วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Amouage – Sunshine Woman

Amouage – Sunshine Woman

ขวดสีเหลืองนวลสว่างตาเรียกว่าสมกับชื่อรุ่นว่า Sunshine Woman ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่ง Amouage ได้ปล่อยรุ่นนี้ออกมาเมื่อปี 2015 กับการนำเสนอกลิ่นอายที่เข้าถึงง่ายกับความเป็น Oriental Floral ที่กลิ่นหอมละมุนไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้นกลิ่นจะเป็นยังไงต้องมาพิสูจน์ความสว่างของรุ่นนี้กันหน่อยแล้ว

เรียกว่ากลิ่นมีความเป็นดอกไม้นำเด่นมาก่อนเลย เพียงแต่จะมีความเป็นผลไม้และความนุ่มของวานิลลามาทำให้กลิ่นมีความนวลนุ่มจมูกมากขึ้น ซึ่งเปิดตัวที่ Top Notes อย่างกลิ่นอายหอมหวานผลไม้จากแบล็คเคอร์แรนท์จะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นดอกไม้ติดความเป็นพีชจางๆ เลยทำให้กลิ่นออกทางหวานรองพื้นด้วยความนุ่มนวลติดขนมหน่อยๆ ของอัลมอนด์ กลิ่นในช่วงนี้เรียกว่ามาสายดึงดูดทำให้เกิดความชอบกันได้เลยตั้งแต่เริ่มต้น เพราะสร้างคสามประทับใจแรกดมกันได้ง่ายดายมากสำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอมหวานติดขนมและผลไม้ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นนวลๆ หอมหวานมากขึ้นตามลำดับจนนับได้เลยว่าดอกหอมหมื่นลี้กับวานิลลาติด Smoky จางๆ นำเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่นอายจะเริ่มเป็นโทนอบอุ่นแบบสว่างๆ ติดหอมหวานมากขึ้น โดยที่อัลมอนด์จะยังตามมาสนับสนุนวานิลลาให้หอมนวลนุ่มอมหวาน และกลิ่นผลไม้ในตอนต้นจะมาเสริมให้ดอกหอมหมื่นลี้ให้ความหอมหวานโปร่งติดพีชรื่นจมูกผสมผสานโทนดอกไม้ขาวโปร่งๆ ที่มาแบบอ้อยอิ่งล้อมรอบให้รู้สึกได้ ช่วงนี้เรียกว่าเป็นไฮไลท์กันได้เลยที่เดียวเพราะโทนกลิ่นจะสว่างอมหวานแบบสีเหลืองนวลชัดเจน หอมหอมดึงดูดน่ากอดได้มากจริงๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็น Smoky บางๆ ให้พอรู้สึกได้ ซึ่งจะออกแนวสนับสนุนให้กลิ่นมีความอบอุ่นมากขึ้นเสียมาก แล้วไม่นานกลิ่นหวานยาสูบแบบโปร่งนวลจะเสริมเข้ามา ซึ่งก็ถือว่าเข้าสู่ Base Notes กันชัดเจนโดยที่กลิ่นยาสูบมาจะมาแบบโปร่งหวานกลิ่นจะยังมีความเซ็กซี่เย้ายวนอยู่ แต่ความดาร์กจะออกแนวหายไปเกือบหมด ยังพอจะรู้สึกได้ก็เพราะจะมีความเป็นโทนแห้งๆ เสริมมาจากไม้ปาปิรัสและกลิ่นติด Smoky แต่ก็เบาบางให้มิติของเนื้อกลิ่นให้มีความน่าค้นหาและซับซ้อน โดยมีกลิ่นพิมเสนที่ตัดความดิบออกมาเป็นนวลจมูกดคลอเคลียอยู่ คงอารมณ์การเป็นกลิ่นอายที่สนับสนุนกลิ่นหลักอย่างวานิลลาอัลมอนด์ที่กลั้วกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ติดผลไม้นำด้วยหอมหมื่นลี้ยังคงคุมโทนเด่นเป็นสง่าอยู่ ภาพรวมจึงถือว่าเป็นกลิ่นที่อบอุ่นหวานนุ่มสว่างให้อารมณ์สีเหลืองนวลตาที่จะจับได้ถึงความอบอุ่นเคล้าความหวานได้ลงตัวมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้อย่างสบายๆ ซึ่งกลิ่นดันเป็นโซนที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าที่คิด  ได้ทั้งความอบอุ่น หอมหวาน และหอมดึงดูดโทนสว่างนวลตา โดยไม่ได้มาสายหนักหน่วงแต่ประการใด ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการ (ที่ไม่ได้ทางการจัดๆ แบบรับแขกบ้านแขกเมือง) และทั่วๆ ไป ขอข้ามในเรื่องใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมีความหวาน เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเวียนหัวเอาได้ ยกเว่นรอช่วงท้ายสุดๆ ก่อนอันนี้พอไหว ส่วนยามคำคืนอันนี้ใส่ได้สบายๆ กับอากาศบ้านเรา ให้ความอบอุ่นน่ารักปนหอมสว่างได้ลงตัวมากจริงๆ ส่วนคุณผู้ชาย สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ ถ้ารับกลิ่นหวานหมอโปร่งดอกไม้ได้ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็น  Unisex อยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

ความทน - 8 ชม. สบายๆ สำหรับตัวนี้ เพียงแต่อาจจะบวกลบบ้างประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีแบบคงตัวในตอนต้น และยาวไป ก่อนจะลดหลั่นลงมาเป็นกระจายปานกลาง และเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - แอบแปลกใจในครั้งแรกว่า เอ๋! นี่ Amouage ใช่ไหมเนี่ย? แต่กลิ่นหอมสบายนุ่มหวานโปร่งเกินคาดมาก ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นยังมีมิติให้จับต้องได้ว่าไม่ได้มาสายขนมหรืออบอุ่นหวานจ๋าจัดๆ นัก ยังมีปล่อยของให้รู้สึกได้ถึงความเป็นแบรนด์นี้ได้อยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกลิ่นนี้ตอบโจทย์คำว่า Sunshine ได้ชัดเจนมาก ยอมให้เขาเลย

หมายเหตุ: 
1. Review
นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Amouage – Library Collection: Opus IX

Amouage – Library Collection: Opus IX

เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เรียกว่าจัดเต็มและปล่อยของกันอย่างไม่ไว้หน้าใครใดๆ ทั้งสิ้นในแง่ของการนำเสนอกลิ่นอายของดอกไม้ขาวที่มาผสมผสานกับความเป็นกลิ่นอายสาปปลุกเร้า Animalic กับการเอามาเป็นหนึ่งใน Library Collection ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2015 เช่นนั้น ตัวนี้ปล่อยของอย่างไร มาดมกันผ่านตัวหนังสือกันดีกว่ากับรุ่นที่ 6 ของการบอกเล่าเรื่องกลิ่นจากแบรนด์ Amouage อย่าง Opus IX นั่นเอง

รุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก Opera เรื่อง La Traviata ดัดแปลงมาจากเรื่อง “La dame aux Camélias แม่หญิงดอกคามิลเลีย” ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมความรักของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งกลิ่นนี้จะมีกลิ่นที่เป็นเหมือนหัวใจหลักอยู่ยั้งยืนยงและชัดเจนกันตั้งแต่ต้นเลย คือ กลิ่นของชะมดเช็ด (Civet) และมะลิ กลิ่นจะชัดต่อเนื่องแบบยาวไป โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละช่วงแต่ไม่ได้มากนัก เพราะเป็นพระเอกกับนางเอก ใครก็มาแย่งซีนไม่ได้ (เดี๋ยวมีตบว่างั้น) โดยใน Top Notes ความเป็น Animalic ของกลิ่น Civet และหนังเข้มๆ สาปดิบจะชัดเจนก็จริง แต่จะมีกลิ่นอายแบบมะลิติดตุ่ยๆ ตามธรรมชาติเคล้ากลิ่นพริกไทยดำ ฟุ้งกระจายขึ้นมาตั้งแต่ช่วงนี้ กลิ่นจะชัดแน่นจัดเต็มแบบที่คนไม่ได้ชอบโทนนี้อาจจะผงะกันได้เลย เนื้อกลิ่นถ้าอ้างอิงจากเนื้อเรื่องคงจะเปรียบราวกับองก์แรกที่จะบอกเล่าเรื่องการพบกันของพระนางที่เปรียบเสมือนความปลุกเร้าเจอกับความอ่อนหวานจนเป็นความรักที่จะฝากชีวิตกันและกันในเวลาต่อมา 

เมื่อเริ่มพัฒนาไปสู่ Middle Notes โดยที่จะมีกลิ่นของสีผึ้งติดหวานมาทำให้โทนสาปดิบกับดอกไม้ขาวนั้นลดความดิบแรงลงมา เป็นกลิ่นที่หอมหนังกลั้วดอกไม้อย่างลงตัว ที่สำคัญแอบจับได้ถึงกลิ่นอายคล้ายกุหลาบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในช่วงนี้ แต่ก็จะมีกลิ่นไม้หอมเข้มๆ มาเสริมให้กลิ่นมีมิติของความเป็น Smoky จางๆ มีความดาร์กค่อยๆ แทรกเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะผสมผสานทุกโทนได้อย่างลงตัวมากเพราะกลิ่นจะชัดทุกโทนจนกลมเป็นหนึ่งเดียวที่จะได้อารมณ์ทั้งดิบปลุกเร้า หวานนวลมีเสน่ห์ปร่าซ่าจางๆ และดาร์กเข้ม ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมตัวนี้กันอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าอิงจากเนื้อเรื่องจะบอกถึงองก์ที่ 2 ที่จะเริ่มต้นด้วยความสุขก่อนจะเกิดการแทรกแซงจนเป็นต้นตอของโศกนาฏกรรมที่ดาร์กและดำดิ่งลึกทำร้ายจิตใจ

จนเมื่อเข้าไปสู่ Base Notes กลิ่นอายความเป็น Animalic ติดเค็มของ Ambergris จะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นของ Civet ที่ความดิบจะลดทอนลงมารองพื้นด้านหลัง กลิ่นช่วงนี้จะเริ่มเป็นการผสมผสานชัดเจนแบบดอกไม้ขาวกับโทน Animalic ผสมผสานกัน จนได้กลิ่นที่มีความเป็นกลิ่นสาปผิวกายเคล้าแป้งดอกมะลิแบบ Vintage ที่อมหวานอวล โดยมีความเป็นไม้หอมแบบแห้งๆ ติดหนังบางๆ ให้รู้สึกได้อยู่ ซึ่งถ้าอิงกับเนื้อเรื่องก็จะเข้าสู่องค์สุดท้ายที่น่าจะบอกเล่าถึงโศกนาฏกรรมความรักที่ทิ้งเอาไว้แค่ความโศกเศร้าและค้างในความทรงจำ

ภาพรวมเรียกว่าเป็นน้ำหอมที่เรียกว่ามาเต็ม เอาหนัก และชัดแจ้งมากเรียกว่าสมแล้วที่มาในสายของการเป็น Library Collection ในการเล่าเรื่องผ่านน้ำหอมจนมีคาแรคเตอร์ที่เด่นมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ – Unisex ทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป หรือต้องเป็นคนที่สันทัดกรณีกับโทน Animalic กับดอกไม้ขาวพอสมควร หรือผ่านการเรียนรู้มันมาบ้าง ที่สำคัญคาแรคเตอร์ต้องชัดและเด่นพอในการนำเสนอตัวเองให้ตีคู่กับกลิ่น ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนกลิ่นกลบคาแรคเตอร์ผู้ใส่จนไร้ตัวตนไปเลยเอาได้ ซึ่งกลิ่นเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวัน แบบต้องเลือกใส่นิดนึงกับอากาศบ้านเรา ตัดทิ้งการใส่ออกไปอยู่กลางแจ้งและการออกกำลังกายได้เลย ไม่เข้าทางและพาลจะฆ่าชาวบ้านเอาได้กับกลิ่นแนวแบบนี้ ส่วนยามค่ำคืนถือว่าใส่ได้อยู่ในการไปออกงานหรือดื่มด่ำกับเรื่องราวผ่านกลิ่นในน้ำหอมตัวนี้แบบจำกัดจำนวนสเปรย์

ความทน โคตรของโคตรทนมาก เรียกว่าอาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังติดแน่นไม่ไปไหน ถ้าอิงการใช้ใน 1 วัน ได้ถึง 15 ชม.ได้สบายๆ

การกระจาย เต็ม แน่น ดีมากแบบยาวไป จะมีลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง และกระจายปานกลางในช่วงท้าย เห็นไหมมาเต็มมาชัดจริงๆ

ทิ้งท้าย ผมชอบการเล่าเรื่องของน้ำหอมตัวนี้ ผ่านแรงขับความเป็น Animalic และการไล่เรียงโทน Floral ให้มี 3 ระดับได้ดีมาก เพียงแต่สำหรับผมช่วงกลางของน้ำหอมตัวนี้คือความดีงามของการผสมผสานจริงๆ ส่วนช่วงท้ายน่ะเหรอ อ๋อยยยยยยยยยยยยยยยยย บ่ช่ายแนวตูเลย 555555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Review: Amouage – Fate Woman

Amouage – Fate Woman

Fate แปลว่าโชคชะตา ซึ่งก็ได้มาบรรจบเป็นตัวที่ 5 ของการรีวิวน้ำหอมแบบซีรีย์ของ Amouage ซึ่งเรียกว่าเป็นน้ำหอมที่เป็นตัวปล่อยของกันเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ขวด” ที่งามงดมากในการเล่นสีแบบหอยมุกที่เป็นเหลือบสีสวยงามมากมาย เช่นนั้น ก็ได้เวลาของการสื่อสารว่าโชคชะตาของฝ่ายหญิงจากแบรนด์นี้จะเป็นอย่างไร

Fate Woman ให้ความรู้สึกแบ่ง 3 โทนเด่นตามแต่ละช่วงชัดเจน แล้วจะสลับสับเปลี่ยนกันเป็นสายสนับสนุนและสายตัวเอกได้ลงตัวเลยทีเดียว โดยจะเริ่มจากความเป็น Oriental Spicy หรือมาในลักษณะเครื่องเทศโทนหวานอุ่นติดเผ็ดเด่นก่อนใน Top Notes กับกลิ่นของอบเชยนี่จะเด่นเป็นสง่าพุ่งขึ้นมาเลย แต่ช่วงนี้ไม่ได้มาสายอวลปนหวานเย้าอย่างเดียว เพราะจะมีพริกไทยกับพริกแดงมาให้ความเผ็ดโปร่งสว่าง และซิตรัสจางๆ ให้พอรู้สึกได้ว่ามีการแบ่งภาคระหว่างความสดชื่นกับความหวานอวล ที่แอบจับได้ว่ามีกลิ่นออกแนวควันไอ Smoky ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ ซึ่งกลิ่นอายในช่วงต้นจะกลายเป็นทิศทางหลักเลยที่จะอยู่แบบยาวไปสลับเป็นสายสนับสนุนที่ยังมีตัวตนให้จับต้องได้ จนเมื่อ Middle Notes มาเยือนกลิ่นจึงเริ่มมีความเป็นโทนดอกไม้เสริมเข้ามาให้มีความนวลในกลิ่นมากขึ้น ซึ่งจะตีคู่กับความเป็น Oriental ในตอนแรก กลิ่นของดอกนาร์ซิซัสที่ออกทางขื่นหน่วงปนหวานจะเริ่มเป็นตัวเอก โดยดึงกุหลาบมาด้วยทำให้เกิดความนวลติดโทนแป้งเสริมเข้ามาให้ความเด่นของกลิ่นเป็นลักษณะ Floral ที่มีความหรูหรา จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นอายของโทนธูปหอมแทรกมาเรื่อยๆ ก็จะเสริมความเป็นโทน Smoky กันชัดเจนไม่มาแบบหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว ทำให่วงนี้กลายเป็นการคาบเกี่ยวกันระหว่างดอกไม้ เครื่องเทศหวานอุ่น และ Smoky ซึ่งกลิ่นจะอยู่ระหว่างความอุ่นติดน่าค้นหามีระดับมากเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นอายเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เพราะจะมีกลิ่นอายติด Old School เข้ามา จากกลิ่นโทนหนังเคล้า Musk ที่มาแบบติด Animalic เป็นตัวรองพื้น เคล้าความอบอุ่นของแอมเบอร์และวานิลลา ซึ่งจะมี Oak Moss กับพิมเสนมาเป็นตัวทำให้ความเป็น Chypre เด่นชัดจนเป็นตัวเอกในช่วงนี้ กลิ่นจะให้ความรู้สึกมีระดับเคล้ากับความเป็นเครื่องเทศและโทนดอกไม้ที่ลงมาเป็นสายเสริมแรงให้กลิ่นมีความหวานนวลออกโทนอบอุ่นแสงสีเหลืองทองนวลตาไปตลอด ได้อารมณ์แบบสาวสูงศักดิ์แต่งกายหรูหรามีระดับและมีออร่าความสง่างามที่ดึงดูดให้ต้องหันไปมองจนได้นั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมีความหรูหราเป็นที่ตั้งก็จริง แต่ไม่ได้มีลักษณะที่เข้าถึงได้ง่ายมากนัก อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าผ่านกลิ่นอายแบบติด Classic มาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ง่ายมากขึ้นเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เน้นความหรูหราติดภูมิฐานเป็นสำคัญ ให้งดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งทุกประการไม่งั้นตีขึ้นจนแน่นตึ้บเวียนหัวเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่ออกงานหรูต่างๆ เพื่อเสริมสร้างออร่าความสง่าและภูมิฐาน แต่จะไม่เหมาะกับการไปเต้นกล้วยตานีปลายหวีเหี่ยวเด้งก้นนัก เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายลั่นล้าก๋ากั่นแต่ประการใด

ความทน เรียกตัวแม่เลยได้ไหม คือ ทนมาก อยู่ระหว่าง 12 - 15 ชม. ได้เลย ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแบบยาวไป ก่อนจะกระจายปานกลางในช่วงท้าย เมื่อพ้นซักประมาณ 10 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย กลิ่นจัดเต็มมากในความรู้สึกแบบหรูหรา สูงศักดิ์ และมีออร่าแผ่ออกมา ซึ่งตรงกับลักษณะของขวดมากที่มีแสงลักษณะแผ่เป็นเหลื่อมสีสวยงามออกมาจากโลโก้ของแบรนด์เลย ยกนิ้วให้จริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”



วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Amouage - Epic Man

Amouage - Epic Man 

รูปทรงกล่องที่ขรึมขลังเขียนด้วยตัวอักษรจีนบอกถึงคำว่Epic รวมถึงแรงบันดาลใจในการสร้างกลิ่นที่มาจากตำนานเส้นทางสายไหมจากจีนถึงดินแดนอาหรับ เพียงแค่นี้ก็เรียกว่าดึงดูดเต็มๆ ว่ากลิ่นที่ Amouage จะปล่อยของออกมานี้จะมาในลักษณะไหน ซึ่งผลที่ออกมาคือ 

Epic Man จัดเต็มอย่างมากในแง่ของการเป็นน้ำหอมที่เด่นด้วยโทนเครื่องเทศที่ปล่อยของชัดเจนเพราะเปิดช่วงต้นขึ้นมากลิ่นพริกไทยสีชมพูจะเด่นพุ่งขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นโทน Incense หรือธูปหอมยางไม้ที่เรียกว่Frankincense ให้อารมณ์ธูปเรซิ่นอุ่นๆ ที่ติดเปรี้ยวหน่อยๆ เคล้าด้วยกลิ่นหวานติดขมของหญ้าฝรั่น และกลิ่นหวานเย้าของเม็ดกระวาน ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นทีมตัวเอกที่ปล่อยของกันเต็มที่ ชัดเจน และไม่ลดราวาศอกเลย โดยในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีกลิ่น Oud และหนังรองพื้นอยู่ให้รับรู้ได้ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะยังไปมีอิทธิพลเต็มๆ ในช่วงกลาง ที่จะเริ่มเป็นกลิ่นอายแบบ Incense หรือธูปยางไม้ที่แน่นมากขึ้น มีความ Smoky ติดควันไอมากขึ้น กลิ่นจะมีความขรึมขลังแบบชัดเจน แต่ไม่ได้ออกทางดาร์กจัดๆ มีความแน่นสลับโปร่งให้รู้สึกได้ เพราะมีกลิ่นอายของดอกเจอราเนียมที่มาให้ความรู้สึกนวลติดสดชื่นแบบกุหลาบติดเปรี้ยวหน่อยๆ โดยที่ความเป็นกลิ่นเครื่องเทศโทนโปร่งยังคงเด่นตีคู่ไปตลอด ซึ่งเมื่อผ่านไปซักระยะกลิ่นไม้หอมที่นำโดย Oud จะเริ่มเด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นหนัง โดยจะมีความ Smoky จากความเป็นโทนธูปยางไม้เด่นอยู่ตีคู่กันได้ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะของความเป็นไม้หอมที่อวลกำลังดีออกทางแห้งๆ เคล้ากับกลิ่นนุ่มๆ ของไม้จันทน์หอมที่เกลาจนกลิ่นนวลจมูก เลยทำให้ได้กลิ่นอายที่หรูหราและมีระดับมากในแง่ของการปล่อยความเป็นไม้หอมออกมาอย่างสมดุลย์ โดยมีกลิ่นพิมเสนล้อมให้มีความนวลเคล้ากับกลิ่นหนังที่เข้มข้น แต่ไม่ได้มีความเป็น Animalic จัดๆ นัก เพราะกลิ่นเครื่องเทศยังมีอยู่เบาๆ ให้กลิ่นมีมิติที่ซับซ้อนผสมผสานกันไปตลอดนั่นเอง ซึ่งภาพรวมเปรียบเสมือนการเล่าเรื่องของกลิ่นที่เริ่มจากการเดินทางจากจีนผ่านกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ต่อด้วยระหว่างทางที่เริ่มผสมผสานความเป็นเครื่องเทศกับกลิ่นธูปและไม้หอม และปิดท้ายด้วยการถึงที่หมายในดินแดนอาหรับที่ชัดเจนกับการเป็นโทนไม้หอมติดแห้งหรูหรานวลจมูกนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป และต้องผ่านน้ำหอมแนวเครื่องเทศกับ Oud มาในระยะหนึ่ง จะสามารถเข้าถึงกลิ่นนี้และจับต้องเสน่ห์ที่ซับซ้อนและมีมิติความภูมิฐานของกลิ่นได้เร็วมากขึ้น โดยกลิ่นนี้คาแรคเตอร์ของกลิ่นจะเด่นมากในแง่ของการส่งต่อมิติของกลิ่นรวมถึงการเล่าเรื่องราว ซึ่งอาจจะทำให้กลบคาแรคเตอร์ของผู้สวมใส่ได้ อยู่ที่การนำเสนอตัวเองที่จMix & Match ของตัวผู่ใส่ล้วนๆ เลย สามารถใช้ได้ทั้งยามทางการทุกกรณี เพราะกลิ่นสร้างความภูมิฐานและความมีระดับมากมาย ไม่ใช่ไก่กาที่ไหนมา Try to Be เลย ส่วนในยามทั่วๆ ไปก็ใส่ได้ แต่จะทำให้เกิดความรู้สึกขรึมขลังมีระดับแทน และกลิ่นไม่ได้ดูชิลล์นักจึงควรข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายหรืออยู่กลางแจ้งไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนสามารถจัดได้สบายๆ กับการออกงานหรูทุกประเภท ส่วนถ้าจะใส่ไปแดนซ์ตามผับ กลิ่นแม้จะสู้ชาวบ้านเขาได้ แต่ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ที่พร้อมจะเมาปลื้นหรือสีหญิงนัก แม้กลิ่นอาจจะมีโทนเย้ายวนผสมผสานบ้างก็ตาม 

ความทน - กลิ่นทนจัดมากกกกก ข้ามวันเลยจ้าาาา ซึ่งยังไงก็เกิน 8 ชม. แน่ๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีและมาเต็มชัดในช่วงต้น แบบไม่ลดราวาศอกเลย แล้วจึงลดลงมาเป็นกระจายดีแบบยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย จึงค่อนลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปจนกว่าจะอาบน้ำ ซึ่งก็ยังติดผิวจางๆ จนถึงอีกวันใหม่ได้เลย จึงควรจะต้องจำกัดสำนวนสเปรย์นิดนึงไม่งั้นจุกคอหอยตายเอาได้ 

ทิ้งท้าย - Epic ก็คงความเป็น Epic ที่ชัดเจนปล่อยของและน่าจดจำ ซึ่งยกนิ้วให้เลยว่านี่คือหนึ่งใน Masterpiece ของ Amouage ที่ทำกลิ่นออกมาได้มีคุณภาพและปล่อยของทุกเม็ดได้เฉียบคมจริงๆ แม้ในปัจจุบันมีการปรับสูตรไปบ้าง อาจจะลดความเข้มบางส่วนลงมา แต่ก็ยังคงความดีงามอยู่ตามการเป็น Epic Man ที่ควรจะเป็น 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit ภาพ - http://www.kafkaesqueblog.com/wp-content/uploads/2015/05/Epic-Mens-__-100-ml.jpg  Source: Twisted Lily

Review: Amouage – Reflection Woman

Amouage – Reflection Woman

Reflection เป็นอีกหนึ่งรุ่นน้ำหอมที่เรียกว่าอยู่ในโซน Light ของแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ไม่ว่าทั้งรุ่นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งได้ผ่านการบอกเล่าในส่วนของฝั่งผู้ชายไปเมื่อนานมาแล้ว เช่นนั้น จึงได้เวลาของฝ่ายหญิงว่า Amouage จะทำออกมาในลักษณะไหนและเป็นเช่นไรกันบ้าง

เดิมทีไม่เคยได้มีโอกาสลองน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นี้เลย เพราะในช่วงเข้าสู่การสะสมน้ำหอมใหม่ๆ ยังไม่ได้ผ่านการดมอะไรมากนัก พอได้ลองดมผ่านๆ ไปบ้าง เลยเกิดความกลัวอะไรหนักๆ หนักของแบรนด์นี้ ไม่น้อย แต่พอได้ผ่านมาจุดหนึ่งมาเจอ Reflection Woman เรียกว่ามาในแนวที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ และรู้สึกว่าเราได้พลาดไป เพราะกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้มาได้แบบดอกไม้ที่กลั้วความเขียวธรรมชาติ ไม่ได้มีความเป็นสายปล่อยพลังแต่ประการใด โดยจะเริ่มจาก Top Notes ที่กลิ่นอายเขียวสดชื่นติดกลิ่นดอกไม้ที่ติดพริกไทยหน่อยๆ ของดอกฟรีเซีย เลยจะได้ลักษณะของความเขียวสดชื่นแบบดอกไม้ต้องน้ำค้างยามเช้าอยู่พอสมควร ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นดอกไวโอเล็ตที่มาเสริมทีละนิดในลักษณะโทนแป้งเขียวโปร่งๆ จนเข้าสู่ Middle Notes ที่จะชัดเจนเลยกับการเป็นโทนแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ ตามธรรมชาติ มีความเขียวที่ตามมาจากตอนต้นเจือไปด้วยตลอด กลิ่นจะหอมอ้อยอิ่งสดชื่นอมหวานจางๆ จากดอกแมกโนเลียและมะลิ เรียกว่าตอนนี้เป็นช่วงที่หอมดอกไม้แบบสดชื่นมีระดับ ไม่หนักข้นจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สีขาวเดินได้แต่อย่างใด กลิ่นในช่วงนี้จะให้ความอ้อยอิ่ง สดชื่น และนวลจมูกแบบดอกไม้อ่อนๆ ลอยมาตามลมตลอดเลย แล้วกลิ่นจะเริ่มอบอุ่นขึ้นมาในระดับหนึ่งนำเข้าสู่ Base Notes ที่จะมีความเป็นโทนไม้หอมอ่อนๆ มีความอบอุ่นกำลังดีแบบหอมนุ่มแบบสบายๆ เสริมเข้ามา เนื้อกลิ่นมีความสะอาดติดหวานอมเขียวเบาๆ ที่มาจากโทนดอกไม้ธรรมชาติของช่วงกลาง เลยทำให้กลิ่นจะออกแนวแบบผิวกายทาแป้งหอมสะอาด มีความอบอุ่นเจือๆ ไปตลอด ราวกับดอกไม้ยามเช้ามืดที่ยังไม่บานชุ่มน้ำค้าง ตามด้วยดอกไม้บานปล่อยกลิ่นยามเช้า และเข้าสู่ยามสายที่จะมีความอบอุ่นเคล้าไปด้วยตลอดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว ถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ใช้ง่ายและมีความเป็นธรรมชาติแบบดอกไม้สดชื่นลอยมาตามลมสูงมาก โดยที่คนได้กลิ่นมักไม่ยี้ จึงเหมาะกับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบได้หมดถ้าสดชื่น ทั้งทางการและไม่ทางการ เพียงแต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายก็พอได้ (แต่เปลืองไปไหม) ส่วนยามค่ำคืนเน้นลักษณะแบบออกงาน หรือแบบเดินเล่นห้าง หรือดินเนอร์จะดีกว่า กลิ่นน่ารักและมีระดับเลยทีเดียว ส่วนคุณผู้ชายตัวนี้มาสามารถใส่ได้สบายๆ เลย เพราะว่ากลิ่นมาสายธรรมชาติพอสมควร เลยจะไม่ได้สาวจ๋ามากขนาดที่ใส่แล้วต้องแต่งหญิง แต่จะให้ความอ่อนโยนเข้ามาแทนนั่นแล

ความทน อยู่ที่ประมาณ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะเป็นออร่ากึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย ลดหลั่นลงไปตามเวลา

ทิ้งท้าย ประทับใจ บอกกันเลยตรงนี้ เพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ที่คุณภาพดีงามและลงตัวมาก แบบที่เหมือนได้เห็นอีกมุมหนึ่งของ Amouage ที่ทำให้เรามีความรื่นรมย์และผ่อนคลาย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Amouage – Library Collection: Opus VII

Amouage – Library Collection: Opus VII

เมื่อ Amouage ได้มีไลน์ Library Collection เกิดขึ้นมา แม้จะผ่านการดมแบบผ่านๆ มาก่อน แต่ส่วนตัวก็ไม่เคยได้ลองเต็มๆ เลยนอกจากรุ่น Opus X ที่ได้เปิดตัวล่าสุดเมื่อประมาณต้นปี 2016 ที่ได้ขวดเต็มมาให้ฟินและบอกเล่าไปแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงได้มาลองตัวอื่นๆ ดูบ้างว่าจะออกมาในลักษณะไหน จึงขอนำมารุ่นหนึ่งในไลน์นี้มาเป็นตัวที่ 2 ของ Amouage ในการบอกเล่าแบรนด์เดียวไม่เสียวกับแบรนด์อื่น นั่นคือ Opus VII 

กลิ่นเรียกว่ามาสายเข้มข้นกันเลยทีเดียวเพราะจะจัดเต็มในเรื่องเครื่องเทศ ควันไอ หนัง ไม้หอม และความเขียวเข้มผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมาก เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบหนักเว่อร์ โดยกลิ่นอายจะเริ่มต้นที่การเปิดตัวของความเขียวเข้มข้นแบบยางไม้กลั้วไปกับเครื่องเทศโทนเผ็ดอมหวานของพริกไทยสีชมพู เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมกลั้วหนังเข้มๆ รองพื้นให้รู้สึกได้กันตั้งแต่ช่วงนี้เลย ซึ่งกลิ่นจะมาชัดเจนจัดเต็มแบบไม้แห้งเผ็ดๆ แต่ข้นดาร์กกับกลิ่นอายของหนังกันก่อน แล้วจึงเปลี่ยนถ่ายมาสู่ช่วงกลางที่จะเริ่มมีความหวานเย้าเคล้าความนุ่มออกโทนไม้หอม ท่ามกลางความเป็นเครื่องเทศอย่างเม็ดกระวานและเม็ดจันทน์เทศที่จะโดดเด่นตีคู่กับ Oud ซึ่งจะไม่ได้มาแบบอวลแบบน้ำมันสกัด แต่จะมาแบบอวลติดแห้งๆ ซึ่งจะมีไม้จันทน์หอมที่มาแบบดิบๆ เคล้าให้เกิดความเท่ห์ มีภูมิ ซึ่งก็มาเสริมกับความดิบของหนังที่มีความเป็น Animalic หน่อยๆ ให้รู้สึก Dirty หน่อยๆ โดยยังคุมโทนอยู่ชัดเจนเคล้ากับกลิ่นของยางไม้ติดเปรี้ยวนิดๆ อย่าง Frankincense ที่จะเสริมเข้ามาสร้างความดาร์กและน่าค้นหามากเข้าไปอีก เรียกว่ากลิ่นในช่วงนี้คือการผสานความดีงามของ Oud เครื่องเทศ ยางไม้ และหนังเข้มดิบได้ลงตัวและมีพลังมาก จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นจะเริ่มลดทอนลงมา โดยที่ความเป็น Animalic แบบสาปปลุกเร้าจะนวลๆ ติดผิว แต่กลิ่นที่ on Top จะเป็น Oud และกลิ่นไม้หอม กลั้วหนังและยางไม้ติด Smoky โดยมีพิมเสนมาคลอเคลียให้ความรู้สึกน่าค้นหาและมีความเป็นโทนเขียวเข้มติดดาร์กให้รู้สึกได้อยู่ ภาพรวมจึงเป็นเหมือนเรื่องราวที่มีความ Strong ในความดาร์กแต่ไม่ดิ่งลึก มีมิติของการดึงดูดให้เข้าไปทำความรู้จักโทนกลิ่นต่างๆ ที่ดิบแต่เร้าใจในความรู้สึกที่เข้มข้นของกลิ่นอายต่างๆ ที่ไล่เรียงปล่อยของกันจนถึงปลายทางอันน่าประทับใจเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้เป็น Unisex ก็จริง แต่มีความแมนในเนื้อกลิ่นค่อนข้างชัดมาถึง 70% ได้เลย กับความดาร์กของหนังเข้มและไม้หอม ซึ่งกลิ่นนี้คนที่จะเล่นอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นหนัง Oud และเครื่องเทศมาในระดับหนึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในมิติและอารมณ์ที่ดาร์ก ดิบ แต่ดึงให้เราหลงเสน่ห์ของมันได้มากเลยทีเดียว โดยกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะกลิ่นมาแน่นเลย แม้จะออกโปร่งผสมผสานบ้างก็ตามที โดยสามารถใส่ในงานทางการได้ หรือใส่ทั่วๆ ไปที่เน้นความมีภูมิและน่าค้นหา งดใส่เพื่อออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกายเพราะเดี๋ยวจะทำให้ชาวบ้านเวียนเศียรกันได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้ตอบสนองจมูกคนไทยที่ไม่ชินกับกลิ่นแนวนี้มากนัก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้มีเสน่ห์มากกับอากาศเย็นๆ และการใส่เพื่อให้เกิดความลึกลับน่าค้นหานั่นเอง 

ความทน ลุกขึ้นปรบมือให้ไม่หยุดเอาได้เลย เพราะสิ่งที่เจอมาคือ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และชัดเจนกับจำนวนสเปรย์เพียง 4 สเปรย์ 

การกระจาย ตัวนี้ถือเป็น Sillage Scent ที่การกระจายดีและการตีขึ้นให้คนใส่รับรู้ การกระจายจึงดีงามมากในช่วงต้น ชัดเจน ฟุ้งกระจายเต็มสถานที่ฉีด แล้วจะลดลงมากระจายดีแบบยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ พอพ้นซักประมาณ 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบกึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่าเพียวๆ ชัดเจนเมื่อราวๆ 12 ชม. 

ทิ้งท้าย เรียกว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้ผมต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นไปตลอด เพราะมีความซับซ้อน มีความดิบแต่น่าค้นหาและสัมผัสให้รับรู้ว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างไรในช่วงนั้นๆ ท่ามกลางความคุมโทนดาร์กไปตลอด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวที่เป็นตัว Top ของไลน์นี้เลยในแง่กลิ่นที่ทำออกมาได้ดีงามและน่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://www.punmiris.com/himg/o.19973.jpg

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Amouage – Journey Man

Amouage – Journey Man

เข้าสู่การรีวิวน้ำหอมแบบเป็นซีรีย์แบรนด์เดียวไม่ไปเสียวกับแบรนด์อื่น โดยมาที่แบรนด์ชื่อดังจากประเทศโอมานที่สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาได้งามและมีมิติมาก ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ปล่อยของและจัดเต็มได้อย่างน่าดูชมเลยทีเดียว นั่นคิอ Amouageเช่นนั้นก็ได้เวลาเดินทางเข้าสู่ตัวแรกของการเล่ากลิ่นกันเลยกับรุ่น Journey Man

เป็นอีกหนึ่งตัวที่ Amouageได้ปล่อยของออกมาด้วยการนำเอาโทนเครื่องเทศแบบเผ็ดๆ มาผสมผสานกับใบยาสูบที่ทั้งเท่ห์และมาดแมนเลยทีเดียวกับขวดสีแดงตัดกับสีทองเตะตาเต็มๆแถมกลิ่นที่ได้รับจะเปลี่ยนแปลงแบบทีละนิดๆ เลยจะทำให้ได้ความรู้สึกต่อเนื่องกันในแต่ละช่วงน้ำหอมได้ดี ซึ่งกลิ่นจะเริ่มต้นที่ความเผ็ดปร่าสดชื่นแต่เข้มข้นของพริกไทยเสฉวน (กลิ่นจะเผ็ดร้อนกว่าพริกไทยปกติ) โดยจะมีความเป็นเครื่องเทศโทนหวานเย้าโปร่งของเม็ดกระวานเป็นช่วงเสริม และมีความเป็น Citrus ของดอกส้มกับมะกรูดที่มาให้มิติของความสดชื่นแบบกำลังดี แต่ความเป็นเครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าแบบแมนๆ จะคุมโทนชัดเจน ซึ่งในช่วงนี้จะจับได้ชัดเจนถึงความหวานเย้าติดโทนไม้หอมรองพื้นให้กลิ่นมีความอวลอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และเมื่อผันเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเย้ายวนติดโทนเท่ห์แมนจชัดเจนออกมานั่นคือ ใบยาสูบที่จะกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับกลิ่นของความเป็นเครื่องเทศที่ยังคงตามมาอยู่ โดยที่จะมีโทน Incense ติดธูปไม้หอมเคล้าเข้ามาจนทำให้เป็นเหมือนกลิ่นยาสูบหวานสลับกับความเป็นควันไอไม้ แล้วล้อมไปด้วยกลิ่นอายแบบเผ็ดนวลที่เริ่มมีความนุ่มมากขึ้น แบบผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและมีเสน่ห์เท่ห์แมนติดขรึมมีภูมิอย่างชัดเจน เพียงไม่นานกลิ่นอายติดครีมมี่เบาๆ และความเป็นไม้หอมจะเริ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นยาสูบติดเครื่องเทศจะยังคงอยู่แบบเป็นสายสนับสนุนที่รับรู้ได้ว่าไม่ได้หนีไปไหน แต่จะมีความเป็นไม้หอมติดโทนนุ่มของหนังที่มีกลิ่นอายไม้หอมของปาปิรัสที่มาลักษณะแบบไม้แห้งติดเผ็ดจางๆ ช่วงนี้เลยจะได้อารมณ์ของการเป็นกลิ่นอายหนังที่ล้อมด้วยไม้หอมติดเผ็ดและใบยาสูบที่หวานนวลครีมมี่ มีความซับซ้อนที่มีมิติของกลิ่นแต่ละอย่างให้รู้สึกไม่พอ ยังผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมีระดับและหรูหราแบบไม่เหมือนใครด้วย โดยคงความมีภูมิและมีเสน่ห์แบบเท่ห์ๆ ให้ความรู้สึกแมนๆ แบบมีชั้นเชิงและ Unique  เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะต้องผ่านน้ำหอมที่มีกลิ่นอายยาสูบและไม้หอมติดโทนแห้งๆ รวมถึงเครื่องเทศที่มีความเผ็ดปร่ามาบ้างจะเข้าถึงได้เร็วมากขึ้น ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นยามทางการหรือทั่วๆ ไป เพียงแต่กลิ่นจะเน้นสร้างความรู้สึกที่แมนมาดขรึมภูมิฐานให้ผู้สวมใส่เลยทีเดียว แม้กลิ่นจะไม่ได้มาสายแน่นจัดๆ ก็จริงแต่ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปลั่นล้าโดนหนังยางหรือเล่นกีฬานัก ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้เข้ากับการออกงานหรือหรือแนวๆ โรแมนติคสร้างความรู้สึกอบอุ่นแบบผู้ชายเท่ห์ๆ ได้มากเลย แม้ว่าจะใส่ไปท่องราตรีได้อยู่ แต่อาจจะเสียลุคเอาได้ถ้าใส่ตัวนี้ไปแล้วเต้น 300 แรงม้าสะโพกเด้ง

ความทน - เรียกว่าต้องยกให้เขาเลย เพราะว่า 8 ชม. แล้วกลิ่นยังให้ความดีงามอยู่เสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งกลิ่นสามารถลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้โดยอิงที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ

การกระจาย
- กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแบบยาวไปจนถึงปลายๆ ช่วงท้ายบนพื้นฐานที่ไม่ได้แน่นข้นอวลจัดๆ นัก ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ หลังพ้นประมาณ 12 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ ส่วนตัวมองข้ามตัวนี้ไปพอสมควร เพราะกลัวความหนัก แต่ก็แอบตามหากลิ่นยาสูบดีๆ ของแบรนด์นี้มาทดลองอยู่ไม่น้อย ซึ่งพอได้ลองจริงมันดีงามมากเลยทีเดียวโดยที่ไม่ได้มาสายแน่นหนักแต่ประการใด แถมสร้างคาแรคเตอร์ที่มีความขรึมขลังได้ลงตัวมาก ถ้าจะบอกว่ามันคือจุดเริ่มต้นในการก้าวเดินสู่หนทางใหม่ๆ ของแบรนด์นี้ก็คงจะไม่ได้ผิดแผกเกินไปนัก

หมายเหตุ: 
1. Review
นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Zoologist - Hummingbird

Zoologist - Hummingbird 

ได้เวลาของความเป็นกลิ่นอายน้ำหอมที่จะสื่อสารถึงความเป็นลักษณะของสัตว์ประเภทนั้นๆ กับ Zoologist อีกแล้ว ซึ่งมาในครั้งนี้ก็ได้เวลาของการส่งต่อความหอมกับความน่ารักแต่มั่นคง และหนึ่งในนกที่มีพรสวรรค์อย่างมากที่แม้จะตัวน้อยแต่พละกำลังมาเต็มจริงๆ นั่นคือ Hummingbird 

ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ทำออกมาได้ดีมากไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารถึงสภาพแวดล้อมที่นกชิดนี้ควรจะอยู่ รวมถึงการบอกถึงความอ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอในเนื้อกลิ่นได้อย่างชัดเจน เพราะจะเปิดตัวด้วกลิ่นอายของผลไม้ติดโทนหวานหอมไม่ว่าจะเป็นเชอร์รี่ ลูกแพร์ ลูกพลัม และแอปเปิ้ลเขียว ที่จะมีความเป็นซิตรัสบางๆ เสริมเข้ามา และมีความเป็นดอกไม้หอมอ่อนๆ แบบดอกไม้บานเคล้าความเขียวโปร่งยามเช้ายามเช้า ไม่มาข้นแน่นแต่ประการใด ทำให้กลิ่นอายช่วงนี้จะเป็นแนวกลิ่นผลไม้รวมที่หอมตามธรรมชาติ ซึ่งกลิ่นลูกแพร์กับเชอร์รี่จะมีความน่ารักและโดดเด่นออกมาเลยที่เดียว รองพื้นด้วยกลิ่นดอกไม้ติดเขียวโปร่งสบายจมูก โดยจะสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นจะหวานโปร่งและที่สำคัญจะรู้สึกได้เลยว่ามีกลิ่นน้ำผึ้งค่อยๆ แทรกขึ้นมาจนนำเข้าสู่ช่วงกลาง ที่กลิ่นผลไม้ต่างๆ จะยังคงอยู่ แต่จะลดทอนลงมาให้กลิ่นหวานโปร่งหอมใสของน้ำผึ้ง เด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นแนวดอกไม้ที่มาแบบโปร่งติดสดชื่น ไม่ข้นหนักอย่างดอกสายน้ำผึ้ง เนื้อกลิ่นมีกระดังงาหอมนวลเย้าและกลิ่นหอมเขียวโปร่งของดอกกระถิน (Mimosa) ได้ความรู้สึกแบบหอมหวานโปร่งธรรมชาติแบบน้ำหวานในเกสรดอกไม้ ผสมกับกลิ่นน้ำผึ้งที่อะโรม่าหวานเบาแต่ชัดเจน และน้ำผึ้งติดโทนดอกไม้นี่แหละจะเป็นตัวที่เด่นลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย โดยจะไม่ผสมผสานกับกลิ่นแนวครีมมี่อบอุ่นที่แทรกขึ้นมาเรื่อยๆ โดยจะมีกลิ่นของ Musk เป็นตัวเด่นนำเคล้ากลิ่นอายแบบครีมๆ นวลๆ เป็นตัวรองพื้นอยู่ ได้ความหวานติดครีม แต่โปร่งไม่ข้นหนัก และจะมีกลิ่นอายเขียวๆ สากๆ หน่อยๆ ที่มาจาก Oak Moss จางๆ และกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ให้ยังคงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เคล้าความหวานใสชัดเจนมั่นคงอยู่ตลอด ภาพรวมจึงได้อารมณ์เหมือนยามเช้าที่นักออกหากิน ดูดน้ำหวานเกสรดอกไม้ (น้ำต้อย) และพักบนกิ่งไม้สะอาดมองธรรมชาติที่เริ่มมีอบอุ่นกับปุยเมฆสีออกครีมยามต้องแสงแดดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไป ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีความหอมหวานติดธรรมชาติที่เข้าถึงได้ง่ายมาก ที่สำคัญมีความหรูหรามีระดับในเนื้อกลิ่นสูงมากเสียด้วย จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ กลิ่นครอบจักรวาลพอสมควร ออกกลางแจ้งก็ได้เลย แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมันหวานอยู่ อาจจะทำให้คนอื่นงง ตกลงมาเพื่อสุขภาพหรือมาเดินงานกาล่ากลางวันเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายๆ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนมากนัก แต่จะได้อารมณ์ผู้ดีหอมหวานอ่อนโยนแต่มั่นคงในความโปร่งมีระดับเสียมากกว่านั่นเอง อ้อ ผู้ชายใช้กลิ่นนี้ได้อยู่ มัน Unisex บ้าง แต่กลิ่นดีจริงๆ จนอาจจะทำให้ลืมไปเลยว่าใส่น้ำหอมหลิ่นหวานโปร่งและไม่แคร์ว่าใครจะค่อนขอดแต่ประการใด ก็หอมนี่นา 

ความทน - ยกนิ้วให้เลยกับความเป็น EDP เข้มข้น ทีแม้กลิ่นจะโปร่งใสหวาน แต่ชัดเจนมั่นคงและทนทานเกิ8 ชม. ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ไม่หนัก ไม่บาด หอมรื่นรมย์มากมาย แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนปิดท้ายแบบกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ จากใจ แม้ว่าผมเองจะไม่ใช่สายน้ำหอมผู้หญิงนัก แต่นี่คือหนึ่งใน Masterpiece ของ Zoologist เลยที่ทำกลิ่นออกมาได้ธรรมชาติในสภาพแวดล้อมของ Hummingbird ไม่พอ ยังสื่อสารถึงความอ่อนโยนแต่มั่นคง โดยมีความหวานละมุนแบบผู้ดีควบคู่กันไปได้ดีงามมากจริง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://4.bp.blogspot.com/-P9sAtP_iDnU/Vp8SGfs0uEI/AAAAAAAAGw0/1Z1Ah7c0Uow/s1600/Hummingbird-scene_grande.jpg

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Bond No.9 – Chez Bond

Bond No.9 – Chez Bond

กลับมาสู่การ Tribute มหานคร New York กันต่อกับแบรนด์ Bond No.9 ที่คราวนี้จะมาว่ากันด้วยเรื่องราวของน้ำหอมผู้ชายที่เล่าเรื่องราวย่านใจกลางเมืองของ New York แบบภาพรวมบ้าง กลิ่นจะมาในลักษณะไหนและสื่อสารออกมาอย่างไร รวมถึงที่ได้ผ่านแบบหนาตาไม่น้อยว่า กลิ่นมีความคล้ายคลึงรุ่นดังมากของ Creed อยู่รุ่นหนึ่ง เช่นนั้นต้องมาลองกันหน่อยซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Chez Bond

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นโทน Citrus ผสมผสานกับกลิ่นอายเขียวแบบสดชื่นสว่างแต่มีความหวานโปร่งนวลแทรกจากใบไวโอเล็ตให้รู้สึกได้ แต่จะจับได้เลยถึงความเป็นโทนไม้หอมที่รองพื้นอยู่ด้านหลัง ในเนื้อกลิ่นช่วงต้นเรียกว่ามากันเต็มๆ ได้ความแมนติดสดชื่น มีความหรูหราและมีความแมนแบบไม่ได้มาสาย Old School แต่อย่างใด ซึ่งมีความทันสมัยสูงมาก ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นจะเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเขียวนวลอมหวานของใบไวโอเล็ตจะชัดเจนมากขึ้นซึ่งจะแฝงโทนเย้ายวนแบบไม่ได้โจ่งแจ้งมากนัก โดยที่ความเป็น Citrus ติดเขียวสดชื่นในช่วงต้นจะยังตามมาอยู่ เพียงแต่ว่าในเนื้อกลิ่นตอนนี้จะมีความเป็นสมุนไพรติดเขียว และมีกลิ่นชาเขียวมาทำให้ดูมีระดับมากขึ้น รวมถึงกลิ่นไม้หอมเริ่มจะชัดเจนจนจับได้ถึงความเป็นไม้จันทน์หอม ซึ่งจะพัฒนาเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีภูมิและมีระดับมากขึ้น โดยที่ไม่ทิ้งความสดชื่นไปไหน กลิ่นจะยังคงตัวลากยาวไปเรื่อยจนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายความเป็นไม้หอมที่มีความอบอุ่นเบาๆ ของไม้จันทน์หอมจะมีความขรึมนวลของหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์มาเสริม โดยที่กลิ่นโทนเขียวสดชื่นติดหวานยังคงอยู่แต่จะผันตัวลงมาเป็นสายสนับสนุนนั่นเอง ภาพรวมเรียกว่ามีความคล้ายรุ่นไหนของ Creed จะต้องบอกกันว่าถ้าดมเพียงผิวเผินมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ Green Irish Tweed เท่าไหร่นัก แต่ถ้าลงลึกการใช้งานและจับโทนกันจริงๆ สิ่งที่แตกต่างเลยนั่นตามการเปรียบเทียบด้านล่าง คือ

- Green Irish Tweed จะมีความนวลและติดโทนแป้งเขียวสดชื่น พร้อมกับความนุ่มนวลหรูจาก Ambergris ที่คุมโทนความหรูหรามีระดับชัดเจน
- Chez Bond ไม่มีความเป็นโทนแป้งแต่จะเน้นความสดชื่นติดนวลเขียวหวานของใบไวโอเล็ตและกลิ่นไม้จันทน์หอมจะชัดเจนมีความเป็นWoody ที่คมมากกว่า Creed

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว กลิ่นมีความเป็นสุภาพบุรุษที่เข้าถึงได้ง่าย และมีระดับไปในตัวด้วย ซึ่งเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นสามารถใช้งานแบบออกกลางแจ้งได้ แต่ถ้าจะออกกำลังกาย อาจจะรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะความเข้มข้นของน้ำหอมก็สูงอยู่ เดี๋ยวจะมึนเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมาก ไม่ว่าจะออกงานหรือพักผ่อนชิลล์ๆ กับอากาศบ้านเรากลิ่นลงตัวเลย แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อเที่ยวกลางคืนก็ได้อยู่ กลิ่นสู้เขาได้ แต่อาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนโจ่งแจ้งเน้นสดชื่นติดเขียวนวลมากกว่าก็เท่านั้นเอง

ความทน - เรียกว่า 8 ชม. เป็นพื้นฐานเลย แถมกลิ่นทนมากกว่านั้นด้วยอิงจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดส่วนตัวเจอความทนของตัวนี้ไปที่ 12 ชม. กับ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อด้านหน้า

การกระจาย - ตัวนี้มาสาย Sillage Scent ที่กระจายดีไม่พอ ยังตีขึ้นให้คนใส่รับรู้ได้ดีตลอดด้วย โดยช่วงต้นจะกระจายดีมาก แล้วลดลงเป็นกระจายดีแบบยาวไป มีช่วงท้ายที่พอผ่านราวๆ 10 ชม. แล้วจะกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทำออกมาได้ดี แม้จะมีความคล้ายคลึงจนจับมารวมกลุ่มกันได้ก็จริง แต่มันก็มีความต่างอยู่ให้รู้สึกได้ เช่นนั้นอยู่ที่ความชอบของคนที่จะใช้เน้นๆ เลยว่าจะเอา Creed หรือ Bond No.9

หมายเหตุ: 
1. Review
นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”



วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Review: Natural Teller – Period of Time

Natural Teller – Period of Time

เมื่อได้เปิดศักราชการบอกเล่าถึงน้ำหอม Niche แบรนด์ไทยเน้นสายอาร์ตอย่าง Natural Teller ในรุ่น Under the Rain ไปแล้ว ก็ได้เวลาของรุ่นต่อไปบ้างว่าศิลปะการเล่าเรื่องผ่านน้ำหอมของรุ่นนี้จะออกมาในรูปแบบไหน และจะสื่อสารผ่านกลิ่นออกมาด้วยลักษณะใด

มองจากภาพวาดบนกล่องถือเป็นการเล่าเรื่องกันก่อนที่จะเริ่มฉีดน้ำหอมได้เลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะต้องมีลักษณะที่ทำให้เรารำลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านไปและการจากลาเป็นแน่แท้ พอเริ่มฉีดกลิ่นแรกที่มาทักทายกันก่อนเลยกลิ่นอายของ Iris ซึ่งจะตีคู่กับกับกลิ่นของหัว Orris ที่เป็นเหง้าใต้ดินของต้นไอริส กลิ่นที่ได้จะมีความทึบก็จริง แต่จะรู้สึกได้ถึงความติดฉ่ำจางๆ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางหัวเหง้าใต้ดินแบบอับชื้น เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีวูบของความเป็นผลไม้อมหวานแห้งๆ ให้รู้สึกได้อยู่ กลิ่นในช่วงนี้จะมีความชัดเจนมาก และกลิ่นโทน Iris กับ Orris จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลยทีเดียว โดยเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มเป็นช่วงความเข้มกับความนิ่งที่จะเริ่มเข้ามาหากันทีละน้อยจนเป็นหนึ่งเดียว เพราะความเข้มในตอนแรกจะลดลงมากำลังดีให้อารมณ์ความเป็น Iris ที่มีความเป็นแป้งก็จริง แต่จะมีกลิ่นออกทางโทน Incense ที่เป็นธูปยางไม้เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นเริ่มมีความนิ่งและสุขุมมากขึ้น เลยจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นที่โปร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นโทน Iris กับ Orris จะเบาบางลงไปเคล้ากับกลิ่นไม้หอมติดแห้งๆ อย่างซีดาร์ที่มาเสริมโทน Incense ที่ยังพอจับได้อยู่ และจะมีกลิ่นออกทางคล้ายผิวกายติดเค็มบางๆ เสริมเข มาด้วย เลยจะทำให้กลิ่นของช่วงนี้กลายเป็นโทน Airy Iris ที่จะเบาบางมาสาย Safe Scent ที่ขยับเนื้อตัวทีกลิ่นจะลอยมาให้รับรู้ที ภาพรวมของเนื้อกลิ่นทั้งหมดเลยจะสามารถต่อยอดจากภาพที่หน้ากล่องได้เลยว่ามันคือช่วงเวลาที่เราต้องผ่านมา โดยเฉพาะการจากลาและความสูญเสียที่จะฝังลงไปในความทรงจำเริ่มจากเข้มข้นลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้หายไป เห็นอะไรสะกิดขึ้นมาความทรงจำนั้นก็จะผุดขึ้นมาอีก เพียงแต่จะไม่ได้เข้มข้น เพราะ “เวลาได้ช่วยเยียวยาจิตใจ” ของเราไปแล้ว

เหมาะสำหรับ ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปได้เลย เพราะมาสาย Unisex และยังเป็นโซนปลอดภัยที่เข้าถึงได้ง่าย สุภาพ และไม่รบกวนใคร โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นไม่ได้มาสายแบบเศร้าสร้อยเกินไปจนดูหดหู่ เพราะมันมีความโปร่งพอที่ให้ความเรียบนิ่งไปด้วยในตัว เพียงแต่อาจจะไม่ค่อยเข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก ถ้าจะใส่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่เพื่อออกแนวนิ่งเรียบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด กลิ่นไม่ได้มาทางเซ็กซี่เลยและใส่ไปท่องราตรีก็โดนคนอื่นกลบหมด

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 – 8 ชม. โดยประมาณ

การกระจาย มาสาย Safe และ Skin Scent เช่นนั้น กลิ่นจะกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วจึงเป็นกลิ่นแนวอากาศบางเบามีความเป็น Skin Scent ที่จะตีขึ้นยามร่างกายขยับตัวนั่นเอง

ทิ้งท้าย เรียกว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่มาสายเรียบติดขรึมสุภาพแบบ Airy ที่มาสาย Soft แต่มีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกแบบนิ่งงันได้ดีมาก เข้าทางกลิ่นสร้างอารมณ์ได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่เมื่อดมได้ดมแล้ว ตัดสินใจซื้อมาทันทีเพราะความซึมลึกแบบน้อยแต่ได้มากของเรื่องราวผ่านกลิ่นที่เห็นเป็นภาพในหัวเป็นฉากๆ เลยล่ะครับ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ขอแจ้งว่า -เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ-


Photo by เข็มขัดสั้น