วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Etat Libre d’Orange - Une Amourette

Etat Libre d’Orange - Une Amourette

จุดเริ่มต้นจากความต้องการต่อยอดทางด้านน้ำหอมของ Fashion Designer ชื่อดังอย่าง Roland Mouret ด้วยการมาพบเจอกับเจ้าของแบรนด์ Etat Libre d’Orange จนก่อให้เกิดการ Collaboration ร่วมมือกันในการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาที่ตอบโจทย์ทั้งสไตล์แฟชั่นของ Roland Mouret เอง + กับความเก๋ไก๋ที่ไม่เหมือนใครในสไตล์น้ำหอมของ Etat Libre d’Orange และสิ่งที่ได้ออกมานั้นก็คือ

Une Amourette ที่มาจากการสร้างสรรค์ของ Perfumer มากฝึมืออย่าง Daniela Andrier ที่มาผนวกเอาความเก๋ไก๋กับความเป็นแฟชั่นที่หรูหราและมีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมา และเนื้อกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไรนั้นว่ากันได้ตามนี้

ช่วงเปิดคือการสร้างความประทับใจออกมาชัดเจนมากกับการจับคู่ความหอมที่ลงตัวระหว่าง โดยเริ่มจากฝั่งลูกผสมของการเป็นโทน Citrus อย่าง Neroli หรือดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ ซึ่งถ้าเอาตัวนี้เป็นหลักก็จะได้กลิ่น Citrus เปรี้ยวติดเขียวปร่าแกมนวลปลายกลิ่น แต่สำหรับกลิ่นนี้ไม่ใช่แบบนั้น เพราะอีกฝั่งที่มาผสานด้วยจะเป็นสายเครื่องเทศอย่างพริกไทยสีชมพูที่ให้ความฝาดปร่านวลและมีลูกเอื้อนกุหลาบบางๆ เคล้ากับความหวานเย้าเผ็ดหน่อยๆ ของเม็ดกระวานที่เสริมเข้ามา ทำให้เนื้อกลิ่นในช่วงต้นกลายเป็นกลิ่นดอกส้มติดเขียวที่ไม่ได้มีความเปรี้ยวเขียวเด่นเลย แต่จะเป็นดอกส้มที่มีความเป็นปร่านวลแกมหวานกระวานที่สมดุลย์มาก เนื้อกลิ่นแม้จะมีโทนสะอาดให้พอจับต้องได้ แต่จริงๆ มี Hint ซ่อนอยู่หน่อยๆ ที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นเหงื่อที่ไม่ได้ Dirty แฝง เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเย้าเซ็กซี่เข้ามาร่วมด้วย

เมื่อเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลาง ก็จะเปิดตัวแกนหลักของกลิ่นอย่างพิมเสนที่ให้ความปร่าหวานระเรื่อแกม Earthy ดินๆ ที่ลดทอนความ Dirty ลง มาเป็นเลเยอร์ที่ฟุ้งออกมาพร้อมกับความเป็นโทนแป้งฝุ่นของไอริส โดยจะเอากลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดมาผนวกด้วย ทำให้ช่วงกลางอารมณ์กลิ่นจะเป็นแป้งฝุ่นที่มีความปร่าซ่าระเรื่อๆ แกมหวานเครื่องเทศแบบสมดุลย์ โดยมีกลิ่นดอกไม้ขาวสดชื่นหน่อยๆ ของดอกส้ม และที่สำคัญมีกลิ่นของพีชเข้ามาสร้างมิติแบบผลไม้หวานเข้ามาเนียนๆ ในกลิ่นด้วย เลยทำให้ช่วงนี้ชัดเจนมากจริงๆ กับการเป็นกลิ่นอายโทน Unisex ที่แตะได้ทุกเพศ และมีเสน่ห์ติดปร่าระเรื่อที่ผสานกันได้อย่างลงตัวมาก ต้องยอมเลยว่าเป็นไฮไลท์จริงๆ

ในช่วงเปลี่ยนถ่ายสิ่งหนึ่งที่เริ่มจับต้องได้มากขึ้นตามลำดับคือกลิ่นอายไม้หอมที่มีความติดพริกไทยแกมกลิ่นค่อนไปคล้าย Oud เบาๆ ที่มาแบบไม่ได้เย้า ไม่ได้อวลลึก ไม่ได้ดาร์ก อารมณ์ Oud แบบอ่อนๆ ที่ยังไม่ได้เข้ม ซึ่งพอมาเจอกับพิมเสน เลยทำให้นึกถึงกลิ่นของสารหอมอย่าง Akigalawood ที่ค่อนๆ เปิดตัวออกมาชัดเจนมาก ทำให้โทนกลิ่นยังคงให้อารมณ์ปร่าระเรื่อพิมเสนที่มีเสน่ห์ของไม้หอมติดพริกไทยได้ชัดและมีเสน่ห์มากเช่นเดิม พ่วงด้วยความเป็นแป้งปร่าในช่วงกลางแกมหวานยางไม้หน่อยๆ ที่มาเป็นลูกเอื้อน แต่เพิ่มเติมความอบอุ่นเข้ามาอ่อนๆ ของวานิลลาที่มาทำให้กลิ่นมีมิติที่ดึงดูดและหวานอ่อนโรแมนติค โดยเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายข้นหนักแต่อย่างใด ออกทางแห้งโปร่งๆ ที่มีความอวลกำลังดีเสียมาก เรียกว่าปิดท้ายได้มีเสน่ห์ครบเครื่องและไม่เหมือนใครได้งดงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนกวาดหมดทุกเพศ เพราะพื้นฐานคือพิมเสนแกมไม้หอมที่มีความปร่าหวานกำลังดีแตะได้ทุกเพศ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบให้อารมณ์วางตัวดี มีเสน่ห์ และมีความเก๋ไปในตัว แต่ไม่ค่อยเข้าทางการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่ ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืรนเข้าทางการใส่ออกงานมาก ยิ่งกับเสื้อผ้าแนวทักซิโด้หรือชุดเดรสราตรีนี่เรียกว่าเหมาะจริงอะไรจริง รวมถึงการใส่เพื่อความโรแมนติค แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีท่ามกลางผู้คนที่อัดหนักความแน่นของกลิ่น อันนี้สู้เข้ายากนิดนึง

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน ซึ่งสามารถไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมและสภาพผิวเอื้อ เพราะส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาในช่วง 10 นาที แรก ก่อนที่จะลดลงมาที่กระจายดีไปต่อราวๆ 1 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 ถึงลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็น Skin Scent จริงจังเมื่อผ่านไปราวๆ 8 - 10 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นมีเสน่ห์มาก แถมมีอะโรม่าที่กำลังดีของพิมเสนแกมไม้หอมติดเผ็ดปร่านวลที่ลงตัวมากๆ อีกหนึ่งกลิ่น ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ออกมาได้เข้ากับสไตล์ของการเป็น Roland Mouret ที่มีความกรุยกรายเก๋ๆ ก็ได้ และเข้ากับกลิ่นอายสายเย้ายวนมีเสน่ห์ที่แตกต่างในสไตล์ของ ELDO ส่วนตัวถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ความประทับใจมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.etatlibredorange.com/products/une-amourette

 

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: 4160 Tuesdays - Be Careful What You Wish For

4160 Tuesdays - Be Careful What You Wish For

สำหรับแบรนด์ 4160 Tuesdays แรกเริ่มสุคนธกรอย่าง Sarah McCartney เองถือว่าเป็นหนึ่งในสายอินดี้ที่ไม่ได้จะลงมาแย่งกับตลาดสาย Oud เพราะว่าสามารถครีเอทกลิ่นอายที่มีความเก๋ไก๋ตามสไตล์ของแบรนด์โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง Note นี้ อีกอย่าง Oud ก็มีเยอะแล้ว ไปเจาะด้านอื่นน่าสนใจกว่า จะมีก็มาแตะบ้างก็เพราะเอามาเป็นองค์ประกอบในการสร้างสรรค์อย่างกลิ่น Lion Cupboard ที่ให้กลิ่นไม้ที่มีความลุ่มลึก แต่เพราะยังไม่ได้อินมากและยังไม่ได้เจอแบบที่ถูกใจด้วยส่วนหนึ่ง

จนเมื่อสุคนธกรได้มีโอกาสไปเที่ยวดูไบ และลองซื้อ Oud ที่แตกต่างกัน 5 ประเภทมาสัมผัสด้วยตนเอง และก็ได้พบว่าได้เวลาเปลี่ยนใจมาลองทำกลิ่น Oud ดูบ้างแล้ว เพราะเจอกลิ่น Oud ที่ถูกสเปคจึงได้เป็นที่มาในการมาผนวกกับสไตล์กลิ่นเก๋ๆ ของแบรนด์ และในที่สุดก็ออกมาเป็นกลิ่น Be Careful What You Wish For ในที่สุดกับการสร้างสรรค์กลิ่น Oud ที่แตกต่างเกินคาด จนสามารถเล่าออกมาได้แบบนี้ว่า

นี่คือ Fresh Fruity Oud ที่ให้ทั้งเสน่ห์แบบมีสไตล์เฉพาะตัวมากเลยทีเดียว เพราะกลิ่นที่เป็นแกนหลักเลยต้องยกให้สายผลไม้ที่ให้ความหวานเย้าและให้ความรู้สึกเข้าโทนสีม่วงอย่างพลัม ที่จะมีกลิ่นโทนเบอร์รี่ที่ดึงเอาด้านหวานดาร์กออกมามากกว่าจะมาแบบใสๆ เป็นตัวสนับสนุนที่จะพุ่งออกมาแรกสุดโดยจะมีกลิ่นปร่าหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์คล้ายเหล้าจินมาเสริมพร้อมด้วยกลิ่นหอมพีชที่หวานกำลังดีและมีความ Citrus หน่อยๆ เสริม โดยที่ะจับต้องกลิ่นกลิ่น Oud ที่มีความอวลลึกแบบกำลังดี ไม่ได้มีความอาระเบียนมาทำให้เนื้อกลิ่นเปลี่ยนโทน แต่ดึงเอาความเย้าน่าค้นหาของ Oud มาเสริมแบบฉากหลังเสียมากกว่า ซึ่งถือว่าช่วงเปิดให้อารมณ์สีม่วงที่มีความหวานแกมใสแกมอวลกลางๆ อารมณ์เกิอบจะไซรัป แต่ยังคุมโทนธรรมชาติได้ดีให้อารมณ์เย้าๆ แกมสดชื่นหน่อยๆ ดึงความน่าค้นหาในเนื้อกลิ่นได้ดีมากตั้งแต่แรก 

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มปรับโทนจนทำให้สัมผัสได้ว่า กลิ่น Oud ที่มีความอวลเย้าลึกๆ กำลังดีชัดเจนมากขึ้นตีคู่กับกลิ่นผลไม้ที่คราวนี้จะเป็นลูกผสมพลัมกับเบอร์รี่เลย ซึ่งจะจับความเย้าหวานลึกสีม่วงของพลัมชัดเจน โดยที่มีความหวานหอมราสเบอร์รี่ที่มีปลายกลิ่นเป็นกลิ่นสตรอเบอร์รี่ ทำให้เนื้อกลิ่นได้อารมณ์แบบสีม่วงผสานกับสีแดงทำให้มีความเข้มลึกเย้ามากขึ้น โดยที่มี Oud มาเสริมแถมมีกลิ่นออกทาง Smoky กำลังดีเข้ามาร่วยมด้วย โดยที่บอกเลยว่าไม่แขก ไม่อาหรับ แต่ให้อารมณ์โทนกลิ่นผลไม้ที่มีความเป็นสีม่วงแกมแดงเข้มที่มีความดาร์กหวานน่าค้นหาและดึงดูดสูงมาก ซึ่งช่วงนี้ต้องยอมเขาเลยว่าเอา Oud มาเกลาให้กลิ่นมีความอวลลึกเย้าแกมนุ่มนวลได้ลงตัวมาก ไม่แย่งซีนแต่มีความเด่นที่สนับสนุนโทนผลไม้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความดาร์กมากขึ้นแต่ไม่ได้ข้นหนักเกินไป และมีความปร่าระเรื่อหวานอ่อนๆ ของพิมเสนเสริมเข้ามาทีละหน่อย ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่ตอนนี้เนื้อกลิ่นของพลัมกับ Oud จะเป็นเนื้อเดียวกันแล้วอย่างชัดเจน ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นแบบ Oud ที่ฝังความเป็นผลไม้เข้าไปทุกอณู โดยที่จะมีความนวลๆ วานิลลาเข้ามาเกลาให้กลิ่นที่แม้จะดาร์กจะมีความควันๆ หน่อยๆ มีความนุ่มนวล ซึ่งเนื้อกลิ่นในภาพรวมทั้งหมดยังคงให้ความหวานเย้าลึกและให้โทนสีม่วงเข้มแต่ไม่แน่นอวลหนักได้พอเหมาะ แถมที่สำคัญตัวแย่งซีนที่ส่งเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์มาอกอย่างพิมเสนก็ทำหน้าที่ให้ความปร่าระเรื่อได้ดีมาก เป็นการปิดท้ายได้ลงตัว มีเสน่ห์น่าค้นหาครบถ้วนมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้ากับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งแม้จะมีความหวาน แต่พอตัดด้วย Oud แล้วมันดันมีเสน่ห์น่าค้นหาในความเป็นโทนสีม่วงเข้มได้ดีจนเข้าได้หมดกับทุกเพศ ซึ่งลงตัวกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทั่วไป หรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ออกงานทางการจัดๆ อาจจะไม่ได้เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงาน ใส่โรแมนติค หรือว่าใส่ท่องราตรีแบบหรูๆ มีระดับอันนี้ลงตัวมาก ส่วนการออกกำลังกายหรือใส่กิจกรรมลุยๆ กลางแจ้ง เว้นไปเถอะ ไม่เข้ากันเท่าไหร่

ความทน - ดีงามมากกับ 10 ชม. เป็นพื้นฐานในการใช้งาน ซึ่งไปต่อได้อีกเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์กับสภาพผิวเอื้อมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอไป 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก และคงที่ไปราวๆ 15 นาทีได้ ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายดีไปพักใหญ่ ถึงลงมาเป็นปานกลางๆผเรื่อยๆ จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 4 ก็จะเริ่อมผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และพอผ่านไป 8 ชม. แล้ว ก็เข้าสู่การเป็น Skin Scent แบบค่อยเป็นค่อยไป

สรุป - เป็นโทนพลัมเบอร์รี่ Oud ที่ทำออกมาได้ดีมาก เกินความคาดหวังในด้านดีไปเยอะเลยกับเนื้อกลิ่นที่ให้ความหวานลึกในโทนสีม่วงเข้มได้งดงามและหวานเย้าจริงๆ เรียกว่าสมกับชื่อกลิ่นด้วยเช่นกัน เพราะเดาทางกลิ่นมาอีกแบบ พอมาเจอจริงกลายเป็นอีกแบบที่ลงตัวมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่แบรนด์นี้ปล่อยของได้เก๋และมีเสน่ห์มาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ 

Photo Credit - https://www.4160tuesdays.com/becareful.html

 

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Helmut Lang Eau de Parfum (2014)

Helmut Lang Eau de Parfum (2014)

ย้อนกลับไปในช่วงยุค 90 กับกระแสความเป็นแฟชั่นแบบมินิมัลลิสต์ที่กลายเป็น Trend ถ้าบอกวง่าใครเป็นผู้บุกเบิกแน่นอนว่า Helmut Lang จะมาเป็นชื่อต้นๆ แน่นอน กับการสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นนำเสนอความมินิมัลเรียบง่ายแต่มีความเก๋ด้วยการเอาวัสดุต่างๆ ที่ไม่ค่อยปรากฎในเสื้อผ้าแฟชั่นมาผสมผสานกับสิ่งที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นโลหะผสมกับผ้า หรือว่ายางและอื่นๆ (ในช่วงเวลานั้น) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นยุคทองของแบรนด์และตัว Designer เลย ที่ถ้าช่วงนั้นใครมีเสื้อผ้าของ Helmut Lang ไว้ซักตัวก็ถือว่าอวดได้ไม่อายใครจริงๆ

และแน่นอนในเมื่อเป็นแบรนด์แฟชั่น ก็ต้องมีน้ำหอมมาเป็นส่วนหนึ่งให้มีความครบเครื่องในการนำเสนอในความเป็น Helmut Land ซึ่งก็ได้มีการปล่อยออกมาจำหน่ายถึง 3 กลิ่น ในช่วงปี 2000 - 2002 คือ Cuiron, Eau de Cologne และ Eau de Parfum ซึ่ง 2 กลิ่นแรก เป็นของฝ่ายชาย และกลิ่นหลังเป็นของผู้หญิง ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ต่อมามีปัญหาบางประการ รวมถึงตัว Designer เองถอนตัวออกจากวงการแฟชั่นทำให้หยุดผลิตไป แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2014 จึงได้มีการกลับมาผลิตและวางจำหน่ายต่อทั้ง 3 กลิ่น

และเมื่อได้มาเจอกับน้ำหอมของแบรนด์นี้แม้ว่าจะเป็นช่วง Re-launch แต่ก็ขอมาเล่าความดีงามของกลิ่นหน่อยเถอะ และในการกลับมาในครั้งนี้ความเป็น Eau de Parfum เดิมที่เคยเจาะกลุ่มผู้หญิง จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเจาะตลาด Unisex แทน และนี่แหละที่จะเอามาเล่า

ช่วงต้น - เปิดมาคือการผสมผสานระหว่างความเป็นโทนแป้งหอมดอกไม้กับกลิ่นอายแนวสดชื่นเรียบง่ายแกมสะอาด ที่มีความร่วมสมัยกำลังดี เพราะแตะความรู้สึกกลิ่นแนว Soapy Classic ก็ได้ และให้ความเรียบหรูสีโทนขาวสว่างแตะความร่วมสมัยที่ไม่ตกยุคก็เข้าที กลิ่นที่มาทักทายก่อนใครเพื่อนเลย คือ ดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่จะให้ความสะอาดแกมเปรี้ยวอมหวานนวล เสริมด้วยโทนติดกึ่งแป้งกึ่งสะอาดนุ่มอะโรม่าของลาเวนเดอร์ โดยมีความแป้งติดอัลมอนด์เรื่อๆ ของดอกเฮลิโอโทรเป้มาสร้างออร่ากลิ่นค่อนไปทางนุ่มนวล แต่มีความปร่าฟุ้งสดชื่นหน่อยๆ ของโทนสมุนไพรที่ให้ความเขียวเนียนๆ เป็นตัวเสริมแรงอยู่ด้านหลัง กลิ่นเลยถือว่าเปิดมาด้วยความสดชื่นกึ่งแป้งหอมที่ให้ความ Unisex ที่ลงตัวมาก

ช่วงกลาง - จะเป็นการเดินทางเข้าสู่ช่วงแป้งหอมดอกไม้เด่นแล้ว ซึ่งทั้งดอกส้ม ลาเวนเดอร์ และเฮลิโอโทรเป้ก็ยังคงเด่นอยู่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความละมุนมากขึ้นเพราะมีโทนดอกไม้ขาวของมะลิ + กับกลิ่นกุหลาบเรื่อๆ มาทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนแป้งเต็มตัว แต่สิ่งที่เป็นตัวเสริมให้ยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นโทนสดชื่นติดปร่าหน่อยๆ ที่ไม่ทำให้ดูเป็นแป้งจ๋าๆ เกินไป นั่นคือโทนสมุนไพรที่ยังเป็นตัวเสริมประปรายได้ดี ไม่ว่าจะเป็นความปร่ากึ่งมินต์หน่อยๆ ของโรสแมรี่ และมีความเขียวตุ่นเข้มที่มาแบบลูกเอื้อนสร้างมิติที่น่าสนใจอย่างโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia) แถมยังจับได้ง่ายมากเลยว่ามี Musk เป็นกลิ่นที่รองพื้นอยู่แน่นอน เลยทำให้เนื้อกลิ่นยังคุมโทนตรงกลางได้ดีระหว่างโทนแป้งสาย Classic กับโทนแป้งที่มีความร่วมสมัยได้ชัดเจนและมีเสน่ห์แบบมินิมัลได้ดีเช่นเดิม

ช่วงท้าย - แน่นอนว่าโทน Musk จะเป็นหลักในช่วงท้ายชัดเจน โดยที่มีกลิ่นอายของไม้หอมที่มี 2 มิติให้จับต้องคือครีมนวลที่มาจากไม้จันทน์หอมและความปร่าขรึมสว่างของซีดาร์ผสมผสานอยู่ในนั้น และไม่ใช่แค่นี้ยังมีโทนอบอุ่นของแอมเบอร์แฝงอยู่ เพราะเนื้อกลิ่นมีความอุ่นให้รู้สึกได้ โดยที่โทนแป้งจากช่วงกลางก็ยังตามมาให้ความรู้สึกหอมนุ่มๆ เบาๆ สบายๆ เนื้อกลิ่นมีโทนสีขาวสว่างที่ชัดเจนและมีความมินิมัลสูงมากในการให้ความรู้สึกไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีความหอมนุ่มน่าประทับใจกลิ่นอายร่วมสมัยสายแป้งหอมดอกไม้นุ่มนวลที่แตะได้ทุกเพศ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความเรียบง่ายแต่หอมนุ่มจมูกในความเป็นโทนแป้งที่กำลังดี และยังไงก็ใช้ง่ายแบบมีระดับเสียด้วย ซึ่งเหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะไม่ได้ Match นัก แต่รอช่วงท้ายๆ ก็ได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่ทั่วไป ออกงาน หรือว่าสบายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเรียกเรตติ้งในการใส่เพื่อไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีนัก

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบได้อีกจากเวลาที่เฉลี่ยไว้นี้ ซึ่งตรงนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอเป็นประจำที่ 8 ชม. มีเลยไปบ้างนิดหน่อยแบบที่เป็นกลิ่นที่ติดเสื้อที่สวมอ่อนๆ เสียมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นราวๆ 10 - 15 นาที แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางยาวๆ ไปราวๆ 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะลงมาแตะในความเป็นออร่ารุมๆ รอบตัว จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 6 ถึงลงมาเป็น Skin Scent ชัดเจนกันยาวๆ ไป

สรุป - ร่วมสมัย ไม่ตกยุค ให้ความหอมแบบเข้าถึงง่ายในลักษณะที่เป็นโทนแป้งแบบมินิมัล แต่ไม่ได้ไก่กาในเรื่องความหอมที่นุ่มนวลและสร้างโทนสว่างขาวมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งแน่นอนว่าเข้ากับความเป็นเสน่ห์ทางมินิมัลน้อยแต่มากของแบรนด์ไม่พอ ยังตอบโจทย์การใช้งานที่เข้าข่ายกลิ่นอาย Timeless ได้สบายมากด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.helmutlang.com/parfum/883389442216.html

 

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Nobile 1942 - Estroverso

Nobile 1942 - Estroverso

จากการส่งต่อประเพณีภายในครอบครัวตั้งแต่ต้นตระกูล ที่จะสร้างสรรค์น้ำหอมให้กับภรรยา (อารมณ์แบบกลิ่นเดียวในโลกเพื่อภรรยาประมาณนั้น) สู่การมาเป็นแบรนด์น้ำหอมที่รวบรวมทั้งของเดิมและเพิ่มเติมการสร้างสรรค์ของใหม่ต่างๆ กับการนำเสนอความหรูหรามีระดับในสไตล์แบบอิตาเลี่ยน โดยเอาชื่อของต้นตระกูลอย่าง Umberto Nobile กับปี 1942 ที่มีการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาเพื่อภรรยาที่รักขวดแรกมาเจอกัน รวมออกมาเป็น Nobile 1942 ในที่สุด

และนอกจากที่กลิ่นอายต่างๆ จะนำเสนอความเป็นอิตาเลี่ยนแล้ว ทั้งขวด ฝาโลหะ และป้ายโลหะ Label แปะขวดต่างก็เป็นงานแฮนด์เมดด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เรียกว่าสร้างสรรค์ออกมาได้งามกันเลยทีเดียว และเมื่อได้เวลาในการเดินทางตามกลิ่นมาเจอกับแบรนด์นี้ มีหรือที่จะไม่แวะที่จะลองและซึมซับกลิ่น จนต้องเอามาถ่ายทอดต่อ เช่นนั้นมาว่ากัยที่กลิ่นแรกของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสได้ลองอย่าง Estroverso กันหน่อยว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดตัวด้วยการเป็นโทน Citrus ที่ไม่ได้มาแบบเปรี้ยวคมๆ พุ่งๆ แต่มีความเปรี้ยวหอมแกมขมสดชื่นที่กำลังดีมีความปร่าๆ Sparkling สว่างๆ เสียมากกว่า ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเขียวติดเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางกึ่งชื้นค่อนไปแตะฉ่ำที่ให้อารมณ์ได้กลิ่นแบบเลมอนฝานมากกว่า โดยไม่ได้เปรี้ยวปรี๊ดแบบมุดน้ำเลมอนมาจากไหน และมีกลิ่นของส้มแฝงอยู่เพราะมีความอมหวานหอมของส้มให้จับต้องได้ด้วย แต่แทนที่เนื้อกลิ่นจะปูไป Citrus จ๋าๆ ดันไม่ใช่ เพราะว่าการมีโทนสมุนไพรรองพื้นด้านหลังที่ให้ความปร่าสดชื่นแกมเขียวขมตุ่นหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นลูกครึ่ง Citrus - Herbal เสียมากกว่า และให้อารมณ์แบบกลิ่นอาย Cologne แนว Classic แกมร่วมสมัยที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม แถมยังได้อารมณ์อิตาเลี่ยนในแบบที่มีระดับแบบไม่ต้องจงใจใส่เต็มอีกด้วย

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางความเป็น Citrus - Herbal ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ เพราะว่าคราวนี้จะจับกลิ่นปร่าหอมสมุนไพรที่มีความปร่าคล้ายมินต์ + ความตุ่นเขียวที่มีเสน่ห์ของโรสแมรี่ กับกลิ่นเขียวขมที่ให้ความแปร่งเขียวของโกฐจุฬาลัมพาที่เข้ามาทำให้กลิ่นเป็นโทนสมุนไพรเต็มตัว โดยที่กลิ่นช่วงต้นก็ยังตามมาทั้งหมด และแอบได้กลิ่นมะนาวที่เป็นโทนเปรี้ยวคมๆ ประปรายอีกด้วย ซึ่งช่วงนี้แอบมีความเป็นโทนสบู่สมุนไพรแกม Citrus หน่อยๆ ที่กำลังดีให้ความสดชื่นเข้ามาให้รู้สึกได้เพิ่มเติม ทำให้ทุกอย่างคุมโทนความเป็นกลิ่นแนว Traditional Cologne แกมสบู่ที่มีมิติสว่างแฝงสมุนไพรที่ให้ความ Dirty อ่อนๆ น่าค้นหาและมีความเป็นธรรมชาติได้พอเหมาะอีกด้วย

ก่อนที่จะเป็นพาร์ทของช่วงท้าย สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมาตามลำดับเลยคือโทน Woody กับ Earthy ที่จะเปิดตัวออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้จับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นว่ามีหญ้าแฝกเป็นหนึ่งในกลิ่นที่จะกลายเป็นกลิ่นหลักแน่นอนในช่วงท้าย และก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่ากลิ่นจะกลายเป็นโทนไม้หอมแกมกลิ่น Earthy ดินๆ ที่มีความสว่างและสะอาดแบบกำลังดี แต่มีลูกเอื้อน Dirty ให้น่าค้นหาเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นสายไม้หอมจะจับได้ถึงไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งขรึมๆ กำลังดีเข้าขากับหญ้าแฝกที่มีความเป็นไม้แห้งติดดาร์กนิดๆ โดยที่มี Musk เบาๆ สร้างอารมณ์สะอาดๆ และมีความปร่าหน่อยๆ ของพิมเสนที่ไม่ได้มาสายถึงกับปร่าระเรื่อเย้าจมูกหวานๆ ใสๆ แบบที่เจอในน้ำหอมพิมเสนสะอาดๆ อื่นๆ แต่เป็นพิมเสนที่ติดเขียว Earthy เล็กๆ แทน ซึ่งทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นอายสบายๆ ที่มินิมัลที่มีเสน่ห์แบบเรียบง่ายในสไตล์อิตาเลี่ยนที่เรียบหรู มีความเป็นธรรมชาติกำลังดี และมีความร่วมสมัยแอบมีความ Unique ในกลิ่นแต่ก็เข้าถึงได้ไม่ยาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ค่อนไปทางผู้ชายราว 70 - 80% ได้เลย ซึ่งถ้าผู้หญิงไม่มายด์ก็ใส่ได้อยู่แบบอารมณ์เชิ้ตขาวสบายๆ อะไรประมาณนี้ ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับทุกสถานการณ์แบบครอบจักรวาลในการใช้งานได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป แต่จะมียามค่ำคืนที่ไม่เหมาะการใส่ไปท่องราตรีเพื่อกะจะใช้กลิ่นเรียกเรตติ้ง อันนี้น่าจะสู่โทนหนักๆ หวานๆ แน่นๆ ทั้งหลายไม่ได้แน่นอน

ความทน - ความทนอยู่ที่ 6 - 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้งาน ที่สำคัญกลิ่นติดเสื้อได้ทนยาวกว่า 8 ชม. แน่ๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปราวๆ ถึงชั่วโมงที่ 2 - 3 ถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไป ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent ตอนเข้าสู่ชั่วโมงที่ 5 เป็นต้นไป 

สรุป - เป็นกลิ่นอายแบบ Traditional Cologne ที่มีความเป็นสไตล์อิตาเลี่ยน แต่มีกิมมิคที่แฝงความ Dirty เนียนๆ เข้ามาสร้างความน่าค้นหาจากโทนสมุนไพรและสายพืชติดดินหรือ Rooty หญ้าแฝก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นลูกเล่นที่สร้างความแตกต่างจากน้ำหอมในสายนี้ได้ดีเลยทีเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เสิร์ฟความเป็นอิตาลีได้อย่างพอเหมาะและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องเยอะสิ่งได้ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.frmoda.com/en_us/nobile-1942-estroverso-eau-de-parfum-75-ml-man-fes101-fes101bianco-000087080043

 

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Paul Smith - Essential

Paul Smith - Essential

ห่างหายจากน้ำหอมของแบรนด์ Paul Smith มานานมากเลยทีเดียว แม้ว่าทุกวันนี้น้ำหอมแบรนด์นี้จะเด่นไปที่การสายผู้หญิงเสียมากกับการเป็น Paul Smith Rose ที่ถือว่าเป็นกลิ่นฮอตท็อปฮิตมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน แต่การเป็นน้ำหอมชายก็ยังคุมโทนได้ดีอยู่ แม้จะไม่ค่อยได้มีกลิ่นใหม่ออกมามากนัก แต่ของเดิมๆ ก็ถือว่าเดินทางมาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะน้ำหอมผู้ชายกลิ่นแรกอย่าง Paul Smith for Men ที่ยังเป็นหนึ่งในกลิ่นที่มีเสน่ห์มากมาจนถึงทุกวันนี้

และในปี 2015 การเปิดตัวน้ำหอมชายของแบรนด์ก็มีกลิ่นใหม่ออกมากับการนำเสนอกลิ่นอายผู้ชายที่ได้ทั้งมีเสน่ห์ สมาร์ท และสบายๆ สนุกสนาน แต่มีกิมมิคที่เป็นลูกเล่นแบบเอาความหอมสไตล์ร่วมสมัยเพิ่มความเก๋ให้มีเสน่ห์ซึ่งเป็น Concept ของแบรนด์มาอย่างช้านาน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไร มาเจอกันซักหน่อยดีกว่ากับ Paul Smith Essential

กลิ่นเปิดเมื่อมาทักทายก็กลิ่นที่เด่นมาเลยต้องยกให้ดอกส้มแบบสกัดด้วยตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่จะเป็นเสมือนแกนหลักให้จับต้องได้ โดยที่จะมีกลิ่นโทน Citrus ติดเปรี้ยวหอมของ Yuzu ฉาบหน้า เสนริมด้วยโทนกลิ่นที่ปร่ากึ่งการบูรกึ่งมินต์ของโรสแมรี่ที่สร้างความเป็นโทนสมุนไพรเจ้ามาร่วมด้วย + กับกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาเสริมให้ความนวลอวลของกลิ่น ซึ่งถ้ามาแค่นี้ก็จะเป็นกลิ่นโทน Citrus แกมสะอาดปร่าสมุนไพรที่มีความนวลไปเสียก่อน แต่สิ่งที่สุคนธกรเสริมเข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสมัยนิยมเข้ามาด้วยนั่นคือการใส่กลิ่นโทนสดชื่นอารมณ์แนว Ozonic Note กึ่งกลิ่นอากาศแกมทะเลเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้ช่วงต้นมีความเป็นโทนสดชื่นแมนๆ และมีความเย้ายวนเสริมเข้ามา ซึ่งบอกกันตรงๆ เลยว่ากลิ่นเปิดทำให้นึกถึง Gucci Guilty pour Homme ในรูปแบบที่มีกลิ่น Ozonic หรือกลิ่นอากาศสดชื่นแกมทะเลนิดๆ มาผสมผสานประมาณนั้น

การเข้าสู่ช่วงกลางเรียกว่ายกกระบิช่วงต้นมาทั้งหมดเลย เพียงแต่ลดทอนการเป็น Citrus แกมปร่าเคล้ากลิ่นสดชื่น Ozone ลงไปพอสมควร ซึ่งดอกส้มจะยังคงเด่นตีคู่กับลาเวนเดอร์และมากขึ้นมาอีกสเต็ปโดยที่จะมีกลิ่นกึ่งแอมเบอร์ Musky ที่มีความเป็นสมุนไพรติดหวานอวลของ Clary Sage ทำให้ภาพรวมคือ กลิ่นอวลที่มีความเปรี้ยวอมหวานของดอกส้มเคล้าความแมนๆ สมุนไพรติดอวลๆ กึ่งแอมเบอร์ โดยให้ความเป็นโทนผู้ชายแมนๆ แบบที่ไม่ได้หนักหน่วงหรือตะบี้ตะบันอัดความแมนในเนื่้อกลิ่นหนักๆ จนเกินไป ครอบคลุมการใช้งานทั้งสบายๆ และใส่แบบ Daily Scent ได้ชัดเจนมาก 

ก่อนที่จะเข้าช่วงท้ายจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ สบายๆ ติดหวานนิดๆ ที่น่าจะมาจาก Clary Sage ค่อยๆ แทรกตัวออกมา แล้วก็จะกลายเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายเพราะจะป็นกลิ่นไม้ซีดาร์จะเป็นตัวหลักในการให้ความเป็นโทนไม้หอมโปร่งสะอาดๆ และมีความหวาน 2 มิติคือหวานปร่าระเรื่อของพิมเสนที่มีลูกเอื้อนติดเปรี้ยวหอมอ่อนๆ ของดอกส้มเนียนๆ รวมอยู่ และความอวลกึ่งลาเวนเดอร์ที่มีความอบอุ่น โดยพื้นกลิ่นจะมี Musk ที่ให้ความสะอาดนุมๆ อยู่ เรียกว่าภาพรวมเป็นกลิ่นไม้หอมติดสดชื่นสบายๆ ที่มีความหวานเย้ากำลังดีประปรายก็ย่อมได้

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เป็น Daily Scent ที่ให้ความเซ็กซี่เบาๆ กำลังดี ทำให้ใช้งานได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วไป หรือออกแนวใส่ท่องราตรีแบบไม่ได้ไปแออัดกับผู้คน อารมณ์กินเบียร์สบายๆ อันนี้ก็เข้าที

ความทน - ทำได้ดีเกินคาด เพราะกลิ่นแตะที่ 8 - 10 ชม. ได้สบายๆ และสามารถไปต่อได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ เพราะส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนแตะชั่วโมงที่ 2 ถึงลดลงมาปานกลางยาวไปถึงจนถึงชั่วโมงที่ 6 ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนติดผิวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นคือน้ำหอมผู้ชายที่ครอบคลุมการใช้งานทั้งทั่วไปในยามกลางวันที่จะให้อารมณ์ผู้ชายทันสมัยก็ได้ ผู้ชายแมนๆ ที่มีเสน่ห์ก็ดี แอบเซ็กซี่เย้ายวนก็โอเค เรียกว่าเป็นโซนยังไงก็รอดในการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีโทนกลิ่นแบบสมัยนิยมได้แบบไม่ได้ขาดตกบกพร่องตรงไหน แม้ว่ากลิ่นจะใกล้ความเป็น Gucci Guilty pour Homme ไปบ้าง แต่ก็ยังมีความแตกต่างตรงความสดชื่นที่โดดเด่นมากกว่าแทน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.freshfragrance.com.au/paul-smith-essential-by-paul-smith.html

 

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

จากเดิมในช่วงยุค 60 ในสหรัฐอเมริกาที่ Concept ของการแบ่งเพศยังคงมีแค่ชายและหญิง และมีกฎหมายที่บังคับชัดเจนว่าทุกคนต้องแต่งกายตามเพศสภาพของตนเอง ทำให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นถูกกดขี่อย่างรุนแรงและไม่สามารถแสดงตนออกมาได้ จนทำให้มีการเปิดเป็นสถานที่เฉพาะหรือบาร์เกย์ลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาๆ และการจ่ายสินบนต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Stonewall Inn ที่ถือเป็นแหล่งนัดพบของเหล่าเพศทางเลือกต่างๆ ในการมาปลดปล่อยความเป็นตัวเองและมีความสุขให้มากที่สุดก่อนกลับไปเจอโลกใบเดิม

จนกระทั่งในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 เกิดกรณีบุกเข้าตรวจค้นและจับกุม โดยมีการใช้กำลังและบังคับทางกฎหมายในช่วงเวลานั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ทางหน้าประวัติศาสตร์ขึ้น นั่นก็คือ เหตุการจราจลสโตนวอลล์ หรือ Stonewall Riots ที่ยาวนานถึง 6 วัน ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมและปกป้องสิทธิ์ของตนเองในการจะเป็นเพศใดก็ได้สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ที่สร้างอิมแพคอย่างมากในระดับโลกจนทำให้เดือนมิถุนายนของทุกปีกลายเป็น Pride Month มาจนถึงทุกวันนี้

และหน้าประวัติศาสตร์นี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นที่ดึงเอาพลังของการเป็นมนุษย์ที่มีความสวยงามในความหลากหลายทางเพศของแบรนด์ Histoires de Parfums ด้วยเช่นกัน

1969 Parfum de Révolte เปิดตัวมาก็สร้างความเป็นพีชแบบเข้มข้นและเต็มๆ ซึ่งกลิ่นพีชจะมีมิติให้จับต้องได้พอสมควรทั้งการเป็นพีชสดไล่ไปสู่พีชที่ออกทางไซรัปกลิ่นพีช แถมไพล่ไปทางแอปริคอตแห้งๆ ที่ออกเปรี้ยวอมหวานเนียนๆ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์ ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกทาง Citrus รวมๆ ที่ให้อารมณ์สีส้มสดใสกึ่งเข้มข้นรวมอยู่ด้วย อารมณ์กลิ่นออกแนวส้มแกมเสาวรสมาเสริมอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าช่วงต้นคือความโดดเด่นของการเป็นโทน Fruity เต็มๆ แบบที่กลิ่นจะสร้างความหวานสดใสสู่เย้าลึกได้เลย จนเมื่อผ่านไปซักครู่ ถึงจะเริ่มจับต้องตัวสนับสนุนที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นก็คือโทนเครื่องเทศต่างๆ ที่จะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงต่อไปของน้ำหอมนั่นเอง

ช่วงกลางคือการผสมผสานระหว่าง 4 โทนที่น่าสนใจมากนั่นคือ โทนผลไม้ที่ยังคงชัดเจนอยู่ เสริมด้วยโทนเครื่องเทศ พิมเสน และดอกไม้เด่นที่กุหลาบ ทำให้มีความน่าสนใจในการผสมผสานกลิ่นอย่างมาก เพราะว่ากลิ่นจะให้ความหวานอุ่นเย้าที่มีความร้อนแรงในความรู้สึกก็ได้ ให้ความอบอุ่นมีเสน่ห์ก็ได้ หรือให้ความหวานอุ่นอวลก็ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการผนวกกันได้เป็นอย่างดีของกระวานที่ให้ความหวานเย้าเร้าเสน่ห์ โดยมีกลิ่นออกทางยี่หร่าบางๆ ที่ให้อารมณ์เหงื่อนิดๆ มาสร้างความเร้าใจหน่อยๆ + กับกลิ่นแนวเดียวกับอบเชยที่ให้ความหวานร้อนกับกลิ่น ตามด้วยกุหลาบที่ให้ความหวานโรแมนติค เคล้าดอกไม้ขาวที่ให้ความระเรื่ออวลๆ ก่อนที่ฉากหน้าที่ฟุ้งกระจายออกมาจะมีพิมเสนที่ให้อารมณ์สไตล์ฮิปปี้แบบพิมเสนแห้งเคล้ากลิ่นชอคโกแลต ทำให้เนื้อกลิ่นมีความอบอวลอุ่นเย้าหวานเร้าและมีความ Earthy ที่ให้ความติดดินเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย เรียกว่ามีความซับซ้อนพอสมควรเลยทีเดียว และที่สำคัญกลิ่นไม่เม้มในแง่ของการเปิดเผยถึงความอุ่นเย้าและร้อนแรงในเนื้อกลิ่นที่ยังคุมโทน Smooth ได้ดีจริงๆ 

ในการเข้าช่วงท้ายเนื้อกลิ่นโทนหวานต่างๆ เริ่มจะลดบทบาทลงแต่กลิ่นที่จะโดดเด่นขึ้นเลยคือกลิ่นโทนชอคโกแลตที่มีความเป็นพิมเสนแนว Earthy แห้งๆ หวานแบบสไตล์ฮิปปี้ที่มีเสน่ห์อยู่ ซึ่ง 2 โทนนี้ต่างสอดรับกันได้ดีอยู่เป็นทุนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ กลิ่นออกทางกาแฟที่ให้กลิ่นโทนกึ่งเข้มหอมแกมไม้หน่อยๆ ที่เนียนกริบไปกับ Musk ที่น่าจะมีวานิลลาผสมผสานอยู่ด้วยหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็น Sensual Musk ที่มีความหวานแกมเย้า Sexy ในสไตล์ที่มีความฮิปปี้ในยุค 60s ที่ยังไม่ได้แพร่หลายและค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่ม (ก่อนที่จะเป็นยุคบุปผาชนเมื่อเข้ายุค 70s ที่อิสระเสรีมากขึ้นและพิมเสนมีบทบาทเด่นมากขึ้นในน้ำหอมยุคนั้น) ซึ่งถือว่าสร้างกลิ่นอายที่มีความอบอุ่นเย้ายวนหวานและมีเสน่ห์ได้แบบไม่ต้องปิดบังได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่มาในโทนหวาน บางคนอาจจะรู้สึกว่ากลิ่นไปทางผู้หญิงมากกว่าเพราะมีความหวานและเกือบจะเป็นโทนขนม Gourmand อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วความเป็นชอคโกแลต พิมเสน และเครื่องเทศนี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้เป็น Unisex เต็มตัว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะใส่ทั่วไปหรือทำงาน Office แต่ถ้าเป็นได้กลิ่นไม่ได้เข้ากับทางการเท่าไหร่เพราะมันมีความ Sexy เย้ายวนค่อนข้างชัด รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นจะตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ แต่ในยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ทั่วไป ออกงาน หรือท่องราตรี กลิ่นนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแน่นอนและมั่นใจได้

ความทน - 12 ชม. คือพื้นฐานที่เจอจากกลิ่นนี้และไปต่อจนสิ้นวันอาบน้ำล้างตัวที่ราวๆ 15 - 18 ชม. ก็เจอเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นยังไงก็แตะที่เกินค่าเฉลี่ย 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น คือไม่ต้องเขียมเลย ปล่อยความเป็นพีชหวานมาเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. หลังจากนั้นถึงเป็นปานกลางยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 - 6 ถึงค่อยๆ ลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วคงที่ไปยาวๆ ซึ่งรู้ตัวอีกทีว่าเป็น Skin Scent ก็เลย 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - จึงถือว่าถ้ามองในแง่ยุคสมัยกลิ่นนี้นำเสนอความเอกเทศเปิดตัวออกมาได้ชัดเจนมากในการสร้างความแตกต่างในแง่น้ำหอมบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่แฝงความเย้ายวน อบอุ่น และมีเสน่ห์ เพราะเนื้อกลิ่นถ้าตีความไปในช่วงยุค 60s ไม่น่าจะมีกลิ่นแนวๆ นี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบประท้วงหรือจราจลแต่ให้ความตรงไปตรงมาในการแสดงออกถึงความหวานเย้าและเสน่ห์เฉพาะบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่เปิดเผยให้รับรู้ถึงความหลากหลายผ่านกลิ่นกันเต็มๆ และที่สำคัญการที่กลิ่นนี้แตะคำว่า Unisex ต้องยกเครดิตให้ความเป็นชอคโกแลตที่เป็นตัวเชื่อมที่ดีมากๆ ไม่ได้มาข้นหนักออกจะพิมเสนเสียด้วยซ้ำ แต่สร้างความเป็นเนื้อเดียวกันที่เชื่อมต่อการใช้งานกับทุกเพศจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1969

 

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Evody Parfums - Note de Luxe

Evody Parfums - Note de Luxe

เริ่มต้นที่คำโปรยในการเป็นที่มาที่ไปของกลิ่นที่เล่าแบบสั้นๆ ว่า กลิ่นนี้เปรียบเสมือนเป็น “การแต่งงานกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออกที่ลงตัวและประสบความสำเร็จมาก” ซึ่งเพียงแค่นี้ก็เรียกความน่าสนใจได้อย่างมากเลยทีเดียวว่าเนื้อกลิ่นจะให้ความหอมออกมาในลักษณะไหน เลยถือเป็นฤกษ์งามยามดีในการกลับมาเจอกับแบรนด์ Evody Parfums ในการซึมซับกลิ่นอายหอมๆ อีกครั้ง กับกลิ่น Note de Luxe (และน่าจะมีครั้งต่อๆ ไปอีกมากเพราะแบรนด์ทำกลิ่นได้ดีจริงเชียว)

สำหรับ Note de Luxe เองก็เป็นหนึ่งใน Collection Premiere ที่ดึงเอาไฮไลต์ของการใช้ชีวิตในช่วงเวลาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วัยเด็ก ช่วงเวลาที่มีความรัก การมีลูก และช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตอื่นๆ มาแปลงสู่การเป็นกลิ่นอายที่สร้างความเหนือกาลเวลาในการสื่อสารให้ผู้ใช้งานได้รับรู้และประยุกต์ใช้ ซึ่งถ้าเดาก็คาดว่ากลิ่นนี้น่าจะบ่งบอกถึงการแต่งงาน เช่นนั้นมาว่ากันเรื่องกลิ่นดีกว่าว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

วูบแรกของกลิ่นมาก็บอกทิศทางของกลิ่นได้ชัดเจนเลยว่า “แป้ง” มาสายนี้แน่นอน เพราะมีความชัดเจนในทุกสโตรกของเนื้อกลิ่นเลยว่ามีความเป็นโทนแป้งที่นุ่มนวลสูงมาก และสปอยกันก่อนเลยว่าในตลอดทุกช่วงกลิ่นจะมีโทนแป้งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานให้จับต้องได้ตลอดอีกด้วย ซึ่งในช่วงต้นความเป็นโทนแป้งจะเปิดตัวที่ โทน Citrus วูบมาก่อนกับการเป็นกลิ่นอายค่อนไปทางบรรยากาศเสียมากกว่า โดยที่ความเป็น Citrus แม้จะไม่ได้เด่นจัดจ้าน แต่ก็เป็นองค์ประกอบที่ชัดเจนในการทำให้โทนแป้งที่ติดอบอุ่นหน่อยๆ รองพื้นอยู่มีมิติโทนสดชื่นเสริมอยู่ประปรายตลอด ซึ่งจะมีความติดขมปร่าอมเปรี้ยวนิดๆ ของมะกรูดฝรั่งที่มีความเป็นโทน Citrus สดใสแต่มาแบบเบาๆ ของเลมอน ที่มาให้รู้สึกสักครู่ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนโทนไปสู่การเป็นโทนแป้งเต็มตัวในช่วงต่อไป 

ช่วงกลางจะเป็นการลดทอนความเป็น Citrus ในช่วงแรกมาเป็นหนึ่งในสายสนับสนุน แต่จะเพิ่มเอาความเป็นดอกไม้มาเสริมให้มีมิติโรแมนติคเข้ามามากขึ้น ซึ่งเมื่อเจาะกันในความเป็นโทนแป้งจะมี 3 มิติให้รู้สึกได้คือ ความเป็นแป้งฝุ่นที่มาจากไอริส ความเป็นแป้งกึ่งอัลมอนด์มีลูกเอื้อนติดขมหน่อยๆ ที่มีเสน่ห์ที่น่าจะมาจากถั่วตองก้า และโทนแป้งนวลอบอุ่นที่มาจากวานิลลา ซึ่งทั้งหมดนี้จะโดนผสมผสานกลิ่นอายโรแมนติคนวลๆ ของกุหลาบ และมะลิที่ให้ความนวลหวานระเรื่อ สร้างกลิ่นโทนแป้งหอมดอกไม้ที่อบอุ่น และมีลูกเอื้อนบรรยากาศสดชื่นคลอๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งตรงนี้แหละที่ให้อารมณ์การเจอกันของตะวันออกในสาย Oriental และตะวันตกที่เป็นโทนแป้งดอกไม้แกม Citrus ที่โรแมนติคมาก

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยโทนแป้งเริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้น และความเป็นแป้งวานิลลาเริ่มเด่นกว่าโทนแป้งอื่นๆ ก็จะเป็นการเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งความเป็นแป้งยังคงชัดเจน มาหมดทั้ง 3 สไตล์ แค้ให้วานิลลาเป็นตัวเมน โดยจะมีเนื้อกลิ่นแนวยางไม้ที่มีความปร่าหน่อยๆ และมีลูกโทน Citrus เข้ามา ซึ่งกลิ่นจะมีความระเรื่อหวานพิมเสนที่ให้ความปร่าหวานอ่อนๆ เข้ามาประปรายสร้างความรื่นรมย์ผ่านกลิ่น ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายดวยความละมุนที่มีมิติทั้งนุ่มนวล หวานอบอุ่น ระเรื่อรื่นรมย์ และมีความสดชื่นบางๆ แฝงได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงอยู่มากกว่าหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นนุ่มนวลรื่นรมย์แบบที่เข้ากับผู้ชายด้วยเช่นกัน โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมลุยๆ จะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ Match กับ Activity แบบนี้เท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคนี่เข้าทางทุกประการจริงๆ  

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราว 2 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นราวๆ 5 - 10 นาที ก่อนที่จะลดทอนลงมากระจายดีต่อเนื่องไปอีกราว 1 ชั่วโมง แล้วจึงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 ก็จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายด้วย Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 7 - 8 ชม.

สรุป - ส่วนตัวถือว่ากลิ่นนี้คือโทนแป้งดอกไม้อบอุ่นที่มีความหอมละมุนและโรแมนติคชัดเจนมาก โดยที่ไม่จำเป็นต้องประโคม ต้องเล่นใหญ่ หรือพยายามใส่ความเยอะสิ่งหวือหวาลงไป แต่ให้ความไปโทนสว่างแกมนุ่มนวลแบบสบายจมูกในลักษณะเข้าทางโทนสีครีมแกมเอิร์ธโทนได้ลงตัว ถือเป็นอีกกลิ่นในสายโทนแป้งที่ทำออกมาได้ดีและให้ความสบายใจในการใช้งานได้ครบถ้วนจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.evodyparfums.com/note-de-luxe

 

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Memo Paris - Ocean Leather

Memo Paris - Ocean Leather

จากการไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ แล้วมาเชื่อมโยงในการสร้างสรรค์กลิ่นหนังที่ผนวกเอากับกลิ่นในความทรงจำของสถานที่นั้นๆ มาต่อยอดเข้าด้วยกันจนกลายเป็น Collection: Cuirs Nomades ที่สร้างสรรค์ความงามทางกลิ่นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในแต่ละกลิ่นก็มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนเป็นของตัวเองที่สื่อสารสภาพแวดล้อมที่แฝงความเป็นหนังได้น่าสนใจมาตลอด

และในปี 2020 อีกหนึ่งกลิ่นที่ปล่อยออกมารวมอยู่ใน Collection นี้อย่าง Ocean Leather ก็ทำเอาแปลกใจไม่น้อยว่าจะออกมาในลักษณะไหนกับการผสานกลิ่นหนังกับทะเล หรือว่าจะมาในสายแบบโจรสลัด หรือเอาความเป็น Animalic ของโทน Ambergris มาเจอกับหนัง ซึ่งพอได้อ่านที่มาที่ไปคราวนี้ว่ากันแบบกลางมหาสมุทรและมีความเกี่ยวข้องกับวาฬ ซึ่งก็ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นที่ไหน คิดไปคิดมา ดูน่าสนใจ ลองเลยดีกว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่ได้สัมผัสก็คือ

กลิ่นเปิดคือกลิ่นทะเลที่ค่อนข้างมีความแท้ทรูในเนื้อกลิ่นสูงมาก อารมณ์แบบที่เราได้กลิ่นลมทะเลเวลาที่เราล่องเรือหรือว่านั่งเรือไปเกาะกลางทะเลซักแห่ง โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีโทน Citrus ที่กำลังดีให้ความเปรี้ยวสดชื่นประปราย และมีความเป็นกลิ่นติดกึ่ง Aquatic หน่อยๆ กึ่งแตงกวาที่ทำให้นึกถึงใบไวโอเล็ต เคล้ากลิ่นสมุนไพรเขียวนวลๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นโทนทะเลไม่ได้มีกลิ่นออกแนวแบบคาวเกลือ คาวสาหร่าย หรือกลิ่นที่พยายามใส่ความเป็นโทน Aquatic จนทำให้มีความเป็นน้ำทะเลแบบจงใจสไตล์ Mass ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีและสร้างความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นได้ลงตัว แม้ว่าจะตะหงิดๆ ว่ากลิ่นแบบนี้คุ้นๆ ถ้าคมกว่านี้หน่อยนะ Acqua di Gio เอาได้เลยนะนั่น

เมื่อโทนกลิ่นมีการแท็กทีมกันเป็นอย่างดี และเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่ช่วงกลาง ตอนนี้จะได้ความรู้สึก 2 แบบที่ผสมผสานกัน คือ กลิ่นอายน้ำทะเลที่ไม่คาว แต่ไม่ถึงกับสะอาด อารมณ์แบบให้กลิ่นทะเลที่ค้างในจมูกโดยมีความเค็มหน่อยๆ ให้รู้สึก กับกลิ่นโทนที่เป็นลูกผสมระหว่างกลิ่นสมุนไพรที่มีความเขียวอ่อนๆ แกมนวล มีความปร่าสะอาดหน่อยๆ และมีกลิ่นที่ออกทางทางยางไม้ที่มีความปร่าแบบสนไพน์แกมพริกไทย แต่มีความเปรี้ยวเจือๆ เคล้ากับกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งขรึมๆ กำลังดี พอทั้ง 2 โทนผสมผสานกันเลยได้อารมณ์แบบไม้หรือถังไม้ที่ลอยในทะเล ได้ความรู้สึกแบบผ่อนคลายก็ได้ จะมี Feel แบบ Cast Away หน่อยๆ ก็ใช่อยู่ แบบที่ยังมีความสะอาดสดชื่นและเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่มีอะไรมาเป็นตัวบาดจมูกหรือคมแปลบแต่อย่างใด

เมื่อทุกอย่างเริ่มเปิดทางให้จมูกได้รับกลิ่นหนังที่มาแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะมาแบบเป็นกลิ่นหนังที่มีความสะอาดติดกลิ่นเอกลักษณ์ที่เป็นสาบหนังอ่อนๆ ที่ทำให้มีความดิบเบาๆ น่าค้นหา จนกลายเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมโทนหนัง โทนไม้หอมจากซีดาร์ในช่วงกลางที่ตามมา + หญ้าแฝกที่มาให้ความเป็นไม้แห้งๆ ติดดาร์กนิดๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความกลมกล่อมกำลังดีแกมปร่าเผ็ดนวลอ่อนๆ ของเม็ดจันทน์เทศที่เป็นตัวเกลากลิ่น ทำให้มิติในการรับกลิ่นจะไล่เรียงจากกลิ่นทะเลอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง เคล้ากลิ่นไม้หอมปร่าแห้งๆ ตามด้วยหนังแกมหญ้าแฝกน่าค้นหาเบาๆ ถือว่าเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่จับคู่กันระหว่างหนังและกลิ่นโทนทะเลได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความเข้าถึงง่าย ใช้ง่าย แบบเป็นโทนที่มีความ Summer แบบเรียบหรูแกมสบายๆ เลยเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เรียกว่าครอบจักรวาลเลยก็ย่อมได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นมาสายสบายๆ ผ่อนคลายมากกว่าจะเอาไปปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่ารอบทิศ เพราะยังไงก็สู้โทนหวานแน่นไม่ได้แน่นอน

ความทน - เฉลี่ยแตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ แต่อาจจะมีบวกลบอยู่บ้างก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 - 8 แล้วจะเป็น Skin Scent กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - เอาจริงๆ กลิ่นอยู่ระหว่าง Acqua di Gio ตัวปกติ กับ Profumo แบบที่ให้เนื้อกลิ่นที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นข้อดีที่เอาความเข้าถึงง่ายมานำเสนอแบบที่ใครได้กลิ่นก็ชอบได้ไม่ยาก + กับการทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมีความเป็นทะเลสดชื่นเจือหนังที่ลงตัว เลยทำให้กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งที่ให้นิยามได้เลยว่า “เป็น Niche แบบใช้ง่าย” และสุดท้าย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับวาฬ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.memoparis.com/products/ocean-leather-eau-de-parfum

 

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Bottega Profumiera - Galantuomo

Bottega Profumiera - Galantuomo

ถ้ามองแบบผิวเผินในสไตล์แบบ Designer Brand ที่เวลาจะสร้างกลิ่นสุภาพบุรุษขึ้นมา ก็จะกำหนดทิศทางตามเทรนด์ นำเทรนด์ หรือว่าเซทภาพผู้ชายแบบที่ใครๆ ก็อยากเป็นค่อนข้างชัดเจนจนเห็นภาพก่อนที่จะทำกลิ่นออกมาสอดรับ และปล่อยออกมาวางตลาด แต่ในฝั่งของแบรนด์ Niche Perfume อาจจะมีความแตกต่าง อาจมีที่มาที่ไปจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ที่อาจจะเป็นทั้งไอดอล หรือบุคคลในครอบครัวที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำกลิ่นอายสุภาพบุรุษออกมา ซึ่งก็อาจจะมีบ้างที่มโนขึ้นมาแบบสาย Designer แต่อย่างน้อยก็เชื่อได้ได้ว่าความเป็นสุภาพบุรุษมันต้องมีความดีงามในระดับหนึ่งที่ไม่ได้ยากในการเลือกใช้งาน

และแบรนด์อิตาลีอย่าง Bottega Profumiera ก็มีกับเขาด้วย แต่มีที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นจากคุณพ่อและคุณปู่ของสุคนธกร ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริงให้เห็นเชิงประจักษ์ในชีวิตจนมาสร้างสรรค์กลิ่นเพื่ออุทิศให้แก่ทั้ง 2 คน เช่นนั้นความเป็นสุภาพบุรุษผ่านกลิ่นที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์จะออกมาในรูปแบบไหน ใช้แล้วก็เล่าออกมาได้ตามนี้

Galantuomo เปิดต้นกลิ่นมาได้ชวนประทับใจไม่น้อยเพราะว่าเนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์ส้มที่ติดหวานเครื่องเทศที่มีลูกผสมระหว่างการเป็นชะเอมกับโป๊ยกั๊ก นั่นคือ เทียนสัตตบุษย์ หรือ Anise ซึ่งความหวานโปร่งระเรื่อของ Anise จะมาตัดทอนความเปรี้ยวของส้มออกไปจนทำให้ส้มแสดงความหวานที่ติดกลิ่นเอกลักษณ์ของส้มออกมาได้อย่างพอเหมาะ โดยเนื้อกลิ่นจะมีความปร่าซ่าอ่อนๆ แกมสมุนไพรนิดๆ คลอให้รับรู้อยู่ตลอดคิดว่าน่าจะมาจากแนวๆ กานพลูแบบที่ให้ความเบาๆ มากกว่าจะมาแบบเผ็ดซ่าหนักๆ ทำให้ช่วงต้นถือเป็นลูกผสมที่ลงตัวในการเป็นโทน Citrus คิเเครื่องเทศหวานโปร่งรื่นจมูก และมีความปร่าหน่อยๆ ที่สร้างความแมนแบบกำลังดีที่ไม่ได้จงใจเกินไปได้ลงตัว

การปรับโทนเข้าสู่ช่วงกลางเรียกว่า เอาช่วงต้นมาทั้งหมดแต่เพิ่มเติมความหวานโปร่งแกมไม้หอมระเรื่อที่มีกลิ่นออกทางถั่ว Nutty หน่อยๆ เสียมากกว่า ซึ่งจะจับกลิ่นได้แบบแบ่งออกเป็น 3 เลเยอร์เลยคือ 1. ส้มหวานโปร่งๆ 2. เครื่องเทศที่ตอนนี้จะชัดเจนแล้วว่านอกจาก Anise แล้ว ก็มีชะเอมเข้ามาร่วมด้วย แถมยังมีอบเชยที่มาแบบเบาๆ ให้ความหวานอุ่นโปร่งๆ ที่ไม่หนัก โดยจะมีความปร่าเครื่องเทศ 2 สเต็ปที่จับต้องได้คือ ความปร่ากานพลูที่มีความหวานเผ็ดโปร่งของขิงเข้ามาเสริมด้วย และ 3. โทนยางไม้ที่ให้ความเผ็ดอ่อนๆ แกมไม้หอมที่เป็นหญ้าแฝกที่ให้อารมณ์ไม้หอมกึ่งถั่วๆ ทำให้เมื่อผสมผสานกันแล้ว สอดรับกันได้เป็นอย่างดีในการให้โทนหวานอวลโปร่งๆ เครื่องเทศที่มีความอบอุ่นกำลังดี มีความแมนน่าค้นหากำลังงาม ซึ่งยืนยันกันตรงนี้เลยว่าช่วงนี้ให้อารมณ์สุภาพบุรุษที่มีความอบอุ่นแกมหวานที่มีความ Classic หน่อยๆ Smart ก็มาแน่ล่ะ และสุดท้ายมีความ Nice อบอุ่นได้เหมาะสมมาก อันนี้ต้องยอมเลยว่าปรุงกลิ่นได้เห็นภาพในการใช้งานได้ชัดเจนจริงๆ 

เมื่อเนื้อกลิ่นลดทอนความหวานโปร่งเครื่องเทศลงตามลำดับ แต่มีตัวเด่นอย่างวานิลลาที่มาแบบเบาๆ Lite Version เข้ามาเสริมทัพ + ความเป็นไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝกที่สะอาดๆ แกมกลิ่นปร่าเบาๆ ของยางไม้ที่มีลูกโทนติดพริกไทยเล็กๆ ที่น่าจะเป็น Frankincense ที่ชัดขึ้น โดยมีกลิ่น Oak Moss ที่ให้อารมณ์เขียวขมอ่อนๆ ทำให้กลายเป็นกลิ่นไม้หอมแกมวานิลลาเบาๆ ที่มีกลิ่น Earthy เรื่อๆ ที่ให้อารมณ์กลิ่นสะอาดติดหวานแต่มีความสุภาพบุรุษแกม Classic บางๆ รองพื้น ซึ่งเป็นการปิดท้ายที่ให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึกแต่มีความ Nice ให้จับต้องได้ตลอด

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก ซึ่งจะสร้างออร่าสุภาพบุรุษหวานโปร่งอบอุ่นที่ลงตัวเลย กับการใช้งานยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ยังได้ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงาน โรแมนติค หรือทั่วไปก็ลงตัวหมด จะมีก๋แต่ใส่ไปท่องราตรีที่เบาไปถ้าจะต้องไปสู่กับโทนหวานแน่นทั้งหลาย

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่พื้นฐานกับ 8 ชม. กำลังดี มีบวกลบอยู่บ้างราวๆ 2 ชม. ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงตัวยาวไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย โดยไม่ทำให้อึดอัด ก่อนที่จะลดลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วจะเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 8 ชม.

สรุป - ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูแรงบันดาลใจของสุครธกรในการปรุงกลิ่นนี้ ก็เห็นภาพเลยว่าทั้งคุณปู่และคุณพ่อของสุคนธกรต้องเป็นสุภาพบุรุษที่หวานอบอุ่นและมีความใจดี และมีความสมาร์ทเป็นที่ตั้งแน่นอน เพราะเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ผู้ชายอบอุ่นที่อยู่ใกล้แล้วมีความสุขได้ไม่ยาก แถมมีความสุขุมแกมหวานได้ลงตัวจริงๆ ไม่ธรรมดาเลยสำหรับกลิ่นอายสุภาพบุรุษกลิ่นนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bottegaprofumiera.com/shop/perfume/galantuomo/

 

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Aedes de Venustas - Palissandre d’Or

Aedes de Venustas - Palissandre d’Or

ความน่าสนใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมเป็นแบรนด์ของตัวเองอย่าง Aedes de Venustas ที่เป็น Boutique น้ำหอม Niche ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดการสร้างสรรค์กลิ่นอายที่น่าสนใจและเจาะตลาดความไม่เหมือนใครได้ดี โดยการดึงเอา Note กลิ่นต่างๆ มาสร้างสรรค์ โดยไม่เน้นวัตถุดิบที่เป็น Mainstream หรือมาจาดแหล่งยอดฮิต แต่เอาความยากด้วยการไปเอาวัตถุดิบชนิดเดียวกันแต่ต่างพันธุ์ที่ให้พื้นฐานกลิ่นแบบเดียวกันก็จริง แต่มีความแตกต่างที่เป็นเสน่ห์เฉพาะออกมาให้จับต้องได้ร่วมด้วย โดยยังคุมโทนความหรูหรา Luxury ได้ครบถ้วน

และในกลิ่นที่จะมาเล่าในครั้งนี้ จะมาเจาะกับ Palisander ที่เป็น Rosewood อีกชนิดในการเอามาต่อยอดสร้างความแตกต่างเพื่อนำเสนอเนื้อกลิ่นที่นำเสนอถึงความพลิ้วไหว โปร่ง แต่มีพลัง จากฝีมือของสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Alberto Morillas เช่นนั้นจะออกมาในรูปแบบไหนว่ากันได้เลยกับกลิ่นนี้ Palissandre d’Or

เปิดต้นกลิ่นจะจับได้ถึงความเป็นโทนเครื่องเทศทึ่มีลูกเอื้อนทางกลิ่นเป็นโทนไม้หอมหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงแรกอารมณ์จะะเป็นลูกผสมระหว่างความเป็นเปลือกอบเชยที่ไม่ได้เข้มข้นเกินไป ให้ความเป็นเปลือกไม้ที่ติดหวานอ่อนๆ แกมอบอุ่นมาเจอกับโทนพริกไทยที่ติดกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ มีลูกฝาดนิดๆ ซึ่งเป็นลักษณะแบบพริกไทยสีชมพู มีความปร่าแต่ไม่เผ็ดฟุ้งมากของเม็ดผักชีเสริม และตัวที่สร้างความเป็นโทนกึ่งไม้หอมนิดๆ แกมเครื่องเทศกลมๆ ต้องยกให้กับเม็ดจันทน์เทศที่เป็นตัวเกลาชั้นดีให้กลิ่นมีความสมดุลย์และกลมกล่อมในการเป็นลูกครึ่งระหว่างเครื่องเทศที่มีความเป็นไม้หอมแกมอบอุ่นเบาๆ ได้พอดี เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความปร่าเผ็ดอบอุ่นโปร่งๆ มีลูกเอื้อนไม้หอมแกมกุหลาบบางๆ ที่มีความนุ่มนวลปลายกลิ่นให้พอรู้่สึกได้ ซึ่งชัดเจนมากเลยว่าเปิดมาก็ให้กลิ่นแนวคล้าย Rosewood ที่มีความปร่านุ่มแกมไม้หอมกุหลาบได้น่าสนใจมาก

การปรับเปลี่ยนโทนกลิ่นเข้าช่วงกลางจะเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะช่วงนี้จะสัมผัสกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ เข้ามาให้รู้สึกไดเ้ และจะมีโทนไม้หอมที่ติดนวลๆ คล้ายไม้จันทน์หอมมาเป็นอีกหนึ่งโทนที่ค่อนข้างชัด และมีโทนออกทางคล้าย Musk หน่อยๆ ที่มีความเป็นโทนเขียวติดผักเล็กๆ ผสมซึ่งน่าจะเป็น Ambrette มาเป็นตัวรองพื้นเสริมอยู่ โดยที่กลิ่ยในช่วงต้นทั้งหมดจะยกพลมาครบถ้วน เพียงแต่กลิ่นจะมีความนุ่มนวลแกมโปร่งๆ มากขึ้น เนื้อกลิ่นไม่ได้ไปทางหนักแน่นข้นเลย แต่ให้อารมณ์ซีทรูโปร่งๆ ในความเป็นกลิ่นคล้าย Rosewood ที่มีความปร่าระเรื่อกึ่งไม้หอมแกมอบอเชยอ่อนๆ รายล้อมประปรายที่ให้ความเรียบหรูกำลังดี มีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่มีระดับแบบไม่ต้องมาสายปล่อยพลังแต่อย่างใด

เนื้อกลิ่นในช่วงท้ายยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เพราะกลิ่นจะลงมาเป็นอวลๆ รุมๆ รอบกายแทบบชัดเจนมาก โดยที่จะมีตัวหลักในการเดินกลิ่นคือ พิมเสนและไม้หอมที่มีลูกผสม 3 โทนคือ ไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้จืดนวลๆ ไม้ซีดาร์ที่ให้ความเป็นไม้โปร่งๆ ติดปร่าหน่อยๆ และ Ambroxan ที่มาเป็นตัวสร้างความเป็นลูกผสมไม้แห้งกึ่งกลิ่นแอมเบอร์อวลๆ ซึ่งแม้ว่าโทนไม้ 3 ประสานจะชัดเจน แต่กลิ่นก็รุมๆ รอบตัว โดยมีพิมเสนตีขึ้นให้รับรู้เบาๆ ซึ่งอารมณ์กลิ่นให้ความรู้สึกสว่างก็ได้ มีความ Dirty เล็กๆ ที่มีพลังตามสไตล์กลิ่นไม้หอมเลย เพียงแต่แค่ไม่ตูมตาม ออกแนวเรื่อยๆ มีเสน่ห์แบบเรียบหรูไม่เยอะสิ่ง เป็นการปิดท้ายคลอผิวไปเรื่อยๆ นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นค่อนข้างกลางๆ และไม่ได้ปล่อยพลังมาจากไหน เลยเข้าได้หมดทุกเพศที่ชอบกลิ่นแนวน่าค้นหาแบบไม่จงใจและหรูหราแกมเรียบหรูไปในที ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปที่เน้นวางตัวดีๆ มีเสน่ห์และสุขุมที่กลิ่นไม่ค่อยเหมือนใคร ส่วนใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กับออกกำลังกายก็ได้อยู่เพราะกลิ่นไม่กระจายมาก แต่มันอาจจะไม่ได้เสริมความสดชื่นเท่าไหร่ก็เท่านั้นเอง ส่วนยามค่ำคืนเน้นโรแมนติคกับออกงานเลยเข้าทางที่สุด

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีไปต่อได้อีกราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในประมาณ 5 นาที แรก แล้วก็จะลดลงมาปานกลางไม่ถึง 20 นาที แล้วจะคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 - 8 เลย ถึงจะเป็น Skin Scent

สรุป - เนื้อกลิ่นมีความละเมียดและนำเสนอกลิ่นอายที่ให้อารมณ์แบบ Rosewood ก็จริงๆ แต่มีมิติที่แตกต่างในการผสมผสานโดยเอาความเป็นเครื่องเทศและไม้หอมเป็นที่ตั้ง ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ไม่ค่อยเหมือนใคร มีความเฉพาะในตัวเองแบบที่ให้ความรู้สึกหรูหราและมีเสน่ห์ตรงตาม Concept พลิ้วไหว โปร่ง แต่มีพลัง ได้เหมาะสมและลงตัว แต่เมื่อหันไปเห็นราคาแล้ว ความลงตัวที่ว่าก็หดไปได้เยอะไม่น้อยอยู่ ก็เข้าใจแหละว่ากลิ่นมาสาย Luxury น่ะนะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - http://www.parfumdambre.be/marques/aedes-de-venustas/

 

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Jo Malone - Violet & Amber Absolu

Jo Malone - Violet & Amber Absolu

เรื่องราว 1001 Nights หรือ 1001 ราตรี ที่นอกจากจะเป็นนิทานที่ยอดเยี่ยมแล้ว ในโลกของน้ำหอมก็ถือเป็นแรงบันดาลใจให้เแบรนด์ต่างๆ สร้างสรรค์กลิ่นอายโดยดึงเอาช่วงเวลานั้นๆ ในเรื่องราว สภาพแวดล้อม หรือความเป็นตัวละครมาต่อยอดในการสร้างสรรค์กลิ่นก็มาก ยิ่งทางฝั่งแบรนด์ตะวันออกกลางถือว่ามีให้เลือกมากมาย และก็ลามมาถึงฝั่งแบรนด์ตะวันตกด้วยที่เอามาประยุกต์ให้เข้ากับบริบททางกลิ่นที่เป็น Mix & Macth ก็มีไม่น้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Jo Malone รวมอยู่ด้วย 

แต่การจะสื่อสารถึงกลิ่นอายแบบตะวันออกกลางที่มีความ Mix & Match กับสไตล์ของแบรนด์ จะคงเดิมที่การเป็น Cologne หรือ Cologne Intense คงไม่ได้สื่อสารชัดเจนมากนัก เช่นนั้นการมาเป็น Cologne Absolu น่าจะมีความชัดเจนที่สุดที่จะมาเล่าเรื่องราวอาหรับราตรี โดยการจับคู่กับกลิ่นอายน่าค้นหาของไวโอเล็ตกับการเป็นโทนแอมเบอร์ที่ให้ความอบอุ่นอยากมีเอกลักษณ์แทน เช่นนั้นมาว่ากันที่เรื่องราวกลิ่นซักหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

Violet & Amber Absolu เปิดต้นกลิ่นใน 10 วินาทีแรกจะมีความประดังประเดกันในระดับหนึ่งก่อน เพราะเราจะจับจับต้อง Note กลิ่นต่างๆ ได้เยอะมากในการผสมผสานกันออกมาแบบอวลๆ มีความหนาในเนื้อกลิ่นแบบที่เป็นสไตล์ทันสมัย แต่ + กลิ่นแนว Amber แกม Oud อยู่ ทำให้ได้อารมณ์กันในวูบแรกแบบอวลๆ นัวๆ กันนิดนึง ก่อนที่จะหลีกทางให้ตัวเปิดสำคัญอย่างไวโอเล็ตที่จะมาทั้งดอกที่ให้อารมณ์โทนแป้งโปร่งๆ ติดหวานแกมเขียว และใบไวโอเล็ตที่ให้อารมณ์เขียวติดชื้นๆ กึ่งแตงกวากึ่งใบบัวบก ที่จะมาทักทายก่อนแบบลดทอนความอวลที่มาทักทายตอนแรกไปหมด เหลือเพียงกลิ่นสนับสนุนที่ให้ความ Earthy ดินๆ ชื้นๆ ดาร์กหน่อยๆ ที่ทำให้ช่วงนี้แม้จะมีความสดชื่นแบบเย็นๆ ชื้นเขียวๆ ก็จริง แต่มันออกแนวดาร์กๆ เสียมากกว่า ซึ่งได้อารมณ์แบบอากาศชื้นๆ ยามค่ำคืนได้เลย ถือว่าเปิดมาได้น่าสนใจมาก

เมื่อความสดชื่นแบบชื้นๆ เริ่มลดทอนลงมาจะเริ่มแตะความรู้สึกถึงความเป็นแป้งที่ชัดเจนมากขึ้นจากดอกไวโอเล็ตที่ยังเป็นตัวหลักของช่วงกลางเคล้าความเป็นพิมเสนดาร์กแห้งหน่อยๆ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีลูกผสม 3 โทนที่นอกจากความเป็นแป้งคือ

1. กลิ่นโทนอบอุ่นอวลๆ ที่มาจากโทนแอมเบอร์แต่ไม่ใช่แอมเบอร์แบบลักษณะกึ่งวานิลลากึ่งยางไม้ แต่เป็น Labdanum ที่ให้โทนแอมเบอร์ลึกๆ มีความหวานหน่อยแกมหนัง ที่มาสร้างความอวลๆ อุ่นๆ ในแป้งไวโอเล็ต

2. กลิ่น Musk ที่ออกแห้งๆ ที่มีลูกผสมกลิ่นโทนดอกไม้หน่อยๆ ให้โทนรองพื้นที่สะอาดกำลังดี และสอดรับกับโทนแป้งไวโอเล็ตกำลังงาม

3. กลิ่นโทน Oud ที่จะมาแบบอวลแบบแห้งๆ ไม่หนักเกินไป และไม่ได้อวลลึกแบบตะวันออกกลางเกินไป สร้างความน่าค้นหาเย้ายวนในเนื้อกลิ่นแบบมีมิติ

ซึ่งทั้งหมดจะทำให้กลิ่นโทนแป้งมีมิติที่อบอวลอุ่นกำลังดี มีความเย้ายวน และมีความละมุนแบบที่ให้ความพอดีระหว่างการเป็นโทนตะวันตกที่มีเสน่ห์ความเป็นโทนแบบอาระเบียนมาเสริมได้พอเหมาะ

เมื่อโทนแป้งไวโอเล็ตเลยจางลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงปลายกลิ่นหน่อยๆ ปล่อยให้กลิ่นโทนแอมเบอร์อวลๆ ที่มีลูกเอื้อนของวานิลลากึ่งยางไม้แบบโทนแอมเบอร์จริงๆ เปิดตัวมาเป็นตัวหลักโดยยังมี Labdanum เสริมอยู่ ก็จะเป็นการเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งช่วงนี้จะเป็น Amber Woody Musky ชัดเจนและมีความเป็นลักษณะกลิ่นแบบ Modern Arabian ที่มีความเป็นสากลมากกว่าจะเป็นโทนแนว Oud จ๋า ชั้นมาแล้วจ้ะ แบบน้ำหอมตะวันออกกลางแบบแท้ๆ กลิ่นเลยจะได้อารมณ์อบอุ่นอวลๆ ที่มีพื้นกลิ่นสะอาด และมีกลิ่น Oud คลอแบบประปรายอยู่รายล้อมอ่อนๆ อวลอยู่รอบกายไปเรื่อยๆ เป็นการปิดท้าย  

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบที่เพศไหนก็ใช้งานได้ กลิ่นไม่ได้ใช้ยาก ออกจะทันสมัย แต่อย่างน้อยถ้าผ่านน้ำหอมสายลูกครึ่งตะวันออกกลางกับตะวันตกมาบ้าง ก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป จะมีก็แต่ก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเลย นอกนั้นตามสะดวก ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยว่าจัดไป เนื้อกลิ่นเข้าทางใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ ได้ดีมาก แถมมีเสน่ห์ดึงดูดแบบเรียบหรูอีกด้วย

ความทน - 8 ชม. คือค่าเฉลี่ย แต่สามารถไปต่อได้อีกถ้าเคมีได้และจำนวนสเปรย์เหมาะสม โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. เป็นประจำในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าแอบตกใจในความอวลเลย แม้ว่าจะไม่ได้จัดหนักเท่ากลุ่มสายอาระเบียนแท้ๆ หรือกลุ่ม Power House แบบ Montale แต่ก็ถือว่าอวลกว่า Jo Malone ปกติไปมาก ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปประมาณ 1 - 2 ชม. ถึงลงมาคงที่ที่ปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 แล้วผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อผ่านไป 8 ชม. จะค่อยๆ เป็น Skin Scent ตามลำดับ   

สรุป - เป็นอีกกลิ่นที่เอาความเป็นสไตล์แบบ Jo Malone มาเจอกับกลิ่นแนวอาระเบียนแบบ Modern ที่ทำกลิ่นออกมาอบอวลกำลังดีไม่หนักไปไปปล่อยพลังจัดจ้านมากไป จนทำให้เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูมากขึ้น ถ้าจะให้ตีความกลิ่นอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นอาหรับราตรีมากเท่าไหร่ มีแค่ช่วงแรกที่ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นยามค่ำคืนเท่านั้น แต่เนื้อกลิ่นได้อารมณ์ลูกครึ่งตะวันตกและตะวันออกกลางที่มีเสน่ห์น่าค้นหามาก ก็ต้องยอมเขาในเรื่องนี้เลย เพราะรักษาสมดุลย์ได้ดีจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jomalone.co.uk/product/25946/63484/colognes/violet-amber-absolu

 

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Shiseido - Zen for Men

Shiseido - Zen for Men

ผ่านน้ำหอมใน Collection - Zen for Men ของ Shiseido มาจนปัจจุบันเลิกผลิตกันไปหมดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังติดค้างในใจมากๆ เลยคือ ยังไม่เคยได้ลองตัวต้นตระกูลที่ออกมาวางจำหน่ายในปี 2009 เลย เพราะผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด จับต้องแต่ตัว Zen Sun กับ Zen White Heat จนมารู้ตัวอีกที คือ ไม่ได้แล้วก่อนที่จะหาได้ยากมากขึ้นกว่าเดิม และราคาเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ก็ต้องหามาเรียนรู้กลิ่นให้ได้ และก็ได้มาครอบครองในที่สุด

เช่นนั้น เข้าเรื่องเลยแล้วกันว่ากลิ่นต้นทางก่อนที่จะมีลูกหลานออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง

Zen for Men จะเปิดตัวที่ความสดชื่นที่เอากลิ่นอายแบบสไตล์ญี่ปุ่นมานำเสนอกันก่อนจากกลิ่นของลูกแพร์ที่มีความสดชื่นแกมหวานและมีความฉ่ำอยู่พอประมาณ โดยบเนื้อกลิ่นจะมีโทน Citrus เสริมให้ความสดชื่นแบบที่กำลังดีเสียมาก ไม่ได้ตะบี้ตะบันจัดหนักให้เปรี้ยวคมมาจากไหน ทำให้เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นแกมหวานติดชื้นกึ่งฉ่ำหน่อยๆ ของลูกแพร์ แต่กลิ่นไม่สาวเลยซักนิด เพราะโทนออกทางหนังกึ่งเครื่องเทศกลมๆ ที่ให้ความปร่าเผ็ดนวลๆ นั่นเลยที่เป็นฉากหลังทำให้เนื้อกลิ่นมีความแมนๆ นิ่งๆ แฝงกำลังดี เรียกว่าเปิดมาก็ทำเอานึกถึงผู้ชายญี่ปุ่นที่นิ่งๆ มีเสน่ห์ได้เลย

การเชื่อมต่อระหว่างช่วงต้นกับช่วงกลางจะเริ่มจับได้ว่ามีกลิ่นออกทางแป้งติดเขียวโปร่งที่มีความดาร์กเบาๆ น่าค้นหาค่อยๆ เปิดตัวขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งดอกไวโอเล็ตคือเมนหลักของกลิ่นชัดเจน โดยมีลูกเอื้อนดอกไม้เบาๆ แฝงอยู่ด้วย แต่จะมีความปร่ากลมๆ แกมไม้หอมหน่อยๆ ของเม็ดจันทน์เทศแกมหนังที่มีความดาร์กเท่ห์แฝงเป็นตัวเสริมชัดเจนมาก และมีปลายกลิ่นเป็นโทนผลไม้เบาๆ แต่เนื้อกลิ่นให้ความพอดีไม่หนักไป ไม่เบาไป และให้ความเป็นกลิ่นอายผู้ชายแมนๆ สุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ภายใต้ความนิ่งได้พอเหมาะ รวมถึงแตะคำว่า Zen ที่ทันสมัยได้พอเจาะอีกด้วย

ช่วงท้ายจะมีความชัดเจนมากในการเป็นโทนหนังที่จะเบาลงมาแตะความเป็นโทน Musky ที่มีพิมเสนที่ปร่าระเรื่อเรียบหรูมาเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก เนื้อกลิ่นยังให้ความเป็นโทนแป้งที่ตามมาจากช่วงกลางแบบเบาๆ แอบจับได้ถึงโทนแป้งติดไอริสเล็กๆ ในช่วงนี้ด้วยที่สอดรับไปกับ Musk แบบพอดีๆ ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ และมีลูกเอื้อนกลิ่นหนังเบาๆ ให้ความน่าค้นหา พร้อมปร่าเรื่อจมูกอ่อนๆ ของพิมเสน ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นการปิดท้ายคลอผิวกันในแนวเรียบหรูแบบผู้ชายนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์ไม่โฉ่งฉ่าง มีความเป็นสไตล์ตะวันออกที่มา Mix & Match กำลังดีกับโทนแบบตะวันตกที่ไม่ว่าใครใช้ก็ไม่ขัดเขินในการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบน้อยแต่มากได้น่าสนใจจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบาย เป็นโทนที่ใช้แบบ Daily Scent ที่ให้ความแมนนิ่งกำลังดี ไม่ได้พยายามปล่อยความแมนจัดรอบทิศเกินไป ทำให้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกาย แนะนะรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือใส่แบบทั่วไปชิลล์ๆ ก็ได้อยู่ แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีต้องอัดสเปรย์หน่อย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบอยู่ราวๆ 2 ชม. ตามสภาพผิวผู้ใช้

การกระจาย - กลิ่นจะแตะการกระจายดีในช่วงแรกประมาณ 5 - 10 นาที ก่อนที่จะเป็นปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 3 แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเบาๆ เรื่อยๆ และเมื่อไปถึงชั่วโมงที่ 6 แล้วถึงเป็น Skin Scent ไปจนกว่าจะจางไปจากผิว

สรุป - เป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีเสน่ห์กำลังดี ให้ความแมนแต่ไม่ได้ดูพยายามปล่อยของพร่ำเพรื่อ และให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่เรียบหรูกำลังดีมีความนิ่งที่มีเสน่ห์ ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สมแล้วที่เคยเป็นเรือธงหลักของฝั่งน้ำหอมชายของแบรนด์ เพียงแต่ที่เสียดายคือ เลิกผลิต แต่ก็เข้าใจได้ว่าเทรนด์กลิ่นมันเปลี่ยนไป กลิ่นแบบนี้ก็ต้องจางหายไปตามกาลเวลา 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.makyajtrendi.com/urun/zen-for-men-100ml-62158