วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Review: Yves Rocher - Voile d’Ocre

Yves Rocher - Voile d’Ocre

หลังเปิดตัว Collection - Eaux de Parfum ถึง 9 กลิ่นในปี 2019 ของ Yves Rocher นอกจากจะเน้นกลิ่นอายธรรมชาติและ Note กลิ่นที่เจาะจงในการนำเสนอมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่บอกได้ค่อนข้างชัดเจนว่าในแต่ละรุ่นของ Collection นี้อารมณ์กลิ่นก็จะเหมือนท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยการเอา Note กลิ่นหลักๆ นั้นๆ มาเป็นตัวเดินกลิ่นให้เข้าตาม Concept อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนคาดว่าน่าจะเป็น Collection หลักของแบรนด์ไปยาวๆ แน่ๆ

และในปีถัดมา (2020 ปลายปี) ก็มีการตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยการปล่อยกลิ่น Voile d’Ocre ออกมาเพิ่มเติม โดยสื่อสารถึงความเป็นกลิ่นไม้จันทน์หอมเป็นตัวหลัก และเขียนอย่างชัดเจนว่าสื่อถึงการไปท่องทะเลทราย โดยการจับ Match ระหว่างสีนวลทองของทรายมาเป็นกลิ่นอายลงขวด เช่นนั้น เมื่อดมแล้วความน่าสนใจมาเต็มก็ต้องให้รู้และบอกต่อได้แบบนี้

Voile d’Ocre เปิดตัวได้ชัดตรงตามการสื่อสารของแบรนด์มากเลยทีเดียว เพราะจะรับรู้ได้ตั้งแต่ต้นเลยว่า “ไม้จันทน์หอม” จะเป็นแก่นหลักของกลิ่นที่อยู่ยั้งยืนยงกันไปยาวๆ ตั้งแต่ต้นยันจบแน่นอน โดยจะให้ความเป็นกลิ่นอายครีมมี่ติดจืดหอมเฉพาะตัวออกมา โดยมีโทนกลิ่นติดเขียวๆ ที่ไม่ได้เขียวคม แต่เป็นเขียวทึบปร่ามิลค์กี้ที่มีความสดชื่นมากกว่า ซึ่งทำให้นึกถึง Fig ขึ้นมาทันที ซึ่งน่าจะเป็นการผสมผสานเอาข้อดีจากความเขียวของใบ +ความปร่ามิลค์กี้ของเนื้อตรงติดเปลือกผล มาทำให้กลิ่นไม้จันทน์หอมมีความสดชื่นแฝงอยู่ให้จับต้องได้

แต่ไม่ใช่แค่นี้เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีการปรับตัวเข้าสู่ช่วงกลางโดยลดความเขียวที่รู้สึกได้หน่อยๆ ในตอนต้น ให้เริ่มมีโทนกลิ่นออกทางไม้หอมครีมมี่มิลค์กี้ที่ชัดเจนขึ้น ให้อารมณ์แบบไม้ติดปร่าแบบไม้ทำดินสอซึ่งเป็นสไตล์ชัดเจนของไม้ซีดาร์เลยที่มาทำให้เนื้อกลิ่นมีความปร่าปนแห้ง และที่สำคัญมีกลิ่นออกทางมะพร้าวที่ไม่ใช่เป็นโทนกะทิจ๋า แต่มาแบบเบาๆ ครีมมี่กำลังดีที่มาทำให้เนื้อกลิ่นมีมิติอะโรม่าแกมหวานกึ่งเครื่องเทศเนียนๆ เข้ามาเสริมให้จับต้องได้ด้วย รวมถึงมีลูกเล่นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวแกมโทนแป้งอบอุ่นมาเป็นฐานกลิ่นเต็มตัว แต่ยังไงก็ตามไม้จันทน์หอมยังคงยืนหนึ่งให้ความครีมมี่นุ่มนวลสบายจมูก และให้ความรู้สึกสีครีมแกมสีน้ำตาลแบบสีของทรายได้เหมาะมาก

ช่วงท้ายจะเป็นโทนแป้งแกมไม้หอมอบอุ่นที่ชัดเจนมาก และค่อนข้างให้ความอวลๆ แบบกำลังดี ไม่หนัก และไม่เบาเกินไป ความเป็นไม้จันทน์หอมที่มีลูกเอื้อนปร่าไม้ซีดาร์ยังอยู่ครบถ้วน แต่จะเสริมด้วยกลิ่นอายโทนแป้งของวานิลลาที่ให้อความอบอุ่นนุ่มละมุนกำลังดี โดยที่เนื้อกลิ่นคุมโทนได้ลงตัวสมดุลย์ระหว่างการเป็นโทนไม้ครีมมี่มิลค์กี้แห้งๆ กับโทนอบอุ่นเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก จึงจัดได้ทุกเพศเลยในการใช้งาน และเข้ากับการใช้ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปเลย เพราะพื้นฐานกลิ่นมีเสน่ห์อยู่แบบไม่ต้องเยอะสิ่งหรือเล่นใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบ Daily Life ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่จะมีอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่นั่นคือ ใส่ไปออกกำลังกาย เพราะกลิ่นอาจจะตีขึ้นพอตัวจนอาจจะทำให้อึดอัดได้ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนก็จัดไปโดยเฉพาะการใส่แบบออกงาน โรแมนติค หรือว่าใส่แบบทั่วไป แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีอาจจะโดนกลบจากกลิ่นแน่นๆ ทั้งหลายได้ง่ายหน่อย

ความทน - พื้นฐานคือ 6 - 8 ชม. แต่ยืดออกไปได้อีก ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ เรียกว่าเป็นกลิ่นหนึ่งที่ความทนดีงามของ Yves Rocher เลยก็ย่อมได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป และเริ่มติดผิวเมื่อผ่านไปราว 8 ชม. ขึ้นไปตามแต่ละคน

สรุป - ส่วนตัวถ้าต้องเปรียบเทียบกับกลิ่นแนวไม้จันทน์หอมที่ดังในตลาด Voile d’Ocre คือ กลิ่นไม้จันทน์หอมในแบบที่สมดุลย์ ให้ความกำลังดี และมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่น แบบไม่หนักหน่วงเกินไป หรือเบาโหวงเกินไป ซึ่งสื่อสารถึงกลิ่นอายแบบทะเลทรายสวยๆ ตามคำโปรยได้ชัดเจน เพราะให้ทั้งความแห้ง อบอุ่น และนุ่มครีมมี่อย่างมีเสน่ห์ได้ลงตัว และถ้าต้องบ้าจี้เทียบกับกลิ่นดังๆ ตัว Top ของสายนี้อย่าง Santal 33 ก็จะบอกว่า “ใช่มันก็กลิ่นไม้จันทน์หอมเหมือนกันแหล่ะ แต่กลิ่นนี้เบากว่า นุ่มกว่า และอบอุ่นมากกว่า โดยไม่ทรงพลังจนทำให้ตึ้บเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นอีกทิศทางหนึ่งที่ออกไปอีกเส้นทาง ไม่ได้เหมือนกันอะไรจนกลายเป็น Duplicate Scent แต่อย่างใด” 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.yvesrocherusa.com/fragrance/women-s-fragrance/eau-de-parfum/eau-de-parfum-voile-d-ocre/p/84199

 

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Review: Tada Parfumeur - Kisaragi

Tada Parfumeur - Kisaragi

ส่วนตัวในแง่คนใช้งานน้ำหอมและมีความอินกับประเทศญี่ปุ่น มักจะมีความคาดหวังที่ทั้งออกนอกหน้าหรือว่าซ่อนอยู่ในเบื้องลึกเสมอว่า “เราอยากได้น้ำหอมกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกแบบสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะเอาแรงบันดาลใจมาจากอะไรก็ตามที ซึ่งถ้ากลิ่นมี Feeling แบบญี่ปุ่น ในใจคือฟินไปแล้วเกิน 50%” และแน่นอนก็กลายเป็นหนึ่งใน Mission ส่วนตัวที่มักจะตามหากลิ่นอายแบบญี่ปุ่นในน้ำหอมมาครอบครองเสมอ และหนึ่งในนั้นที่ได้พบเจอก็คือ Collection - Reminiscence of Nippon ของแบรนด์ Tada Parfumeur ที่เอาความเป็นญี่ปุ่นจากการได้ไปเยือนและเก็บกลิ่นแห่งความทรงจำมาแปลงสู่ขวดในที่สุด

และหนึ่งในนั้นก็มีการนำเสนอกลิ่นอายของเมืองทาคายามะ ของจังหวัดกิฟุ ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นรอยต่อระหว่างฤดูหนาวมาสู่ฤดูใบไม้ผลิที่ยังคงมีความหนาวเย็นเป็นแก่นหลักของสภาพอากาศอยู่ตลอด + ย่านเมืองเก่าที่มีความลุ่มลึกและสวยงามในสไตล์ญี่ปุ่น + ที่สำคัญเมืองทาคายามะเป็นหนึ่งในเมืองที่ผลิตไม้คุณภาพดีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ + สิ่งสำคัญที่สุด คือ การได้ไปเยือนสถานที่นี้ของ Perfumer ที่ได้เก็บกลิ่นอายความรู้สึกในความเย็น ชื้น กลิ่นอายไม้เก่าๆ จากบ้านเรือนที่เมืองนี้มาสู่การเป็นน้ำหอมกลิ่นที่ชื่อว่า Kisaragi ที่จะมาถ่ายทอดกลิ่นต่อจากนี้

ช่วงเปิด คือ การทำให้เปิดโลกของการรับกลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติและไม่ได้ปรุงแต่งอย่างมากเกินคาด เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความรู้สึกแบบไม้ฮิโนกิที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นไม้เก่าๆ ตุ่นๆ ที่มีความเขียวทึบแฝงในเนื้อไม้ที่เปียกน้ำ ให้นึกภาพสิ่งปลูกสร้างแบบบ้านไม้เก่าๆ ที่เปียกชื้นหลังฝนตก นั่นแหละใช่เลย เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นกึ่งยางไม้สนแบบเข้มข้นที่ชัดเจนพอสมควรเลยทำให้กลิ่นมีความตุ่นแบบที่เป็นธรรมชาติ โดยจะมีโทน Citrus ที่ติดขมหน่อยๆ ของ Bergamot เป็นตัวเชื่อมโทนกับกลิ่นเย็นๆ ที่คลอรายรอบอยู่ 

ความต่อเนื่องระหว่างช่วงต้นสู่ช่วงกลางการเปลี่ยนแปลงจะมีความมินิมัลอยู่พอสมควรและมาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกลิ่นโทนทึบๆ ตุ่นๆ แบบแรกสัมผัสเวลาเราไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นชินแล้วกลิ่นในสถานที่นั้นจะเข้มข้นในความรู้สึกในช่วงแรกๆ ก่อนจะชิน ก็จะเริ่มจางลงไป ซึ่งตอนนี้จะได้กลิ่นอายที่เป็นบรรยากาศมากขึ้น เพราะนอกจากกลิ่นในช่วงต้นของฮิโนกิที่จะเริ่มมีความแห้งขึ้นมาอีกสเต็ป ก็จะมีกลิ่นของหญ้าแห้งมาสร้างความเขียวอะโรม่าและมีโทนลาเวนเดอร์ติดโทนเขียวที่ทำให้กลิ่นมีมิติที่เป็นบรรยากาศกลิ่นสภาพแวดล้อมมากขึ้น ลดความทึบและตุ่นลงมาในระดับที่กลางๆ กำลังดี ซึ่งเมื่อดมแบบพินิจพิเคราะห์จะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางปร่า Spicy หน่อยๆ ที่มีความหวานเจือเนียนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นสนไพน์ที่เสริมเข้ามาให้เนื้อกลิ่นของฮิโนกิมีมิติที่อะโรม่าแกมหวานปร่าสบายๆ มากขึ้น โดยทั้งหมดทั้งมวลยังคงมีความรู้สึกอากาศเย็นๆ ให้จับต้องได้ประปราย ที่สร้างโทนให้เป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่เป็นเมืองเก่า บ้านไม้ อากาศเย็น ชื้นบางๆ ค่อนไปทางแห้ง โดยที่ไม่ได้ไปทางโทนสว่างหรือดาร์กเกินไป ให้ความกึ่งทึมกึ่งนิ่งกึ่งขรึมเสียมากกว่า  

ในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเป็นโทนไม้หอมแบบชัดเจน โดยยังคุมโทนที่กลิ่นแนวไม้สนของฮิโนกิอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีความแห้งมากขึ้นเพราะมีโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เข้ามา และมีความนวลๆ ของไม้จันทน์หอมที่เสริมให้กลิ่นมีมิติโทนนุ่มนวลของไม้หอมมากขึ้น แฝงด้วยกลิ่นโทนแนวยางไม้ Incense ที่สร้างความปร่าหน่อยๆ ให้กลิ่นแบบนั่งอยู่ในเรือนไม้เปิดโล่งที่มีกลิ่นอายเฉพาะที่ให้ความเป็นไม้สนที่ติดชื้นแฝง แต่มีกลิ่นกึ่งปร่าหน่อยๆ มีความหวานเบาๆ ที่ผ่อนคลาย และมีความเขียวแบบกลิ่นติดป่าสนที่จับวูบแรกก็ตอบได้เลยว่า Oakmoss ที่มาเสริมบรรยากาศมากขึ้น โดยที่ยังคงความทึมๆ ในกลิ่นอยู่ให้จับต้องได้ตลอด เป็นการปิดท้ายกลิ่นอายบรรยากาศที่ได้ความรู้สึกแบบเมืองเก่า เรือนไม้สไตล์กลิ่นอายเฉพาะแบบญี่ปุ่น และบรรยากาศรายล้อมที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบทึมๆ ได้มีเอกลักษณ์ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่เนื้อกลิ่นจะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย เพราะเป็นโทนไม้หอมเป็นหลัก แต่ถ้าไม่มายด์ก็ใส่ได้สบายมาก ให้ความรู้สึกขรึมๆ นิ่งๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวในอีกรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบทั้งใส่ทั่วๆ ไป หรือจะใส่แบบทางการหรืออกงานก็พอได้อยู่ เพราะกลิ่นมีความนิ่งแต่มีความลึกที่เข้ากับภาพลักษณ์ที่นิ่งแต่ผ่อนคลายได้ดี แต่ให้ตัดออกไปได้เลยคือใส่เพื่อออกกำลังกาย กับใส่ท่องราตรี เพราะไปด้วยกันไม่ได้แต่อย่างใด อ้อ อีกอย่าง ใส่เพื่อสร้างสมาธิและความนิ่ง อันนี้ทำได้ดีมาก เพราะกลิ่นฮิโนกิจะสร้างความรื่นรมย์และให้ความรู้สึกมีสมาธินิ่งผ่อนคลาย

ความทน - 8 ชม. แล้วกลิ่นยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย และไปต่อได้อีกซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. ที่ยังรับรู้กลิ่นได้ตลอด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางคงตัวเสถียรกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ 

สรุป - สิ่งแรกเลยคือชอบความเป็นกลิ่นไม้สนที่ติดทึมๆ ชื้นๆ ในกลิ่นนี้มาก ซึ่งให้อารมณ์แบบไม้เก่าจากสิ่งปลูกสร้างที่ชื้นๆ เปียกๆ และมีความเย็นคลอได้ดี รวมถึงการเป็นกลิ่นฮิโนกิที่ค่อนข้างมีความชัดเจนจริงๆ ให้ได้เรียนรู้กลิ่น โดยมีบรรยากาศแบบญี่ปุ่นในเมืองเก่าและกลิ่นอายธรรมชาติให้จับต้องแบบเนียนๆ ซึ่งถือว่าจับสภาพแวดล้อมมาสู่กลิ่นลงขวดได้ครบถ้วนและสร้างการรำลึกถึงญี่ปุ่นได้ดีมากๆ อีกหนึ่งกลิ่น

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/TadaParfumeur

 

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Review: Yves Rocher - Vert Envolee

Yves Rocher - Vert Envolee

เพราะเป็นหนึ่งใน Collection ที่เป็นที่นิยมอย่างมากของ Yves Rocher แน่นอนว่าในแต่ละปีจะมีกลิ่นใหม่ออกมาให้เกิดความสนใจใคร่ดมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตัวในความเป็น Eaux de Parfum มา และในปี 2023 เองก็มีกลิ่นประทับตราออกมาแล้วเช่นกันนั่นก็คือ Vert Envolee

จากคำโปรยที่บ่งบอกว่ากลิ่นนี้จะเป็นการนำเสนอความสดชื่นแบบสีเขียว อารมณ์กลิ่น Landscape ทุ่งหญ้าสีเขียวที่มีความเป็นสไตล์กลิ่นธรรมชาติที่ให้ความรื่นรมย์และสดชื่นที่สร้างพลังให้กับผู้ใช้ ยิ่งทำให้เกิดความน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะพื้นเพกลิ่นของแบรนด์ไม่ได้เป็นสไตล์เอะอะก็ปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่า น่าจะมาแบบที่กำลังดีให้ความใสๆ ผ่อนคลาย และสิ่งที่ได้จากการใช้งานก็คือ

ตรงตามที่คาดหวังไว้ทุกประการ เพราะกลิ่นเปิดมาก็สัมผัสได้ถึงความเขียวกึ่งอะโรม่ากึ่งสดชื่นที่ติดหวานใสหน่อยๆ อารมณ์กลิ่นจะให้ความรู้สึกลูกครึ่งอยู่ 2 ส่วน คือ ความเป็นกลิ่นเขียวใบไม้กึ่งหญ้าที่ติดหวานใสแกมเปรี้ยวหอมสดชื่นของโทน Citrus ที่มีความฉ่ำกำลังดีของเลมอนเสริม + กับกลิ่นอะโรม่าของชาที่ติดเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ทำให้ได้ความรู้สึกแบบชาเอิร์ลเกรย์หน่อยๆ แต่เพราะความใสและติดฉ่ำ แกมบรรยายกาศติดขมของโทน Citrus เลยทำให้กลิ่นนี้มีความสดชื่นตีคู่ไปด้วยตอด เรียกได้ว่าช่วงเปิดคือความเขียวแกม Citrus ที่มีมิติให้จับต้องได้ โดยคุมโทนมินิมัลแบบบรรยากาศหอมลอยตามลมแบบกลางๆ ได้ดีเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางเรียกว่า เปลี่ยนเล็กน้อยจากช่วงต้น เพราะเนื้อกลิ่นยังคงความหอมเขียวใสๆ ที่ผสมผสานทั้งกลิ่นใบไม้ ใบหญ้า และชาดำ รวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวที่ให้มิติเขียวหอมอะโรม่า และมีความเป็น Citrus สร้างบรรยากาศเช่นเคย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือกลิ่นกุหลาบเบาๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความรื่นรมย์เข้ามาอีกสเต็ปและซ่อนความหวานใสที่เข้ากันได้ดีกับโทนเขียวโปร่ง เขียวอะโรม่า เขียวผ่อนคลาย เขียวใส + สดชื่นติดเปรี้ยวใสเบาๆ ได้ลงตัวมาก โดยยังคุมโทนการเป็นกลิ่นสบายๆ เบาๆ ผ่อนคลายแบบกลิ่นลอยตามลมได้ครบถ้วน

เนื้อกลิ่นจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย แต่กลิ่นโทนเขียวสดชื่นแกมกุหลาบอ่อนๆ จะเบาลงมาพอสมควรมาสอดรับกับ Musk ที่ออกไปทางใสๆ มากกว่าจะข้นนวล ที่สำคัญมีกลิ่นไม้หอมบางๆ ที่ให้ความสะอาดแฝงอยู่เนียนๆ อยู่ด้วย เลย ซึ่งกลิ่นกุหลาบที่เบาๆ เสริมกับ Musk ให้ความสะอาดเบาๆ ติดใสๆ แกมหวานอ่อนๆ คลอผิว โดยมีกลิ่นเขียวสบายๆ ประปราย เป็นการปิดท้ายกลิ่นท้ายที่ให้ความเขียวรื่นรมย์โอบล้อมครบถ้วนตั้งแต่ชัดยันเบาและต้นยันจบได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุไว้ว่าเป็นของผู้หญิง แต่จริงๆ มีความเป็นสไตล์ Unisex อยู่ไม่น้อย + กับกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เช่นนั้นผู้ชายเลยใช้ได้สบายมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะไปใช้ยามค่ำคืน เน้นใช้แบบสบายๆ ทั่วไปหรือออกงานแบบเน้นความสุภาพจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีเรียกว่าไม่ได้กลิ่นที่ตัวเองใช้มาแน่นอน เพราะชาวบ้านกลบจนมิดไปแล้วเรียบร้อย

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 4 - 6 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวใช้ไปที่ 7 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวม กลิ่นทนไปถึง 8 ชม. ได้สบายๆ โดยเฉพาะบนเสื้อ ซึ่งถ้าใครกลัวไม่ทน พกไปเติมระหว่างวันได้สบายมาก  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น พอพ้นไปซัก 5 - 10 นาทีก็จะลดลงมาปานกลางไปราวๆ 30 นาที แล้วที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 ก็จะติดผิวแล้ว

สรุป - ถ้าจับเข้าทีมก็เอาเข้าทีมแนวๆ เดียวกับสิ่งที่เคยมีในแบรนด์นี้มาก่อนได้เลยไม่ว่าจะเป็น The Vert หรือ Naturelle เพราะมาสายเดียวกัน กลิ่นโทนใกล้เคียงกัน ให้อารมณ์เขียวสดชื่นแกมผ่อนคลายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ Vert Envolee จะชัดเจนกว่า เพราะเป็น EDP และสร้างออร่าเขียวสดชื่นติดธรรมชาติกลั้วกุหลาบอ่อนๆ ได้ลงตัวไม่แพ้กลิ่นไหนเลยจริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.yvesrocherusa.com/fragrance/women-s-fragrance/eau-de-parfum/eau-de-parfum-verte-envolee/p/10181

 

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Review: Tada Parfumeur - Hypnotised

Tada Parfumeur - Hypnotised

อิงจากแบรนด์ที่ระบุไว้ว่า มีแรงบันดาลใจในการทำน้ำหอมกลิ่นนี้มาจาก Lemon Cheese Tart (ที่แค่นึกภาพตาม ก็อยากได้ซักชิ้น + ชาร้อนหอมๆ ขึ้นมาทันที) ซึ่งแน่นอนว่าถ้านึกถึงกลิ่นก่อนที่จะเอาเข้าปาก และเมื่อเอาเข้าปากไปแล้วนั้น มันจะมาทั้งความหอมของถ้วยทาร์ตที่มีกลิ่นแป้งอบ เนย และวานิลลาหน่อยๆ ความอวลของชีสที่นุ่มละมุนของเป็นเอกลักษณ์ หรืออาจจะมีอารมณ์ครีมชีสที่ติดเปรี้ยวหอมเฉพาะกึ่งโยเกิร์ต กลิ่นของเลมอนซอสหรือครีมที่เปรี้ยวทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น และถ้วยเดียวไม่น่าจะพอละม้าง

และน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นความหลงใหลของใครซักคนที่อยู่เบื้องหลังน้ำหอมกลิ่นนี้ ที่น่าจะชอบกิน Lemon Cheese Tart จนทำให้ไม่อยากพลาดในการลองกลิ่นอายของน้ำหอมขวดนี้ที่แบรนด์ Tada Parfumuer ได้นำเสนอออกมา และเมื่อใช้งานแล้ว จึงได้เรียบเรียงออกมาแบบนี้ว่า

Hypnotised เปิดตัวมาก็ให้อารมณ์แบบกลิ่นอุ่นๆ ของทาร์ตครีมชีสที่มีกลิ่นของเลมอนครีมหรือซอสฟุ้งออกมาโดยแบ่งออกเป็นเลเยอร์ที่ชัดเจนแบบชั้นทาร์ตเลยก็ว่าได้ เพราะแน่นอนว่าสิ่งแรกที่มาคือเลมอน แต่ไม่ได้มาแบบใสกิ๊งกระจ่างแนวน้ำผลไม้ แต่มาแบบมีน้ำหนักที่มีลูกเอื้อนความหวานลักษณะคล้ายซอสเลมอนที่มีความเปรี้ยวนำและหวานหอมตาม เชื่อมโยงกับเลเยอร์ที่เป็นครีมชีสที่ให้อารมณ์ลูกผสมกลิ่นชีสที่ติดเปรี้ยวค่อนไปทางโยเกิร์ตที่มีน้ำหนัก และมีกลิ่นแนวอบเชยที่เสริมเข้ามาให้กลิ่นมีความอบอุ่นและหวานเย้าเป็นเสมอืนตัวประสานให้เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นแกมหวานเคล้ากลิ่นคล้ายขนมอบ ที่จะจับได้ว่ามีโทนออกทางวานิลลากึ่งไม้จันทน์หอมที่ให้วูบคล้ายๆ ถ้วยทาร์ตอบหอมแกมกลิ่นค่อนไปทางเนยหน่อยๆ ซึ่งเอาตรงๆ แค่ช่วงเปิดก็เรียกว่าชัดไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว นี่คือ Lemon Cheese Tart ที่ชัดเจนมาก ทั้งแบบอารมณ์ได้กลิ่นซึ่งหน้าและกลิ่นที่ฟุ้งหอมเปรี้ยวในปากหลังกินเข้าไปคำแรก 

เมื่อเนื้อกลิ่นค่อยๆ ลดทอนโทนความเป็นเลมอนลงไปพอสมควร และค่อนข้างเน้นความเป็นโทนครีมชีส กลิ่นออกทางครีมทึบแกมเนย และกลิ่นออกทางแป้ง Puff Pastry ที่อบร้อน โดยมีกลิ่นออกทางเครื่องเทศหน่อยๆ ที่เสริมขึ้นมาให้ความเป็นโทนอวลๆ แบบโซนขนมอบที่มีกลิ่นกึ่งไม้อวลๆ กึ่งแป้งกึ่งโทน Musky ที่มีความอบอุ่นของวานิลลา ไม้จันทน์หอม กับถั่วตองก้าเสริมขึ้นมามากขึ้น อารมณ์กลิ่่นจะยังคงให้ความรู้สึกแบบเลเยอร์ของทาร์ตเช่นเดิม เพียงแต่จะลดความสดชื่นติดเปรี้ยวหอมของซอสเลมอนลง มาเป็นครีมชีสที่มีความหอมหวานแกมเปรี้ยวอ่อนๆ กับกลิ่นถ้วยทาร์ตอบหอมที่ชัดมากขึ้น ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมาแนว Aftertaste เต็มๆ

เมื่อเริ่มสัมผัสถึงความเป็นลูกผสมของโทนอบอุ่นที่ยืนพื้นระหว่างวานิลลา มีถั่วตองก้าที่เชื่อมโทนระหว่างวานิลลาแกมกลิ่นออกทางเขียวแกมอัลมอนด์กับโทนไม้หอมอย่างจันทน์หอม สร้างอะโรม่าของกลิ่นที่ให้โทนกลิ่นแบบถ้วยทาร์ตกึ่งโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เคล้าไม้หอมอวลๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นมีความหนาและมีน้ำหนักอยู่ในระดับหนึ่งในการเป็นโทนกลิ่น Gourmand ที่ค่อนไปทาง Warm Woody Spicy แบบกำลังดี ให้ความอวลๆ รอบตัว โดยที่ไม่ได้หวานจัดหรือไม่ได้ข้นคลั่กแต่อย่างใด มีความเป็นกลิ่นแบบค่อนไปทางไม้หอมกลางๆ ที่มีความหนาของกลิ่นแบบกำลังดีเสียมากกว่า เป็นการปิดท้ายด้วยอารมณ์กลิ่นแบบขนมที่อวลค้างในจมูกแกมกลิ่นไม้หอมที่ให้โทนสว่างนวลกำลังดี และที่สำคัญทันสมัยไม่หยอกเสียด้วย

เหมาะสำหรับ - Unisex ครบถ้วนทุกเพศที่พื้นฐานชอบกลิ่นแนวขนม แต่ก็ต้องการความแตกต่างร่วมด้วยที่ไม่ใช่เอะอะก็วานิลลาหวานเยิ้มมาจากไหน ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ตลอดวัน เช่น กลางวันก็ได้กับการใส่แบบทั่วไป หรือว่าใส่ไปทำงาน Office แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ยามทางการ รับแขกบ้านแขกเมือง หรือว่าใส่ออกกำลังกาย เพราะว่ากลิ่นไม่ได้มาสายนี้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เรียกว่าได้หมดทั้งยามลั่นล้าราตรี หรือว่าทั่วไป 

ความทน - อันนี้ยกให้เขาเลยว่าทนมาก สิ่งที่เจอกับตัวคือไม่ต่ำกว่า 15 ชม. ยังมีกลิ่นตีขึ้นให้รับรู้ตลอด เรียกว่าไม่ธรรมดา และยังไงก็เกิน 8 ชม. ขึ้นไปแน่นอน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก เรียกว่ามาชัด มาเต็ม แต่ไม่ได้ถึงกับทรงพลังจัดหนักนัก ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วจะคงตัวที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไป 8 ชม. ถึงค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนกว่ากลิ่นเองจะพอใจว่าจะติดผิวเมื่อไหร่ ตามแต่ละเคมีของผู้ใช้

สรุป - เป็นกลิ่นขนม แต่มีความแตกต่าง ไม่ได้เป็นสไตล์น้ำหอม Gourmand ที่เป็น Pattern แนวเดียวกับท้องตลาดแน่ๆ และมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในการสื่อสารถึงการเป็น Lemon Cheese Tart ที่ครบถ้วนตรงไปตรงมา ช่วงแรกๆ อาจจะได้ความรู้สึกเป็นขนมชัดเจนหน่อย ก่อนที่กลิ่นจะค่อยๆ ปรับโทนโทนตัวเองเป็นอบอุ่นและมีเสน่ห์ โดยมีความเป็นลูกเอื้อนกลิ่นขนมที่ดึงดูดความสนใจได้ดีอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าเป็นน้ำหอมที่ไม่ธรรมดา มีเสน่ห์ แตกต่าง และมีดีในตัวสูงจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/TadaParfumeur

 

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Review: Shiro Fragrance - Earl Grey

Shiro Fragrance - Earl Grey

จุดเริ่มต้นของการเป็นชาเอิร์ลเกรย์ ก็มาจากชาดำจีนที่ผ่านกรรมวิธีผสมผสานชาดำกับน้ำมันมะกรูดฝรั่ง (Bergamot)  ที่เวลาดื่มนอกจากกลิ่นชาแล้วจะได้ความสดชื่นจากโทน Citrus ร่วมด้วย ซึ่งมาจากการนำไปต่อยอดของผู้ผลิตทางอังกฤษในช่วงปี 1830 แล้วต่อมากก็มีการผลิตขึ้นมาอย่างแพร่หลายโดย Twinings และก็กลายเป็นหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมการดื่มชาของอังกฤษในปัจจุบัน ซึ่งชาเอิร์ลเกรย์ ดื่มได้ตลอดทั้งวัน ยิ่งถ้าดื่มแบบร้อนยิ่งทำให้รับสุนทรียะในการสัมผัสกลิ่นและรสได้ครบถ้วนมาก 

แต่เพราะกลิ่นเฉพาะตัวที่เป็นการผสมผสานระหว่างความสดชื่นและความลุ่มลึกแกมหรูหราอารมณ์จิบชายามบ่ายที่เป็นที่นิยม เช่นนั้นเมื่อแบรนด์น้ำหอมจากฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Shiro Fragrance ได้ดึงเอาอะโรม่าของความเป็นเอิร์ลเกรย์มาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่ให้ความผ่อนคลายเข้ามา เช่นนั้น ได้เวลามาเรียนรู้กันหน่อยว่าจะตีความออกมาในลักษณะใด

Earl Grey เปิดต้นกลิ่นมาก็ชัดเจนมากมะกรูดฝรั่งหรือ Bergamot ที่จะค่อนข้างมีความเข้มชัดพอสมควร แต่ในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นออกทางกึ่งกุหลาบกึ่งเขียวๆ ที่ไม่ใช่เป็นกลิ่นแบบน้ำในแจกันดอกกุหลาบจากเจอราเนียม แต่ให้ความเป็นลูกครึ่งกึ่งดอกกุหลาบกึ่งเขียวที่มีความเป็นฟรุตตี้ผลไม้หน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็น Cassis เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนแนว Citrus กึ่งเขียวกึ่ง Floral ที่เข้มอยู่พอประมาณ แต่ไม่นานก็มีตัวตัดทอนเข้ามากล่อมให้เนื้อกลิ่นมีความอะโรม่ามากขึ้น นั่นก็คือกลิ่นชาดำ 

และกลิ่นชาดำนี่แหละที่จะเป็นตัวดึงเข้าสู่ช่วงกลาง ที่จะเป็นการผสมผสานกลิ่นของชาดำกับ Bergamot ที่นี่แหละกลิ่นชาเอิร์ลเกรย์ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นกุหลาบที่ชัดมากขึ้นจากช่วงต้น ทำให้กลายเป็นชาเอิร์ลเกรย์แกทกุหลาบขึ้นมาแทน เรียกว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใด ให้อารมณ์ครบถ้วนทั้งในความเป็นชาดำที่ลุ่มลึกแกมดอกไม้ ความเปรี้ยวหอมแบบน้ำมัน Bergamot และกลิ่นกุหลาบที่ให้ความหวานแกมปร่านวลๆ โดยที่มีลูกเอื้อนฟรุตตี้หน่อยๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแยมกุหลาบหรือกุหลาบแดงสไตล์ Classic ซึ่งถือว่าให้ความ Unisex และคุมความมินิมัลได้กำลังดีเลย

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายยังคงชัดเจนกับการเป็นโทนมินิมัล เพราะว่า เนื้อกลิ่นโทนกุหลาบจะบางลงไปพอสมควร เปิดทางให้ก Musk ที่มีความอบอุ่นเบาๆ ของแอมเบอร์เสริมเข้ามาจนกลายเป็นโทนกลิ่นแบบสะอาดนุ่ม เพียงแต่กลิ่นของการเป็นชาเอิร์ลเกรย์ที่มีความเป็นชาดำติดกลิ่นมะกรูดฝรั่งอ่อนบางจะยังคงอยู่ และผสมผสานรวมกับความเป็น Musk ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นสะอาดนวลแบบผิวกายติดกลิ่นชาดำอ่อนๆ ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ไม่ซับซ้อน ผ่อนคลาย และยังไงก็รอดสูงโดยไม่ต้องเยอะสิ่งได้พอเหมาะ

เหมาะสำหรับ - สำหรับบางคนอาจจะคิดว่ากลิ่นไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย เพราะกลิ่นกุหลาบ แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นกลางๆ Unisex ชัดเจน ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายรอให้กลิ่นผ่านช่วงต้นไปก่อนน่าจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นค่อนข้างชัดและเข้มอยู่ระดับหนึ่งเลย ส่วนยามค่ำคืน เน้นทั่วๆ ไปก็พอ เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยเสน่ห์เย้ายวนแต่อย่างใด

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชั่วโมงเป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวก็ 8 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ แต่เน้นพกไปเติมระหว่างวันแทนถ้ากลิ่นจางลงไป  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น จนแอบแปลกใจ แต่ก็จะลดลงมาที่กระจายดีราวๆ ไม่เกิน 10 นาที ก่อนจะเป็นปานกลางไปต่อราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งก็ถือว่าเข้ากับการเป็นกลิ่นแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่เน้นรบกวนคนอื่น ประมาณนั้น

สรุป - ชาเอิร์ลเกรย์กับกุหลาบ ที่คุม Concept ความสดชื่นสู่ความเรียบหรูเรื่อยๆ ไม่ซับซ้อน นี่แหละใช่เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shiro-shiro.uk/products/earl-grey-eau-de-parfum-boxless

 

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Review: Chopard - Oud Malaki

Chopard - Oud Malaki

เมื่อการเจาะจงกลิ่นอายที่เน้น Notes กลิ่นเป็นตัวชูโรงในสไตล์ของ Niche กระจายมาสู่ Designer Brand ต่างๆ แน่นอนว่ามีทั้งการอัพเกรดให้เป็น High-End หรือ Exclusive Collection หรือยังคงการจับตลาด Mass Market เหมือนเดิม โดยเพิ่มเติมเป็น Collection แยกออกมาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ให้ความเป็น Niche มาบรรจบกับการเป็น Designer Perfume ก็มีมากมายไม่ใช่น้อย ซึ่งกรณีสุดท้ายนั้น Malaki Collection ของ Chopard ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ ในการเป็น Malaki ก็คือการเจาะตลาดฝั่งตะวันออกกลางซึ่งก็จะมี Note + Malaki เกิดขึ้นมาทั้งหมด 5 กลิ่น ซึ่งแต่ละกลิ่นมีความเชื่อมโยงในการเอากลิ่นอายสไตล์อาระเบียนเข้ามาผสมผสานจนทำออกมากลายเป็นลูกครึ่งที่ให้ความรู้สึกได้ทั้งการเป็นกลิ่นอายแบบตะวันตกและตะวันออกกลางมาบรรจบกันได้พอดี เช่นนั้น ก็ได้โอกาสมาเจอกับกลิ่นที่ 2 ของไลน์นี้อย่าง Oud Malaki (เพราะกลิ่นแรกอย่าง Rose Malaki เคยผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้ว) ก็ขอศึกษาเนื้อกลิ่นให้ตกผลึกอย่างเต็มที่ และสิ่งที่ได้ก็คือ

กลิ่นเปิดสัมผัสได้เลยถึงการเป็นโทนกลิ่นที่มีความเป็นยาสูบเคล้าเครื่องเทศ ที่มีลูกเอื้อนแบบกลิ่น Oud ที่ไม่ได้มาแบบนัวอัดจันจ้านแบบสายอาระเบียนจ๋า แต่จะมีอารมณ์แบบกลิ่น Oud แบบเนื้อไม้มากกว่าจะเป็นน้ำมัน Oud ซึ่งช่วงต้นแม้จะดูเปิดตัวกลิ่นหลักๆ มาจนเกือบหมด แต่จริงๆ มีความสดชื่นที่เปรี้ยวแกมแปร่งของเกรปฟรุตและกลิ่นฟุ้งเขียวขมๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความพุ่ง รวมถึงมีโทนลาเวนเดอร์ที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยในความการให้ลักษณะแบบดอกไม้อวลนวลเล็กๆ ทำให้ภาพรวมของช่วงนี้คือ ปล่อยความชัดเจนของกลิ่นที่มาหมดในการเป็นกลิ่นแบบยาสูบแกม Oud แบบเนื้อไม่ที่มีความเปรี้ยวแกมแปร่งสว่างและมีความนัวๆ ของกลิ่นเครื่องเทศเย้าๆ อารมณ์กลิ่นออกทางสีเหลืองทองสว่าง เป็นการเรียกแขกกันตั้งแต่เริ่มต้น

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดความนัวฟุ้งลง ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงกลางที่อารมณ์กลิ่นจะเป็นแนวยาสูบกึ่งลาเวนเดอร์อ่อนๆ เคล้าเนื้อไม้ Oud แล้ว เพียงแต่ความแปร่งเปรี้ยวชัดของเกรปฟรุตในช่วงต้นจะลดลงไปกลายเป็นตัวเสริมที่ดีทำให้กลิ่นมีโทนสว่างให้สัมผัสมากกว่าจะเข้าโทนนัว ที่สำคัญเครื่องเทศที่เสริมก็ลดระดับความจัดจ้านลงมาให้ความเย้าๆ มีเสน่ห์มีความหวานหน่อยๆ กำลังดี ซึ่งเดาว่าเม็ดกระวานและอบเชยน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงเม็ดจันทน์เทศที่เกลาให้กลิ่นมีความกลมๆ สมดุลย์มากขึ้น ทำให้ช่วงกลางอารมณ์กลิ่นจะเป็นยาสูบกึ่งไม้หอมที่ให้ความเย้ายวนแบบมีเสน่ห์ และมีความลุ่มลึกในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัว ซึ่งลดทอนความตูมตามช่วงแรกลงมาได้ดีมาก โดยกลิ่นจะให้โทนสีออกทางน้ำตาลกำลังดี 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอวลหวานอบอุ่นที่ค่อยๆ เสริมเข้ามาเรื่อยๆ และความเป็น Oud ในเนื้อกลิ่นเริ่มที่จะมีความอวลลึกมากขึ้น ผนวกกับกลิ่นโทนแอมเบอร์ที่ค่อยๆ เสริมเข้ามา เลยทำให้เนื้อกลิ่นหันเข้าทางโทนดาร์กมากขึ้น มีความเป็นสีน้ำตาลเข้มกึ่งดำ แต่ข้อดีคือ กลิ่นไม่หนักหรือดาร์กดำดิ่งเกินไป ให้อารมณ์กลิ่นเนื้อไม้แกมอวลสไตล์แบบ Oud หรือใกล้เคียงความเป็น Oud แบบไม่ได้เข้มข้นมาก + กลิ่นยาสูบที่ติดหวานหน่อยๆ มาเป็นตัวเสริม ทำให้กลิ่นยังคงเป็นยาสูบ & Oud เบาๆ ที่ให้ความเรียบหรูน่าค้นหามากขึ้น และที่สำคัญกลิ่นไม่ได้ออกแนวอาเระเบียนจ๋าๆ มากไป ให้อารมณ์ West meets Middle East แทน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป แบบที่ผ่านน้ำหอมกลิ่นแนวไม้หอมกึ่งเครื่องเทศ หรือยาสูบมาบ้าง จะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งกลิ่นจะให้ความรู้สึกเรียบหรูน่าค้นหาเป็นแกนหลัก เลยเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่จะทางการก็ได้ หรือจะทั่วไปก็สามารถ โดยที่กลิ่นเสริมบุคลิกแบบสมาร์ท มีเสน่ห์และน่าค้นหา แต่ถ้าใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย ไม่ค่อย Match กันเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนแน้นใส่ออกงานหรือว่าจิบหรูๆ จะดีที่สุด

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน ซึ่งสามารถไปต่อได้ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ลากยาวไป 15 ชม. เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ซึ่งช่วงนี้จะมาเต็มนิดนึงอาจจะทำให้มึนๆ เอาได้ แต่พอผ่านไปซัก 5 นาทีก็ลดลงมาที่กระจายดีไปราวๆ 30 นาที ถึงลงมาปานกลางกันไปเรื่อยๆ พอเข้าชั่วโมงที่ 5 ก็จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป แล้วเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปแล้ว 8 - 10 ชม. 

สรุป - กลิ่นอาจจะไม่ได้มาสาย Oud ชัดเจน และออกจะเป็น Oud ที่เบากว่าชาวบ้านเขา โดยตัวเด่นจริงๆ เป็นยาสูบเสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดความเป็น Oud ให้ดูอาระเบียนอะไรชนาดนั้น แต่ให้ความน่าค้นหาและมีเสน่ห์ที่แตกต่างเสียมากกว่า และที่สำคัญคุณภาพกลิ่นถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเนื้อกลิ่นมีความ Niche Perfume หรือ High-End Perfume ที่มาอยู่ในกลุ่ม Mass Market ที่ทำให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ Chopard ทำออกมาได้ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.chopard.com/en-gb/perfume-for-men/95201-0362.html

 

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Review: Xerjoff - Laylati / Sospiro - Afgano Puro


Xerjoff - Laylati / Sospiro - Afgano Puro

จากที่ Sospiro ถูกยุบมารวมเป็นส่วนหนึ่งของ Xerjoff ในการเป็น Velvet Collection ที่ขวดจะหุ้มกำมะหยี่ หนึ่งในกลิ่นสายยาสูบและไม้หอมอย่าง Afgano Puro ก็โดนเปลี่ยนชื่อมาเป็น Laylati ในปัจจุบัน

แต่อยู่ดีๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก เพราะ Sospiro กลับมาประจำการเช่นเดิม ซึ่งก็ดึงเอากลิ่นต่างๆ กลับไปอยู่ในอ้อมอกอีกครั้งโดยกลับไปใช้ชื่อเดิม และยังคงให้ Xerjoff คงการจำหน่าย Velvet Collection หรือปัจจุบันเป็น V Collection ไปแล้วเช่นกัน (ก็เครือเดียวกัน แค่แยกแบรนด์ในการเจาะตลาด) เช่นนั้น ถ้าว่ากันตรงๆ Afgano Puro กับ Laylati ก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ อยู่ที่ว่าจะใช้แบรนด์ไหน

และก็ถึงเวลาที่จะเล่ากลิ่นกันแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรและ Strong ขนาดไหน (โดยจะขอเรียกชื่อกลิ่นว่า Laylati เป็นหลัก)

เปิดต้นกลิ่นมาความเข้มชัดของฐานกลิ่นที่มีกลิ่นยาสูบกับไม้หอมแนวๆ Smoky ที่น่าจะมีโทนของไม้หอมติด Smoky และ Oud เนียนๆ จะชัดเจนเลยทีเดียว แต่ก็จะโดนฉาบด้วยกลิ่นโทนเขียว แต่ไม่ได้มาสายสดชื่นเต็มๆ นัก แม้ว่าจะได้อารมณ์แบบเขียวใบไม้ใบหญ้าแบบสดชื่นในวูบแรกของการฉีดก็จริง แต่มันมีความเขียวแปร่งดาร์กๆ อารมณ์กลิ่นแบบพิมเสนที่ติดเขียวค่อนไปทางดาร์ก แอบมีอารมณ์แบบควันกัญชาด้วยหน่อยๆ ให้รู้สึกสะกิดใจ แต่เพียงไม่นานยาสูบก็มาเทคโอเวอร์ ซึ่งยาสูบจะไม่ได้มาแบบติดหวานแบบสไตล์ใบยาสูบบ่มหอม เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความดาร์กและมีความ Smoky เลยจะได้ความรู้สึกแบบควันยาสูบที่ยังมีความเขียวแห้งๆ แกมหวานปลายๆ ที่รวมกับกลิ่นสายดาร์กช่วงเปิดทั้งหมด แต่ไม่ได้ดาร์กเกินไปจนดำมืด ค่อนข้างโปร่งมากกว่าที่คิดแม้กลิ่นจะอบอวลดีเลยทีเดียวก็ตาม และยาสูบนี่แหละที่จะกลายเป็น Center ของกลิ่นไปยาวๆ จนถึงช่วงท้ายเลย 

และเมื่อยาสูบดึงโทนให้มีความ Smoky กึ่งหวานในระดับหนึ่งจนได้ที่ก็เข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมเต็มตัว โดยจะเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ตีคู่ไปกับกลิ่นของไม้หอมที่ค่อนข้างมีการผสมผสานอยู่หลากหลายโทนไม่น้อย เพราะจะได้ความขรึมๆ ของไม้ซีดาร์ที่ชัดเจนที่สุด ตามด้วยกลิ่นไม้แห้งติด Smoky Nutty หน่อยๆ ที่คาดว่าน่าจะมีหญ้าแฝกอยู่ในนี้ รวมถึงมีความเป็น Oud บางๆ เบาๆ คลอ แกม Incense นิดๆ ที่ให้ความน่าค้นหาเข้ามา แต่ไม่ใช่จบแค่ไม้หอมยังมีพิมเสนที่ให้ความดาร์กแกมกลิ่นไม้ติด Earthy ดินๆ นิดๆ แบบไม่ใช่พิมเสนแห้งที่ให้ความปร่ากึ่งชอคโกแลตหรือว่าพิมเสนสะอาดๆ ใสๆ เลยทำให้ช่วงนี้เป็น 3 ประสาน ยาสูบ ไม้หอม พิมเสนสายดาร์ก ที่ให้ความชัดเจนอบอวล ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นมีความดึงดูดในสไตล์เซ็กซี่ ดาร์ก น่าค้นหา และเย้ายวนแบบเนื้อกลิ่นมีคุณภาพสูงมาก ซึ่งแม้กลิ่นจะทำให้นึกถึง Nasomatto - Black Afgano อยู่พอสมควรในโทนกลิ่นลักษณะนี้ แต่เนื้อกลิ่นมีความ Lighter มากกว่าชัดเจน ซึ่งเป็นข้อดีที่ไม่ทำให้ Deep เกินไปในการส่งต่อความหอมดึงดูดแต่ผู้คนมากนัก

รอยต่อระหว่างช่วงกลางกับท้าย ยาสูบก็ยังเป็นตัวเชื่อมชั้นดีที่ค่อยๆ ดึงเอา Musk และวานิลลาเข้ามาเสริม  ทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้โทนลูกผสมระหว่างยาสูบและวานิลลาที่ไม่ได้หวานเกินไป ไม่ได้ข้นเกิน เพราะ Musk ทำให้กลิ่นละมุนขึ้น จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัว ถึงได้ไล่เลเยอร์ของกลิ่นออกเป็นยาสูบที่ที่ให้ความหวานโปร่งเย้าๆ ตามด้วยไม้หอมกึ่งวานิลาที่มีความ Smoky กึ่งดาร์กของพิมเสนกลางๆ กำลังดี และปิดท้ายด้วย Musk ที่ให้เนื้อกลิ่นมีความกลมกล่อมมากขึ้น กลิ่นจะผสมผสานกันอย่างมีชั้นเชิงและให้ความรู้สึกจับต้องได้ทุกโทนทั้งวูบที่เป็นยาสูบกึ่งวานิลามีความเป็นไม้หอมซ้อนอยู่เจือความ Smoky หน่อยๆ ก่อนจะทิ้งความนุ่มอ่อนๆ ไว้ที่ปลายกลิ่น เรียกว่าเป็นกลิ่นที่มีเสน่ห์และให้โทนกลิ่นสายน่าค้นหา เย้ายวน และมีเสน่ห์แบบที่คงความมีระดับหรูหราในเนื้อกลิ่นได้อย่างครบถ้วน

เหมาะสำหรับ - แม้แบรนด์จะลงไว้ว่า Unisex ไม่ว่าจะทั้ง Xerjoff และ Sospiro แต่กลิ่นไพล่ไปทางผู้ชายแบบชัดเจนมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าผู้หญิงจะใช้ อารมณ์จะออกแนวเท่ห์ๆ ให้ความ Mix & Match กับลุคแนว Gentlewoman นิดนึง ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นทรงพลังทีเดียวเชียว ซึ่งเข้ากับการใส่แบบทางการ หรือเน้นขับความสมาร์ทมีเสน่ห์แนวๆ Smart Casual มาก แต่ถ้าจะใส่ออกกำลังกายหรือออกแนวลุยๆ ข้ามไปน่าจะดีกว่ากลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนที่ไม่ใช่ใส่นอน บอกเลยว่าจัดไป กลิ่นมาสายปล่อยเสน่ห์แบบมีระดับและมีคลาสแบบเต็มๆ 

ความทน - เอาตรงๆ ที่เจอคือ มาเต็มมาก เพราะข้ามคืนกันเลยทีเดียว แม้อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวรุมๆ จนถึงเช้าของวันถัดไป เช่นนั้นยังไงก็เกิน 8 ชม. แน่นอน ทนจัดชัดเจนจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก และดีสุดเลยในช่วงต้น และลดลงมาคงตัวการกระจายที่กระจายดียาวๆ ไปจนถึง 5 ชม กันเลย ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางยาวๆ ไปอีกจนถึง 10 ชม. ก็จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ 

สรุป - ถ้าอย่างที่หลายๆ ผู้ใช้กล่าวว่ากลิ่นนี้คล้าย Nasomatto - Black Afgano อันนี้ก็ไม่เถียง แต่เนื้อกลิ่นจะไม่ได้ Deep และ Dark ขนาดนั้น มีความ Lighter มากกว่า รวมถึงปลายทางของกลิ่นคือการมีวานิลลากับ Musk มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้น มันทำให้ยกระดับความหรูหราของกลิ่นได้มากจริงๆ ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์และสร้างเสน่ห์ให้ผู้ใช้ได้ครบเครื่อง ตลอดจนใครก็ตามที่เป็นสายยาสูบ กลิ่นนี้ถือเป็นอีกกลิ่นที่น่าสนใจไม่น้อยในการได้ลอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit -

 - https://makeup.ie/product/583166/

 - https://sospirointernational.com/products/afgano 

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Review: Calvin Klein - Eternity Cologne for Men

Calvin Klein - Eternity Cologne for Men

จากการครบรอบ 30 ปี ของ CK Eternity for Men ที่เป็นหนึ่งในกลิ่นอมตะนิรันดร์กาลเหนือกาลเวลาของแบรนด์ตั้งแต่ปี 1989 สู่การต่อยอดเปิดตัวรุ่น EDP ครั้งแรกในปี 2019 ที่เป็นสายตรงไม่ได้เป็นลักษณะมีคำสร้อยห้อยท้ายอื่นๆ ตามมาแบบที่มีลูกหลายแตกแขนงออกไปหลายรุ่น (ซึ่งได้ผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้วก่อนหน้านี้) แต่

ไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะในปี 2020 ก็ยังต่อยอดต่อในการสร้างกลิ่นแนว Eternity สายตรง ที่เป็นสไตล์ Cologne เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจากที่ผ่านทั้งต้นตระกูลและ EDP มาแล้วทั้งคู่ มีหรือที่จะพลาดไม่มาลองกลิ่นอายสาย Cologne เช่นนั้นเมื่อใช้จนตกผลึกได้ที่ สิ่งที่บอกต่อจึงเป็นเช่นนี้

ช่วงเปิดบอกกันอย่างชัดเจนในการเป็น CK Eternity for Men ในรูปแบบที่ใสขึ้น ตัดเอาความเป็นลาเวนเดอร์ออกไป เหลือเพียงโทนสมุนไพรติดเขียวหน่อยๆ แกม Citrus ที่ติดขมแกมเขียวให้เห็นลายเซ็นในความเป็นต้นตระกูล โดยที่โดยที่เอาโทนออกทาง Aquatic กึ่ง Ozonic เข้ามาทำให้กลิ่นมีโทนใสขึ้นมีความสดชื่นแบบอากาศฟุ้งๆ เข้ามาซึ่งน่าจะมาจาก Aldehydes ที่มาเสริม แต่ไม่ได้ทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนสบู่แต่อย่างใด และที่สำคัญการมีขิงเข้ามาเสริมพร้อมกับกลิ่นที่ออกทางกึ่งเขียวปร่าที่น่าจะมาจากจูนิเปอร์เบอร์รี่ + กึ่งโทนคล้ายน้ำมะพร้าวหน่อยๆ ที่เข้ามาเสริม ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นและมีความแมนๆ แบบที่เป็น Summer หรือ Daily Scent ที่เข้าถึงได้ง่ายและยังไงก็รอดสูงมากตั้งแต่เริ่มต้นเลย 

การเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่จับต้องได้ชัดเจนเลยคือความเขียวที่ออกทางน้ำในแจกันกุหลาบ ที่ยังมีความเป็นจูนิเปอร์เบอร์รี่เสริมอยู่แบบเขียวปร่าแบบแมนๆ รวมถึงยังมีความปร่าเผ็ดแกมหวานของขิงที่คุมโทนในช่วงนี้แบบออกทางใสๆ กำลังดี ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับต้องได้ถึงโทรยางไม้ที่ติดออกทางไม้หอมที่มีความหวานหน่อยๆ กึ่งอบเชยบางๆ เคล้าความหวานเย้าอ่อนๆ จากเม็ดกระวาน ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นจะมีความหนาขึ้นมาในระดับนึง แต่ไม่ได้ถึงกับแผ่ไพศาลสร้างความมาดแมนจัดจ้าน อารมณ์เนื้อกลิ่นมีความหอมแบบแมนๆ ปราเขียวติดหวานปลายกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสไตล์ Cologne ที่ยังมีลายเซ็นต้นตระกูลได้ดีเช่นเดิม

ช่วงท้ายอันนี้ต้องบอกเลยว่า มันคือกลิ่น Base แบบลายเซ็นของ CK โทนสดชื่นเลยที่จะมีลักษณะประมาณนี้ใกล้เคียงกัน ที่จะเป็นกลิ่นสะอาดแกมเขียวอ่อนๆ มีความหวานนวลๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายมาก โดยมีกลิ่นออกทางผิวกายอบอุ่นกึ่ง Musky กึ่งแอมเบอร์ติด Earthy เขียวบางๆ จากมอสที่มีความหวานระเรื่อนละมุนๆ ติดแมนนิดๆ จากช่วงกลางตามมาในรูปแบบที่ใสขึ้น เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความต่างขึ้นมานิดนึงนั่นคือการมีกลิ่นติดไม้หอมแกมหนังบางๆ มีความอบอุ่นกึ่งแอมเบอร์เบาๆ ซึ่งน่าจะเป็นกลิ่นของสารหอมอย่าง Lorenox ที่เป็นตัวคุมโทนให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้น และน่าจะมี Ambroxan หน่อยๆ เข้ามาตรึงให้กลิ่นมีความเป็นไม้หอมแกมอบอุ่นนิดๆ ติดเค็มร่วมด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นน้ำหอมสดชื่นของผู้ชายที่ใส่ความทันสมัยเข้าไปได้สมดุลย์โดยไม่ทิ้งความเป็นสไตล์ CK Eternity for Men นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่เรียน ม.ปลายขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก เรียกว่าเป็นกลิ่นแนว Daily Scent ที่ยังไงก็รอดสูงจริงๆ ในทุกๆ การใช้งานยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป ลามไปยังกิจกรรมลุยๆ และออกกำลังกาย ง่ายๆ ครอบจักรวาลนั่นแล ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปอันนี้สบายๆ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีกะปล่อยของ บอกเลยโดนกลบมิดจากกลิ่นหวานแน่นๆ จัดหนักทั้งหลายแน่นอน

ความทน - อันนี้เป็นอะไรที่ Amazing ไม่น้อยเลย เพราะว่าความทนทำได้ดีมากเกินคาดกับการเป็นกลิ่นอายสไตล์ Cologne โดยอยู่ที่ค่าเฉลี่ยราวๆ 8 ชั่วโมง โดยอาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. เลยในทุกครั้งที่ใช้งาน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นราวๆ 30 นาที ก่อนจะไปครองตัวเสถียรในการกระจายกลางๆ ยาวไปประมาณ 3 - 4 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนราวๆ 8 ชม. ถึงลงมาติดผิว 

สรุป - Eternity Cologne เป็นการเอาความเป็น Eternity ปกติมาลดทอนความเป็น Herbal แต่ใส่ความสดชื่นเข้าไปมากขึ้น ซึ่งความเป็นโทนผู้ชายสบายๆ มีความ Aquatic แกมสะอาด โดยยังคงความเป็นกลิ่นอายแบบ Eternity ที่ปิดท้ายด้วยความสะอาดแกมหวานนุ่มในสไตล์ CK เรียกว่าเป็นกลิ่นที่ยังไงก็รอดสูงมาก และที่สำคัญ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดเจน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://ro.calvinklein.com/eternity-cologne-for-him-100-ml-eau-de-toilette-9350077359mul


 

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Review: Parfum d’Empire - Iskander

Parfum d’Empire - Iskander

Iskander เป็นภาษาเปอร์เซียที่เมื่อแปลออกมาแล้วจะเท่ากับ Alexander ซึ่งแน่นอนว่า Link ไปยังกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง Alexander the Great ในการยาตราทัพเดินทางรบทัพจับศึกยึดครองประเทศต่างๆ ในฝั่งเอเชีย บางส่วนของอาหรับ จนถึงชายขอบชมพูทวีป ในราว 350 ปี ก่อคริสตกาล

แน่นอนว่าความคาดหวังในกลิ่นหลังจากรู้ว่าสื่อถึงใครในประวัติศาสตร์ มันจะต้องมีความใหญ่ในกลิ่นประมาณหนึ่ง แต่ พอได้มาศึกษาก่อนลงเนื้อกลิ่นจริง Parfum d’Empire ที่เน้นการสร้างสรรค์จากจักรวรรดิ วัฒนธรรม แและกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ในอดีต กลับตีความออกมาเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่แตกต่างที่ดึงเอาของดีจากโซนฝั่งทางเอเชียต่างๆ มาผนวกกับความเป็นเมดิเตอร์เรเนียน อารมณ์แบบเก็บเกี่ยวความรื่นรมย์ทางกลิ่นจากการยกทัพไปยึดครองประเทศต่างๆ แล้วนำมารวมกันให้เห็นถึงอาณาเขตที่กษัตริย์พระองค์นี้ได้ครอบครองประมาณนั้น ซึ่งกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไรและทำให้เห็นภาพได้มากขนาดไหน ว่ากันได้ตามนี้

เปิดตัวมาก็บอกโทนกลิ่นกันได้เลยว่านี่คือกลิ่นโทนร่วมสมัยที่มีพื้นฐานความเป็นสไตล์ Classic Citrus แบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีองค์ประกอบของกลิ่นโทนสมุนไพรเข้ามาร่วมด้วย แน่นอนว่าความ Sparkling ก็มากันเต็มๆ กับตัวเด่นเลยคือ Citron หรือส้มโอมือที่ให้ความเปรี้ยวแห้งๆ ผสมผสานกับกลิ่นออกทางเลมอนที่มีความ Splash เบาๆ แต่เน้นความหอมเปลือกเลมอนมากกว่า และมีความแปร่งเปรี้ยวสดชื่อของเกรปฟรุตที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความสว่างมากขึ้น โดยที่มีความหวานฉ่ำหน่อยๆ คลอๆ ของส้มรวมอยู่ในเนื้อกลิ่นด้วย แต่สิ่งที่เรียกว่ามาตัดทอนไม่ให้เนื้อกลิ่นมีความนิ่ง ไม่ได้ Citrus ลั่นล้าไปนั่นก็คือทาร์รากอน ที่มาให้ความเขียวนวลกึ่งโหระพาที่มีความหวานเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ทำให้ให้เป็น Classic Citrus Herb ที่มีมิติและมีระดับ ภาพในเนื้อกลิ่นเลยใช่เลย นี่แหละเมดิเตอร์เรเนียนเต็มๆ

ช่วงกลางเริ่มทำให้ภาพขยายออกไปมาขึ้นในเนื้อกลิ่นมากขึ้น เพราะนอกจากความเป็นโทน Citrus Herb ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นทั้งหมด เพียงแต่ลดทอนความเปรี้ยวในเนื้อกลิ่นลงเป็นกลิ่นเปรี้ยวหอมแห้งๆ เฉพาะตัว ก็จะมีตัวเสริมฝั่ง Herb เข้ามามากขึ้นอย่างเม็ดผักชีที่ทำให้กลิ่นมีความปร่าซ่า + มีความเป็นเผ็ดนวลพริกไทยเนียนๆ รับช่วงสร้างความแข็งแกร่งให้สาย Herbal ได้อย่างสมดุลย์ และไม่พอกลิ่นที่มาสร้างความเป็นโทนสดชื่นกึ่งขาวนวลของดอกส้ม (African Orange Blossom) ก็เริ่มมีบทบาทกันอย่างชัดเจนที่มาให้ความขาวนวลสะอาดกำลังดี มีความสดชื่นติดเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ ให้กลิ่นมีความรื่นรมย์ก็ได้และมีความร่วมสมัยมากขึ้นด้วยของดอกส้ม ตลอดจนยังสัมผัสได้อีกว่าเนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นเนียนๆ ในลักษณะของโทนแอมเบอร์รวมอยู่ด้วย ถือว่าสร้างมิติทางกลิ่นที่ครอบคลุมการรับรู้ได้ครบถ้วน

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนเขียวแห้งๆ เข้มหน่อยๆ กึ่งหมึกแบบไม่หนักหน่วงของ Oak Moss ที่ชัดขึ้นตามลำดับ และเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนุ่มนวลแกมอบอุ่นกำลังดีเข้ามาเทคโอเวอร์มากขึ้น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้ชัดมากว่ากลิ่นนี้คือความเป็น Citrus Chypre เต็มๆ (เพราะองค์ประกอบสาย Chypre ครบถ้วนมากทั้ง Citrus ที่มาตอนต้นลดหลั่นมาเจอความอบอุ่นของแนวแอมเบอร์ และมี Oak Moss กับพิมเสนที่สร้างความ Earthy และรื่มรมย์ในเนื้อกลิ่น) ซึ่งจะมีตัวเสริมที่ดีให้ความนวลสะอาดมากขึ้นจาก Musk ที่จะมาแนนนุ่มนวลแกมหวานที่จับต้องได้ว่ามีโทนออกทางผิวกายอบอุ่นติดเค็มอ่อนๆ ที่เป็น Effect ทางกลิ่นแบบอำพันปลาวาฬ (Ambergris) ให้รับรู่ได้ + มีความปร่าระเรื่ออ่อนๆ ของพิมเสนที่ให้ความรื่นรมย์ ซึ่งภาพรวมของโทนกลิ่นไม่ได้ซับซ้อน เป็น Minimal Classic ที่ใส่ความร่วมสมัยในการใช้งานได้ดีและสมดุลย์มาก โดยไม่ทิ้งความ Sparkling ความสว่างนวล และความเรียบหรูในกลิ่นแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - เนื้อกลิ่นจะเหมาะกับวัยทำงานขึ้นไปและเป็นโซน Unisex ถ้าใส่แบบทั่วไปชิลล์ๆ แต่ถ้าใส่ทำงาน กิจกรรมกลางแจ้ง หรือว่าออกงานทางการ โทนกลิ่นจะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าพอสมควร ซึ่งถ้าจะใส่ไปท่องราตรีหรือปล่อยเสน่ห์เย้ายวนอวลซูเปอร์ไซย่า บอกเลยว่าไม่เข้าทาง เพราะกลิ่นนี้เน้นสมาร์ทรื่นรมย์

ความทน - กลิ่นทนลงตัวมากๆ ที่ 8 ชม. แต่อาจจะมีดรอปลงมาที่ 6 ชม. บ้าง หรือเลยไปแตะ 10 - 12 ชม. อยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เสมอกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นไปราวๆ 15 นาที แล้วจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 4 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วจบที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 6 - 8 ชม.

สรุป - ส่วนตัวไม่ได้นึกถึงคาแรคเตอร์ของ Alexander The Great เลย แต่ออกแนวได้ความเป็นกลิ่นอายสไตล์ร่วมสมัยที่ให้ความสดชื่นที่มีความเป็น Italian Classic สูงมาก คือ ใส่ยังไงก็สมาร์ทและดูหล่อแบบ Classic แนวๆ นี้ แต่ถ้าจะว่ากันที่แรงบันดาลใจที่หยิบเอาสิ่งละอันพันละน้อยมาจากแผ่นดินที่อยู่ภายใต้อาณัติของกษัตริย์พระองค์นี้ เช่น สมุนไพร + Citrus จากแถบเมดิเตอร์เรเนียน Oak Moss ที่เมซิโดเนีย ดอกส้มจากฝั่งแถบ African (อียิปต์) แอมเบอร์หรือ Ambergris จากฝั่งเปอร์เซีย และ Musk จากโซนจีนแลอินเดีย ก็ถือว่าตอบโจทย์ที่สื่อถึงอาณาจักรทั้งหมดรวมกันของกษัตริย์ที่เป็นแม่ทัพที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาตร์โลกได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://parfumdempire.com/en/parfums/iskander/

 

วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2566

Review: Sucreabeille - Cream Tea

Sucreabeille - Cream Tea

การจิบชายามบ่ายที่ถือว่าเป็นต้นตำรับจริงๆ ก็คงต้องยกให้ประเทศอังกฤษที่ถือเป็นวัฒนธรรมกันมาอย่างยาวนาน และได้ส่งต่อไปยังประเทศทางตะวันตกต่างๆ ที่แม้จะมีการบิดให้แตกต่างในเมนูอาหารหรือว่าประเภทของชาไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเซ็นที่มีรากเหง้าและ Pattern ในความเป็นชายามบ่ายของอังกฤษแต่อย่างใด และที่สำคัญวัฒนธรรมนี้เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่ช่วยคลายความรู้สึกเฮงซวยหรือเหนื่อยล้าของชีวิตมาตลอดวันขนาดไหน เมื่อถึงเวลาจิบชายามบ่าย มันช่วยผ่อนคลายระหว่างวันได้เป็นอย่างดีเสมอด้วยเช่นกัน

และแบรนด์ Sucreabeille สายอินดี้เก๋ๆ จาก US ก็เอาความเป็นการจิบชายามบ่ายที่ประยุกต์มาเป็นสไตล์อเมริกันมาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอม โดยแน่นอนว่ายืนพื้นกลิ่นอายสไตล์ชาใส่นม + ของว่างยามบ่ายพื้นฐานที่ไม่ต้องเยอะสิ่งจนดูหรูหรา แต่เข้าคู่แน่นอนกับการรับประทานพร้อมชาและรับอะโรม่ากลิ่นต่างๆ ได้ เช่นนั้นจึงได้เวลาในการมาพิสูจน์กันหน่อยว่า เนื้อกลิ่นจะสร้างสรรค์ออกมาเป็นอย่างไร และสร้างความรู้สึกในการรับกลิ่นออกมาในลักษณะไหนกับกลิ่นนี้ Cream Tea

เปิดกลิ่นมาความหวานติดเปรี้ยวคมหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์สีแดงสไตล์แยมเบอร์รี่แกมน้ำตาลไหม้หอมจะมาทักทายก่อนใครเพื่อนเลย ก่อนที่จะมีลูกผสมของกลิ่นชาที่เป็นสไตล์แบบชานมอินเดียหรือ Chai Tea ที่จะมีลูกเอื้อนเครื่องเทศหน่อยๆ คลออยู่ในเนื้อกลิ่นร่วมด้วยแบบเนียนๆ และมีกลิ่นออกทางขนมอบแนวๆ คล้ายพวกฟรุตเค้กผสมกับพวกบิสกิตหรือสโคนแฝงอยู่ เรียกว่าช่วงเปิดอารมณ์กลิ่นจะออกแนวขนมเด่นมากกว่าชาอยู่พอสมควร

เมื่อเข้าช่วงกลางความเป็นชาติดเครื่องเทศและมีความครีมมี่จะชัดขึ้น แต่จะมีความหวานคลอๆ แบบน้ำผึ้งกึ่งน้ำตามไหม้อ่อนๆ ให้จับต้องได้ด้วย และกลิ่นของขนมอบที่เป็นโทนที่นุ่มๆ ติดกลิ่นนมจะตีคู่กำลังดี ไม่ได้หวานแหลมชัดแบบช่วงต้น แต่ให้ความหวานหอมนุ่มนวลที่มีลูกเอื้อนเบอร์รี่สีแดงหรือฟรุตเค้กประปรายรายรอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มรับรู้ได้มากขึ้นตามลำดับคือเนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นมากขึ้น มีความอวลๆ นุ่มๆ สะอาดๆ ที่สอดรับกับทั้งกลิ่นแยมเบอร์รี่แบบเกลาให้กลิ่นลดความหวานแหลมลงและเชื่อมกับกลิ่นขนมอบซึ่งน่าจะเป็นสโคน และเชื่อมกับกลิ่นชาใส่นมให้กลิ่นมีความอะโรม่าสบายๆ ร่วมด้วย

และตัวที่ให้ความนุ่มๆ ก็เฉลยเอาในช่วงท้าย นั่นคือ White Musk ที่ทำให้กลิ่นมีความนวลสะอาดแกมนุ่มผ่อนคลายรองพื้นกลิ่นอยู่ ซึ่งโทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาใส่นมหรือกลิ่นแนวขนมอบ หรือกลิ่นหวานต่างๆ จะมีความเบาลงและมีความเป็นโทนโปร่งมากขึ้นทำให้ได้ความรู้สึกผ่อนคลายแบบกลิ่นชาที่มีความหวานของเครื่องเทศอ่อนๆ เจือจาง ตามด้วยความนุ่มของกลิ่น Musk และนมที่มีความอบอุ่นคลอเคลียอ้อยอิ่งไปตลอด ถือเป็นการปิดท้ายที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและรื่นรมย์ในความรู้สึกโดยไม่หนักหน่วงได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นโทนหวานแยมฟรุตตี้ในช่วงแรกอาจจะทำให้เข้าใจไปว่ากลิ่นน้ำหอมผู้หญิงแต่จริงๆ ไม่นานก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สร้างเสน่ห์ของสภาพแวดล้อม จึงถือว่ากลิ่นนี้มีความเป็น Unisex ที่ครอบคลุมการใช้งานทุกเพศ ซึ่งเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบไม่ได้ทางการจัดๆ นัก เช่น ใส่ทำงาน Office หรือไม่ทั่วๆ ไป สบายๆ ส่วนถ้าจะไปออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ชิลล์ๆ สบายๆ ผ่อนคลาย จะเข้าทางมากๆ

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ประมาณนี้ อาจจะน้อยกว่านี้ราวๆ 2 ชม. ซึ่งกว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากราวๆ 5 นาทีแรก ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 20 นาที ถึงผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ แบบคงตัว พอแตะราวๆ 4 ชม. แล้วก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวและลดลงเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - กลิ่นไม่ได้ให้อารมณ์แบบจิบชายามบ่ายแบบพื้นฐานที่ไม่ได้ไฮโซหรูหรา แต่ให้อารมณ์ที่ชวนให้ยิ้มและผ่อนคลายกับกลิ่นขนม กลิ่นแยม กลิ่นหวานๆ แบบไม่หนัก และกลิ่นชาที่มีความนุ่มนวลสร้างความพึงใจเสียมากกว่า เอาจริงๆ เพียงแค่นึกภาพตามว่ายามบ่ายที่เราเริ่มเบื่อโลก มีชาร้อนใส่นมติดหวานนวลๆ กับสโคนหรือขนมปังอบที่ทาแยมหรือน้ำผึ้งหอมๆ แค่นี้ก็ทำให้เราปลดปล่อยความเบื่อออกพ้นตัวแล้ว ซึ่งกลิ่นนี้ก็เป็นเช่นนั้นเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://sucreabeille.com/products/cream-tea

 

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: John Varvatos - Artisan Blu

John Varvatos - Artisan Blu

นอกจากขวดไม้สานหรือหุ้มด้วยเชือกถักจะเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทำให้ Collection นี้ของ John Varvatos ยังอยู่ยั้งยืนยันคงกระพันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงต่อยอดมีรุ่นลูกหลานออกมาเรื่อยๆ โดยที่ยังคงเก็บความนิยมมาเรื่อยๆ มาตลอด แม้ว่าบางรุ่นก็เริ่ม Drop การผลิตหรือเลิกจำหน่ายไปบ้างก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่จับจุดมาได้เสมอว่า กลิ่นที่ยังได้รับความนิยมมักจะมีความโดดเด่นในเรื่องกลิ่นโทน Citrus สบายๆ ใช้ง่ายแต่มีระดับ + ยังไงก็รอดในการใช้งานสูงมาก และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่น Artisan Blu ที่เน้นเจาะกลิ่นอายสายสดชื่นติดกลิ่นอายสบายๆ ริมทะเลรวมอยู่ด้วยในการเป็นหนึ่งในความแข็งแรงของแบรนด์ในเรื่องน้ำหอมชาย ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดตัวมาก็ให้อารมณ์ Citrus Herbal ที่ให้อารมณ์แบบเมดิเตอร์เรเนียนชัดเจนมาก ซึ่งอาจจะไม่ได้ถึงกับ Citrus ฉ่ำใสจ๋า โดยตัวเปิดจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่มีความเปรี้ยวหอมแกมขมที่แห้งๆ แกมกลิ่นชื้นๆ ติดส้มใสๆ หน่อยๆ ของส้มขมหรือ Bitter Orange ที่พึ่งขึ้นมาติดขมๆ หน่อย ก่อนที่จะสัมผัสการผสผสานในเนื้อกลิ่นได้ว่ามีกลิ่นปร่านวลแกมเขียวของใบโหระพาและมีกลิ่นสมุนไพรติดเขียวหน่อยๆ รวมอยู่ด้วย และที่สำคัญจะมีกลิ่นออกทางโทนกลิ่นออกทาง Watery ออกทางน้ำๆ ที่ติดเขียวอ่อนๆ แกมกลิ่นออกทางทะเลบางๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งตรงนี้แหละทำให้อารมณ์กลิ่นเข้าทางการเป็น Blu ตามชื่อรุ่นได้อยู่พอสมควร 

ซึ่งความเป็นโทนสมุนไพรจะไม่ได้จบแค่นี้ เพราะจะกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลางแบบชัดเจนแต่ไม่ได้หนักหน่วงจนดูเป็นน้ำหอมแนว Retro เลยแม้แต่น้อย เนื้อกลิ่นค่อนข้างที่จะเป็นกลิ่นอายแบบปร่าเผ็ดอ่อนๆ ตามธรรมชาติที่มีความเขียวกำลังดี ความเป็น Citrus คลอกำลังงามเคล้ากลิ่นอายแบบอากาศสบายๆ ริมทะเลที่มีความเป็น Watery แกมเขียวหน่อยๆ เข้ามาแทน ตัวเสริมชั้นดีที่มาทำให้กลิ่นโทน Fresh Spicy แกมสมุนไพรมีความชัดเจนมากขึ้นคือ เจอราเนียมที่ทำให้กลิ่นมีโทนเขียวๆ แบบก้านกุหลาบ และมีกลิ่นติดหวานนิดๆ แกมอบอุ่นหน่อยๆ ของ Clary Sage เสริมกลิ่นโหระพา และมีสายดอกไม้อย่างดอกส้มที่ให้ความนวลสะอาดบางๆ + ลาเวนเดอร์ที่ให้ความเป็นโทนสมุนไพรติดเขียวเชื่อมโยงกับกลิ่นไอริสที่ให้ความเป็นแป้งอ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีความปร่าบางเบาปลายกลิ่น ทำให้กลิ่นมีความปร่าเผ็ดสมุนไพรอะโรม่ารื่นรมย์กำลังดีท่ามกลางความสดชื่นแบบมีระดับ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าหน่อยๆ ติดเขียวของสนไพน์เสริมเข้ามา และมีความเป็นไม้หอมติดปร่าขรึมนิ่งๆ ของซีดาร์มาร่วมด้วย เคล้าความปร่าระเรื่อแกมหวานเล็กๆ ของพิมเสน (อารมณ์กลิ่นมาแบบเหมือน Clearwood ที่ให้ความเป็นลูกครึ่งระหว่างไม้ซีดาร์กับพิมเสนสะอาดๆ ใสๆ) แต่เพราะความเป็นดอกส้มกับไอริสที่ตามมาจากช่วงกลาง เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีอิทธิพลของการเป็นโทนสบู่ติดสมุนไพรเข้ามาร่วมด้วย ได้ความรู้สึกสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ และมีความชิลล์ๆ เป็นตัวปิดท้ายจนกว่าจะจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นอาจจะมีความสมุนไพรชัดอยู่บ้าง แต่ยังไงก็รอดสบายๆ เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงให้อารมณ์เรื่อยๆ เสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย แต่ถ้าใส่กลางคืน เน้นใส่เพื่อความสดชื่นสบายๆ ดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกแต่อย่างใด ตรงๆ มันคือ Daily Scent น่ะนะ   

ความทน - อยู่ราวๆ 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญ ก็เป็นไปตามสไตล์ของสาย Artisan อยู่แล้วที่ความทนไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย ความทนก็จะดีมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 8 ชม. กำลังดี

การกระจาย - เรียกว่าเป็น Safe Scent เลยดีกว่า เพราะการกระจายไม่ได้จัดจ้าน จะกระจายดีหน่อยก็ช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ มาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านช่วงกลางไประยะหนึ่ง แล้วเมื่อเข้าช่วงท้ายก็ Skin Scent แล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ได้เอะอะก็ยัดเยียดความเป็นกลิ่นแบบน้ำทะเลแต่อย่างใด แต่ให้อารมณ์แบบเมดิเตอร์เรเนียนแบบกลิ่นอายชิลล์ๆ พักผ่อนริมทะเลที่มีกลิ่นสมุนไพรแกม Citrus เป็นพื้นฐานที่ให้ความสดชื่นสบายๆ และเข้าถึงง่ายแบบไม่ต้องเล่นใหญ่ไฟกระพริบ แต่มีระดับในเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพและไม่ธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นที่ยังไงก็รอดจริงๆ ใช้ง่ายโดยที่ไม่ตกยุคและไม่ต้องปล่อยพลังมาก และเข้ากับอากาศร้อนได้ดีสุดๆ โดยไม่ทำให้อึดอัดแต่อย่างใดเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://twitter.com/fragrantica/status/699048059938983936

 

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: Lancome - Hypnôse Homme

Lancome - Hypnôse Homme

จากการเลิกผลิต Miracle Homme ที่เรียกว่าเป็นตัวเมนน้ำหอมชายของ Lancome ก็จะเหลือเพียง Hypnôse Homme เท่านั้นที่รับช่วงต่อในการเป็นน้ำหอมชายของแบรนด์มาเรื่อยๆ (ไม่นับกลุ่มที่อยู่ใน Exclusive Line ต่างๆ) แต่แล้วไม่นานก็ตามไปติดๆ กับการเลิกผลิตซึ่งตองบอกเลยว่า ตอนนี้น้ำหอมชายของแบรนด์ตัวหลักในการเป็น Designer & Cosmetics Brand นั้น ไม่มีแล้ว แต่จะมีในอนาคตหรือไม่ต้องมาคอยดูกันอีกที

เมื่อรู้ว่า Hypnôse Homme เลิกผลิต งานเข้าล่ะสิทีนี้ จากที่ผลัดวันประกันพรุ่งมานานมาเดี๋ยวค่อยว่ากันกับกลิ่นนี้ ก็หมดเวลาการผลัดผ่อนใดๆ อีกแล้ว จึงรีบจัดไปอย่าได้เสียโอกาสจนได้มาเก็บไว้ก่อนที่จะหายไปจากตลาดในที่สุด เช่นนั้นเมื่อได้มา ก็ต้องขอพิสูจน์กันหน่อยกับสิ่งที่กลิ่นนี้ได้รับความชื่นชมและถือเป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมชายของ Lancome ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความเรียบหรูอบอุ่นและมีความดึงดูดแบบมีระดับนั้นเป็นยังไง สิ่งที่ได้จากการใช้งานก็คือ

4 สิ่งที่มักจะเจอกันแล้วให้อารมณ์แบบ Bad Boy คือ Bergamot เม็ดกระวาน ลาเวนเดอร์ และแอมเบอร์ แต่แปลกสำหรับ Hypnôse Homme ก็จับต้องได้หมดทั้ง 4 Notes แต่ผ่านการเกลากลิ่นมาเป็นอย่างดี เลยทำให้เปลี่ยนจากการเป็นทรง Bad Boy มาเป็นทรงผู้ชายที่มีเสน่ห์อบอุ่นและเย้ายวนที่มีความเป็นสุภาพบุรุษแทน ซึ่งเปิดมาถึงก็ให้ความ Aromatic ในการเป็นน้ำหอมชายโดยยืนพื้นที่โทนหวานเย้าของเม็ดกระวานแบบที่ตัดเอาความจัดจ้านออก เพราะมีความปร่ามินต์มาทำให้กลิ่นมีโทนเขียวอะโรม่า เสริมด้วยกลิ่นโทน Citrus ที่ให้ความสมดุลย์พอดีระหว่างความเปรี้ยวอ่อนๆ แกมขมของ Bergamot และมีกลิ่นส้มนิดๆ เสริม โดยที่พื้นกลิ่นจะจับต้องได้เลยว่าลาเวนเดอร์เป็นตัวหลักที่ให้ความนวลสะอาดติดหวานแกมอบอุ่นแอมเบอร์อยู่ ซึ่งถือว่าเปิดต้นมาก็ให้ความเป็นผู้ชายแบบสมาร์ทแกม Nice กันตั้งแต่เริ่มเลย

การปรับโทนเข้าช่วงกลางเรียกว่าคราวนี้ลาเวนเดอร์จะเป็นตัวเมนและตัวตึงที่สุดในการให้โทนหอมนวลสะอาดและมีความเป็นโทนแป้งหน่อยๆ ที่พอดีๆ ไม่ได้เป็นลาเวนเดอร์ที่คาสวนจนมีความเป็น Herbal มาก่อกวนแต่อย่างใดๆ แต่ให้ความนุ่มผ่อนคลายแกมหวานเย้าแบบกำลังดี ให้ความสะอาดที่มีความสมาร์ทและสุขุมนวลๆ อบอุ่นกำลังงาม ซึ่งแน่นอนว่าแอมเบอร์เป็นตัวเสริมที่ดีที่ทำให้กลิ่นนี้มีความอวลอุ่นที่มีขับเสน่ห์ของกลิ่นลาเวนเดอร์ไล่โทนจากนวลสู่อบอุ่นที่ไม่ได้หนักข้นเกินไป ที่สำคัญจะมีความปร่าระเรื่อพิมเสนเล็กน้อยให้รู้สึกได้ ยิ่งทำให้กลิ่นนี้ได้ทั้งอบอุ่นอวลสะอาดแกมหวานนวลๆ ครีมมี่ติดแป้งเบาๆ นิดๆ และมีเสน่ห์เย้าจมูกได้กำลังดีมากจริงๆ

เมื่อความนวลเรื่อๆ เริ่มมีความครีมมี่ ของ Musk เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นมีความนวลสะอาดมากขึ้น เสริมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ยังคงมีอยู่ชัดเจนในช่วงนี้ให้มีความสะอาดสะอ้านแกมหอมอะโรม่าติดแมนๆ แกมปร่าพิมเสน แต่เพิ่มเติมคือโทนกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นชัดเจนแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นอวลมากไป คงความสมดุลย์ในการให้เนื้อกลิ่นที่สะอาดนวลแกมอบอุ่นกลางๆ มีความหวานเย้ามีเสน่ห์กำลังดี คุมโทนการเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่สมาร์ทและมีความอบอุ่นเย้าๆ แบบสาย Nice ได้ลงตัวและมีเสน่ห์แบบเหมือนจะธรรมดาแต่จริงๆ ไม่ธรรมดา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์แบบไม่ได้ลั่นล้า ออกแนวสุภาพบุรุษวางตัวดีและเสน่ห์อกมอบอุ่นแบบไม่ต้องบิลด์เยอะ ออร่าก็มาเองอะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็น Daily Scent ชัดเจนสุดๆ ในการใช้งานไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่ออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีที่สุดๆ เพราะช่วงต้นๆ อารมณ์กลิ่นมันไม่ได้มาสาย Activity นัก ส่วนยามค่ำคืนก็ครอบจักรวาลอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะออกงานหรือว่าใส่ท่องราตรีแบบมีระดับจิบหรูๆ เพียงแต่เพิ่มสเปรย์นิดนึงให้กลิ่นมีความชัดเจนหน่อยก็เพียงพอแล้ว

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดทอนลงไปเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ก่อนจะคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวนานไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 7 แล้วก็จะเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นกลิ่นอายที่วาง Position ได้ดีโดยจับเอาโทนกลิ่นแนว Bad Boy มาเหลาจนกลายเป็นโทนสุภาพบุรุษที่ดู Nice และมีเสน่ห์อบอุ่นในเวลาเดียวกันได้ลงตัวมาก แถมกลิ่นยังมีสไตล์แนวมินิมัลที่ให้ความเรียบหรูสะอาดๆ แต่ไม่แตะความข้นอวลแน่นแต่อย่างใด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งน้ำหอมชายที่น่าเสียดายจริงๆ ในการเลิกผลิต เพราะสามารถเป็นอีกหนึ่งใน Timeless Scent ได้ไม่ยากเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lancome.co.uk/perfume/men-s-perfume/hypnose-men/hypnose-homme/213015-LAC.html