลิ่นภายในรถยนต์ใหม่ๆ แบบกลางๆ เสียมากกว่า นอกจากนี้ก็จะสัมผัสได้ว่ามีโทนติดปร่าฝาดเล็กๆ ที่ค่อนไปทางดอกไม้แกมนวลของพริกไทยสีชมพูอยู่พร้อมกับกลิ่นดอกไม้กึ่งกุหลาบแกมมะลิอ่อนๆ ที่เบาๆ อารมณ์สร้างมิติเสริมปลายกลิ่น เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้อารมณ์จะออกแนวแมนๆ แปร่ง Smoky หน่อยๆ แบบไม่ได้จัดจ้านมาก ซึ่งในบางวูบก็ได้อารมณ์แบบโทน Aventus อยู่บ้าง เพราะส่วนผสมคือใกล้เคียง แต่ก็ไม่ได้เหมือนจนแบบถอดกันมาแต่อย่างใด

ในการเป็นช่วงรอยต่อก่อนเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มจับต้องถึงกลิ่นพิมเสนอ่อนๆ ที่ออกทางปร่าระเรื่อบางๆ สะอาดๆ ที่จะเริ่มเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่น Oak Moss ที่ตอนนี้จะมีโทนอบอุ่นเข้ามาเสริม และจะจับได้เต็มๆ อย่างแรกเลยคือ วานิลลาเบาๆ ที่ติดโทนแป้งเล็กๆ เคล้ากลิ่นอายที่ติดโทน Musky Amber สะอาดๆ นวลๆ ที่เป็นลักษณะกลิ่นที่ค่อนไปทางแบบ Ambergris กึ่ง Musk ที่คิดว่าน่าจะเป็นสารหอมอย่าง Cetalox ที่ให้คุณลักษณะทางกลิ่นแบบนี้ ซึ่งนี่จะเป็นแกนกลางหลักของการคลอผิวในการเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นจะให้ความเบาๆ เรื่อยๆ นิ่งๆ มีความเป็นโทนแนวผู้ชายสะอาดๆ มีความสุภาพบุรุษแมนๆ ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่าง ให้ความเป็น Daily Scent ที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ กำลังดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว      

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เรียกว่าเป็น Daily Scent ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ หรือออกงานแบบไม่ได้เน้นแย่งซีนใครยังไงก็เอาตัวรอดได้สบายมาก

ความทน - 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ประมาณ 6 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่หลายๆ ครั้งก็ไปต่อถึง 8 ชม. ได้เพียงแต่กลิ่นจะจมผิวมากหน่อย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเมื่อเข้าช่วงท้าย ก็จะเป็น Skin Scent เต็มตัว

สรุป - แม้ Note กลิ่นจะใกล้เคียงตัว Creed - Aventus แต่เนื้อกลิ่นให้โทนที่แตกต่างไปค่อนข้างชัดเจน อาจจะมีลายเซ็นกลิ่นคล้ายๆ บ้าง แต่ก็มาแบบผลุบๆ โผล่ๆ เสียมากกว่า ซึ่งถ้ามองในแง่การเป็นน้ำหอมผู้ชายแบบสาย Designer ทั่วไป กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ใช้งานได้ไม่ยาก ให้ความหอมแบบที่ยังไงก็รอดสูง แอบมีกลิ่นแบบสไตล์กลิ่นในรถยนต์ด้วยหน่อยๆ (ก็แบรนด์น้ำหอมรถยนต์นะน่ะ) โดยมีลูกเอื้อนแบบกลิ่นโทนมหาชนนิยมหน่อยๆ ที่ทำให้ไม่ตกเทรนด์ แค่นี้ก็เรียกว่าผ่าน อย. ทางด้านกลิ่นได้สบายมาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sobelia.com/gb/brand/1137-nissan

 

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Thameen - Green Pearl

Thameen - Green Pearl

Thameen เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 กับการนำเสนอแบรนด์ในการเป็น Niche Perfume ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจากอัญมณีชื่อดังและสมบัติในตำนานต่างๆ ทั่วโลก มา Twist ในการนำเสนอด้วยกลิ่นอายต่างๆ ที่มีส่วนผสมคุณภาพสูง และสื่อสารออกมาเชิงสัญลักษณ์ให้จับต้องได้ในการเป็นกลิ่นอายที่สื่อถึงอัญมณีหรือว่าสมบัติที่เป็นตัวตั้งต้นของรุ่นน้ำหอมนั้นๆ และนี่คือการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของกลิ่น

Pearl หรือไข่มุก ที่เรารู้จักกัน ไม่ได้มีเพียงแค่เกิดขึ้นมาจากหอยมุกต่างๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นจากแร่ธาตุและธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เช่นนั้นการเรียกว่า Pearl เลยครอบคลุมมายังฝั่งที่เกิดมาจากแร่ธาตุร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแบรนด์อ้างอิงถึงคำว่า Green Pearl ในการเอามาเป็นชื่อรุ่น แน่นอนว่าไม่ใช่มาจากหอยมุก แต่มาจากแร่ธาตุฟลูออไรต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตามธรรมชาติจนกลายเป็นทรงกลมไข่มุกขนาดใหญ่สีเขียวคล้ายหยกกึ่งพลอยอ่อน หรือที่เรียกกันว่า Fluorite Pearl ซึ่งพบที่ประเทศจีนจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และนี่แหละคือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Thameen กับอัญมณีชนิดนี้ ซึ่งกลิ่นจะสื่อความออกมาอย่างไรที่จะ Match กันกับทั้งการเป็นน้ำหอมและอัญมณี เช่นนั้นมาว่ากัน

Green Pearl เปิดตัวมาก็เรียกว่า หืออออ กันได้เลย เพราะจากประสบการณ์มันบอกเลยว่ากลิ่นนี้มีความเป็นลูกครึ่งที่เอาข้อดีของแต่ละรุ่นที่มีความใกล้เคียงมานำเสนอใหม่จนอยู่ตรงกลางพอดีและไม่ทำให้โดนค่อนขอดได้ง่ายๆ กับเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพ ซึ่งกึ่งกลางระหว่างที่ว่านั่นก็คือ CK1 และ Creed - Silver Mountain Water ซึ่งจะจับต้องได้ถึงความเด่นเฉพาะของ 2 รุ่นนี้ได้เต็มๆ แบบเอามา Mix กันแล้วปรับโทนให้มีลูกผสมที่สร้างความสีเขียวเข้าไปอย่างแรกนั่นคือ กลิ่นแอปเปิ้ลเขียว ที่ให้ความเปรี้ยวหอมเสริมด้วยความขมเปรี้ยวปนบรรยากาศที่ก็ให้ความเขียวปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นแกนหลักในช่วงต้น เสริมด้วยกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่ให้ความเขียวเปรี้ยวหอมติดขมที่มีลูกเอื้อนดอกส้มสะอาดๆ อ่อนๆ และจะมีกลิ่นติดหวานส้มหน่อยๆ ให้พอรู้สึกแบบเนียนไปกับกลิ่นโทนเขียว เลยทำให้ช่วงต้นคือกลิ่นเขียวสดชื่นที่เข้าถึงได้ง่าย และสร้างความประทับใจได้แบบแรกพบ โดยเอาความดีงามของฝั่ง Designer Brand และความลงลึกในคุณภาพส่วนผสมของ Luxury Brand มาเจอกันได้ลงตัว

สำหรับช่วงต้นที่จะอยู่กับเราไม่เกิน 5 นาที สิ่งที่เข้ามาสนับสนุนและแทรกตัวมาไวมากนั่นก็คือ กลิ่นชาเขียว ในการเป็นรอยต่อของกลิ่นก่อนจะเข้าช่วงกลาง ซึ่งตรงนี้จะเริ่มลดความเด่นของโทนสดชื่น Citrus แกมแอปเปิ้ลเขียวลงมาหน่อย แต่จะให้ความเขียวอะโรม่าที่เริ่มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักทีละนิดๆ จนเมื่อเข้าช่วงกลางเต็มตัว ชาเขียวคือ The Best Part กันเลย ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นจะไพล่มาทาง Silver Mountain Water (SMW) อยู่พอสมควร แต่มีความเขียวที่เด่นออกมามากกว่าและมีหลายมิติที่ซ้อนอยู่ในโทนกลิ่นของชาเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นติดขมเขียวของโกฐจุฬาลัมพา กลิ่นเขียวเปรี้ยวปร่าของมะกรูดฝรั่ง กลิ่นเขียวติดปลายดอกไม้สะอาดบางๆ ของดอกส้ม และความสดชื่นเปรี้ยวอมหวานของแอปเปิ้ลเขียว เลยทำให้กลิ่นชาที่ดมเผินๆ มันอาจจะให้อารมณ์แบบ SMW ก็จริง แต่มีมิติหลากหลายให้สนุกในการดมไม่น้อย และที่สำคัญชาเขียวนี่แหละที่เป็นตัวสร้างอะโรม่าเกลาให้กลิ่นมีความเขียวรื่นรมย์และหรูหรา โดยที่มีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นแบบกำลังและมีเสน่ห์แบบได้รับคำชมได้ไม่ยากเลย

เมื่อความเป็นโทนเขียวเริ่มที่จะผ่อนตัวลงมาเรื่อยๆ จนมีการสลับหน้าที่ในการออกงานแทน ด้วยการเป็นกลิ่นถั่วตองก้าที่จะไม่ได้มาแบบครีมมี่นมๆ หรือวานิลลา แต่ละมาแบบกลิ่นค่อนไปทางหญ้าแห้งกึ่งอัลมอนด์ที่มีความเขียวเจือขมแทนซึ่งเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นของสารสกัดจากถั่วตองก้าหรือว่า Coumarin เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะเด่นขึ้นมาแบบชัดเจน และยิ่งมีตัวเสริมที่ดีในการสร้างความเขียวเข้มเจือขมอย่าง Oak Moss เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเขียวที่มีความอวลและเข้าทาง Earthy มากขึ้น แต่กลิ่นไม่ได้ตะบี้ตะบันเขียวขนาดนั้น เพราะว่ามี Ambroxan ที่ใส่เข้ามาหน่อยเลยทำให้กลิ่นมีพลังออกมาค่อนไปทางกึ่งอบอุ่นกึ่งอวลไม้หอมเนียนๆ เคล้ากับ Musk ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความนวลสะอาดที่เข้ามาเป็นตัวดันและเสริมแรง เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นที่เป็นโทนเขียวอวลๆ แกมดินๆ แอบมีโทนกึ่งแร่ธาตุแฝงที่มีพลังและชัดเจนกันยาวๆ ไป สร้างความหรูหราและมีระดับได้ดีมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทุกเพศ แถมเป็นกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย เพราะมีลักษณะที่เป็นลูกผสมจนทำให้อยู่ในโซน Niche Perfume ใช้งานง่ายและมีระดับในคุณภาพกลิ่นสูง ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ย่อมได้ จะมีแต่ก็ช่วงกลางคืนที่จะเข้ากับการใส่ออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไป จะลงตัวกว่าการใส่ไปท่องราตรี

ความทน - อันนี้เรียกว่าต้องยกนิ้วให้ เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงมีพลังให้จับต้องได้ตลอดกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้นยังไงก็แตะค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. ได้สบายมากในการใช้งานของแต่ละสภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ารับความสดชื่นเต็มๆ ก่อนจะลงมาที่กระจายดีกันยาวหน่อยถึงประมาณชั่วโมงที่ 4 แล้วถึงลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 8 ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป 

สรุป - เนื้อกลิ่นในแต่ละช่วงให้โทนสีเขียวที่แตกต่างเริ่มจาก เขียวสว่างสดชื่น สู่เขียวแบบสีชาเขียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยสีเขียวที่เป็นเขียว Oak Moss กึ่งหญ้าเขียวแห้งสีเข้ม (Hay) ซึ่งจะไล่โทนเหลือบกันแบบเป็น Gradient Green ที่สวยเลย ซึ่งถือว่า Link กับที่มาที่ไปในความเป็นลวดลายที่อยู่ใน Fluorite Pearl สีเขียวสวยงามขนาด 6 ตัน อันโด่งดังได้ดีด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://thameenfragrance.com/luxury-fragrances/treasure-collection/green-pearl/

 

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: 1907 - Cedar

1907 - Cedar

ครั้งแรกที่ได้เห็นแบรนด์นี้ก็นึกว่าเป็นสไตล์แนวสาย Traditional Brand เก่าแก่ เพราะน่าจะอ้างอิงปีที่ก่อตั้งและเอามาเป็นชื่อแบรนด์ ก็เลยข้ามๆ ไปก่อนไม่ได้ Focus อะไรมาก แต่เมื่อมีโอกาสได้เจอกันอีกทีเพื่อที่จะเอามาศึกษาและเล่ากลิ่น กลายเป็นว่าสิ่งที่เข้าใจไปเองก่อนหน้านั้น ตึ่งโป๊ะ! เพราะดันไม่ใช่ทั้งหมดเลย

1907 เป็นปีเกิดของคุณยายของเจ้าของแบรนด์อย่าง Eva Skovranova ที่กลายเป็นหนึ่งในคนที่ทำธุรกิจทางด้านสบู่และความหอม ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นและโคโลญจน์กลิ่นดอกไม้ต่างๆ โดยทุกอย่างได้อยู่ในความทรงจำทางด้านความหอมต่อตัว Eva มาเสมอ จนวันหนึ่งได้เอามาต่อยอดโดยการได้เจอ Perfumer ที่เมืองน้ำหอมอย่าง Grasse ประเทศฝรั่งเศส และได้เล่าที่มาที่ไปและความทรงจำทางด้านกลิ่นต่างๆ ที่ได้รับมาจากคุณยาย เลยทำให้สร้างแบรนด์เป็น 1907 ในที่สุด และที่สำคัญน้ำหอมแบรนด์นี้มาจากประเทศสโลวาเกีย ที่ไม่ค่อยได้เจอแบรนด์จากประเทศนี้เท่าไหร่ด้วย เลยขอมาถ่ายทอดกลิ่นกันซักหน่อยกับรุ่นแรกที่มีโอกาสได้ลองอย่าง Cedar

บอกก่อน - Cedar ที่กำลังจะเล่ากลิ่นนี้ ได้เลิกผลิตไปแล้ว แต่มีการปรับปรุงและอัพเกรดขึ้นใหม่ในปี 2020 ซึ่งในปัจจุบันกลิ่นนี้เป็นชื่อใหม่ไปแล้วคือ Cedar Blue และเพิ่มความเข้มข้นเป็น EDP ดังนั้นการเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะเป็นการเล่าที่รุ่น Cedar อย่างเดียวเป็นสำคัญ

เปิดต้นกลิ่นคือ ชัดเลยน้ำหอมผู้ชายมากมายก่ายกองมาในสไตล์ Aquatic Marine เด่นมาเลย เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความชัดเจนมากกับการเป็นโทนออกทางทะเลๆ แต่ไม่ได้ออกทางคาวเค็มหรือคาวทะเลที่มีสาหร่ายเยอะๆ ขนาดนั้น ออกทางกลิ่นแนวน้ำทะเลที่ให้ความสดชื่น + กับกลิ่นเมล่อนที่มากันตั้งแต่ช่วงนี้เลย ทำให้ได้กลิ่นทะเลอวลกึ่งฟรุตตี้ติดหวานเมล่อนนิดๆ แต่ตัวเปิดจริงๆ ที่ฉาบหน้า คือ โทน Citrus ต่างๆ ที่ให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวแกมขมและมีโทนสว่าง ซึ่งน่าจะเป็นการผสมผสานกลิ่น Citrus ยอดฮิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่ให้ความเปรี้ยวติดขมสดชื่นมีความปร่าหน่อยๆ กลิ่นเลมอนที่ให้ความสดชื่นแบบสไตล์ Cologne แต่ไม่ได้เปรี้ยวมาก และมีกลิ่นส้มหน่อยๆ ที่ให้ความฉ่ำ และมีโทนแปร่งสว่างของเกรปฟรุต ซึ่งมาเป็นแบบ Mixed Citrus ที่เอื้อประโยชน์กับโทนทะเลให้มีความสดชื่นชัดเจน โดยจะมีกลิ่นโทนสมุนไพรสร้างความปร่ามีเสน่ห์เข้ามาร่วมด้วยและตัดคาวทะเลได้ดีอย่างมินต์และใบไทม์ กลิ่นเปิดเลยแบบเป็นกลิ่นมหาชนนิยมชัดเจนมากและมีความเป็นสไตล์ Designer Brand สูงจริงๆ

ในการเข้าช่วงกลางเรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนไปจากช่วงต้นมากนักในแง่ของการเป็นกลิ่นโทนทะเลกับเมล่อน เพราะกลิ่นยังคงความอวลสไตล์น้ำหอมชายกลิ่นทะเลอยู่เช่นเดิม โดยสิ่งที่ลดลงไปหน่อยนึงคือโทน Mixed Citrus ที่เบาลงมาแต่ยังให้ความสดชื่นประปรายแบบสายสนับสนุน โดยที่เนื้อกลิ่นยังมีความปร่ามินต์กับไทม์แบบแมนๆ ชัดอยู่ท่ามกลางกลิ่นทะเล และสิ่งที่เพิ่มมาคือกลิ่นออกทางปร่าซ่าๆ Sparkling หน่อยๆ ที่แตะความเป็นสบู่เกือบจะฟุ้ง เพราะโดนเหลาเนื้อกลิ่นไปพอสมควรแล้วของ Aldehydes ที่มาแค่เสริมเท่านั้นให้กลิ่นมีความแน่นขึ้นในการเป็นโทนทะเลสดชิ่นติดอวลหวานเมล่อนเนียนๆ แต่เมื่อพอผ่านไประยะหนึ่ง กลิ่นไม้ซีดาร์เริ่มจะออกมาให้จับต้องได้และชัดพอสมควรเลยทำให้เนื้อกลิ่นเป็นโทน Woody Aquatic เต็มตัว และยังเหมือนเดิมคือเป็นกลิ่นผู้ชายทุกสโตรกและเข้าถึงได้ง่ายมากจริงๆ

ช่วงท้ายพูดกันซึ่งๆ ได้เลยว่า เป็นช่วงที่ลดบทบาทของกลิ่นโทน Aquatic ลงไปพอสมควรจนกลายเป็นสายสนับสนุน แต่ให้กลิ่นโทนไม้หอมขึ้นมาแทนที่ซึ่งเด่นกันเต็มๆ กับโทนไม้ซีดาร์ที่มีลูกผสมของกลิ่นพิมเสนหน่อยๆ มีความใสๆ ในเนื้อกลิ่นกำลังดี (เดาว่ามีส่วนผสมของ Clearwood และ ISO E Super รวมอยู่ในนี้ด้วย) ซึ่งจะได้กลิ่นไม้ติดปร่าระเรื่อแกมสะอาดๆ สว่างๆ ที่มีระดับเลยทีเดียว และไม่พอยังเสริมด้วยกลิ่นโทนไม้จันทน์หอมที่มีความครีมมี่หน่อยๆ ที่มีความอบอุ่น เคล้ากับกลิ่นติดเขียวเข้ม Earthy แมนๆ นิด มีความอบอุ่นอวลๆ ของแอมเบอร์หน่อยๆ ซึ่งรวมๆ จะได้อารมณ์แบบกึ่งสบู่ที่มีกลิ่นไม้หอมแกมทะเลสดชื่นที่ปร่าสะอาดๆ ติดทะเลและให้ความเป็นโทนกลิ่นผู้ชายสบายๆ แกมอบอุ่นเพราะพื้นฐานกลิ่นคือ สไตล์ Base น้ำหอมผู้ชายที่ยังไงก็รอดเป็นการปิดท้ายกันอย่างสบายๆ ไปเรื่อยๆ นั่นเอง  

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก ยังไงก็รอด ยังไงก็มีเสน่ห์แบบที่มหาชนไม่ยี้ ซึ่งกวาดหมดทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมต่างๆ ก็ได้ แถมเข้ากับอากาศบ้านเรามากเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์เพิ่มออกงานได้ ท่องราตรีแบบชิลล์ๆ ไม่ได้เน้นปล่อยพลังหาเหยื่อก็ได้ 

ความทน - อันนี้ต้องยอมเข้าเลยว่ากลิ่นทนดีมาก พื้นฐานยังไงก็แตะ 8 ชม. อยู่แล้ว แต่ไปต่อได้อีกถึง 12 - 15 ชม. ได้ด้วย สู้อากาศร้อนมีเหงื่อได้ดีพอสมควร ซึ่งตรงนี้ต้องอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเอื้อด้วยเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แบบแรกสเปรย์ก็บอกเลย กลิ่นทะเลๆ แบบไม่คาวมาเลย มาสายแมนๆ เชียว แล้วจะดรอปลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. ก็จะเริ่มเป็นปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนถึงขั้น Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 10 ชม.

สรุป - คำว่า Niche Perfume ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกลิ่นแนวกลิ่นล้ำเสมอไป แต่สามารถสร้างสรรค์กลิ่นที่มีสไตล์ Designer จ๋าๆ ก็ได้ หรือจะเป็นแบรนด์ที่จัดจำหน่ายยังไม่กว้างขวางมากแบบ World-wide เช่นนั้น ถ้าให้มองกลิ่นนี้คือกลิ่นอายสไตล์เข้าถึงได้ง่าย มาในแนวๆ Polo Blue, Antonio Banderas - Blue Seduction หรือ Clinique Happy ที่ไม่มีกลิ่นส้มเด่น เพียงแต่มีมิติกลิ่นที่มีความเป็นไม้หอมโดดเด่นจนแตะความเป็น Niche ใช้ง่าย ในโทนออกทางทะเลๆ แกล้มไม้หอมที่มีระดับอยู่พอสมควร และสุดท้ายกลิ่นนี้มาในแนว #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดเจน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/1907/Cedar-43877.html

 

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: PK Perfumes - Cuir Moderne

PK Perfumes - Cuir Moderne

จุดเริ่มต้นมาจากการสร้างสรรค์กลิ่นหนังที่จะเป็นโทนทันสมัยและสร้างเสน่ห์ในการใช้งานแบบยามค่ำคืนที่เติมเต็มในยามราตรีที่ได้หมดทั้งความดึงดูด เย้ายวน และมีเสน่ห์แบบที่มีความเป็นเอกเทศของการสร้างสรรค์กลิ่นตามแบบฉบับความมั่นใจของสุคนธกรอย่าง Paul Kiler ที่จัดหนักจัดเต็มอยู่เสมอ แต่เพราะว่าโทนกลิ่นหนังที่มีอยู่ในท้องตลาดก็มีมากมายหลากหลาย อะไรล่ะ? ที่จะเอามาสร้างเสน่ห์ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ในสไตล์ของ PK Perfumes

ซึ่งนั่นก็คือ Apricot Brandy และดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) ที่จะเอามาสร้างความแตกต่างในการสร้างเสน่ห์ทางกลิ่น เช่นนั้นได้เวลามาลองกันให้รู้ ดมกันให้สุดว่าโทนหนังของแบรนด์ PK Perfumes ในรุ่น Cuir Moderne จะออกมาเป็นอย่างไร

เปิดต้นกลิ่นมาชัดเจนเลยว่าโทนหนังจะเป็นศูนย์กลางของกลิ่น ซึ่งเดาไม่ยากว่าจะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบแน่นอน โดยในช่วงต้นจะเป็นเสมือนพื้นกลิ่นที่มีอะโรม่าของกลิ่นหนังติดเข้มทึบอารมณ์แบบแจ็คเกตหนังชั้นดีที่กลิ่นมีความอวลหนังมีเสน่ห์แบบงามๆ แต่จะให้กลิ่นโทนแอปริคอตที่ออกทางเหล้าเข้มๆ ที่เป็นลักษณะของ Apricot Brandy วูบเข้ามาจนได้อารมณ์แบบกลิ่นเหล้าผลไม้หอมๆ และไม่พอยังมีกลิ่นกึ่งแอปริคอตกึ่งดอกไม้ซึ่งเป็นโทนกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ที่มีความกึ่งๆ ติดน้ำมันหอมระเหยสกัดหน่อยๆ เสริมให้กลิ่นโทนเหล้าแอปริคอตมีมิติที่ดึงดูดมากขึ้นและมีความเป็นธรรมชาติเข้ามาร่วมด้วย ที่สำคัญเนื้อกลิ่นแอบมีโทนสะอาดๆ กึ่งดอกไม้ขาวหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ของดอกส้มที่สกัดจากตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ด้วยเลยทำให้ช่วงต้นจะเป็นกลิ่นโทน Floral Fruity ที่รองพื้นด้วยหนังทึบเท่ห์แต่มีลูกเล่นโทนสะอาดเนียนๆ ได้น่าสนใจมาก ซึ่งแม้ว่าบางวูบจะให้ความรู้สึกแนวๆ สบู่อาเซปโซไปบ้าง แต่มิติทางกลิ่นที่มีโทนเหล้าผลไม้กึ่งดอกไม้หอมปนหวานแอปริคอต ก็ทำให้เนื้อกลิ่นมีระดับมากขึ้นไปอีกสเต็ปชัดเจน

การส่งต่อเข้าสู่ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีมิติที่ค่อนข้างมีความเย้ายวนดึงดูดโดยไม่ได้พยายามให้ดูดาร์กหรือพยายามให้ดูเซ็กซี่เกินกว่าเหตุ เพราะจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างโทนแป้งจากไอริสที่เป็นตัวกลางที่ดีมากในการเชื่อมโทนกับโทนหนังและกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ สร้างอารมณ์เซ็กซี่แบบไม่ต้องพยายามแต่ดึงดูดให้เข้าใกล้ เพราะจะได้โทนแป้งติดหนังค่อนไปทางหนังกลับแต่มีลูกเอื้อนหอมกึ่งดอกไม้กึ่งแอปริคอตเนียนๆ ที่มีเสน่ห์มากเกินคาด ที่สำคัญมีกลิ่นออกทางราสเบอร์รี่อ่อนๆ แกมกลิ่นมะลิเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นยังคุมโทน Fruity Floral ได้อยู่ และมีโทนเครื่องเทศที่ให้ความปร่าอ่อนๆ เย้าจมูกรวมอด้วย เสริมให้กลิ่นไล่โทนจากแป้งหอมเย้าเซ็กซี่ที่มีความหอมเจือหวานนวลๆ มีความปร่าเนียนๆ สู่กลิ่นหนังที่มีโทนออกทางหนังกลับแกมหนังปกติที่มีความเซ็กซี่แบบไม่ต้องเยอะสิ่งและพยายาม ถือว่าช่วงนี้แหละที่มีพลังและมีเสน่ห์ทางเนื้อกลิ่นมากจริงๆ 

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย จะมีโทนกลิ่นบางอย่างที่เริ่มเปิดตัวออกมาโดยจะได้อารมณ์แบบกลิ่นคล้ายควันบุหรี่หน่อยๆ ซึ่งมีความหวานโปร่งของยาสูบ และมีกลิ่นออกทางไม้หอมลึกๆ ที่เนียนๆ แบบเบาๆ เข้ามาที่เป็นลักษณะแบบ Oud ทำให้ลักษณะกลิ่นมีลูกเอื้อนแบบ Tobacco Oud เข้ามาเนียนๆ รวมกับกลิ่นโทนหนังที่ตอนนี้ความเป็นแป้งเริ่มลดทอนบทบาทลงทีละหน่อย ซึ่งเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว เนื้อกลิ่นจะมีโทนหนังที่ชัดขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นแนวควันบุหรี่ที่มียาสูบแฝงอยู่ตลอดแกมแป้งหอมบางๆ และมีปร่าระเรื่อพิมเสนเย้าๆ อยู่ตลอด ซึ่งอันนี้เรียกว่าตอบโจทย์กลิ่นอายเซ็กซี่เนียนๆ แบบไม่ต้องดูพยายามได้พอเหมาะพอเจาะมาก ปิดท้ายโดยให้ความกึ่งกลางกำลังดีระหว่างความ Classic ก็ได้ มีความทันสมัยในเนื้อกลิ่นก็ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ตรงตัวกลิ่นมีความกลางๆ แต่มีเสน่ห์ที่แตกต่างสร้างออร่าทางกลิ่นที่ได้ความเป็นหนังแต่มีเสน่ห์ที่ได้หมดไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับบางสถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่จำหนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะดูเกินงามไปถ้าใส่แบบทางการ แต่ถ้าทั่วๆ ไปก็จัดได้สบายมาก แต่สิ่งที่ให้ตัดออกไปได้เลยคือ กิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งกับออกกำลังกาย เดี๋ยวตีขึ้นหนักเกินจนอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป เหมาะกับการท่องราตรีหรือออกกงานก็ได้ แบบที่เน้นขับเสน่ห์แบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม อารมณ์เท่ห์ๆ และเร้าใจอะไรประมาณนั้นจะลงตัวที่สุด

ความทน - พื้นฐานแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ก็เจออยู่บ่อยครั้ง เรียกว่าเรื่องนี้ไม่ห่วง เพราะทำได้ดีเลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่แรกยันต้นช่วงท้ายเลย ส่งพลังทางกลิ่นที่ทั้งเท่ห์ น่าค้นหา และมีเสน่ห์ที่แตกต่าง แล้วพอเข้าช่วงท้ายจะลดลงมาปานกลางไปซักระยะ พอแตะประมาณชั่วโมงที่ 6 เป็นต้นไป ก็จะเริ่มลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่เวลาขยับเนื้อตัวกลิ่นจะฟุ้งออกให้คนรอบข้างรู้สึกได้ แล้วจะค่อยๆ เป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 10 ชม. แล้ว 

สรุป - สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยอิงตามประสบการณ์ส่วนตัวช่วงแรกๆ จะเหมือนได้กลิ่นสบู่อาเซปโซก้อนเขียวที่มีกลิ่นเหล้าแอปริคอตกับดอกไม้คลอๆ และมีโทนที่เหมือน Serge Lutens - Daim Blond แต่เข้มและดาร์กกว่า แต่พอสลัดเอาความคิดนั้นออกไปเจาะจงที่เนื้อกลิ่น ถือว่าเป็นการจับคู่ที่ดีมากในการเอาโทนหนังที่มีทั้งหนังปกติและให้อารมณ์แบบหนังกลับเป็นจุดศูนย์กลางของกลิ่นแล้วเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้กับเหล้าแอปริคอตที่เข้ากันพอดิบพอดีมาเป็นตัวสร้างเสน่ห์ โดยจะได้อารมณ์โทนหนังที่ต่างความรู้สึกไล่โทนมาเรื่อยๆ ทั้งกลั้วโทน Floral Fruity กลั้วโทนยาสูบกึ่ง Oud อ่อนๆ ที่ให้ความเท่ห์ทันสมัย และกลั้วโทนแป้งที่มีความอบอุ่นเย้ายวนเนียนๆ เรียกว่าเป็นการนำเสนอกลิ่นหนังที่ดีมีชั้นเชิงให้ความห่ามแกมเย้าได้อย่างลงตัวมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ถือเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pkperfumes.com/shop/cuir-moderne/

 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Creed - Aventus for Her

Creed - Aventus for Her

จากความยิ่งใหญ่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในระดับโลกของ Creed - Aventus ที่ติดลมบนมาเสมอ และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงไปได้ง่ายๆ แม้ว่าจะมีตัวโคลนนิ่ง ได้แรงบันดาลใจ หรือจงใจเกาะกระแสมากมายก่ายกองเกิดขึ้นเต็มไปหมดทั้งแบรนด์สาย Designer สาย Niche และแบรนด์ฝั่งตะวันออกกลาง

แต่เพราะความเป็น Aventus ที่ถือว่าเป็นผู้นำที่สุดและอยู่จุดสูงสุดแบบที่ยังไงก็ได้การยอมรับแน่นอนในการเป็นน้ำหอมชายที่เป็นตัว Top จริง ทำให้กระแสต่างๆ จากทั้งผู้ใช้ฝ่ายหญิงต่างๆ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายของ Creed ที่มีอยู่ทั่วโลกต่างก็อยากให้มีการต่อยอดและพัฒนาสร้างความเป็น Iconic ทางด้านน้ำหอมผู้หญิงที่เทียบเท่า เช่นนั้น Project - Aventus for Her ก็เลยเกิดขึ้นมาในที่สุด โดยพลิกที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์น้ำหอมจากที่ของเดิมได้แรงบันดาลใจจากจักรพรรดิ์ต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ หรือผู้ปกครองผู้ชายต่างๆ ที่ได้รับการยกย่อง มาเป็นจักรพรรดินีและผู้กล้าที่เป็นผู้หญิงต่างๆ ที่มีความยิ่งใหญ่ระดับโลกแทน เช่นนั้น สิ่งที่สื่อสารออกมาจะยิงความรู้สึกและสร้างบุคลิกภาพทางกลิ่นอย่างไร จะมีความพีคขนาดไหนในการทำตามคำเรียกร้องขนาดนี้ สิ่งที่ได้ออกมานั่นคือ

Aventus for Her เปิดตัวมาก็จับต้องได้เต็มๆ เลยว่าพื้นฐานกลิ่นมีความเป็นโทน Ambergris หรืออำพันปลาวาฬที่ให้ความอวลติดเค็มกำลังดี ซึ่งใช่เลยเป็นสไตล์ของ Creed ที่ใช้ Note กลิ่นนี้เป็นจุดขายหลักมาเสมอ แต่มันมีโทนออกทางอวลไม้หอมแห้งๆ เข้ามาร่วมด้วย จนรู้สึกตะหงิดๆ ว่าไม่ได้มีแค่ Ambergris แน่ๆ ต้องมีสารหอมอย่าง Ambroxan มาช่วยด้วยแน่นอน จนทำให้เป็นเหมือนแกนกลางของกลิ่นคือ โทนอบอุ่นลุ่มลึกแกมอวล แต่สิ่งที่เป็นเลเยอร์แรกจริงๆ นั่นคือโทนผลไม้ที่ไม่ใช่สับปะรด แต่เอาแอปเปิ้ลเขียวมาเป็นตัวเปิดแทน โดยมีโทน Citrus ติดขมปร่าหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) มีความสดชื่นติดเปรี้ยวแกมชื้นเล็กๆ ของเลมอนเสริม โดยที่มีกลิ่นออกทางกึ่งฝาดกึ่งปร่านวลที่มีลูกโทนติดกุหลาบหน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพูมาเป็นเป็นเสริมให้กลิ่นมีมิติและดูทรงแล้วน่าจะเชื่อมไปสู่โทนดอกไม้ด้วย เลยทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะมี 3 เลเยอร์สำคัญคือ กลิ่นแอปเปิ้ลเขียวที่มีความเป็นธรรมชาติระดับที่ดีเลยทีเดียวเพราะมีกลิ่นติดเขียวแกมเปรี้ยวหอมอ่อนๆ ที่มี Citrus เป็นผู้ช่วย ตัวกลางเชื่อมโทนอย่างพริกไทยสีชมพูที่มีโทนดอกไม้เนียนๆ อยู่ และสายอวลอบอุ่นที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาให้จับต้องได้ที่รองพื้นอยู่

การเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นที่เข้าสู่ช่วงกลาง จะเป็นการเพิ่มกลิ่นโทนดอกไม้และผลไม้เข้ามามากขึ้นแต่จะเด่นที่ดอกไม้มากกว่า โดยที่ตัวหลักในการทำหน้าที่คือโทน Fruity Floral แต่จะมีตัวคุมเกมทั้งหมดอย่างโทนอบอุ่นอวลๆ สไตล์ Ambergris + Ambroxan ก็ยังเป็นตัวตรึงเนื้อกลิ่นภาพรวมเช่นเดิมซึ่งต้องชมเลยเพราะกลิ่นที่เป็นเลเยอร์สายดอกไม้ผสมผลไม้ที่ผสมผสานกันได้อย่างดี มีมิติที่หลายหลากในการดมเพียง 1 ครั้ง โดยตัวเด่นออกมาให้รู้สึกได้เลยนั่นคือ กุหลาบ ที่จะมีกลิ่นระเรื่อหอมนวลกำลังดี เสริมด้วยกลิ่นที่ติดโทนหวานอ่อนๆ กึ่งโทนแป้งหน่อยๆ ของไลแลคและน่าจะมีดอกไวโอเล็ตด้วย แถมมีกลิ่นแบบกระดังงาที่มีลูกเอื้อนติดกล้วยเล็กๆ แกมไม้หอมหน่อย เลยได้อารมณ์แบบแป้งหอมหรูๆ ที่เชื่อมโทนกับกลิ่นสายผลไม้ที่มีแอปเปิ้ลเขียวที่ตามมาตอนต้นที่มาเจอกับพีชที่หอมนวลๆ ที่สำคัญแอบมีลายเซ็นแบบ Aventus รุ่นผู้ชายที่มีกลิ่นหอมสับปะรดนิดๆ มาให้รู้สึก มีกลิ่นติดเขียวปร่ากึ่งแอมโมเนียเจือผลไม้เล็กๆ ของแบล็คเคอแรนท์ ซึ่งสายผลไม้คือตัวสนับสนุนที่ให้ลูกเล่นกับโทนแป้งดอกไม้ได้ดีมากในการ On Top อยู่บนกลิ่นสายอวลอุ่นแกมไม้หอม

ช่วงท้ายชัดเจนมากกับการเป็นกลิ่นสายอวลเพราะว่ากลิ่นต่างๆ จากช่วงกลางจะเบาลงเป็นเนียนรวมกับกลิ่นของ Ambergris + Ambroxan + Cetalox เป็นเสมือนหนึ่งองค์ประกอบให้กลิ่นอวลๆ อบอุ่นเจือไม้หอมที่มีพลังและมีความแข็งแรงมีลูกเล่นแฝงในการรับรู้ แต่ก็มีลูกเอื้อนติดโทน Musk หน่อยๆ ที่เกลาให้กลิ่นสายอบอุ่นอวลมีพลังในระดับที่กำลังดีมีเสน่ห์แบบไม่หนักหน่วงแผ่ไพศาลจัดจ้านเกินไป แถมมีกลิ่นพิมเสนประปรายให้รู้สึกได้ในปลายกลิ่นให้ความติดระเรื่อๆ เย้าๆ หรูหราเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่าช่วงนี้เป็นการปิดท้ายที่มีความทันสมัย มีความอบอวลตามเทรนด์ที่มีเสน่ห์จากลูกเล่นกลิ่นโทน Ambroxan และมีความหรูหรามีระดับในสไตล์ Creed ได้อย่างไม่หลุด Concept นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปจะเข้าทางที่สุด เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยจะใช้ก็ได้ แต่กลิ่นมันจะมีความสตรองในความรู้สึกนิดนึง อารมณ์มีลูกเล่นนางพญามีระดับอวลๆ ช่วงท้ายอะไรประมาณนั้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ได้ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก สร้างออร่าที่มีเสน่ห์และมีพลังได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ชายสามารถใช้กลิ่นนี้ได้ไหม ตอบเลยว่า “ได้” เพราะกลิ่นมีความ Unisex มาก ยิ่งเฉพาะช่วงท้ายที่แตะได้หมดทุกเพศให้ความรู้สึกสตรองอย่างมีชั้นเชิงเลย

ความทน - แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมากและไปต่อได้อีก โดยอิงสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เจอในการใช้งานทุกครั้ง คือ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ (อันนี้อาจจะต้องอิงตาม Lot การผลิตด้วยส่วนหนึ่ง)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แล้วลดลงมากระจายดีไปแบบคงที่จนถึงราวๆ 4 ชม. ก็จะลดลงมาเป็นปานกลาง พอพ้นซัก 8 ชม. เป็นต้นไปก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าไม่ธรรมดา โดยที่คุมชั้นเชิงความหรูหราและมีเสน่ห์สไตล์ Creed ได้ดีเสมอต้นเสมอปลายเสียด้วย 

สรุป - แตกต่างจากรุ่นผู้ชายชัดเจนมาก เพราะไม่ได้มีสับปะรดมาเป็นตัวเอกและไม่ได้มีโทน Smoky มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ผันตัวเองการเป็นโทนผลไม้แกมดอกไม้ที่มีความอวลไม้หอมกึ่งโทนอบอุ่นเข้ามาแทนที่ ซึ่งถ้ามองเอาจริงๆ เป็นการต่อยอดมาสร้างโทนกลิ่นที่มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น โดยที่มีความแข็งแรงอวลๆ เป็นตัวเสริมที่สร้างภาพและอารมณ์กลิ่นที่สื่อสารถึงความเป็นฮีโร่หรือผู้กล้าได้ดีและมีเสน่ห์ในทางของตัวเอง โดยยังมีลายเซ็นความเป็นโทน Ambergris แบบสไตล์ Creed ได้ครบถ้วน แม้ว่าจะมีโทนออกทาง Ambroxan แกม Cetalox มาเป็นตัวช่วยมากหน่อยก็ตาม เช่นนั้น ถ้าคาดหวังว่ากลิ่นนี้จะต้องมีลักษณะคล้าย Aventus ของผู้ชายบอกเลยว่า “มีน้อยมาก” แต่มีเอกเทศที่ฉีกออกมาเป็นแนวทางของตัวเอง โดยเจาะที่กลุ่มผู้หญิงแถมมีความทันสมัยเสียด้วย นี่แหละ Aventus for Her ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ถือเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://creedboutique.com/products/aventus-for-her

 

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: L’Artisan Parfumeur - Mandarina Corsica

 

L’Artisan Parfumeur - Mandarina Corsica

ในแต่ละครั้งที่ได้ใช้น้ำหอมที่เด่นด้วยโทนกลิ่นหวานและมีความเป็นโทนค่อนไปทางขนมของ L’Artisan Parfumeur ทีไร มักจะนิยมชมชอบการปรุงที่ทำให้กลิ่นมีความโปร่งเข้ามาร่วมด้วยเสมอ จนไม่ทำให้รู้สึกหนักข้นเกินไปในการใช้งาน และเมื่อได้เห็นว่าในปี 2018 แบรนด์นี้ก็ปล่อยกลิ่นโทนขนมออกมาวางจำหน่ายอย่างรุ่น Mandarina Corsica สิ่งที่แน่นอนเลยก็คือ เราอยากที่จะได้สัมผัสเสน่ห์ของ L’Artisan Parfumeur ที่ให้ความโปร่งในกลิ่นขนมอีก เช่นนั้น จัดไปอย่าได้เสีย

ก่อนที่จะเข้าเรื่องกลิ่นในการใช้งาน ต้องว่าเล่ากันถึงที่มาที่ไปของกลิ่นที่เอาความเป็นวิวแบบ Landscape ของเกาะ Corsica ที่สวยงาม ที่เป็นเกาะใหญ่เป็นอันดับ 4 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งถือเป็นแคว้นหนึ่งของฝรั่งเศสและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างมาก แล้วจะเชื่อมโยงกับกลิ่นอายแนวขนมหวานยังไงสิ่งที่ได้จากการใช้งานบอกได้แบบนี้

เปิดต้นกลิ่นด้วยโทนส้มเลย กลิ่นเปลือกส้มหอมๆ เวลาที่เราปอกส้มแล้วมีเม็ดเหมือนน้ำมันบนผิวส้มแตกฟุ้งออกมาจะมาทักทายกันแบบชัดเจน และมีกลิ่นออกทางคล้ายน้ำส้มใสๆ ที่ผสมผสานรวมอยู่ด้วย สร้างความเป็นส้มที่ชัดเจนมากขึ้น เพียงแต่ที่แปลก คือ ไม่ได้ไปในโทนสดชื่น เพราะเนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นติดหวานออกทางลูกอมกึ่งคาราเมลที่มีกลิ่นคล้ายแยมรวมอยู่ด้วย เพียงแต่ก็ไม่ได้จัดจ้านมากจนกลบความเป็นส้ม เลยทำให้ได้อารมณ์กึ่งส้มกึ่งลูกอมรสคาราเมลผสมน้ำส้มที่มีความเป็นแยมส้มอยู่หน่อยๆ แบบติดอุ่นค่อนจะเกือบทึบรองพื้น ซึ่งถือว่าเป็นโทนส้มที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่น้อยเลย

การเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นส้มจะเบาลงมาจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นโทนคาราเมลที่เริ่มมีมิติหลากหลายพอสมควร เพราะเนื้อกลิ่นจะไม่ได้เจาะที่ความเป็นคาราเมลโดดๆ แต่เอาความเป็นคาราเมลในรูปแบบอื่นๆ เข้ามาผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นคาราเมลกึ่งแยมที่สัมผัสได้จากช่วงต้น ตามด้วยกลิ่นคาราเมลที่ค่อนไปทางเมเปิ้ลไซรัปแกมกลิ่นหญ้าแห้งๆ ของดอก Immortelle รวมถึงความเป็นคาราเมลโปร่งหวานแบบเจือจางความข้นของคาราเมลปกติให้ค่อนไปทางไซรัป พอมาเจอกับส้มกลิ่นเลยได้อารมณ์ลูกอมคาราเมลหวงานโปร่งเจือส้มที่ชัดเจนมากขึ้น แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่ามีโทนออกทางดอกไม้ขาวเบาๆ ค่อนไปทางลูกผสมระหว่างดอกส้มกับมะลิเข้ามาเสริมด้วยเลยทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลประปรายให้รู้สึกได้ และที่สำคัญแม้กลิ่นจะมีความหวานที่คิดว่าเนื้อกลิ่นจะหนัก แต่เอาเข้าจริงมีความโปร่งและความเบาเรื่อยๆ มาเรียงๆ เสียมาก ซึ่งนี่แหละลายเซ็นความโปร่งที่แบรนด์มีอยู่เสมอจริงๆ

การปิดท้ายจะเป็นการเข้าสู่ช่วงคลอผิวชัดเจน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นคาราเมลอยู่เช่นเดิม แต่เป็นคาราเมลที่หวานอ่อนๆ ค่อนไปทางเครื่องเทศคล้ายอบเชยเล็กๆ และมีความเป็นน้ำตาลทรายแดงหน่อยๆ แต่เพราะกลิ่นโทนกึ่งอัลมอนด์กึ่งหญ้าแห้งที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้ามารองรับ รวมถึงแอบมีลูกเอื้อนของโทนวานิลลาเบาๆ และมีไม้หอมนวลๆ รองพื้นอยู่ เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนอบอุ่นแกมโปร่งที่มีความหวานอ่อนๆ ประปราย และแอบมีความเป็นโทนแป้งเบาๆ ให้ผ่อนคลายร่วมด้วย โดยทุกอย่างจะคลอผิวให้ความเรื่อๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ไม่ว่าจะเพศไหนก็จัดกลิ่นนี้ได้หมด เพราะเป็นกลิ่นไม่หนักและไม่ได้ยัดเยียดความหวานจัดจ้านมาจากไหน เลยใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทั่วๆ ไป หรือจะใส่ทำงาน Office ก็ยังได้ รวมถึงถ้าใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้อยู่ แต่กลิ่นนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานแบบทางการ รวมถึงการใส่เพื่อออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ผ่อนคลาย ชิลล์ๆ สบายๆ ให้ความหวานกำลังดีจะลงตัวที่สุด 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ประมาณ 8 ชม. กำลังดีเสมอในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่าเป็นส้มที่เพลิดเพลินมาก ก่อนที่จะลดลงมาเป็นปานกลางซักราวๆ 3 ชม. แล้วจะผ่อนตัวลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวจนเป็น Skin Scent ปิดท้ายเมื่อผ่านไปประมาณ 5 - 6 ชม. แล้ว

สรุป - ความเชื่อมโยงกับ Corsica น่าจะเป็นกลิ่นอายส้มและความหวานหอมของบรรยากาศอ่อนๆ แบบที่ตัวเกาะนี้เองก็มีขนมหวานเฉพาะต่างๆ อยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อ 2 โทนนี้มาเจอกันและเกลากลิ่นจนมีความโปร่ง เลยได้บรรยากาศแบบกลิ่นเอื่อยๆ ที่ลอยมาตามลมแล้วมาคลอผิว ซึ่งถือว่าแบรนด์นี้ยังคงใส่ลายเซ็นความโปร่งให้กลิ่นโทนหวานได้อย่างลงตัวมาเสมอและสร้างความสบายในการรับกลิ่นได้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://makeup.com.ua/ua/product/921382/

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Phaedon - Tabac Rouge

Phaedon - Tabac Rouge

เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่บอกว่า นอกจาก Tobacco Vanille ของ Tom Ford ถือเป็นหนึ่งในกลิ่นยาสูบที่เซ็กซี่และมีความสมาร์ทมาก แต่ก็ยังมีอีก 1 กลิ่นที่เรียกว่ามาสายเดียวกันและพื้นฐานเนื้อกลิ่นใกล้เคียงในความเป็นยาสูบเหมือนกัน แต่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่ฉีกออกมาแบบที่เรียกว่าสูสีกันเลย โดยที่ราคาสมเหตุสมผลเสียด้วย นั่นก็คือ Tabac Rouge ของแบรนด์ Phaedon ที่เป็น Niche Perfume ในการดูแลของสุคนธกรที่หน้าตาหล่อเหลามากๆ อย่าง Pierre Guillaume

ในเมื่อเสียงเข้ามาอย่างหนาหูนัก ว่ากลิ่นมีความดีงามอร่ามแท้ เช่นนั้น ต้องมีได้เสียกันหน่อยแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร และมีความโดดเด่นออกมาในลักษณะไหน จัดไปได้เรื่องกันตามนี้

Tabac Rouge เปิดตัวมาก็จับต้องกันได้เต็มๆ ถึง 3 โทนกลิ่นที่จะเป็นแก่นหลักของน้ำหอมเลยนั่นคือ ยาสูบ น้ำผึ้ง และธูป Incense ซึ่งทั้ง 3 โทนนี้จะมีอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมเลย ซึ่งช่วงต้นจะมีโทนออกทางสายเครื่องเทศที่มีความอบอุ่นเป็นตัวหลักในการเสริมโทนยาสูบและเชื่อมไปยังฝั่งธูป Incense นั่นก็คือ อบเชย ที่จะมาให้โทนหวานเผ็ดอุ่นอวล เสริมด้วยขิงที่มาให้ความปร่าฟุ้งเสริมกำลังดี ทำให้เนื้อกลิ่นจะชูโรงความเป็นยาสูบน้ำผึ้งหวานที่มีความเย้าอุ่น ซึ่งจะมีความเป็นโทนกึ่งไซรัปหน่อยๆ แต่ไม่ได้หวานจัด + ความเป็นโทน Animalic แบบสไตล์น้ำผึ้งจริงๆ ที่มีความเอียนลึกเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงหรือจงใจให้จับต้องได้ โดยที่พื้นกลิ่นมีลักษณะของโทน Incense ที่ค่อนไปทางยางไม้ติดปร่าหน่อยๆ คาดว่าน่าจะเป็น Frankincense อยู่แบบเนียนๆ ที่เสริมโทนดึงดูดอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเปิดมาก็สร้างเสน่ห์ดึงดูดกันตั้งแต่แรกแบบที่ไม่ต้องมาอารัมภบทให้เสียเวลาแต่อย่างใดเลย

ช่วงกลางความเป็นยาสูบและน้ำผึ้งจะยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนความเป็นโทนคล้ายไซรัปลงไป จนกลายเป็นโทนที่แห้งมากขึ้น สอดรับกับโทนที่ค่อนไปทางวานิลลาแต่ออกไปทางยางไม้ติดหวานแหลมที่เป็นเสน่ห์ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าเป็นยางไม้กำยาน Benzoin ที่มาให้โทนลักษณะนี้ แต่ที่กลิ่นไม่ได้หวานแหลมแต่ค่อนไปทางยางไม้มากกว่า ต้องยกให้ตัวตัดทอนอย่างโทนแป้งที่เข้ามาเกลา แถมโทน Incense ที่เป็นพื้นกลิ่นเองก็มาแบ่งเบาภาระในการตัดโทนหวานฉ่ำออกไป เลยกลายเป็นโทนหวานที่มีความเย้ามีเสน่ห์แบบไม่ต้องมาก แต่สร้างออร่าดึงดูดทั้งยาสูบที่ให้โทนแบบยาสูบบ่ม + น้ำผึ้งแห้งที่มีโทน Animalic เนียนๆ แกมอบเชยที่เป็นตัวเสริมสร้างความร้อนแรงแฝง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ปล่อยของที่สุดจริงๆ ในการสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นในการดึงดูดโดยที่ไม่ได้ถึงกับลึกมาก แต่มีความสมดุลย์กำลังดีที่ได้ทั้งความลุ่มลึกและความโปร่งเย้าในเวลาเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงท้ายตอนนี้โทนต่างๆ ที่เป็นแกนหลักจะเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ทั้งหมด รวมถึงตัวกำยาน Benzoin เองก็ด้วย เพราะ Musk และโทนแป้งจะเป็นตัวที่เด่นขึ้นมาเป็นสายเกลาให้เนื้อกลิ่นเริ่มมีความนุ่มนวลมากขึ้น โดยโทน Incense เองก็เหลือเพียงเบาๆ ที่เคล้ากับ Musk และแป้งไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนยาสูบและน้ำผึ้งจะเหลือเป็นความอะโรม่าติดหวานแห้งแบบกลางๆ ที่ให้กลิ่นแบบ On Top ก่อนที่จะมาเจอความนุ่มนวลแกมอบอุ่นละมุนกำลังดีของแป้งกึ่งวานิลลากึ่งยางไม้ที่มีความนวลสะอาด ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่มีความ Smooth ทางกลิ่นที่ให้ความนุ่มลึกแบบไม่ได้ลงสายดาร์กเกินไป ปิดท้ายด้วยความรู้สึกนุ่มนวลแกมเอิร์ธโทนที่หวานเย้าก็ได้ นุ่มนวลน่าเข้าหาก็ดี โดยที่เสน่ห์ยังมาชัดเจนไม่ล้มหายตายจากไปไหนแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าราวๆ 70% เพราะมีลักษณะแบบยาสูบ โทนค่อนไปทางวานิลลา และ Incense แต่เพราะว่ามีน้ำผึ้งมาเป็นอีกหนึ่งตัวหลัก เลยทำให้มีความ Unisex ที่เข้ากับผู้หญิงด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบให้ความมีเสน่ห์แบบไม่ดาร์กหรือลึกเกินไป เข้าถึงได้ง่ายในความหวานหอมแกมน่าค้นหาเนียนๆ รวมถึงยามค่ำคืนก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ไม่ว่าจะโรแมนติค ท่องราตรี หรือว่าออกงาน แต่ที่ให้ข้ามไปได้เลยเพราะไม่เหมาะนักนั่นคือ ออกกำลังกายหรือว่ากิจกรรมลุยๆ กลางแจ้ง เดี๋ยวกลิ่นตีขึ้นจนมึนเอาได้

ความทน - ยังไงก็ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้วกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เช่นนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยว่าจะอยู่ที่พื้นฐานหรือไปต่อกันยาวๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น พอผ่านไปซัก 1 ชม. ถึงผ่อนลงมากระจายดี แล้วลดลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อแตะราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ก็เริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่เสถียรกันไปเรื่อยๆ จะมีแตะ Skin Scent ก็เมื่อเลยไปซัก 10 ชม. ไปแล้ว

สรุป - สิ่งที่แตกต่างเลยจาก Tobacco Vanille นั่นคือ เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสว่างกว่า ไม่ได้มีความดาร์กหรือลึกจนเซ็กซี่และความหวานก็ไม่ได้มากเท่า แต่ยังคงให้เสน่ห์ในเรื่องความเย้ายวนและดึงดูดที่เข้าลักษณะกลิ่นอายที่มักลงท้ายด้วยคำว่า Rouge ได้อย่างชัดเจนไม่หนีไปไหน ที่สำคัญคือ น้ำผึ้ง มีโดดเด่นจริงๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีเสน่ห์มากและไม่ธรรมดาในการสร้างออร่าน่าค้นหาและเซ็กซี่แบบไม่ต้องถอดเสื้อผ้าได้ครบเครื่อง แถมยังมีระดับในเนื้อกลิ่นอย่างงามๆ อีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://phaedonparis.com/en/shop/tabac-rouge/

 

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: The House of Oud - What About Pop

The House of Oud - What About Pop

แม้ว่าการสร้างแบรนด์จะมาจากการจับมือกันระหว่าง Perfumer ชาวอิตาเลี่ยนกับผู้ค่าไม้กฤษณาจากอินโดนีเซียจนได้ชื่อแบรนด์ว่า The House of Oud แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำหอมทุกรุ่นต้องมี Oud เสมอไป ซึ่งต่างก็มี Collection แยกกันไปตามแต่ละโซนที่สร้างสรรค์ขึ้นมาประมาณนั้น ไม่ว่าจะเป็น The House of Oud Collection ที่ถือเป็น Signature ของแบรนด์ ก็มี Collection ย่อยแยกออกมา 2 โซนนั่นคือ Desert Day กับ KLEM Garden หรือ Crop Collection ที่ออกมาเป็น Limited Edition เป็นรายปี รวมถึง Collection พิเศษต่างๆ เป็นต้น

แต่จากที่กล่าวไปข้างต้น ยังขาดไปอีก 1 ไลน์ที่เรียกว่าเป็นที่นิยมไม่น้อย ทั้งจากที่สีขวดที่งดงามและกลิ่นที่เข้าถึงได้ไม่ยาก นั่นก็คือ THoO Collection ที่เป็นการรวมเอา 2 Collections ย่อยอย่าง From the Earth to the Sky และ Colorful ที่เอาที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นมาแบบหลากหลายมากเช่นงานศิลปะ ดนตรี ความงาม ธรรมชาติ การใช้ชีวิต และขนมหวาน เป็นต้น (คือกวาดหมดทุกที่มาที่ไปที่จะเอามาทำน้ำหอมได้ว่างั้น) เช่นนั้นเมื่อมาเจอกับหนึ่งใน Collection นี้กับการเอาความเป็นของหวานมาเป็นพื้นฐานของการทำกลิ่นอย่าง What About Pop ใช้แล้วก็ต้องมาเล่ากันหน่อยว่าจะสร้างความขนมน่ากินบนตัวเราอย่างไรบ้าง

Salted Caramel Popcorn ชัดๆ เลย เปิดมาก็เล่นเอาความหอมหวานลักษณะนี้มายื่นเข้าจมูกเต็มๆ ซึ่งแบบชัดเจนแทบไม่ต้องค้นหรือลงลึกอะไรให้มากความเพราะกลิ่นเปิดมาแบบตรงตัว ได้ทั้งความเป็นคาราเมลติดเค็ม และความเป็นข้าวโพดคั่วอุ่นๆ แต่มีความโปร่งมากกว่าจะแน่นที่รวมกันเป็นเนื้อเดียวส่งตรงให้รับรู้ แต่พอวูบถัดมาจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นออกทางกึ่งเนยๆ แกมครีมนมๆ ที่เข้ามาเสริมความเป็น Popcorn แต่ก็เป็นลักษณะของการเสริมให้ความเป็น Salted Caramel Popcorn นั้นชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเรียกว่าชวนหิวกันตั้งแต่แรกฉีดแบบไม่ต้องปฏิเสธเลยจริงๆ

เมื่อความครีมมี่นมๆ ติดวานิลลา จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นตีคู่กับความเป็น Salted Caramel Popcorn ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะกลายเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ในการเป็นสายของกลิ่นแต่เพิ่มกลิ่นหวานโปร่งๆ แนวดอกไม้ขาวกึ่งนวลกึ่งแห้งหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งอารมณ์กลิ่นในช่วงนี้จะเหมือนครีมนมวานิลลาที่มีความอวลๆ หอมนุ่มแกมลึกที่ On Top ด้วยกลิ่นของฝั่ง Popcorn และมีกลิ่นแบบหวานดอกไม้บางๆ ประปรายให้จับต้องได้ แต่พอผ่านไปซักระยะสิ่งที่เริ่มสัมผัสได้มากขึ้นคือ เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนไม้หอมติดอวลๆ กึ่งเค็มหน่อยๆ ค่อยๆ แทรกตัวมาผสมผสานแบบเนียนๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเป็นช่วงรอยต่อเพื่อส่งเข้าช่วงถัดไปแล้ว

ช่วงท้ายสิ่งที่กลายเป็นหัวใจหลักจะกลายเป็นโทนไม้หอมติดอวลๆ ที่มีความเค็มหน่อยๆ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นสารหอมอย่าง Ambroxan ที่ให้ลักษณะแบบนี้ เสริมด้วยความเป็นไม้หอมติดไม้แห้งๆ มีความดาร์กอวลแบบกำลังดีที่ทำให้กลิ่นไม้ชัดขึ้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะยังมีโทนติดวานิลลาอวลๆ อยู่แต่มีความเข้มลึกแต่ไม่ถึงกับหวานแหลม ซึ่งน่าจะเป็นลูกผสมระหว่างวานิลลาที่ตามมาจากช่วงกลางกับกำยาน Benzoin ที่ให้กลิ่นแบบยางไม้เจือวานิลลาที่โดนตัดทอนความหวานแหลมออกไปเพราะมีโทนนุ่มสะอาดของ Musk ที่มีประปรายให้จับต้องได้มาตัดทอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความเป็น Popcorn ก็ยังคงอยู่เป็นปลายกลิ่นที่จะให้อารมณ์แบบข้าวโพดกึ่งคาราเมลอ่อนๆ เนียนแฝงอยู่ตลอด เลยทำให้ช่วงท้ายอารมณ์กลิ่นเลยจะได้ความเป็นเสมือนสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นมีขนมจำพวกครีมกับ Popcorn มาเสริมให้มีความหวานละมุนหอมชวนลิ้มลอง ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความหวานทางกลิ่นที่ทำให้ผู้ใช้มีออร่าความหวานไม่เหมือนใครได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน จัดได้หมดทุกเพศและทุกวัยตั้งแต่น้องๆ วัยประถมเลยก็ยังได้ (แต่เด็กๆ ฉีดเสื้อที่สวมน้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว) ซึ่งเป็นกลิ่นสายชิลล์และหอมหวานที่จะสร้างความสุขในการใช้งานก็ได้ หรือความโรแมนติคแย่ง/แบ่งกันกิน Popcorn ก็สามารถ ซึ่งได้หมดแบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน Office ก็ได้อยู่ รวมถึงการใส่แบบยามค่ำคืนที่เน้นชิลล์ๆ สบายๆ หรือถ้าต้องการจะใส่เพื่อเที่ยวกลางคืน อัดสเปรย์หน้อยก็พอได้ แต่คนจะทักเสียมากกว่าที่จะสนใจความเซ็กซี่ว่าไปต่อแถวซื้อ Popcorn มาเหรอเสียก่อนน่ะสิ ซึ่งถ้าไม่มายด์ก็แล้วแต่ความสะดวกกันได้เลย

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งสามารถไปต่อได้อีกราวๆ 2 - 4 ชม. ตามแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น คือสร้างความสุขชัดเจนในการได้กลิ่น Popcorn แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 6 ชม. จึงค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 8 - 10 ชม. เป็นต้นไป 

สรุป - เออ Popcorn จริงๆ คือกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน ไม่ต้องล้ำลึกจากไหน แค่ให้ความรู้สึกหวานหอม Salted Caramel Popcorn ก็เรียกว่าสร้างรอยยิ้ม + ความหิวได้แล้ว ซึ่งแม้ว่าจะมีกลิ่นอวลๆ แนวๆ ครีมมี่วานิลลาแต่ก็ยังให้ความเป็น Popcorn จนหยดสุดท้ายที่รับรู้กลิ่นได้อยู่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายสายขนมที่ไม่ค่อยเหมือนใครในท้องตลาดและสร้างความหวานที่แตกต่างจากความอวลแน่นจัดหนักทั้งหลายได้ดีไม่น้อยเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เข็มขัดสั้นเขียนไว้ เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.beautyshoponline.it/en/perfumes/the-house-of-oud-what-about-pop-edp-75-ml/pr-28170