Geparlys - Yes I Am the King Le Parfum
เมื่อผ่านความเป็น Yes I Am the King มาแล้วถึง 2 รุ่น ที่ต่างก็มีความเป็นกลิ่นที่ยอดฮิตที่ใช้เถอะยังไงก็หล่อเข้ากับเทรนด์การใช้น้ำหอมในช่วงปี 2015 จนถึงปัจจุบัน (ปี 2021) นี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่น EDT ที่ได้ความหอมสไตล์ Dior Sauvage มา และ Legend ที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมโทนเจ้าเสน่ห์แนวปล่อยของสายน้ำหอมลั่นล้า ก็ต้องมาสู่รุ่นที่ 3 ที่มีโอกาสได้ลอง แถมเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดพี่เอยช่างหนาหูนักว่านี่แหละมาเพื่อฆ่าน้ำหอมรุ่นดังบางรุ่นกันเลยทีเดียว
เช่นนั้นแน่นอนว่าไม่มีทางพลาด จัดไปอย่าได้เสียต้องลองกันหน่อยแล้วว่า Yes I Am the King Le Parfum จะเป็นอย่างไร
ช่วงเปิดค่อนข้างที่จะมีความอวลในเนื้อกลิ่นในระดับหนึ่งเพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายโทนออกทางกึ่งปร่าเผ็ดนวลกึ่งไม้หอมของเม็ดจันทน์เทศที่เป็นตัวกล่อมกลิ่นชัดพอสมควร เพียงแต่จะโดน On Top ด้วยโทนกลิ่นออกทาง Citrus กึ่งผลไม้หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนมาก่อนใครเพื่อนเลยคือ เลมอน ที่จะให้โทนเปรี้ยวและมีลูกเอื้อนหวานเจือขมอ่อนๆ ปลายกลิ่น รวมถึงมีกลิ่นโทนสับปะรดเสริมอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกได้ด้วย แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะเนื้อกลิ่นที่เป็นตัวแทรกเนียนๆ อยู่อย่างโทนกึ่งสมุนไพรติดซ่าหน่อยๆ ของเม็ดผักชีและโทนติดออกทางเขียวปร่าหน่อยๆ กึ่งโทนมินต์กึ่งค่อนไปทางกุหลาบซึ่งน่าจะเป็นเจอราเนียมจะแฝงอยู่ประปราย ซึ่งถ้าดมแบบห่างๆ ไม่ได้พินิจพิเคราะห์อะไรมาก เรียกว่ามาสายน้ำหอมแนวเมโทรที่ค่อนข้างชัดเจน มีทั้งความสดชื่นที่มาแบบกำลังดี มีโทนออกทางผลไม้ที่สร้างความลั่นล้าเย้าๆ และมีโทนติดสมุนไพรกึ่งปร่าที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนักและมีความอวลแบบสไตล์น้ำหอมผู้ชายที่มีเสน่ห์ ถือว่าเป็นช่วงเปิดที่ดี สมดุลย์ และมีความน่าสนใจแบบที่ยังไม่ฟันธงว่ากลิ่นคล้ายน้ำหอมตัวไหนหรือไม่เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีจุดที่เป็นอัตลักษณ์ของตัวมันเองอยู่
เมื่อกลิ่นโทนออกทางกึ่งแป้งที่มีมิติโปร่งหวานแถมทึบบางๆ เคล้ากับลาเวนเดอร์ค่อยๆ แทรกตัวมาผสมผสานกับเนื้อกลิ่นในโทนช่วงต้นซึ่งทพให้กลิ่นมีน้ำหนักขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ไม่ได้หนักข้นจนแน่น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ตอนนี้จะมีการผสมผสานที่แบ่งเค้กได้ลงตัวไม่น้อยเลย เพราะฐานกลิ่นจะมีโทนออกทาง Amberwood หรือ Ambroxan ที่ให้โทนไม้หอมเจือกลิ่นอวลอบอุ่นแบบกำลังดี เคล้ากับกลิ่นที่ติดปร่าแกมยางไม้ที่มีความติดปร่าแบบสนไพน์ที่ให้ความ Aromatic แบบเนียนๆ แบบไม่ได้เข้าโทนติดควัน เลยไม่ได้มีลักษณะโทน Incense อะไรให้จับต้องได้ ตามด้วยตัวเชื่อมโทนตรงกลางที่เป็นโทนแป้งแกมลาเวนเดอร์ที่มีกลิ่นออกทางถั่วตองก้าที่ให้โทนกึ่งแป้งอัลมอนด์กึ่งหญ้าแห้งติดหวานเสริม และเลเยอร์ชั้นบนสุดอย่างโทนออกทางกึ่ง Citrus กึ่งสับปะรด ซึ่งเนิ้กกลิ่นจะมีความหนาอวลแกมอบอุ่นเนียนๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งใช่เลยโทนกลิ่นอายสไตล์เมโทรแบบผู้ชายทันสมัยและมีระดับ รวมถึงเข้าทางกลิ่นหล่อชัดเจน โดยช่วงนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าคล้ายน้ำหอมตัวไหน แม้กลิ่นจะมีความใกล้เคียงมาก แต่เพราะความอวลของกลิ่นที่มีความหนามากกว่ารุ่นที่คาดการณ์ไว้อยู่ในหน่อยนึงเลยขอไปต่อกันในช่วงถัดไป
ซึ่งก็ชัดเจนกันเต็มๆ ในช่วงท้ายนี่แหละว่าเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนที่ใกล้เคียงมากกับน้ำหอมชายรุ่นดังรุ่นหนึ่งที่สุดของแจ้กันเลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีโทนอบอุ่นแบบกำลังดี ไม่หนัก ไม่ข้น แต่มาลักษณะเลเยอร์ในความอะโรม่าที่จะมีโทนไม้หอมที่มีความครีมมี่อ่อนๆ ของไม้จันทน์หอม แกมกลิ่นไม้แห้งโปร่งๆ ที่คาบเกี่ยวระหว่างแนวไม้ซีดาร์กับหญ้าแฝกที่มาแบบเบาๆ กลิ่น Amberwood ที่เชื่อมโทนไม้หอมกับโทนอบอุ่นแบบสมดุลย์ โดยกลิ่นในช่วงกลางยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหอมนุ่มๆ เรื่อๆ มีถั่วตองก้าที่จับต้องได้ถึงกลิ่นแนวกึ่งหญ้าแห้งติดหวาน กลิ่นดอกไวโอเล็ดที่ให้ความเป็นแป้งติดหวานโปร่งอ่อนๆ ตัดทอนด้วยความนุ่มสะอาดรองพื้นของ Musk ที่เข้ามาเกลากลิ่น ซึ่งทั้งหมดผสมผสานกันออกมาเป็นการเป็นกลิ่นอายสายผู้ชายที่มีความสมาร์ท ทันสมัย มีระดับ และมีเสน่ห์ โดยคุมโทนกลิ่นอายหล่อๆ กันไปเรื่อยๆ แบบที่ใครได้กลิ่นก็ชอบไม่ยากไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ใช้เองหรือคนอื่นๆ รอบตัว
เฉลย - ชัดเจนมากจริงๆ ว่ารุ่นนี้กลิ่นตั้งแต่ปลายช่วงกลางไปช่วงท้ายมันคือ Bleu de Chanel Parfum ในช่วงเดียวกันแบบที่ใกล้เคียงตีแบบประมาณการณ์ได้ที่ราวๆ 90% เลยทีเดียว
เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าเนื้อกลิ่นเป็นโทนสมัยนิยมแบบที่ใส่ไปยังไงก็รอดและกลิ่นหล่อสูงมาก ซึ่งเอาจริงๆ น้องๆ ม.ปลายก็ใช้งานได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งสามารถใช้ได้แทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงยามค่ำคืนก็กวาดเกือบหมดด้วยเช่นกัน แต่จะมีก็ใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายที่รอท้ายๆ จะดีกว่า
ความทน - กลิ่นทนเฉลี่ยที่ 8 ชม. ซึ่งจะมีบวกลบราว 2 ชม. ตามแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. ในหลายๆ ครั้งเลยกับการใช้ที่ 6 สเปรย์
การกระจาย - อันนี้จะไม่ได้มีความพีคเท่าไหร่ แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม พราะจะกระจายดีในช่วงต้น ลดลงมาปานกลางซักราว 3 ชม. ที่เหลือจะคงตัวในการเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อพ้น 6 - 8 ชม. ก็จะ Skin Scent แล้ว
สรุป - ถ้าเทียบกันจริงๆ Yes I Am the King Le Parfum เองก็ไม่ได้เหมือนรุ่นดังแบบแทบจะทั้งหมดจากการพินิจพิเคราะห์กลิ่นแบบลงรายละเอียด ซึ่งต่างกันในช่วงต้นกับช่วงกลางนิดหน่อยแบบที่ตัวนี้จะมีความหนาของกลิ่นมากกว่า Chanel หน่อยนึง แต่ถ้าไม่ได้ต้องมาลงลึกอะไรขนาดนี้ บอกเลยว่าใส่ไปคนที่ผ่านการใช้หรือผ่านการดมรุ่นดังมาก่อน สามารถทักได้เลยว่า “ใส่ Bleu de Chanel Parfum มาเหรอ หอมจัง” ได้ไม่ยาก ซึ่งมันก็คล้ายมากจริงๆ
หมายเหตุ:
1.
บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
Photo
Credit - https://geparlys.com/collections/king/products/yes-i-am-the-king-le-parfum