วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Avon – Today Tomorrow Always Amour


Avon – Today Tomorrow Always Amour

Avon นี่ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผมเซอร์ไพร์สมากมายเลยนะครับ เพราะน้ำหอมดีงามมากเลยในหลายๆ ตัว แถมบางตัวนี่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลย เพียงแต่คนไทยหลายๆ คน มักจะมองว่า Avon คือแบรนด์เครื่องสำอางขายตรงเลยทำให้มองข้ามน้ำหอมแบรนด์นี้ไป แถม Avon ไทยเองก็นะ ไม่ได้คิดจะเอาน้ำหอมดีๆ เข้ามาเล๊ยยยย เอาแต่ตัวเพลนๆ เข้ามา ปวดตับ เช่นนั้นเราได้ตัวงามงดที่น่าสนใจผ่านการแนะนำมา เลยต้องมาบอกเล่าความดีงามกันหน่อย นั่นคือรุ่นนี้ครับ Today Tomorrow Always Amour

ตรงๆ กลิ่นนี้ให้ความรู้สึกอย่างนึงสำหรับผมเลยครับ (แบบยังไม่เคยเห็น ad หรืออะไรมาก่อนนะครับ) นั่นคือ ผู้หญิงในชุดแต่งงานสวยสะพรั่ง ซึ่งเป็นวันแห่งความทรงจำที่มีความสุขมากมายก่ายกองแน่ๆ ล่ะ แน่นอนเพราะกลิ่นนี้สวยจริงอะไรจริง เปิดต้นกลิ่นด้วยกลิ่นโทนซิตรัสติดเขียวๆ สดชื่นก็จริง หอมใสๆ เลยล่ะ แต่สิ่งหนึ่งคือกลิ่นโทนหวานจะแทรกเข้ามาเป็นกลิ่นออกโทนเปรี้ยวอมหวานติดเขียวสดชื่นลงตัวมาก กลิ่นเปิดแบบนี้สามารถทำให้เสียตังค์ซื้อได้ในครั้งแรกที่ดมเลย เพราะกลิ่นเปิดดีจริงๆ และเพียงไม่นานกลิ่นโทนดอกไม้สีขาวหอมอ่อนๆ นุ่มๆ ติดฉ่ำๆ ของมะลิและดอกกระดิ่งจะออกมาให้ความรู้สึกนุ่มนวลชวนฝันแบบโทนสีขาว มีโทนสดชื่นของดอกแมกโนเลีย และไม่มีโทนแป้งมาให้รู้สึกแน่นแต่ประการใด กลิ่นในช่วงนี้เรียกว่าหอมงามแบบดอกไม้โทนสดชื่นกันเต็มๆ กลิ่นแบบเขียวสดชื่นในช่วงต้นก็ยังคงมีอยู่ ทำให้รู้สึกแบบเบ่งบานและรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก และปิดท้ายที่กลิ่นโทนสะอาดนุ่มๆ ของ Musk ที่จะมีโทนวู้ดดี้อ่อนๆ ให้เกิดความรู้สึกนุ่มนวล กลิ่นของโทนดอกไม้ยังมีติดตามมาแบบอ่อนๆ ทำให้รู้สึกติดโรแมนติคแบบสีขาวสะพรั่ง ซึ่งคุมโทนแบบนี้มาตั้งแต่ต้นยันจบไม่มีผิดเพี้ยนเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็ใส่ได้แล้วครับ กลิ่นออกทางหอมละมุนสร้างความสุขและโรแมนติคเลยล่ะ สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แน่นอนถ้างานแต่งไม่ว่าตัวเองหรือของใคร มันจะเข้าทางมากเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้ว นอกนั้นถ้าใส่ทำงาน ออกงานทางการ หรือทั่วๆ ไป ก็สามารถ ยกเว้นใส่ออกกำลังกายหรือลุยๆ เดินป่า ขุดหาเผือกหามัน ก็คงไม่น่าจะใช่นัก ใส่ยามกลางคืนแบบโรแมนติคก็ได้เลย แต่ใส่ไปเมาแอ๋จนนอนแหกอยู่ริมฟุตบาท กรุณาอย่าแล้วกันครับ

ความทน – เรียกว่ากำลังงามตามเนื้อกลิ่นกับประมาณ 6 - 8 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวและปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่คงคอนเซปท์ตั้งแต่ต้นยันจบถึงการเป็นกลิ่นโรแมนติค ความรัก และโทนสีขาวสะพรั่งที่สวยงามเลยล่ะครับ

ทิ้งท้าย – กลิ่นงามมากจริงๆ ขนาดผมเองลองใช้เองหลายครั้ง ก็แบบว่า เฮ้ย หอมจริงจัง ใครจะแซวว่าใส่น้ำหอมสาวแค่ไหน ก็หาแคร์ไม่ กลิ่นมันโรแมนซ์มากจนฟินไปเลยล่ะครับ เทกระจาดไลค์ให้ Avon เลยกับน้ำหอมผู้หญิงรุ่นนี้

ป.ล. ขอบคุณคุณริวมากๆ เลยนะครับ ที่แนะนำให้รู้จักตัวนี้ กลิ่นหอมงามมากกกก ยกนิ้วให้เลย kiki emoticon

Credit ภาพ: http://www.perfumedeals.com/blog/wp-content/uploads/2013/09/Avon-Today-Tomorrow-Always-Amour.jpeg

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Versace pour Homme Oud Noir


Versece pour Homme Oud Noir 

กระแสกฤษณา: Oud มาแรงเหลือเกิน แบรนด์ดังแทบทุกแบรนด์ต่างหันมาออกน้ำหอมที่มีความเป็น Oud กันให้ถ้วนหน้า และแน่นอน Versace หรือจะพลาด ก็ต้องมีกับเขาบ้าง ซึ่งผลที่ได้ออกมาจึงกลายเป็นรุ่น pour Homme Oud Noir กันเต็มๆ นี่เอง 

ในเมื่อต่อยอดมาจากรุ่น pour Homme เราต้องหาความเชื่อมโยงสินะ แต่ไม่เจออ่ะจ้า คงต่อยอดมาแค่ชื่อแหละครับ แต่ถ้าพอจะถูๆ ไถๆ ไปได้ก็คงเป็นที่เป็นความเข้าถึงง่ายในรูปแบบของน้ำหอมกลิ่น Oud เด่น เพราะคนไทยถ้าเจอ Oud จะคิดว่าแขกก่อนเสมอ แต่ตัวนี้ปรับให้กลิ่นใช้ง่ายขึ้นและ Modern มากเลยทีเดียว เปิดต้นกลิ่นด้วยกลิ่นซิตรัสจางๆ แบบกลิ่นส้มขมกลั้วกับเครื่องเทศเต็มๆ เครื่องแนว Spicy จะเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าช่วงกลางที่จะเริ่มมีกลิ่นของ Oud ดันขึ้นมาเรื่อยๆ แบบกำลังดี ไม่ได้มาแบบแขกตะวันออกกลางจนเป็นกลิ่นแนวผัวแขกเมียแขกอะไรจัดเต็ม ซึ่งกลิ่นจะเด่นตีคู่กับโทนเครื่องเทศซึ่งจะผันตัวเองจนหวานกำลังดี ซึ่งแอบจับได้ถึงกลิ่นเม็ดกระวานที่นัวอยู่ในช่วงนี้ โดยกลิ่นจะเริ่มออกทางดาร์กดึงดูดแบบทันสมัย และมีความเย้ายวนแบบเซ็กซี่ที่กำลังดี ไม่ได้ออกทางยั่วจนโจ่งแจ้ง ออกทางปล่อย Sex Appeal ทางด้านกลิ่นเสียมากกว่า จนปิดท้ายที่กลิ่นโทนวู้ดดี้ที่เข้ามาเสริมทัพแบบดันให้กลิ่น Oud ยังคงอยู่เช่นเคย มีความนุ่มนวลจมูกกลิ่นมีโทนสาปหนังจางๆ ให้รู้สึก เรียกว่าเป็นช่วงอบอุ่นแบบนัวๆ ซึ่งในช่วงนี้จะคาบเกี่ยวได้ 2 ลักษณะเลย คือ จะนิ่งๆ สุขุมก็ได้ จะเย้ายวนแบบมีชั้นเชิงก็ดี โดยกลิ่น Oud ก็ยังคงตัวในเรื่องของความทันสมัยในเนื้อกลิ่น เรียกว่า Versace ทำกลิ่นนี้ออกมาได้ Mass มากเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นออกทางเย้ายวนก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายว่าใส่งานทางการไม่ได้ เพราะกลิ่นมันคาบเกี่ยวกับความอบอุ่นภูมิฐานติดทางดาร์กในระดับหนึ่ง นอกนั้นไม่ว่าจะใส่ทำงาน ใส่ชิลล์ๆ ใส่แบบไปอยู่กับแฟน ก็ได้หมด ขอยกเว้นเรื่องการใส่ออกกำลังกาย ส่วนเที่ยวกลางคืน จัดไปครับ ใส่ได้สบายๆ เลยล่ะ เรียกแขกแบบกำลังดีได้ด้วยน

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. โดยประมาณ ซึ่งเกินกว่านี้ได้ ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและจะลดลงมากลางๆ ปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวชวนดึงดูดครับ

ทิ้งท้าย - ใครที่สนใจอยากลองน้ำหอมกลิ่นกฤษณา: Oud ที่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป ตัวนี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีมากตัวนึงที่จะทำให้รู้จักกลิ่นโทนนี้ และอาจจะหลงไปเลยก็ได้นะครับ ขอบอกกกกก

Credit ภาพ: http://www.parfani.com/wp-content/uploads/2014/07/versace-oud-noir3.jpg

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Maison Francis Kurkdjian - Aqua Universalis Forte


Maison Francis Kurkdjian - Aqua Universalis Forte

เดิมทีผมเองไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลย พอได้เห็นและได้รู้มาว่าความเข้มข้นในน้ำหอมแบรนด์นี้เรียกว่ามาเต็มและจัดหนักมากกว่าน้ำหอมทั่วไปถึง 40% ตาก็วาวสิจ้ะ เมื่อได้ลองเท่านั้นแหละ ถึงกับต้องลุกขึ้นปรบมือให้เลยกับ Maison Francis Kurkdjian เพราะว่ารุ่น Aqua Universalis Forte ช่างดีงามเลยทีเดียว 

เปิดต้นกลิ่นกับโทนซิตรัสที่จะมาเพียงแว้บเดียวพอให้รู้สึกกับกลิ่นสดชื่น แต่กลิ่นโทนดอกไม้สีขาวนุ่มๆ กลั้วกลิ่นกุหลาบนวลๆ จะดันขึ้นมาผสมผสานเร็วมาก จนกลายเป็นกลิ่น Citrus Floral ที่หอมสดชื่นปนนุ่มนวลได้งามงดมาก กลิ่นได้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างลงตัวมากมายก่ายกองจนแบบว่าฟิ๊น ฟินนนน และกลิ่นของมะลิและมวลมหาดอกไม้สีขาวและกุหลาบจะหอมนวลอวลและเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงกลางของน้ำหอมตัวนี้ แต่สิ่งหนึ่งคือกลิ่นซิตรัสในช่วงต้นยังคงมีอยู่ให้รู้สึกได้ ทำให้กลิ่นไม่ออกโทนแป้ง กลายเป็นโทนกลิ่นอวลๆ ตามธรรมชาติได้ลงตัว กลิ่นไม่หนักจนแน่นจมูก จะหอมนุ่มนวลผู้ดี๊ ผู้ดีไปตลอด เรียกว่ามีระดับมีคลาสแบบไม่ต้อง Wannabe เลย จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นกลิ่นโทนหอมนุ่มสะอาดของ Musk มีโทนวู้ดดี้อ่อนๆ ให้รู้สึกได้ โดยกลิ่นหอมดอกไม้สีขาวยังคงอยู่ไปตลอด ซึ่งภาพรวมกลิ่นหรูหรามากไม่พอ ยังมีความหนักแน่นในความเรียบง่ายแบบโทนสว่างและความเป็นธรรมชาติสูงมากจริงๆ ยกนิ้วให้เลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยล่ะ ซึ่งอาจจะออกทางผู้หญิงซัก 60% แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ครับ แถมจะให้ความรู้สึกแบบผู้ดีหรูหรามีระดับจะเนี้ยบนิ๊งโทนสว่าง ไม่โฉ่งฉ่างแบบ Try to be แต่ประการใด ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ขอยกเว้นใส่เพื่อออกำลังกาย เพราะมันแพงและเปลืองไม่พอ กลิ่นดอกไม้แบบนี้อาจจะไม่เข้ากับเหงื่อเท่าไหร่นัก ส่วนยามกลางคืนก็ใส่ได้แบบสถานการณ์ทั่วไปหรือออกงานกับชุดโทนสว่างออกขาวนวล ยิ่งใส่ไปงานแต่งนะ กลิ่นแบบใช่เลยล่ะครับ

ความทน - ความเข้มข้นล่อไปที่ 40% ขนาดน้านนนน ทนข้ามวันข้ามคืนเลยจ้า เพราะขนาดใส่ตั้งแต่ 6 โมงเช้า เที่ยงคืนกลิ่นยังตีขึ้นให้รู้สึกได้ ยังไม่พออาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดจางๆ ให้รู้สึกได้ เสื้อที่ใส่ยามฉีดน้ำหอมตัวนี้ ซักแล้วมารีดกลิ่นยังลอยขึ้นมาเลย คือ ยกนิ้วให้เลยจ้า ของเขาดีจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นและคงที่แบบกระจายกำลังดีไปตลอดจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ที่จะเริ่มลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวหรูหรา กลิ่นตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนหรือขยับเนื้อตัว

ทิ้งท้าย - หอมจริง หอมจังแบบไม่ต้องพยายาม และผมดีใจมากมายที่ได้มีโอกาสลองตัวนี้ มันสุดยอดมากครับ บอกเลย!

Credit ภาพ: http://www.luckyscent.com/images/products/49824.jpg

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Guerlain Vetiver


Guerlain Vetiver

นี่คือหนึ่งในน้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นสุภาพบุรุษสะอาดสะอ้านมีคลาสมีระดับมากเลยทีเดียว ซึ่งยังไม่พอได้รับความนิยมมากและเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นหญ้าแฝกนำเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยล่ะครับ ซึ่งนี่คือ Guerlain Vetiver ครับ 

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมเองไม่เคยได้ลองรุ่นนี้ในแบบ Vintage มาก่อน การรีวิวนี้จึงจะอิงจากรุ่น Re-launched ในปี 2000 นะครับ

เปิดต้นกลิ่นยามแรกฉีดกับกลิ่นโทนซิตรัสติด Old School หน่อยๆ แบบคมๆ เลยเพราะเลมอนกับมะกรูดจัดเต็มมาก โดยมีกลิ่นโทนซ่าๆ ติด Spice ของเม็ดผักชีรองพื้นด้านหลัง และยังมีกลิ่นโทนแบบสบู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้จะออกทางสดชื่นแบบฉ่ำๆ มาเต็มและแน่นเลยทีเดียว จนเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่งานนี้พระเอกของเรามาแล้วววว นั่นคือ หญ้าแฝก ซึ่งจะให้ความรู้สึกฉ่ำๆ ซ่าๆ แบบอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ กลิ่นโดยรองพื้นที่กลิ่นโทนไม้หอมที่ออกทางกลิ่นอายสะอาด โดยมีความเท่ห์แบบสุภาพบุรุษชัดเจน และจะเริ่มมีกลิ่นของใบยาสูบหวานๆ กำลังดีดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes ที่กลายเป็นกลิ่นอายสบู่ครีมมี่นุ่มนวลกลั้วกลิ่นอายยาสูบและหญ้าแฝกไปตลอด กลิ่นไม่ได้ออกทางเขียวๆ ก็แมนได้ แถมได้อารมณ์แบบมีระดับไปตลอดเสียด้วย ซึ่งเหมือนได้เห็นและได้กลิ่นผู้ชายแต่งตัวสะอาดสะอ้าน หวีผมเรียบแปล้แบบสมัยนิยม มีความเป็นธรรมชาติในตัวเอง รวมถึงอบอุ่นมีระดับกำลังงามยังไงยังงั้นเลยครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ยิ่งถ้าใครสูบบุหรี่กลิ่นนี้จะเข้าทางมาก เพราะมีตัวเอื้อให้กลิ่นบุหรี่ที่ติดตัวเป็นกลิ่นที่มีความหอมเอกลักษณ์ ไม่ได้เหม็นกลิ่นบุหรี่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งหญ้าแฝกและยาสูบ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งได้หมดทั้งงานทางการและไม่ทางการ แต่จะยืนพื้นที่ความเป็นสุภาพบุรุษที่เข้าทางกับงานทางการมากเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนแบบโรแมนติคหรือทั่วๆ ไปจัดได้สบายๆ ใส่ไปเมาเหล้ายังได้เลย เพียงแต่ไม่ได้เน้นยั่วยวนมากเท่าไหร่ ออกทางสุภาพบุรุษมากกว่าเท่านั้นเอง

ความทน – อยู่ที่ 8 ชั่วโมงโดยประมาณ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอด จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ไม่แปลกใจว่าทำไมคนรักน้ำหอมตัวนี้มาก เพราะหญ้าแฝกในตัวนี้กลิ่นงามแบบมีระดับมากเลยล่ะครับ

Credit ภาพ: http://farm1.static.guerlain.com/sites/default/files/styles/image_main/public/products/P030318/images/P030318.png?itok=5Lwc-2jF

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Lanvin - Eclat d'Arpege pour Homme


Lanvin - Eclat d'Arpege pour Homme

เอาเข้าจริงรุ่น Eclat d'Arpege นี่ออกมานานแล้วนะครับ เพียงแต่มีเพียงแค่ของผู้หญิง พอมาเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา Lanvin จึงได้ฤกษ์ออกของผู้ชายตามมาเสียที และตอนนี้ถ้าไปตามเคาน์เตอร์จะเห็นแน่นอน เพราะเป็นตัวหลักในการโปรโมตโซนน้ำหอมชายของแบรนด์นี้เลยนั่นคือ Eclat d'Arpege pour Homme ครับ 

คง Concept ของ Lanvin ไม่มีผิดเพี้ยนกับความเรียบ นิ่ง มีระดับในเนื้อกลิ่น เริ่มที่ Top Notes กับการปล่อยโทนซิตรัสออกมาที่มีทั้งส้ม มะกรูด และมะนาว กลิ่นหอมสดชื่นแบบนิ่งๆ ดีมาก ซึ่งจะมาแบบไม่คมเกินไปจนเสียดจมูก ซึ่งก็ Safe Scent หอมแบบมหาชนชอบกันตั้งแต่ตอนนี้เลยทีเดียว ส่งต่อให้ช่วง Middle Notes ที่โทนซิตรัสยังคงอยู่ แต่จะมีโทนเขียวๆ ติดเย้าของใบไวโอเล็ต และมีโทนสมุนไพรซ่าๆ ของโรสแมรี่มากลั้ว เลยทำให้ได้กลิ่นออกทางสดชื่นติดเขียวนุ่มๆ ไปตลอด และปิดท้ายด้วย Base Notes กับความเป็นวู้ดดี้อ่อนๆ กลั้วความนุ่มสะอาดของ Musk กลิ่นจะอบอุ่นเบาๆ โดยยังมีโทนเขียวนุ่มๆ ในช่วงกลางมาผสมผสานอยู่นั่นเอง ซึ่งโดยภาพรวมน้ำหอมตัวนี้กลิ่นอาจจะไม่ได้หวือหวามาเหนือเมฆ แต่มาในลักษณะที่เข้าถึงง่าย สบายๆ กลิ่นหอมแบบปลอดภัยใส่ยังไงก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้อย่างสบายๆ โดยที่ยังมีความนิ่ง เรียบ และมีระดับในเนื้อกลิ่นอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่เด็กน้อย เอาเข้าจริงก็ใช้ได้ครับ กลิ่นเข้าถึงง่าย มหาชนชอบและไม่ได้เป็นกลิ่นที่รบกวนใครมากเสียด้วย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ หรือออกำลังกายยังได้เลย ที่สำคัญกลิ่นเหมาะกับอากาศร้อนๆ บ้านเรามาก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าชิลล์ๆ ผ่อนคลายทั่วไปก็ได้อยู่ แต่ถ้าจะใส่ไปเที่ยวอย่าเลย เบาไปครับ

ความทน – อยู่ที่ 6 – 8 ชั่วโมง อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าอัดสเปรย์อาจจะทนได้มากขึ้น เพราะอย่างผมจัดไปที่ 6 สเปรย์แบบกดเต็มเหนี่ยว ล่อไปถึง 10 ชม. ได้อยู่ครับ

การกระจาย – เพราะมาแบบนิ่งๆ เลยไม่ได้กระจายหนักมาก ออกแนวกลางๆ Safe Scent ไปเรื่อยๆ จนปิดท้ายด้วย Skin Scent แต่จะตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนครับ

ทิ้งท้าย – กลิ่นใช้ง่ายมากจริงๆ และเป็นหนึ่งใน Safe Scent ที่ดีมากเหมาะสำหรับคนที่จะเริ่มต้นใช้น้ำหอมได้สบายๆ เลยล่ะครับ

Credit ภาพ: http://image.thefashionisto.com/wp-content/uploads/2015/02/Lanvin-Eclat-Darpege-Pour-Homme-Fragrance-Campaign-2015.jpg

Review: Giorgio Armani – Code Ultimate


Giorgio Armani – Code Ultimate 

Code หลายๆ ตัวทั้งที่เป็นต้นตระกูลและตัวแยกแตกออกมาก็ได้กล่าวถึงไปกันเกือบจะหมดแล้วในไลน์ของผู้ชาย แต่มีอีกรุ่นที่เรียกว่าออกมาต่อยอดความแรงของ Code ให้เรียกว่าจัดเต็มให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นคือ Code Ultimate งานนี้จะหวานเย้าให้ชวนนัวไปข้างหรือไม่ ลองมาดมผ่านตัวหนังสือกันครับ 

เปิด Top Notes กันเต็มๆ เลยด้วยความเป็น Armani Code แบบเต็มเปี่ยมมากมายเพราะกลิ่นของโป๊ยกั๊กหวานเย้ายวนกลั้วซิตรัสเบาๆ กลิ่นมันคือ Armani Code กันอย่างชัดเจน แต่ที่จะรู้สึกได้คือ มันจะมีความอบอุ่นแฝงในเนื้อกลิ่นไปตลอด มากกว่าที่ Code ธรรมดาเคยทำได้ แถมมาเต็มแน่นและหนักหน่วงเลยล่ะ จนเมื่อเข้า Middle Notes งานนี้กลิ่นโทนครีมมี่กลั้ววู้ดดี้จะออกมา กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนจากความเป็น Code ปกติมาเป็นความอบอุ่นมากขึ้นโดยไม่ทิ้งความหวานในตอนต้นของโป๊ยกั๊ก ที่สำคัญได้กลิ่นยาสูบกำลังดีในช่วงนี้ที่เป็นลักษณะเดียวกับ Code ต้นตระกูลซึ่งจะมีความเมโทรในเนื้อกลิ่นสูงเลยความแน่นที่ช่วงต้นมียังไง ช่วงนี้ก็ยังแน่นอย่างนั้น ยังไม่พอ ส่งต่อความที่สุดในช่วง Base Notes ที่ทั้งแน่นและอบอุ่นติดครีมมี่สุดๆ เพราะขนมาเลยจ้าทั้งวานิลลา และถั่วตองก้าที่ให้กลิ่นออกทางครีมมี่นุ่มๆ ข้นๆ มีกลิ่นอาย Smoky จางๆ และยังมีความหวานติดมาประปราย แต่กลิ่นตอนนี้แหละคือความน่าซุกน่าซบเอาหน้าถูไปมาที่สุด เพราะกลิ่นหอมรัญจวนจัดเต็มมาก กลิ่นไม่ลดราวาศอกเลยจ้า สมแล้วที่ห้อยท้ายชื่อรุ่นว่า Ultimate

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นออกโทนหวานเมโทรชวนซบก็จริง แต่มันมีความอบอุ่นไปด้วยตลอด ซึ่งสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน เช่น ทำงานห้องแอร์ฉ่ำๆ หรือออกงาน รวมถึงเชิงโรแมนติค แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ ไม่เช่นนั้นจะปล่อยของจนคนใส่อาจจะขาดอากาศหายใจไม่พอ คนรอบข้างจะอึดอัดเอาได้ แน่นอนตัดออกไปได้เลยเรื่องใส่ออกกำลังกายหรืออยู่กลางแจ้งมีฆ่าชาวบ้านได้นะ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือเที่ยวกลางคืน กลิ่นนี้เรียกร้องความสนใจได้ดีกว่าต้นตระกูลแน่ๆ เพราะมาแน่นกว่าแรงกว่าจัดเต็มกว่า และซึ่งถ้าน้องๆ มหาลัยจะใส่ในช่วงกลางคืนแบบนี้ก็ใส่ได้ครับ

ความทน – มากกกก12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นเต็มๆ เลยจ้า

การกระจาย – กลิ่นกระจายหนักและดีเว่อร์ในช่วงต้น และจะกระจายดีไปตลอดจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ก่อนจะลดเป็นกระจายกลางๆ ครับ เรียกมามาเต็มเลยล่ะนะ ตัวนี้

ทิ้งท้าย – วันอากาศเย็นๆ ตัวนี้จะเหมาะมาก แต่ถ้าวันร้อนนรกแตก นี่มีโดนมองด้วยหางตาแถมทำปากมุบมิบใส่สุดๆ ด้วยนะขอบอก (โดนมาแล้วจ้า 55555) ซึ่งกลิ่นหอมจริงอะไรจริง มีความเป็น Code ที่เพิ่มความแน่นและอบอุ่นรัญจวนเต็มเปี่ยมเลยล่ะครับ

Credit ภาพ: http://парфюм-москва.рф/UserFiles/Image/img25674_11446.jpg

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Christian Dior – Fahrenheit Le Parfum


Christian Dior – Fahrenheit Le Parfum

เพราะต้นตระกูลเป็นที่นิยมและกระจายเอาซะรอบทิศแบบมาดแมนเหลือทนขนาดนั้น เลยทำให้มี Flanker ออกมาเป็นลูกหลานต่างๆ มากมาย ซึ่งก็เคยกล่าวถึงไปแล้วหลายตัวเลยทีเดียว และก็ได้เวลากับตัวล่าสุดของไลน์ Fahreheit ของ Christian Dior นี้แล้ว ว่าจะมาได้เทพขนาดนั้น นั่นคือ Fahrenheit Le Parfum ครับ 

กลิ่นนี้มีความเชื่อมโยงกับความเป็น Fahrenheit ในแบบที่เป็นกลิ่นหนังนำเด่น แต่อารมณ์ในแบบที่เป็นกลิ่นโทนแบบอู่ซ่อมรถ ปั๊มน้ำมัน หรือแนวๆ ยางมะตอย นั้นกลายเป็นเบาบางแทน เพราะ Top Notes จะกลายเป็นกลิ่นโทนหนังกลับนุ่มปนความหวานของชะเอม มีติดกลิ่นส้มนิดๆ ให้พอรู้สึกได้ เรียกว่ากลิ่นออกทางเย้ายวนแบบแมนๆ มีกล้ามแบบเมโทรมากกว่าจะล่ำบึ้กหนุ่มซ่อมรถอย่างที่เคยเป็น จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes คราวนี้กลิ่นของความเจ้าชู้จะเริ่มมาแล้ว ซึ่งกลิ่นช่วงต้นก็จะยังอยู่ แต่จะมีกลิ่นรัมมาเต็ม โดยจะมีโทนเขียวเย้ายวนของใบไวโอเล็ตมาเสริมทำให้กลิ่นน่าดึงดูดเข้าไปอีก ยังไม่พอเครื่องเทศโทนหวานติดปร่าจะมาร่วมด้วยที่ทำให้ได้กลิ่นโทนหวานเย้ายวนเข้าไปด้วย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะหอมนัวมาก แบบว่ามีทั้งความอบอุ่นและดึงดูดออกทางจุดไฟติดได้เลยล่ะครับ ก่อนที่กลิ่นจะเริ่มอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับจนเข้า Base Notes กันเต็มๆ ซึ่งกลิ่นของวานิลลาจะเริ่มมาเป็นนำเด่น โดยที่ผมแอบจับกลิ่นของโทนธูปและ Oud ได้อยู่ในเนื้อกลิ่น เพียงแต่จะมาแบบเบาๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นโทนอบอุ่นติดเซ็กซี่เลยล่ะ เพราะกลิ่นออกทางยั่วแบบแมนๆ ยวนใจให้แบบอยากซบกันได้เลยทีเดียวล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป อย่างน้อยถ้าผ่านโซน Fahrenheit ปกติมาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ไวมากขึ้นเลยล่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่เคยผ่านไลน์นี้ตัวใดมาเลยจะรับไม่ได้นะครับ ใครชอบโทนหวานเข้มๆ อาจจะปลื้มปริ่มกันได้เลยทีเดียว ซึ่งเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ออกทางการเกินไปนัก โดยจำกัดจำนวนสเปรย์ หรือใส่อยู่ในห้องแอร์จะดีที่สุด เพราะถ้าเจออากาศร้อนนี่เอารอบทิศแน่นกันได้ งดใส่ออกกำลังกายถ้าไม่อยากขาดอากาศหายใจ รวมถึงทำให้คนอื่นจุกคอหอย ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายๆ เลยครับ กลิ่นออกทางเย้ายวนอบอุ่นและเร่าร้อนได้ลงตัวไม่น้อยเลยล่ะครับ

ความทน – ประมาณ 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวเพียงแค่จัดไม่เกิน 4 สเปรย์ 10 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่จ้า

การกระจาย – กลิ่นกระจายหนักหน่วงเลยในตอนแรกแบบแสดงความเป็นต้นฉบับมาชัดๆ แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วยกระจายกลางๆ ใครเดินสวนหรือเข้าใกล้จะได้กลิ่นจนจางลงไปเรื่อยๆ ถึง Skin Scent

ทิ้งท้าย – เอาเข้าจริงผมว่าไม่ได้คล้ายกับรุ่นต้นตระกูลมากนักนะครับ ค่อนข้างจะเหมือนกับ Fahrenheit Absolute เสียมากกว่า เพียงแต่หวานเย้าเร่าร้อนกว่า และไม่ได้ติดโทน Smoky แบบตัวนั้น ซึ่งถือว่ากลิ่นดีไม่น้อยเลยสำหรับการเป็นรุ่น Le Parfum ในไลน์นี้

Credit ภาพhttp://magazin.flaconi.de/wp-content/uploads/2014/03/main1_21.jpg

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Ermenegildo Zegna - Z Zegna


Ermenegildo Zegna - Z Zegna

เรียกว่าเป็นน้ำหอมตัวยอดนิยมของแบรนด์สัญชาติอิตาลีอย่าง Ermenegildo Zegna เลยทีเดียวสำหรับรุ่น Z Zegna ที่หลายๆ คนที่เล่นน้ำหอมชายต้องเคยได้ดมหรือใช้มาบ้างล่ะ ที่สำคัญมีความ Sport แบบ Safe Scent ในเนื้อกลิ่นสูงด้วยนะนั่น เพราะว่า 

Top Notes เปิดตัวกับกลิ่นโทนซิตรัสที่ออกทางซ่าๆ ที่มาเต็มเหนี่ยวมาก มีโทนติดเขียวแบบสมุนไพรหน่อยๆ กลั้วกับความเป็นผลไม้ติดเปรี้ยวจางๆ ที่จะมาให้ความรู้สึกแบบเมทัลลิคกำลังดี กลิ่นจะเข้าถึงง่ายมากเลยทีเดียวในช่วงต้น ที่สำคัญเพียงแค่ช่วงนี้ ก็สามารถทำให้ควักกระเป๋าตังค์และจ่ายเพื่อซื้อน้ำหอมตัวนี้ได้ เพราะมันหอมแบบมหาชนชอบกันเลยทีเดียว ซึ่งพอเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นโทนเมทัลลิคเท่ห์ๆ จะเริ่มชัดขึ้นมากตีคู่กับกลิ่นซิตรัสจนกลายเป็นลักษณะแบบ Citrus Fresh Spicy ที่มีความเป็นแป้งรองพื้นด้านหลังเลย เพราะกลิ่นพริกไทยที่สดชื่นมาเต็มเหนี่ยวแบบไม่บาดจมูก กับจันทน์เทศที่ให้กลิ่นอายเมทัลลิคเย็นๆ ยังคงความเข้าถึงได้ง่ายแบบเท่ห์ๆ เลย กลิ่นออกทาง Sport ชัดเจน ปิดท้ายด้วย Base Notes ที่กลิ่นโทนเมทัลลิคเย็นๆ ช่วงกลางจะลดลงมากลั้วกับกลิ่นไม้หอมติดโทนสดชื่นสะอาดๆ แมนๆ โดยมีกลิ่นอายของพิมเสนเย้าเบาๆ ลงตัว เรียกว่าภาพรวมของกลิ่นเป็นน้ำหอมที่ใช้งานง่ายจริงๆ มีความเท่ห์ติด Sport ไปตลอดเลยทีเดียวล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไป ก็ใช้ได้แล้วครับ กลิ่นใช้ง่ายมาก เข้าถึงง่ายมาก มหาชนชอบเลยล่ะกลิ่นแบบนี้ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ยิ่งอากาศบ้านเราที่ร้อนโคตรๆ แบบนี้ให้ความสดชื่นได้ดีนักแล ส่วนยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไปก็ใส่ได้ครับ แต่ถ้าเน้นเอาไปหาเหยื่อ อาจจะไม่ได้เข้าทางนัก

ความทน – กลิ่นทนอยู่ที่ 6 – 8 ชั่วโมง อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้นครับ เป็นน้ำหอมที่ออกทาง Safe Scent อยู่แล้วจึงไม่ได้เน้นกระจายรบกวนใคร และคงตัวไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวและ Skin Scent ในที่สุด

ทิ้งท้าย – ง่ายๆ ครับ หนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของแบรนด์นี้ และเป็นตัวที่เรียกว่าใช้ยังไงก็รอดทางด้านกลิ่น ชาวบ้านไม่มองแรงใส่แน่ๆ ครับ

Credit ภาพ: http://www.zegna.com/files/live/sites/contenuti/files/contributed/fragrances/ZZegna/zzegna_100ml.jpg

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Chanel pour Monsieur


Chanel pour Monsieur 

หนึ่งในความคลาสสิคและเหนือกาลเวลาได้เลยล่ะครับ สำหรับรุ่น pour Monsieur ของ Chanel ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี 1955 จนปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมอยู่ แถมมีรุ่น Concentree และ EDP ออกมาแล้วเสียด้วย แต่อะไรจะเทียบได้กับรุ่นต้นตระกูล เช่นนั้นมาดมกลิ่นกันซะหน่อยดีกว่า 

เปิดต้นกลิ่นมาได้แบบธรรมชาติมากครับ กลิ่นซิตรัสของเลมอนและติดเขียวของใบเวอร์บีน่าเด่นมาก ให้ความสดชื่นแบบธรรมชาติมาก และกลิ่นมีความสะอาดอยู่ในตัวสูงจริงๆ ตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นสาปจางๆ ของหนังจะลอยขึ้นมาให้รู็สึกได้กลั้วไปกับกลิ่นสดชื่นในตอนต้น และมีกลิ่นอายของเครื่องเทศเบาๆ อย่างเม็ดกระวาน ที่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วง กลิ่นในช่วงนี้จะมีเสน่ห์มากให้ความรู้สึก Old School กำลังดี แบบผู้ชายเท่ห์ๆ แต่งตัวดีมีเครื่องประดับอะไรซักอย่างที่เป็นหนังพกพามาด้วย กลิ่นจะแมนแบบมีระดับกันเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นของ Oak Moss จะมาให้ควา่มเขียวแมนเต็มที่ก็จริง แต่ไม่ได้มาหนัก มาเบาๆ ลงตัว มีกลิ่นอาย Smoky ฉ่ำๆ และวู้ดดี้อ่อนๆ กลั้วไปตลอด มีความสะอาดสะอ้านแบบผู้ดีในเนื้อกลิ่น ซึ่งบ่งบอกได้เลยว่าเป็นกลิ่นอายของสุภาพบุรุษติดทาง Old School หน่อยๆ ร่วมสมัยกำลังดี หรูหราและเท่ห์แบบมีคลาสเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ยิ่งถ้าคนอายุเกิน 28 น่าจะชอบกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก จะเหมาะมากกับการแต่งตัวแบบใส่สูทผู้ไทด์ และงานทางการต่างๆ เพราะกลิ่นให้ความรู้สึกแบบสะอาดและมีระดับเลยทีเดียว ส่วนสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการก็สามารถใช้ได้ครับ สบายๆ ยามค่ำคื่นให้เน้นไปทางใส่งานทางการหรือไปดินเนอร์อะไรแบบนี้จะเข้าทางกว่าใส่ไปเมาแอ๋ตามลานเบียร์ครับ

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ลดระดับลงมากลางๆ และปิดท้ายกลิ่นการเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ใครเข้ามาใกล้ๆ ก็ยังได้กลิ่นครับ

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจว่าทำไมคนยังรักตัวนี้และได้รับความนิยมมาเสมอจริงๆ เพราะมันบ่งบอกถึงคำว่า Monsieur แบบที่เราเห็นตามภาพยนตร์ต่างประเทศที่ใส่สูท หวีผมเรียบแปล้ ดูสะอาดสะอ้าน และหรูหรามีระดับเลยล่ะครับ ^^

Credit ภาพ: http://static.petersofkensington.com.au/images/ProductImages/101194-Zoom.jpg

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Valentino - V pour Homme


Valentino - V pour Homme 

มาแล้วหนึ่งในกลิ่นที่เรียกว่าคาสโนว่าที่ Valentino ได้ปล่อยของออกมาเมื่อปี 2006 เรียกว่าขนกลิ่นโทนเย้ายวนแบบโคตรมั่นใจมาเลยล่ะครับ กับรุ่น V pour Homme 

เรียกว่าเปิด Top Notes มาผม Amazing มากเลยทีเดียว เพราะได้กลิ่นมะขามอ่ะ แต่เป็นมะขามผสมโทนซิตรัสที่มากับกลิ่นหวานติดเครื่องเทศของพริกไทยสีชมพู กลิ่นบอกเลยเรียกแขกกันตั้งแต่ต้นจ้า โดยจะยังคงความเป็นโทน Spicy ติดสดชื่นแบบนี้จนถึงปลาย Middle Notes เลย แต่จะมาผสานกับโทนอบอุ่นมากขึ้นกับกลิ่นโทนไม้หอมแบบอบอุ่นโดยมีกลิ่นอายของแป้งแบบโปร่งๆ ติดโทนหวานนุ่มลงตัวกำลังดี แบบมีกลิ่นซ่าๆ กับกลิ่นของโกโก้มาแจมด้วย เลยทำให้ได้กลิ่นแน่นๆ แบบเย้ายวนชวนซบกันเต็มๆ ในช่วงนี้ ส่งต่อให้ Base Notes ต่อเนื่องแบบเพิ่มความเซ็กซี่มากขึ้นด้วยกลิ่นอายของวานิลลาที่เด่นขึ้นมาแบบหอมนุ่มแบบโทนแป้ง มีความอบอุ่นจากไม้เนื้อหอม กลิ่นอายหอมเย้านุ่มนวลขาดใจของพิมเสนกับ Musk ที่ออกทางอะโรม่านุ่มจมูก โทนกลิ่นมีความแมนและออกทางอบอุ่นติดดึงดูดสุดๆ กลิ่นออกทางผู้ชายมั่นใจ กล้าปล่อยเสน่ห์แบบที่ก็มีของอ่ะนะ เพียงแต่ไม่ได้โจ่งแจ้งมากจนแบบว่าเรียกให้มายดซดจนหมดทั้งตัว เพราะยังมีความเป็นเมโทรเท่ห์ๆ อบอุ่นแฝงด้วยแบบมีมาดแบบนั่นเองล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นมีความเย้ายวนก็จริง แต่ก็สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน หรือชิลล์ๆ อยู่กับแฟน (บอกเลยจะเรียกการมานัวข้างๆ ได้มากเลยกลิ่นแบบนี้) ยกเว้นใส่เพื่อออกกำลังกายกลิ่นจะแน่นจุกจมูกกันพอดี ส่วนยามค่ำคืน จัดไปครับ กลิ่นเรียกแขกเลยล่ะครับ

ความทน - 8 ชั่วโมงขึ้นไปสบายๆ ส่วนตัวเจอมา 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รู้อยู่เล

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และลดลงมากระจายดี และปิดท้ายด้วยออร่าอบอุ่นเซ็กซี่ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - กลิ่นดีน่ะครับ ถ้า Lanvin Arpege pour Homme คือหนุ่มอบอุ่นชวนอยู่ใกล้และวางใจ ตัวนี้กลิ่นอายคล้ายกันแต่มาเต็มทางด้านยั่วยวนเซ็กซี่ชวนซบแบบเมโทรเสียมากกว่านั่นเองล่ะครับ

Credit ภาพ: http://ecx.images-amazon.com/images/I/714hyCkR7RL._SL1500_.jpg

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Hermes – Hermessence: Osmanthe Yunnan


Hermes – Hermessence: Osmanthe Yunnan

กลับมาที่ไลน์ Hermessence ที่เป็น Exclusiveของ Hermes อีกครั้ง แน่นอนว่าคราวนี้เราจะไปที่ประเทศจีนกันครับ เพราะว่ารุ่นน้ำหอมที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ จะมีชื่อว่า “ดอกหอมหมื่นลี้กับชาหอมจากยูนนาน” หรือ Osmanthe Yunnan นั่นเอง

Osmanthus หรือดอกหอมหมื่นลี้ เป็นไม้ดอกทนจัดเลยทีเดียวและให้กลิ่นหอมติดโทนผลไม้อย่างพีชหรือแอปริคอตสุกจัดๆ และกลิ่นจะหอมทรงพลังมากแถมกระจายดียิ่งนักสมชื่อหอมหมื่นลี้ ยิ่งถ้าออกดอกเป็นช่อพราวทั้งต้นนะ กลิ่นหอมสุดๆ ให้ความรู้สึกทั้งชื่นใจและหอมหวานชวนยิ้มอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งแน่นอนว่า Hermes ปล่อยกลิ่นนี้ออกมา สิ่งแรกที่เจอในช่วงต้นเลยคือ กลิ่นชาจีนที่จะมาแบบใสๆ กลั้วกับกลิ่นส้มที่ออกทางเปลือกหน่อยๆ เลยจะได้อารมณ์ชาหอมติดโทนเปรี้ยวอมหวานจางๆ กำลังดี และแล้วกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้จะค่อยๆ เบ่งบานออกมา กลิ่นจะหอมหวานแบบสดชื่นโปร่งๆ มากมาย โดยมีกลิ่นชาจีนหอมๆ รองพื้นด้านหลัง กลิ่นออกทางละเลียดเรื่อยๆ มาเรียงๆ ชีวิตไม่เร่งรีบ หอมหวานไปเรื่อยๆ จนเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้จะไปผสานกับแอปริคอต แบบว่ารับช่วงต่อไม่ให้กลิ่นหลักของตัวเอกต้องหายไป แต่จะส่งให้โทรฟรุตตี้ติดโทนแห้งๆ ที่ออกโทนหวานเบาๆ มากกว่าจะติดเปรี้ยวเด่นขึ้นมา กลั้วไปกับกลิ่นหนังนุ่มๆ ทำให้กลิ่นออกทางอ่อนโยนเรื่อยๆ มาเรียงๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวครับ

เหมาะสำหรับ – Unisex ครับ กลิ่นใช้ได้ทั้งชายและหญิงเลย เพียงแต่จะออกทางผู้หญิงประมาณเกือบ 70% ได้ เพราะโทนกลิ่นที่ออกทางผลไม้นั่นเอง สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือไม่ทางการ กลิ่นออกทางหวานหอมเรื่อยๆ เรียบๆ น่าไว้วางใจและทำให้สดใสกำลังดี ส่วนยามค่ำคืนอาจจะพอได้แบบชิลล์ๆ ทั่วไปครับ

ความทน – อยู่ประมาณ 6 ชั่วโมงกับอากาศบ้านเรา และอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วย ซึ่งถ้าฉีดเสื้อกลิ่นจะทนขึ้นมาพอสมควรและถึง 8 ชั่วโมงได้อยู่ครับ

การกระจาย – แม้จะชื่อหอมหมื่นลี้ แต่น้ำหอมตัวนี้แอบทำเสียชื่อนิดนึง เพราะไม่ได้กระจายหมื่นลี้ดังชื่อรุ่นน้ำหอมเพราะจะกระจายกลางๆ และลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – กลิ่นนี้บอกเลยครับว่า ผู้สูงวัยที่มีเชื้อสายจีน เช่น อาม่า อากง ทั้งหลาย ยามที่ได้กลิ่นนี้จากผมทักกันทุกคนว่า “หอมดอกหอมหมื่นลี้ชื่นใจมาก” แถมอาม่าบางคนจะชวนไปดมน้ำหอมสกัดดอกหมื่นลี้ที่มาจากจีนด้วยนะ ซึ่งหอมชื่นใจจริงๆ ยามที่ผมได้ดม เพียงแต่ว่าเด็กวัยรุ่นหลายคนจะบอกผมว่า กลิ่นเหมือนอาม่าที่บ้านเลยอ่ะ ไรกัน กลิ่นออกจะหอม รมณ์เสีย!

Credit ภาพ: http://media.hermes.com/media/wysiwyg/Prehome/Fragrances/osmanthe-yunnan.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: CoSTUME NATIONAL Homme

CoSTUME NATIONAL Homme

เป็นน้ำหอมผู้ชายตัวหลักเลยของแบรนด์ CoSTUME NATIONAL ที่ขอเรียกว่า #เทพ เลยก็ว่าได้ เพราะมาเต็มเหนี่ยว มาแรง และมาไม่ยั้งเลยจริงๆ ในแง่ของน้ำหอมที่มีการกระจายดีสุดๆ และมีความ Unique ในกลิ่นสูงเลยทีเดียว นั่นคือ CoSTUME NATIONAL Homme ครับ 

บอกเลยใครที่ได้ฉีดกลิ่นนี้ ถ้าไม่ชอบ อาจจะผงะกลิ้งไป 3 ตลบ แล้ววิ่งไปร้องกี๊ซซซซกันได้ ว่าทำไมมันแรงแบบเน้~ เพราะแรกเริ่มกลิ่นเปิด ก็คมกันแบบไม่ยั้งในลักษณะของเครื่องเทศโทนหวานอย่างเม็ดกระวานผสมโทนซิตรัสคมๆ เรียกว่าฟุ้งกระจายรอบทิศเลย และลักษณะของกระวานคมๆ แบบนี้จะตามไปร่วมด้วยช่วยกลายเป็นกลิ่นโทน Incense หรือธูปหอมคมๆ ติดอบอุ่นกับอบเชยและกานพลูในช่วงกลาง เรียกว่ากลิ่นในช่วงนี้ สามารถทำให้คนรอบตัวที่ไม่คุ้นชินกับกลิ่นน้ำหอมโทนแบบนี้ อุทานกันได้ว่า “นี่แกอาบธูปมาหรือเปล่า” ซึ่งเอาเข้าจริงๆ กลิ่นในช่วงนี้แม้จะเป็นธูปหอมคมๆ แต่มีความลึกลับ สดชื่น และอบอุ่นกำลังดี กลิ่นถือว่างามงดไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะไม่ได้ออกทางอบอุ่นแบบรุมๆ แบบที่โทนธูปในน้ำหอมหลายๆ ตัวได้ทำไว้ และกลิ่นโทนธูปนี่จะเป็นตัวนำเด่นในช่วงท้าย ที่จะมีกลิ่นไม้จันทน์หอมมาผสานให้กลิ่นนุ่มขึ้น มีความติดเขียวนุ่มเย้าของพิมเสนเข้าไปอีก กลิ่นจะเป็นธูปที่ละมุนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีความเย้ายวนแบบแมนๆ ติดอบอุ่นกลั้วน่าค้นหา ที่สำคัญกลิ่นมีความขรึมขลัง และมีภูมิมากจริงๆ ซึ่งต้องบอกเลยครับว่า กลิ่นมันหอมไม่เหมือนใคร และมีความเท่ห์อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ กับความเป็นธูปหอมคมๆ แบบนี้   

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายวัยทำงานขึ้นไปครับ และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมโทนวู้ดดี้ Incense และเครื่องเทศมาพอสมควร ไม่งั้นจะตกใจและหยุดใช้ไปเลยเอาได้ สามารถใส่ได้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการโดยจำกัดจำนวนสเปรย์ กลิ่นให้ความรู้สึกได้หมดทั้งน่าค้นหาและน่าเชื่อถือ งดเลยกับการใส่ออกกำลังกาย ฆ่าตายทั้ง Fitness เอาได้นะ ส่วนยามชิลล์ๆ ทั่วไปก็ใส่ได้ ส่วนยามค่ำคืนแบบใส่ไปท่องราตรี ถ้าจะลองก็ใส่พอประมาณหรือน้อยสเปรย์ครับ เพราะจะเย้ายวนน่าค้นหาแบบกำลังดี ถ้าอัดเยอะ เดี๋ยวคนที่เข้ามาจะคิดเอาได้ว่า “เอ่อ มีใครตามพี่มา หรือกำลังขี่คอพี่อยู่หรือเปล่า” 

ความทน – คือ ข้ามวันข้ามคืนจ้ะ กลิ่นติดทนนานมาก คือใส่ตั้งแต่เช้า เที่ยงคืนแล้วกลิ่นยังตีขึ้นสบายๆ เรียกว่า เทพกันได้เลย 

การกระจาย – กระจายดีมากรอบทิศกันเลยตั้งแต่ต้นจนปลายช่วงกลาง เรียกว่า ทุกคนรอบตัวจะต้องได้กลิ่น ในช่วงท้ายจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอด แบบยาวไป เพ่ ยาวไปเลยล่ะครับ 

ทิ้งท้าย – ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับกลิ่นโทนธูปหอมคมๆ แบบนี้ เรียกว่าตอนใช้ Amazing มาก เพราะนึกว่าจะหงายหลัง แต่กลับร้อง อื้อหือออออ หอมจังแทน แต่เมื่อไปถึงที่ทำงาน กลายเป็นมีแต่คนทักว่า “พกธูปมาด้วยเหรอ” แบบว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หาได้แคร์ไม่ ก็มันหอมอ่ะ 555555555 

ป.ล. ขอบคุณคุณเท็ดดี้มากเลยนะครับ ที่แบ่งปันกันมาให้ใช้ครับ ปลื้มอ่ะ ^_^

Credit ภาพ: http://parfumplusmag.fourplusmedia.com/wp-content/uploads/2013/09/homme-100ml.jpg

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Calvin Klein – Eternity Night for Men


Calvin Klein – Eternity Night for Men

เรียกว่า Line: Eternity ของ Calvin Klein ได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงและฝ่ายชายมาตลอด ยิ่งโซนผู้ชายนี่เรียกว่าใช้ง่ายมากไม่ว่าจะเป็นรุ่นปกติและรุ่นที่เป็นลูกเป็นหลาน เข้าทางมหาชนชอบ มหาชนใช้ ซึ่งเมื่อได้รับความนิยม การต่อยอดต่อเนื่องเลยได้บังเกิดออกมา จนกลายเป็นรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นนี้ครับ Eternity Night 

เพียงแค่แรกเริ่มฉีด มันคิดก่อนเลยว่า กลิ่นเบาไปไหมอ่ะ ซึ่งในช่วง Top Notes นี้กลิ่นที่จับได้จะเป็นลูกพลัมติดหวานกำลังดีจะมาเต็ม โดยจะมีกลิ่นซ่าๆ ติด Spice จากเม็ดผักชีที่เป็นตัวนำเข้ามาร่วมด้วย กลิ่นออกทางสีม่วงออกดำในความรู้สึกทันที โดยหลังจากนั้นไม่นานเมื่อเข้า Middle Notes ไอ้ความเบาที่เจอตั้งแต่ตอนต้นมันเลยหายไป เพราะกลิ่นจะเริ่มตีขึ้นและกระจายดีด้วยกลิ่นออกทางเขียวๆ นุ่มๆ เข้าทางการเป็น Eternity ที่จะมีความเขียวโปร่งสบายในเนื้อกลิ่น ซึ่งกลิ่นของใบไวโอเล็ตจะมาแบบเขียวเย้าๆ กลั้วกับลาเวนเดอร์จะมาแบบนุ่มนวลกลั้วทางสีเข้มๆ ที่มาตั้งแต่ตอนต้น กลิ่นจะได้อารมณ์ทั้งสะอาด เย้ายวน และออกทางสีทึมๆ น่าค้นหากำลังดี ส่งต่อให้ Base Notes ซึ่งงานนี้กลิ่นสะอาดโทนแมนมาเต็มกับกลิ่นโทนไม้หอมซึ่งจะมาผสมผสานกับกลิ่นในช่วงกลางออกมาให้เป็นกลิ่นสะอาดน่าซบติดโรแมนติคหอมนุ่มจมูก มีไอ Smoky จางๆ เสียด้วยซึ่งน่าจะมาจากหญ้าแฝก ซึ่งภาพรวมของน้ำหอมรุ่นนี้ ถือว่ายังคง Concept แบบ Eternity ได้อยู่ แต่ปรับให้โทนมันให้ยามกลางคืนได้มากขึ้น และกลิ่นเย้าแบบติดเขียวได้กำลังดีเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัย ก็ใช้น้ำหอมตัวนี้ได้แล้ว เอาเข้าจริงๆ กลิ่นนี้ครอบจักรวาลการใช้งานทุกช่วงไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนมากกว่ารุ่นปกติด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะใส่ทำงาน ชิลล์ๆ หรือออกกำลังกาย (ที่ให้รอช่วงท้ายๆ หน่อย) แถมงานทางการยังพอได้เลยครับ กลิ่นไม่ได้ยั่วยวนอะไรมากจนเกินงาม ส่วนยามกลางคืน อัดสเปรย์หน่อยเที่ยวกบางคืนได้สบายๆ แล้วล่ะครับ แต่เอาเข้าจริงถ้าใส่ไปดินเนอร์หรือไปอยู่กับแฟนจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้หนักมากออกทางโรแมนติคเสียด้วยซ้ำ

ความทน – อยู่ที่ 6 – 8 ชั่วโมงครับ อยู่ที่การอัดสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายแบบไม่หนัก มาแบบเบาๆ ในช่วงต้น ก่อนจะเซทตัวกระจายดีในช่วงกลาง แล้วจะลดลงไปที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวกลั้ว Skin Scent หอมน่าซุกเวลาอยู่ใกล้ชิดครับ

ทิ้งท้าย – กลิ่นจริงๆ ไม่ได้หวือหวามาก ซึ่งส่วนตัวผมชอบมากกว่า Eternity รุ่นปกติอีกนะครับ เพราะกลิ่นมันไม่ได้ออกทางแมนเขียวสดชื่น เพราะมีโทนนุ่มสะอาดของลาเวนเดอร์ที่ทำให้กลิ่นนวลแบบน่าซุกยามอยู่ใกล้นี่แหละ ^^

Credit ภาพ: Fragrantica - http://fimgs.net/images/secundar/o.29035.jpg