วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Geparlys - Yes I Am the King Le Parfum

Geparlys - Yes I Am the King Le Parfum

เมื่อผ่านความเป็น Yes I Am the King มาแล้วถึง 2 รุ่น ที่ต่างก็มีความเป็นกลิ่นที่ยอดฮิตที่ใช้เถอะยังไงก็หล่อเข้ากับเทรนด์การใช้น้ำหอมในช่วงปี 2015 จนถึงปัจจุบัน (ปี 2021) นี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่น EDT ที่ได้ความหอมสไตล์ Dior Sauvage มา และ Legend ที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมโทนเจ้าเสน่ห์แนวปล่อยของสายน้ำหอมลั่นล้า ก็ต้องมาสู่รุ่นที่ 3 ที่มีโอกาสได้ลอง แถมเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอยช่างหนาหูนักว่านี่แหละมาเพื่อฆ่าน้ำหอมรุ่นดังบางรุ่นกันเลยทีเดียว

เช่นนั้นแน่นอนว่าไม่มีทางพลาด จัดไปอย่าได้เสียต้องลองกันหน่อยแล้วว่า Yes I Am the King Le Parfum จะเป็นอย่างไร

ช่วงเปิดค่อนข้างที่จะมีความอวลในเนื้อกลิ่นในระดับหนึ่งเพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายโทนออกทางกึ่งปร่าเผ็ดนวลกึ่งไม้หอมของเม็ดจันทน์เทศที่เป็นตัวกล่อมกลิ่นชัดพอสมควร เพียงแต่จะโดน On Top ด้วยโทนกลิ่นออกทาง Citrus กึ่งผลไม้หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนมาก่อนใครเพื่อนเลยคือ เลมอน ที่จะให้โทนเปรี้ยวและมีลูกเอื้อนหวานเจือขมอ่อนๆ ปลายกลิ่น รวมถึงมีกลิ่นโทนสับปะรดเสริมอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกได้ด้วย แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นที่เป็นตัวแทรกเนียนๆ อยู่อย่างโทนกึ่งสมุนไพรติดซ่าหน่อยๆ ของเม็ดผักชีและโทนติดออกทางเขียวปร่าหน่อยๆ กึ่งโทนมินต์กึ่งค่อนไปทางกุหลาบซึ่งน่าจะเป็นเจอราเนียมจะแฝงอยู่ประปราย ซึ่งถ้าดมแบบห่างๆ ไม่ได้พินิจพิเคราะห์อะไรมาก เรียกว่ามาสายน้ำหอมแนวเมโทรที่ค่อนข้างชัดเจน มีทั้งความสดชื่นที่มาแบบกำลังดี มีโทนออกทางผลไม้ที่สร้างความลั่นล้าเย้าๆ และมีโทนติดสมุนไพรกึ่งปร่าที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนักและมีความอวลแบบสไตล์น้ำหอมผู้ชายที่มีเสน่ห์ ถือว่าเป็นช่วงเปิดที่ดี สมดุลย์ และมีความน่าสนใจแบบที่ยังไม่ฟันธงว่ากลิ่นคล้ายน้ำหอมตัวไหนหรือไม่เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีจุดที่เป็นอัตลักษณ์ของตัวมันเองอยู่

เมื่อกลิ่นโทนออกทางกึ่งแป้งที่มีมิติโปร่งหวานแถมทึบบางๆ เคล้ากับลาเวนเดอร์ค่อยๆ แทรกตัวมาผสมผสานกับเนื้อกลิ่นในโทนช่วงต้นซึ่งทพให้กลิ่นมีน้ำหนักขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ไม่ได้หนักข้นจนแน่น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ตอนนี้จะมีการผสมผสานที่แบ่งเค้กได้ลงตัวไม่น้อยเลย เพราะฐานกลิ่นจะมีโทนออกทาง Amberwood หรือ Ambroxan ที่ให้โทนไม้หอมเจือกลิ่นอวลอบอุ่นแบบกำลังดี เคล้ากับกลิ่นที่ติดปร่าแกมยางไม้ที่มีความติดปร่าแบบสนไพน์ที่ให้ความ Aromatic แบบเนียนๆ แบบไม่ได้เข้าโทนติดควัน เลยไม่ได้มีลักษณะโทน Incense อะไรให้จับต้องได้ ตามด้วยตัวเชื่อมโทนตรงกลางที่เป็นโทนแป้งแกมลาเวนเดอร์ที่มีกลิ่นออกทางถั่วตองก้าที่ให้โทนกึ่งแป้งอัลมอนด์กึ่งหญ้าแห้งติดหวานเสริม และเลเยอร์ชั้นบนสุดอย่างโทนออกทางกึ่ง Citrus กึ่งสับปะรด ซึ่งเนิ้กกลิ่นจะมีความหนาอวลแกมอบอุ่นเนียนๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งใช่เลยโทนกลิ่นอายสไตล์เมโทรแบบผู้ชายทันสมัยและมีระดับ รวมถึงเข้าทางกลิ่นหล่อชัดเจน โดยช่วงนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าคล้ายน้ำหอมตัวไหน แม้กลิ่นจะมีความใกล้เคียงมาก แต่เพราะความอวลของกลิ่นที่มีความหนามากกว่ารุ่นที่คาดการณ์ไว้อยู่ในหน่อยนึงเลยขอไปต่อกันในช่วงถัดไป

ซึ่งก็ชัดเจนกันเต็มๆ ในช่วงท้ายนี่แหละว่าเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนที่ใกล้เคียงมากกับน้ำหอมชายรุ่นดังรุ่นหนึ่งที่สุดของแจ้กันเลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีโทนอบอุ่นแบบกำลังดี ไม่หนัก ไม่ข้น แต่มาลักษณะเลเยอร์ในความอะโรม่าที่จะมีโทนไม้หอมที่มีความครีมมี่อ่อนๆ ของไม้จันทน์หอม แกมกลิ่นไม้แห้งโปร่งๆ ที่คาบเกี่ยวระหว่างแนวไม้ซีดาร์กับหญ้าแฝกที่มาแบบเบาๆ กลิ่น Amberwood ที่เชื่อมโทนไม้หอมกับโทนอบอุ่นแบบสมดุลย์ โดยกลิ่นในช่วงกลางยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหอมนุ่มๆ เรื่อๆ มีถั่วตองก้าที่จับต้องได้ถึงกลิ่นแนวกึ่งหญ้าแห้งติดหวาน กลิ่นดอกไวโอเล็ดที่ให้ความเป็นแป้งติดหวานโปร่งอ่อนๆ ตัดทอนด้วยความนุ่มสะอาดรองพื้นของ Musk ที่เข้ามาเกลากลิ่น ซึ่งทั้งหมดผสมผสานกันออกมาเป็นการเป็นกลิ่นอายสายผู้ชายที่มีความสมาร์ท ทันสมัย มีระดับ และมีเสน่ห์ โดยคุมโทนกลิ่นอายหล่อๆ กันไปเรื่อยๆ แบบที่ใครได้กลิ่นก็ชอบไม่ยากไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ใช้เองหรือคนอื่นๆ รอบตัว

เฉลย - ชัดเจนมากจริงๆ ว่ารุ่นนี้กลิ่นตั้งแต่ปลายช่วงกลางไปช่วงท้ายมันคือ Bleu de Chanel Parfum ในช่วงเดียวกันแบบที่ใกล้เคียงตีแบบประมาณการณ์ได้ที่ราวๆ 90% เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าเนื้อกลิ่นเป็นโทนสมัยนิยมแบบที่ใส่ไปยังไงก็รอดและกลิ่นหล่อสูงมาก ซึ่งเอาจริงๆ น้องๆ ม.ปลายก็ใช้งานได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งสามารถใช้ได้แทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงยามค่ำคืนก็กวาดเกือบหมดด้วยเช่นกัน แต่จะมีก็ใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายที่รอท้ายๆ จะดีกว่า

ความทน - กลิ่นทนเฉลี่ยที่ 8 ชม. ซึ่งจะมีบวกลบราว 2 ชม. ตามแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. ในหลายๆ ครั้งเลยกับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - อันนี้จะไม่ได้มีความพีคเท่าไหร่ แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม พราะจะกระจายดีในช่วงต้น ลดลงมาปานกลางซักราว 3 ชม. ที่เหลือจะคงตัวในการเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อพ้น 6 - 8 ชม. ก็จะ Skin Scent แล้ว

สรุป - ถ้าเทียบกันจริงๆ Yes I Am the King Le Parfum เองก็ไม่ได้เหมือนรุ่นดังแบบแทบจะทั้งหมดจากการพินิจพิเคราะห์กลิ่นแบบลงรายละเอียด ซึ่งต่างกันในช่วงต้นกับช่วงกลางนิดหน่อยแบบที่ตัวนี้จะมีความหนาของกลิ่นมากกว่า Chanel หน่อยนึง แต่ถ้าไม่ได้ต้องมาลงลึกอะไรขนาดนี้ บอกเลยว่าใส่ไปคนที่ผ่านการใช้หรือผ่านการดมรุ่นดังมาก่อน สามารถทักได้เลยว่า “ใส่ Bleu de Chanel Parfum มาเหรอ หอมจัง” ได้ไม่ยาก ซึ่งมันก็คล้ายมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://geparlys.com/collections/king/products/yes-i-am-the-king-le-parfum

 

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Geparlys - Yes I Am the King Legend


Geparlys - Yes I Am the King Legend

จากการเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ให้ความน่าสนใจในการเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่สามารถใช้งานแทนรุ่นดังในการเป็น Yes I Am the King EDT ที่ถือว่าใช้งานแทนที่ Dior Sauvage ได้อย่างเนียนและสบายมาก สิ่งที่อยากรู้ต่อเนื่องเลยก็คือ แล้วรุ่นอื่นๆ ล่ะ จะมาแนวนี้กันต่อหรือไม่ เพราะแบรนด์ Geparlys เข็นน้ำหอมใน Collection นี้ออกมาถึง 5 รุ่นจนถึงในปี 2021 นี้ 

เช่นนั้น จัดไปอย่าได้เสีย ต้องมาลองต่อกันให้ชัดว่าตกลงจะออกมาเป็นอย่างไรบ้างกับรุ่นที่ 2 ที่จะมาเล่ากลิ่นในครั้งนี้ นั่นคือ Yes I Am the King Legend

กลิ่นเปิดเรียกว่าชัดเจนมาก ในการเป็นน้ำหอมกลิ่นอายสายผู้ชายทันสมัยที่ช่วงปี 2015 - ปัจจุบันนี้ (ปี 2021) ที่เป็นโทนยอดฮิตว่าต้องมีความสดชื่นก็ได้ ความเย้ายวนก็ดี ความอบอุ่นก็เนียน และความลั่นล้าเรียกเรตติ้งก็สามารถร่วมด้วย เพราะเปิดขึ้นมาจับเข้าพวกเดียวกันกับแนวเดียวอย่าง Azzaro Wanted, Montblanc Legend Night และ Armani Acqua di Gio Absolu ได้เลย ในพื้นฐานกลิ่นอายสไตล์ผู้ชายทันสมัยปล่อยเสน่ห์ที่มีโทนกลิ่นอายคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว เพราะในเนื้อกลิ่นทีมีการชูโรงที่แตกต่างกันอยู่ให้รู้สึกได้

โดยในช่วงเปิด Yes I Am the King Legend จะมาในลักษณะ Citrus Fruity Spicy ที่เปิดมาก็มาสายลั่นล้าแกมสดชื่นซ้อนลงไปด้วยความเย้ายวนชัดเจน เพราะตัวเปิดหลักจะต้องยกให้เกรปฟรุตที่ให้ความสดชื่นติดโทนสว่างซ้อนด้วยโทนเปรี้ยวติดขมปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่จะมีกลิ่นแอปเปิ้ลเขียวที่เสริมเข้ามาสร้างความหอมแนวลั่นล้าในสไตล์ผลไม้ แต่เพราะมีกลิ่นติดอวลเผ็ดเจือเย้าแบบไม่ข้นมากของกระวานเลยทำให้กลิ่นมีความยวนเย้าเปรี้ยวอมหวานหอมดึงดูดแบบเปิดตัวชัดเจนมาก และในเนื้อกลิ่นจะมีโทนเขียวเจือไม้หอมโปร่งๆ ซ่อนรวมอยู่ด้วย เลยมีมิติแบบชัดเจนมากกลิ่นแบบสมัยนิยมที่เป็นโทนสไตล์ปล่อยเสน่ห์ชัดเจนจริงๆ และแน่นอนทำให้นึกถึงช่วงเปิดของรุ่นดังๆ หลายๆ ตัวที่ระบุไว้ในย่อหน้าข้างต้น โดยเฉพาะ Azzaro Wanted แต่ไม่ได้พุ่งฟุ้งเท่า แต่ให้ความสมดุลย์ที่ดีระหว่างแอปเปิ้ล เครื่องเทศ และ Citrus สดชื่น ถือว่าเปิดมากลิ่นค่อนข้างเกลามาให้มีความกลมได้น่าสนใจ แอบมีอารมณ์แบบหมากฝรั่งผลไม้รวมหน่อยๆ อีกด้วย

ในช่วงกลางคือชัดเจนในพื้นฐานกลิ่นที่มีโทน Citrus แล้ว มีกระวานแล้ว ก็ต้องมีลาเวนเดอร์ที่จะครอบคลุมการเป็นน้ำหอมผู้ชายสายปล่อยเสน่ห์ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้จัดหนักจนได้อารมณ์กลิ่นสไตล์ Bad Boy นัก แต่ให้สมดุลย์เสียมากกว่า เพราะโทนผลไม้ของแอปเปิ้ลเขียวแกมผลไม้อื่นๆ จับได้ว่ามีลูกแพร์ด้วยหน่อยๆ ก็ยังมีอยู่ และเพิ่มโทนกลิ่นออกทางเขียวกึ่งกุหลาบเข้ามาจากเจอเรเนียมด้วย แต่กลิ่นไม่ได้ใสเพราะกระวานยังคงคุมโทนปล่อยความเย้ายวนอยู่และที่สำคัญจับต้องได้ชัดเจนเลยว่ามีกลิ่นอายโทนอบอุ่นกึ่งไม้หอมที่ค่อนไปทาง Amber ค่อยๆ เปิดตัวเสริมเข้ามาตามลำดับ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะชัดเจนเลยว่าเป็นโทนแนว Amberwood หรือ Ambroxan รวมถึงมีกลิ่นออกทางกึ่งอัลมอนด์กึ่งยาสูบแกมหญ้าแห้งอ่อนๆ ที่เป็นลักษณะของ Coumarin ที่มาจากถั่วตองก้าเนียนๆ เข้ามารวมด้วย เลยทำให้ช่วงนี้กลายเป็นน้ำหอมชายสายเย้ายวนที่ฉาบด้วยความลั่นล้า มีความฟุ้งกำลังดี สร้างเสน่ห์ได้อย่างน่าสนใจมาก

การปูทางเข้าช่วงท้ายนี่ชัดเจนมากเพราะว่ากลิ่นโทนอวลไม้หอมกึ่ง Amberwood และ Coumarin จะเป็นฐานกลิ่นที่ให้ความอบอวลแกมไม้หอมแบบพอเหมาะ เพราะว่าจะมีกลิ่นไม้หอมติดโปร่งๆแกมปร่าเล็กๆ ของไม้ซีดาร์และพิมเสนเรื่อๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นสารหอมอย่าง Clearwood ที่เป็นตัวทำให้เกิดกลิ่นไม้โปร่งๆ แกมพิมเสนระเรื่อเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นที่เป็นโทน Citrus แกมเย้ายวนลั่นล้ายังมีตามมาถึงช่วงนี้เพียงแต่ว่าจะเนียนรวมไปกับกลิ่นอวลไม้หอมแล้ว ทำให้จะได้อารมณ์แบบไม้หอมอบอวลอุ่นที่กลิ่นโทนลั่นล้าเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งกลิ่นจะคงที่และคงตัวในการเป็นโทนที่ออกแนวชวนคลุกวงใน และเรียกเรตติ้งซึ่งพื้นฐานกลิ่นคือแนว Woody Spicy แกม Aromatic ที่ชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ดูคล้ายๆ ตัวดังๆ ที่ยกตัวอย่างไว้ เพียงแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเบลนด์กลิ่นได้ดีและมีความกลมกล่อมเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นถือว่าเป็นตัวครอบจักรวาลในการใช้งานทั้งวันและคืนได้ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเลือกสถานการณ์นิดนึง เพราะกลิ่นจะไม่ได้เหมาะกับพวกกิจกรรมสายลุยกลางแจ้งหรือออกกำลังกายนัก แต่ถ้าใส่ทั่วไปอันนี้ลงตัว รวมถึงในยามทางการได้อยู่ในสไตล์ที่เน้นทันสมัย และลามไปถึงการใส่ออกงานและท่องราตรีด้วย ที่จัดได้เลย ไปสู้กับน้ำหอมตัวดังๆ ในกลิ่นสไตล์กลางคืนก็ได้ไม่ยากเช่นกัน 

ความทน - ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 12 - 15 ชม. ได้เลยตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. บ่อยครั้งมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ไม่ได้ถึงกับพุ่งจัดจ้านนัก แต่จะคงที่พอสมควรในการกระจายแบบนี้ไปจนถึงราวๆ 3 ชม. ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางกันยาวๆ จนถึงราวๆ 7 ชม. ถึงจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - ถ้าจะเอาความแตกต่างและความหวือหวา ต้องบอกว่าไม่ได้มีในตรงนั้น เพราะเนื้อกลิ่นเหมือนกันน้ำหอม Designer ผู้ชายสายทันสมัยที่ครอบคลุมการใช้งานได้หมดทั้งความสดชื่น ความลั่นล้า ความอวลเย้าเคล้าเสน่ห์ และปิดท้ายด้วยโทนอบอุ่น ที่มีตัวเลือกมากมายในท้องตลาด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อารมณ์แบบที่เอามาปรับให้กลิ่นมีความกลมกล่อม โดยคงสมดุลย์ทางกลิ่นแบบที่ไม่อายแบรนด์อื่นนี่แหละ ที่เรียกว่าถ้าได้ใช้งานเรื่องความหอมก็ไม่มีคำว่าผิดหวัง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://geparlys.com/collections/king/products/yes-i-am-the-king-legend

 

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Geparlys - Yes I Am the King


Geparlys - Yes I Am the King

Geparlys เปิดตัวออกมาเมื่อปี 2001 ในการเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมจากฝรั่งเศสที่อาจจะไม่ได้มาแพร่หลายในประเทศแถบบ้านเรานัก เพราะเหมือนจะเน้นขายในภูมิภาคยุโรปเป็นหลัก ซึ่งก็มีกระจายไปที่ฝั่ง USA บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโซน Designer Brand ได้เลย เพราะน้ำหอมที่ทำออกมาก็เจาะตลาดจนได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ ก็มาในลักษณะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่เป็น Mass Market ชัดเจน และยังไม่พอยังมีโซน Exclusive ของตัวเองที่แตะความเป็น Niche Perfume อีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าแบรนด์นี้ไม่ได้มาเล่นๆ นะเนี่ย

และหนึ่งใน Collection ของแบรนด์ที่ถือว่ามาเขย่าตลาดไม่น้อยเลย อย่างโซน Yes I Am the King ที่เรียกว่ามากันแบบอื้อหือกันได้เลยในแต่ละรุ่น เช่นนั้น มาลองกันดีกว่าว่ารุ่นที่ได้มาเป็นตัวแรกของสายนี้นี้อย่าง Yes I Am the King EDT จะทำกลิ่นออกมาได้สมกับที่เขาให้ความสนใจกันขนาดไหน ก็ว่ากันตามนี้เลย

เปิดตัวมาได้แบบว่าต้องหันไปมองขวดเลย นี่หยิบผิดหรือเปล่า เพราะเนื้อกลิ่นที่มาเป็นลักษณะแบบโทน Citrus แกล้มโทนผลไม้ออกทางเปรี้ยวอมหวานแบบนี้ และมีความเป็นโทนปร่าหน่อยๆ สนับสนุน มันมีความคล้าย Dior Sauvage EDT พอสมควร เพียงแต่ว่ากลิ่นไม่ได้ไพล่ไปในโทนที่มีลักษณะคล้ายโทนออกทางสับปะรดปนปร่าแนวพริกไทยหรือมีความคมชัดเจนนัก เพราะกลิ่นที่เด่นออกมาเลยคือกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เปรี้ยวเจือขมหอม และมีกลิ่นออกทางเกรปฟรุตที่ให้โทนสดชื่นแกมสว่างหน่อยๆ โดยไม่ได้เปรี้ยวเด่นแกมกลิ่นโทนมินต์อ่อนๆ เสริมความเป็นโทนผลไม้ด้วยแอปเปิ้ลเขียวที่ค่อนข้างชัดทำให้เปิดมาเป็นลักษณะกลิ่นที่อาจจะชี้ชัดได้เต็มๆ ว่าเหมือนรุ่นดังหรือไม่ แต่กลิ่นมีความลงตัวและมาสายเมโทรแบบเข้าเทรนด์น้ำหอมผู้ชายสร้างเสน่ห์ในยามนี้ชัดเจน

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นโทน Citrus แกมแอปเปิ้ลเขียวในตอนต้นจะลดทอนลงมาเป็นสายสนับสนุนให้เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นอ่อนๆ อยู่ แต่โทนยางไม้จะค่อยๆ เปิดตัวออกมาและมีพื้นฐานกลิ่นเป็นโทนออกทางไม้หอมอวลๆ เข้ามารองรับจนทำให้กลิ่นกลายเป็นโทนไม้หอมติดยางไม้อวลๆ มีลูกผสมของโทนเผ็ดปร่าหน่อยๆ ที่น่าจะมาจากโทนกลิ่นพริกหมาล่าแนวๆ นี้ แล้วยังมีลาเวนเดอร์ที่มาทำให้กลิ่นมีความนวลๆ รวมถึงมีโทนกลิ่นคล้ายน้ำในแจกันกุหลาบแกมมินต์หน่อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจอราเนียม ทำให้กลิ่นทั้งหมดได้ความเป็นโทนออกทางยางไม้ติดเผ็ดแปร่งที่มีโทนติดนวลของลาเวนเดอร์มาตัด มีกลิ่นเขียวกึ่งกุหลาบเล็กๆ ที่มีโทนกลิ่นในช่วงต้นเป็นตัวแทรกประปรายให้จับต้องได้ และแน่นอนบอกเลยว่าเวลาที่ไม่ได้ดมกลิ่นแบบใกล้ผิวให้กลิ่นตีขึ้นตามการกระจายตัว ใช่เลยช่วงนี้แหละคล้าย Sauvage มากจริงๆ เพียงแต่แค่จะมีโทนที่แตกต่างออกไปจากโทนยางไม้ติดแปร่งเล็กๆ อยู่พอประมาณถ้าดมใกล้ๆ ผิว

จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มปรับสถานะในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะทำให้โทนสายสดชื่นทั้งหมดจะหายไป แต่ยางไม้ยังคงอยู่ให้พอสัมผัสได้และให้โทนที่มีความเป็นไม้หอมอวลๆ มากขึ้น ซึ่งชัดเจนเลยว่าอย่างแรกจะได้โทนออกทางไม้แห้งๆ แกม Smoky เล็กๆ ที่เป็นเสน่ห์ของโทนกลิ่นแนวหญ้าแฝก กับกลิ่นอายออกทางไม้โปร่งๆ คล้ายไม้ซีดาร์แกมกลิ่นพิมเสนระเรื่อเบาๆ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นสารหอมแนวๆ Clearwood ที่ให้โทนประมาณนี้ และตัวสำคัญเลยนั่นก็คือ Ambroxan ที่มาแบบชัดเจน มีกลิ่นออกทางคล้ายโทนอำพันปลาวาฬที่มีโทนติดอวลเค็มแบบผิวหนังติดเค็มหน่อยๆ ผสมผสานกับโทนไม้หอมแกมยางไม้ที่มีความอบอุ่น และมี Musk มาเสริมให้กลิ่นมีความนวลสะอาดอ่อนๆ เป็นพื้นฐาน ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นติดอวลมีเสน่ห์แบบโทนไม้หอมอบอุ่นแกมเย้าดึงดูดตามสมัยนิยมชัดเจนมาก ปิดท้ายแบบที่ให้อารมณ์กลิ่นแบบทันสมัยและมีความใกล้เคียงรุ่นดังแบบชัดเจน เพียงแต่ถ้าดมใกล้ๆ จะให้กลิ่นไม้หอมที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าความเป็น Ambroxan แบบที่ Sauvage ทำเอาไว้นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้แล้ว เพราะกลิ่นมันสไตล์แบบตัวยอดฮิตตามเทรนด์ที่ใส่เถอะยังไงก็หล่อ เช่นนั้นเลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมก็ได้อยู่ แต่ถ้าออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยออกงานได้ ท่องราตรีได้ ไปแนวสบายๆ ก็ได้ ถือว่าครอบคลุมการใช้งานได้ดีอีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว

ความทน - กลิ่นทนเกินคาด เพราะสิ่งที่เจอคือลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก เรียกว่าหายห่วงในเรื่องนี้ได้เลยในการใช้งาน เพราะยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้แน่ๆ ในหลายๆ สภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความอวลๆ รุมๆ เอาราวๆ 6 ชม. ถึงค่อนๆ เฟดลงมาเป็นติดผิวกันยาวๆ ไป

สรุป - จับเข้าทีม Dior Sauvage EDT ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความคล้ายและสามารถเอามาทดแทนกันได้แบบเนียนๆ  แถมมีคุณภาพกลิ่นที่ไม่ไก่กาเสียด้วย โดยแบรนด์เข้าใจปรับโทนกลิ่นและ Notes กลิ่นบางอย่างมาทดแทนและลดทอนสาย Fresh Spicy ลง เพิ่มความ Citrus และให้ความเป็นไม้หอมอบอุ่นเด่น โดยมี Ambroxan เป็นพื้นหลังตรึงกลิ่น ซึ่งยังคุมโทนกลิ่นที่มีความเมโทรและความทันสมัยได้อย่างครบถ้วน ครบเครื่องตามสไตล์ที่ควรจะเป็น  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://geparlys.com/collections/king/products/yes-i-am-the-king

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: John Varvatos - JV x NJ Crimson

John Varvatos - JV x NJ Crimson

หลังจากที่ Jonas Brothers ได้พักวงแยกย้ายกันไปทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งธงไว้ (และมีดราม่าโน่นนี่ระหว่างพี่น้องเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็จบลงด้วยการเปิดอกคุยกัน แล้วเริ่มต้นการเป็น Jonas Brothers ในยุคใหม่) สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยนั่นคือ หนึ่งใน 3 พี่น้องอย่าง Nick Jonas ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการเป็นศิลปินเดี่ยว และได้ทำเพลงในแนวทางที่ตัวเองชอบได้อย่างดีมากเลยทีเดียว (ไม่นับ Joe Jonas ที่ไปดังกับวง DNCE)

แน่นอนว่านอกจากหล่อ ล่ำ ร้องเพลงยอด ทำเพลงดี และมีแฟนๆ ชื่นชอบทั่วโลก การต่อยอดทางด้านแฟชั่นก็ต้องมา เลยทำให้แบรนด์ John Varvatos ได้จับมือร่วมกับ Nick ที่นอกจากจะเป็น Brand Ambassador แล้วยังร่วมเป็นผลักดันหนึ่งใน Collection น้ำหอม โดยการนำเสนอความเป็น JV x NJ ขึ้นมาในปี 2018 จนถึงปัจจุบันนี้ก็มีการปล่อยออกมาแล้ว 3 รุ่น เช่นนั้น ก็ต้องมาพินิจพิเคราะห์กลิ่นกันหน่อยว่าสไตล์เดิมของแบรนด์ เมื่อมาเจอกับความเป็น Nick Jonas จะออกมาเป็นอย่างไรกับรุ่นแรกสุดที่ได้ลองนั่นก็คือ JV x NJ Crimson

ที่มาที่ไปของน้ำหอมค่อนข้างชัดเจนมากกับการนำเสนอความเป็น New York ช่วงกลางคืนในสไตล์ของ Nick Jonas ที่เอาความเป็นโทน Crimson หรือสีแดงเข้มมาเป็นตัวเรียกแขก และแน่นอนก็มาในสไตล์น้ำหอมสายปล่อยของที่เริ่มต้นกับการเป็นโทนกลิ่นอายผู้ชายเจ้าเสน่ห์ที่นิ่งๆ มีลูกขบถแบบ Bad Boy เนียนๆ ในเนื้อกลิ่น กับการเอาโทนกาแฟมาเสริมกับกลิ่นเหล้ารัมที่ให้อารมณ์กลิ่นแนวเย้ายวนอวลที่เป็นตัวรองพื้นที่มานิ่งๆ หน่อย แต่บอกกันอย่างชัดเจนว่า กลิ่นมาสายปล่อยเสน่ห์สไตล์ดึงดูดชัดมาก เพียงแต่ผู้เล่นหลักของช่วงต้นจะเป็นกลิ่นโทนแอปเปิ้ลเขียวที่เด่นออกมา โดยมีกลิ่นออกทางมะกรูดฝรั่งที่ให้ความขมเจือเปรี้ยวเสริมประปรายอยู่ก่อน และแน่นอนว่าไม่ได้มีเท่านี้เพราะกลิ่นไม้ซีดาร์และลาเวนเดอร์จะค่อยๆ เสริมขึ้นมา และมีกลิ่นโทนแอมเบอร์เข้ามาร่วมด้วยอีก ทำให้มิติกลิ่นที่เวลากลิ่นโทน Citrus หรือเปรี้ยวหอม มาเจอกับลาเวนเดอร์และแอมเบอร์ มันจะได้โทนอวลๆ สไตล์ Bad Boy เลย แต่ดีที่ไม้ซีดาร์ติดโปร่งมาเสริมเลยไม่ได้อวลจัดนัก ยิ่งตัวเสริมคือกาแฟกับรัมอีก กลิ่นเลยมาสไตล์หล่ออวลนิ่งและมีความดึงดูดกันชัดเจน

ในการขยับเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นที่เสริมขึ้นมาให้โทนออกทางแปร่งก่งหนังกึ่งขมเจือหวานปลายกลิ่นของหญ้าฝรั่นจะเปิดตัวออกมาทีละนิด ซึ่งมีข้อดีคือกลิ่นจะไม่ได้ไปสายแปร่งออกทางตะวันออกกลาง เพราะโดนเกลาจากช่วงต้นที่เป็นการแท็คทีมของกาแฟ เหล้ารัม และกลิ่นแนว Bad Boy สายนิ่ง เลยเป็นตัวเสริมที่ดีมากในการสร้างสร้างอารมณ์ในการเป็นสีแดงเข้มในกลิ่น รวมถึงการที่มีโทนออกทาง Musky เย้าๆ ดึงดูดของหนังกลับที่เข้ามาเป็นตัวรองพื้นในเนื้อกลิ่น เลยทำให้มิติกลิ่นจะมาแบบปล่อยของและเรียกเรตติ้งในความอวลที่ชัดมากขึ้นด้วย ไล่เรียงจากโทนสไตล์อวลเย้า Bad Boy ที่มีความน่าค้นหาของหญ้าฝรั่น ตามด้วยความอวลแบบชวนคลุกวงในแกมอบอุ่นของหนังกลับ ทุกอย่างสร้างอารมณ์แดงเข้มที่มีเสน่ห์ดึงดูดครบถ้วนแบบสไตล์ Designer Brand ที่เข้าถึงผู้ใช้ได้หลากหลายเต็มๆ

ในช่วงท้ายเอาจริงๆ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ชัดแจ้งมากเท่าไหร่ เพราะกลิ่นในช่วงกลางยังคงเป็นตัวหลักในการสร้างออร่าทางกลิ่นอยู่ แต่มันจะมีความซับซ้อนหน่อยๆ ในการเอาโทนแนว Incense แกมไม้หอมแห้งๆ แกม Amberwood เข้ามาสร้างมิติแบบกลิ่นน่าค้นหาในอีกโทน ทำให้จะได้อารมณ์น่าค้นหาแบบที่ได้ความเซ็กซี่แบบผู้ชายนิ่งๆ แอบขนบนิดๆ ได้อารมณ์อบอุ่นแกมอบอวลชวนคลุกวงในที่มีโทน Musk มาร่วมเกลาให้หนังกลับที่ยังเด่นอยู่มีความนวลๆ เข้ามาหน่อย และกลิ่นรัมกับกาแฟสร้างอารมณ์เย้ายวนแบบระเรื่อๆ และปลายกลิ่นมีความเป็นหญ้าฝรั่นที่สร้างโทนสีแดงเข้มเรียกร้องความสนใจ ซึ่งทั้งหมดจะรวมกันสร้างคาแรคเตอร์กลิ่นที่ชัดมากกับการเป็นผู้ชายนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์ดึงดูดและปล่อยของแบบจงใจสไตล์กึ่ง Daily กึ่ง Nightlife ที่ทันสมัยอารมณ์ Cool ก็ได้ หล่อเย้าเร้าใจ แกมสมาร์ท ที่แอบแซ่บก็ดี ถือว่าสร้างสรรค์ออกมาแบบกระทำความ Mass ได้ครบถ้วนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถจัดตัวนี้ได้สบายมาก เพราะมันเป็นโทนสายทันสมัยสร้างความน่าสนใจอยู่ตามสไตล์กระแส Trendy ในช่วง 2015 จนถึง 2021 ในปัจจุบันนี้อยู่แล้ว (และคิดว่าไปต่ออีกนาน) ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์โดยในช่วงกลางวันอาจจะเบามือนิดนึง ไม่งั้นจะตึ้บเอาได้ ซึ่งกลิ่นไม่เข้ากับช่วงทางการเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไปออกแนวสมาร์ทเย้าเร้าใจอันนี้ได้เลย รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ท่องราตรีหรือออกงานได้สบายมาก กลิ่นอาาจะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังรอบทิศจัดจ้าน แต่เข้ามาใกล้ๆ ก็เอาอยู่ แต่ที่ให้ตัดไปเลยคือใส่แบบทางการและกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เดี๋ยวขาดออกซิเจนกันก่อนเพราะเวลากลิ่นตีขึ้นก็ไม่ธรรมดาเลยนะ 

ความทน - พื้นฐานที่ 8 ชม. แน่นอน แต่ว่าจะไปต่อหรือด้อยลงมา อันนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นประจำกับการใช้ที่ 5 สเปรย์ (เอาจริงๆ กลางวัน 5 สเปรย์ก็แน่นไม่น้อย ถ้ากลัวตึ้บก็ลดลงมาที่ 4 ก็ถือว่าเหมาะสม) 

การกระจาย - กลิ่นช่วงต้นมีความหักมุมกันพอสมควร เพราะกลิ่นกระจายกลางๆ เหมือนจะไม่ได้เด่นอะไรนัก แต่จะมาพลิกเกมกันในช่วงกลางที่จะฟุ้งออกมากระจายดี และจะกระจายดีมากถ้าอากาศร้อนมีร่างกายทำความร้อนทำให้กลิ่นตีขึ้นมากกว่าเดิม แล้วจะเริ่มดรอปลงเป็นปานกลางและออร่ารอบๆ ตัวอีกทีในช่วงท้าย

สรุป - อย่างแรกกลิ่นนี้จับรวมเป็นโซนเดียวกันกับน้ำหอมเรียกเรตติ้งอย่าง Armani Code Profumo, Polo Red หรือ  Carolina Herrera 212 VIP ก็ยังได้ เพราะมาสไตล์ลักษณะเจ้าเสน่ห์แบบเดียวกัน ซึ่งคนที่ผ่านน้ำหอมมาหลากหลายหรือเล่นแต่สาย Niche มารัวๆ อาจจะแบบว่ากลิ่นมันไม่ได้ถึงกับว้าวในการสร้างความแตกต่าง แต่เพราะมีการชูโรงที่หญ้าฝรั่น เหล้ารัม กาแฟ และหนังกลับมาชูโรง + เอาความเป็นโทนขนบ Bad Boy นิ่งๆ แกมไม้หอมอวลๆ ทันสมัยมาเสริมให้มีความครบเครื่อง รวมถึงเอาเสน่ห์ของคาแรคเตอร์ของ Brand Ambassador มาใช้ มันเลยได้สไตล์ที่มีเอกลักษณ์และนึกถึงตัว Nick Jonas แบบท่องราตรีมีสไตล์ขึ้นมาในทันที ถือว่าเป็นกลิ่นที่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสามารถนำไปประยุกต์เสริมบุคลิกผู้ใช้ในการใช้เรียกเรตติ้งได้ไม่ยากด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjones.com/brand/john-varvatos/22483076/JVxNJ-Crimson-EDT-125ml.html

 

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Amouage - Honour Woman

Amouage - Honour Woman

เรื่องราวของ “โจโจ้ซัง” หรือมาดามบัตเตอร์ฟลาย ถือเป็นอุปรากรชื่อดังที่สร้างเป็นละครเวทีไปทั่วโลก กับการบอกเล่าโศกนาฏกรรมความรักและมั่นคงยืนหยัดในความรักที่มีสาวชาวญี่ปุ่นนามโจโจ้ซังกับนายทหารชาวอเมริกัน ซึ่งขมวดมาจนถึงท้ายเรื่องราวได้อย่างมั่นคง ซื่อสัตย์ และทระนงต่อเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง จนเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำและแข็งแรงมากในการเป็นต้นแบบให้กับนิยายและเรื่องราวต่างๆ ที่มาประยุกต์ต่อไม่น้อยเลยทีเดียว รวมถึงมีการนำไปต่อยอดสร้างสรรค์น้ำหอมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในสาย Niche Perfume ที่ต่างก็ตีความการเป็นโจโจ้ซังออกมาในแนวทางของตัวเองที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้ายกตัวอย่างคร่าวๆ ก็มีทั้ง Parfums MDCI, Histoires de Parfums และ Senyoko

แต่ทั้ง 3 แบรนด์ที่อ้างถึงนี้ก็ไม่ใช่ตัวเปิดในการนำเสนอกลิ่นอายสายตั้งมั่นในรักและเกียรติศักดิ์ศรีของโจโจ้ซัง ซึ่งผู้บุกเบิกที่แท้จริงก็ต้องยกให้ Amouage ที่ดึงเอาแก่นของเนื้อเรื่องหลักที่สื่อสารถึงความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายออกมาแบบแพ็คคู่ชาย-หญิง ซึ่งในรุ่นผู้ชายอย่าง Honour Man เน้นความหนักแน่นทางกลิ่นในสาย Woody Spicy ที่ตราตรึงและเข้มแข็งในเกียรติและศักดิ์ศรีจากการได้สัมผัสอย่างเต็มที่และเต็มตัวมาแล้ว แต่รุ่นผู้หญิงสิ น่าจะชัดเจนมากในการเป็นโจโจ้ซังจริงๆ ดันไม่เคยลองเลย เช่นนั้นเมื่อได้โอกาสก็ต้องเรียนรู้และสัมผัสกลิ่นกันหน่อย และการนำเสนอของแบรนด์ก็ออกมาแบบนี้เลย

จุดเริ่มต้นของกลิ่นค่อนข้างจะมีความคมพอสมควร อารมณ์แบบเบิกจมูกกันนิดนึง เพราะจะมีกลิ่นออกทางเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าเผ็ดคมๆ เป็นตัวดันกลิ่นให้พุ่งพอสมควร โดยมีโทนติดเปรี้ยวหอมอ่อนๆ แกมเขียวผักวูบขึ้นมาด้วยจากผักรูบาร์ปแต่ไม่ได้เปรี้ยวนำขนาดนั้นเพราะว่ามีกลิ่นปร่านวลพริกไทยที่มาตัดทอนกลิ่นพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี่เพียงแค่วูบแรกราวๆ 5 วิ ที่จับต้องได้ว่ามีโทนเปิดที่สร้างมิติสดชื่นหน่อยๆ เข้ามาก่อน แต่ก็จะเจอการเทคโอเวอร์ค่อนข้างไวมากจากโทนกลิ่นดอกไม้ขาวที่ชัดเจนเลยอย่างดอกพุด ที่ให้ความครีมมี่นวลติดเขียวตุ่นนิดๆ และซ่อนกลิ่นที่เสริมขึ้นมาให้ความนวลเย้าสร้างจริตแบบสตรีเพศ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายข้นหนักหน่วงแต่อย่างใด เพราะมันมีการตัดทอนจากตัวเปิดอย่างพริกไทยปร่านวลและผักรูบาร์ปเปรี้ยวหอมติดเขียว เลยสร้างสมดุลย์อารมณ์กลิ่นแบบดอกไม้ขาวที่นุ่มนวลปนปร่าฟุ้งแกมเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ ปลายกลิ่น โดยที่ใช่เลยกลิ่นชัด จับต้องได้เต็ม แต่ไม่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนแน่นแต่อย่างใด

ช่วงกลางนี่ยิ่งชัดเจนมากถึงการเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่คุมเกมเป็นหลัก และแน่นอนอยู่ถึงช่วงท้ายแน่ๆ เดาได้ไม่ยาก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการไล่โทนที่น่าสนใจเลยทีเดียวในการเป็นดอกไม้ขาวเพราะว่าจะมีมิติโทนกลิ่นที่ไล่จากใสๆ ของดอกกระดิ่ง ตามด้วยกึ่งใสกึ่งนวลของมะลิ แซมนวลครีมตุ่นเล็กๆ ติดเขียวปนหวานหน่อยๆ ของดอกพุด และมีความครีมมี่เย้าหวานนวลของซ่อนกลิ่น ที่ถือว่าเป็น 3 ประสานเลยก็ย่อมได้ในการสร้างออร่าดอกไม้ขาวออกมา แต่สิ่งที่ดีงามคือ เพราะมีโทนออกทางติดปร่าแกมเขียวเจือเปรี้ยวอ่อนๆ ของผักรูบาร์ปที่ยังตามมาในช่วงนี้ และที่สำคัญมีตัวสร้างโทนออกทางติด Classic ที่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ จากคาร์เนชั่นเข้ามาตัดทอนทำให้เป็นดอกไม้ขาวที่มีมิติไล่เรียงจากใสสู่ข้นนวลที่มีความกลางๆ ระเรื่อๆ ให้ความเป็นสไตล์มินิมัลแบบเรื่อยๆ ไม่หนัก ไม่แน่น และไม่ข้นไป แต่กลิ่นยังคงชัดเจนให้จับต้องได้ ความความรู้สึกที่อ่อนโยน สวยสง่าแบบนิ่งๆ ที่เรียบหรูไม่เยอะสิ่งที่มีความ Classic แทรกประปรายอยู่ตลอดอย่างมีเสน่ห์

จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าโทนที่ตัดทอนให้กลิ่นมีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เริ่มจางลงไปและมีโทนอบอุ่นเสริมเข้ามาแทนที่แกมกลิ่นออกทาง Smoky อ้อยอิ่งเล็กๆ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่คราวนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นถึงโทนกลิ่นที่หนาขึ้นมาอีกสเต็ปในการเป็นดอกไม้ขาว กลิ่นจะมีความนวลข้นแกมกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ที่สร้างโทน Animalic แบบกึ่ง Classic สอดรับให้กลิ่นดอกไม้ขาวนวลเคล้าผิวกายอบอุ่นที่มีโทนออกทางแอมเบอร์แกมยางไม้ติดหวานลึกเข้ามาเสริมด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้ทื่อๆ แค่นี้เพราะจะมีกลิ่นออกทางนิ่งงันกึ่งควันปร่าอ่อนๆ ที่เป็นลักษณะแบบโทน Incense หรือธูปที่มีความโปร่ง บางวูบก็มีความอวลนิ่งลึกแกมไม้หอมแห้งๆ ให้จับต้องได้เลยทำให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นมีอารมณ์ที่ออกทางอาวรณ์และเศร้าสร้อยให้สัมผัสได้ร่วมด้วย ซึ่งเมื่อผสมผสานกันทั้งหมดจะได้อารมณ์เป็นกลิ่นสวยสง่า เรียบหรูอวลนวลดอกไม้ขาวที่มีความหวานอ่อนโยนและนิ่งก็จริง แต่มันจะซ้อนมิติที่หม่นๆ ประปรายให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงการเก็บความรู้สึกโหยหา รอคอย และเศร้าสร้อย ในความเป็นโจโจ้ซังที่รอคอยความหวังท่ามกลางความสวยสง่าเรียบหรูและนิ่งแบบกุลสตรีญี่ปุ่นที่เก็บอารมณ์เป็นอย่างไร เป็นการปิดท้ายความเป็น Honour Woman ได้อย่างงดงามมาก ยอมให้เขาตรงนี้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นค่อนข้างจะเสริมบุคลิกภาพอ่อนโยนปนนิ่งสง่าได้ดีมาก เสริมเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปจะดีกว่า เพราะไม่ใช่ด้วยประการทั้งปวง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปที่สร้างบุคลิกสง่าและเรียบหรูจะดีกว่า เพราะกลิ่นก็ไม่เข้ากับยามท่องราตรีแต่อย่างใด  

ความทน - มากกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ และอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวอยู่จนถึงเช้าถัดไปเลย เรียกว่าเรื่องนี้ต้องให้เขาจริงๆ ว่าดีงาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบเสถียรเลย คงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 10 ชม. ได้ แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่ากลิ่นได้อารมณ์ประยุกต์สไตล์สุภาพสตรีญี่ปุ่นที่นิ่ง งดงาม อ่อนโยน สง่างาม ในสไตล์มินิมัล แต่เสริมด้วยความเข้มแข็งตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวอยู่ภายในที่มาจากโทนยางไม้ ธูปและหนังได้อย่างชัดเจนและมีความ Classic แบบที่มีพลังออกมาให้รู้สึกได้ ซึ่งถือว่าเป็นการตีความที่ขยายความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายที่ชัดเจน เห็นภาพที่ออกมาโลดแล่นผ่านกลิ่นได้ดีมาก แต่ถ้าไม่ได้สนใจเรื่องการที่จะต้องมีลุคแบบโจโจ้ซังผ่านกลิ่น สำหรับคนที่ชอบโทนดอกไม้ขาวที่ไม่ได้ข้นหนักไป มีความสมดุลย์ปนกลิ่นอายเขียวและมีความเรียบหรูแกมสะอาดที่ชัดเจนเป็นบาเรียล้อมรอบตัว บอกเลยว่าโดนตกได้ไม่ยาก เพราะถือเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายแต่ไม่ธรรมดาของ Amouage เลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/honour-woman.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Dunhill - Century

Dunhill - Century

สิ่งแรกยามที่ได้เห็นขวดทรงนี้จาก Dunhill รู้สึกได้ว่าสวยดีมีความโค้งเว้าแนวๆ คล้ายเลนส์เว้ากับเลนส์นูน แต่เรียกว่าไม่ได้แตะต้อองเท่าไหร่ เทสกลิ่นแบบผ่านๆ ก็บอกตัวเองในใจว่า “กลิ่นดีเชียว แต่เอาไว้ก่อน” มาตลอด จนเมื่อสบโอกาสเพราะเห็นคำชื่นชมบ่อยเข้าว่ารุ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่เป็นไม้หอมแนวโปร่งสดชื่นและสะอาดที่ไม่ธรรมดา เช่นนั้น จึงได้กลับมาตั้งเป้าและก็เอาเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกใหม่ของบ้านจนได้

และเมื่อผ่านการใช้งานจนซึมซับได้ที่ ก็ต้องมาเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นแห่งศตวรรษตามชื่อรุ่นว่า Century นี้จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

แม้ว่ากลิ่นในช่วงเปิดจะจับต้องได้ว่าใช่ล่ะมีความเป็น Citrus สดชื่นและเป็นโทนออกทางสว่าง ซึ่งจะจับได้เลยว่ามีกลิ่นโทนใสๆ เปรี้ยวอมหวานติดออกทาง Juicy นิดๆ ของส้ม และมีกลิ่นติดแปร่งหอมของเกรปฟรุตติดปลายขมเจือเปรี้ยวปร่าสร้างบรรยากาศแนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่กลิ่นมันไม่ได้เอะอะก็เปรี้ยวสดชื่น เพราะโทนเปรี้ยวๆ มีเพียงเบาๆ เสียมากอารมณ์แบบเป็นกลิ่นบรรยากาศที่จะจงใจนำเสนอความเป็น Citrus ใสๆ ซึ่งต้องยกให้อิทธิพลหลักเลยที่ทำให้กลิ่นไม่ได้เปรี้ยวสดชื่นพุ่งๆ มาก นั่นก็คือกลิ่นโทนไม้หอมติดจืดหอมและมีโทนเชื่อมอย่างดอกส้มที่มาแบบเขียวบางๆ แกมนวลปลายๆ กลิ่น เมื่อมาสอดรับกับกลิ่นอายสดชื่นออกทางหอมติดหวานเจือเปรี้ยวอ่อนๆ แกมปร่าซ่าเล็กๆ เลยทำให้ช่วงเปิดชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายโทนไม้หอมสดชื่นที่กำลังดี ไม่เปรี้ยวไป ไม่หนักไป ให้ความสดชื่นติดกลิ่นไม้หอมที่สว่างและเรียบหรูเกินคาด และที่สำคัญช่วงนี้ทำให้นึกถึงความเป็นกลิ่นอายช่วงเปิดของ Le Labo - Santal 33 อยู่นิดหน่อย เพียงแต่กลิ่นสดชื่นกว่าและไม่หนาเท่า

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะค่อนข้างชัดเจนเมื่อโทน Citrus ค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลง แต่ยังเป็นตัวสนับสนุนที่ให้ความสดชื่นติดสะอาดในเนื้อกลิ่นอยู่เช่นเดิม กลิ่นไม้หอมจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นและมีโทนออกทาง Earthy ที่ติดเครื่องเทศหน่อยๆ ที่จะเป็น Main หลักในการเดินกลิ่น เพียงแต่ลูกคู่สนับสนุนที่มาตัดทอนกันเป็นอย่างดีและสมดุลย์ต้องยกให้ดอกส้มที่มาให้ความหอมแกมเขียวติดเปรี้ยวนวลอ่อนๆ และเชื่อมกับ Citrus ที่ยังตามมาอยู่ กับกลิ่นโทนยางไม้ติดปร่ามีความหอมแบบโทน Incense หรือธูปที่ทำจากยางไม้อย่าง Frankincense แกมกลิ่นเย้าๆ ติดหวานเล็กๆ ของกระวาน ซึ่งต้องยกให้สุคนธกรเขาเลยที่คุมสมดุลย์ทางกลิ่นได้ดีทำให้กลิ่นมีเสน่ห์ในการเป็นโทนไม้หอมกลิ่นจืดหอมเฉพาะของไม้จันทน์หอมปนปร่ายางไม้แบบที่กำลังดีไม่ได้มาสายควันธูปจัดจ้าน แต่ให้โทนน่าค้นหาสายเครื่องเทศแบบกำลังดี และมีดอกส้มกับ Citrus มาฉาบหน้าตัดทอนและผสมผสานสร้างบรรยากาศที่สดชื่นปนโทนสะอาดเจือ เลยให้โทนที่อวลแบบเรื่อยๆ ที่สร้างอารมณ์คล้ายกลิ่นเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายตากับความเป็นผู้ชายที่มีความนิ่งแต่ไม่ได้เข้าถึงยาก เพราะมีออร่าสบายๆ ให้จับต้องได้ เลยสร้างความหยินหยางกำลังดีที่จับต้องได้หมดทุกโทนแบบสายนิ่งขรึมปนสว่าง Nice ในเวลาเดียวกัน

ในช่วงท้ายโทน Citrus จะโบกมือลาไปหมดแล้ว เพราะจะเป็นช่วงไม้หอมที่มีความนวลสะอาดกันอย่างแท้ทรูมากๆ ซึ่งตัวหลักในการเดินกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งไม้หอมแห้งติดดินๆ ที่น่าจะมาจากกลิ่นแนวๆ Cypriol แนวๆ หัวแห้วหมูที่มีความเป็นโทนกึ่งไม้กึ่งดินๆ ที่มีความปร่าเผ็ดอ่อนๆ มาซ้อนกับกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความาเป็นไม้หอมติดจืดมีเสน่ห์แบบเนื้อไม้สีครีม แถมตัดทอนด้วย Musk เข้าไปอีก เลยทำให้ได้กลิ่นอายโทนสะอาดแกมหวานอ่อนๆ เย้าๆ ที่ไม่ความเรียบง่ายและมินิมัลเรียบหรูในคราวเดียว โดยมีโทนไม้หอมติดกลิ่นอายนุ่มๆ ปน Earthy ที่กลางๆ กำลังดีเป็นตัวชูโรง ซึ่งกลิ่นไม่ได้ซับซ้อนและไม่ต้องเล่นใหญ่ปล่อยพลัง แต่ให้อารมณ์สะอาดแบบผู้ชายเสื้อเชิ้ตขาวหล่อสมาร์ทแบบนิ่งๆ ที่มีเสน่ห์กลิ่นอายสะอาดน่าซุก ซึ่งเป็นการปิดท้ายที่กำลังดีและลงตัวมากแบบที่ยังไงก็เอาอยู่ได้สบาย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นไม่ได้ไก่กา มีระดับแบบเรียบหรูเข้าทางโทนสว่างไม่เข้าถึงได้ง่ายแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายก็ใส่ได้อยู่ เพียงแต่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นมาสายสมาร์ทนิ่ง ไม่ได้มาสาย Activity จัดๆ นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปแกมโรแมนติคจะดีว่า เพราะเนื้อกลิ่นมันเป็นโทนเรียบง่ายที่มีความ Sexy น่าคลุกวงในเนียนๆ เลยไม่เข้าทางการใส่ไปท่องราตรีที่จะเจอแต่คนเล่นใหญ่ทางกลิ่นนัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่กลิ่นมีความแกว่งอยู่บ้าง เพราะถ้าวันไหนร้อนจัดๆ เหงื่อออกโทรมกาย บางที 6 ชม. ก็ไม่เหลือแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ร้อนจัดมากนัก 12 ชม. ก็เจอประจำ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ (รวยมฉีดเสื้อที่สวม)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็ไม่ได้เหมือนน้ำหอมท้องตลาดที่จะพยายามยัดเยียดความสดชื่น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักราวๆ 4 ชม. แล้วจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึง 8 ชม. จะค่อยๆ ลดลงเป็นติดผิวไปเรื่อยๆ

สรุป - ไม่แปลกใจว่าทำไมคนเอาไปเปรียบเทียบกับ Le Labo - Santal 33 เพราะพื้นฐานกลิ่นมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ความเป็น Century จะผันตัวเองไปทางใสและมีความสดชื่นปนพื้นฐานกลิ่นออกทางไม้ติดครีมมี่สะอาดที่มีความ Earthy ซึ่งไม่ได้เหมือนเต็มๆ ขนาดนั้น มีแค่วูบเล็กๆ ในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงต้นและกลางเท่านั้น แต่ Century เองมีความดีงามในการใช้งานที่ไม่ธรรมดาในการเป็นสไตล์มินิมัลที่มีเสน่ห์ ทำให้นึกภาพผู้ชายสายสมาร์ทลุคเรียบหรูใส่เชิ้ตขาว ซึ่งถือว่ามีดีและลงตัวมากๆ ในท้องตลาดอีกหนึ่งกลิ่นเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.escentual.com/dunhill/dunhillcentury001/

 

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Rogue Perfumery - Le Canotier

Rogue Perfumery - Le Canotier

ต้องยอมรับเลยว่าหลังจากที่แบรนด์นี้แจ้งเกิดในโลกน้ำหอมโดยนำเสนอ Concept ในการ Tribute กลิ่นอายต่างๆ ในอดีตแล้วมาต่อยอดสร้างสรรค์กลิ่นที่งดงามสไตล์งานศิลปะ Timeless เหนือกาลเวลาที่ยังคงชื่นชมความงามของเดิมและเพิ่มเติมความสดใหม่ได้อย่างมีชั้นเชิง และไม่พอยังไม่สนกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มาจำกัดในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าทางอินดี้ชัดเจน จนทุกวันนี้แบรนด์ Rogue Perfumery ก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ดาวรุ่งในสาย Indie และ Niche Perfume ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีน้ำหอมต่างๆ สร้างสรรค์ออกมาให้คนรักกลิ่นได้สัมผัสก็เริ่มมากขึ้นตามลำดับ

แต่ในการสร้างสรรค์กลิ่น มันก็ต้องมีกิมมิคในการนำเสนออะไรที่เป็นกลิ่นอาย Limited Edition กับเขาด้วย ซึ่งก็ได้มีอยู่ 1 รุ่นที่มาในลักษณะนี้ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีผลิตแล้ว เช่นนั้นคว้ามาได้ทันก็ต้องเอามาเล่ากันหน่อย เผื่อในอนาคตกลับมาอีกครั้งอย่างน้อยก็มีสารบัญกลิ่นรองรับไว้อยู่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น Le Canotier

เปิดตัวกันด้วยโทน Citrus ที่มีความนวลปนหวานดอกไม้รองพื้นที่แอบมีโทนติดทาง Ozonic แกมชื้นๆ เนียนอยู่ประปรายซึ่งวูบแรกกลิ่นออกทางส้มใสๆ ซ้อนกับกลิ่นออกทางดอกไม้หวานนวลกึ่งจะค่อนไปทางดอกไม้ขาวที่ติดนวลหวานแกมยาสูบที่มีโทนเขียวคล้ายหญ้าแห้งอ่อนๆ เจืออยู่ด้วย แต่ที่สัมผัสได้คือกลิ่นออกทางชื้นๆ อารมณ์แบบเขียวกึ่งแตงกวาติดหวานที่เป็นลักษณะของใบไวโอเล็ตที่แทรกซึมคลอกลิ่นอยู่ตลอด และเมื่อดมลึกลงไปใกล้ผิวจะแอบจับได้ว่ามีโทนแนวๆ กึ่งไม้หอมแห้งๆ รองพื้นตรึงกลิ่นไว้อยู่ ซึ่งใช่เลยกลิ่นเปิดแนวนี้มันเป็นกลิ่นอายแนวน้ำหอมชายแนวๆ จะยุค 70 ก็ได้ จะต้น 90 ก็ดี ได้เลยแบบที่ให้อารมณ์สุภาพบุรุษสมาร์ทกึ่ง Casual ใส่หมวก Flat Cap หรือหมวกวินเทจแนวหมวก Fedora แต่มันไม่ได้มาสายฟุ้งบาด เพราะมีความนุ่มนวลเจอหวานเย้าที่มีเสน่ห์ขับความสมาร์ทออกมาได้ดีมาก เรียกว่าเปิดมาก็สร้างภาพให้เห็นถึงคาแรคเตอร์แบบที่เข้ากับน้ำหอมกลิ่นนี้กันตั้งแต่แรกเริ่มได้เลย

ในการเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่โดดเด่นออกมาเลยต้องยกให้การผสมผสานระหว่างโทนออกทางดอกไม้ขาวที่คราวนี้เริ่มชัดมากขึ้นเพราะกลิ่นอายดอกไม้ขาวที่มีลูกผสมความหอมแบบยาสูบแกมหวานเย้า นั่นก็คือ ดอกยาสูบ ที่จะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นเสริมด้วยโทนดอกไม้หอมนวลสว่างอย่างมะลิเข้ามาร่วมด้วย แต่กลิ่นที่มาเสริมให้เนื้อกลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นคือหญ้าแฝกและโทนไม้หอมติดโปร่งต่างๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางดอกไม้แกวหวานนวลตัดด้วยไม้หอมที่มีเสน่ห์สไตล์สุภาพบุรุษ โดยยังมีความชื้นแนวใบไวโอเล็ตกับโทน Citrus ที่แทรกเนียนๆ ปลายกลิ่นอยู่ เลยทำให้มิติกลิ่นได้ความสุภาพนุ่มนวลและสมาร์ทอวลๆ ในเวลาเดียวกัน โดยที่มีลูกเอื้อนเป็นกลิ่นโทนสดชื่นประปรายสร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ยังให้ภาพสุภาพบุรุษแนวสมาร์ทสวมหมวก Vintage เท่ห์ๆ อยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมตรงเสน่ห์กลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่ปรับโทนเข้ากับไม้หอมสร้างเสน่ห์ให้เข้ากับผู้ชายชัดเจน

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับต้องได้ก่อนเลยคือเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางคล้ายผิวกายสะอาดติดเค็มอ่อนๆ ที่สร้างความอวลทีละหน่อยเสริมขึ้นมาเรื่อยๆ และมีโทนออกทางเขียวเข้มแกมดาร์กนิดๆ ของ Oak Moss ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละนิดๆ แล้วเริ่มลดบทบาทความเป็นโทนดอกไม้ขาวลงเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความหวานแกมนวลในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งแน่นอนว่าโทน Citrus แกมชื้นๆ หายไปหมดแล้ว ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่เนื้อกลิ่นจะมีความอวลอ่อนๆ แบบผิวกายติดเค็มสะอาดเจือดาร์กเขียวแกมแมนๆ แกล้มฉาบหน้าด้วยโทนไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝก โดยมีโทนหวานนวลติดโปร่งเล็กๆ ของโทนดอกยาสูบตามมาจากช่วงกลางแบบกำลังดี ให้ความเย้าหน่อยๆ เสริมความเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่คุมโทนแนวสมาร์ทกึ่ง Casual ที่มีอารมณ์ Classic แกม Modern เนียนๆ ไปเรื่อยๆ มีความเรียบหรูแกมเรียบง่ายและเข้าถึงง่ายแบบที่มีชั้นเชิงปิดท้ายในเสน่ห์ของการเป็น Le Canotier กันไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ    

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก กลิ่นมีอารมณ์สไตล์ดอกไม้นวลแต่ไม่สาวให้อารมณ์สุภาพบุรุษสไตล์ Vintage แนว 90 ได้ดีเลย ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แค่ออกกำลังกายที่ไม่โดนเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามกลางคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่ากิจกรรมโรแมนติคจะเข้าทางมากที่สุดเลยล่ะ

ความทน - ดีงามเชียวเพราะสิ่งที่เจอส่วนตัวคือราวๆ 12 - 15 ชม. แทบทุกครั้งที่ใช้งาน เรียกว่าประทับใจในเรื่องความทนเลยล่ะ โดยถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ยังไงแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะคงตัวกันยาวๆ เลยแถมกลิ่นจะมีความอวลชัดขึ้นมาอีกสเต็ปในช่วงกลางอีกด้วยกันยาวๆ จนถึงราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเริ่มผ่อนลงมาเป็นปานกลางอยู่ซักพัก ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ จนติดผิวเมื่อผ่านซัก 10 ชม. ไปแล้ว แต่กลิ่นจะตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวอยู่ให้รับรู้ได้เรื่อยๆ อยู่

สรุป - มันได้ Feel แนวน้ำหอมยุค 90 ที่ได้ความรู้สึกหล่อๆ มาดสุขุมนุ่มลึก แต่มีความนวลเย้าเร้าเสน่ห์สไตล์ผู้ชายสายสุภาพบุรุษมาดสมาร์ทและมีความ Nice สูงมาก เรียกว่าสร้างกลิ่นอายสาย Classic บรรจบกับความ Modern ได้อย่างลงตัว ซึ่งตอบโจทย์คนชอบความรู้สึกสไตล์ร่วมสมัยที่ทั้งเคยหรือไม่เคยผ่านช่วงวัยในยุค 90 มาก่อนชัดเจน ซึ่งเสียดายจริงๆ ที่ตอนนี้ปิดจ็อบไปแล้ว รอดูในอนาคตอีกทีว่าจะเอากลับมาทำอีกไหม ส่วนขวดที่มีตอนนี้บอกเลยว่าเก็บแน่นแน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfum Satori - Mizunara

Parfum Satori - Mizunara

สิ่งหนึ่งที่มักจะได้รับมาเสมอในการสัมผัสกลิ่นอายน้ำหอมจากแบรนด์ Parfum Satori นั่นคือ ความประณีตในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่ดูเผินๆ เหมือนจะเรียบง่าย แต่มีความซับซ้อนและสามารถจำลองภาพเสมือนจริงเสมือนเราไปอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ หรือสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ที่แฝงจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ลงลึกถึงแก่นให้เราจับต้องได้อยู่เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะผ่านกลิ่นไหนมาก็ไม่หลุด Concept เลยแม้แต่นิดเดียว

และกลิ่นล่าสุดที่ได้จับต้องและเรียนรู้อย่าง Mizunara นี้ก็เช่นกัน เพราะแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่น คือ ท่ามกลางต้นโอ๊คญี่ปุ่นและต้นบีชที่รายล้อยกระจายไปทั่วริมทะเลสาบในป่าลึก ซึ่งแน่นอนเรื่องของต้นโอ๊คญี่ปุ่นกับต้นบีชเนี่ย เป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของญี่ปุ่นที่มีความนิ่งสงบและงดงามมาก ซึ่งนี่แหละทำให้สิ่งแรกก่อนที่จะเจอกับกลิ่นจริงๆ ต้องคิดตามและทดในใจไว้ก่อนว่ากลิ่นนี้จะทำให้เราเสมือนยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมตามที่มาของกลิ่นได้หรือไม่ แล้วค่อยมาว่ากันเมื่อถึงปลายทางของกลิ่นอีกที

แรกสเปรย์เมื่อฉีดออกมานั่นคือกลิ่นอายติดเขียวคมหน่อยๆ แต่ไม่ได้พุ่งจัดจ้าน แอบมีกลิ่นโทนแกมลูกพรุนเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะของยางไม้สายเปรี้ยวเขียวพุ่งอย่าง Galbanum จะมาให้สัมผัสได้ก่อนโดยมีกลิ่นอายสดชื่นติดบรรยากาศอย่างโทนแนว Citrus แฝงอยู่เนียนๆ คล้ายดอกส้มแกมกลิ่นคล้ายๆ โทน Aquatic ที่เป็นโทนน้ำแทรกซึมประปรายให้จับต้องได้ก่อนในวูบแรก ก่อนที่จะตามติดต้วยโทนออกทางคล้ายสมุนไพรที่มีความปร่าเจือเขียวมินต์เล็กๆ เฉพาะตัวของโรสแมรี่และกลิ่นที่ค่อนไปทางลาเวนเดอร์ติดเขียวสมุนไพรหน่อยๆ (แบบที่ไม่ใช่ลาเวนเดอร์แบบนวลสะอาด กลิ่นค่อนเป็นทางต้นลาเวนเดอร์ที่มีโทนเขียวสมุนไพรมากกว่าดอก) อารมณ์แนวๆ กลิ่นอายคล้ายใบไม้และกิ่งไม้แกมสมุนไพรล้มลุกที่พื้นดินเสียมากกว่า ซึ่งไม่พอยังมีโทนกลิ่นไม้โอ๊คออกทางติดเปียกๆ กึ่งกลิ่นไม้สนที่ติดออกทางเปียกชื้นๆ จะเข้ามาผสมผสานด้วย ซึ่งเพียงแค่นี้ต้องบอกเลยว่าเลเยอร์กลิ่นมีความซับซ้อนมาก เพราะจะจับได้อารมณ์แบบเราอยู่ในจุดที่มีกลิ่นอายเขียวๆ เจือกลิ่นออกทางเนื้อไม้ที่มีกลิ่นเขียวตุ่นแกมเปรี้ยวสดชื่นเล็กๆ ตามธรรมชาติ และล้อมกรอบด้วยสมุนไพรเคล้ากลิ่นแหล่งน้ำลอยตามลม ซึ่งแค่ช่วงนี้ก็เรียกว่า สร้างภาพในหัวได้เลยเสมือนเรายืนรับลมที่มีกลิ่นแอ่งน้ำ กลิ่นใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้แก่นไม้ สมุนไพรและอากาศดีๆ ตามธรรมชาติที่ฟุ้งมาให้จับต้อง เรียกว่าเปิดมาก็ชัดเจนจับต้องได้หมดเลยสร้างภาพในหัวชัดเจนมากแบบอารมณ์ยืนท่ามกลางต้นโอ๊คและต้นบีชริมน้ำรอบกายเป็นเขตป่าธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น

เมื่อโทนช่วงกลางการเปลี่ยนแปลงเริ่มให้จับต้องได้เพราะกลิ่นไม้โอ๊ตติดชื้นๆ จะมีโทนออกทางเหล้าคอนยัคเสริมอยู่ในเนื้อกลิ่น ที่มีความหอมเฉพาะตัวแต่ไม่ได้ถึงกับเป็นถังไม้บ่มเหล้าขนาดนั้น อารมณ์กลิ่นออกทางเนื้อไม้โอ๊คธรรมชาติแต่เอาความเป็นคอนยัคมาเสริมให้กลิ่นมีลูกเล่นเย้าๆ เนียนๆ เสียมากกว่า และแน่นอนว่ากลิ่นใบบีชติดเขียวยังมีประปรายให้จับต้องได้อยู่ด้วย แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาแบบกำลังดีคือกลิ่นออกทางเขียวปร่ากึ่งจะค่อนไปเหล้าจินของจูนิเปอร์ก็เพราะมีความเขียวชื้นๆ อารมณ์แบบกลิ่นไม้สนเข้ามาร่วมด้วย เลยได้ความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นปร่าเขียวลอยมาเจือปนกับกลิ่นไม้โอ๊คแทน แถมมีกลิ่นพิมเสนที่ปร่าอ่อนๆ ไม่ได้ดิบเกินไปจนกลายเป็นสาบพิมเสนเขียวเฝื่อน และไม่ได้แห้งจนกลายเป็นยาจีน แต่ให้อารมณ์ปร่าเขียวเบาๆ คลอเคลียอยู่ในกลิ่นด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นภาพรวมจะแห้งขึ้นอีก 1 สเต็ปจากช่วงต้นแต่ไม่ได้แห้งผาดแบบโทนแห้งแล้งแต่อย่างใด แต่มีความเป็นกลิ่นอายชื้นๆ ที่เป็นไอระเหยกลิ่นเนื้อไม้ กลิ่นปร่าบรรยากาศแบบที่เหมือนชินกลิ่นในช่วงต้นแล้วจมูกปรับสภาพได้แล้วราวๆ นั้น เลยทำให้ได้มิติที่ให้ความเป็นสภาพแวดล้อมที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมอีก (แบบที่ไม่ได้อยู่แถวๆ แหล่งน้ำแล้วเพราะโทน Aquatic จางไปแล้วราวๆ นั้น)

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนและเบาลงมาเรื่อยๆ จนเหลือเพียงกลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ มีความเป็นโทนติดจืดหอมปนสว่างนวลเล็กๆ ที่เป็นโทนของไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นติดเขียวแห้งเบาๆ กึ่งปร่าบางๆ ของคาโมมายด์ที่ออกแนวโทนกลิ่นติดระเรื่อนิ่งสุภาพให้รู้สึกได้ ซึ่งเมื่อดมใกล้ผิวจะได้กลิ่นออกทางติดอบอุ่นลึกๆ เนียนๆ เบาๆ อารมณ์แบบค่อนไปทางผิวกายที่อบอุ่นอ่อนๆ มีโทนติดหวานนิดๆ ซึ่งน่าจะมาจากยางไม้บางประเภทที่มีโทนหวานผสมผสานเข้ามาอยู่ ก็เข้าสู่โทนกลิ่นในช่วงท้ายเต็มตัวที่เริ่มปรับเปลี่ยนจากช่วงกลางค่อนข้างชัดมากขึ้นมาเป็นโทนเรียบง่ายและเรียบหรูแทน เนื้อกลิ่นอารมณ์แบบมีกลิ่นไม้หอมกับสมุนไพรอ่อนๆ ติดผิวกายแนวๆ นั้น ซึ่งแน่นอนมีความมินิมัลและเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นที่ไม่ได้ดูพยายามให้จัดจ้าน แต่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีเสน่ห์แบบตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นปิดท้ายการท่องป่าไม้โอ๊คและบีชกับ Mizunara กันไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่จริงๆ ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่านิดหน่อย เพราะโทนออกทางไม้หอมเด่นกว่า แต่ยังไงผู้หญิงก็ใส่ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่มายด์กลิ่นไม้หอมแบบเนื้อไม้ชื้นๆ เด่นก็จัดได้เลย ไม่แน่มีเสน่ห์มากกว่าผู้ชายใช้ก็เป็นได้ ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งกวาดหมดได้อยู่ แต่ราคาสูงนะ เอาไปใช้กับออกกำลังกายก็จะเปลืองไปนิด แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นปล่อยพลังอยู่แล้วเลยไม่เข้าทางการใช้เพื่อท่องราตรีแน่นอน

ความทน - อยู่ที่ราว 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่ไปต่อได้อีกถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วยและได้ถึง 10 ชม. เลยก็ยังได้ ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากว่ากลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูง ความทนมันก็จะด้อยหน่อยประมาณนั้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในเบื้องต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางราวๆ 1 ชม. แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 5 ชม. แล้วก็จะเริ่มเป็น Skin Scent แล้วจางลงไปตามเวลา

สรุป - แน่นอนว่าจิตวิญญาณกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นแบบถอดเอาความเป็นธรรมชาติมาแบบที่ได้กลิ่นใบบีช ต้นบีช ต้นโอ๊ค และต้นสน และสภาพแวดล้อมมาครบเลย แถมมีกลิ่นคอนยัคเนียนๆ สร้างความดึงดูดอีกด้วย กลิ่นเลยกลายเป็นลักษณะแบบ Japanese Forest View ที่ให้ความลงตัวและเสมือนจริง ต้องยกให้เขาเลยว่าแบรนด์นี้ถ่ายทอดความนิ่งและเสน่ห์แบบญี่ปุ่นได้มีชั้นเชิงและมีเสน่ห์มาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://thescentofman.wordpress.com/2018/12/04/parfum-satori-mizunara-may-2018/

 

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Iridescent Sky


Strangers Parfumerie - Iridescent Sky

เวลาที่เราเจอน้ำหอมกลิ่นอาย Summer ต่างๆ เรามักจะเจอกลิ่นอายแบบทะเล สดชื่น แบบคิดอะไรไม่ออกก็บอกโทน Aquatic หรือไม่ก็ Citrus Sea Breeze ต่างๆ แต่เอาจริงๆ ความเป็น Summer มันก็ไม่ได้เอะอะก็ต้องทะเล เพราะมีอีกหลายสภาพแวดล้อมในฤดูร้อนที่สามารถเอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้า สวน ชมดอกไม้ รีสอร์ท วิวทิวทัศน์ของเมือง ค็อกเทลปาร์ตี้ ท่องเที่ยวเทศกาลต่างๆ ท้องฟ้าอันสดใสเคล้าปุยเมฆของฤดูร้อน และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งก็เอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมได้หมด และหลายๆ แบรนด์ก็ได้ทำมาแล้วนักต่อนักที่เจาะจงไม่ได้เป็นเพียงแค่ Summer ที่ทะเล โดยเฉพาะแบรนด์ Niche Perfume ต่างๆ

และ Strangers Parfumerie ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ดึงเอาความเป็น Summer ออกมาในรูปแบบต่างๆ แล้วสร้างสรรค์กลิ่นลงสู่ขวดถึง 5 กลิ่น ซึ่งได้มีการเล่ากลิ่นไปแล้ว 1 รุ่นกับการเป็นฤดูร้อนแบบญี่ปุ่นอย่าง Kira Kira และคราวนี้ก็ได้เวลาของตัวที่ 2 ที่พร้อมเล่ากับการเป็นกลิ่นอายสาย City View เขตเมืองใหญ่กับท้องฟ้าอันสดใสเคล้าปุยเมฆ ซึ่งกลิ่นจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร ว่ากันกับรุ่นนี้เลย Iridescent Sky

เปิดมาก็เริ่มกันกับความ Juicy แบบน้ำผลไม้กันเลย ซึ่งได้ความสดใสมาแบบเต็มๆ โดยจะแยกกลิ่นออกมาได้เป็น 3 ส่วน คือ

  • โทนผลไม้ เด่นที่สับปะรดหอมหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากที่มีโทนออกทางบลูเบอร์รี่ติดเปรี้ยวอมหวานหน่อยๆ อารมณ์แบบน้ำบลูเบอร์รี่สับปะรด
  • โทน Citrus ที่เด่นเชียวกับส้มโอที่วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นติดฉ่ำเปรี้ยวสดชื่นน้ำเลมอน
  • โทนออกทางเมทัลลิคโลหะแกม Smoky ที่แทรกเนียนเสมือนฐานกลิ่นของน้ำหอม

ซึ่งทั้งหมดจะผสมผสานกันแบบที่ได้อารมณ์สดชื่นออกทางแนวพันช์สดชื่นกับผลไม้ที่ได้ทั้งความเปรี้ยว หวาน และสดใส แต่มีกิมมิคที่ทำให้ไม่ได้ดูเป็นน้ำผลไม้เกินไปจากโทนโลหะแกมกลิ่นควันเนียนๆ เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจนเข้ามาร่วมด้วย ถือว่าเป็นการเปิดต้นกลิ่นที่สร้างความสดใส สดชื่น และมีความเป็นเมืองสไตล์ City View ได้ชัดเจนเลย

สิ่งหนึ่งต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นโทนสไตล์น้ำผลไม้ Juicy ต่างๆ จะยังคงตัวในการเป็นตัวหลักเดินกลิ่นกันแบบยาวๆ เพียงแต่เนื้อกลิ่นในช่วงกลางจะลดทอนความฉ่ำลง มาเป็นโทนที่ติดฝาดอมเปรี้ยวคล้ายมะขามป้อมแกมกลิ่นฝาดดาร์กซีทรูของชาดำที่เข้ามาตัดทอนสร้างความอะโรม่าให้กลิ่นมีโทนที่ไม่ได้เป็นน้ำผลไม้เพียงอย่างเดียว แต่มีอย่างอื่นมาผสมผสานและมีสเต็ปการเดินทางของกลิ่นที่มีสไตล์ฉีกออกมาจากกความ Juicy ที่มีอยู่เดิม ซึ่งเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนแป้งติดทึบที่ให้วูบกลิ่นออกทาง Earthy บางวูบได้อารมณ์แบบกลิ่นคอนกรีตต้องแดดหน่อยๆ แกมกลิ่นกุหลาบนวลเรื่อๆ ให้รู้สึก และจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความ Earthy ติดไม้แห้งๆ เสริมขึ้นมาร่วมด้วย เลยทำให้มิติกลิ่นจะมีหลากหลายพอสมควรยืนพื้นที่กลิ่นออกทางเป็นผลไม้แกม Citrus ที่อยู่บนสุด ตามด้วยกลิ่นออกทางคล้ายแร่ธาตุแกมกลิ่นแป้งทึบออกทางคอนกรีตหน่อยๆ เคล้ากลิ่นเมทัลลิคออกทางโลหะแต่เย็นๆ และรองพื้นด้วยกลิ่นโทน Earthy ของหญ้าแฝกที่ให้โทนไม้แห้งๆ ที่กลิ่นชัดเจน มีพลังกำลังดีแบบสร้างบาเรียรอบตัวผู้ใช้ในเรื่องของกลิ่นที่สดชื่นก็ได้ เป็นสภาพแวดล้อมอวลๆ ก็ดีประมาณนั้น

ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะชัดเจนพอสมควร เพราะว่าโทนน้ำผลไม้ Juicy จะเริ่มเบาลงไปเหลือประปรายแล้วแต่เนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนมากขึ้นในการเป็นโทน Metallic Smoky Musky ที่จะมี 3 โทนนี้ให้จับต้องได้ทั้งหมด เพราะกลิ่นจะมีความนิ่งมากขึ้น เนื้อกลิ่นมีความสะอาดนวลติดโปร่งหน่อย เพราะ Musk ที่จับต้องได้จะมีอารมณ์แบบติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นตัว Ambrette ที่จะให้โทน Musk กึ่งเขียวผัก ซึ่งพอเจอกับโทนเมทัลลิคที่เย็นๆ และมีกลิ่นอาย Smoky และเสริมโทนด้วยกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลางแนวกึ่งแป้งกึ่งแร่ธาตุแนวคอนกรีตและไม้แห้งๆ เลยทำให้ได้ความรู้สึกแนวนิ่งๆ แกมสะอาดเคล้ากลิ่นโลหะแบบกำลังดี และมีกลิ่นอายสภาพแวดล้อมของเมืองเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นช่วงปิดท้ายที่ให้ความเรื่อยๆ นิ่งๆ ชิลล์ๆ สบายๆ แบบที่เป็น Summer แบบที่มีลมโกรกสบายๆ ลอยมาปะทะร่างกายตลอด แบบที่ไม่ใช่ Summer ณ กรุงเทพ แต่เป็น Summer ของเมืองนอกแถวอเมริกาหรือยุโรปอะไรประมาณนั้น 

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย เมื่อผ่านช่วงต้นไปแล้ว ซึ่งถ้าสาวๆ ไม่มายด์ใส่ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมีความเก๋ๆ เข้ากับไลฟ์สไตล์คนเมืองพักผ่อนเพลินๆ ชิลล์ๆ กับน้ำผลไม้หรือน้ำพันช์แนวๆ นั้น ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการก็ใช้ได้สบายมาก แต่ให้ผ่านช่วงต้นไปนิดนึงจะเวิร์คกว่า แต่ทั่วๆ ไปที่ใส่ได้แบบสไตล์ Daily Scent ที่มีความเก๋และ Unique ก็ยังได้ ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะไม่ค่อยเข้ากับใส่เพื่อออกกำลังกายนัก แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่ ส่วนถ้าจะเอากลิ่นนี้ไปใส่เพื่องานปาร์ตี้แบบ Outdoor ไม่ว่าจะยามไหน บอกเลยใส่ได้หมดลงตัวมากๆ ด้วย แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรีเน้นขับเสน่ห์ อันนี้จะไม่ได้ชัดในสายนั้นนัก ข้ามไปน่าจะดีกว่า

ความทน - อันนี้ก็เด็ดไม่แพ้เรื่องอื่น เพราะว่า 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ตลอด และยาวไปถึง 15 ชม. ซึ่งยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก  

การกระจาย - ดีมากในช่วงต้น แล้วจะผ่อนมาที่กระจายดีแบบคงตัวยาวไปราว 4 ชม. ถึงค่อยลงมาปานกลางกันไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 7 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ

สรุป - Iridescent Sky ทำให้นึกถึงกลิ่นนึงที่เคยผ่านมาแบบ Limited Edition ของแบรนด์ PRYN PARFUM อย่างรุ่น Indium B.o.B (สุคนธกรคนเดียวกัน) ที่เนื้อกลิ่นไล่สเต็ปใกบ้เคียงกัน เพียงแต่กลิ่นของ Iridescent Sky จะมีเนื้อกลิ่นโทนผลไม้มีความแตกต่างเพราะความเป็น Citrus ค่อนข้างคุมเนื้อกลิ่นภาพรวมแนวสดใสได้ชัดเจนกว่า และมีความเป็น City View มากกว่ารุ่น Indium B.o.B ที่จะเหมือนเราอยู่ในสถานที่เปิดแบบเก๋ๆ ชิคๆ คูลๆ มีตกแต่งด้วยโลหะเคล้าค็อกเทลชิลล์ๆ ที่ไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าเพราะเขาตอบโจทย์กลิ่นที่สอดรับ Project: Boys of Bangkok เช่นนั้น โทนกลิ่นมีความใกล้เคียง แต่ต่างอารมณ์กันออกไปและเก๋ไปคนละแบบ แต่ก็พอทดแทนกันได้อยู่นะ เพราะว่าตอนนี้ Indium B.o.B ไม่มีจำหน่ายอีกแล้ว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.prinlomros.com/collections/strangers-parfumerie/products/iridescent-sky 

Review: Halston Classic for Women

Halston Classic for Women

หลังจากที่ได้ชม Mini Series ที่เล่าชีวประวัติของ Designer ที่เปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าในการสร้างสรรค์แฟชั่นของฝั่งอเมริกาในยุค 70 อย่าง Halston ใน Netflix ที่ได้เห็นที่มาที่ไป จุดรุ่งโรจน์ของชีวิตที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ทางด้านแฟชั่นสาย Pop Culture ไปตลอดกาล และมาสู่จุดร่วงโรยของชีวิต ซึ่งใน Mini Series ก็มีการเล่าถึงการออกแบบน้ำหอมของแบรนด์นี้อยู่ด้วยใน EP3 ในชื่อตอน The Sweet Smell of Success ที่บอกเล่าถึงที่มาที่ไปที่ทำให้ Halston เองก็แจ้งเกิดบนโลกน้ำหอมได้อย่างยอดเยี่ยมและไก๋เก๋มากทั้งกลิ่นและรูปทรงขวด จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Classic ที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลด้วยเช่นกัน 

และแน่นอน การเขียนครั้งนี้คือการเล่ากลิ่น เช่นนั้นจึงต้องมาว่ากันที่น้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์นี้กันดีกว่า ซึ่งต้องบอกกันก่อนว่าจะไม่ได้แตะที่ความเป็นรุ่น Vintage ของกลิ่นนี้ (เพราะหาไม่ได้) แต่ก็ขอมาจับต้องความเป็นปัจจุบันของกลิ่นนี้แทนซึ่งจะยังคงความดีงามหรือไม่ มาว่ากันเลยตามนี้

Halston Classic เรียกว่าเปิดมาก็ใช่เลยนี่แหละกลิ่นอายสาย Vintage เพราะมาสายกลิ่นอายสไตล์ Aldehydes ที่เป็นแบบสบู่อวลเด่นออกมาพร้อมกับกลิ่นออกทางสมุนไพรหน่อยๆ ที่มีโทนปร่าอวลเพพเพอร์มินต์แกมมะกรูดฝรั่งที่มาเปิดให้กลิ่นสดชื่น แต่ความดีงามคือ กลิ่นไม่ได้พยายามเล่นใหญ่เล่นหนัก แต่ให้ความพอดีๆ แทน และความเก๋มันอยู่ที่การเอากลิ่นเมล่อนหอมกับพีชนวลมาเป็นตัวแต่งแต้มสีสันทางกลิ่นให้มันมีความขี้เล่นและดึงดูดแบบพอเหมาะ เคล้าไปกับกลิ่นออกทางดอกไม้แนวกุหลาบและกระดังงาเย้าๆ ที่ใส่เข้ามาแบบผู้สนับสนุนรองใจดีนี่แหละ เรียกว่ากลิ่นเปิดใช่เลยว่าพื้นฐานมันคือขนบน้ำหอมสไตล์ยุค 70 แหละ แต่มันแฝงความทันสมัยและตอบโจทย์อารมณ์กลิ่นแนว Playful ที่เข้ากับผู้ดีเที่ยวกลางคืนแนวๆ Studio 54 ในยุค 70 ไม่พอยังเป็นกลิ่นที่เอามาใช้ในปัจจุบันได้อย่างไม่ขัดเขินอีกด้วย นี่แค่ช่วงเปิดเองนะ ก็สามารถทำให้เห็นถึงความเหนือกาลเวลาของกลิ่นนี้กันได้ชัดเจนจริงๆ

เมื่อผ่านไปซักพัก โทนกลิ่นสายผลไม้จะเริ่มจางไปเหลือเพียงปลายกลิ่นเล็กๆ แต่ยังมีความเป็นโทนดอกไม้อยู่แต่กลิ่นจะมีความสมดุลย์มากขึ้นในการเอาโทนแป้งมาเป็นตัวช่วยสร้างความนวลอวลกำลังดีในกลิ่น เพียงแต่เป็นแค่สายสนับสนุนเช่นเดิม เพราะว่าจะมีกลิ่นโทนติดปร่าแกมเผ็ดเจือเขียวของคาร์เนชั่นและกลิ่นออกทางสมุนไพรที่ติดแห้งหน่อยๆ ของดอกดาวเรืองที่ให้โทนสมุนไพรรุ่มรวยกำลังดีจะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปกลิ่นอาย Vintage ที่เรามักจะพบความแน่นฟุ้ง แต่อันนี้จะไม่ได้ฟุ้งมาก ให้ความเรียบหรูมีเสน่ห์ที่จับต้องได้ทั้งความเป็นแป้งดอกไม้อ่อนๆ และความเป็นโทนสมุนไพรติดอวลกึ่งสบู่ที่ตามมาจากช่วงต้นกำลังดี อารมณ์กลิ่นบางวูบทำให้นึกถึงน้ำหอม 2 ตัวที่โด่งดังพอๆ กันอย่าง Revlon - Charlie และ Chanel No.5 แบบสายเบาๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็จะจับได้ถึงกลิ่นออกทางติดอบอุ่นออกทางแอมเบอร์ แกมพิมเสนหน่อยๆ และมี Oak Moss ที่ชัดเจนขึ้นมาแบบเนียนๆ ร่วมด้วย เลยทำให้ฟันธงได้ไม่ยากเลยว่านี่มันโทน Floral Chypre ที่มีความเรียบหรูแบบมีชั้นเชิงเพราะกลิ่นไม่หนัก ซึ่งยังไม่ทิ้งลายในช่วงต้นที่ให้ความเก๋ๆ อยู่

ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงจะชัดเจนเพราะโทนผลไม้กับดอกไม้จะหายไปแล้ว เหลือเพียงแป้งอ่อนๆ กับสมุนไพร ที่เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่จะให้กลิ่นไม้หอมแกมอบอวลอ่อนๆ ของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มแกมหมึกซ้อนไปกับโทน Animalic หน่อยๆ ที่น่าจะมาจาก Musk ทำให้มีความกรุยกรายกำลังดีซ้อนไปกับกลิ่นโทนหญ้าแฝกแห้งๆ และไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้แห้งกึ่งนวลหน่อยๆ สร้างอารมณ์กลิ่นที่เป็นไม้หอมแกมน่าค้นหา ที่มีความกรุยกรายมีระดับแบบรุมๆ รวมถึงโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ที่มาแบบกลางๆ ก็สนับสนุนให้กลิ่นมีโทนที่อวลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์กลิ่นชัดเจนว่าเป็นโทนสไตล์ Classic นี่แหละ แต่พอไม่ได้แน่นมากไป หรือหนักไป เลยกลายเป็นกลิ่นที่มีความเรียบหรูที่มีระดับแบบร่วมสมัยแบบมีชั้นเชิงแทน นี่แหละ Halston Classic ล่ะ 

เหมาะสำหรับ - ใช่เลยที่บอกว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ ถ้าผ่านช่วงต้นไปแล้วมันคือโทน Unisex ที่ชัดเจนมากและไม่ฟุ้งปล่อยพลังเกินไป จนผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าเป็นสาย Classic ที่ใช้งานง่ายและมีระดับมากพอกับหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงพอใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ แต่กลิ่นมันไม่ใช่ขนบตามเทรนด์ในปัจจุบัน เว้นตรงนี้ไปน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก แต่ถ้าใส่ท่องราตรีอาจจะต้องรัวสเปรย์หน่อย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ด้านนี้เท่าไหร่ในปัจจุบัน

ความทน - ตกอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งสำหรับความเป็น Eau de Cologne แล้วทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ อยู่ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วก็จะคุมโทนที่ออร่ารอบๆ ตัวกันต่อถึงราวๆ 4 ชม. แบบเรื่อยๆ เบาๆ ในความเป็นโทน Classic ที่เหลือก็จะเริ่มติดผิวรุมๆ ไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

สรุป - นอกจากกลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงความเก่งของ Roy Halston ที่มีเซนส์ทางอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ฉกาจมาก + ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ขวดน้ำหอมที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันยอดเยี่ยมของแบรนด์อย่าง Elsa Peretti และเสริมด้วยความเก๋าทางกลิ่นจากสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Bernard Chant จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Halston Classic ถึงได้เป็นหนึ่งในน้ำหอมสาย Classic ที่ได้รับการยอมรับในความไม่ธรรมดาจนมาถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.allbeauty.com/im/en/140963-halston-classic-eau-de-cologne-spray-100ml

 

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Lush - American Cream

Lush - American Cream

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาสร้างสรรค์เป็นน้ำหอมของ Lush ในกลิ่น American Cream เริ่มต้นมาจากการเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Conditioner บำรุงผมกันมาก่อน ซึ่งพอเป็นที่นิยมก็เลยมีการต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็น Shower Gel และก็น้ำหอมในที่สุด

ซึ่งกลิ่นนี้มีดีอย่างไง และทำไมถึงได้เป็นที่นิยมจนต้องต่อยอดมาจนเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับความนิยม ลองแล้วบอกต่อได้แบบนี้เลย

“My milkshake brings all the boys to the yard” เรียกว่าเปิดเพลง Milkshake ของ Kelis รอเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่นนี้มันคือ Strawberry Vanilla Milkshake ชัดๆ ในภาพรวม แต่จะมีช่วงเปิดที่อาจจะเป็นเสมือนการเริ่มต้นผสมสผสาน เพราะกลิ่นที่เปิดตัวออกมาจะได้อารมณ์แบบครีมนมที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทน Fruity หน่อยๆ ของสตรอเบอร์รี่ ที่จะไม่ได้มาแบบกลิ่นเปรี้ยวอมหวานใสๆ แต่มาแนวๆ กึ่งนมรสสตรอเบอร์รี่ที่เนียนไปกับกลิ่นครีมนมแล้ว แต่ก็มีโทนติดเปรี้ยวเจือหวานหน่อยๆ ของส้มเข้ามาเสริมประปราย บางวูบอาจจะได้กลิ่นแนวๆ คล้ายยางแกมพลาสติกเล็กๆ แต่เป็น Effect แต่ช่วงต้นๆ แต่ที่แน่ๆ จับต้องกลิ่นดีๆ จะมีโทนสมุนไพรหน่อยๆ ที่เข้าทางโทนลาเวนเดอร์ที่ทำให้มีโทนติดหวานแกมชะเอมเล็กๆ เลยทำให้อารมณ์กลิ่นช่วงต้นคือโทนกลิ่นแบบครีมนมมาชัดเจนแกล้มส่วนประกอบอื่นหน่อยๆ ที่เสริมมิติกลิ่นก่อนประมาณนั้น

แต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะเริ่มชัดเจนกับการเป็นโทนออกทาง Milkshake มากขึ้น เพราะกลิ่นจะมีโทนที่ไล่เลเยอร์กันเนียนๆ ได้น่าสนใจมาก นั่นคือกลิ่นนมกับวานิลลาจะมา Tag Team เข้าด้วยกันโดยมีโทนติดหวานนุ่มๆ กำลังดี ซึ่งแน่นอนว่ายังมีกลิ่นสตรอเบอร์รี่อยู่หน่อยๆ รวมถึงโทนออกทางสมุนไพรเป็นสายเนียนๆ ที่ค่อนไม่ทางแกมอบอุ่นเล็กๆ กึ่งโทน Musky แกมลาเวนเดอร์ซึ่งน่าจะเป็น Clary Sage ที่ให้โทนประมาณนี้ และจะมีกลิ่นออกทางวิปครีมแกมกลิ่นออกทางครีมนมหน่อยๆ เข้ามาเสริมสไตล์กึ่ง on Top ทำให้กลิ่นช่วงกลางค่อนข้างชัดเจนอารมณ์กลิ่นแบบไล่จากกลิ่นครีมนมแกมวิปครีมไปสู่กลิ่นนมสตรอเบอร์รี่ผสมวานิลลาที่ Mix รวมกัน โดยมีโทนลายเซ็นแกมสมุนไพรแฝงแบบสไตล์ Lush แฝงเนียนๆ อยู่ ซึ่งมันใช่เลย Strawberry Vanilla Milkshake แบบพอดีๆ ไม่เย็นและไม่อุ่น

ช่วงท้ายโทนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากเท่าไหร่ แต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนที่นุ่มนวลแกมอบอุ่นมากขึ้น ซึ่งโทนหวานจะมาแบบเรื่อยๆ ค่อยๆ มาไม่ได้เร่งไม่ได้รีบ กลิ่นจะค่อนไปทางนมวานิลลาที่มีความครีมมี่ของวิปครีมผสมกันเป็นเรียบร้อยแล้ว แต่กลิ่นจะค่อนไปทางแห้งแกมแป้งเสียมากกว่า เนื้อกลิ่นมีโทน Musky หน่อยๆ ที่ไปเชื่อมโทนทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็นคล้ายๆ กึ่งแป้งกึ่งโลชั่นกลิ่นครีมมี่นมๆ ปนวานิลลาแกมนุ่มอุ่นอวลหน่อยๆ คลอผิวและมีความอวลกำลังดีลอยขึ้นมาให้รับรู้ ซึ่งถือเป็นช่วงปิดท้ายที่ให้ความหอมนุ่มๆ กรุ่นครีมมี่กันไปยาวๆ แกมน่าซุกน่าคลุกวงในไปเรื่อยๆ แบบที่ใช่เลยกลิ่นพร้อมให้ซุก บิด ชิมครีม จุ่มนมสูงมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่จะค่อนทางไปผู้หญิงมากกว่านิดนึง แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องใส่ใจ ยังไงผู้ชายก็ใส่กลิ่นนี้ได้สบายมาก และเผลอๆ ดึงดูดมากๆ เสียด้วยซ้ำไปกับกลิ่นโทนครีมแบบนี้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ให้ตัดช่วงทางการหรือจริงจัง รวมถึงออกกำลังกายออกไปจะดีกว่า แต่ถ้าใส่ทำงาน Office หรือว่าทั่วๆ ไป อันนี้ใช้ได้สบายมาก รวมถึงใส่ชิลล์ๆ ทั่วไปก็ได้ กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนก็เน้นทั่วๆ ไป หรือโรแมนติคก็ได้อยู่ แต่ถ้าท่องราตรีกลิ่นเบาไปนิด ต้องอัดเยอะหน่อยถึงจะพอฟัดพอเหวี่งได้ 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. กำลังดี มีลบราวๆ 2 ชม. แต่บวกไปอีกตามแต่สภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนเจอใช้ไป 6 สเปรย์ ไปได้ถึงราวๆ 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักพักนึง พอเข้าช่วงโมงที่ 4 ถึงจะเริ่มลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว  แล้วเป็น Skin Scent ก็ 6 - 8 ชม. ไปแล้ว  

สรุป - เนื้อกลิ่นมันจะมาแนวครีมจริงๆ คือในทุกๆ ช่วงจะจับต้องได้ถึงความครีมอยู่ตลอด โดยที่มีโทนแบบ Strawberry Vanilla Milkshake มาเป็นตัวเสริมที่สร้างกลิ่นโทนดึงดูดสไตล์เครื่องดื่มนมๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานนวลอวลกำลังดีไม่ได้แหลมไปหรือหวานเลี่ยนไป ถือว่าทำกลิ่นออกมาได้คุมโทนตามชื่อกลิ่นได้ลงตัวมากๆ และที่สำคัญกลิ่นนี้มีความ Good Enough to Eat ในระดับที่ไม่ธรรมดาอีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://th.lush.com/products/perfumes/american-cream