วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: ScentStory - 24 Elixir Neroli

ScentStory - 24 Elixir Neroli

เคยได้ยินชื่อเสียงแบรนด์นี้จากกลิ่น 24 Gold ที่สร้างสรรค์ความหวานผ่านกลิ่นจับคู่ระหว่างความหวานแนวน้ำอมฤตที่หวานลึกกับ Oud ได้อย่างลงตัวจนนึกว่าเป็นน้ำหอมที่มาจากแดนตะวันออกกลาง ซึ่งพอมาหาข้อมูลก็ถึงบางอ้อ ว่า ScentStory เป็นแบรนด์ Niche ของฝรั่งเศส ที่มีน้ำหอมภายใต้อาณัติในการดูแลคือ 24 และ Plume Impression ซึ่งก็ส่งความหอมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องมาตลอด จนถึงตอนนี้ และได้รับการยอมรับในการถ่ายทอดกลิ่นสู่ผู้ใช้งานได้อย่างดีมาเสมอ 

ซึ่งการได้มาเจอแบรนด์นี้ เลยขอมาว่ากันที่สาย 24 กันก่อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่กลิ่นดังอย่าง 24 Gold (เพราะตอนที่ดมเป็นการดมผ่านๆ ไม่ได้ใช้กับผิวอย่างจริงจัง) แต่จะมาว่ากันที่ Collection - 24 Elixir กันก่อน เพราะมีโอกาสได้จัดมาตามโอกาสอำนวยกับการอยากลองกลิ่นอาย Neroli หรือดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์ออกมา และผลที่ได้จากการใช้งาน คือ

24 Elixir Neroli ไม่ใช่ Neroli ในแบบที่เคยได้กลิ่นจากหลายๆ แบรนด์ทั้ง Niche และ Designer มาก่อนหน้านี้ เพราะจะมาแบบ Spicy Neroli ที่จะให้ความเป็นดอกส้มติดเขียวก็จริง แต่จะมีโทนค็อกเทลกับกลิ่นสายเครื่องเทศเผ็ดปร่าโปร่งต่างๆ เป็นตัวเสริมแบบชัดมาก ซึ่งช่วงต้นสิ่งที่เด่นจะเป็นกลิ่นมินต์โทนิคที่มีกลิ่นเปรี้ยวแกมขมปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวเสริมให้กลิ่นดอกส้ม Neroli มีความเขียวปร่าซ่าและมีความสดชื่นที่คมอยู่พอสมควร ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นชาอ่อนๆ เสริมอยู่แบบปลายกลิ่นให้รู้สึกเลยไม่ได้ถึงกับบาดจมูก แต่มีความติดนวลปลายกลิ่นที่แกมเขียวออกทางโทนสว่างมาให้จับต้องได้ โดยในภาพรวมไม่ได้เป็นกลิ่นที่มีความใสขนาดนั้น เพราะความรู้สึกปร่าอวลๆ คล้ายขิงที่เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้กลิ่นค่อนไปทางสบู่ปร่าๆ พอสมควร

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางนั่นต้องยกให้ขิงเลย ที่จะเป็นตัวคุมโทนโดยที่ยังมีดอกส้มเป็นตัว On Top ให้ได้กลิ่นอยู่เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนแป้งให้สัมผัสได้มากขึ้นตามลำดับ กลิ่นจะลดความคมๆ ปร่าๆ ในช่วงแรกลงไปเยอะเลย โทนมินต์กับโทนิคต่างๆ เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่ให้ความเป็นลูกผสมระหว่างความเป็นปร่าขิงแกมดอกส้มรองพื้นด้วยกลิ่นนวลๆ แป้งที่นำทีมด้วยดอกไวโอเล็ตที่ให้ความโปร่งแกมกลิ่นดอกไม้ขาวนวลครีมมี่หน่อยๆ ทำให้ช่วงนี้จะเป็นลูกผสมที่น่าสนใจมากระหว่างการเป็นโทนปร่าสดชื่นแกมแป้งซ้อนกัน และมีความลงตัวสมดุลย์ในการให้ความสบายๆ แกมปร่าอ่อนๆ ที่ยังคุมโทนให้ได้กลิ่นดอกส้มได้ดีอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน

ช่วงท้าย จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากโทนแป้งเป็นโทนไม้หอมแทน ซึ่งกลิ่นออกทางไม้ซีดาร์และน่าจะมีไม้หอมหรือสารหอมอื่นๆ ที่ให้ความอวลๆ ร่วมด้วย รวมถึงมีกลิ่นออกทางนวลๆ ปนขมอวลของถั่วตองก้าที่มีความครีมมี่กำลังดีให้รู้สึกได้ เนื้อกลิ่นจะมีความนุ่มนวลและมีโทนสะอาดเข้ามาจาก Musk ทำให้กลิ่นมีโทนสว่างนวลเป็นพื้นฐานของกลิ่น สร้างเลเยอร์การได้รับกลิ่นไล่เรียงจากความอวบไม้หอมติดปร่าๆ ที่น่าจะมาจากขิงในช่วงกลาง ซึ่งพอมาสอดรับกับไม้หอมเลยได้ Spicy Woody ที่กำลังพอเหมาะ ให้ความอวลๆ แบบสไตล์น้ำหอมแนว Modern ได้ชัดเจน

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นมีความกลางๆ ไม่ได้ไพล่ไปทิศทางเฉพาะเพศใด ซึ่งเข้ากับการใส่ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะเข้าทางการเป็น Daily Scent ขั้นสุดมาก ซึ่งได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบครอบจักรวาลได้เลย ซึ่งกลิ่นไม่เหมือนใครด้วย แต่ถ้าเป็นยามค่ำคืนจะเข้ากับสถานการณ์ทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่อย่างใด

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. มีบวกลบบ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใหญ่ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวก็เจอราวๆ 8 ชั่วโมง มีนานสุดที่เจอก็ 10 ชม. ไม่เกินนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ให้ความสดชื่นติดปร่าที่คมพอตัว แล้วจะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 3 ชม. แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อถึงประมาณชั่วโมงที่ 6 ก็เริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็น Neroli ที่ไม่เหมือนใครดี เพราะไม่ได้มาในแนวแบบสไตล์ Neroli แบบสะอาดๆ กระจ่างใส แต่มาแบบปร่าๆ คมๆ มีความ Spicy ต่อด้วยความเป็นแป้งและไม้หอมอวลๆ ที่มีความน่าสนใจและไม่ได้ใช้งานยาก ส่วนตัวประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.eg/-/en/24-Fragrance-Elixir-Neroli-Toilette/dp/B096R2BMH7

 

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Tocca - Emelia

Tocca - Emelia

เมื่อน้ำหอมต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น Tocca จึงได้เปิดตัวน้ำหอมต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดร่วมอย่างหนึ่งนั่นคือ การตั้งชื่อกลิ่นจะอิงตามชื่อของผู้หญิงและคาแรคเตอร์ของผู้หญิงที่กำหนดขึ้นมาเป็น Story หลักในการสร้างสรรค์โทนกลิ่น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างมากในการสร้างคาแรคเตอร์กลิ่นให้ผู้ใช้สามารถมาจับ Match กับตัวเอง และสื่อสารออกไปตามคาแรคเตอร์ที่ตนเองต้องการ

และ Emelia ก็เป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์กลิ่นอายสายลุยในสไตล์ Bohemian ที่ให้ความ Cool ก็ได้ เก๋ก็ดี เรียบง่ายก็เหมาะ แต่แน่นอนว่าอิงที่ความสดชื่นเป็นสำคัญ อารมณ์สาวติสต์ฮิปปี้สบายๆ อะไรประมาณนั้น เช่นนั้นกลิ่นจะสื่อคาแรคเตอร์ออกมาอย่างไร ต้องพิสูจน์

เปิดตัวมากับการเป็นกลิ่นของใบมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่ให้ความเขียวขมทึบๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ชัดเจนขึ้นมาเลย เพียงแต่ว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้เอาความเขียวนำเด่นเพียงอย่างเดียว เพราะว่ามีความเป็นโทน Citrus ของส้มกึ่งผลไม้ที่มีความหวานอ่อนๆ ปร่าการบูรเล็กๆ ที่ให้ความสดชื่นรายล้อมอยู่ ทำให้กลิ่นจะมีแบบเขียวทึบที่มีความเปรี้ยวอมหวานสดชื่นและสว่างแบบมีความเป็นบรรยากาศที่ชัดๆ ในความรู้สึกให้รับรู้ เรียกว่าช่วงเปิดมาแบบน่าสนใจมากในการเป็นกลิ่นสาย Fig ที่มีความสดชื่นเป็นตัวแปรในการสร้างความรู้สึกรื่นรมย์ชัดเจน

การเข้าสู่ช่วงกลางเรียกว่ายกแกงค์มาจากช่วงต้นทั้งหมด เพียงแต่จะเพิ่มความเขียวด้วยกลิ่นหญ้าสดเข้าไป + มีกลิ่นของมาเตที่เอามาทำชาดื่มที่ให้ความเขียวนุ่มเข้ามาร่วมด้วย และไม่พอจะมีกลิ่นออกทางเขียวปร่ากึ่งนมๆ แกมหวานหอมของลูกมะเดื่อ (Fig) ที่ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่อ่อนๆ เป็นศูนย์กลางของกลิ่นท่ามกลางความปร่าเขียวแกมเปรี้ยวอมหวานสดชื่น และที่สำคัญจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางดอกไม้แกมกุหลาบกึ่งแป่งฝุ่นอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าให้มิติของการเป็นโทนเขียวและสภาพบรรยากาศได้กำลังดีเลยทีเดียว

เมื่อการเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นเริ่มจะมีความเป็นโทนออกทางกึ่งเขียวผักกึ่ง Musk ที่เป็นลักษณะของโทน Musk ที่มาจากพืชอย่าง Ambrette เข้ามาทำให้กลิ่นยังคุมโทนความเขียวแต่มีความนุ่มอ่อนๆ อยู่มากขึ้น ก็จะนำไปสู่การเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่มีความเป็นลูกผสมในการเป็นโทนเขียวสดชื่นที่ยังมีกลิ่นหญ้าขึ้นมาแทนที่ Fig แต่ก็จะยังมีกลิ่นโทนครีมมี่มิลค์กี้ของ Fig อยู่ให้จับต้องได้เพราะลดทอนลงไปเป็นสายสนับสนุน และที่สำคัญมีกลิ่นน้ำมะพร้าวมาเป็นตัวหลักตีคู่กับโทนเขียวด้วย อารมณ์มาทำให้มีความสดชื่นแบบกลิ่นน้ำมะพร้าวที่มีความเปรี้ยวเขียวเนียนๆ อยู่ในนั้น โดยที่พื้นกลิ่นจะมีกลิ่นกึ่ง Musk กึ่งผัก และมีความเป็นโทนออกชอคโกแลตเนียนๆ รวมอยู่ด้วยหน่อยๆ สร้างออร่ากลิ่นสดชื่นมีเสน่ห์เล่นโทนระหว่างความเขียว ความเป็นน้ำมะพร้าว และความสดชื่นที่มีตั้งแต่ต้นยันจบได้อย่างพอเหมาะมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ Unisex อยู่พอสมควรที่ผู้ชายก็สามารถใช้งานได้อย่างไม่เคอะเขินและเผลอๆ หอมมากๆ อีกด้วย โดยเฉพาะคนที่ชอบโทนเขียวหญ้าและเขียว Fig เป็นทุนเดิมอาจจะฟินได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป กลางแจ้ง ชิลล์ๆ พักผ่อน หรือใส่ทำงาน Office เอาจริงๆ ก็ใส่กับงานทางการจัดๆ ได้ เพียงแต่อาจจะดูชิลล์ไปไม่เหมาะกับลุคก็เท่านั้นเอง ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายพลังร้อยแรงม้าปล่อยเสน่ห์จัดจ้านอบอวลขนาดนั้น ก็ Concept มาสายฮิปปี้สบายๆ นี่นา

ความทน - ลงตัวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ในการใช้งาน ถือว่าไม่ธรรมดา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวยาวไปราว 2 ชม. ก่อนจะลงมาที่ปานกลางจนถึงชั่วโมงที่ 5 ก็ค่อยๆ ลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม.  

สรุป - กลิ่นเขียวที่ลงตัวมีความสบายๆ ผ่อนคลาย ซึ่งจับเข้าทีมเดียวกับกลิ่นอายสาย Fig สดชื่นต่างๆ ได้ไม่ยาก เพียงแต่กลิ่นนี้จะเด่นที่อารมณ์กลิ่นเขียวหญ้าและมีความ Fruity ติดเปรี้ยวที่ชัดเจนกว่าซึ่งทำให้มีความแตกต่างในการใช้งานและอารมณ์ชิลล์ๆ เก๋ๆ ได้ดีมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.tocca.com/products/eau-de-parfum-bianca-100ml

 

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Perfume Made in Japan - ตะลุยความหอม ณ โตเกียว

 

สำหรับคนที่ใช้น้ำหอมไม่ว่าจะทั้งใช้โดยทั่วไป หรือว่าใช้เพื่ออาบ หรือสะสมกันอย่างหนำ แน่นอนว่าจะรู้จักน้ำหอมแบรนด์ที่มาจากญี่ปุ่นกันเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะน้ำหอมฟากฝั่ง Designer Brands ที่เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในตลาดน้ำหอมโลกมาอย่างยาวนาน อาทิเช่น Shisedo, Issey Miyake, Kenzo, Annayake, Masaki Matsushima และ Yohji Yamamoto เป็นต้น

สำหรับกลุ่มสาย Designer Brands เหล่านี้โดยส่วนใหญ่ก็เรียกว่าติดลมบนกันไปแล้ว และเนื้อกลิ่นมีความเป็น International ที่ใส่ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเข้าไปให้มีความกลมกลืน ซึ่งหลายๆ แบรนด์นั้นก็มีแหล่งผลิตน้ำหอมที่อยู่ในแถบยุโรปหรือฝรั่งเศสกันเสียส่วนใหญ่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งคือนอกจากแบรนด์สาย Designer แบบนี้ แล้วกลุ่มแบรนด์น้ำหอมที่ Made in Japan อื่นๆ อาจจะทั้ง Designer Brands และ Niche Brand ล่ะ มีอะไรน่าสนใจบ้าง เช่นนั้น มาแจกแจงกันหน่อยว่าถ้าไปเยือนญี่ปุ่น โดยเน้นที่ "โตเกียว" มีอะไรที่คนชอบน้ำหอมควรไปตะลุยดมบ้าง

------------------------------------------

Parfum Satori 

ด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์กับน้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในถ่ายทอดเนื้อกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นอย่างมีเสน่ห์ในสไตล์มินิมัลและวาบิซาบิ จนทำให้แบรนด์นี้ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume สายศิลปะที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นสู่ระดับโลกที่ผู้ใช้น้ำหอมสาย Niche ต่างๆ ให้การยอมรับ นี่คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่ธรรมดาและควรค่าแก่การได้ลองและครอบครองซักกลิ่น

แนะนำให้ลอง: Satori, Hyouge, Sakura, Iris Homme และ Koke Shimizu

Place: บูติคของแบรนด์โดยตรงที่ “รปปงหงิ” ปัจจุบันอาจจะต้องติดต่อเพื่อจองในการเข้าไปเยี่ยมที่บูติคก่อน 

------------------------------------------

DI SER

ต้องบอกเลยว่าแบรนด์นี้คือการสร้างสรรค์น้ำหอมสาย Natural Perfume อย่างแท้จริง และใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมที่จะดึงเอาความเป็นธรรมชาติของกลิ่นลงสู่ขวด (สกัดกลิ่นโดยตรงจากพืชหรือดอกไม้เองเลย) ซึ่งเพราะความเป็นธรรมชาติที่มีความวาบิซาบิในตัวสูงขนาดนี้ ทำให้แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับอย่างมากในสายน้ำหอม Niche ระดับโลก และที่สำคัญเข้าเป็นหนึ่งใน Finalist รางวัล Art & Olfaction Awards มาแล้ว

แนะนำให้ลอง: Keman, Kaze Hikaru, Amedeku, Shiragoromo และ Akanesasu

Place: อยู่ "ฮอกไกโด" ก็ไปที่บูติคของแบรนด์ได้เลย คือ "Essentia" แต่ถ้าอยู่โตเกียวก็ไปที่ร้าน "Amritara House" ที่อยู่ใน "ชิบูยะ (ลงสถานีฮาราจูกุจะเดินใกล้กว่า)" 

------------------------------------------

Shiro Fragrances

มาจากฮอกไกโดเหมือน DI SER แต่เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์ Skin Care ก่อนที่จะเริ่มทำน้ำหอมออกมา ซึ่งเป็นน้ำหอมที่ให้ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นความทันสมัยเสียมาก โดยมีแบ่งออกเป็น Collection - Classic กับ Exclusive ซึ่งปัจจุบันแบรนด์นี้ไปไกลในระดับโลกเรียบร้อย เพราะตีตลาด UK และ US ได้ด้วย โดยมี Online Shop รองรับพร้อม

แนะนำให้ลอง: ฝั่ง Classic > Savon, White Lily และ Earl Grey ส่วนฝั่ง Exclusive > Smoked Leather, Freesia Mist และ Spice for Life

Place: โอ้โห เพียบเลยในโตเกียว ถ้ายึดชินจูกุเป็นหลักก็ห้าง NEWoMan (ตรงข้ามสถานีชินจูกุ) หรือห้าง Isetan และห้าง Lumine

------------------------------------------

J-Scent

อีกหนึ่งแบรนด์สาย Niche Perfume ที่ใช้ง่าย และนำเสนอกลิ่นอายร่วมสมัยในความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นได้หลากหลายและมีเสน่ห์ในตัวสูงมาก และได้รับความนิยมส่งไปยังผู้เล่นน้ำหอมต่างๆ ในทุกมุมโลก กับราคาที่น่าคบหาและเข้าถึงได้ง่าย ถือเป็นอีกแบรนด์ที่เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้เล่นน้ำหอมเมืองไทยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: Roasted Green Tea, Ramune, Paper Soap, Sumo Wrestler และ Honey & Lemon

Place: ส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ตามร้านหนังสือ Tsutaya และ Hands หรือถ้าได้ไปตึก Shibuya Sky ข้างบนก็มีขาย ส่วนร้านที่ได้ไปเจอคือ Hands ที่ชินจูกุ และอีกที่คือตึก Tokyu Kabukicho Tower ที่ร้านขายของที่ระลึกชั้น 9

------------------------------------------

Liberta Perfume

เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาไม่นานแต่ฝีไม้ลายมือนั้นไม่ธรรมดา และสร้างสรรคกลิ่นออกมาได้ครบเครื่องในการเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ที่สำคัญแบรนด์มี Cologne Concentree ที่สร้างสรรค์กลิ่นจากการ Upcycle โดยเอา Waste ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมชาหรือสาเก มาสร้างสรรค์น้ำหอมที่ทำให้ได้กลิ่นอายชาและสาเกที่ยอดเยี่ยมและให้กลิ่นที่ธรรมชาติที่สุดมากๆ อีกด้วย 

แนะนำให้ลอง: สาย Cologne Concentree > Gin-Jo และ Cha-ba ส่วนสาย Liberation > Solterra, Fractus และ Nivalis

Place: แบรนด์มีสตูดิโออยู่ที่ "รปปงหงิ" แต่ต้องนัดก่อนทุกครั้งผ่าน IG หรือเว็บของแบรนด์ (เจ้าของแบรนด์พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก) หรือถ้าไม่อยากไปตัวต่อตัวขนาดนั้น อาจจะต้องติดตามดูผ่าน IG ของแบรนด์ว่ามี Pop-up Store ที่ไหนบ้างในเขตโตเกียวช่วงเวลานั้น แล้วก็บึ่งไปได้เลย 

------------------------------------------

AUX PARADIS

เป็นแบรนด์ Skin Care ที่ค่อนข้างมีความเก๋ เพราะนอกจากน้ำหอมกลิ่น Signature หลักจะอยู่ให้ซื้อหาได้เรื่อยๆ แล้ว ยังมีความพิเศษคือ บางกลิ่นจะซื้อหาได้เฉพาะฤดูกาลเท่านั้น (Limited Edition by Season) ซึ่งเป็นสายกลิ่นสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก มินิมัล และ Eco-Friendly ที่ขวดจะเป็นสีชาเรียบๆ 

แนะนำให้ลอง: Savon, Fleur, Homme, Fraise และ Grapefruit

Place: ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้าง Lumine ในหลายๆ สาขาที่โตเกียว ไม่ว่าจะเป็นชินจูกุ, ยูราคูโช หรืออิเคะบุคุโระ

------------------------------------------

retaW

เป็นแบรนด์ Body Care ที่มีความเก๋ในตัวเองสูงมาก โดยเฉพาะ Shop ของร้านที่แบบว่า โห นึกว่าโซนเครื่องดื่มเก๋ๆ ซะอีก ซึ่งแบรนด์นี้จะมีน้ำหอมด้วยทั้ง Liquid และ Solid Perfume หรือน้ำหอมแห้ง ซึ่งกลิ่นจะสบายๆ เรียบง่าย และไม่เน้นรบกวนใคร แต่มีสไตล์เนียนๆ กำลังดี ส่วนถ้าเป็นพวกสเปรย์จะเป็น Fabric Spray ที่กลิ่นน่าสนใจติดเสื้อผ้าทนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และแต่ละสาขาจะมีน้ำหอมเฉพาะสาขาด้วย

แนะนำให้ลอง: Allen, Everyn และ Burney

Place: บูติคที่ฮาราจูกุ หรือที่กินซ่า่ ที่น่าจะไปได้ไม่ยาก จริงๆ มีอีก 2 ที่ จะไม่เคยแว้บไปเลยขอข้าม 

------------------------------------------

OSAJI

เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นพอสมควรกับการเป็น Skin Care และที่สำคัญมีน้ำหอมที่น่าสนใจอยู่เยอะเสียด้วยทั้ง EDT ที่เอาสีต่างๆ มาแทนความรู้สึกแล้วแปลงออกมาเป็นกลิ่นอายที่มีดอกไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญและให้อารมณ์สไตล์ญี่ปุ่นใช้ง่ายเข้าถึงง่าย ส่วน EDP ก็จะเน้นความเป็นกุหลาบในรูปแบบต่างๆ ที่ให้อารมณ์ญี่ปุ่นลึกซึ้งและละเมียดได้ดีเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: กับ EDP แต่ถ้าคนที่ชอบกุหลาบน่าจะชอบทุกกลิ่น แต่ฝั่ง EDT > Fuji, Suisen และ Kuromoji

Place: Shop ของ OSAJI เลยที่ชิบูยะ ใกล้กับสถานี Otome-Sando หรือฮาราจูกุก็ได้ แต่จุดอื่นก็จะมีห้าง Isetan และ Lumine ที่ชินจูกุ 

------------------------------------------

เรียบร้อยแล้วสำหรับการไปตะลุยซึมซับกลิ่นอายน้ำหอมที่ Made in Japan ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

แต่สิ่งหนึ่งต้องเข้าใจกันก่อนว่า "น้ำหอมที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่าหรือว่าเล่นใหญ่ไฟกระพริบ" ซึ่งถ้าคาดหวังว่าจะไปแล้วเจอกลิ่นหนักๆ ตูมๆ ปังๆ ทนจัดจ้าน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง เพราะสไตล์ผู้คนบ้านเมืองเขาคือไม่เน้นรบกวนผู้อื่น เช่นนั้น คนที่ชอบน้ำหอมเบาๆ หรือสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติ รวมถึงให้ความรู้สึกแบบว่าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นนี่สิ บอกเลยโดยตกได้สบายมาก

Credit ภาพ: ทั้ง Logo และภาพน้ำหอมค้นหาจากเว็บไซต์ของแบรนด์หรือฐานข้อมูลน้ำหอม แล้วนำมาจัดวางรวมกัน


 

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Parfums Dusita - Anamcara

Parfums Dusita - Anamcara

ในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสได้ลองน้ำหอมของ Parfums Dusita สิ่งแรกที่จะปิ๊งแว้บเข้ามาในใจเสมอนั่นก็คือ “กลิ่นสวย” อารมณ์เหมือนความประทับใจแรกพบที่เวลาเราเจอคนหน้าตาหล่อสวยมากๆ แล้ววางตัวดีมีระดับแบบที่เราเองก็เข้าถึงเขาได้ไม่ยากอะไรประมาณนั้น ซึ่งไม่ว่ากลิ่นที่คิดว่าใช้ยากมากที่สุดอย่าง Oudh Infini ก็ยังมีรากฐานกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสวยงามและลุ่มลึกให้จับต้องได้อยู่เสมอ

และในปี 2021 ที่แบรนด์ได้ปล่อยน้ำหอมกลิ่นใหม่อย่าง Anamcara ที่ชื่อกลิ่นมาจากการโหวตของสมาชิกกลุ่มน้ำหอมอย่าง Eau my Soul ที่มี Concept ในการสร้างสรรค์จากคำว่า “Soul Friend” หรือเพื่อนแท้ ที่แม้อาจจะรู้จักกันมาไม่นาน แต่มีความเข้าใจและปรารถนาดีต่อกัน และคราวนี้กลิ่นจะมาในความสวยรูปแบบไหนว่ากันได้ตามนี้

สิ่งแรกที่รู้สึกได้ก่อนเลยคือความเป็นโทน Citrus ที่ให้ความเปรี้ยวติดหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากของส้มสีเลือดที่วูบขึ้นมา แต่จะมีความเป็นโทนเปรี้ยวอมหวานนวลๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เสริมเข้ามาและเชื่อมต่อไปกับโทนผลไม้อย่างพีชที่จะให้ความหวานนวลหอม ทำให้ได้ความเป็นโทน Fruity กึ่ง Citrus ที่เสริมด้วยดอกไม้ขาวกำลังดีให้ความสวยแบบสดใสแต่ไม่ได้ออกแนว Bubble Gum เพราะทีเด็ดที่สำคัญมากนั่นคือ โทน Smoky ที่ออกทางติดควันๆ คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันเผาใบชาที่แทรกตัวเข้ามาเร็วมาก ทำให้ช่วงต้นมีความซับซ้อนแบบ Fruity Citrus Smoky ที่เกินคาดกับการ Twist ทางกลิ่นที่ให้อารมณ์เท่ห์ๆ แกมสว่างสวยๆ ในเนื้อกลิ่นได้ลงตัวและสมดุลย์มาก

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งมีความชัดเจนมากกับการเป็นโทน Fruity Aromatic Smoky โดยจะยืนพื้นที่การเป็น Fruity Tea หรือชาพีชที่มีความสดชื่นของกลิ่นส้มเจืออยู่ประปราย แต่ความเป็นโทน Smoky คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันใบชาดำจะตีคู่ไปกันแบบเท่าเทียม แต่ในมิติของกลิ่นจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะมีลูกผสมที่ให้ความอวลหน่อยๆ รองพื้นอยู่จากการเป็นลูกครึ่งระหว่างวานิลลาแกมครีมมี่ติดเขียวนิดๆ ของดอกไม้ขาวที่จะเด่นกับการเป็นซ่อนกลิ่น ที่มีปลายกลิ่นนวลแบบมะลิที่แอบมีลูกโทน Indolic เย้ามีเสน่ห์เล็กๆ แฝง และใสแบบกุหลาบเบาๆ ทำให้มิติกลิ่นช่วงนี้จะไล่เรียงจากความเป็นชาพีชที่มีความ Smoky ซ้อนด้วยการเป็นดอกไม้ขาวนวลครีมมี่ติดเขียวบางๆ และมีความนวลวานิลลา เรียกว่าเป็นช่วงกลิ่นที่ปล่อยของเลยก็ว่าได้ เพราะมีทุกโทนให้สนุกในการจับกลิ่นมากๆ และมีเสน่ห์ในตัวเองสูงในความแตกต่าง ซึ่งต้องยกให้โทน Smoky เลยที่แต่งเติมให้กลิ่นนี้มีความน่าค้นหา โดยยังคงความสวยของกลิ่นต่างๆ ได้อยู่ครบถ้วน

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มผันตัวเองเป็นโทน Woody มากขึ้น ซึ่งจะมีมิติที่น่าสนใจมากคือความครีมมี่ที่มาแบบพอเหมาะกำลังดีของไม่จันทน์หอม แกมความโปร่งติดปร่าขรึมหน่อยๆ ของซีดาร์ และมีความ Earthy ลูกผสมที่มาจากกลิ่นออกทางหญ้าแห้งแกมดินนิดๆ ของหญ้าแฝก และที่สำคัญความปร่าระเรื่อหวานแกมดินอ่อนๆ จากพิมเสนที่ให้ความปร่ารื่นจมูกมากเวลากลิ่นตีขึ้น ซึ่งโทน Smoky จะเหลือเพียงประปราย แต่ยังมีกลิ่นออกทางผลไม้ที่ค่อนไปทางไซรัปพีชกึ่งแอปริคอตฉาบหน้าดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic หน่อยๆ แฝง สร้างโทน Animalic เนียนๆ อย่างมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นจะให้ความรื่นรมย์ที่หลากมิติในการใช้งานไม่ว่าจะได้ทั้งความเป็นไม้หอมครีมมี่อ่อนๆ แกมปร่า ติดกลิ่นพีชที่หวานลึกๆ แกมดอกไม้ขาวตุ่นอ่อนๆ โดยทั้งหมดจะมีความปร่าระเรื่อหวานเย้าของพิมเสนแทรกอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด เป็นการปิดท้ายกันยาวๆ ได้อย่างสมดุลย์ รื่นรมย์ และลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน แม้ว่าจะมีกลิ่นโทนออกหวาน แต่เพราะความ Smoky นี่แหละที่มาทำให้กลิ่นเป็นโทนที่เข้าได้กับทุกเพศอย่างไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีแค่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่ได้ Match เท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่ออกงานหรือท่องกลางคืนแบบหรูๆ ก็ลงตัว แต่ถ้าต้องการใส่ไปประชันเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจกับสายอัดแน่นอวลจัดจ้าน อันนี้แนะนำให้ข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้มาสายทรงพลังมากขนาดนั้น เน้นมีระดับและมีเสน่ห์แบบวางตัวดีเสียมากกว่า

ความทน - อันนี้ต้องยอมให้ความจัดจ้านเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เจอในการใช้งานคือ 15 ชม. ไม่พออาบน้ำล้างตัวแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่เลย ซึ่งเท่าที่ทราบความเข้มข้นของน้ำหอมค่อนข้างสูงราว 29% เลยทีเดียว เรื่องนี้เลยถือว่าหายห่วง

การกระจาย - ต้องเรียกว่าเป็นความเสถียรที่ดีมากในการกระจายดีตั้งแต่ต้นยันช่วงกลางซึ่งตีไปราวๆ 4 ชม. ได้เลยที่สัมผัสได้ว่าคงที่สม่ำเสมอ ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 7 ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 12 ก็จะค่อยๆ ลดลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - สัมผัสได้อย่างคือการเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นข้อดีของกลิ่นก่อนหน้าที่ออกมาวางจำหน่ายมาประกบเข้าด้วยกัน ทั้งความหวานในลักษณะที่คล้าย Moonlight in Chiang Mai เอาความเป็นดอกไม้ขาวรื่นจมูกสวยๆ แกมเขียวมีโทน Animalic เนียนๆ ของ Melodies de L’Amour เป็นต้น มาเจอกันแล้วพัฒนาต่อเป็น Anamcara ที่มีลูกเล่นที่แตกต่าง และต้องยอมรับในความยอดเยี่ยมที่เอาโทน Smoky มาสร้างความแตกต่างได้อย่างมีเสน่ห์มากจนเกินความคาดหวังไปมาก จนต้องยอมรับเลยว่าไม่ธรรมดา มีเสน่ห์ มีระดับ และที่สำคัญ “กลิ่นสวย” จริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/anamcara-campaign



 

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Nemat Perfumes - Lotus (Oil Perfume)

Nemat Perfumes - Lotus (Oil Perfume)

จากจุดเริ่มต้นของการทำเครื่องหอมและน้ำมันหอมจากดอกกุหลาบ ที่มาจากการทำสวนกุหลาบในประเทศอินเดีย สู่การต่อยอดมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่คลุกคลีกับวงการความหอมกันมาอย่างยาวนาน และเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในตลาดความหอมของอินเดียมาอย่างยาวนาน และเป็นหนึ่งใน Supplier ที่จัดส่ง Product ทั้ง Attar (Oil) และสารหอม + น้ำหอมต่างๆ ไปยังฝั่งตะวันออกกลางเสียด้วย จนปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจน้ำหอมอย่างชัดเจนในระดับโลกแล้วกับการเป็น Nemat International ที่จัดจำหน่ายน้ำหอมแบรนด์ Nemat ไปทั่วโลกโดย Set up ธุรกิจที่ USA เรียบร้อย

และแบรนด์นี้ก็กลายเป็นที่กล่าวขานขึ้นมาในกลุ่ม Community ของน้ำหอมต่างๆ ขึ้นมาทันที เพราะแต่ละกลิ่นมีความไม่ธรรมดาไม่ว่าจะทั้งฝั่ง Oil Perfume ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่อยู่ที่อินเดียแล้ว และฝั่ง Eau de Parfum ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ เพราะเนื้อกลิ่นมีความน่าสนใจในลักษณะกลิ่นที่อาจจะไม่ได้หวือหวาหรือ Unique จ๋า แต่มีคุณภาพในเนื้อกลิ่นแบบที่สร้างความประทับใจในสไตล์ Niche Brand ได้สูงมาก เช่นนั้น เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ ก็ขอสัมผัสกับสิ่งที่คิดว่าน่าจะท้าทายที่สุดกับการเอากลิ่นอายโทน Floral Aquatic มาสร้างสรรค์เป็น Oil Perfume ซักหน่อย ซึ่งกลิ่นนั้นนั่นก็คือ Lotus

ช่วงเปิด - เนื้อกลิ่นจะมีน้ำหนักพอสมควรตามประสาการเป็น Oil Perfume เนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นโทนดอกไม้ที่หวานและมีความใสก็จริง แต่ก็มาแบบสไตล์แนวน้ำมันที่กลิ่นเข้มชัดเสียมากกว่า ซึ่งถ้าคาดหวังความใสๆ หอมเบาๆ สบายๆ แบบกลิ่นดอกไม้หวานอ่อนๆ สดชื่นสไตล์น้ำหอมแอลกอฮอล์บอกเลยว่าไม่มี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นมีโทนออกทางดอกบัวให้จับต้องได้เพราะมีกลิ่นหวานใสให้รู้สึกได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะมีความเป็นดอกไม้รวมๆ เพราะว่าจะจับต้องได้ทั้งความเป็นโทนดอกไม้ขาวอย่างมะลิ และโทนดอกไม้สีชมพูแนวๆ โบตั๋นและมีความเป็นกุหลาบเบาๆ อารมณ์ช่อดอกไม้ที่ออกทางสีขาวแกมชมพูที่ให้ความหอมหวานนวล ผนวกกับกลิ่นออกทางผลไม้หวานใส ซึ่งเดาว่าลูกแพร์กับโทน Citrus Oil หน่อยๆ ที่เป็นเสมือนแกนหลักเสียมากกว่า 

ช่วง Dry Down - การเปลี่ยนถ่ายระหว่างการเป็นช่วงต้นมาเป็นช่วงท้ายจะมีลักษณะที่เป็นดอกบัวชัดเจนมากขึ้น เพราะว่า เนื้อกลิ่นหนักๆ แบบ Oil จะลดลงไปเหลือเพียงกลิ่นหวานใสอ่อนๆ ที่ให้ความเป็นดอกบัวเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่ามีความเป็นดอกไม้รวมๆ คลออยู่ตามปกติ เพียงแต่เบาลงไปมาก แต่สิ่งที่เข้ามาเสริมเต็มตัวมากขึ้นและเป็นฐานกลิ่นที่จะอยู่ยืนยาวไปจนกว่าจะสิ้นสุดหายไปจากผิวนั่นก็คือ White Musk ซึ่งจะให้ความหอมนุ่มนวลๆ เสริมกับโทนดอกไม้ได้ดีมาก ซึ่งเมื่อกลิ่นผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัวก็จะเป็น Floral Musk ที่โปร่งๆ กำลังดี มีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ หน่อยๆ เสริมให้กลิ่นยังมีมิติให้ครบถ้วยซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจันทน์หอมอ่อนๆ ทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่เรียกว่ายังไงก็รอดในการเป็นกลิ่นดอกไม้หวานโปร่งๆ แกมนวลกึ่งนุ่มหอมระเรื่อๆ ได้ลงตัวและยาวนาน

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงถึง 80% เลยก็ว่าได้ เพราะช่วงต้นกลิ่นดอกไม้มาเต็มจริงๆ จนเรียกว่า Feminine เต็มขั้นก็ไปแปลก แต่เมื่อเข้าช่วง Dry Down ถึงเป็น Unisex มากขึ้นแตะที่กลางๆ ไม่ฝักใฝ่เพศใดได้กำลังดี ซึ่งเข้ากับหลายๆท สถานการณ์ยามกลางวัน (แบบไม่หนักหน่วงในการแต้มมากเกินไป) ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ กลิ่นจางลงไปพอสมควรแล้วจะลุยออกเหงื่อก็ไม่เสียหาย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด 

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เลย เพราะความเป็น Oil Perfume เลยแกะผิวหนับมากๆ ทำให้ความทนยาวนานจริงๆ ถึง 15 ชม. แถมเมื่ออาบน้ำแล้วกลิ่นยังเกาะผิวระเรื่ออ่อนๆ อยู่ตลอดเสียด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะดรอปลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวที่มีน้ำหนักในเนื้อกลิ่นอยู่ราวๆ 2 ชม. ถึงจะผ่อนความหนาของกลิ่นลงไปเรื่อยๆ โดยยังคุมโทนการกระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวอยู่ จนเมื่อผ่านไป 10 ชม. แล้วถึงค่อยๆ ลงมาติดผิว

สรุป - อาจจะไม่ใช่ Lotus หรือดอกบัวจ๋าๆ แบบสื่อชัดเจนตั้งแต่ต้น ซึ่งค่อนไปทางดอกไม้รวมเสียมากกว่า แต่ก็ยังมีให้รู้สึกได้อยู่ตลอด จึงไม่น่าเขินที่จะให้ชื่อว่า Lotus แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เลยคือความมินิมัลในเนื้อกลิ่นที่ไม่ซับซ้อน แต่ให้ความหอมแกมหวานระเรื่อได้อย่างต่อเนื่องและเรียบหรู นี่สิที่ถือว่าทำได้ดีมากๆ และเป็นอีกหนึ่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่ใช้ง่ายและเสริมเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://nematperfumes.com/products/lotus