วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Paco Rabanne - Phantom

Paco Rabanne - Phantom

แรกสุดเมื่อได้เห็นขวด นั่นคือ “โหยยยยย อย่างเท่ห์” และมีความล้ำตามสไตล์ของ Paco Rabanne กันแบบเต็มๆ แถมมีความเป็นอารมณ์อวกาศเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าความสนใจใคร่อยากลองน่ะมาเต็มจริงๆ และที่สำคัญเมื่อเห็นสุคนธกรที่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์กลิ่น เรียกว่า Dream Team เลยก็ว่าได้ เพราะมีถึง 4 คนระดับปรมาจารย์กันได้เลยไม่ว่าจะเป็น Anne Filpo, Dominique Ropion, Juliette Karagueuzoglou และ Loc Dong 

ที่มาที่ไปของน้ำหอม จริงๆ มันคือการเปลี่ยนเรือธงใหม่จากที่อยู่กัยบ Invictus มาหลายปี เพื่อมาเป็นความล้ำแบบใหม่ในสไตล์ของแบรนด์นั่นเอง เลยเอาความเป็นสไตล์ล้ำยุคและอวกาศ สร้างขึ้นมาเป็น Paco Galaxy ที่ไม่ว่าจะมาจากไหนก็มา Join กันได้ราวๆ นั้น เช่นนั้นในการเป็น Phantom เนื้อกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน มาว่ากันได้ตามนี้

เปิดมาก็ Citrus ที่เนื้อกลิ่นมีความหนาและอวลอยู่พอสมควร โดยเป็นการผสมผสานของกลิ่นโทนเลมอนที่มีอารมณ์ติดขมเปลือกเลมอน + กับกลิ่นโทนนวลกึ่งแป้งที่มีความติดเขียวหน่อยๆ มีลูกกลิ่นแบบโทนเขียวกึ่งวินเทจจางๆ ในนั้น ซึ่งพอจับได้ว่าสาเหตุที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนัก แม้ว่าน่าจะเปิดด้วยโทน Citrus คือ ลาเวนเดอร์ ที่จะเป็นแก่นหลักของกลิ่นอยู่ในทุกๆ ช่วงแบบเป็นตัวละครสนับสนุนที่ไม่ได้เป็นตัวเอก แต่อยู่กันยาวๆ แบบที่ต้องมี ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นช่วงนี้มีอารมณ์กลิ่นที่เป็นสไตล์เรียกแขกในแบบทันสมัยที่ให้อารมณ์อวลๆ เย้าๆ แบบที่เรามักเจอในน้ำหอมเจ้าเสน่ห์ของแบรนด์นี้ อาทิเช่น Pure XS หรือ Black XS เพียงแต่จะมีกิมมิคที่แตกต่างเมื่อเข้าสู่ช่วงถัดไป นั่นคือ 

โทนกลิ่นออกทางดินๆ Earthy ที่แทรกเข้ามาพร้อมกับลูกผสมกลิ่นโทน Fruity ที่ให้อารมณ์เกือบจะ Creed Aventus ที่มีแอปเปิ้ลเขียวแกมสับปะรดติด Smoky แกมพิมเสนเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่ได้ทื่อๆ ไร้ชั้นเชิงขนาดนั้น เพราะโทน Earthy ที่ให้ความรู้สึกดินๆ แกม Dirty นี่แหละ ที่เป็นตัวคุมเกมส์ โดยมีตัวเสริมชั้นดีที่ตามมาจากช่วงต้นอย่าง Citrus และลาเวนเดอร์ ที่ยังคงตรึงให้กลิ่นมีความเย้าๆ เจ้าเสน่ห์อยู่ เพียงแต่มีความ Dirty Earthy ของโทนแกมดินๆ กึ่งพิมเสนที่ให้ความเก๋ๆ แตกต่างเข้ามาเด่นมาก ทำให้กลิ่นฉีกออกมาได้เป็นตัวตนของตัวเอง ที่ยังคงมีโทนกลิ่นสมัยนิยมสายเย้าต่างๆ เสริมให้ทันสมัย + ร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนอบอุ่นแกมกลิ่นไม้หอมอวลๆ ที่มีความเป็นวานิลลาแบบไม่ได้หนัก แต่มาให้น้ำหนักของกลิ่นที่มีโทนอบอุ่นอวลๆ เสริมให้กลิ่นหญ้าแฝกที่มาร่วมทีมกับโทนกลิ่นแนวลาเวนเดอร์ + กลิ่นโทนคล้าย Oak Moss ที่มีความเขียวเข้มๆ เนียนๆ รวมอยู่ เนื้อกลิ่นมีความเป็นแป้งหน่อยๆ ร่วมด้วยจาก Effect ทั้งลาเวนเดอร์และวานิลลา โดยที่ยังมีกลิ่นติดฟรุตตี้อ่อนๆ แกม Smoky จากช่วงกลางมาให้จับต้องได้ประปราย ทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นแนวไม้หอมแห้งๆ อวลๆ มีความอบอุ่น มีความ Fougere สุขุมหน่อยๆ แต่แน่นอนเป็นกลิ่นสายอวลอุ่นเย้าที่มีความทันสมัยและใช้งานง่ายสาย Trendy เต็มๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใส่แต่เฉพาะตะลุยราตรี เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานยามกลางวันด้วย แต่ไม่ควรอัดสเปรย์เยอะเกินไป เดี๋ยวจะอวลจนอึนเอาเสียก่อน ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นทั่วไปหรือว่าใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งแนะนำเบาสเปรย์หรือรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ไปออกงานหรือท่องราตรี อันนี้จัดไปเข้าทางแบรนด์นี้นักแล 

ความทน - สมฐานะที่พื้นฐาน 8 ชม. ได้สบายๆ และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวใช้แค่ 5 สเปรย์ก็แตะ 8 - 10 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าเปิดมาก็เรียกแขกกันเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อเนื่องไปราวๆ 3 ชม. ก็จะลงมาปานกลางจนถึงราวๆ 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปเรื่อยๆ แล้วติดผิวเมื่อผ่านไปซักประมาณ 8 - 10 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - เอาจริงๆ ตอนแรกเห็นขวดคิดว่ากลิ่นจะล้ำกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะสไตล์ของแบรนด์เป็นสไตล์น้ำหอมเจ้าเสน่ห์เรียกแขก แน่นอนว่ายังคงต้องมีลูกเอื้อน Signature สายเย้า Citrus + Fruity ที่เรียกแขก แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความต่างคือโทน Earthy ดินๆ แกมพิมเสนช่วงกลางนี่แหละที่เป็น Game Changer ให้เนื้อกลิ่นหลุดมาในการเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ดี เช่นนั้น ไม่ได้ล้ำยุค Avant-Garde หรืออวกาศมาจากไหน แต่ให้ความทันสมัยมีเสน่ห์ อวล เย้า เซ็กซี่ และดึงดูด ในอีกรูปแบบตามสไตล์น้ำหอมชายของแบรนด์นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://6shop.mom/products.aspx?cname=phantom+paco+rabanne+perfume&cid=62

 

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Osaji - Aoyu

Osaji - Aoyu

จุดเริ่มต้นของเจ้าของแบรนด์อย่าง Masakazu Shigeta ที่เป็นนักพัฒนาเครื่องสำอาง ที่คุณแม่ของเจ้าของแบรนด์ที่พื้นฐานชอบสิ่งประทินผิวที่มาจากพืชพันธุ์จากธรรมชาติเป็นหลัก แต่วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุกับคุณแม่ จนทำให้เกิดผลกระทบข้างเคียงเกี่ยวกับผิวหนัง ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ได้อีก เจ้าของแบรนด์จึงมีปณิธานเพื่อคิดค้นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวไม่ว่าจะเป็นผ่านการกินเข้าไปและสร้างสรรเครื่องสำอางที่ไม่ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้  ซึ่งก็เป็นแบรนด์ Osaji ในทุกวันนี้

แน่นอนว่าแบรนด์ญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ซึ่งยังไม่เห็นมีการจัดจำหน่ายที่ประเทศอื่น ซึ่งสินค้าก็มีครบในการช่วยดูแลผิวโดยลดการระคายเคืองต่อผิวให้มากที่สุด และที่สำคัญมีน้ำหอมที่พื้นฐานกลิ่นของแบรนด์นี้ส่วนใหญ่มักจะดึงเอาดอกไม้มาเป็นกลิ่นเด่น + คุมโทนในการเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์แบบไม่จำเป็นต้องรบกวนชาวบ้าน แต่ก็จะมี Limited Edition ออกมาจำหน่ายในแต่ละช่วงด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อได้ไปเยือนญี่ปุ่น ก็ต้องจัดกลิ่นสาย Limited ก่อน เพราะถ้าพลาดอาจจะไม่มีโอกาสได้หาลองใช้งานอีกในอนาคต เช่นนั้นเลยได้หนึ่งในกลิ่นที่ปล่อยออกมาวางจำหน่ายในปี 2022 ที่หมดแล้วก็หมดเลย (ไม่รู้จะผลิตมาวางจำหน่ายอีกไหม) ที่ปล่อยออกมารับฤดูฝนและฤดูร้อนของญี่ปุ่นในปีดังกล่าว ซึ่งนั่นก็คือ Aoyu ที่ใช้จนตกผลึกแล้วก็ขอมาเล่าต่อว่า

นี่คือกลิ่นสาย Citrus ที่เด่นกับความเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมากกลิ่นหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงเปิดที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นเปลือกผลไม้สาย Citrus ที่มีความเขียวขมซึ่งจับอารมณ์ได้อย่างแรกคือ มะนาวที่วาบขึ้นมาทักทายจมูกก่อนแรกสุด ก่อนจะเป็นกลิ่นแนวเปลือกส้มยูซุแบบผลเขียวๆ และกลิ่นที่คล้ายมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่มีความเปรี้ยวคมออกทางส้มเปรี้ยวจัดๆ เท่าที่ไปอ่านดู คือ ส้มสุดาชิ ที่มักเอามาทำอาหารในครัวเรือนของญี่ปุ่น ซึ่งรวมตัวกันออกมาให้ความรู้สึกเขียวเปรี้ยวขมปร่าที่ไม่จัดจ้าน และที่สำคัญเสริมความเป็นธรรมชาติเข้าไปอีก ด้วยการใส่โทนสมุนไพรติดตุ่นหน่อยๆ ของโรสแมรี่ ซึ่งนี่แหละคีย์หลักเลยที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นจริงๆ แบบเวลาเราผ่าพวกกลุ่มผล Citrus แนวๆ มะกรูด ซึ่งคือใช่เลยไม่ต้องพยายามและตรงไปตรงมาสุดๆ 

ซึ่งช่วงต้นนั้นจะอยู่ไปราวๆ ไม่เกิน 5 - 10 นาทีแบบที่จะค่อยๆ ผ่อนตัวลง แล้วเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเขียวขมจะกลายเป็นกลิ่นเบาๆ สร้างบรรยากาศแทน แต่กลิ่นที่เด่นขึ้นมาคือกลิ่นของกิ่งก้านและใบส้ม (Petitgrain) ที่ให้ความเขียวแกมเปรี้ยวอ่อนๆ มีความคมเบาๆ ที่เป็นธรรมชาติเป็นหลัก แต่จะมีความรู้สึกแบบกลิ่นกลิ่นติดหวานบางๆ และมีความสดชื่นให้รู้สึกแบบกลิ่นดอกไวโอเล็ตจริงๆ (ที่ไม่ใช่โทนแป้งติดหวานแกมเขียวแบบที่มักจะได้กลิ่นในน้ำหอมที่เด่นด้วยดอกไวโอเล็ต) และมีความรู้สึกนวลสะอาดแกมหวานอ่อนๆ คล้ายมีกุหลาบบางมากๆ รวมอยู่ด้วย แต่ก็เป็นสายสนับสนุนเพราะว่ากลิ่นไม่ได้เด่นออกมาเลยถ้าไม่ดมติดผิว ความรู้สึกที่ได้จึงมาเป็นหลักที่ความเขียวติดปร่าบรรยากาศเป็นสำคัญ

จริงๆ จะจบที่ช่วงกลางเลยก็ได้ เพราะเมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะกลายเป็นโทนแบบผิวกายปกติของมนุษย์มากๆ จนบางทีแทบไม่รู้สึกว่ามีน้ำหอมอยู่ แต่ถ้าดมแบบพินิจพิเคราะห์จะมีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ปร่าบางๆ ของไม้ซีดาร์ที่มีความ Smoky บางมากๆ แนวๆ Incense แต่ก็มีพื้นฐานความสะอาดเบาๆ ซึ่งน่าจะมี Musk อ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกว่าน้ำหอมไม่ทน แต่ถ้ามองที่ Concept แบบสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว นี่แหละใช่เลย กลิ่นจะติดผิวมากๆ เหมือนไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่มีโทนให้รู้สึกสบายๆ และผ่อนคลายบางๆ เนียนๆ มินิมัลนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เข้าหมดทุกเพศและทุกวัย (ยกเว้น Baby เด็กทารก) ซึ่งสำหรับเด็กน้อยจะฉีดที่เสื้อที่สวมเบาๆ ซัก 1 สเปรย์ก็ได้ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาลในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ แต่งดได้เลยกับการใส่ไปเพื่อหวังเรียกเรตติ้ง เพราะเข้าใจก่อนว่านี่สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ได้เน้นปล่อยพลังใส่คนอื่น

ความทน - เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากๆ ซึ่งนั่นก็แปรผันกับความทน ก็ตาม Concept แบรนด์เน้นความเป็นธรรมชาติจากพืชพันธุ์ต่างๆ จึงให้ความทนที่ไม่เกิน 4 ชม. หรืออาจจะทนมากขึ้นหน่อยถ้าฉีดเสื้อที่สวมแต่ก็ + ไปราวๆ 1 ชม. แนวๆ นั้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวในช่วงต้น ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่งๆ จะติดผิวอยู่รอมร่อในช่วงกลางไปจนถึงราวๆ 2 ชม. ถึงเป็น Skin Scent เต็มตัวจนกว่าจะจางไปจากผิว ซึ่งใช่เลย Safe Scent สุดๆ   

สรุป - สิ่งที่ทึ่งมากคือกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ และมากจริงๆ กับการให้ความรู้สึกแบบสบายๆ แบบอารมณ์เราได้กลิ่นตอนผ่าส้มเปรี้ยวๆ มะนาว หรือมะกรูดแนวๆ นั้น ก่อนจะมาเป็นกลิ่นเขียวคมอ่อนๆ ที่มีความเป็นบรรยากาศสูงมาก และเข้ากับอากาศที่ร้อนหรือมีความอับชื้นสูงแบบฝนตกได้ดีอีกด้วย แต่ถ้ามองที่ข้อด้อยความกระจายกับความทนไม่ได้โดดเด่นนัก ซึ่งก็วนมาที่เรื่องเดิมคือ ก็น้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่น เลยไม่ได้เน้นรบกวนใครนั่นแหล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://osaji.net/special_products/aoyu2023ss/

 

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Lorenzo Villoresi - Dilmun

Lorenzo Villoresi - Dilmun

ในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Lorenzo Villoresi จะมีอยู่กลิ่นหนึ่งที่ดึงเอาสถานที่ ในตำนานเรื่องเล่าของชาวเมโสโปเตเมียที่ถือเป็นสรวงสวรรค์และดินแดนแห่งความสุข ไม่ว่าจะผู้คนหรือสรรพสัตว์ต่างอยู่ร่วมกันท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วนำถ่ายทอดกลิ่นออกโดยมีแก่นหลักที่เป็นโทนสว่าง มีความรื่นรมย์ และมีเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย และเอาความสุขที่คาดว่าน่าจะมีอยู่ในสถานที่แห่งนั้นมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความเฉพาะตัวและมีเสน่ห์ และนั่นก็คือ Dilmun

ซึ่งเมื่อได้พินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ก่อนการใช้งาน สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้เลย คือ แก่นของกลิ่นคือ “ดอกส้ม” ที่จะมีการผสมผสานทั้งดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ให้กลิ่นโทน Green Citrus และดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ให้กลิ่นลูกผสมระหว่างดอกไม้ขาวกึ่ง Citrus ซึ่งก็บอกกลายๆ ได้เลยว่า เนื้อกลิ่นต้องมีพื้นฐานสว่างแน่นอน และผลจากการใช้งานก็ออกมาเป็นในลักษณะนี้

ช่วงเปิดคือสวรรค์ของคนที่ฟินกับดอกส้มแกมโทน เขียว และ Citrus อย่างชัดเจนมาก พื้นฐานกลิ่นคือดอกส้มที่ผสมผสานกันระหว่าง Neroli และ Orange Blossom ชัดเจน เพราะจะได้ทั้งความเขียวแกมเปรี้ยว ตามด้วยเปรี้ยวหอมนวลสะอาด โดยจะมีโทนกลิ่นสาย Green แบบใบไม้เขียวๆ และโทน Citrus ล้อมรอมสร้างความสว่างไสวและ Sparkling ซ่าๆ แกมขมอมเปรี้ยวในเนื้อกลิ่นชัดเจน แต่สิ่งที่สร้างความซับซ้อนในความสดชื่นในเนื้อกลิ่นต้องยกให้โทนกุหลาบและมะลิที่เป็น Hint ซ่อนอยู่ เนื้อกลิ่นเลยจะไล่เรียงจากเขียว > เปรี้ยว > ปร่าซ่า > นวล ทั้งทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานกลิ่นที่มีโทนสว่างขาวเป็นสำคัญ อ้อ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบโทน Cologne เสียด้วย

เนื้อกลิ่นในช่วงกลาง ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทนสดชื่นเขียวปร่าแกมเปรี้ยวหอม Citrus และความนวลแกมดอกไม้ขาวที่ชัดมากขึ้น แน่นอนว่าความเป็นดอกส้มทั้ง 2 แบบยังคงผสมผสานกันเป็นอย่างดี และชัดเจนมากที่สุดมากกว่าช่วงต้นเสียด้วย โดยในความเขียวเปรี้ยวปร่าแกมนวลสะอาดนั้นจะมีตัวช่วยที่น่าสนใจคือ Petitgrain หรือกิ่งก้านส้มที่มาให้ความเขียวแกมเปรี้ยวให้ชัดเจนมากขึ้น และฝั่งดอกมะลิที่เสริมให้กลิ่นดอกไม้ขาวแกมเปรี้ยวอมหวานสะอาดมีชั้นเชิงที่ตีคู่ไปกับโทนสดชื่นได้อย่างสมดุลย์ แต่เมื่อจับกลิ่นลงไปแบบดมใกล้ผิว จะจับต้องได้อีกโทนนั่นคือโทนยางไม้และวานิลลาที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นแฝง และทำให้เนื้อกลิ่นที่ขาวสว่างสดชื่น เริ่มมีสีครีมนวลเข้ามาเสริมแบบค่อยเป็นค่อยไปได้พอเหมาะ และเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในช่วงท้าย คือ การลดลทบาทของโทน Citrus และ Green ลงเหลือเพียงบางเบาคลอๆ กลิ่น รวมถึงดอกส้มเองก็จะลดหน้าที่ลงมาเหลือเพียงความนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดในลักษณะของ Orange Blossom ที่สร้างออร่านวลสะอาดในเนื้อกลิ่น แต่แก่นหลักจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นโทน Oriental Woody แทน เพราะจะมีวานิลลา ไม้จันทน์หอม และไม้ซีดาร์ เป็นแกนหลักที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดอบอุ่น ที่มีลูกผสมระหว่างความเป็นนวลแบบ Lite ของวานิลลาที่สอดรับกับกลิ่นไม้นวลๆ ของจันทน์หอมที่มีซีดาร์มาผสานทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นกระดาษหน่อยๆ เข้ามาพร้อมกลิ่นอบอุ่นสบายๆ กำลังดีคลอๆ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสว่างนวลได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าโทนดอกไม้ขาวเป็นแก่นหลัก เพียงแต่เอาเข้าจริงยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีขาวสะอาด ยิ่งเข้ากันอย่างสุดๆ ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือเน้นออกงานสุภาพจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายเร้าใจอยู่เป็นทุนเดิม

ความทน - อันนี้อาจจะไม่ได้ว้าวซ่ามาจากไหนเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ แน่นอนว่ามีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กระจายดีในเบื้องต้นให้ความสดชื่นสว่างและรื่นรมย์มากจริง แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 2 - 3 ชม. แล้วถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 5 - 6 ชม. ถึงค่อยๆ จางไปตามลำดับ

สรุป - Dilmun ในมุมมองของสุคนธกรน่าจะเป็นดินแดนที่สดชื่น สว่างไสว และรื่นรมย์เป็นแน่แท้ เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานที่สร้างความรู้สึกทั้ง 3 อย่างที่กล่าวได้ครบถ้วนมากๆ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นไม่ได้ไพล่ไปทาง Traditional Cologne ที่มีดอกส้ม Neroli เป็นพื้นฐาน นัก แต่เอาแก่นหลักของ Orange Blossom เป็นผู้เล่นหลักที่ให้ความรู้สึกแตกต่างได้ดี โดยยังมี Concept แบบสไตล์ร่วมสมัยได้ครบถ้วน ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตกคนชอบดอกส้มได้ไม่ยากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lorenzovilloresi.it/eu_en/dilmun-eau-de-toilette

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Elizabeth and James - Nirvana French Grey

Elizabeth and James - Nirvana French Grey

จุดเริ่มต้นจากความโด่งดังของคู่แฝดอย่าง Mary-Kate และ Ashley Olsen จากการเล่นซิทคอมอย่าง Full House ตั้งแต่เป็นเด็กทารกในปี 1987 จนกระทั่งเป็นเด็กสาวใน Season สุดท้ายในปี 1995 แล้วก็ต่อยอดทางด้านสาย Series และ TV Movie มาอย่างยาวนานจนถึงปี 2004 จนกลายเป็นหนึ่งใน Celebrities ที่โด่งดังมาก แต่เพราะการต่อยอดของ Celebrities ไปทางสายแฟชั่นเรียกว่าก็เรียกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่เดิม แต่เพิ่มเติมสำหรับทั้งคู่ คือ ถ้ามีเซนส์ทางนี้ได้ดี จะไปได้อย่างยาวนาน และแน่นอนว่าไปได้ดีมากๆ จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะแบรนด์สาย High Fashion อย่าง The Row

และในปี 2017 ทั้ง 2 สาวก็สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาที่เน้นแฟชั่นสไตล์ Contemporary ที่เอาความเก๋ในสไตล์ Vintage มาประยุกต์กับความเรียบโก้ ซึ่งนั่นก็คือ Elizabeth and James ที่เป็นตัวแทนทั้งฝั่งผู้หญิงและผู้ชายในแบรนด์นี้ แต่แบรนด์เองก็ไม่ได้มีแค่แฟชั่น แต่มีน้ำหอมรวมอยู่ด้วย ซึ่งแม้ว่าแบรนด์นี้จะสิ้นสุดไปแล้ว แต่สิ่งที่รับรู้มาตลอดเลยคือ น้ำหอมของแบรนด์นี้ไม่ธรรมดา ก็ขอได้มาเจอกันซักหน่อยก่อนที่จะเริ่มหายไปจากตลาดและกลายเป็นของ Rare Items ในอนาคต เช่นนั้นเลยเอากลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ลอง (ที่ไม่ใช่กลิ่นแรกของแบรนด์) มาเล่าต่อว่ากลิ่นจะมาในทิศทางไหน นั่นก็คือ Nirvana French Grey

เปิดตัวด้วยการเป็นโทนสดชื่นติดเขียวที่มีความคมกำลังดี ไม่บาดไป ไม่พุ่งปรี๊ดไป เนื้อกลิ่นให้อารมณ์ลูกผสม 3 โทนหลักๆ คือ เขียว Citrus และดอกไม้ขาวเบาๆ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะไล่จากเขียวออกทางใบไม้ติดคมหน่อยๆ ที่มีความเปรี้ยวคลอ และมีกลิ่นดอกไม้ขาวนวลบางๆ รองพื้น ซึ่งเป็นการผสมผสานจากโทนเขียวใบไม้ กิ่งก้านส้ม และดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่เป็นลูกครึ่ง Citrus กึ่งดอกไม้ขาว ซึ่งไล่เลเยอร์ได้มีความสดชื่น โดยไม่ต้องมีความซับซ้อนอะไรมาก ให้ต้องปีนบันไดดมแต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะลดทอนความคมลงมาเรื่อยๆ จนได้ความเขียวสดชื่นอ่อนๆ คลอ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่ตอนนี้แก่นหลักของกลิ่นคือลาเวนเดอร์ ที่จะให้ความนวลสะอาด เนื้อกลิ่นจะไม่ได้ลาเวนเดอร์ที่ออกมาเขียวแปร่งสมุนไพรแบบดมจากดอก แต่ให้ความหอมนวลสะอาดๆ นุ่มๆ สบายๆ ไม่หนักไม่ข้น  ที่มีความเขียวสดชื่นเจือปนจากดอกส้มแบบ Neroli และกลิ่นใบไม้เขียวๆ ติดเปรี้ยวอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น และไม่พอยังมีความสะอาดอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่มาเสริมให้พื้นกลิ่นมีความสะอาดนวลติดเปรี้ยวบางๆ รวมถึงมีความปร่าหน่อยๆ ที่น่าจะมาสายเครื่องเทศแกมสมุนไพรเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมีมิติที่สบายๆ ร่วมด้วย สร้างความรู้สึกแบบสดชื่นแกมนุ่มนวลผ่อนคลายได้กำลังดี 

และเมื่อ Musk เริ่มเข้ามา แล้วจับคู่กับลาเวนเดอร์ + โทนเขียวสดชื่นต่างๆ ลดทอนลงไปเกือบหมดเหลือเพียงบางๆ จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆ จะกลายเป็นกลิ่นสะอาดแบบ Musk + ลาเวนเดอร์ + ดอกส้ม ที่ให้อารมณ์ลูกผสมกึ่งแป้งนวลละมุน และกลิ่นนุ่มสะอาดแบบกลิ่นเสื้อผ้าสะอาด ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมบางๆ แฝงอยู่ด้วยหน่อยๆ ซึ่งทำให้บางวูบจะมีกลิ่นคล้ายกระดาษนิดๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายคือโทนสะอาดเน้นๆ ที่มีมิติแบบไม่ซับซ้อน ที่จะได้ทั้งความสะอาดผ่อนคลาย ความนวล และความเบาในเนื้อกลิ่นที่ครบถ้วนเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าแบรนด์จะลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่บอกเลยนี่คือ Unisex ชัดๆ ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบครอบจักรวาลกวาดหมดในการใช้งานแบบที่คนได้กลิ่นก็ไม่ยี้แต่อย่างใด จะมีก็แค่ยามค่ำคืนที่จะใช้ไปท่องราตรี ที่ข้ามไปเถอะ กลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกเลยแม้แต่นิดเดียว  

ความทน - ตอนแรกคิดว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมาก เพราะกลิ่นมีความกลางๆ กึ่งเบา แต่เอาเข้าจริงแล้วแตะ 8 ชม. ได้สบายๆ แต่มีบวกลบราวๆ 2 ชม. เพราะบางครั้งอากาศร้อนจัดๆ กลิ่นก็ไปตั้งแต่ราวๆ 6 ชม. และบางวันที่ฝนตก อากาศชื้นๆ กึ่งสบายๆ กลิ่นก็ยาวไปที่ 10 - 12 ชม. ได้ด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางไปราว 1 - 2 ชม. ที่เหลือคือ ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป กลิ่นจะติดผิวจริงๆ เมื่อผ่านไปหลัง 6 ชม. ไปแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอว่าติดผิวราวๆ ชั่วโมงที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ถ้าชอบความหวือหวา ซับซ้อน Sexy หรือความเรียบหรูแบบเต็มๆ กลิ่นนี้คงไม่ได้มีให้ เพราะเนื้อกลิ่นมาในสายโทนสะอาดเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเสียมากกว่า ซึ่งให้ความไล่เรียงจากสดชื่น สะอาด นุ่มนวล และผ่อนคลายแบบสบายๆ อารมณ์เสื้อผ้าสะอาดบนผิวกายหอมแกมแป้งนุ่มๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายมากๆ และเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง แบบที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แบบที่มีเสน่ห์ในตัวเองแบบไม่เยอะสิ่งได้ดี ที่สำคัญส่วนตัวชอบในการเล่นโทนเขียวสดชื่น สู่ลาเวนเดอร์ และ Musk ปิดท้ายได้สมูธมาก ถึงกับถ้าคิดไม่ออกในวันอากาศร้อนๆ หรือวันฝนตก ว่าจะใช้น้ำหอมตัวไหนดี ก็จะหยิบกลิ่นนี้มาใช้ประจำเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjones.com/product/elizabeth-and-james-nirvana-french-grey-edp-50ml-21696458

 

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Hermes - Voyage d’Hermes

Hermes - Voyage d’Hermes

ข้ามไปฟินกับ Voyage d’Hermes Parfum ก็ไม่ได้วนกลับมาที่กลิ่นตั้งต้นที่มีความใสกว่าในรุ่น EDT เพราะคิดว่าอยู่ที่ความเข้มข้นและมีความหรูหราชัดเจนในการเป็น EDP น่าจะถูกใจที่สุดแล้ว และเมื่อผ่านมาถึง 6 ปี สิ่งที่ตะหงิดๆ ในใจก็คือ เราน่าจะลองความเป็น EDT บ้าง เพราะในชีวิตการใช้น้ำหอม ก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเข้มชัดอะไรมากขนาดนั้น ก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง จึงได้เป็นที่มาในการขอซักหน่อยและก็อย่างรู้ตนเองเช่นกันว่าจะหลงเสน่ห์กลิ่นนี้แบบที่เคยเกิดขึ้นในรุ่น EDP หรือไม่?

ที่มาที่ไปแบบย่อๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมก็มาจากฝีมือของสุคนธกรชื่อดังอย่าง Jean-Claude Ellena ที่เป็นอดีตหนึ่งใน Perfumer หลักของ Hermes มาอย่างยาวนาน (ซึ่งปัจจุบันปลดระวางไปเรียบร้อยแล้ว) โดยปล่อยออกมาจำหน่ายในปี 2010 จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทั้ง EDT และ EDP เช่นนั้นไม่ร่ายยาว ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

Voyage d’Hermes (EDT) จะมีแกนหลักสำคัญของกลิ่นเลยนั่นคือ เม็ดกระวาน แต่เนื้อกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่าจะไปเย้าอวลข้น เรียกว่าเป็นกลิ่นแนวเครื่องเทศที่ให้ความพอดีๆ หวานเย้าและไม่หนัก มีความเผ็ดหวานลุ่มลึกกำลังดี เคล้ากลิ่นแนวพริกไทยที่ให้ความนวลเผ็ดแฝงอ่อนๆ และที่แน่ๆ รู้สึกได้ถึงโทนเขียวปร่าบางๆ คล้ายโหระพาที่แฝงรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความใสและเกลาให้เนื้อกลิ่นมีความโปร่งเลยต้องยกให้โทน Citrus ของเลมอนที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดขมอ่อนๆ สร้างความ Sparkling ในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวและมีคุณภาพทางกลิ่นสูงมาก แบบที่ได้ความสดชื่น ผ่อนคลาย และเรียบหรูได้อย่างครบถ้วนกันตั้งแต่ช่วงต้นเลย

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ของโหระพาที่รู้สึกได้ในช่วงต้นจะชัดขึ้น และมีกลิ่นออกทางชาที่ค่อนไปทางชาดำหน่อย แต่มาแบบใสๆ ไม่ได้เข้มจัดเสริมเข้ามาแบบกำลังดี สร้างความ Aromatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย ซึ่งโทนเครื่องเทศโปร่งๆ จากช่วงต้นโดยเฉพาะกระวานยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานเย้าๆ ติดปร่าเผ็ดหน่อยๆ เสริมเข้ากับกลิ่นชาได้พอดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ เสริมให้กลิ่นมีความเรื่อๆ ละมุนปลายกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งช่วงกลางได้อารมณ์กลิ่นเรียบหรูผ่อนคลายสว่างๆ ไปกำลังดี โดยกลิ่นมีความรื่นรมย์เป็นแกนหลักสำคัญ

จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มีความแห้งเบาๆ สบายๆ และมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ Musk ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ ก็ถึงเวลาของช่วงท้ายที่จะมาแบบเรื่อยๆ เบาๆ มีความสะอาดและสว่างอยู่เช่นเดิม โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความกึ่งกลางระหว่างความอบอุ่นและความสบายๆ พอเหมาะพอเจาะระหว่างความเป็น Musk และไม้หอมมาก ซึ่งโทนชาก็จะยังมีอยู่ให้ความเรื่อยๆ เนียนๆ ไปกับเนื้อกลิ่น ส่วนกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ จะลดลงไปจนเหลือเพียงประปรายบางๆ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่ให้ความสะอาดเบาๆ และมีเสน่ห์แบบวางตัวดีในความเป็นโทนไม้แห้งแกมชาอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ว่าจะหญิงหรือชายตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูและสดชื่นแบบมีระดับและแตกต่างจากโทนสดชื่นอื่นๆ ในท้องตลาด จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกำลังกายก็ได้ด้วย จึงถือว่าครอบจักรวาลมากในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือออกงานจะลงตัวที่สุด ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยโดนกลบมิดเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อาจจะมีลากยาวไป 10 ชม. บ้างว่ากันตามสภาพอากาศในวันนั้นๆ ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบตัวกันยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 จึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องยอมเลยว่าเนื้อกลิ่นมีความดีงามและวางโทนกลิ่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสไตล์ที่มีความมินิมัลในเนื้อกลิ่นสูงมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเรียบหรูอยู่ตลอดในการใช้งาน แม้ว่าความทนอาจจะไม่ได้เด่นนักก็ตาม แต่ความดีงามทางกลิ่นสูงแบบที่ใช้แล้วมีเสน่ห์และรื่นรมย์กับตัวผู้ใช้งานเองได้ครบถ้วนจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/us/en/product/voyage-d-hermes-eau-de-toilette-V107568V0/

 

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Dolce & Gabbana - The One for Men EDP Intense


 Dolce & Gabbana - The One for Men Eau de Parfum Intense

ความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเป็น D&G The One for Men ในปี 2008 ที่ไม่เคยลดลงแต่อย่างใด คงความเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับการยอมรับในการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องและยังมีลูกหลายห้อยตามออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีแต่ความเข้มข้นทางกลิ่นขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าที่จะลงลงไปเบา ที่สำคัญแต่ละรุ่นที่ออกมาไม่ว่าจะสายตรง หรือสาย Exclusive ต่างก็ไม่ได้ลดราวาศอกในการได้ใจผู้ใช้งานแต่อย่างใด

เมื่อการต่อยอด The One for Men ที่คิดว่าน่าจะสุดที่ตัว EDP แล้วเริ่มที่จะไปที่ลักษณะกลิ่นแบบอื่นๆ ตามเทรนด์ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่จบแค่นี้ เพราะ D&G ก็ยังไปต่อได้อีกกับการเป็น The One for Men EDP Intense ที่ปล่อยออกมาในปี 2020 (อนาคตคงจะมี Pure Parfum ออกมาแน่แท้) และกลิ่นนี้จะคงที่กับการเป็นเม็ดกระวานตามลายเซ็นของ The One for Men หรือว่าจะเริ่มมาแตะการเป็นโทนอื่นๆ เพื่อที่จะเริ่มเปลี่ยนทิศทางกลิ่นของ Collection เช่นนั้นมาพิสูจน์กัน

ความรู้สึกแรกดม กลิ่นมีความอุ่นเป็นพื้นฐานชัดเจนมาก เพียงแต่จะมีลูกเล่นของโทนสดชื่นหน่อยๆ ให้จับต้องได้จากดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่ไม่ได้มาแบบเขียวเปรี้ยวนวลสดชื่นในสไตล์แนว Cologne ที่มักจะเจอแต่อย่างใด แต่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ เนียนๆ แต่แกนหลักสำคัญเลยต้องยกให้เม็ดกระวาน ที่มาชัดเจนตั้งแต่ต้นให้ความหวานเผ็ดแต่ไม่แน่น ไม่หนัก มีความเย้ายวนชัดเจน และมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหวานแบบกำลังดี มีความเย้ายวนที่อวลๆ เป็นตัวเปิดทางชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางค่อนข้างชัดเจนมากในการเป็นโทน Warm Spicy ที่ยืนพื้นกับความอบอุ่นติดครีมมี่เป็นหลัก เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นติดแมน แต่ไม่ได้ยัดเยียด ออกจะให้ความน่าค้นหามากๆ เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนกระวานยังคงยืนหนึ่ง เพียงแต่กลิ่นของ Cashmeran ที่เป็นกลิ่นโทนสังเคราะห์ที่สื่อถึงผ้าแคชเมียร์ซึ่งให้อารมณ์ผสมผสานระหว่างโทนนุ่มของ Musk และความเป็นไม้หอมครีมมี่หน่อยๆ จะกลายมาเป็นตัวเสริมชั้นดีที่ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่นวลเนียน ลูกผสมติดโทนแป้งนิดๆ และที่สำคัญการมีกำยาน Benzoin มาร่วมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของกลิ่นช่วงนี้ด้วย ทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลอวลอุ่นที่ละมุนได้ลงตัวมาก แต่ก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นปร่าเขียวแกมนวลบางๆ ของ Neroli ไปไหน เพราะมีแทรกซึมอยู่ตลอด ดูรวมๆ แล้ว มีเสน่ห์แบบสไตล์ครีมมี่กระวานหวานเย้าชวนซุกแบบมีระดับและไม่ได้อัดแน่นความแมนจัดเกินไป

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มที่จะมีความเป็นโทนหนังที่มีความนุ่มแกมห่ามนิดๆ ติด Smoky พอประมาณเสริมเข้ามารวมตัวกับโทนครีมมี่นุ่มๆ ของ Cashmeran และกำยาน Benzoin จากช่วงกลาง ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้ความเท่ห์แบบนุ่มปนเย้าแกม Animalic ที่ไม่ติดสาบ เพราะความหวานของ Benzoin ที่ให้อารมณ์ติดวานิลลาทำให้กลิ่นนุ่มมากขึ้น โดยที่เนื้อกลิ่นจะเป็นโทนอบอุ่นชัดเจน แถมมีความเป็นพิมเสนที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความหวานปนปร่าหอมระเรื่อๆ กำลังดี สร้างความเย้ายวนดึงดูด ให้อารมณ์ทางกลิ่นเป็นแนวคลุกวงในเป็นการปิดท้ายได้อย่างครบเครื่อง โดยไม่ทิ้งลายเซ็นของการเป็น The One for Men แต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ ที่สมดุลย์ในการสร้างเสน่ห์ที่ไม่ได้จงใจแต่เอาอยู่ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ เลยจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นมาสายอวล เดี๋ยวตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้ทั้งแบบโรแมนติคและปล่อยเสน่ห์แบบมีระดับ

ความทน - กำลังดีที่ราวๆ 8 ชม. แต่ไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีช่วงต้น แล้วจะลงมาปานกลางไปซักประมาณ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวคงที่ยาวไปถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนที่จะลงมาเป็น Skin Scent ซึ่งถือว่ากลิ่นไม่ได้ทรงพลังเล่นใหญ่มาจากไหน เน้นให้ความมีระดับแบบกำลังดีมากกว่า

สรุป - แม้จะเป็น EDP Intense แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับแผ่ไพศาล อารมณ์แบบกลิ่นมาสายเข้มขึ้นแต่ตัดทอนด้วยความนุ่มนวลที่เอาแต่ข้อดีในความหอมของแต่ละ Notes กลิ่นมาผสมผสานอย่างสมดุลย์ ซึ่งถือเป็นอีกมุมที่ต่อยอดลายเซ็นความเป็น The One for Men มาได้ดีด้วยโทนเม็ดกระวาน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้รู้สึกได้ในการใช้งานที่ไม่ยึดติดกับการชูโรงความเป็นโทนยาสูบในแบบที่รุ่นก่อนๆ ทำไว้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.com/Perfumes/Dolce_Gabbana/the-one-for-men-eau-de-parfum-intense

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: The House of Oud - Wonderly

The House of Oud - Wonderly

หิมะตกที่ทะเลทรายซาฮาร่า ถือเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พักนี้เริ่มเกิดขึ้นถี่ แน่นอนว่ามันอจจะเป็นสัญญาณทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จริง แต่เมื่อปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้น ในแล่ของความงดงามตามธรรมชาติก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในความสวยงามที่ตัดกันได้อย่างลงตัวระหว่างกับสีขาวของหิมะและสีน้ำตาลของผืนทราย

และปรากฎการณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในที่มาที่ไปในการนำมาสร้างสรรค์กลิ่นหอมของ The House of Oud แต่เป็นอีกมุมมองเสียมากกว่าที่ไม่ได้ถอดเอาความเป็นธรรมชาติของปรากฎการณ์ลักษณะนี้มาสู่ขวด แต่มองในมุมที่ว่าเมื่อเราเห็นผืนทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มันได้อารมณ์เหมือนขนมหวานอบบางอย่างที่มีน้ำตาลไอซิ่งโรยทั่วไปทั้งหมด อารมณ์เปลี่ยนจาก Desert เป็น Dessert อะไรประมาณนี้ ก็เลยกลายเป็นน้ำหอมกลิ่นนี้ออกมา ซึ่งนั่นก็คือ Wonderly

ช่วงเปิดจะมีอารมณ์เนื้อกลิ่นที่ให้ความกึ่งๆ อยู่พอสมควร เพราะจะมีอารมณ์กึ่งผลไม้ที่มีความเปรี้ยวอมหวานที่ไม่หนักเกินไป ค่อนไปทางโทนแห้งๆ ค่อนแป้งเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นที่จับได้จะมีความหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่มีความนมๆ เล็กๆ ของแอปริคอต และมีกลิ่นออกทางกึ่งเบอร์รี่กึ่งกุหลาบแห้งอ่อนๆ แฝงอยู่ แต่ทั้งหมดจะออกแนว On Top เสียมากกว่าเพราะว่าพื้นกลิ่นคือแป้งที่มีกลิ่นออกทางอัลมอนด์แบบกลางๆ กำลังดี ไม่ได้เป็นอัลมอนด์ที่มาแบบสไตล์ถั่วๆ แต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นแป้งอัลมอนด์กึ่งดอกไม้ประมาณนั้นเลย ซึ่งถือว่าเปิดมาก็ให้ความเป็นกลิ่นกึ่งแป้งกึ่งอบอุ่นที่มีความนวลๆ แกมหอมสดชื่นเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ ได้ดี ไม่หนักเกินไป และเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ได้ไก่กาเสียด้วย

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่ชัดมากขึ้นเลยก็คือโทนดอกไม้ขาวอย่างมะลิที่มาเสริมโทนให้กลิ่นมีความเป็นแป้งและมีโทนสีออกทางขาวนวลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นอัลมอนด์แกมดอกไม้ยังคงมีอยู่แบบพอเหมาะ แต่สิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นอีกอย่างคือ โทนไม้หอมนวลๆ ของไม้จันทน์หอมและกลิ่นวานิลลาที่ออกทางแป้งอบอุ่นแกมหวานติดโทนแห้งๆ จะเสริมขึ้นมามากขึ้นตามลำดับทำให้เนื้อกลิ่นมีความนัวๆ อวลๆ ที่กลางๆ กำลังดีมีความละมุนๆ แกมหวานไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมีโทนออกทางยางไม้ติดหวานแห้งๆ แกมแป้งฝุ่นที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาปูทางไปสู่ช่วงถัดไปของน้ำหอม

และในช่วงท้ายจะชัดเจนมาก คือ การเป็นโทนแป้งที่มีความแห้งและมีความเป็นโทนออกทางแป้งฝุ่นเข้ามามากขึ้นของดอกไอริสและน่าจะรวมหัวเหง้าออริสเข้ามาด้วยที่ทำให้กลิ่นมีความทึบแบบแป้งฝุ่นเมื่อเสริมเข้ากับโทนไม้หอมแห้งๆ กึ่งนวลของไม้จันทน์หอมแกมยางไม้ที่มีอารมณ์กลิ่นออกทางกึ่งยากึ่งหวานหน่อยๆ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นโทนของ Myrrh เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนออกทางผืนทรายและให้สีในความรู้สึกคือสีน้ำตาลเอิร์ธโทนของผืนทรายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยมีความหอมหวานอบอุ่นประปรายของบรรยากาศที่มีวานิลลาติดอัลมอนด์อ่อนๆ คลออยู่แบบกำลังดี แกมกลิ่นหวานปนขมยางไม้และไม้แห้งๆ ที่เป็น Effect เสน่ห์ของความแห้งแบบอารมณ์ทะเลทรายเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะมาสายหวานก็จริง แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังจัดจ้านมากเกินเหตุถ้าไม่ได้รัวหนักจนอาบน้ำหอม เลยใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป ซึ่งจะใส่ในวันร้อนๆ ก็พอไหวอยู่แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ แต่สิ่งที่ให้ข้ามไปได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย กลิ่นไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมเข้าจังหวะแบบนั้นนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคน่าจะดีที่สุด หรือจะใส่ไปท่องราตรีก็ได้อยู่แบบเพิ่มสเปรย์เองตามความเหมาะสม

ความทน - ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันตามสภาพผิวผู้ใช้ แต่ถ้าให้ยืดเวลาไปนานที่สุดเท่าที่เคยใช้มาก็ไม่เกิน 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะคงที่กับการกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 3 ชม. ชม. ถึงจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ไปจนถึงประมาณ 7 ชม. ก็เริ่มที่จะ Skin Scent แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา  

สรุป - ถือเป็นการตีความการผสมผสานการเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแห้งแบบทะเลทรายที่มีความเป็นโทนออกทางแป้งดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกสีขาวเข้ามาสื่อสารถึงการเป็นสีของหิมะ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้มีความเยือกเย็นในความเป็นหิมะแบบที่ควรจะเป็นก็ตาม แต่ทั้งนี้ภาพรวมของกลิ่นก็ให้ความเป็นโทนออกทางกึ่งๆ ระหว่างความเป็นกลิ่นหวานขนมที่มีพื้นฐานของความเป็นโทนแป้งกึ่งไม้หอมมาผสมผสานกันแบบที่ไม่หนักหน่วงและให้ความรู้สึกรื่นรมย์เคล้าความหวานได้กำลังดี

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit -  https://www.goldenscent.com/en/p/the-house-of-oud-wonderly-eau-de-perfum-for-men-and-women-23651.html?action=prod&id=23650

 

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

Review: Tobali - Cypress Mask

Tobali - Cypress Mask

ผ่านการใช้งานน้ำหอมที่ขวดมีความเป็นสไตล์มินิมัลเน้นความเป็นเซรามิคสีขาวงดงามตามเนื้อผ้าและมาจากญี่ปุ่นอย่าง Tobali มาก่อนหน้านี้ในรุ่นที่สื่อถึงความเป็น Oda Nobunaga กับรุ่น Iron Wind มาก่อนหน้านี้ ก็เกิดความประทับใจในการสร้าง Accord ทางกลิ่นที่เป็น Signature ของแบรนด์อย่าง Hidden Japonism 834 ที่เน้นความเป็นกลิ่นอายไม้หอมสไตล์ Oud เข้ามาผสมผสานกับความเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นได้ลงตัว เช่นนั้นจึงได้เวลาวนกลับมาหาแบรนด์นี้อีกครั้ง และครั้งนี้คือกลิ่น Cypress Mask

ที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์ที่กำลังจะเล่ากลิ่นนั้น มาจากหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่าง “ละครโนห์” ที่จะมีการใส่หน้ากากที่ทำจากไม้ฮิโนกิเป็นรูปทรงต่างๆ ตามบทบาทที่ได้รับ และถ่ายทอดตำนาน วรรณกรรม หรือเรื่องราวในสมัยต่างๆ ของญี่ปุ่น สมกับเป็นนาฏกรรมชั้นสูงที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เช่นนั้นเมื่อ Tobali เอาสิ่งนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์และมีการแทรก Accord Signature ของแบรนด์เป็นหนึ่งในกลิ่นหลัก เช่นนั้นใช้แล้วเล่าต่อได้ตามนี้

Cypress Mask เปิดตัวมาก็เอาความไม่กลิ่นไม้หอมอย่างสนไซเปรสญี่ปุ่นหรือไม้ Hinoki มาเป็นตัวตั้งซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นไม้หอมที่มีความปร่าแกมเขียวและมีความสดชื่นกึ่งเลมอนที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อไม้ โดยจะให้อารมณ์ไม้หอมโทนสว่างผ่อนคลายก็จริง แต่ไม่ใช่แค่นี้เพราะการที่มีกลิ่นของหญ้าฝรั่นเข้ามาเสริมทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนติดขมแกมหนัง รวมถึงมี Accord ที่เป็น Signature หลักอย่าง Hidden Japonism 834 ที่ให้กลิ่นไม้หอมแกม Oud เข้ามาเป็นฉากหลัง + กับมีกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศที่มาสร้างออร่าความปร่าแกมไม้หอมกลมๆ ที่เกลาให้กลิ่นมีความกลมกล่อมในโทนไม้หอมชัดๆ มากขึ้น และมีความดาร์กของกลิ่นหมึกหน่อยๆ เลยทำให้ช่วงต้นคือกลิ่นไม้หอมอวลๆ แบบเต็มๆ มีความชัดแบบอารมณ์ที่เราดมกลิ่นไม้แบบใกล้ๆ ที่มีมิติซับซ้อนในความเรียบง่ายของกลิ่นไม้หอมที่มีความตรงไปตรงมา เรียกวง่าเปิดมาก็ Woody Spicy เต็มที่ โดยไม่ได้หนักหน่วงเกินกว่าเหตุและคุมสมดุลย์ได้ดี

การเข้าสู่ช่วงกลาง จะไม่ได้แตกต่างในเรื่องของกลิ่นจากช่วงต้นซักเท่าไหร่ เพราะยังคุมโทนการเป็นไม้หอมชัดๆ มีความอวลและความปร่าสว่างอยู่ครบถ้วน แต่จะเพิ่มความรู้สึกที่เบาลงมาจากตอนต้นอารมณ์เหมือนเราชินกับกลิ่นนี้แล้วในระดับหนึ่ง และเพิ่มความรู้สึกแบบดาร์กกึ่ง Incense เข้ามาแบบให้รู้สึกได้ โดยที่ยังอวลแบบกลางๆ แกมความแห้งของเนื้อกลิ่นที่มีชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้กลิ่นออกทางหมึกดำจะชัดเจนขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางธูปหอมญี่ปุ่นที่คุมโทนการเป็นกลิ่นควันจากผงไม้หอมที่ให้อารมณ์อ้อยอิ่งสร้างความขลัง และที่สำคัญความเป็นไม้หอมจะไม่ได้มีแค่กลิ่น Hinoki ที่แกม Oud แล้ว แต่จะมีกลิ่นไม้หอมปร่านิ่งๆ อย่างไม้ซีดาร์เข้ามาทำให้กลิ่นมีความขรึมในเนื้อกลิ่นมากขึ้นด้วย ซึ่งทุกอย่างยังคุมโทนมินิมัลที่เด่นกับกลิ่นไม้หอมกับหมึกได้พอเหมาะและมีเสน่ห์แบบนิ่งๆ ได้ดี

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนลงมาเป็นกลิ่นไม้หอมปร่าอ่อนๆ ที่มีความอวลอยู่ เพียงแต่ออกแนวกลิ่นรุมๆ รอบผิวกาย ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวซึ่งทุกอย่างจะกลายเป็นกลิ่นออกอวลๆ รุมๆ คลอผิวกาย ไม่ได้ฟุ้งกระจายแล้ว โดยจะยังคุมโทนเป็นไม้หอมอยู่เช่นเคยเพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีน้ำหนักที่ให้โทนกึ่งแอมเบอร์ที่ไม่ได้หนักข้น + หนังที่ให้อารมณ์แบบอวลๆ แกมดาร์กเนียนๆ ได้ดี โดยไม่ได้นุ่มไป หรือไม่ได้ Animalic ชัดเจน ซึ่งจะจับได้ถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นไม้หอมที่มีความปร่านิ่งๆ เด่นที่ไม้ซีดาร์แกมลูกเอื้อนของ Hinoki โดยมีกลิ่นแนว Oud คลอให้ความลึกอยู่เบาๆ แกมกลิ่นหนังที่ใก้ความรู้สึกน่าค้นหาเคล้ากลิ่นแนวยางไม้แกม Incense แห้งๆ อวลๆ ปิดท้ายอารมณ์แบบเราชินกับกลิ่นไม้นี้แล้ว แต่ยังจับโทนความหอมอวลๆ ระเรื่อๆ ได้อยู่ตลอดนั่นเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะพื้นฐานกลิ่นไม้หอมสไตล์นี้เข้าได้กับทุกเพศแน่ๆ แต่อาจจะให้ความรู้สึกไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยกับหลายๆ คน แต่ถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นไม้หอมเป็นทุนเดิม ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้งานได้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ข้ามไปหรือรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกเดท โรแมนติค หรือว่าออกงานจะเข้าทางมากกว่าใส่ท่องราตรี เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายทรงพลังยั่วยวนเท่าไหร่นัก

ความทน - พื้นฐานที่ 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่สามารถไปต่อได้อีก ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ที่จับกลิ่นที่ตีขึ้นได้ และไปต่อได้อีกแบบติดผิวแบบอ่อนๆ เมื่อผ่านไปประมาณ 10 ชั่วโมงแล้ว กับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นราวๆ 3 - 5 นาที แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีต่อประมาณ 10 - 15 นาที จะลงมากระจายปานกลางไปซักราวๆ 1 - 2 ชั่วโมง ก็จะคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 4 - 5 ชั่วโมง ก็จะเริ่มติดผิวในที่สุด 

สรุป - อารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกเหมือนเราสวมหน้ากากไม้หอมหรือเดินเข้าสถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่มีกลิ่นเฉพาะตัว โดยกลิ่นตอนแรกจะมาชัดเจนมาก แล้วค่อยๆ ชินจนลดหลั่นกันลงไปเหลือพอให้รู้สึกได้ว่ายังมีกลิ่นที่ให้ความรู้สึกตรงตามที่สถานที่หน้าสิ่งที่เราสวมใส่ควรจะเป็น ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นโทนไม้หอมที่ทำให้ออกได้เหมาะสม สมดุลย์ และมีความพอดีในการไล่โทนกลิ่นแบบสไตล์น้อยแต่มากในความรู้สึกได้ดีอีกหนึ่งกลิ่น ซึ่งคนชอบโทนไม้หอมแบบนิ่งๆ มีสิทธิ์โดยตกได้สูงแน่นอน 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Tobali/Cypress-Mask-52289.html

 

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2567

Review: Zara - Zara Olfactive: Gracefully Madrid

Zara - Zara Olfactive: Gracefully Madrid

เชื่อว่ามันเป็นไปได้เพราะมันก็จะเป็นเช่นนั้น”

คำโปรยที่เป็นตราประทับให้กับ Gracefully Madrid ที่เป็น 1 ใน 8 กลิ่นของ Collection - Zara Olfactive ที่ Jo Malone (ในนามของ Jo Loves) ได้สร้างสรรค์โดยอ้างอิงเมืองต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์ Zara ในการสร้างสรรค์งานด้านแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการต่อยอดจากหลาก Collection น้ำหอมที่ Jo Malone ได้มาจับมือร่วมด้วย จนกลายเป็นกลุ่มน้ำหอมยอดนิยมที่ทั้งกวาดความชื่นชอบจากแฟนๆ ของ Zara เอง + กับแฟนๆ ของ Jo Malone เองด้วยเช่นกัน

และ Gracefully Madrid ก็เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ได้รับความนิยมสูงมากในหลายๆ ประการ เช่นนั้นมาพิจารณาเนื้อกลิ่นกันซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นเช่นไร

เปิดต้นกลิ่นมาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองที่ขวดอีกครั้งว่า “หยิบกลิ่นผิดมาฉีดหรือเปล่าหว่า?” เพราะเนื้อกลิ่นคล้ายคลึงกับกลิ่นยอดนิยมกลิ่นหนึ่งจากแบรนด์อื่น แต่ยังติดสินไม่ได้ต้องตามกันไปให้สุดก่อนที่จะฟันธงในความเห็นส่วนตัว ซึ่งในช่วงต้นความเป็น Citrus จะมาแบบกึ่งโทนสะอาดใสๆ แบบมีความฉ่ำน้ำเนียนๆ ซึ่งตัวที่โดดออกมาเลยจะเป็นมะนาว ที่มีความสแปลชฉ่ำๆ ของเลมอนผสม แต่จะมีความหวานติดส้มที่แทรกเข้ามาร่วมด้วยตลอด นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นมากคือ โทนกลิ่นจะมีความซ่าๆ Sparkling ในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้ซึ่งน่าจะมาจากมินต์ รวมถึงมีความปร่าเขียวแกมนวลหน่อยๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นช่วงต้น อารมณ์กลิ่นจะแบบกึ่งโซดาที่มีกลิ่นส้ม มะนาว มินต์ และความเขียวปร่าคลอเป็นแกนหลัก ซึ่งกลิ่นจะมีความคมพอสมควร แต่ไม่นานก็จะได้อารมณ์หวานเข้ามามากขึ้นตามลำดับ จนปรับเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงถัดไป

ช่วงกลางความหวานใสๆ จะเสริมเข้ามาแบบเต็มที่มากขึ้น โดยเนื้อกลิ่นจะยังคงพื้นฐานความปร่าอ่อนๆ และเพิ่มชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นโทนสะอาดกึ่งสดชื่นใสๆ รองพื้นอยู่ด้านหลังเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่าความคุ้นของกลิ่นก็ยังเต็มที่มากๆ แต่สิ่งที่ค่อนข้างโดดเด่นเลยคือ โทนเขียวที่แตกต่างไปจากกลิ่นที่คิดว่าคุ้นเคย นั่นคือ กลิ่นโทนเขียวเจอกุหลาบ อารมณ์แบบน้ำในแจกันกุหลาบในสไตล์ของเจอราเนียมที่โดยเกลาให้มีความสะอาด โดยที่มีความปร่าของมินต์ที่ตามมาจากช่วงต้น และมีกลิ่นออกทางหวานใสๆ ของโทนดอมไม้ขาวแกมเขียวกึ่งมะลิของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่น่าจะมีกลิ่นหวานของดอกกระถินเทศ (Mimosa) มาเสริมร่วมด้วย + มีความหวานของส้มมาด้วย เลยทำให้ช่วงกลางคือ ความหวานใสๆ ติดคม ให้ความรู้สึกโปร่ง โดยให้ความรู้สึกเป็นโทนสีฟ้าสดชื่นแกมโทนสีขาวโปร่งๆ คลออยู่ตลอด 

ช่วงท้ายเอาจริงๆ เรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากนัก แต่จะมีมาเป็น Musk เสริมเข้ามาชัดเจนมากขึ้น แต่ไม่ได้ถึงกับนวลข้นสะอาดนุ่มจัดจ้าน อารมณ์ Musk ที่น่าจะมาจากสารหอมซักอย่างที่ให้โทน Musk แบบเบาๆ มีความเป็นแป้งบางๆ ติดหวานอ่อนๆ (คาดว่าน่าจะเป็น Galaxolide) ที่ทำให้กลิ่นโทนหวานในช่วงกลางยังตรึงอยู่ไม่ได้ลดทอนลง แต่เพิ่มความนวลสะอาดเป็นพื้นหลังของกลิ่นให้ชัดเจน โดยยังคุม Concept ที่แฝงความสดชื่นบางๆ ประปรายและให้โทนกลิ่นออกทางสีฟ้าสว่างๆ แกมโทนสีขาวโปร่งๆ อยู่เช่นเดิม

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากหน่อย เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนหวานคม แต่ใสโปร่งชัดเจน แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายๆ ถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีโทนอ่อนสว่าง เช่น ฟ้าอ่อน ชมพูอ่อน ครีม หรือขาว คือเข้ากันเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่ใส่ออกกำลังกายช่วงแรกๆ ก็ดีอยู่ แต่ที่เหลือกลิ่นหวานไปหน่อย แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ออกงาน หรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นใสโปร่ง ไปเจอกลิ่นแน่นๆ ทั้งหลาย ก็โดนกลบแน่ๆ

ความทน - อันนี้คือเรื่องที่เกินคาดมากถึงมากที่สุด เพราะคาดไว้ส่วนตัวว่าไม่น่าจะเกิน 6 ชม. แต่ในความเป็นจริง เจอไปที่ 12 - 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ เลยยืนยันได้ไม่ยากว่าแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปยาวๆ จนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ คงคัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 จึงผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งกว่าจะเป็น Skin Scent ก็เล่นไปชั่วโมงที่ 12 ไปแล้ว เออ ตรงนี้ก็ไม่ธรรมดา

สรุป - ใช่กลิ่นนี้เหมือน Maison Francis Kurkdjian - Aqua Celestia มาก เรียกว่าแทบจะถอดกันมาเลย หรือถ้าวาง Position จริงๆ ก็อยู่ตรงกลางระหว่าง Aqua Celestia กับ Aqua Celestia Forte เพียงแต่มีความแตกต่างคือ ในความเป็น Gracefully Madrid จะเด่นที่ส้มกับเจอราเนียม ผสมกับดอกไม้ขาวที่ให้ความหวานคมๆ มากกว่าจะเป็น Vodka มะนาวกับความหวานดอกไม้ที่โปร่งลอยตามลมและยืนพื้นความสะอาดแบบคริสตัลเคลียร์สีฟ้าคราม เช่นนั้น เอาจริงๆ ทดแทนกันได้ไหม ถ้าไม่ได้ต้องมาแยกกลิ่นให้เยอะสิ่ง “อันนี้ได้” เพียงแต่ความรู้สึกมันจะต่างกันหน่อยตรงที่ความใส ความหวานที่ต่างโทนกันเล็กน้อย รวมถึงความหรูหราในเนื้อกลิ่นที่สู้ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า Jo Malone ทำตาม Concept ที่แบรนด์กำหนดมาด้วย ก็เลยจะยังจับสไตล์แบบที่ควรจะเจอจาก Jo Malone (แบบ Jo Loves) ได้น้อยไปหน่อยยก็เท่านั้นเอง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.com/Perfumes/Zara/zara-olfactive-n-05-gracefully-madrid

 

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567

My Favorite Newcomer Fragrances of 2023

My Favorite Newcomer Fragrances of 2023

ปี 2023 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่น่าจะเข้าช่วงอิ่มตัว เลยไม่ค่อยได้ซื้อหาน้ำหอมเท่าไหร่นัก ทำให้ตัวเลือกต่างๆ ที่จะเป็น 10 กลิ่นที่สร้างความประทับใจ ลดลงไปเยอะมาก และก็เลือกมาจนได้ แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องก็มีกลิ่นที่จำใจต้องยอมที่จะเอาออกจาก List ไปอยู่ ซึ่งก็ขอให้เครดิตโดยการระบุชื่อบางส่วนไว้ที่นี้เลย

Di-Ser - Kazehikaru, Orientica - Amber Rouge, Azzaro - Aqua Verde, 4711 - Acqua Colonia: Matcha & Frangipani, Liberta Perfume - Cha-Ba และ Sarah Jessica Parker - Stash SJP เป็นต้น

เช่นนั้นก็ขอเข้าสู่ 10 กลิ่นน้ำหอมโดยไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2023 เพียงอย่างเดียวของเข็มขัดสั้น เริ่มที่

Hugo Boss - Boss the Collection: Silk & Jasmine

สุภาพบุรุษที่อบอุ่นและมีความหวานโรแมนติคเป็นออร่าออกมาให้รับรู้ได้” ถือเป็นคำจำกัดความชัดเจนของกลิ่นนี้เลย ซึ่งส่วนตัวน้อยครั้งจริงๆ ที่จะเจอน้ำหอมกลิ่นน้ำผึ้งที่เข้ากับเคมีตัวเองได้ดี โดยไม่มีกลิ่นโทนติด Animalic เกินไปจนทำให้อึดอัด และกลิ่นนี้ก็ทำได้ดีในการผสมสานกลิ่นมะลิที่นวลๆ อวลกลิ่นน้ำผึ้งหอมหวานโปร่งแต่ไม่หนัก เพราะมีโทนปร่าเครื่องเทศเกลาไว้ และมีกลิ่นโทนอบอุ่นของวานิลลาดึงให้เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นสุขุมนุ่มลึก ที่สำคัญเป็นครั้งที่ 2 ที่เจอกลิ่นมะลิในน้ำหอมชายที่ทำได้ดีมากและมีเสน่ห์จริงๆ  

The Body Shop - Full Orange Blossom

ดอกส้มที่ให้ความเป็นธรรมชาติ สดชื่น สะอาด และผ่อนคลาย” นี่แหละคือกลิ่นที่ให้ความรู้สึกออกมายามเมื่อได้ใช้ เพราะเนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์สดชื่นไปสู่นวลสะอาดสไตล์ Soapy แบบสบู่ที่มีกลิ่นดอกส้ม แน่นอนว่าทั้ง Neroli และ Orange Blossom ต่างปล่อยของได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากเขียวเปรี้ยวหอมสดชื่นสู่ความเป็นสบู่หอมระเรื่อเปรี้ยวอมนวลหวาน ก่อนปิดด้วยกลิ่นสบายๆ ของไม้หอมแห้งๆ แกม Earthy อ่อนๆ ของหญ้าแฝกรองพื้น คลอความสะอาดที่มาแบบเรื่อๆ ไล่เรียงจากสดชื่นสู่สบายๆ ผ่อนคลายได้ลงตัว

House of Mammoth - Voices

ข้าวเหนียวมะม่วง สมูธตี้มะม่วง ไอศครีมมะม่วง หรือของหวานครีมมี่ที่มีมะม่วง” คือกลิ่นนี้เลย เพราะทุกสโตรกกลิ่นคือการถ่ายทอดเอาความเป็นมะม่วงสุกเป็นตัวตั้ง ตามด้วยกะทิ ใบเตย และข้าวเหมียวมูนหน่อยๆ ก่อนที่กลิ่นจะปรับเป็นสมูธตี้มะม่วงเข้มข้นที่มีความครีมมี่มะพร้าวกำลังดี ตามด้วยกลิ่นครีมมี่ที่มะม่วงเด่นแบบราดไซรัปมะม่วงแท้ๆ คลออยู่ในนั้น เรียกว่าใส่แล้วออร่ามะม่วงสุกชัดเสียยิ่งกว่าชัด และที่สำคัญไม่ใช่แบรนด์ไทย แต่เป็นแบรนด์อินดี้จาก USA ที่พากลิ่นนี้ชนะรางวัล 2023 The Art & Olfaction Awards - Artisan Category เสียด้วย ธรรมดาเสียที่ไหนกัน  

Stora Skuggan - Silphium

เครื่องเทศเผ็ดปร่าฟุ้งเย้า ที่มีความขรึมขลังอะโรม่าอย่างมีมิติและชั้นเชิง” บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นนี้ได้ทั้งหมด เพราะแม้ว่ากลิ่นโทนเครื่องเทศสายเผ็ดปร่าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกานพลู พริกไทยดำ ขิง ที่เสริมด้วยความเผ็ดอวลหวานของอบเชยที่พุ่งออกมาชัดเจน แต่ก็มีความอะโรม่าที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวจากกลิ่นแนวกุหลาบแกมเขียวของเจอราเนียม  เสริมด้วยความเป็นโทนอบอุ่นกึ่งไม้หอมที่มีความเป็นยางไม้ Incense เป็นฉากหลัง ทำให้กลิ่นมีมิติที่น่าค้นหาแทรกซึมอยู่ในเนื้อกลิ่นตลอด ใช่ ใส่ครั้งแรกอารมณ์กลิ่นยาที่มีเครื่องเทศมาเลย แต่กลิ่นดีมีมิติจริงจัง กด Love ให้เลย

Estée Lauder - Tender Light

ชาดำมะลิ กับบรรยากาศเย็นๆ ยามเช้าห่อล้อมรอบกาย” ซึ่งใช่เลยตั้งแต่แรกฉีดความเป็นชาดำ สไตล์ชาจีนที่อบกับมะลิจะพุ่งตรงมาทักทายจมูกก่อนใครเพื่อน ก่อนจะได้ความรู้สึกสดชื่นรายล้อมแบบรรยากาศที่มีโทน Citrus กับโทน Airy สบายๆ เข้ามาเสริม แล้วจะกลายเป็นกลิ่นชาดำที่มีลูกเอื้อนมะลิหน่อยๆ ให้ความอะโรม่าแกมหวานโปร่งแต่น่าค้นหาที่สร้างความผ่อนคลายและความสุขในการรับกลิ่นแบบชัดเจน ก่อนจะทิ้งท้ายอารมณ์แบบแป้งแกมชาดำที่คลอผิว ซึ่งบอกได้คำเดียวในการเป็นคนที่ชอบกลิ่นชาอยู่ทุนเดิมเลยว่า “ฟิน”  

imp. 7 Herbal Mint

กลิ่นแห่งความสุขที่สดชื่นและสร้างรอยยิ้ม” เพราะนี่คือกลิ่นมินต์ที่ใสกระจ่าง มีลูกเล่นการผสมผสานระหว่างสเปียร์มินต์ที่ให้ความปร่าเขียวติดหวานโปร่ง + เพพเพอร์มินต์ ที่ให้ความปร่าแน่นกว่านิดหน่อยแต่มีความ Cooling ให้จับต้องได้ เสริมด้วยกลิ่นชาและเลมอนที่ทำให้ได้อารมณ์สดชื่นเย็นๆ ของบรรยากาศยามเช้า ที่มีความ Sparkling หน่อยๆ ได้ลูกผสมแบบค็อกเทล Mojito อ่อนๆ ให้รู้สึกได้ด้วย โดยที่ Background จะเป็นไม้หอมโปร่งๆ กับ Musk นวลบางๆ สบายๆ เรียกว่าเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเดินเล่นในโซนใกล้พื้นที่สีเขียวที่อากาศสดชื่นเย็นๆ Love at 1st Sniff เต็มๆ  

Dior Sauvage Parfum 

เท่ห์ อบอุ่น และมีเสน่ห์ สไตล์ Mass ที่คุณภาพจัดเต็ม” กับ Sauvage Parfum ที่ส่วนตัวถือเป็น 1 ใน 4 ของสาย Dior Sauvage ที่ชอบที่สุด เพราะพื้นเพเดิมไม่ได้อินกับ EDT และ EDP เท่าไหร่ ส่วน Elixir อันนี้ยอมรับว่าดีมากในแง่ความเข้มข้นและกลิ่นที่มีมิติ แต่สำหรับ Parfum สิ่งที่ประทับใจเลยคือการ Balance ระหว่างโทนสดชื่นสู่ไม้หอมและโทนอบอุ่นที่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ตรงตามความเข้าใจว่าพอเป็น Parfum ต้องเข้มมากเสมอไป และที่สำคัญชอบกลิ่นนี้เพราะ Ambroxan ไม่ได้ตูมตามเยอะจนมึนนี่แหละ ใช้กันยาวๆ ก็งานนี้

Liberta Perfume - Solterra

บรรยากาศชนบทญี่ปุ่นกับทุ่งทานตะวันในฤดูร้อนยามเช้าค่อนสาย” นี่เป็นอีก 1 กลิ่นที่เป็นรักแรกดมเลย เพราะภาพบรรยากาศมาแบบเต็มๆ หลังกลิ่นฟุ้งเข้าจมูก เลยทำให้ตัดสินใจซื้อทันที และพอใช้จริง โอย ตายๆๆๆ เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและมีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นสูงมาก เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลัง แต่ให้ความสดชื่นสบายๆ ยามเช้าจากโทน Citrus ใสๆ + ดอกส้ม ก่อนจะให้ความเป็นรู้สึกของกลิ่นแบบดอกทานตะวันเวลาเราเดินริมทุ่งทานตะวัน แล้วเป็นกลิ่นสะอาดๆ เบาๆ คลอผิวกาย แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมาก แต่ “คนมันรักไปแล้ว เปลี่ยนไม่ทันซะแล้ว” ล่ะนะ

Liberta Perfume - Gin-Jo

สาเกแบบไดกินโจ ที่รสชาติโดดเด่นเข้มข้น นุ่ม หอมผลไม้ ลุ่มลึก และเพลิดเพลิน” ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นน้ำหอมขวดนี้คือสาเกแบบไดกินโจชัดๆ เพราะกลิ่นเปิดให้ความฟุ้งของนิฮงซู (สาเกญี่ปุ่น) ที่หมักหอมกำลังดีเสริมด้วยกลิ่นโทน Fruity ใสๆ ที่ทำให้รู้สึกหอมเพลิดเพลิน ตามด้วยกลิ่นที่บอกความรู้สึกแบบ Aftertaste หลังจิบสาเกที่มีความอูมามิ แล้วไล่โทนเบาลงมาเป็นหวานละมุน ก่อนเป็นกลิ่นสาเกที่ติดผิวกายอ่อนๆ แบบคนจิบสาเกมา ใช่เลย ยกนิ้วให้แบรนด์เลยที่ทำกลิ่นออกมาได้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติแบบสาเกจริงๆ ได้มากขนาดนี้ ยอดเยี่ยมมาก  

Liberta Perfume - Fructus

“Sweet November กับความหอมหวานลุ่มลึกอย่างมีมิติของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น” ซึ่งทุกอย่างของกลิ่นนี้คือสร้างภาพในหัวออกมาเลยว่าเหมือนเดินเล่นกับคนรักท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ให้ความหวานของเมเปิ้ลไซรัปที่ติดดาร์กหน่อย เลยไม่ดูหวานแหววจนดูเลี่ยนหรือน่าหมั่นไส้ แต่เป็นความหวานที่นิ่งและสุขุมมากขึ้น โดยจะมีกลิ่นใบไม้แห้งที่ติด Smoky กำลังดี และกลิ่นไม้หอมที่มีความดาร์กลุ่มลึก แต่ปลอดโปร่งและไม่หนักหน่วง แม้กลิ่นจะหวานมีเสน่ห์ แต่ก็ยังคุมโทนกลิ่นสไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่หนักเกินไป ให้ความกำลังดีและมีเสน่ห์ชวนยิ้มมากจริงๆ       

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของเข็มขัดสั้นในปี 2023 ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นอย่างมากกับการได้มาครอบครองและสร้างความสุขในการเติมเต็มสีสันของชีวิตในแต่ละวันมาเสมอ และสุดท้าย

Happy New Year ขอให้มีความสุขกับกลิ่นหอมรายล้อมรอบตัวกันตลอดทั้งปีนะครับ 😊