วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Phaedon - Rue des Lilas

Phaedon - Rue des Lilas 

ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Phaedon นี้มาระยะหนึ่งและมีความสนใจอยากลองมาตลอด เนื่องจากสุคนธกรและเจ้าของแบรนด์คือ Pierre Guillaume ที่ทั้งหล่อเหลาและฝีมือจัดเต็มไม่น้อย แถมทำกลิ่นแนวๆ ขนมหรือโทนหวานได้ดีมากเสียด้วย ตลอดจนเป็นเจ้าของแบรนด์ Parfumerie Generale หรือ PG เสียด้วย เช่นนั้นเมื่อมีโอกาสกระทำความ Niche มาลองแบรนด์นี้ เลยขอเลือกโทนกลิ่นแนว Floral มาซะหน่อยว่าจะทำกลิ่นออกมาในลักษณะไหนที่แตกต่างจากที่เคยลองตัวอื่นๆ จากฝั่ง PG หรือไม่ กับรุ่นนี้เลย Rue des Lilas 

ชื่อรุ่นแปลออกมาได้อย่างชัดเจน คือ ถนนสายดอกไลแลคเช่นนั้นกลิ่นดอกไลแลคเลยจะเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบให้ความรู้สึกแบบดอกไลแลคที่ออกทางสะอาดๆ มีความจืดบางๆ เจือกลิ่นอายแบบมะลิแบบสดชื่นและมีความหอมออกโทนน้ำผึ้งนิดๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย โดยจะมาทักทายกันตั้งแต่แรกเลย ซึ่งในเนื้อกลิ่นเปิดมาก็ไลแลคแบบติดโทนแป้งให้รู้สึกได้เลย กลิ่นจะหอมสดชื่นหวานปนนุ่มนวล แต่จะมีความสดชื่นเจือๆ อยู่ให้พอจับต้องได้แนวๆ ดอกมะลิๆ ใสและดอกส้มที่ให้ความสะอาดติดสดชื่นแบบกำลังดี ให้ความรู้สึกได้อยู่เหมือนได้กลิ่นดอกไลแลคลอยมาแบบชัดๆ ให้ความรู้สึกหอมรื่นรมย์ได้เลยถ้ากลิ่นโทนดอกไม้ลักษณะแนวนี้ แล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นโทนแป้งจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นเลยกับการเป็นแป้งหอมกึ่งสบู่ดอกไลแลค ที่มีกลิ่นอายหอมหวานติดครีมนวลๆ และมีกลิ่นใสๆ ออกทางดอกมะลิกึ่งดอกกระดิ่ง (Lily-of-the-Valley) เคล้าคลอไปตลอด ที่แน่ๆ ในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นอายซ่าๆ ติด Spicy บางๆ เสียด้วยได้อารมณ์แบบติดโทน Vintage สะอาดแน่นๆ หน่อยๆ มาตัดทอนไม่ให้กลิ่นมาเต็มและเยอะไปจนทึบจัด ทำให้กลิ่นคงความเป็นธรรมชาติระดับหนึ่งเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความนวลปนอบอุ่นสมทบเข้ามามากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมอย่างชัดเจนที่จะเป็นกลิ่นอายนวลๆ ปนไม้หอมบางๆ พื้นของกลิ่นเป็น Musk ที่ออกทางแป้งนวลๆ ชัดเจน โดยที่กลิ่นของดอกไลแลคจะลดทอนลงมาเป็นกลิ่นหอมนวลๆ ปนหวานบางๆ เจือในเนื้อกลิ่นไปตลอดให้ความผ่อนคลายและรื่นรมย์ได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่าเป็นโทน Unisex แต่เอาเข้าจริงเอียงไปทางสาวๆ ราวๆ 70% ได้เลย แต่ถ้าผู้ชายที่มาใช้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพราะกลิ่นมาสายบรรยากาศในระดับหนึ่งก็ใส่ได้สบายๆ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป ซึ่งกลิ่นแตะการใช้งานได้หลากหลายและกลางพอสมควร แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายแน่นอนข้ามไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้แบบสบายๆ ชิลล์ๆ ไปเดินเล่น ช้อปปิ้งหรือว่าอยู่กับคนรักก็ได้หมด กลิ่นมีความรื่นรมย์กำลังดีเลยทีเดียว (อีกฝั่งต้องชอบกลิ่นของไลแลคด้วยนะ ไม่งั้นมีมองบนเอาได้) ส่วนการท่องราตรี เอาจริงๆ สามารถใช้งานได้ถ้าอัดสเปรย์หน่อยในการสร้างความแตกต่าง เพียงแต่ว่าจะให้ความนุ่มนวลและมีความหอมหวานเป็นธรรมชาติมากกว่าจะเน้นเย้ายวนนั่นเอง 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่ามาชัดเจนให้รู้สึกได้ถึงความเป็นไลแลคเลย แล้วกลิ่นจะคงตัวกระจายดีไปจนถึงช่วงกลางเลยที่จะมีความแน่นขึ้นมาหน่อย พอเริ่มเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะดรอปลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว พ้นซัก 6 ชม. จะ Skin Scent ชัดเจน ยกเว้นยามที่อากาศร้อนจัด อาจจะแค่ 4 ชม. กลิ่นก็ลงมาแล้วก็เป็นได้ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายของดอไลแลคที่หอมนุ่ม และใส่จริตจะก้านกำลังดีได้เลย โดยที่แตะความเป็น Vintage จางๆ และความเป็นธรรมชาติที่รื่นรมย์ก็ได้ ถือว่ากลิ่นอายมาสายแบบเรื่อยๆ แต่มั่นคงได้ดีเลย 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit  Phaedonparis --> http://www.phaedonparis.com/client/cache/produit/631_600____2__rue-des-lilas_102.jpg

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Cafe de Parfum - Eden

Cafe de Parfum - Eden

“Paradise isn’t a place. It’s a feeling.” – L. Boyer
 

เมื่อเห็นคำโปรยของการเปิดตัวน้ำหอมรุ่น Eden ของ Cafe de Parfum ที่เอาขนมต่างๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นหอมๆ ที่แตกต่าง ความน่าสนใจมันอยู่ที่ว่าขนมอะไรที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความฟินราวกับขึ้นสวรรค์ไปยังสวนอีเดนได้บ้าง เมื่อได้ดูข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมมากขึ้น จึงได้รู้ว่า 

Eden เอาความเป็น Fruit Tart มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่น โดยมีการให้ความรู้สึกแบบทาร์ตผลไม้รวมตั้งแต่ต้นยันจบได้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายจะเริ่มจากโทนผลไม้เรียกความสดชื่นและสดใสกันก่อนเลยอย่างสับปะรดที่จะวูบขึ้นมาแบบติดโทนออกทางสับประรดที่แช่น้ำเชื่อมลดโทนเปรี้ยวมาก่อนหน่อยๆ พร้อมกับกลิ่นออกทางติดเปรี้ยวแบบสว่างๆ กำลังดีแนวๆ สายเลมอน เคล้าความเปรี้ยวอมหวานของส้มหน่อยๆ เนื้อกลิ่นมีความชื้นๆ แบบไซรัปหวานเบาๆ ทำให้รู้สึกมีความเป็นกลิ่นอาย Bubble Gum กลิ่นผลไม้ผสมผสานอยู่บ้าง เคล้ากับกลิ่นออกทางเขียวนวลปร่าที่ค่อยเสริมเข้ามา และเป็นการนำเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายเขียวปร่านวลๆ จะยังคงผสมผสานอยู่ในเนื้อกลิ่นซึ่งชัดเจนเลยว่ากลิ่นอายสไตล์โหระพาที่จะให้ความรู้สึกในลักษณะนี้ และจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่หวานกลบโทนเปรี้ยวไปพอสมควรเพราะกลิ่นอายจะมีผลไม้แนวๆ พีช และมีกลิ่นหวานติดเขียวหน่อยๆ ของเมล่อนให้พอจับได้เคล้ากับกลิ่นเบอร์รี่ให้ความรู้สึกชวนยิ้มจางๆ ความสดใสยังมีอยู่ชัดเจนให้ความรู้สึกแบบหวานใส แต่ไม่ดูหวานแบบจัดจ้านเกินไป เลยได้อารมณ์แบบกลิ่นผลไม้ที่เด่นที่โทนหวานลอยมาให้ได้กลิ่นเสียมาก แต่ในเนื้อกลิ่นจะเริ่มมีโทนอบอุ่นแบบกำลังดีค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆกลิ่นจะมีความเป็นกึ่งครีมบางๆ กึ่งวานิลลาที่จะดึงโทนเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นผลไม้จะค่อยๆ จางจนหายไปในที่สุด ปล่อยให้กลิ่นออกทางวานิลลานวลๆ มีความ Smoky เบาๆ ที่ได้อารมณ์แนวๆ คุกกี้หรือตัวฐานที่เป็นถ้วยทาร์ต (ที่กินได้) อารมณ์กลิ่นจะมาลักษณะนั้นที่ออกทางติดผิวกายเรื่อๆ กำลังดีไปตลอด อบอุ่นแบบนวลๆ ไม่ได้ขนมจ๋ามากเกินไปนั่นเอง 

ภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับน้ำหอม - กลุ่มเพื่อนชายหญิงที่สนทนากันอย่างออกรสสนุกสนานมีรอยยิ้มอย่างสดใส กับ ฟรุตทาร์ตที่มีผลไม้สีสันพร้อมกลิ่นหอมหวานน่ากินวางตรงหน้า 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มาสายผลไม้แต่ไม่ได้จัดจ้านจนสาวสะพรั่งอะไรขนาดนั้น เลยค่อนมาทาง Unisex ที่อาจจะเบี่ยงมาทางผู้หญิงซัก 60% ได้ ซึ่งผู้ชายก็ใช้ได้สบายมากเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยความสะพรั่งรอบทิศ ซึ่งกลิ่นมีพลัง และมีความสดใสกำลังดีไปตลอด จึงทำให้เหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะยามทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้ออกทางสายทางการจัดๆ เกิน ส่วนการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งทำได้สบายมาก แต่การออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ยามค่ำคืนใส่ได้ตามสะดวกกับเวลาชิลล์ๆ ไปลั่นล้ากินขนม ช้อปปิ้งกับเพื่อน หรือว่าอยู่กับแฟนก็สามารถ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปเต้นสุดเหวี่ยงในผับในคลับที่ไหน เพราะกลิ่นจะเบาไป โดนชาวบ้านกลบเอาหมดได้ 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ตีไปบวกลบราวๆ 2 ชม. ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าสับปะรดหวานใสโปร่งมาทักทายได้เลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นหวานสดใสไม่กิงก่องแก้วดีเลยทีเดียว เข้าทางคนชอบที่กลิ่นอายหวานผลไม้แต่ไม่เลี่ยน และไม่ต้องการกลิ่นที่ขนมจัดจ้านเกินเหตุ เพื่อที่จะได้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่าย ถือว่าเป็นอีกตัวที่น่าลองไม่น้อย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ Cafe de Parfum นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit - Facebook Page - Cafe de Parfum



https://www.facebook.com/commerce/products/1829564510448247/?rid=155210415033782&rt=39&hc_location=ufi

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Maurer & Wirtz - 4711: Acqua Colonia Lavender & Thyme

Maurer & Wirtz - 4711: Acqua Colonia Lavender & Thyme

หลังจากที่ใช้ 4711 Ice Cologne มานาน เพราะว่าสามารถสาดได้ไม่ยั้ง และยังให้ความเย็นวาบช่วยในยามอากาศร้อนวายป่วงได้ดีไม่พอ ยังทำให้จมูกโล่งได้มากกับยามที่มีอากาศเป็นหวัดคัดจมูกเสียอีก เพราะกลิ่นมินต์ที่อยู่ในนั้น คราวนี้ก็เริ่มสนใจ Cologne ตัวอื่นๆ บ้างว่ากลิ่นจะเป็นยังไง และอยากรู้ว่า Maurer & Wirtz หรือที่เราๆ มักเรียกกันว่า 4711 นั้นจะนำเอากลิ่นอายอื่นๆ มาทำเป็น Cologne ได้น่าสนใจขนาดไหน ขอมาลองกันเลยด้วยการเลือกรุ่นนี้มาบอกต่อนั่นคือ Acqua Colonia Lavender & Thyme 

ใครที่ชอบกลิ่นลาเวนเดอร์สดชื่น มีความใสกระจ่าง และเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ยาวไป ให้โทนเดียวไม่ต้องมาลุ้นการเปลี่ยนโทนอะไรให้มากความ สามารถชอบตัวนี้ได้เลยเมื่อยามได้กลิ่น เพราะเปิดตัวกลิ่นกลิ่นอายสดชื่นแบบใสสะอาดในลักษณะที่เป็นเหมือน Signature ของแบรนด์นี้ ด้วยกลิ่นอาย Citrus ใสๆ เบาๆ และมีเมนทอลที่ทำให้เย็นผิวเคล้าความเป็นกลิ่นอายแบบน้ำลาเวนเดอร์ที่ใสกระจ่างหอมแบบกำลังดี ไม่ได้เป็นลาเวนเดอร์คาต้นที่มีกลิ่นเขียวติดเมทัลลิคหรือเป็นลาเวนเดอร์ที่นุ่มสะอาดอะไรแบบนั้น ได้ความรู้สึกสดชิื่นแนวๆ อาบน้ำแล้วฟอกสบู่สบู่ลาเวนเดอร์ที่เป็นกลีเซอรีนใสๆ แล้วกลิ่นสดชื่นหอมฟุ้งขึ้นมา ซึ่งกลิ่นจะเป็นโทนนี้เด่นแบบยาวไปเลย เพียงแต่จะเริ่มลดความใสกระจ่างแบบน้ำเย็นๆ สดชื่นลงมาเป็นกลิ่นอายออกทางสบู่ลาเวนเดอร์ที่ยังออกทางใสๆ อยู่ติดสมุนไพรบางๆ ที่หอมติดผิวกายนวลๆ สะอาดๆ สดชื่นแบบเบาๆ มีความเป็น Musk นวลบางๆ ไม้หอมอ่อนๆ ที่ให้ความสะอาด โดยที่ความเป็นลาเวนเดอร์และสมุนไพรบางๆ ยังคงอยู่เหมือนกลิ่นสบู่ใสๆ ติดผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นใช้ง่ายมากกกกก เรียกว่าเอามาสาดตัวเลยก็ย่อมได้ถ้ามีตังค์ซื้อรัวๆ กลิ่นมีความสะอาดใสสดชื่นแบบที่เข้าถึงได้ง่ายมาก และลาเวนเดอร์ไม่ได้หนักหน่วงแต่ประการใด ซึ่งสามารถใส่ได้หมด กวาดเรียบในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วไป จะในร่มหรือกลางแจ้งรวมถึงการออกกำลังกายก็ได้หมด เรียกว่าสาดไปเถอะ เอาตัวรอดได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนสาดอยู่บ้านเถอะ ไม่ต้องสาดไปท่องราตรีหรอก โดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - เป็น Eau de Cologne ที่ความทนถือว่าดีเลยทีเดียว กับราวๆ 4 - 6 ชม. หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็อยู่ที่ผิวกายคนนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็คือว่าดีกว่า Cologne หลายๆ ตัวไม่น้อย 

การกระจาย - แทบไม่ต้องสนใจในเรื่องนี้ เพราะมีกระจายออกมาแบบออร่ารอบๆ ตัวในช่วงต้น ที่เหลือ Skin Scent โลดดดดดดด มาสาย Safe Scent กันอย่างชัดเจน 

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวชอบกลิ่นอายน้ำลาเวนเดอร์ใสๆ แบบนี้มาก เพราะมันสดชิื่นและมีเสน่ห์จริงๆ ได้อารมณ์สบู่ใสหอมๆ ติดผิว เรียกว่าพกไปเติมระหว่างวันสบายตัวหอมสดชืิ่นไม่รบกวนใครแต่คนรอบตัวอาจจะได้ความรู้สึกสะอาดๆ บางๆ จากเราได้อยู่บ้าง ซึ่งกลิ่นนี้มีเพียงแค่ความทนและการกระจายเท่านั้นที่ไม่ตอบโจทย์คนที่ชอบน้ำหอมทนๆ หรือต้องกระจายดีก็เท่านั้นเอง ที่เหลือกลิ่นมาสาย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง อย่างชัดเจน

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit --> https://www.jewlzie.com/4711-acqua-colonia-lavender-thyme-eau-de-cologne-spray-170ml-57oz

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - A*Men Kryptomint


Thierry Mugler - A*Men Kryptomint 

ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องของไลน์ A*Men ตั้งแต่ต้นตระกูลที่เป็น Sex in the Bottle และเป็น Masterpiece ของแบรนด์ Thierry Mugler ตามด้วยรุ่น A*Men Pure ต่างๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบ้าง คงตัวบ้าง และดรอปบ้าง จนมาในปี 2017 ที่ผ่านมา ลูกชายรุ่นน่าสุดของไลน์นี้จึงได้ออกมาพร้อมกับการอินเทรนด์ Greenery โดยเอาความเป็นมินต์หนึ่งในกลิ่นหลักของ A*Me
n รุ่นปกติมาชูโรง ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหน ได้เวลามาเล่ากลิ่นกันหน่อยกับรุ่นนี้ A*Men Kryptomint 

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นเปปเปอร์มินต์เด่นวูบขึ้นมาเลย กลิ่นจะมีความเป็นมินต์ที่ไม่ได้มาสายแบบกลิ่นอายที่เคยได้กลิ่นในยาสีฟันหนือพวกหมากฝรั่งนัก และจะรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นไม่ได้มาสายใสๆ ธรรมชาติ เพราะมาแบบติดวูบคมๆ และมีความเป็นโทนปร่าสมุนไพรได้ความเขียวปน Fresh Spicy ไพล่ไปทางกลิ่นอายเย็นๆ ยังไม่พอจะรู้สึกได้ถึงความเป็นลายเซ็นของไลน์นี้เลยเพราะกลิ่นพิมเสนที่ให้ความสากดิบเนียนๆ จะปรากฎตัวพร้อมกับกลิ่นอายแนวครีมมี่ติดนัวที่รองพื้นแทรกซึมอยู่ ซึ่งช่วงแรกนี้จะมีความมะรุมมะตุ้มกันนิดนึงแบบสไตล์ A*Men เพียงแต่จะชูโรงความเป็นมินต์ได้ชัดตาม Concept โดยไม่มีใครแย่งซีนเด่นแทนนัก โดยเป็นลักษณะแบบโทนสดชื่นติดแน่นกำลังดีเป็นสำคัญ จนเมื่อเริ่มเปลี่ยนช่วงเข้าสู่ช่วงกลางเริ่มตามตัวเจอว่าสิ่งที่ทำให้กลิ่นมินต์มาสายสมุนไพรชัดเจนมากนั่นคือกลิ่นของเจอราเนียมที่จะให้ความเขียวแบบสมุนไพรที่มีพื้นฐานของความเป็นกลิ่นคล้ายมินต์ติดผลไม้นิดๆ และมีกลิ่นกุหลาบบางๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะลอย On Top ออกมาด้วยความเป็นมินต์สายสมุนไพร เจือด้วยพิมเสนที่นวลจมูกมากขึ้นเริ่มมาสายสว่างๆ แต่คงความสากบางๆ ดึงดูดเซ็กซี่แบบกำลังดี ไม่ได้โจ่งแจ้งชวนกินเรียบตั้งแต่บนลงล่าง แต่มีความเย้ายวนกำลังดีเซ็กซี่ขี้เล่นเบาๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะรองพื้นด้วยกลิ่นอายนุ่มๆ ติดครีมมี่ที่มาจากกลิ่นอายของถั่วตองก้า มีความหวานหน่อยๆ แบบติดโทนช็อคโกแลตที่ไม่ขมทำให้ช่วงนี้เป็นลักษณะคล้ายลูกอมหรือชอคโกแลตขาวรสมินต์สมุนไพรแบบครีมมี่นุ่มนมที่หอมนวลกึ่งสดชื่นกึ่งนุ่มนวลไปตลอด เรียกว่าเป็นไฮไลท์กันได้เลยและเป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญของน้ำหอมตัวนี้เสียด้วย เพราะเป็นการส่งต่อความเป็นโทน Minty ไปสู่ความเป็น A*Men ตามแบบต้นตระกูลในช่วงท้ายในรูปแบบที่กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมาก เป็น A*Men ที่มีความเบาลงมากว่าปกติ มาแบบเดียวกับลักษณะของ A*Men Ultra Zest โดยที่จะมีกลิ่นอายของพิมเสนที่นุ่มขึ้น ไม่สาก ไม่ดิบ นวลๆ ครีมมี่ติดวานิลลาบางๆ ปนหวานกำลังดี มีกลิ่น Spicy ติดขมบางเบาคล้ายโทนกาแฟนิดๆ คลอเนียนๆ อยู่ในนั้น ที่สำคัญทิ้งไปไม่ได้เลย เพราะตัวเอกของกลิ่นมินต์ยังตามมาถึงช่วงนี้ แต่จะมาแบบเบาๆ ปลอดโปร่งเจือในเนื้อกลิ่น ให้ความชิลล์สบายๆ ไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์แบบผู้ชายสบายๆ ยิ้มง่าย มีเสน่ห์ และขี้เล่นกำลังดีแบบรู้กาลเทศะ ซึ่งมี Sex Appeal แผ่ออกมาอย่างชัดเจนประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เป็นหนึ่งในไลน์ A*Men ที่ใช้ง่ายในระดับหนึ่งเลย (แบบผ่านช่วงต้นไปก่อน) กลิ่นจะมีความลั่นล้ากำลังดี สบายๆ ช่วงท้ายกำลังงาม สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบไม่ได้ทางการจ๋ามาก ใส่ทำงานก็ได้ หรือว่าจะใส่แบบทั่วๆ ไป อันนี้เข้าทางมากมาย ยกเว้นที่ใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายสำหรับอากาศแบบเมืองไทย ให้รอช่วงกลางหรือช่วงท้ายเป็นต้นไปน่าจะดีกว่า เพราะช่วงต้นกลิ่นมาเต็มพอสมควร ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยเรียกว่ารอดได้อยู่ อาจจะไม่ได้เรียกแขกจัดจ้านแบบรุ่นต้นตระกูล แต่อย่างน้อยให้ความชิลล์ๆ เซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้งให้รู้สึกน่าเข้าใกล้แทนก็น่าสนใจไม่น้อย ประมาณนั้น 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งอาจจะมากกว่านั้นได้ง่ายๆ ถ้าจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีดเหมาะสม โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 9 ชม. กำลังดีเลยทีเดียว กับการใช้ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก เรียกว่าอาจจะตกใจกันหน่อย สำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน แล้วจะลดลงมากระจายดีในต้นช่วงกลาง แล้วค่อยๆ ลดลงมาเป็นสเต็ปเป็นกระจายปานกลาง จนเข้าสู่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว 

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ ลักษณะกลิ่นมาในสเต็ปเดียวกันกับ A*Men Ultra Zest เปลี่ยนโทนส้มออกเป็นมินต์แทน แต่การเปลี่ยนโทนลักษณะนี้มีความลงตัวในความเป็นมินต์และลูกอม/ชอคโกแลตขาวครีมมี่รสมินต์ได้ดีมาก แบบที่ยังมีลายเซ็นของความเป็น A*Men อยู่อย่างครบถ้วนโดยไม่หนักหน่วงเกินไปนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://fimgs.net/images/secundar/o.45707.jpg

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Widian - London

Widian - London 

พูดถึงน้ำหอมที่มาจากทางตะวันออกกลาง นอกเหนือจากแบรนด์ที่เรารู้ๆ จักกันดีในหมู่คนเล่นน้ำหอม เช่น AJMal, Sasasi หรือ Lattafa ที่ได้รับความนิยมกันมากเลยทีเดียว แถมแบรนด์ทางตะวันตกหลายๆ แบรนด์ก็เข้าไปตีตลาดตะวันออกกลางโดยเอากลิ่นอายของไม้กฤษณาเป็นหลักสำคัญในการไปดึงดูดผู้คนแถบนั้น ซึ่งอาจจะออกเป็น Luxury หรือ Exclusive อะไรก็ว่ากันไป แต่เอาจริงๆ แล้วแถบนั้นเขาก็มีแบรนด์ Luxury ของเป็นของตัวเองที่พร้อมปล่อยฝีมือของตนไปสู่ระดับโลกเสียด้วยนะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Widian เช่นนั้นได้เวลามารู้จักกันเสียหน่อย ด้วยการมาบอกเล่ากลิ่นอายแรกสุดของแบรนด์นี้ที่ได้ลองว่าจะเป็นลักษณะใด 

London เป็นรุ่นล่าสุดของแบรนด์นี้เลยที่พึ่งวางขายในปี 2018 นี้ โดยมี Concept เป็นการเอากลิ่นอายของโทนตะวันออกกลางมาเจอกับโทนกลิ่นอายแบบตะวันตก โดยเป็นรุ่นแรกที่แยกออกมาเป็นไลน์ The Sapphire Collection ซึ่งเมื่อเห็นรูปลักษณะของขวดก็เรียกว่าคาดเดาในใจกันก่อนเลยว่าต้องมีความเป็นโทนใสๆ ที่เอาตะวันออกกลางมาเจือในมีอะไรในกลิ่นแน่ๆ แต่กลายเป็นว่า 

ที่เป็นการเจอกันของกลิ่นหนัง Oud และราสเบอร์รี่ที่ทำออกมาได้น่าสนใจมาก มีความเป็น Oud ที่ไม่ได้แขกจ๋าเกินไป แต่ยังจับต้องได้ตลอด โดยเปิดช่วงแรกหลังสเปรย์กันเต็มๆ กับวูบหนึ่งของกลิ่น Oud ที่ได้อารมณ์แบบกลิ่นอวลบางๆ กำลังดีก็จริง แต่จะโดนตัดทอนให้ไม่อวลเกินกว่าเหตุด้วยกลิ่นอายแบบแป้งหอมหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่ทำให้กลิ่นเป็น Oud ที่มีความนวลโปร่งมากขึ้น และยังไม่พอจะมีกลิ่นออกทางไม้สว่างหอมติดเขียวนิดๆ ของสนไซเปรสมาผสมผสานด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงต้นนี้เป็นโทนแป้งหอมโปร่งหวานเจือ Oud ได้ดีเกินคาด และกลิ่นมีความหรูหราติดเย้ายวนแฝงอยู่ตลอด วูบต่อมาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราสเบอร์รี่ที่เนียนมากับกลิ่นโปร่งหวานหอมแป้งและนำเข้าไปสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ชัดเจนเลยว่าราสเบอร์รี่จะกลายเป็นตัวเด่นที่มาลักษณะกลิ่นหอมหวานเจือแป้ง โดยที่ Oud จะเป็นโทนอ้อยอิ่งลอยไปลอยมาให้สัมผัสได้ มีกลิ่นบางเบาดอกไม้หน่อยๆ คลอไปตลอด ซึ่งในโทนต่างๆ ที่ผสมผสานกันนี้ จะเริ่มมีกลิ่นหนังที่แทรกขึ้นมาเรื่อยๆ ในช่วงนี้ด้วย ทำให้กลายเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ได้เลยกับการเป็นกลิ่นหนังกลั้วราสเบอร์รี่ คลอเคลียด้วย Oud กลิ่นมีลักษณะโทนที่ใกล้เคียงความเป็น Tom Ford - Tuscan Leather กันอยู่บ้างในบางความรู้สึก แต่เอาเข้าจริง เพราะความเป็นแป้งหอมกลั้ว Oud กลิ่นเลยมีลูกเล่นของโทนตะวันออกกลางเจือไปแบบเนียนๆ ได้น่าสนใจท่ามกลางกลิ่นหนังกับราสเบอร์รี่ที่ให้ความรู้สึก Modern ตะวันตกได้ลงตัวไม่น้อย 

จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นและความหวานนวลแป้งที่เริ่มมากขึ้นจากวานิลลาที่เริ่มปรากฎกลิ่นให้จับต้องได้ ก็ถือเป็นการเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของน้ำหอมเต็มตัวกับการเป็นกลิ่นโทนหวานนวลที่วานิลลาจะผสมผสานกับราสเบอร์รี่ที่ยังอยู่แบบเบาๆ ให้ความเป็นแป้งอบอุ่นปนหวาน เคล้ากับกลิ่นของโทนไม้หอมติดอบอุ่นจากแอมเบอร์ในช่วงนี้จะมาสอดรับกับกลิ่น Oud ที่พอเหลือให้จับต้องได้ให้ความเป็นโทน Smoky เบาๆ เจือความหวานให้ความเย้ายวนเซ็กซี่กำลังดีเสียด้วย โดยที่กลิ่นอายของโทนหนังจะรองพื้นอยู่แบบนวลๆ ติดผิวให้ความรู้สึกอวลนวลและหรูหรากำลังดีไปตลอด โดยภาพรวมของกลิ่นนี้จะให้ความรู้สึก East Meets West ตาม Concept ของไลน์ได้พอเหมาะพอเจาะ มีความเนียนของกลิ่น และจับต้องได้ชัดเจนดีมากระหว่างกลิ่นของโทนตะวันออกกลางและตะวันตก 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดทุกเพศ มีความเป็น Unisex สูงมาก สามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดจำนวนสเปรย์ ไม่งั้นกลิ่นตีขึ้นเอาจนจุกได้ (ถ้าคนฉีดไม่จุกเพราะชอบ ชาวบ้านรอบๆ น่ะ จุกเต็มๆ แน่นอน) เพราะพื้นฐานของกลิ่นมันมีความอวลฟุ้งตามแบบฉบับน้ำหอมตะวันออกกลางเจืออยู่ด้วยทุกเม็ดนั่นแล โดยใส่ได้แบบทางการหรือทั่วๆ ไปได้อยู่ที่การเลือกที่จะนำเสนอด้วยส่วนหนึ่ง แต่ปิดจ็อบการใส่ไปกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวขาดอากาศหายใจกันพอดี ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรี ถือว่าเอาอยู่ได้หมด สู้ชาวบ้านได้สบายๆ 

ความทน - 12 ชม. กลิ่นยังคงทนอยู่มาก และสูงสุดที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่เสมอต้นเสมอปลาย ยกนิ้วให้เลยว่าของเขาทนจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ แบบคงตัวลากยาวไปถึงช่วงท้ายเลย ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยเป็นปานกลาง เมื่อผ่านซัก 8 ชม. ขึ้นไปจะเริ่มกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว แบบยาวไป

ทิ้งท้าย - น้ำหอมถือว่ามีคุณภาพดีสมกับคำว่า Luxury แม้บางวูบจะทำให้นึกถึง Mancera หรือ Montale บ้าง แต่เรื่องความหรูหราและคุณภาพกลิ่นมีลูกเล่นและชั้นเชิงที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีเลยทีเดียว แม้ว่าสีขวดจะทำให้เข้าใจผิดไปเพราะนึกว่าน้ำหอมจะให้ความเป็นโทนสีฟ้าใสๆ แต่จริงๆ ไม่ใช่มันเกินคาดไปตามที่เขียนบรรยายข้างต้นมากเลย ที่สำคัญขวดสวยเชียว ชอบตรงนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Extrait.it
- https://www.extrait.it/wp-content/uploads/2018/02/a-london-widian.jpg

Mini Review - Parfum Prissana: น้ำหอมแบรนด์ไทย Tribute โทน Vintage เคล้าความ Modern ที่ลงตัว

Mini Review - Parfum Prissana
น้ำหอมแบรนด์ไทย Tribute โทน Vintage เคล้าความ Modern ที่ลงตัว  

หนึ่งในแบรนด์ไทยที่เปิดตัวออกมาอย่างชัดเจนกับการ Tribute ความเป็นกลิ่นอายโทน Vintage รวมถึงความ Cult บางอย่างที่มีความขลังและคลาสสิคก็จริง แต่มีชั้นเชิงมากพอในการใช้งานที่จะสร้างความแตกต่างแบบที่จะทำให้คนใช้รู้สึกได้ไม่ยากว่านี่แหละความรุ่งเรืองทางกลิ่นในอดีตที่เราถวิลหาและมันเท่ห์เก๋ไม่หยอกในการนำมา Mix & Match กับการใช้งานในความเป็นปัจจุบัน ในแน่นอนว่าลองแล้วต้องมา Mini Review กันเสียหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน อย่างไรบ้าง

การบอกเล่าแบบสรุปในครั้งนี้ จะมาจากการเทสกับกระดาษผสมกับการเทสที่ข้อพับกลิ่นละ 1 รอบเว้นกันไปในแต่ละวัน โดยไม่ได้เป็นการใส่แบบเต็มตัว จึงไม่ได้ลงลึกรายละเอียดของ Note กลิ่นใดมากนัก และไม่ได้อ้างอิงถึงที่มาที่ไปของน้ำหอมตัวนั้นๆ นอกจากบอกอารมณ์และภาพรวมของกลิ่นเป็นสำคัญ เริ่มที่

Nimitr:
มีความเป็น Vintage แบบที่ลงลายเซ็นให้มีลูกเล่นติด Modern หน่อยๆ แทรกซึมในกลิ่นได้ดีเกินที่คาดคิดไว้ไปมากโขเลย เพราะนี่คือการนำเอากลิ่นอายแบบยุค 80 - ต้น 90 แนวๆ YSL - Jazz หรือ Kouros มาใส่ความเป็น Modern แบบเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วยโทน Incense ทำให้ได้ทั้งความเป็นสุภาพบุรุษใส่สูทเท่ห์ๆ แบบยุคใหม่ติด Vintage ผมเรียบแปล้ด้วย Pomade ที่ดึงดูดสายตาให้รู้สึกเซ็กซี่น่าค้นหาแบบยังไม่ต้องถอดเสื้อผ้า มีความ Mix & Match ได้เนียน ทำให้รู้สึกว่าในความธรรมดาในแบบที่เราได้กลิ่นแบบนี้จากรุ่นพ่อ มันดันไม่ธรรมดาที่วัยอย่างเราใส่ได้และเร้าใจได้มากกว่าที่คิดนี่แหละ 

Apsarah:
แม่หญิงจันทร์วาดนางฟ้าของขุนเรือง ที่บอกแบบนี้เพราะเกาะกระแสบุพเพสันนิวาสไหม "ใช่ อันนี้ยอมรับ" ซึ่งกลิ่นก็ชัดเจนมากเลยทีเดียวถึงความเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีความพอเหมาะพอเจาะให้อารมณ์ผู้หญิงโซนเอเซียที่สวยมาก งดงาม กุลสตรี วางตัวดี มีความน่ารักในทีและจริตจะก้านเนียนๆ กำลังงาม กับความครีมมี่แบบลงตัวกำลังดี ไม่ข้น และยังมีโทนเย้ายวนของดอกไม้อย่างกระดังงาเนียนอยู่ในนั้น แต่กลิ่นนี้ไม่ได้มีลักษณะแค่ความเป็นไทยอย่างเดียว แต่มีความเป็นโทนสากลนิยมที่สาวๆ ประเทศไหนที่ชอบโทนดอกไม้ขาวก็ใช้ง่ายให้ความหรูหรามีระดับและนุ่มนวลพลิ้วไหวได้เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนยุคแต่อย่างใด 

Le Cirque Bleu:
ลูกผสม 2 โทน ไล่เรียงจากกลิ่นอายไม้หอมแบบไม้สนปนสมุนไพรที่จะมีพื้นฐานหลักของกลิ่นคือความนุ่มนวลปนดาร์กแบบเย็นๆ ไปสู่การเป็นกลิ่นอายคล้ายสบู่หอมปนหวานนวลๆ แล้วไปสู่ความเป็นโทนคลาสสิคที่เด่นกับโทนหนังและพิมเสนที่มีความเป็นโทน Animalic กำลังดียังคุมความดาร์กปนหวานนวลได้คงที่ เรียงกลิ่นไล่เรียงกันผสมผสานจนเป็นเนื้อเดียวที่มีมิติกลิ่นหอมไม้สนปนเท่ห์ดาร์กเร้าใจแบบนิ่งๆ แต่เอาจริงและเอาอยู่ เรียกว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นอายออกมาเป็นโทนที่มีคลาสสิคแบบเท่ห์ Cool แตะความ Modern ได้ลงตัวและมีชั้นเชิง เรียกว่าใครชอบกลิ่นอายไม้หอมติดหวานนวลโปร่งและเท่ห์ดึงดูดจะเข้าทางมากเลยทีเดียว 

สิ่งหนึ่งที่ต้องยกนิ้วและชื่นชมผู้ปรุงเลยคือ กลิ่นอายของทั้ง 3 ตัวของแบรนด์นี้ คุณภาพกลิ่นและส่วนผสมนั้นจัดเต็มและอัดแน่นจริงจนรู้สึกได้เลยว่า ไม่ธรรมดา ไม่ไก่กากิงก่องแก้ว และไม่ง่ายที่จะทำออกมาในแต่ละตัวเสียด้วย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าแปลกใจนัก คือ ถ้าราคาที่ขายจะสูงไปซักหน่อย แต่มันก็ตอบโจทย์กับคุณภาพกลิ่นที่มาเต็มเหนี่ยวในทุกช่วงตัว และเป็นงานศิลปะทางกลิ่นที่มีความเป็น Vintage มาด้วยเสน่ห์ที่จับต้องได้ แตะการใช้แบบ Modern ก็ได้ด้วย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์ใน Concept ที่ชัดเจน คุณภาพจัดเต็ม และน่าสนใจมากจริงๆ

หมายเหตุ - แต่ละคนการรับกลิ่นและความชอบแตกต่างกันไป เช่นนั้น Mini Review นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่บอกเล่ากลิ่นอายรุ่นต่างๆ จากที่ได้ลองแล้วนำมาร้อยเรียงเป็นบทความ โดยมาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้นะครับ

Credit ภาพ - Facebook Page: ParfumPrissana


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Diptyque - L’Ombre Dans L’Eau EDT

Diptyque - L’Ombre Dans L’Eau EDT

เมื่อได้ผ่านความเข้มข้นระดับ Eau de Parfum ของรุ่น L’Ombre Dans L’Eau จากแบรนด์ Diptyque มานานในระดับหนึ่งและประทับใจในความชัดเจนของกลิ่นที่ลงตัวและเข้มข้นแต่มีความอะโรม่าแทรกซึมอยู่ตลอดเวลาให้รู้สึกได้ ก็ได้เวลาที่จะมาลองในรุ่น Eau de Toillette หรือ EDT ดูบ้าง ว่าจะแตกต่างหรือมีอะไรที่น่าสัมผัสและจะทำให้ฟินแบบที่เคยลอง EDT หรือไม่ เช่นนั้นผลที่ไ
ด้คือ 

กลิ่นไม่ได้มีความแตกต่างจาก EDP นัก แต่สิ่งที่ชัดกว่าคือ กลิ่นใสกว่า และมีความพุ่งฟุ้งเต็มเหนี่ยวมากกว่าเพราะความเป็น EDT ตัวสารหอมปริมาณจะอยู่ที่ราวๆ 5 - 15% (น้อยกว่า EDP ที่จะความเข้มข้นของสารหอมที่ 15 - 20%) ตัวแอลกอฮอล์เลยจะมีพอสมควรที่จะทำให้กลิ่นพุ่งและใสขึ้น ไม่เข้มจนเกินไป ซึ่งการเปิดตัวของรุ่น EDT เลยจะได้ความเป็นกลิ่นเขียวคมๆ ของใบแบล็คเคอแรนท์ที่จะออกทางเขียวเปรี้ยวเปรี้ยวคมผสมผสานกับกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์ที่จะมีความเป็นผลไม้โทนเบอร์รี่ที่ออกเปรี้ยว แต่สิ่งที่ดีมากในช่วงนี้ที่กลบกลิ่นโทนด้านมืดที่ให้อารมณ์ติดคล้ายกลิ่นฉี่แมวของโทนแบล็คเคอแรนท์ คือ ความเป็น Citrus ของมะกรูดฝรั่งที่ติดเขียวขมเปรี้ยว และกลิ่นส้มที่ให้ความสดชื่นกำลังดี กลิ่นเลยที่ฟุ้งกระจายสดชื่นแบบเขียวคมใบไม้ติดเปรี้ยวได้ชัดเจน และจะแอบสัมผัสได้เช่นเคยว่ากลิ่นตัวเอกอีกหนึ่งตัวอย่าง กุหลาบจะแทรกซึมเนียนๆ ในนั้นอยู่ และเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงกลาง ที่กุหลาบจะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นโทนเขียวใบแบล็คเคอแรนท์ ทำให้เป็นกุหลาบติดเขียวคมก็จริง แต่มีความอะโรม่านวลๆ ติดแห้งของกุหลาบกำลังดีล้อกันไปตลอด โดยที่ยังมีความสดชื่นประปรายให้รู้สึกได้ และกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมีความเป็นกลิ่นอายคล้ายผิวกายเบาๆ รองพื้นอยู่ และมีกลิ่นสะอาดๆ นุ่มของ Musk มาเสริม แต่ไม่ได้เด่นนัก รองพื้นกันแบบยาวไป ให้กลิ่นกุหลาบติดเขียวที่ลดทอนความคมเพราะมีโทนนุ่มเบาๆ มาตัดยังคงความหอมสดชื่นเขียวติดนวลกุหลาบมีระดับและหรูกำลังดีไปตลอด 

เหมาะสำหรับ - ยังคงเป็นสาวๆ เช่นเคย เพราะแบรนด์เขาชูโรงกลิ่นนี้ให้ผู้หญิง แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้สบายมาก เพราะกลิ่นได้ความรู้สึกแบบสภาพแวดล้อมและอะโรม่าคมๆ ในระดับหนึ่ง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ให้จำนวนสเปรย์พอเหมาะอาจจะดีกว่ากับอากาศบ้านเราเพราะกลิ่นจะฟุ้งและคมทำให้ชาวบ้านมองหน้าเอาได้ แม้จะอะโรม่าก็ตาม ซึ่งไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ใช่ขุดดินหาปลาก็เรียกว่าลงตัว ใส่ออกกำลังกายก็ได้ แต่เปลืองนะ มันแพง ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่าก็สามารถอัดสเปรย์หน่อยสู้คนอื่นได้ด้วยนะเออ เป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบราว 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งแน่นอนในส่วนนี้สู้ EDP ไม่ได้ แต่ก็ยังคือว่าลงตัวตามประสาการเป็น EDT ที่ยังให้ความดีงามของกลิ่นครบถ้วน 

การกระจาย - กลิ่นพุ่งกระจายดีมากกกกกกในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแล้วจะดรอปลงเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าไม่ต้องเปรียบเทียบ กลิ่นของ EDT กับ EDP เพราะไม่ต่างกันเลยในภาพรวม ต่างกันแค่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ ความเข้มข้นและความชัดเจนของกลิ่นที่ EDP จะชัดกว่าทุกช่วงตัวจับต้องแทบทุก Note กลิ่นได้หมด แต่ EDT จะใสกว่า ดึงโทนจุดเด่นของกลิ่นเขียวสดชื่นคมๆ กลั้วกุหลาบได้เด่นเป็นสง่าคุมโทน โดยที่กลิ่นอายอื่นๆ จะมาแบบสายสนับสนุนนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.mecca.com.au/diptyque/lombre-dans-leau-edt/V-014545.html



วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Chanel - Les Exclusifs de Chanel: 28 La Pausa

Chanel - Les Exclusifs de Chanel: 28 La Pausa

บอกเลยรุ่นนี้อาจจะหาไม่ได้แล้ว เพราะว่า Chanel ประกาศอัพเกรดทุกรุ่นในไลน์ Les Exclusifs de Chanel เป็นความเข้มข้นระดับ Eau de Parfum หมดแล้ว เช่นนั้นของเดิมคือ EDT ก็เลิกผลิตกลายเป็นของ Rare Item ขึ้นมาทันที เช่นนั้น ต้องเล่ากลิ่นกันหน่อย อย่างน้อยถ้าใครหาได้มาครอบครองทันถือว่าเป็นเรื่องดี กับรุ่นนี้เลย 28 La Pausa 

เพียงแค่แรกสเปรย์ก็รู้กันในทันทีว่ากลิ่นมาสายน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชึ่นแบบธรรมชาติ ไม่โฉ่งฉ่างเล่นใหญ่ปล่อยพลังอะไรเลย มาแบบผู้ดีที่เรียบง่ายอย่างมีชั้นเชิงเต็มๆ พอจัดเต็มตามจำนวนสเปรย์ที่คิดว่าเหมาะสม ก็เริ่มสัมผัสกลิ่นช่วงต้นได้ว่ามาสายโทนแป้งหรูหราแบบสไตล์ Chanel เลย เพียงแต่ใส่ความสดชื่นเข้าไปตัดไม่ให้ออกทางแป้งจ๋าเกินไปมากในช่วงนี้ กลิ่นเป็นโทนแป้งที่มาสไตล์ Iris ที่จะเป็นกลิ่นหอมติดแป้งจืดๆ อับนิดๆ มีความเป็น Citrus ผสมผสานและมีโทนเขียวจางๆ ทำให้มีลักษณะสดชื่นและบางเบาติดแป้งกำลังดีไปตลอด จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเริ่มจะมีลักษณะของกลิ่นที่ออกทางไม้หอมเจือๆ มีความโปร่งๆ ละมุนๆ เคล้ากับกลิ่นโทนไอริสที่ยังมาเด่นในช่วงนี้อยู่ กลิ่นจะได้ความรู้สึกผู้ดีที่เรียบนิ่งอย่างลงตัว มีความเบาสบาย และมีโทนดอกไม้แนวกุหลาบนวลๆ จางๆ ให้รู้สึกนวลหอมติดโทนสะอาดไปตลอดเสียด้วย ซึ่งลักษณะของกลิ่นมีความกระจุ๋ม กระจิ๋มในแต่ละโทนที่มาผสมผสานก็จริง แต่เรียกว่าเป็นการชูโรงที่ดีสนับสนุนให้กลิ่นไอริสมีความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว แล้วจะเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นจะเริ่มครีมมี่มากขึ้นเมื่อเข้าวู่ช่วงท้าย กลิ่นของหัวเหง้าออริสที่เป็นเหง้าของต้นไอริสจากการเป็นสายสนับสนุน ก็เริ่มจะชัดเจนในช่วงนี้มากขึ้น ให้ความเป็นแป้งติดอับบางๆ แต่ครีมมี่ มีความเป็นผู้ดีมากกว่าจะเซ็กซี่แบบสไตล์กลิ่นแนวไอริสแบบนี้ในน้ำหอมตัวอื่นๆ รวมถึงจะมีกลิ่นอายคล้ายผิวกายอุ่นๆ กำลังดีเจือๆ ไปตลอดเสียด้วย ทั้งหมดทั้งมวลจึงได้อารมณ์เป็นกลิ่นอาย Iris ที่ลงตัว ให้ความเรียบหรูนิ่งๆ เหมือนอยู่ในสวนที่มีดอกไอริสเยอะหน่อย แล้วกลิ่นลอยมาตามลม อ้อยอิ่ง ได้ความผ่อนคลายและมีระดับในทีไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - เอาจริงๆ ตัวนี้แม้ว่าจะตราเอาไว้ว่าเหมาะกับสาวๆ แต่มีความ Unisex ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะกลิ่นให้โทนแบบธรรมชาติเบาๆ ไม่ได้หนักหน่วง เลยทำให้ผู้ชายใช้ได้สบายมาก ซึ่งเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป เอาจริง แม้จะกลิ่นโทนแป้งแต่เพราะมันเบาบางเลยทำให้ถ้าใส่แล้วดันไปออกกำลังกายก็ได้อยู่ แม้ว่าอาจจะไม่ค่อยเข้าทางกับการเสียเหงื่อมากนักก็ตาม ส่วนยามค่ำคืนเน้นแบบสบายๆ ทั่วๆ ไป เดินช้อปปิ้งหรือว่าอยู่บ้านจะดีกว่า ให้ความเรียบหรูกำลังดีเลย แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยดับสนิทโดนกลบมิดจ้า

ความทน - เพราะกลิ่นมาสายโทนธรรมชาติและเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อมระดับหนึ่ง ทำใจล่วงหน้าได้เลยว่า ไม่ทนนัก กลิ่นอยู่ราวๆ 4 - 6 ชม. เผลอๆ น้อยกว่าได้ด้วยอีก ตามจำนวนสเปรย์ สภาพผิวกาย และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - มาสายปลอดภัยหายห่วงและมั่นใจได้ว่าไม่รบกวนใคร เพราะช่วงต้นกระจายแบบปานกลาง ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ และ Skin Scent ในเวลาต่อมา 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าสายผู้ดีมาเต็มและเรียบหรูนิ่งๆ เน้นกลิ่นอายตามสภาพแวดล้อมที่ลงตัว เช่นนั้นใครมีรุ่น EDT ตัวนี้ที่เลิกผลิตแล้ว ในครอบครองถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติและมีระดับกันอย่างชัดเจน ส่วนถ้าหาไม่ได้แล้วจะไป EDP ก็ได้อยู่เพราะไม่ได้ถึงกับต่างมาก แต่เข้มข้นมากกว่าเท่านั้นเอฝ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.notino.co.uk/chanel/les-exclusifs-de-chanel-28-la-pausa-eau-de-toilette-for-women/

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Dolce & Gabbana - Light Blue Eau Intense pour Homme

Dolce & Gabbana - Light Blue Eau Intense pour Homme 

ถ้าพูดถึง Light Blue ของ Dolce & Gabbana เรียกว่าไม่ต้องเกริ่นอะไรให้มากความในแง่ของคนที่ผ่านการใช้น้ำหอมทั้งใช้มานานแล้วหรือว่าใช้มาไม่นาน เพราะรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมมากไม่ว่าจะเป็นรุ่นของผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะกลิ่นอายสดชื่นมีระดับแบบกำลังดี ใช้ง่ายมาก เป็นหนึ่งในสาย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง มาเสมอ ซึ่งเมื่อหันมาจากรุ่นของผู้ชาย แน่นอนว่าหลังจากต้นตระกูลออกมาและมีลูกมีหลานมาเป็น Light Blue ที่โน่นนี่มาพอสมควร ก็ได้เวลาของการอัพเกรดรุ่นนี้จาก Eau de Toillette มาสู่การเป็น Eau de Parfum ซะที เช่นนั้นกลิ่นจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ หรือว่าเข้มข้นขนาดไหน ลองแล้วผลที่ออกมาคือ

Light Blue Eau Intense pour Homme คงความเป็น Light Blue ได้อย่างครบถ้วนไม่มีผิดเพี้ยนแต่ประการใด เพียงแต่จะลดทอนความเป็นโทน Incense ติดหวานเบาๆ สะอาดๆ ของรุ่นปกติไป แล้วมาแบบสดชื่นสะใจขั้นสุดมากกว่าด้วยโทนน้ำทะเลกลั้ว Citrus แทน ซึ่งจะอยู่ยงคงกระพันกันถึงช่วงท้ายเลย โดยเปิดที่ช่วง Top Notes ก่อน ซึ่งกลิ่นจะมาแบบมาเต็มมาชัดสุดๆ กลิ่นของเกรฟฟรุตกลั้วไปกับกลิ่น Sea Breeze สดชื่นมาเชียว ซึ่งคนที่ชอบกลิ่นอายโทนทะเลเรียกว่าสามารถฟินและชอบได้เลยทันที ส่วนที่คนที่ไม่ได้ถึงกับชอบมากก็ยังถือว่ารอดได้สบายๆ ได้เพราะมันสดชื่นติด Citrus ที่สว่างสดใสสมชื่อ Light Blue ตั้งแต่แรกเริ่มเลย แน่นอนว่าในช่วงต้นนี้กลิ่นมาแบบเต็มเหนี่ยวและแน่นได้เลยทีเดียว เผลอรัวไปอาจจะมีอาการสำลักทะเลเอาได้ ซึ่งแม้ว่าจะเข้าสู่ Middle Notes แล้วความเป็นโทนทะเลติด Citrus ยังคงสตรองอยู่ไม่หนีไปไหน แถมเพิ่มความซ่าๆ ติดโทนเหล้าจินของจูนิเปอร์เบอร์รี่ และมีกลิ่นสมุนไพรปร่าซ่าจางๆ และกลิ่นโทนสะอาดเต็มแน่นของพริกไทยผสมผสานอยู่แบบเนียนๆ เสริมให้กลิ่นโทน Sea Breeze มีความสะอาดรองพื้นและมีความแมนในเนื้อกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายไปตลอด ความแน่นจะลดลงมาในระดับหนึ่งแต่ยังสดชื่นจัดเต็มอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน ลามไปยัง Base Notes ที่ความสดชื่นแบบทะเลสีฟ้าสว่างๆ จะลดลงมาหน่อยเคล้ากับความสะอาดกำลังดีจาก Musk โดยยังมีกลิ่นโทนทะเลเจือๆ ให้รับรู้อยู่ตลอด โดยที่จะมีกลิ่นอายของ Incense บางๆ ไม้หอมติดอบอุ่นนัวกำลังดีเจืออยู่ในนั้น ทำให้ได้กลิ่นสะอาดๆ แมนๆ ที่หอมเซ็กซี่เนียนๆ กำลังดี ได้อารมณ์ชิลล์ๆ หอมสบายๆ แบบที่ยังไงก็รอดแบบยาวไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว กลิ่นมาสายสดชื่นที่เข้าถึงได้ง่ายตามสเต็ปที่ควรจะเป็น ซึ่งของมันแน่อยู่แล้วในเรื่องนี้ เพียงแต่กลิ่นมันแค่ไม่เบา ต้องมาเบามือคนใช้เอาเอง ซึ่งกลิ่นนี้ครอบจักรวาลมากในการใช้งานยามกลางวันในทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งหมด ใช้เลยผ่าน อย. ด้านกลิ่นอยู่แล้ว ยังไม่พอยังมาครอบจักรวาลยามค่ำคืนต่อได้ด้วยเพราะ EDP ตัวนี้ เรียกว่าพร้อมสู้ศึกกับกลิ่นโทนหวานได้สบายมาก เพราะกลิ่นเข้มแน่นชัดอยู่แล้ว ถ้าต้องการสร้างความแตกต่างเน้นสดชื่นแอบเซ็กซี่บางๆ แทนมากกว่าจะขายของก็สามารถได้หมดแทบทุกสถานการณ์เช่นกัน ยกเว้นใส่นอน เพราะมันสดชื่น เดี๋ยวจะนอนไม่หลับซะเปล่าๆ 

ความทน - มากกกกกก EDT ค่อนข้างแกว่งในเรื่องนี้ EDP เลยปิด Job เรื่องความทนให้มาเต็มและชัดขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นเยอะ พื้นฐานที่ 8 ชม. ได้สบายมากและมากกว่านั้นได้เสียด้วย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กับ 4 สเปรย์ กลิ่นยังอยู่ คือ ของเขาก็แน่จริงล่ะ ไม่งั้นคงไม่ตราว่า Intense แน่ๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกก เรียกว่ามาเต็มทะเลท่วมสดชื่นสุดๆ แล้วจะลดลงมากระจายดี ก่อนจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ เป็นปานกลางในช่วงท้าย พอพ้นซัก 6-8 ชม. ไปแล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าสมกับคำว่า Intense เพราะมาชัดมาเต็มพัฒนาหมดทั้งความทนและการกระจาย โดยที่ยังมีความเป็น Light Blue pour Homme ให้จับต้องได้ในรูปแบบที่ทะเลขึ้น แน่นขึ้น เป็นอีกตัวที่ต่อยอดได้ดีและน่าจะกวาดฐานคนใช้เดิมได้ไม่ยาก

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
https://www.priceline.com.au/dolce-gabbana-light-blue-eau-intense-men-edp-100-ml

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Teo Cabanel - Lace Garden

Teo Cabanel - Lace Garden 

ก่อนที่จะเป็น Teo Cabanel จุดเริ่มต้นนั้นต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1893 เลยทีเดียวการเป็น Cabanel เฉยๆ จากอดีตที่เป็นแบรนด์เน้นทางด้านโคโลญจน์ที่ได้รับความนิยมมากในหลายๆ ตัวที่ผ่านช่วงเวลาที่ทั้งรุ่งโรจน์และหลุดวงโคจร ก่อนจะวนกลับมาใหม่ได้อีกครั้งในปัจจุบันนี้กับการชูโรงเป็น Niche Perfume อิงกับการทำน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานกับส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่นนั้น
เมื่อมีโอกาสได้รู้จักแบรนด์นี้กับการได้ลองน้ำหอมรุ่นที่มีกลิ่นอายของดอกซ่อนกลิ่นเป็นตัวเด่น เช่นนั้นต้องมาบอกต่อว่าดีงามขนาดไหนกับรุ่นนี้เลย Lace Garden 

จากชื่อรุ่นที่แรงบันดาลใจมาจากสวนสไตล์ฝรั่งเศสกลางแจ้งที่มีการตกแต่งสวยงามและมีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมนวลๆ Lace Garden เป็นเปิดตัวที่ความเป็นกลิ่นอายดอกไม้สีเหลืองอย่างกระดังงาที่ให้ความรู้สึกหอมหวานเย้ายวนกำลังดี เจือไปด้วยความเป็น Citrus เบาๆ จากเลมอนที่ค่อนข้างชัด แต่กลิ่นจะไม่ฉ่ำเน้นมาสายแห้งๆ รวมถึงความครีมมี่ที่รองพื้นอยู่ด้านหลังของดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) จะเริ่มแทรกตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกลิ่นเด่นและเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอม ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นครีมมี่หอมนวลหวานของซ่อนกลิ่นจะชัดเจนออกมา โดยที่กลิ่นกระดังงาจะลดทอนลงไปเป็นสายสนับสนุนร่วมกับโทนดอกไม้ขาวต่างๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์ในรูปแบบที่เป็นดอกซ่อนกลิ่นผสมผสานกับดอกพุด (Gardenia) อยู่พอสมควร แต่กลิ่นก็ไม่ได้ไปสายครีมมี่ข้นคลั่กประการใด เพราะความเป็นเลมอนที่ยังค่อนข้างชัดเจนให้ความสดชื่นติดแห้งๆ อยู่ รวมถึงกลิ่นของดอกส้มที่มาสายแนวๆ สะอาดๆ มีความสดชื่นประปรายมาตัดทอน ทำให้ได้กลิ่นอายดอกไม้ขาวนวลหวานที่กำลังดี ไม่หนักหน่วงเกินไป แต่คงความเป็นกลิ่นอายที่มีความหอมหวานนวลสว่าง มีความเย้ายวนกำลังดี ท่ามกลางกลิ่นอายสะอาดเย็นๆ แห้งๆ ได้น่าสนใจมาก จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีโทนแป้งเสริมเข้ามาก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นดอกไม้ในช่วงกลางจะลดทอนลงมาในระดับหนึ่ง แต่จะมีความเป็นโทนแป้งหอมดอกไม้มากขึ้นแบบนวลๆ นุ่มๆ กำลังดี เนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้เลยว่ามีโทนอบอุ่นให้จับต้องได้ กลิ่นจะมีลักษณะเป็นไม้หอมเจือวานิลลาบางๆ มีความหวานเบาๆ ติดยางไม้ ซึ่งน่าจะมาจากยางไม้ที่เป็นกำยาน Benzoin มีความ Animalic แบบสาปปลุกเร้าบางๆ ซ่อนอยู่ในพื้นหลังเสียด้วย จึงทำให้โทนรวมของกลิ่นมีความหวานนวลอุ่นกำลังดีเรื่อยๆ เย้ายวน เซ็กซี่แต่ไม่โจ่งแจ้งมาก เข้าทางลักษณะแบบผู้หญิงที่รู้จักใช้เสน่ห์แต่พองามได้ลงตัวและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศเน้นๆ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ได้สบายมาก กลิ่นมีความเป็นโทนสภาพแวดล้อมพอสมควร เลยทำให้ใช้งานได้ง่ายก็จริง แต่ก็มีระดับมากพอแบบที่บ่งบอกรสนิยมได้เลยว่าไม่ใช่ไก่กา โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเพราะกลิ่นไม่ได้ข้นหนักมากมีความเป็นโทน Summer แบบที่ยังเป็นดอกไม้ขาวอยู่ ซึ่งใส่ได้ไม่ว่าจะยามทางการหรือว่าทั่วๆ ไป จัดได้เลยตามสะดวก แต่จะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายแน่นอน ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมาก ไม่ว่าจะใส่ทั่วไป ออกงาน เดินเล่น หรือว่าชิลล์ๆ อยู่กับบ้านกับแฟนอะไรก็ตามลงตัวหมด แต่ไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีแน่นอน แม้จะใส่ได้อัดสเปรย์หน่อยก็ตาม แต่กลิ่นมันเรียบร้อยไป เดี๋ยวเขาจะหาว่าคุณหนูหนีเที่ยวเอาได้ 

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางแล้วผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอผ่านซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็น Skin Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ทำเอาประทับใจมากตรงที่ไม่คิดว่าจะเจอกลิ่นครีมมี่แบบกลางๆ มีความนวลๆ กำลังดีและมีเสน่ห์มากแบบกลิ่นอายลอยมาตามธรรมชาติของ Tuberose ซึ่งจากเดิมเวลาเจอโทนนี้มักจะต้องตั้งรับพอสมควรเพราะมักเจอข้นๆ เช่นนั้น ถือว่าใช้ง่ายไม่พอยังมีระดับเข้าทางน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชึ่นได้ไม่น้อยเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit
https://yakymour.wordpress.com/2015/08/24/teo-cabanel-lace-garden-2/

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Annick Goutal - Rose Absolue

Annick Goutal - Rose Absolue 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ให้กลิ่นกุหลาบแบบแท้ทรู มีความเป็นธรรมชาติ และสามารถสื่อสารถึงอารมณ์ของกุหลาบได้ชัดเจนทุกสโตรก คงหนีไม่พ้นน้ำหอมกลิ่นกุหลาบระดับโลกที่คนให้การยอมรับกันมากเลยทีเดียวอย่าง Annick Goutal กับรุ่น Rose Absolue ที่โด่งดังได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1984 จนถึงปัจจุบัน และที่แน่ๆ จัดเต็มกลิ่นอายกุหลาบกันถึง 6 ชนิดมารวมในน้ำหอมกลิ่นนี้เสียด้วย ไม่ว่าจะเป็น May Rose, Turkish Rose, Bulgarian Rose, Damascus Rose, Egyptian Rose, and Moroccan Rose เช่นนั้นกลิ่นจะกุหล๊าบ กุหลาบขนาดไหน ใช้แล้วบอกต่อแบบนี้เลย

Rose Absolue ชัดเจนมากตั้งแต่แรกสเปรย์ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของกลิ่นนั่นคือ ความเป็นกุหลาบ ซึ่งจะเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นของน้ำหอมและเป็น Center Note ที่จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย กลิ่นจะมีความเป็นเส้นตรงพอสมควร แต่ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงอยู่แบบหน่อยๆ โดยไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของความเป็นกุหลาบให้พอรู้สึกได้ ซึ่งช่วงต้นจะมาในลักษณะของกุหลาบที่ติดสดชื่น มีความเป็น Citrus ติดฟรุตตี้เบอร์รี่แดงๆ เจือๆ ในเนื้อกลิ่น ให้กุหลาบมีความสดชื่นและไม่ได้เข้มจัดจ้านเกินไป กลิ่นจะกลางๆ ไม่ได้ถึงกับฉ่ำและแห้ง กลิ่นมีความสว่างและโรแมนติคตามแบบที่กุหลาบควรจะเป็น ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็นกุหลาบที่กลิ่นออกทางนวลๆ หอมละมุนมากขึ้นในช่วงกลาง โดยที่กลิ่นจะมีความเป็นพื้นฐานของกุหลาบที่ชัดเจนคือ สะอาด นวล โรแมนติค มีความเปรี้ยวสดชื่นกึ่งผลไม้นิดๆ เจือหน่อยๆ แต่จะมีเลเยอร์ของกลิ่นที่หนักเบามีมิติของแต่ละประเภทของกุหลาบที่มาผสมผสานกันได้อารมณ์แบบช่อกุหลาบที่ผสมผสานกันในหลากหลายสายพันธุ์โดยที่คุมโทนความเป็นสีโทนขาว (ให้ความหอมนวลลอยบางๆ ตามลม) ชมพู (ให้ความหวานโรแมนติคละมุน) และแดง (ให้ความเย้ายวนดึงดูดออกทางแห้งๆ) ได้อย่างลงตัว ในเนื้อกลิ่นมีความเป็น Spicy บางๆ มีโทนสะอาดๆ นุ่มของ Musk หน่อยๆ เสริมกุหลาบไปตลอด ให้มีมิติที่เนียนๆ ธรรมชาติ หอมโรแมนติคไปตลอดจนถึงช่วงท้าย กลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนโทนเนียนๆ เบาๆ กลายเป็นกุหลาบผสมผสานกับ Musk ที่มีความอบอุ่นเบาๆ เสริมไปตลอดที่จับได้ว่ามีโทนไม้หอมเสริมบางๆ อยู่ เนื้อกลิ่นจะเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีความน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชึ่นกำลังดีไปตลอด คงความเป็นกุหลาบที่คุมโทนความหอมที่โรแมนติค สะอาด เย้ายวนแบบที่มีความเป็นธรรมชาติของกุหลาบ ไม่ได้จงใจหรือโจ่งแจ้ง ครบถ้วนตามชื่อรุ่นที่ชี้ชัดไม่มีผิดเพี้ยนเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นไม่ได้มาสไตล์คลาสสิคที่ใช้ยาก ซึ่งดันมาในกลิ่นอายแบบธรรมชาติที่เข้าถึงได้ง่าย ใครได้กลิ่นก็บอกเลยว่ากุหลาบแบบเข้าถึงง่าย จึงเหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เสริมออร่าความเป็นผู้หญิงที่โรแมนติค และมีความเป็นธรรมชาติแบบที่ไม่ได้ประดิษฐ์มาก ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ แต่จะไม่เข้ากับการใส่เพื่ออกกำลังกายนัก ให้ข้ามโอกาสนี้ไปดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบอยู่กับแฟน ออกงาน หรือว่าใส่สบายๆ ให้ออร่าความเรียบแต่หรูดีกว่าใส่ไปท่องราตรีที่บอกเลยโดนพวกกลิ่นขนมหรือกลิ่นหวานๆ ที่คนพยายามมาปล่อยของกันกลบหมดแน่นอน ส่วนผู้ชายเอาจริงๆ ถ้าไม่ถือก็ใส่ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยของมากนัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวที่เอื้อกับการเก็บกักน้ำหอมให้คงทนมากน้อยแค่ไหนด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดีกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลาง แล้วค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้าย จะเป็น Skin Scent ที่มีออร่าอ่อนๆ ระเรื่อออกมา ให้รับรู้ว่ากลิ่นยังอยู่ และใครอยู่ใกล้ๆ ก็พอสัมผัสกลิ่นได้ประมาณนี 

ทิ้งท้าย - อันนี้ยอม เพราะกลิ่นเป็นกุหลาบที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ มีความโรแมนติค เรียบหรู สดใสก็ได้ เย้ายวนก็ดี น่ารักปนหวานก็สามารถ สมแล้วที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ดีเป็นระดับต้นๆ ของโลก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Orental.ru


https://www.orental.ru/upload/iblock/fd8/fd8dc060c13d409def54919191a81117.jpg

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Issey Miyake - L’Eau d’Issey Lotus

Issey Miyake - L’Eau d’Issey Lotus

ห่างหายจากน้ำหอมผู้หญิงของ Issey Miyake มานานมาก หลังจากที่มีความประทับใจและอยู่ในความทรงจำว่ารุ่นต้นตำรับอย่าง L’Eau d’Issey มันคือที่สุดและเหนือกาลเวลาไปแล้ว แม้จะออกมากี่รุ่นที่เป็นลูกหลานก็เรียกว่าเมินมาตลอด (เพราะไม่ได้ใช้น้ำหอมหญิงเป็นหลักด้วยส่วนหนึ่ง) แต่พอมาเมื่อปี 2014 ได้เห็นว่ามีรุ่นหนึ่งที่เป็นลูกหลานของ L’Eau d’Issey แถมด้วยการห้อยท้ายว่า Lotus ที่เป็นหนึ่งใน Note กลิ่นสาย Aquatic ที่ชอบมาก ก็สนใจขึ้นมาทันทีเลย เช่นนั้นก็ได้ฤกษ์กลับมาได้เจอกับน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นีือีกครั้งซะที เพื่อเรียนรู้กลิ่นอายดอกบัวหอมๆ จากรุ่นนี้ว่าจะออกมาในลักษณะไหน

L’Eau d’Issey Lotus ดึงเอาความเชื่อมโยงกับรุ่นต้นตระกูลมาอย่างชัดเจนกับการเป็นโทน Fresh Floral Aquatic อย่างชัดเจน ลายเซ็นลงไว้ชัดก็ยังตามมาชัดมากกับการเป็นโทนออกทางน้ำกลิ่นดอกไม้สดชื่นฉ่ำๆ ซึ่งรุ่นนี้จะดึงโทนที่เด่นในรุ่นปกติมาฉีกให้เด่นขึ้นไปอีกด้วยซ้ำอย่าง ดอกบัวที่จะเป็นเหมือนศูนย์กลางของกลิ่นที่อยู่แบบยาวไปตั้งแต่ต้นยันจบ เพียงแต่จะลดหลั่นกันลงไปตามการเปลี่ยนช่วงของน้ำหอม โดยที่ Top Notes กลิ่นอายของดอกบัวที่จะมีความจืดปนฉ่ำน้ำที่รับรู้ได้เต็มๆ แถมมาพร้อมกับกลิ่นโทนหวานผลไม้จากเมล่อน ซึ่งถอดความเป็นต้นตระกูลมาปูทางกันเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นโทนเขียวแบบติดมันๆ ลื่นๆ ที่มีเอกลักษณ์ตามธรรมชาติและมีเสน่ห์ของดอกไฮยาซินธ์ที่เริ่มดันเข้ามาผสมผสาน ก็เป็นการเข้าสู่ Middle Notes เต็มๆ ทำให้กลิ่นอายโทน Aquatic แบบน้ำกลิ่นดอกบัวหอมหวานมีความเขียวเป็นตัวคุมโทนด้านหลัง กลิ่นจะเขียวปนหวานมีความแปร่งติดจืดนิดๆ แต่ก็มีกลิ่นอายของมะลิที่มาให้ความหอมนวลๆ กำลังดีทำให้กลิ่นนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น และมีความหวานติด Spicy แว๊กซ์หน่อยๆ ของกลิ่นอายคล้าย Lily หรืออาจจะเป็นกลิ่น Water Lily หรือบัวเผื่อนที่เป็นบัวที่มีกลิ่นหอมแนว Lily ผสมผสานอยู่ข้างใน โดยที่มีความสดชื่นปนหวานที่ยังจับต้องได้อยู่ตลอด เพียงแต่ความฉ่ำที่มีในตอนต้นจะค่อยๆ ลดลงไป เรื่อยๆ เมื่อกลิ่นอายของ Musk และไม้หอมค่อยๆ แทรกขึ้นมาในช่วงนี้แบบเนียนๆ จนเข้า Base Notes ที่จะเป็นโทนสะอาดหอมติดโปร่งเขียวนิดๆ กำลังดี ความเป็นดอกบัวจะตามมาในช่วงนี้แบบปลายๆ กลิ่น คือ หวานเย็นๆ เบาบางให้สัมผัส ซึ่งกลิ่นมีความอบอุ่นเบาๆ เจืออยู่ และมีโทนไม้หอมอ่อนๆ ให้รู้สึกได้แบบโทนสว่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลลงตัวกันจนได้กลิ่นอาย Fresh Floral Aquatic ที่ตรงตามที่บอกไว้ข้างต้นทุกประการไม่มีผิดเพี้ยนจริง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นจะให้ความรู้สึกชัดเจนแบบสุภาพ อ่อนโยน แต่มีความสดชื่นฉ่ำๆ ติดเขียวเป็นฉากหลัง แต่ไม่ใช่ใส่ไปแล้วม้าดีดกระโหลกอันนี้ก็ฉีกลุคของกลิ่นไปเยอะนิดนึง โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเรียกว่ากวาดได้หมด ครอบจักรวาลการใช้งานได้สบายมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายก็ได้สบายมาก เข้ากับอากาศร้อนๆ บ้านเราได้เป๊ะในทุกๆ องศาร้อนๆ ได้เลย ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่แบบทั่วๆ ไปหรืิอออกงาน ไปดินเนอร์ หรือเดินเล่นก็ทำได้หมด รวมไปถึงใส่ไปท่องราตรี อันนี้ก็ใส่ได้ แต่นะกลิ่นมันเรียบร้อยไป และไม่พออาจจะโดนชาวบ้านที่เน้นมาปล่อยเสน่ห์ทางกลิ่นหวานๆ กลบหมดเอาได้ 

ความทน - อันนี้ยกนิ้วให้เลย 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นหอมชื่นใจอยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางคงตัวยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย พอพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - Limited Edition มันจี๊ดตรงนี้ และที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งในผลงานที่เชื่อมั่นได้เลยว่ายังไงก็หอมของ Issey Miyake สุดท้ายให้ตำแหน่งนี้ไปได้เลย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Notino UK
--> https://www.notino.co.uk/issey-miyake/leau-dissey-lotus-eau-de-toilette-for-women/