Mini
Review - Parfum Prissana
น้ำหอมแบรนด์ไทย Tribute โทน
Vintage เคล้าความ Modern ที่ลงตัว
หนึ่งในแบรนด์ไทยที่เปิดตัวออกมาอย่างชัดเจนกับการ
Tribute
ความเป็นกลิ่นอายโทน Vintage รวมถึงความ Cult
บางอย่างที่มีความขลังและคลาสสิคก็จริง
แต่มีชั้นเชิงมากพอในการใช้งานที่จะสร้างความแตกต่างแบบที่จะทำให้คนใช้รู้สึกได้ไม่ยากว่านี่แหละความรุ่งเรืองทางกลิ่นในอดีตที่เราถวิลหาและมันเท่ห์เก๋ไม่หยอกในการนำมา
Mix & Match กับการใช้งานในความเป็นปัจจุบัน
ในแน่นอนว่าลองแล้วต้องมา Mini Review กันเสียหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน
อย่างไรบ้าง
การบอกเล่าแบบสรุปในครั้งนี้
จะมาจากการเทสกับกระดาษผสมกับการเทสที่ข้อพับกลิ่นละ 1 รอบเว้นกันไปในแต่ละวัน
โดยไม่ได้เป็นการใส่แบบเต็มตัว จึงไม่ได้ลงลึกรายละเอียดของ Note กลิ่นใดมากนัก และไม่ได้อ้างอิงถึงที่มาที่ไปของน้ำหอมตัวนั้นๆ
นอกจากบอกอารมณ์และภาพรวมของกลิ่นเป็นสำคัญ เริ่มที่
Nimitr:
มีความเป็น Vintage แบบที่ลงลายเซ็นให้มีลูกเล่นติด Modern หน่อยๆ
แทรกซึมในกลิ่นได้ดีเกินที่คาดคิดไว้ไปมากโขเลย เพราะนี่คือการนำเอากลิ่นอายแบบยุค
80 - ต้น 90 แนวๆ YSL - Jazz หรือ Kouros มาใส่ความเป็น Modern แบบเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วยโทน Incense ทำให้ได้ทั้งความเป็นสุภาพบุรุษใส่สูทเท่ห์ๆ
แบบยุคใหม่ติด Vintage ผมเรียบแปล้ด้วย Pomade ที่ดึงดูดสายตาให้รู้สึกเซ็กซี่น่าค้นหาแบบยังไม่ต้องถอดเสื้อผ้า มีความ Mix
& Match ได้เนียน
ทำให้รู้สึกว่าในความธรรมดาในแบบที่เราได้กลิ่นแบบนี้จากรุ่นพ่อ มันดันไม่ธรรมดาที่วัยอย่างเราใส่ได้และเร้าใจได้มากกว่าที่คิดนี่แหละ
Apsarah:
แม่หญิงจันทร์วาดนางฟ้าของขุนเรือง
ที่บอกแบบนี้เพราะเกาะกระแสบุพเพสันนิวาสไหม "ใช่ อันนี้ยอมรับ" ซึ่งกลิ่นก็ชัดเจนมากเลยทีเดียวถึงความเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีความพอเหมาะพอเจาะให้อารมณ์ผู้หญิงโซนเอเซียที่สวยมาก
งดงาม กุลสตรี วางตัวดี มีความน่ารักในทีและจริตจะก้านเนียนๆ กำลังงาม
กับความครีมมี่แบบลงตัวกำลังดี ไม่ข้น
และยังมีโทนเย้ายวนของดอกไม้อย่างกระดังงาเนียนอยู่ในนั้น
แต่กลิ่นนี้ไม่ได้มีลักษณะแค่ความเป็นไทยอย่างเดียว
แต่มีความเป็นโทนสากลนิยมที่สาวๆ
ประเทศไหนที่ชอบโทนดอกไม้ขาวก็ใช้ง่ายให้ความหรูหรามีระดับและนุ่มนวลพลิ้วไหวได้เรื่อยๆ
โดยไม่จำเป็นต้องย้อนยุคแต่อย่างใด
Le Cirque Bleu:
ลูกผสม 2 โทน
ไล่เรียงจากกลิ่นอายไม้หอมแบบไม้สนปนสมุนไพรที่จะมีพื้นฐานหลักของกลิ่นคือความนุ่มนวลปนดาร์กแบบเย็นๆ
ไปสู่การเป็นกลิ่นอายคล้ายสบู่หอมปนหวานนวลๆ
แล้วไปสู่ความเป็นโทนคลาสสิคที่เด่นกับโทนหนังและพิมเสนที่มีความเป็นโทน Animalic
กำลังดียังคุมความดาร์กปนหวานนวลได้คงที่
เรียงกลิ่นไล่เรียงกันผสมผสานจนเป็นเนื้อเดียวที่มีมิติกลิ่นหอมไม้สนปนเท่ห์ดาร์กเร้าใจแบบนิ่งๆ
แต่เอาจริงและเอาอยู่
เรียกว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นอายออกมาเป็นโทนที่มีคลาสสิคแบบเท่ห์ Cool แตะความ Modern ได้ลงตัวและมีชั้นเชิง
เรียกว่าใครชอบกลิ่นอายไม้หอมติดหวานนวลโปร่งและเท่ห์ดึงดูดจะเข้าทางมากเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ต้องยกนิ้วและชื่นชมผู้ปรุงเลยคือ
กลิ่นอายของทั้ง 3
ตัวของแบรนด์นี้
คุณภาพกลิ่นและส่วนผสมนั้นจัดเต็มและอัดแน่นจริงจนรู้สึกได้เลยว่า ไม่ธรรมดา
ไม่ไก่กากิงก่องแก้ว และไม่ง่ายที่จะทำออกมาในแต่ละตัวเสียด้วย
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าแปลกใจนัก คือ ถ้าราคาที่ขายจะสูงไปซักหน่อย
แต่มันก็ตอบโจทย์กับคุณภาพกลิ่นที่มาเต็มเหนี่ยวในทุกช่วงตัว
และเป็นงานศิลปะทางกลิ่นที่มีความเป็น Vintage มาด้วยเสน่ห์ที่จับต้องได้
แตะการใช้แบบ Modern ก็ได้ด้วย
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ใน Concept ที่ชัดเจน
คุณภาพจัดเต็ม และน่าสนใจมากจริงๆ
หมายเหตุ
- แต่ละคนการรับกลิ่นและความชอบแตกต่างกันไป เช่นนั้น Mini Review นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่บอกเล่ากลิ่นอายรุ่นต่างๆ จากที่ได้ลองแล้วนำมาร้อยเรียงเป็นบทความ
โดยมาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้นะครับ