วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – Essence of the Park

Carthusia – Essence of the Park

หลายๆ คนชอบกลิ่นของสวนต่างๆ อาจจะสวนเล็กๆ ในบ้าน สวนสาธารณะใหญ่ๆ หรือสวนสวยๆ ตามพื้นที่ต่างๆ ที่อาจจะจัดเป็นสไตล์แบบประเทศโน้นนี้ ยิ่งถ้ายามเช้าไปเดินเล่นในสวนจะได้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สบายใจมากมายด้วยใช่ไหม เช่นนั้นเมื่อ Carthusia เขา Tribute ความเป็นกลิ่นอายแบบเกาะ Capri สถานที่ตากอากาศชื่อดังอยู่แล้ว จึงได้มารวมกันกับการเป็นกลิ่นอายสวนในสไตล์ของแบรนด์นี้อย่าง Essence of the Park 

ต้องเรียกว่าใครชอบกลิ่นอายเขียวๆ ติดขมๆ แบบสมุนไพรของโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia) น่าจะฟินกับตัวนี้ไม่ยาก เพราะกลิ่นขายเอียวแบบติดขมคมเขียวซ่าหน่อยๆ จะพุ่งออกมาให้รู้สึกได้ชัดเจน แต่ว่ากลิ่นจะไม่ได้มาแบบธรรมชาติสดๆ มากขนาดนั้น เพราะจะมีความรู้สึกแบบอากาศปลอดโปร่งของโทนซิตรัสกลั้วความเป็นกลิ่นอายทะเลหน่อยๆ เป็นตัวสนับสนุนในช่วงนี้ ทำให้กลิ่นเขียวคมในช่วงแรกมีความเป็นสภาพแวดล้อมแบบกลิ่นอายสวนเขียวๆ ใบไม้กับสมุนไพรติดเผ็ดปร่าเยอะๆ อากาศดีๆ ใกล้ๆ ทะเล เพียงไม่นานก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดอกไม้นวลๆ เสริมเข้ามา ทำให้เดินเข้าสู่สวนดอกไม้กลั้วความโปร่งสะอาดนุ่มนวลเคล้าความเขียวแทน นั่นคือได้เข้าสู่ช่วงกลางที่ความเขียวของกลิ่น Artemisia จะยังเป็นตัวเด่นอยู่ แต่จะมีกลิ่นอายของดอกสายน้ำผึ้งมาให้ความหวานนวลติดแป้งหน่อยๆ และมีกลิ่นอายของดอกแมกโนเลียที่ให้ความใสอมเปรี้ยว เคล้ากับกลิ่นโปร่งสะอาดของสมุนไพรของแนวๆ กานพลู กับพริกไทย ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นหัวใจของกลิ่นอย่างชัดเจน เพราะจะได้อารมณ์เหมือนนั่งในสวนที่มีดอกไม้ผสมผสานกับสมุนไพร ที่มีทั้งความเขียว ความนวลหอม ความหวานตามธรรมชาติ ความผ่อนคลาย และความปลอดโปร่ง เรียกว่าสมกับชื่อรุ่นชัดเจน และเมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นโทนครีมมี่บางๆ นวลๆ ที่เจือความสะอาดนวลของ Musk กลั้วกับถั่วตองก้าที่จะให้ความนุ่ม โดยกลิ่นจะมีความเป็นโทนแป้งอบอุ่นจางๆ ของวานิลลากลั้วความเป็นไม้หอมแห้งๆ โดยที่ยังมีความรู้สึกเขียวและนวลดอกไม้ที่ตามมาอยู่ เลยจะได้ความรู้สึกผ่อนคลาย เรียบหรู และมีความรื่นรมย์อบอุ่นตามธรรมชาติอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้เขาตราเอาไว้ว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง แต่เอาจริงๆ แล้ว กลิ่นนี้มีความเป็น Unisex อย่างมาก เรียกว่าใส่ได้ทุกเพศกันเลยดีกว่า เพราะกลิ่นโทนสวนมันมักจะครอยคลุมความเป็นทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว ซึ่งจะเหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ แตะได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ซึ่งถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกาย อาจจะรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นจะได้ไม่เขียวคมติดขมจนคนอื่นตกใจเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนถ้าต้องการความผ่อนคลายและเรียบหรูหอมนุ่มสบายจัดได้เลย แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้เหมาะกับการปล่อยของปล่อยเสน่ห์อะไรขนาดนั้ 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. ซึ่งอาจจะบวกลบไปบ้างตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอไปที่ี 10 ชม. กับการใส่สลับทั้งอากาศร้อนข้างนอกและอยู่ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก เรียกว่าอาจจะตกใจในความเขียวขมคมซ่าหน่อยๆ กันก่อน แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - นี่เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกได้เลยว่า ถ้าจะอยู่ในสวนบนเกาะกลางทะเลที่มีการผสมผสานความเป็นดอกไม้และสมุนไพร มันจะมาในโทนแบบนี้แหละ ซึ่งทำให้ผมตกหลุมรักกลิ่นนี้มาก เพราะมันให้ความรู้สึกรื่นรมย์ยามได้กลิ่นตีขึ้นตลอดเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://essenzanobile.sa.metacdn.com/images/product_images/popup_images/Carthusia-The-Essence-of-the-Park-1.png

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – 1681

Carthusia – 1681 

ปี 1681 เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของเกาะ Capri ที่ผ่านการโจมตี การสู้รบต่างๆ มาอย่างมากมายจนถึงช่วงเวลาของการฟื้นฟูทุกสิ่งอย่าง ซึ่งเมื่อผ่านไประยะนึ่งคณะนักบวชคาร์ทูเชียนจึงเริ่มสร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นมาโดยใช้สมุนไพรและเครื่อเทศต่างๆ นำมาประยุกต์จนได้เป็นสูตรน้ำหอมขึ้นมา และแน่นอนนั่นคือต้นตำรับของการเป็นน้ำหอม Carthusia ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเมื่อปีดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้น 1681 จึงเป็นน้ำหอมที่ทำขึ้นมาเพื่อ Tribute เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอ 

ถ้าว่าด้วยกลิ่นที่จะบอกถึงจุดเริ่มต้นมันจะเป็นอย่างไร สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความนิ่งขรึม โปร่งสว่าง สุขุมและขลังแบบลงตัวท่ามกลางลักษณะแบบโทน Airy แต่จับต้องได้ว่ากลิ่นมีความชัดเจนให้เรารู้สึกได้ เปิดตัวที่กลิ่นอายอากาศดีๆ สดชื่นเรียบหรูด้วยความเป็นโทน Citrus ติดสมุนไพรที่ออกมาเผ็ดปร่าซ่ากำลังดี ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้คือ กลิ่นอายของไอริสกับโทน Incense หรือธูปไม้หอมอ่อนๆ ที่ค่อยๆ ดันเข้ามา ทำให้กลิ่นมันมีความขรึมกำลังดีตั้งแต่ช่วงนี้เลย เข้าโทนลักษณะที่ไม่ได้ออกทางโทนสดชื่นติดสมุนไพรแน่นๆ แต่ประการใด แต่ออกทางสมุนไพรนุ่มธรรมชาติติดโทนแป้งให้อารมณ์แบบ Airy ที่กลิ่นชัดพอสมควร ส่งต่อให้ช่วงกลางที่ไอริสจะมาชัดเจนแบบโปร่งสบายไม่ติดโทนแป้งอับ กลิ่นของโทนธูป Incense จะยังอยู่ชัดเจนแบบกลิ่นอ้อยอิ่ง ไม่ได้มาเต็มแบบเหมือนไหว้พระประธานงานวัด โดยเน้นให้เกิดความรู้สึกสุขุมและโปร่งขาวเป็นสำคัญ ซึ่งกลิ่นโปร่งของโทนเครื่องเทศเผ็ดสดชื่นอย่างพริกไทยจะทำให้มีมิติความสดชื่นติดสะอาดเคล้าความนวลๆ อมหวานจางๆ ของลาเวนเดอร์ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวทำให้รู้สึกเหมือนอากาศสะอาดรอบๆ ตัว แล้วกลิ่นโทนสดชื่นจะเริ่มลดลงให้กลิ่นโทนธูปไม้หอม Incense แบบ Lite Version กับโทนไม้หอมอย่างซีดาร์และจันทน์หอมที่จะมาแบบนวลๆ สะอาดติดครีมมี่เบาๆ ซึ่งกลิ่นไอริสจะยังตามมาให้รู้สึกได้ และมีโทนอบอุ่นบางๆ มาเสริมอย่างวานิลลา ซึ่งจะผสมผสานให้เกิดความรู้สึกสะอาดจากกลิ่นอายไม้หอมขรึมและสุภาพมีความเป็นโทนกึ่งขาวกึ่งสีครีมอ่อนด้วยความเป็นโทนอบอุ่นติดแป้งในเนื้อกลิ่น กลิ่นให้ความนิ่ง เรียบหรู มีระดับ สุขุม สะอาด และสุภาพอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ กลิ่นสุภาพบุรุษชัดเจน เน้นที่โทนสว่าง นิ่งหรู และสุขุมเป็นสำคัญ ไม่มีความดาร์กมารบกวนจิตใจใดๆ ทั้งๆ สิ้น ยิ่งใครที่ชอบกลิ่นอายของ Iris ที่มีกลิ่นธูปไม้หอมแบบโปร่งๆ จะยิ่งฟินมาก จึงเหมาะกับผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่มันจะให้ความสุขุมและขรึมโทนสว่าง ยิ่งถ้าวัยทำงานจะยิ่งเหมาะมากเสริมลุคสุภาพบุรุษกันอย่างชัดเจน โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งงานทางการ หรือพบปะผู้คนกลิ่นนี้สร้างความสุขุมนิ่งเย็นได้อย่างลงตัว ส่วนทั่วๆ ไปก็สามารถใช้ได้ เพราะเป็นโทน Iris ที่เข้ากับทุกสภาพอากาศอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าแบบทั่วๆ ไปอยู่บ้าน เดินเล่น ช้อปปิ้ง หรือว่าอยู่กับแฟน รวมถึงออกงานอันนี้ใส่ได้สบายๆ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี ตัดไปได้เลย 

ความทน กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. มีบวกลบบ้างประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไป 5 สเปรย์ กลิ่นติดทนลากยาวไปถึง 10 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้อารมณ์โปร่งสว่าง ขรึมติดสดชื่นกันเลย ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้มาสาย Safe Scent ชัดเจน และมีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียวกับการเล่นโทน Airy Incense กับ Iris ได้ชัดมากและจับต้องกลิ่นได้ ซึ่งถ้า Natural Teller – Period of Time คือ ด้านขรึมเข้าโทนเทาอารมณ์สุภาพนิ่งงันแบบเศร้าสร้อย Carthusia 1681 คือ ด้านสว่างโทนขาวสุภาพที่มีความโปร่งและมีความสุขุมนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://buttonparfums.ua/image/cache/data/carthusia/1681-Eau-de-Perfume-600x600.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – Carthusia UOMO

Carthusia – Carthusia UOMO

จาก Lady ก็มาสู่ UOMO ฝั่งผู้ชายกันบ้าง เพราะต้องเกิดมาคู่กันทั้งฝั่งชายและหญิง โดย Carthusia ยังคงคอนเซปท์เดิมในการนำเสนอคือ มันต้องเรียบหรู มีระดับ และกลิ่นอายต้องสื่อสารถึงความเป็นผู้ดีตามสไตล์อิตาลี เช่นนั้นต้องลองมาดมว่า ผลออกมาจะเป็นเช่นไร

Carthusia UOMO จะเปรียบเสมือนผู้ชายที่ออกแนวคุณชายที่นิ่งขรึม มีความภูมิฐานมีระดับที่เป็นอินเนอร์แฝงในทุกๆ การกระทำ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าสมาร์ท เท่ห์ นิ่ง และหรูหรา ซึ่งกลิ่นจะมีความเชื่อมโยงกับรุ่นผู้หญิงคือ กลิ่นจะมีความคลาสสิคแมนๆ อยู่ แต่ไม่ได้ดูย้อนยุคเกินไป จนเป็นสายผู้ใหญ่ผู้มีอายุเกินไปขนาดนั้น เปิด Top Notes ด้วยกลิ่นอายของการเป็นกลิ่นอายเขียวกลั้วความเป็นดอกไม้นวลๆ ที่มีโทนพริกไทยผสมผสานอย่างดอกฟรีเซีย โดยมีกลิ่นอายสดชื่นอย่างโทCitrus ที่มาแบบสายสนับสนุน กลิ่นเลยจะได้ลักษณะของความเป็นสุภาพบุรุษแมนๆ ที่มีความสดชื่นแบบนิ่งๆ คาบเกี่ยวความคลาสสิคเบาๆ และความภูมิฐานกำลังดี เมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นจะเริ่มมีความเป็นโทนดอกไม้มากขึ้น เลยเพราะความเป็นเจอราเนียมที่จะแทรกเข้ามาให้ความรู้สึกแบบหอมสดชื่นติดโทนกุหลาบเคล้าเลมอน ล้อมไปด้วยกลิ่นอายดอกไม้เบาๆ อ่อนๆ ซึ่งความเขียวแมนๆ ที่ผสมผสานกับดอกฟรีเซียที่มีโทนเครื่องเทศนวลปร่าจากช่วงต้นจะมาผสมผสานให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนดอกไม้ที่มีความแมนมาก ซึ่งจะมีความเป็นไม้หอมขรึมๆ นวลๆ สะอาดๆ จากไม้ซีดาร์เสริมเข้ามาตีคู่ และมี Oak Moss ที่กลิ่นเขียวติดสากแต่นุ่มมาตอกย้ำความแมน ทำให้กลิ่นสร้างโทนของความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความภูมิฐานเคล้าความสดชื่นแบบนิ่งๆ มีระดับได้ดีมาก เนื้อกลิ่นมีโทนไล่เรียงให้ได้สัมผัสแบบซับซ้อนที่มีลูกเล่นของโทนเขียว ดอกไม้ และไม้หอมได้ดี พอเข้าช่วง Base Notes กลิ่นอายของเจอราเนียมเคล้าไม้หอมจะยังเป็นตัวเด่นที่เป็นกลิ่นหลักอยู่ โดย Oak Moss จะเริ่มดันขึ้นเป็นตัวเด่นให้ความเขียวแมนติดสดชื่นได้อยู่ โดยที่เนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงความสะอาดรองพื้นแบบติด Animalic สาปปลุกเร้าให้ความเท่ห์หน่อยๆ จาก Musk แบบมีลูกเล่นให้จับต้องได้ รวมถึงมีความอบอุ่นอ่อนๆ จากโทนไม้หอม แบบยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายวัยทำงานขึ้นไป หรือน้องวัยมหาลัยที่เรียนป3 ปี 4 ก็สามารถ เพราะกลิ่นจะให้ลุคภูมิฐาน สุภาพบุรุษที่เป็นผู้ดีจัดๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งยามทางการ ออกงานยิ่งเหมาะมาก หรือจะใส่เป็น Office Scent ก็ยังได้ เพราะให้ความน่าเชื่อถือและดูมีคลาสเสียด้วย ส่วนยามทั่วๆ ไป ก็จัดไปได้หมด เพียงแต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้นัก ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่ได้มาสายพร้อมลุยราตรีเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่แบบออกงานหรูๆ หรือดินเนอร์อะไรแบบนี้จะเข้าทีไม่น้อยเลยทีเดียว 

ความทน เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ความทนดีงามมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ให้รู้สึกได้ตลอดยาวไปถึง 15 ชม. เลยทีเดียว โดยอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ให้ความรู้สึกแบบเรียบนิ่ง สุภาพบุรุษ ไม่เน้นรบกวนใคร และจะเป็นออร่าแบบเบาๆ ยาวไปในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย เรียกว่ากลิ่นนี้มีความเป็นสุภาพบุรุษที่เรียบหรูมีระดับและมีเสน่ห์แบบที่คนได้กลิ่นจะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กลิ่นสมาร์ทจังเลย ยิ่งส่วนตัวพอใส่กลิ่นนี้ทีไร จะออกแนวบ้าบิ่น โว้กว้ากไม่ค่อยได้ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนั้นเลย ก็จะปรับจูนไปในตัวให้ต้องวางตัวดีๆ สุภาพ และนิ่งอย่างมีชั้นเชิงแบบที่กลิ่นสื่อสารออกมา ถือว่าเป็นการเสริมบุคลิคได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.8441.jpg

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

Preview – น้ำหอม Niche แบรนด์ใหม่วางขายในไทยกับ Etat Libre d’Orange และ Carthusia


เดิมทีก็ไม่ได้วงในอะไรและไม่ทราบมาก่อนว่าจะมี Niche Perfume แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาวางขายในไทย จนได้ข่าวจากการไปเดินเล่นที่ Paragon ตามประสาคนหาน้ำหอมมาสนอง Need ตัวเอง ซึ่งจะวางขายที่ Beauty Hall ของพารากอน 2 แบรนด์ ตรงโซนที่พึ่งปรับปรุงใหม่ นั่นคือ


Etat Libre d’Orangeแบรนด์ Niche จากฝรั่งเศส ที่เน้นเรื่องความแปลกเก๋ มีสไตล์เฉพาะไม่เหมือนใคร และหลากหลายที่มาในการสื่อความรู้สึก ตัวเด่นๆ ของเขาหลายตัว เรียกว่าทำเอาคนที่เล่นน้ำหอมฮือฮากันน่าดูว่า ช่างคิดนะนั่น และกล้าทำออกมาให้ปังเสียด้วย ^^

Carthusiaแบรนด์ Niche จากอิตาลี ที่เคยเป็นน้ำหอมจากการสร้างสรรค์ของนักบวชคาร์ทูเชียนมาก่อน แล้วจึงปรับทำเป็นแบรนด์ออกมาสื่อสารถึงความเรียบหรู ผู้ดี มีระดับ แนวๆ ตากอากาศ และธรรมชาติ อิงกับเกาะ Capri ที่มีชื่อเสียงมากของอิตาลี

แน่นอนพอรู้ว่าจะมีมา ทราบข่าวว่าตั้งเคาน์เตอร์แล้ว ผมก็ไปดมเลยจ้าจะมีพลาดได้ยังไงกัน

พิกัดของเคาน์เตอร์ จะไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกับน้ำหอมปกติของ Beauty Hall นะครับ และไม่ได้เป็นโซนเคาน์เตอร์เฉพาะแบบ Niche หรือ Luxury Brand แต่จะรวมกับเครื่องสำอางต่างๆ อยู่ในโซนเปิดใหม่ ซึ่งจะโดนห้อมล้อมด้วยเครื่องสำอางหลายแบรนด์นิดหน่อย เรียกว่าอาจจะหายากอยู่บ้าง แต่จะสังเกตได้คือ ถ้าเดินเข้าไปจากฝั่งที่มี Chanel และ Dior ผ่าน Hermes, Creed ทางซ้าย และ Guerlain ทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ เคานเตอร์จะอยู่ตรงข้ามกับ Shop กระเป๋าของ Kwanpen เยื้องๆ กับ Shop ของ Michael Kors ครับ

ผมเดินหาไปหลายรอบ แบบว่า ตรงไหนนั่น -_____-” จนได้เจอ



แน่นอนไปถึง BA บอกว่าลองได้เต็มที่ เขาเปิดโอกาสแล้ว จัดเลยยยยสิครับ จะรออะไร (><) 



Etat Libre d’Orange - ภาพรวมมีทั้งหมด 9 กลิ่นครับ จำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีกลิ่นอะไรบ้าง เอาเท่าที่จำได้ จะมี

Like This
กลิ่นที่ได้ Tilda Swinton มาช่วยคิดและทำขึ้นมา กับกลิ่นแนวๆ ครัวโปร่งในบ้านที่มีกลิ่นฟักทอง ขิงอุ่น และน้ำเชื่อมไซรัป ได้อารมณ์พายฟักทองหอมแบบบรรยากาศแม่ทำขนมในบ้าน หนึ่งในตัว Top ที่กวาดคำชมมาทั่วโลกแล้ว ส่วนตัวผมรักกลิ่นนี้มากกกกกครับ

Hermann A Mes Cotes Me Paraissait Une Ombre
ขอเรียกสั้นๆ ว่า Hermann ชื่อย๊าววววยาว (ต้องมา Search หาชื่อเต็ม) กลิ่นอายแบบเวลาเราเดินป่ากลางคืนแล้วกลิ่นดิน พืชล้มลุก เจือน้ำค้าง มันลอยขึ้นมา กลิ่นออกเทาๆ ไม่ดาร์ก หอมมีอะไรให้น่าค้นหา เป็นกลิ่นที่ประทับใจมาก มันเก๋ มันแปลก มันธรรมชาติ

The Afternoon of Faun
กลิ่นแนวดอกไม้แห้งๆ สมุนไพรแห้งๆ ของดอก Immortelle ที่มีกลิ่นอายแบบน้ำเชื่อมเมเปิ้ลไซรัป กึ่งคาราเมลใสๆ แต่มันมาแบบแห้งๆ ไง เลยเป็นหวานสมุนไพรแห้งๆ และมีกลิ่นหนังอวลๆ จางๆ กลิ่นเหมือนเดินเล่นทุ่งดอกไม้แห้งๆ อวลๆ เลย

Cologne
กลิ่นใช้ง่ายที่สุดและแปลกน้อยที่สุดของแบรนด์นี้แล้ว เพราะว่าจะเป็นกลิ่นสไตล์ Cologne ที่หอมสดชื่นแบบส้มฉ่ำๆ ดอกส้ม มะลิใสๆ ใส่สบายๆ เข้ากับอากาศร้อนบ้านเรามาก แอบมีโทนแป้งกับโทนกลิ่นหนังหน่อยๆ ให้ความเซ็กซี่ช่วงท้าย

Dangerous Complicity
กลิ่นอบอุ่นอวลๆ ติดผิวมาสายเซ็กซี่ชวนคลุกวงใน แบบกลิ่นมะพร้าวผสมความหวานนวลของดอกหอมหมื่นลี้มีกลิ่นเหล้าผมหวากลั้วไม้หอมจางๆ กลิ่นนี้เห็นเขาบอกว่าที่มามาจากแรงบันดาลใจเรื่อง Adam กับ Eve ที่จะฟาดฟันกัน หลังกินผลไม้ต้องห้าม อืมมมมมมม ฟาดฟัน

Noel au Balcon
กลิ่นน้ำผึ้งหวานใสโปร่ง เจืออบเชยหน่อยๆ ไม่ข้นหวานเลี่ยนมาก เป็นกลิ่นน้ำผึ้งที่ได้ทั้งอารมณ์น่ารัก สดใส ขี้เล่น เซ็กซี่ หวานหอม เรียกว่า เป็นกลิ่นที่สาวคนไหนชอบความหวาน น่าจะโดนไม่ยาก

นอกนั้นกลิ่นอื่นจำไม่ได้คร้าบ ซึ่งกลิ่นที่เข้ามาไม่ได้มาครบทุกกลิ่นและไม่ได้ถึงกับแปลกจ๋าๆ แบบที่เมืองนอกมี ใครที่อยากดมกลิ่นเลือด น้ำลาย น้ำเหลือง อสุจิ อย่างตัว Secretions Magnifiques (ที่โลโก้น้ำแตกกระจาย) ไม่มีเข้ามาแน่ๆ ครับ ถ้าเข้ามาคงไล่ลูกค้ามากกว่าจะได้ลูกค้านะนั่น 555555  หรือตัวเทพๆ ของแบรนด์บางตัวก็ยังไม่ได้เข้ามา เช่น Tom of Finland ที่จะเป็นกลิ่นแนวเซ็กซี่กล้ามเป็นมัดๆ ท่อนลำมาเต็มทะลุกางเกงหนัง เจือกลิ่นแนวถุงยางนิดๆ หรือ Fat Electrician ที่เป็นกลิ่นช่างไฟตัวอวบมีกลิ่นแนวเมทัลลิคเจือขนมแบบกินขนมไปต่อไฟในบ้านไป พวกนี้ยังไม่เข้ามาครับ

เรียกว่าใครชอบน้ำหอมแปลกเก๋ มีสไตล์ ไม่เหมือนใคร Etat Libre d’Orange หรือเรียกสั้นๆ ว่า ELDO น่าจะโดนไม่น้อยครับ 

ราคา:  แบ่งเป็น 2 ขนาด 50 ml = 4,900 และ 100 ml = 6900 บาท ครับ ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank ครับ

--------------------------------------------------------------------

เปลี่ยนฝั่งบ้างมาที่



Carthusiaอันนี้เรียกว่าต้องยอมใจ เพราะกลิ่นเข้ากับอากาศเมืองไทยมากกกก มีความหอมแบบธรรมชาติใสๆ และหรูหราตามสไตล์ Luxury อิตาลี ที่กลิ่นจะไม่ได้มาสายแน่นเท่าโซนฝรั่งเศส เอาเท่าที่จำได้และถ่ายรูปมา ก็ประมาณนี้เลยครับ

Prima del Teatro di San Carlo
กลิ่นไม้หอมนวลๆ ซ่าๆ กึ่งไม้หอมเปียกๆ มีกลิ่น Oud จางๆ แต่ไม่แขกเลย กลิ่นมาสายไม้หอมแบบมีระดับดูผู้ดีมาเชียว กลิ่นนี้แพงสุดในแบรนด์ มีขนาดเดียวคือ 50 ml 6,900 บาท

1681
กลิ่นแนว Citrus Iris แบบสดชื่นก่อนจะเป็นแป้งเจือไม้หอมที่นิ่งขรึม กลิ่นเข้าโทนสุภาพบุรุษชัดเจน

Capri Forget Me Not
กลิ่นอาย Citrus ติดกลิ่นลูก Fig เขียวใสๆ มีมินต์ให้ความสดชื่น เป็นกลิ่นที่ได้อารมณ์เขียวสดชื่นตามธรรมชาติมาก ได้อารมณ์นั่งเล่นในสวนยามเช้า กลิ่นดีมากกกกกก

Mediterraneo
อันนี้ดีงามมากกกกกกกกกกก กลิ่นชามะนาวธรรมชาติมากมาย โอยยย ฟินมากขั้นสุด 

Essence of the Park
กลิ่นอายเขียวคมๆ เหมือนอยู่ในดงไม้ล้มลุกเขียวๆ แล้วจะเป็นกลิ่นอายสวนดอกไม้ใกล้ทะเล และกลิ่นสะอาดนวล เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ผมตกหลุมรักมากที่สุด เพราะเคยได้ Vial จากเมืองนอกมาก่อน

Flori di Capri
กลิ่นนี้มาสาย Classic เลย มาแบบดอกไม้นวลๆ กลั้วกลิ่นเครื่องเทศโทนโปร่งติดกรุยกราย แบบคุณนายชั้นสูงแต่กลิ่นไม่แน่น มีความเป็นโทนดอกไม้ที่ลงตัวมากเลย

นอกนั้นจำไม่ได้ครับ แต่นอกจากตัวแรกที่เหลือ ราคาเท่ากับ ELDO เลย คือ 50 ml – 4,900 บาท และ 100 ml – 6,900 บาท ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank ครับ

ดมจนฟิน จมูกตื้อเลย อย่าได้ถามว่าได้อะไรมาไหม เพราะตอนนี้มีมาม่าพร้อมที่บ้านและที่ทำงานเรียบร้อยล่ะครับ 555555

ต้องบอกว่าทุกวันนี้ตลาดน้ำหอมเมืองไทยเริ่มมีทิศทางที่หลากหลายมากขึ้นเยอะ ไม่ได้อยู่กับความนิยมเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ทำให้น้ำหอม Niche ต่างๆ เริ่มเข้ามาสู่ไทยมากขึ้น คนไทยเริ่มต้องการกลิ่นที่มากกว่าคำว่าหอมแล้ว ในฐานะคนชอบดม ผมดีใจมากนะครับที่เป็นแบบนี้

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Carthusia Lady

Carthusia - Carthusia Lady 

ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Carthusia มาพอสมควรถึงการเป็นน้ำหอมแนวเริ่ดหรูผู้ดีอิตาลีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกาะ Capri ที่สวยงาม ซึ่งมาแนวตากอากาศหรูๆ กันอย่างชัดเจน ซึ่งแบรนด์นี้แม้จะเข้าสู่ตลาดในช่วงต้นๆ ปี 2000 แต่ที่มาจะมาจากสูตรการปรุงน้ำหอมแบบโบราณของนักบวชคณะ Carthusian ที่ได้ค้นพบขึ้น เช่นนั้นดูมีความขลัง กิเลสเลยเกิดก็จัดมาซะเลย และก็เปิด Series การ Review ต่อเนื่องแบรนด์เดียว แบบที่เราจะต้องรู้ว่ากลิ่นแบรนด์นี้เป็นเช่นไรมีลักษณะแนวไหน ก็ขอเริ่มที่รุ่นนี้ก่อนเลย นั่นคือ Carthusia Lady 

กลิ่นแรกเริ่มฉีดเรียกว่ากลิ่นมีความน่าสนใจมาก เพราะเปิด Top Notes กันด้วยกลิ่นอายดอกไม้แบบโทนสว่างและมีความเป็น Retro อยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งในช่วงนี้จะเด่นด้วยความเป็นกุหลาบแบบสะอาดกลั้วด้วยความเป็น Citrus ของมะกรูดให้ความสดชื่นที่เด่นพุ่งออกมา แต่กลิ่นจะไม่ได้ทื่อๆ เพราะจะล้อมด้วยกลิ่นอายดอกไม้นานาเด่นกับกลิ่นอายกระดังงาที่จะมาแบบนวลๆ ที่ติดกลิ่นอายแบบสบู่และมีความ Spicy แบบเผ็ดสดชื่นซ่าๆ อยู่ ซึ่งกลิ่นจะบอกชัดถึงการเป็นกลิ่นอายโทนคลาสสิค แต่ไม่ได้มาสายแน่นหนักแบบสไตล์น้ำหอมคลาสสิคจากฝรั่งเศสที่เรามักได้กลิ่นแต่ประการใด เลยทำให้ได้ความรู้สึกร่วมสมัยตั้งแต่ต้นและมีความเป็นผู้ดีมีระดับกันเต็มๆ เมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นอายกุหลาบจะยังเด่นอยู่ แต่กลิ่นอายในช่วงต้นอย่างโทนดอกไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดังงา ดอกพุดที่ครีมมี่ หรืออื่นๆ จะมาผสมผสานกับกลิ่นแนวกุหลาบกลั้วสดชื่นของเจอราเนียมและดอกไม้ติดเขียวเผ็ดโปร่งจากคาร์เนชั่น โดยมีกลิ่นไอริสจางๆ กับไม้จันทน์หอมนวลๆ ที่ทำให้กลิ่นออกโทนสบู่ติดแป้งหน่อยๆ มีติดโทนซ่าๆ เครื่องเทศเผ็ดปร่าจากการพลูเป็นตัว On Top และมีกลิ่นอายเขียวสากๆ หน่อยๆ จาก Oak Moss glib.,เลยจะได้อารมณ์แบบสบู่กลิ่นกุหลาบที่สดชื่นหอมซ่านวลปลอดโปร่งหอมตรึงและมีความสดใสกลั้วกลิ่นอายแบบคลาสสิคได้ดีมาก เมื่อผ่านไปจนได้เวลาของ Base Notes กลิ่นของ Oak Moss จะชัดเจนตีคู่กับกุหลาบที่ลดระดับลงไปเป็นกลิ่นนวลสะอาด กลั้วไปกับ Musk ไม้จันทน์หอม และวานิลลาที่มาให้ความนุ่มนวลแกมอบอุ่น ติดโทนแป้งแบบเบาๆ เคล้ากลิ่นผิวกายสะอาดให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นิ่งหรู คงความมีระดับแบบร่วมสมัยแตะความเป็นโทนคลาสสิคก็ได้ โทนร่วมสมัย Modern ก็ดีตั้งแต่ต้นยันจบ และแฝงความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นที่น่าสนใจ โดยเข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - สาวๆ วัยทำงานจัดได้สบายมาก เข้าทางการใส่เพื่อเสริมบารมีความ Elegance เลย เอาจริงๆ น้องๆ วัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่อาจจะมาสายเรียบหรูดูเป็นผู้ใหญ่ไปบ้าง ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กลิ่นเข้ากับอากาศร้อนเสียด้วยเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายแน่น แต่ถ้าจะออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนออกแนวใส่เพื่อสบายๆ หรูหรา ผ่อนคลาย หรือออกงานเข้าทีมาก แต่ถ้าใส่ไปเพื่อแดนซ์หรือเที่ยวผับบาร์ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนคุณผู้ชายสามารถใส่ตัวนี้ได้เพราะกลิ่นแม้จะเป็นโทนดอกไม้เด่นที่กุหลาบ แต่ไม่ได้มาแบบสาวสะพรั่งอะไรขนาดนั้น มีความเรียบหรูหอมแนวสบู่เสียมากและกลิ่นมีความเป็น Unisex อยู่พอสมควร 

ความทน - ประมาณ 6 - 8 ชม. อาจจะมีบวกลบไปบ้าง อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวกลิ่นอยู่ได้ถึง 8 ชม. สบายๆ กับการฉีดประมาณ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าดอกไม้รวมๆ กันเด่นที่กุหลาบแต่ยืนพื้นที่ความเป็นสบู่ซ่าๆ สดชื่น แล้วจะกระจายปานกลางแบบกำลังดี แล้วจึงเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวเป็นคนชอบน้ำหอมทางฝั่งอิตาลีมากเพราะภูมิอากาศเขาออกแนวคล้ายๆ บ้านเรา เลยทำให้น้ำหอมมักจะไม่ได้มาสายแน่นจัด ซึ่ง Carthusia Lady ทำเอาประทับใจเลยในแง่ของกลิ่นสบู่กุหลาบซ่าๆ สะอาดสดชื่นเรียบหรูดูแพง ซึ่งถ้า Creed คือน้ำหอมหรูหรามีระดับจากฝรั่งเศส Carthusia ก็มาสายเดียวกันแต่เป็นหรูหราฝั่งอิตาลีนั่นเอง ที่สำคัญตอนนี้มีเข้ามาขายในไทยแล้วที่ Siam Paragon แล้วด้วย ได้เวลาหากลิ่นหอมดีๆ มาฟินก็คราวนี้ ><

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://essenzanobile.sa.metacdn.com/images/product_images/popup_images/Carthusia-Carthusia-Lady.png

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d’Orange – Like This

Etat Libre d’Orange – Like This

หนึ่งในรุ่นที่หลายๆ เว็บไซต์และหลายๆ กูรูยกให้เป็นตัวระดับ Top ของแบรนด์ Etat Libre d’Orange กันเลยทีเดียว กับกลิ่นอายที่มีความยอดเยี่ยมในตัวสูงมากและได้หนึ่งในนักแสดงฝีมือเยี่ยมอย่าง Tilda Swinton (คนที่รับบทเป็น The Ancient One ในเรื่อง Dr. Strange) มาเป็นหนึ่งในผู้คิดแนวทางของน้ำหอมรุ่นนี้ โดยจะเน้นความอบอุ่น ความหอมหวานราวกับเวทย์มนต์ และความรื่นรมย์ ผ่านการบ่งบอกถึงหัวใจของความเป็นบ้านที่จะขาดสถานที่หนึ่งไปไม่ได้เลยนั่นคือ “ห้องครัว” ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไร ได้เวลามาพิสูจน์กันแล้ว

(เดิมทีรุ่นนี้มีชื่อรุ่นว่า Tilda Swinton Like This มาก่อน ตอนหลังตัดทอนให้สั้นลงเหลือแค่ Like This)

ยอมใจกลิ่นนี้จริงๆ เพราะเรียกว่าแทบจะไม่เคยได้กลิ่นของฟักทองในน้ำหอมแบบชัดๆ มาก่อน ก็มาเจอเต็มๆ ก็คราวนี้ เพราะว่าเปิดต้นกลิ่นมากลิ่นที่พุ่งมาแบบตีคู่กันเลยนั่น คือ กลิ่นของขิงที่หอมหวานติดเผ็ดแบบอุ่นๆ กับที่ฟุ้งกระจายออกมาเคล้ากับกลิ่นเนื้อฟักทองที่สุกแล้ว กลิ่นจะมีความเป็นอะโรม่าแบบครีมๆ แอบเจือความเป็น Citrus บางๆ เพราะจะพอจับได้ถึงกลิ่นเปลือกส้มหน่อยๆ แล้วจะเริ่มมีความหอมหวานแบบไซรัปดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายแบบไซรัปหอมหวานกึ่งคาราเมลผสมดอกไม้สมุนไพร ซึ่งจะมาจากดอก Immortelle กลิ่นจะได้อารมณ์แบบไซรัปหวานราดลงไปในเนื้อฟักทอง ให้เกิดความหอมกรุ่นเคล้ากลิ่นอายของขิงอุ่นนวล ทำให้รู้สึกรื่นรมย์มาก เหมือนอยู่ ในห้องครัวที่กำลังทำขนมอยู่ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดอกไม้บางๆ นวลๆ จากดอกส้มหน่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจเพิ่มเข้ามาอีกด้วย ลองนึกภาพเวลาเรายืนอยู่หน้าประตูครัวที่เห็นคนทำพายฟักทองกลิ่นหอมนวลออกมาสิ อารมณ์จะได้ประมาณนี้เลยว่าจะรื่นรมย์และมีความสุขผ่านกลิ่นได้ขนาดไหน เมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นอายของฟักทองนวลเนียนจะยังอยู่ แต่กลิ่นที่ได้จะเริ่มมีความเป็นขนมมากขึ้น จากโทนอัลมอนด์ติดดอกไม้หน่อยๆ จากดอกเฮลิโอโทรเป้ และจะมีกลิ่นอายนุ่มๆ ของ Musk ให้ความรู้สึกสะอาดรองพื้นที่ยังคงให้ความเป็นพายฟักทองเจือขิงและไซรัปหอมหวานลอยกรุ่นออกมา เนื้อกลิ่นมีความเป็นไม้หอมแห้งๆ จางๆ ได้อารมณ์แบบขนมบนถาดไม้หรือโต๊ะไม้ได้ลงตัว ทั้งหมดทั้งมวลถ้าบอกว่า กลิ่นนี้เป็นความหอมอย่างกับเวทย์มนต์เรียกว่าคงไม่ผิดเกินไปนัก เพราะเวลาที่เรายืนอยู่ทางเข้าครัวแบบโปร่งๆ ที่บ้านเวลามีคนอบเบเกอรี่แล้วกลิ่นลอยมา มันสร้างความสุขได้มากแค่ไหน สมแล้วที่เป็นหนึ่งในกลิ่นที่เป็นตัว Top ของแบรนด์นี้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

เหมาะสำหรับ ทุกเพศเลย เพราะกลิ่นนี้มาสาย Unisex แม้จะมาโทนดอกไม้เด่น แต่มีความเป็นโทนติดขนมมาให้รู้สึกอบอุ่น รื่นรมย์ ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ให้มีความเหมาะสม ยิ่งอากาศบ้านเราแล้วกลิ่นนี้จะทำหน้าที่ปล่อยของท่ามกลางอากาศร้อนๆ ดีมาก จึงต้องระวังกันนิดนึงถ้าไม่อยากรบกวนใคร ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งทางการ ที่อาจจะไม่ได้ถึงกับรับแขกบ้านแขกเมือง และทั่วๆ ไป กลิ่นสร้างความรื่นรมย์ได้ดี แต่ข้ามเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายๆ เลย ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เอาจริงๆ มันก็เย้ายวนได้ในระดับหนึ่ง แต่มันจะให้ความรื่นรมย์ผ่อนคลายน่าอยู่ใกล้มากกว่าที่พร้อมลุยกิจกรรมเข้าจังหวะนั่นเอง

ความทน ยอมใจอีกเรื่อง เพราะทนมากกกกก เรียกว่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. ได้สบายๆ และมากกว่านั้น อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ฟินตลอดวัน

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าจัดเต็ม เพราะมันจะมีความหวานนำ ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางที่ใครมาใกล้ๆ ได้กลิ่น ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารื่นรมย์อบอุ่นรอบๆ ตัวแบบยาวไป

ทิ้งท้าย หนึ่งในกลิ่นที่ผมหลงรักอย่างไม่มีข้อกังขา และกลิ่นมันสร้างภาพในหัวอย่างกับเราได้อยู่ในหน้าประตูครัวกับกลิ่นกรุ่นลอยมาให้เรารู้สึกยิ้มได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะได้ครอบครองกลิ่นนี้มาเป็นของตัว

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ


วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d’Orange – Cologne

Etat Libre d’Orange – Cologne

หลายๆ แบรนด์เขาก็มีน้ำหอมกลิ่นสดชื่นสไตล์ Cologne กันนักต่อนักเพื่อเน้นสร้างความกระปรี้กระเปร่ากันแบบเต็มที่ยามอากาศร้อนๆ ใช่ว่า Etat Libre d’Orange จะไม่มี ก็ต้องมีกับเขาด้วย เพราะให้แต่ความหลุดกรอบและความแปลกเก๋มาตลอด ถ้าจะมาสายสบายๆ แต่มีสไตล์บ้างล่ะจะออกมาในลักษณะไหน เลยจัดซะหน่อยกับรุ่นนี้เลย Cologne

เปิด Top Notes กลิ่นอายของโทน Citrus จะมาแบบเต็มๆ มีความคมกำลังดีแบบให้ความรู้สึกสดชื่นกันเต็มที่ โดยที่กลิ่นช่วงนี้จะมาแบบเปรี้ยวสดชื่นติดขมหน่อยๆ ของมะกรูด หวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ จากส้มสีเลือดให้ลักษณะการเป็นกลิ่นอายชุ่มฉ่ำ ในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นโทนเขียวสะอาดและเป็นธรรมชาติอยู่ให้จับต้องได้ รวมกันทั้งหมดเป็นลักษณะกลิ่นอายสไตล์ Cologne ชัดเจน เพียงไม่นานกลิ่นอายของโทนดอกไม้ขาวที่มาสายใสๆ อย่างดอกส้มจะเป็นตัวดึงเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่นโทนซิตรัสจะยังมีอยู่แต่จะเริ่มลดความชุ่มฉ่ำลงมาพอสมควร จนได้กลิ่นออกแนวสดชื่นนวลๆ จากดอกไม้ขาวที่เด่นแทนที่ กลิ่นของดอกส้มจะชัดเจนบนผิวมาก แอบจับได้ถึงกลิ่นมะลินวลๆ โดยเนื้อกลิ่นจะแอบมีความเป็นแป้งดอกไม้ขาวบางๆ ติดนุ่มเย้ายวนเซ็กซี่กำลังดีให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีความครีมมี่ในเนื้อกลิ่นกลั้วความนุ่มสะอาดมากขึ้นจากกลิ่นอายของ Musk ใน Base Notes ที่จะให้ความสะอาดแบบผิวกายนวลๆ ในเนื้อกลิ่น แต่ที่รู้สึกได้อีกอย่างและเป็นตัวที่ทำให้กลิ่นช่วงกลางมีความเซ็กซี่นั่นคือ หนัง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความเก๋ที่ใส่ลงมา เพราะจะมีโทน Animalic ที่เป็นสาปปลุกเร้าจางๆ จากกลิ่นหนังที่จะให้ความรู้สึกเย้ายวนแบบโจ่งแจ้งท่ามกลางความสดชื่นและปลอดโปร่งแนว Cologne ซึ่งเรียกว่า แอบซ่อนความแซ่บเอาไว้ให้มาค้นหานั่นเอง

เหมาะสำหรับ – Unisex ชัดเจน เข้าได้กับทุกเพศ แถมกลิ่นนี้เข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะสไตล์ Cologne ยังไงมันก็สดชื่นและสร้างความปลอดโปร่งอยู่แล้ว สามารถกวาดได้หมดในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน กลิ่นมันจะดึงดูดอยู่แบบแอบๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ที่ไม่ต้องโจ่งแจ้งแต่น่าค้นหา ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป ไม่ได้เน้นใส่ไปท่องราตรีจะดีกว่า เพราะกลิ่นสาย Cologne มันจะเบาไป แต่ถ้าใส่ก่อนนอนแบบอยู่กับแฟน มันสดชื่นบนเซ็กซี่ได้อยู่นะ

ความทน ตรงๆ คือ ตัวนี้มาสาย Cologne ความทนจะอยู่ในระดับที่ถือว่าสมฐานะและทำได้ดีสูงสุดที่เจอ นั่นคือ ประมาณ 6 ชม. ซึ่งจะน้อยกว่านี้หรือไม่มันอยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวคนใช้ในระดับหนึ่ง ที่แน่ๆ ฉีดเสื้อที่สวมกลิ่นติดทนได้ดีเลยทีเดียว

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และ Skin Scent ที่ตีขึ้นให้รับรู้ยามขยับเนื้อตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ตัวนี้ถือว่าเป็น Cologne ที่แอบซ่อนความเซ็กซี่เอาไว้ได้เลย ซึ่งเป็นสไตล์เซ็กซี่อีกรูปแบบต่างจาก Mugler Cologne ที่เน้นเซ็กซี่แบบติดสบู่แทน ที่สำคัญถ้าว่ากันเรื่องความทน ก็พอๆ กันหรืออาจจะมากกว่าตัว Neroli Portofino หรือ Mandarino di Amalfi ของ Tom Ford ที่เป็น EDP ก็จริงแถมราคาสูงกว่าในปริมาณที่เท่ากันเสียด้วยซ้ำไป ทางเลือกใหม่มาแล้วสินะ ><


หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ -
https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/originals/6d/ea/05/6dea058177ea72ee44dbf0ac6ad9b7f9.jpg

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d'Orange - Hermann A Mes Cotes Me Paraissait Une Ombre

Etat Libre d'Orange - Hermann A Mes Cotes Me Paraissait Une Ombre

ชื่อรุ่นเรียกว่าย๊าววววยาว เช่นนั้นขอเรียกสั้นๆ ดีกว่าว่า Hermann ซึ่ง Etat Libre d'Orange ได้แรงบันดาลใจแบบเก๋แปลกมาอีกแล้วกับการที่ทุกคนจะมีเงา และบางครั้งหลายๆ คนจะตั้งชื่อเงาของตัวเองนั้นๆ ขึ้นมา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนของเราที่ไม่ได้มีตัวตนแต่อยู่กับเราไปตลอด (ซึ่งถ้าใครไม่มีเงา อันนี้ตัวใครตัวเผือก) และเพื่อนคนนี้แบรนด์เลยตั้งชื่อขึ้นมาว่า Hermann นั่นเอง ซึ่งเงานี้อาจจะเปรียบเสมือนเป็นน้ำหอมของเราก็เป็นได้ด้วย

เพราะว่าพูดถึงเรื่องเงา กลิ่นมันเลยดูเหมือนน่าจะปูทางไปยังสายดาร์ก แต่เอาเข้าจริงไม่ได้ไปทางนั้นแบบชัดนัก เน้นออกแนวซีทรูหรือสามารรถมองเห็นได้แบบที่เราก็ยังเห็นเงาของเราอยู่ โดยเริ่มจากช่วงต้นที่จะเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบติดเขียวกลั้วเย็นยะเยือก ได้อารมณ์แบบป่าตอนกลางคืนที่ออกไปทางแห้งมีชื้นหน่อยๆ จากหมอก กลิ่นมีความเป็นไม้หอมแบบติดเครื่องเทศเผ็ดปร่าผสมผสานกับกลิ่นเขียวของใบไม้ที่มีความเป็น Citrus แบบ Airy มาผสมผสาน ที่สำคัญจะได้กลิ่นอายดินชื้นๆ ฟุ้งเข้ามาด้วย เพียงไม่นานจะได้กลิ่นอายของกุหลาบมาแบบนวลๆ ดึงเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นความเป็นไม้หอมติดเผ็ดปร่ากับกลิ่นดินที่มีความเขียวจะยังชัดอยู่ เคล้ากับกลิ่นกุหลาบและดอกไม้นวลๆ ที่มาแบบบางๆ เคล้าไปกับความรู้สึกแบบสายหมอกสดชื่นสะอาดอยู่ แต่กลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแอมเบอร์ที่เสริมเข้ามา และกลิ่นจะมีความเป็นโทนแห้งติดเปรี้ยวให้สัมผัสได้ไปตลอด ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนชัดเจนจากความสดชื่นมาสู่ความนิ่งจากการเป็นไม้หอมติดเผ็ดที่แห้งๆ และสะอาด กับกลิ่นโทนธูปและยางไม้อย่าง Fankincense ที่จะมาแบบธูปติดเปรี้ยวที่เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงกลางมาบ้างก็จะเด่นขึ้นมา โดยที่จะรู้สึกได้ว่ามีโทนนุ่มๆ รองพื้นตรึงกลิ่นอยู่ และเนื้อกลิ่นจะล้อมไปด้วยความเป็นพิมเสนติดดิบที่ให้โทนอ้อยอิ่งผสมผสานกับกลิ่นดินที่ยังมีอยู่ให้ความรู้สึกยังคงความเป็นโทน Earthy ธรรมชาติแบบเวลาเราเดินเล่นในป่าที่มีกลิ่นดินเคล้ากับกลิ่นเขียวของพืชพันธุ์ระเหยขึ้นมา ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะให้ความอะโรม่า ไม่ปรุงแต่งมาก มีความดิบตามธรรมชาติแบบไม่ได้จัดหนัก ซึ่งแปลกใจในความใช้ง่ายของกลิ่นและกลิ่นไม่ได้มาในสายดาร์กมากนัก เพียงแต่จะไม่ได้มาสายแบบพิมพ์นิยมในลักษณะน้ำหอมสดชื่นที่มักจะเปิดตัวแบบสดชื่นเต็มเหนี่ยว แต่มาสายไม่ปรุงแต่งเอาความเป็นสภาพแวดล้อม ความเป็นเงา และความธรรมชาติมาเล่นได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้แม้จะโปรยตัวเองมาว่าเป็น Unisex ที่ใช้ได้หมดทุกเพศ แต่เอาเข้าจริงๆ มาสายผู้ชายถึง 75% ได้เลย เพราะกลิ่นมีความหนักแน่นในความรู้สึกชัดเจน เพียงแต่อิงความเป็นธรรมชาติสไตล์กลิ่น Earthy คล้ายดินที่ยังมีความสะอาดและเย็นๆ ประมาณนั้น เลยเรียกว่าครอบจักรวาลพอสมควรในการใช้งานไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ส่วนถ้าออกกำลังกายแนะว่ารอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นจะไม่กระจายดีเกินจนคนอื่นมองหน้าแล้ว ที่สำคัญใส่ไปท่องราตรีได้สบายๆ ให้ความรู้สึกเก๋ๆ Unique และไม่เหมือนใคร แถมสู้ชาวบ้านเขาได้ด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม

ความทน กลิ่นทนจัดมากกว่าที่คิด เพราะ 12 ชม. แล้วกลิ่นยังคงปล่อยของอยู่ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และอึงเคมีด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. อาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่จางๆ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าทำเอาอึ้งกันในความไม่คุ้นชินกันได้ก่อนในลักษณะ แบบเขียวติดกลิ่นดินและสายหมอกในป่า แล้วจะลดลงมากระจายดีในตอนกลาง ก่อนจะผันตัวลงมาเรื่อยๆ โดยในช่วงท้ายจะกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย กลิ่นอาจจะทำให้รู้สึกแปลกก่อนในตอนต้นแต่พอเริ่มได้กลิ่นอีกทีจะรู้สึกว่ากลิ่นมันมีคุณภาพและหอมแบบที่เป็นเอกลักษณ์มากแบบที่ถ้าใครชอบกลิ่นแนวดินๆ กับโทนเขียวแนวป่าเย็นๆ จะฟินตัวนี้ได้เลย เพราะมันหอมจริงอะไรจริง ถ้าจะมีเงาเป็นกลิ่นนี้ ถือว่ายอมเสียตังค์แน่ๆ เพราะทำดี มีความแปลก แต่ใช้ง่ายและลงตัว

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit ภาพ - https://www.conranshop.co.uk/media/catalog/product/cache/1/image/1024x/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/1/0/1002119.jpg



วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Etat Libre d'Orange - Noel au Balcon

Etat Libre d'Orange - Noel au Balcon

เมื่อได้อ่านคำโปรยตัวนี้ในครั้งแรกก็อุทานออกมาว่า แหมมมม เพราะใจความของน้ำหอมตัวนี้เขาสื่อสารถึงผู้หญิงที่อยู่ระหว่างความเจ้าชู้มั่นใจในความสวยของตัวเองไม่พอ ยังเป็นผู้หญิงที่เฮฮาสนุกสนานแถมขาแดนซ์ตัวแม่แบบที่ผู้ชายหงิมๆ เรียบร้อยซักคนฝันถึงและอยากได้เป็นของตน (และดันได้ด้วยนะ 555) ซึ่งก็อยากพิสูจน์ขึ้นมาเลยทีเดียวว่า Etat Libre d'Orange จะทำรุ่นนี้ออกมาแบบไหนกันถึงได้กลิ่นอายออกมาในลักษณะนี้ 

จริงๆ แล้ว คำว่า Noel au Balcon มีความหมายว่า คริสต์มาสที่อากาศอบอุ่น แบบอบอุ่นมากพอที่จะไปฉลองกันตรงระเบียงด้านนอกได้ (ตามลักษณะของเมืองนอกที่ช่วงเวลานั้นควรจะหนาวแต่มันดันอุ่น) ซึ่งมันจะลิงค์กับคำโปรยได้ถึงผู้หญิงที่สวย เซ็กซี่ มีกึ๋น และขี้เล่นสนุกสนาน ที่มาในงานคริสต์มาสปาร์ตี้ริมระเบียงประมาณนั้น ซึ่งผู้หญิงคนนี้จะเปิดตัวด้วยกลิ่นอายของน้ำผึ้งมากันก่อน ซึ่งจะไม่ได้มาสายข้นหวานฉ่ำเยิ้มขนมจนเกินไป เพราะจะมีกลิ่นหวานอมเปรี้ยวของแอปริคอตกับส้มจางๆ ที่เสริมให้กลิ่นมีความโปร่งติดผลไม้แบบไม่โหลและไม่เน้นหวานฉ่ำแบบน้ำหอมผู้หญิงที่เด่นกับความหวานแหลมของน้ำผึ้งแบบที่เคยได้กลิ่นมา เลยทำให้ได้อารมณ์แนวหวานหอมโปร่งเหมือนลูกอมน้ำผึ้งที่มีเจือกลิ่นผลไม้ประมาณนั้น และแน่นอนว่าหนูน้ำผึ้งนี่แหละจะเป็นตัวหลักในการปล่อยของตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว โดยกลิ่นของอบเชยจะเริ่มดันขึ้นมาให้เข้าสู่งานปาร์ตี้ในช่วงกลางๆ แล้ว กลิ่นจะมีความเซ็กซี่แบบหวานอุ่นแต่ยังโปร่งอยู่ชัดเจนมาก น้ำผึ้งจะเจืออบเชยและมีกลิ่นแนวๆ เครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าที่มาให้ความโปร่งของกลิ่น และจะมีตัวเย้ายวนอย่างดอกส้มให้ความดูขี้เล่น กลิ่นไม่ได้กนัวดาร์กแต่ประการใด และก็ไม่ใสด้วย มาแบบแตะความรู้สึกว่า สาวคนนี้แม่มเอ๊กซ์ชะมัดและขี้เล่นเฮฮาจังเลยคือ ตรงคอนเซปท์ของน้ำหอมชัดเจนเพราะกลิ่นจะหวานนวลปล่อยของและบอก 2 โทนของความหวานที่มีทั้งเซ็กซี่และน่ารักในเวลาเดียวกัน และเมื่อเข้าสู่ช่วงใกล้เลิกของปาร์ตี้ กลิ่นอายน้ำผึ้งของสาวคนนี้จะค่อยๆ เบาลงผสมผสานกับกลิ่นของวานิลลาที่มาแบบเบาๆ ให้ความอบอุ่นนวลๆ และมีกลิ่นอ้อยอิ่งของพิมเสนคลออยู่ แต่ที่เด็ดกว่าคือกลิ่นกระดังงานวลๆ ที่มาแบบเงียบๆ กะฟาดเรียบ ให้ความรู้สึกเย้ายวนกันแบบที่เบาๆ แต่เอาอยู่ อารมณ์จะต่อเนื่องจากความเซ็กซี่ช่วงกลางเป็นดึงดูดเชื้อเชิญให้รู้สึกถึงกลิ่นผิวกายนวลๆ ที่มีกลิ่นหอมหวานติดผิวแบบยาวไป ซึ่งใครจะได้ชิมนั้นว่ากันอีกเรื่องล่ะนะ 

เหมาะสำหรับ เข้าทางสาวๆ ชัดเจน ที่ชอบกลิ่นอายโทนน้ำผึ้งเด่นนำ กลิ่นจะให้ความเซ็กซี่และความน่ารักไปในตัวได้อยู่ ซึ่งได้หมดตั้งแต่วัยมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากเสียด้วย จึงใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมทั้งงานทางการ ที่ไม่ได้ถึงขั้นรับแขกบ้านแขกเมือง หรือใส่ทั่วๆ ไปให้ดูเป็นสาวมั่นใจก็ได้ งดใส่ออกกำลังกายเถิดเดี๋ยวขาดอากาศหายใจและหิวเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้ถือว่าลงตัวในแง่ของการปล่อยของแบบจงใจก็ได้ ดูลั่นล้าก็ดีประมาณนั้น ส่วนคุณผู้ชาย ถ้าชอบกลิ่นน้ำผึ้งเอาจริงๆ ก็ใส่ได้แบบพอดีๆ กลิ่นจะหอมหวานอบอุ่นแบบโปร่งๆ ได้เลยล่ะ

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 - 8 ชม. บวกลบบ้าง ซึ่งก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และพึ่งเคมีอยู่บ้าง 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น หอมโปร่งน้ำผึ้งติดผลไม้เปรี้ยวอมหวานมาเลย ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วจะเป็นออร่าบางๆ กึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย แล้วลอยมาจากแถวๆ หน้าอกคนใส่ประมาณนี้ 

ทิ้งท้าย ตอนแรกนึกว่ากลิ่นจะมาสายแปลกจัดๆ แต่กลิ่นนี้กลับเป็นตัวที่ไม่ได้แปลกมากแถมยังใช้ง่ายเสียด้วย ที่สำคัญเบลนด์กลิ่นได้ดีโดยใช้น้ำผึ้งเป็นศูนย์กลางที่ทำให้ได้อารมณ์หลายๆ อย่างแบบที่ไม่เอียนจนเกินไป ใครชอบน้ำผึ้งลองดูไม่เสียหายนะนั่น 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://media.escentual.com/catalog/product/cache/7/image/129246a25eb2c111236d81eb364eda2b/n/o/noel_au_balcon.jpg และ https://fimgs.net/images/secundar/o.13567.jpg

Review: Etat Libre d’Orange - You or Someone Like You

Etat Libre d’Orange - You or Someone Like You 

เข้าสู่การรีวิวเป็น Series แบรนด์เดียวต่อเนื่อง ซึ่งคราวนี้ขอมาลุยกับแบรนด์ที่มีความแนวและมีเอกลักษณ์อย่างชัดเจนมาก อย่าง Etat Libre d’Orange ที่ปัจจุบันนี้ได้ขยับขยายมาสู่ประเทศไทยเรากับการมีเคาน์เตอร์ตั้งอยู่ที่ Siam Paragon แล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เห็นว่าตลาดน้ำหอม Niche บ้านเราเริ่มโตขึ้นแล้ว 

เช่นนั้นตัวที่เปิด Series ที่จะมาบอกเล่านี้ ถือว่าเป็นรุ่นที่เปิดตัวล่าสุดของปี 2017 ของแบรนด์นี้เลย ซึ่งอาจจะยังไม่ได้เข้ามาไทยเพราะมันใหม่จัดๆ แต่ก็ขอมาปูทางกันก่อนที่จะไปเจอบางรุ่นที่เข้ามาวางขายในไทย ซึ่งตัวที่จะกล่าวถึงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อYou or Someone Like You ของ Chandler Burr โดยเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นที่ LA เลยจะมีลักษณะที่เข้าทางการ Tribute กลิ่นให้เข้ากับการเป็นเมืองนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนิยายจะไม่พูดถึง เพราะไม่เคยอ่าน แต่จะมาเล่ากันดีกว่าว่ากลิ่นนี้จะออกมาในลักษณะไหน

You or Someone Like You เรียกว่ามาแบบโชว์เหนือ เพราะจะไม่เปิดเผย Notes เลยว่ามีอะไรบ้าง นี่เลยเป็นเสมือนข้อสอบชั้นดีในการแยกกลิ่นเต็มๆ โดยเมื่อฉีดกลิ่นในช่วงแรกจะมาเต็มๆ เลยกับกลิ่นอายเขียวๆ ของมินต์ที่พุ่งขึ้นมาให้ความรู้สึกแบบกลิ่นใบมินต์ที่เราขยี้ๆ ดม กลิ่นจะมีความเขียวแปร่งๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งกลิ่นจะโปร่งสบายจมูกมาก แล้วก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบผลไม้แบบคมๆ ที่น่าจะมาจากแบล็คเคอร์แรนท์เสริมเข้ามาและจะมีโทนธรรมชาติแบบใบแบล็คเคอร์แรนท์ที่จะติดแอมโมเนียนิดๆ ด้วย เรียกว่าเปิดมาก็ธรรมชาติแบบสายกลิ่นอายเขียวสดชื่นติด Spicy โปร่งๆ จัดเต็มกันเลย อาจจะไพล่ไปแนวๆ ยาสีฟันที่มินต์เด่นบ้างนิดหน่อย ซึ่งกลิ่นอายของมินต์จะเปรียบเสมือนเป็นตัวหลักของน้ำหอมรุ่นนี้ลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ โดยช่วงกลางความเป็นมินต์จะลดความซ่าลงมาให้มีโทนสบายๆ นวลๆ ซึ่งจะจับได้ถึงกุหลาบที่มาลักษณะนวลสะอาด มีกลิ่นอายของการเป็นโทนดอกไม้แบบนวลๆ เบาๆ ที่เรียกว่ามาสายสนับสนุนที่ดีให้กลิ่นโทนเขียวนุ่มขึ้น และเริ่มมีความเป็นสายสมุนไพรติดเขียวนวลๆ เข้ามาผสมผสานซึ่งยังเป็นโทนที่เสริมให้กลิ่นแนวๆ มินต์เด่นซึ่งน่าจะมาจากยูคาลิปตัส กลิ่นในช่วงนี้จึงได้อารมณ์อะโรม่าแบบสมุนไพรสดชื่นเคล้าดอกไม้นวลๆ ได้ลงตัวและธรรมชาติเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าช่วงท้ายสุดความครีมมี่จะเริ่มสัมผัสได้จากโทน White Musk ที่ทำให้กลิ่นมีความสะอาด นุ่ม และครีมมี่ กลิ่นมีโทนไม้หอมอ่อนๆ และมีคล้ายๆ โทนพิมเสนจางๆ บางๆ ให้กลิ่นมีลูกเล่น โดยยังคงความเป็นกลิ่นโทนมินต์และสมุนไพรอยู่ให้รับรู้ไปตลอด โดยที่กลิ่นไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาก มีความเป็นธรรมชาติ และมีความหรูหราให้จับต้องได้เสียด้วย และถือว่าเป็นลูกเล่นสีเขียวสบายตากับโทนสีขาวในความรู้สึกได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมาสายที่ใช้ได้หมดทุกเพศ ให้ความอะโรม่าท่ามกลางความสดชื่น เพราะกลิ่นมินต์จะให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับมาบ้านที่ทำให้เราผ่อนคลายและรื่นรมย์สดชื่นได้ประมาณนั้น กลิ่นเลยสามารถใช้ได้แบบกวาดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป มาสาย Safe Scent กันเต็มๆ ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรา กลิ่นนี้ใส่เผื่อผ่อนคลายสบายๆ ได้เลย แต่ถ้าใส่ไปเต้นแร้งเต้นกาในสถานที่ท่องราตรี กลิ่นสู่คนอื่นไม่ได้หรอกเพราะเบาไป

ความทน - กลิ่นนี้มาเป็นน้ำหอมสาย Aromatic Green ที่ทำให้เกิดความผ่อนคลายสบายๆ ซึ่งดูเหมือนอาจจะไม่ทน แต่เอาจริงๆ กลิ่นทนถึง 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงประเภทของผิวที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่ากลิ่นมินต์สดชื่นมาเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วจึงเป็น Skin Scent ชัดเจนในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ซึ่งส่วนตัวไม่เคยไป LA ก็คงตอบไม่ได้ว่ามันตอบโจทย์ไหม แต่ถ้าจะบอกว่าน้ำหอมตัวนี้มาแปลกไหม ก็แปลกอยู่ แต่แปลกตรงที่ว่า กลิ่นมันไม่แปลกเหมือนน้ำหอมตัวอื่นๆ ในแบรนด์ มันดันให้อารมณ์แบบเหมือนเราผ่อนคลายกับกลิ่นมินต์ที่คุ้นเคย ซึ่งกลิ่นถือว่าทำได้ดีในแง่กลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติจำลองความเป็นสภาพแวดล้อมมาได้น่าสนใจแบบที่จะเห็นภาพบ้านสะอาดๆ อากาศดีๆ กลิ่นมินต์ทำให้ผ่อนคลาย แต่ถ้าจะบอกว่าจะหา Safe Scent ของแบรนด์นี้จากตัวไหน ก็เล็งมาที่ตัวนี้ได้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://twistedlily.com/wp-content/uploads/email3-032917.jpg