วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Montale – So Amber

Montale – So Amber

กลับมาหาแบรนด์ที่น้ำหอมจัดเต็มเรื่อง Power House อย่าง Montale อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าได้ของใหม่ใสกิ๊งที่พึ่งออกมาในปีนี้ เลยต้องจัดเต็มกันซักนิดว่าจะมาในรูปแบบไหน เช่นนั้นมาดมกันดีกว่ากับรุ่นนี้เลย So Amber

เปิดต้นกลิ่นทำให้นึกถึงน้ำหอมกลิ่นหนึ่งทันทีเลยนั่นคือ AJMal Wisal เพราะกลิ่นกุหลาบจะมากันเต็มเหนี่ยวมาก โดยมีกลิ่นอายดอกไม้และผลไม้หวานๆ ติดเบอร์รี่ล้อมจางๆ และมีความแน่นๆ ของกลิ่นอายแบบอบอุ่นรองพื้นอยู่ช่วงท้าย ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะคล้ายตัวดัง แต่กลิ่นแบบรู้สึกได้เลยว่ามันอุ่นๆ กว่า จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอบอุ่นจะชัดขึ้นกวาเดิมโดยคงความเป็นกลิ่นอายกุหลาบแบบมาเป็นช่อแบบตอนต้นอยู่เพราะกลิ่นอายของ Ambergris ที่มาแบบอบอุ่นกันเลย กลิ่นจะเริ่มนวลเนียนมากขึ้น และมีหญ้าฝรั่นมาให้ความหวานแห้งๆ ติดขมจางๆ เพิ่มความเย้ายวนกำลังดี กลิ่นมีความแน่นอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งกลิ่นจะเปลี่ยนโทนจากหวานกุหลาบมาเต็มในช่วงแรก เป็นหวานอบอุ่นติดโทนหอมนวลเย้ายวน ส่งต่อให้ช่วงท้ายตัวที่แน่นๆ อุ่นๆ สัมผัสได้ตั้งแต่ต้นจะโผล่มาอีกหนึ่งนั่นคือวานิลลา กลิ่นจะมาแบบอบอุ่นติดโทนกึ่งแป้งกึ่งนวลมากกว่าจะมาแบบขนมหวาน เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้ทวีความหอมนวลอุ่นเข้าไปอีก เสริมกลิ่นอายของความเป็น Ambergris ที่อบอุ่นแบบผิวกายติดเค็มจางๆ กลั้วกุหลาบและดอกไม้มีกลิ่นผลไม้หวานหอมจางๆ ยังโผล่ให้รู้สึกได้แว่บเข้ามาในช่วงนี้ด้วยเลยจะไม่ได้ออกทางแป้งเกินไปนัก ภาพรวมเลยเป็นกลิ่นอายแบบอบอุ่นที่บ่งบอกถึงความเป็น Amber และมีวานิลลามาผสมผสานฉาบหน้าด้วยความหอมนวลของ Note ตัวเก่งของแบรนด์นี้อย่าง “กุหลาบ” นั่นเอง

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย กลิ่นนี้ไปได้ทั้งผู้หญิงและชาย ซึ่งถ้าไม่เคยดมมาก่อนอาจจะนึกถึงว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ ผู้ชายใส่ได้สบายๆ เพียงแต่ว่าต้องจำกัดสเปรย์หน่อยเพราะกลิ่นกระจายแน่นเลยทีเดียว โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นมีความอบอุ่นภูมิฐาน และมีความเย้าจางๆ แบบมีระดับอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญกลิ่นนี้ไม่เหมาะกับการอยู่กลางแจ้งหรือออกกำลังกายเลย ฆ่าตายหมู่เอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพราะความเป็น Power House เลยพร้อมเรียกร้องความสนใจได้ดีนั่นเอง

ความทน มากกกกกก กลิ่นไปได้ที่ 8 ชม. สบายๆ ไม่พอ ยังลากยาวไปมากกว่านี้ได้อีกเสียด้วยซ้ำไป เพราะส่วนตัวเจอที่ 15 ชม. ตั้งแต่เช้ายันเย็น อากาศร้อนแค่ไหนมันก็ไม่ยั่นมากกกกก

การกระจาย ช่วงแรกเรียกว่าหนักหน่วงกันน่าดูชม แล้วพอช่วงกลางถึงจะลดลงมาเป็นกระจายดีไปเรื่อยๆ ก่อนที่ช่วงท้ายจะลดเป็นกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วจางลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

ทิ้งท้าย -  ซึ่งถ้าบอกว่า So Amber ก็เรียกว่าเข้าทางอยู่ไม่น้อย เพราะความเป็น Amber มันคือความอบอุ่นหอมติดโทนวานิลลากับไม้หอมและรวมไปถึงกลิ่นอายผิวกายอุ่นละมุน ที่สำคัญถ้าใครกลัว Oud ที่อยู่ใน Wisal ตัวนี้จะเข้าทางและอบอุ่นกว่าครับ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.punmiris.com/himg/o.39028.jpg

Review: Christian Dior – La Collection Privee: Eau Noire

Christian Dior – La Collection Privee: Eau Noire

เป็นหนึ่งใน La Collection Privee ที่นำเสนอเป็น 1 ใน 3 น้ำหอม Unisex ที่ออกมาวางตลาดพร้อมกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีรุ่นนี้ Eau Noire เป็นหนึ่งในนั้น และเป็นกลิ่นที่หลายๆ ความคิดเห็นต่างก็บอกให้ลอง เช่นนั้นจะพลาดไปได้อย่างไรกัน ผลออกมาคือออออออ

ความรู้สึกเมื่อฉีดลงผิวบอกได้เลยว่าช่วงต้นของน้ำหอมตัวนี้มีความเป็นสมุนไพรติดเขียวซ่าๆ ที่ให้ความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นได้ลงตัวแว้บขึ้นมาก่อนเลยจากเซจ ซึ่งกลิ่นจะมีความสดชื่นซ่าๆ แปร่งๆ คมๆ กันก่อน และกลิ่นของลาเวนเดอร์แบบธรรมชาติจะค่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นเขียวซ่าๆ ตอนแรกมาเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ที่หอมติดสมุนไพรได้อย่างลงตัวมาก แล้วจะผันตัวเข้าสู่ช่วงกลาง ที่กลิ่นอายของลาเวนเดอร์จะมาผสมผสานกับกาแฟดำ โดยจะมีความดาร์กนัวให้รู้สึกได้ในช่วงนี้ แถมด้วยความหวานนวลๆ ลึกลับจากชะเอมที่มาผสมผสานกลายเป็นกลิ่นนัวแบบมีระดับ แต่ไม่ได้ออกทางยั่วยวนเกินกว่าเหตุเพราะกลิ่นมีชั้นเชิงจากความหวานของเนื้อไม้ ความดำของกาแฟ และความเข้มของลาเวนเดอร์  ซึ่งกลิ่นของกาแฟลาเวนเดอร์จะตามไปยังช่วงท้ายผสมผสานกับโทนหอมอุ่นของวานิลลาที่จะมาในโทนแป้งนุ่มอุ่นเคล้ากับกลิ่นหนังนวลๆ ที่จะมาให้ความนัวต่อยอดจากช่วงกลาง และจะมีตัวหลักอย่างไม้หอมเป็นตัวล้อมกลิ่นกลั้วไปมามีความลึกลับกำลังดี มีความหวานที่มีชั้นเชิงมากพอแบบดาร์กๆ ตีขึ้นให้รับรู้ ซึ่งแม้จะมาในโทนติดแป้งนวลๆ แต่ก็แอบมีความเป็นขนมหน่อยๆ ผสมผสานอยู่ในนั้น เหมือนไล่เรียงกันมาตั้งแต่สดชื่นติดธรรมชาติ ตามด้วยความดาร์กแบบมีระดับ และปิดท้ายที่หอมหวานแป้งปนขนมติดไม้เนื้อหอมที่มีชั้นเชิงแต่ยังคุมโทนความนัวอยู่ไม่หายไปไหน นี่แหละคือ Eau Noire

เหมาะสำหรับ – Unisex ครับ แต่จริงๆ มีความแมนในเนื้อกลิ่นประมาณ 60% ได้อยู่ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดสเปรย์เพราะกลิ่นหนักไม่ใช่เล่น ซึ่งสามารถใส่ทางการก็ได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ควรใส่รับแขกบ้านแขกเมืองเท่าไหร่เพราะว่ากลิ่นมันนัวไป นอกนั้นสถานการณ์อื่นๆ จัดได้ ยกเว้นกลางแจ้งกับออกกำลังกายเดี๋ยวตายกันพอดีกลิ่นตีขึ้นหนำมาก ส่วนเที่ยวกลางคืนเข้าทางทั้งแบบจิบทั่วไป และหาเหยื่อไม่น้อยเพราะกลิ่นมันนัวยั่วกวานแบบมีชั้นเชิงนั่นเอง

ความทน
มากกกกก 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น เช่นนั้นอยู่ที่ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลาง และลากยาวไปกึ่งออร่ารอบตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ส่วนตัวผมประทับใจมาก เพราะว่ากลิ่นมีความนัวแบบมีชั้นเชิงจริงๆ ยิ่งลาเวนเดอร์ไม่ได้มาแบบน้ำหอมทั่วไปที่เน้นนุ่มสะอาด มีความเป็นธรรมชาติแบบดาร์กๆ เจอกับกาแฟและชะเอมก็เท่ห์ติดเย้ายวนนัวๆ และปิดท้ายด้วยวานิลลากลั้ววู้ดดี้ จบเลย เผลอหลงรักตัวนี้ไปแล้ว กลิ่นดีจริงอะไรจริง

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Karmakamet – Coffee (Solid Perfume)

Karmakamet – Coffee (Solid Perfume)

เป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่เปิดเป็นร้านขายเครื่องหอมที่หลายๆ คนรู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งเทียนหอม โลชั่น สบู่ สครับ และชาประเภทต่างๆ ที่สำคัญมีน้ำหอมด้วยนะเออ ซึ่งเดิมทีร้านจะตั้งอยู่ที่ตลาดนัดจตุจักรก่อน แต่ปัจจุบันขยับขยายมีมากมายหลายสาขาไม่พอ มีสาขาที่ญี่ปุ่นด้วยแหละแกเอ๊ยยยย! เห็นไหมว่าฝีมือคนไทยมีดีมากมายเลยทีเดียว และแน่นอนว่าไม่ได้มาเพื่อบอกเล่าเรื่องแบรนด์ แต่จะมาเล่าถึงน้ำหอมตัวแรกที่ได้จัดมาใช้ โดยเอาแบบที่เป็น Solid Perfume หรือที่เรียกกันว่า “น้ำหอมแห้ง” มากันเลยล่ะ ซึ่งก็จัดกันที่กลิ่น Coffee นั่นเอง

ก่อนอื่นต้องบอกว่าตัวน้ำหอมแห้งหรือ Solid Perfume จะเป็นลักษณะแบบกึ่งครีมกึ่งแว๊กซ์บาล์มที่ใส่หัวน้ำหอมลงไป ใช้ในการทาถูทาถู คุณสมบัติก็ไม่ได้แตกต่างกันมากในแง่ของการให้ความหอม แต่อาจจะแตกต่างที่การกระจายบ้าง เพราะตัวนำพากลิ่นให้กระจายเป็นอีกรูปแบบที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ที่เรารู้จักกันดี ที่สำคัญน้ำหอมแห้งแบบนี้พกพาได้ง่ายมากเสียด้วย ซึ่งหลายๆ แบรนด์ดังก็มีน้ำหอมแห้งเป็นหนึ่งในสินค้าอยู่พอสมควรเลย แล้ว Coffee หรือกาแฟจะออกมาแบบไหน ก็ต้องบอกว่า

กาแฟมาเลยจ้า กลิ่นจะมาในโทนกาแฟดำติดโทนแว๊กซ์เข้มๆ อย่างชัดเจนในตอนต้นและค่อนข้างลากยาวที่โทนนี้ใกล้เคียงลักษณะของการเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นทางเดียวพอสมควร แต่ถ้าจับไปเรื่อยๆ กลิ่นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง เลยไม่ทางเดียวเกินไปนัก แต่ก็ยืนพื้นที่การเป็นกาแฟเป็นตัวนำกลิ่น โดยมีวานิลลาเข้ามาแทรก ลากยาวไปที่ช่วงกลางๆ ที่กลิ่นจะมาแบบกาแฟดำจะมีกลิ่นอายนุ่มขึ้นเพราะวานิลลาจะเริ่มมามากขึ้นแต่ไม่แสดงตัวชัดเจนนัก และไม่ได้ออกทางขนมแต่ประการใด ก่อนที่จะเริ่มผันไปช่วงท้ายที่กลิ่นกาแฟและวานิลลาจะบางลงไป โดยที่กลิ่นโทนแว๊กซ์จะยังคงตัวแบบติดโทนไม้หอมกลั้วกาแฟเบาบางมากไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย เพราะนี่มันคือกลิ่นกาแฟที่เข้าได้ทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายๆ ที่สำคัญการเป็น Solid Perfume มันทำให้การกระจายของกลิ่นจะไม่มาแบบพุ่งฟุ้งกระจาย เลยออกทางปลอดภัย Safe ในระดับหนึ่งที่จะใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยกเว้นออกกำลังกาย ซึ่งกลิ่นกาแฟไปได้ไม่ดีกับเหงื่อนัก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าทั่วๆ ไปก็ใส่ได้เลย แต่ถ้าเน้นไปเที่ยวกลางคืนกลิ่นจะโดนกลบเอาได้ ไม่เข้าทางเท่าไหร่สำหรับกาแฟตัวนี้

ความทน เพราะเป็นลักษณะแบบแว๊กซ์บาล์ม เลยทาแล้วจะเคลือบผิวไปเลย และติดนานจนกว่าจะอาบน้ำเลย แต่กลิ่นที่อยู่กับเราจะราวๆ 6 ชม. กำลังดี จะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่การทาย้ำและจุดที่ทา

การกระจาย กลิ่นกระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ต้นลากยาวไปถึงช่วงกลาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Skin Scent และยาวไปจนกลิ่นจาง

ทิ้งท้าย เรียกว่าคนชอบกลิ่นกาแฟ และไม่ต้องการให้น้ำหอมตัวเองรบกวนคนอื่นมากนัก Solid Perfume ตัวนี้ทำได้ดีเลยทีเดียวแถมให้ความเป็นกาแฟผสมแว๊กซ์เข้มๆ ได้ดีเสียด้วย แต่นิดนึงเนื่องจากตัว Solid เป็นสีดำ อาจจะต้องเกลี่ยกับผิวซักหน่อยมากกว่าจะทาเพียงอย่างเดียวครับ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ เข็มขัดสั้น



วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Shiseido – Zen for Men White Heat Edition

Shiseido – Zen for Men White Heat Edition

นานๆ ทีจะได้มาหาน้ำหอมของ Shiseido กับไลน์ Zen เพราะอากาศช่วงนี้ร้อนเป็นใจกับการใช้งานมากมาย ที่สำคัญรุ่นที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ เป็นหนึ่งใน Rare Items กับน้ำหอมโทนสดชื่นที่น่าสนใจมากและนี่คือ Zen for Men White Heat Edition นั่นเอง  

Top Notes เปิดตัวมากับกลิ่นอายสดชื่นของมิ้นท์ที่ให้ความเย็นวาบๆ กำลังดี ไม่พอยังล้อมไปด้วยกลิ่นของโทนซิตรัสของมะนาวที่มาแบบไม่คม เพราะมีโทนฟรุตตี้ผลไม้ของแอปเปิ้ลเขียวและส้มฮัซซากุที่จะออกหอมหวาน ซึ่งกลิ่นโทนซิตรัสมิ้นท์ในช่วงต้นจะยังตามไปผสมผสานในช่วง Middle Notes โดยจะกลายเป็นโทนสดชื่นติดหวานเบาๆ เพราะมีกลิ่นอายแป้งเย็นเข้ามาเสริมของจูนิเปอร์เบอร์รี่ โดยจะมีกลิ่นเครื่องเทศและดอกไม้โทนหวานเบาๆ จางๆ มาเสริมให้กลิ่นมีอะไรมากกว่าความสดชื่น และเป็นเรื่องดีที่ทำให้กลิ่นไม่คมเกินไป ออกนวลๆ ขาวๆ สว่างๆ ตาม Concept ของน้ำหอมเสียด้วย และเมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes กลิ่นอายจะพัฒนามาโทนหอมสดชื่นนวลๆ ติดโทนขมๆ ออกเขียวจางๆ แทน เพราะกลิ่น Musk จะเป็นตัวเด่นขึ้นมาให้ความนุ่มนวล มีโทนสมุนไพรจางๆ กับไม้หอมอ่อนๆ รองพื้นด้านหลัง กลิ่นจะยังคงความสดชื่นนุ่มๆ สว่างๆ อยู่ไม่หนีไปไหนให้รู้สึกได้ ภาพรวมเลยเป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมสดชื่นนุ่มๆ สว่างๆ ออกทางโทนสีขาวนวลๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่กลิ่นนิ่งสงบอย่างมีระดับมากกว่าที่คิดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วเพราะเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใช้ง่ายและมีระดับไปในตัว แถมมีความเป็น Safe Scent สูงมากเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย เรียกว่าครอบจักรวาลในยามนี้ขั้นสุดมาก ทั้งกิจกรรมกลางแจ้งและในห้องแอร์ เพราะได้หมดทั้งความสดชื่นและสุภาพของเนื้อกลิ่น ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ ชิลล์ๆ ใส่ได้สบายๆ แต่ถ้าไปร่อนราตรีข้ามเถิด กลิ่นเบาไป

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. กลิ่นอาจจะทนหรือด้อยกว่านี้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายกำลังดีเลยในช่วงต้นยกเว้นยามอากาศร้อนๆ กลิ่นจะกระจายดีขึ้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้ว Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย เป็นหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นสบายๆ สดชื่น แต่มีระดับแบบนิ่งๆ ได้ดีเลยทีเดียว จนยกต้องตำแหน่งนี้ให้เลย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง  

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: PRYN PARFUM - Taiga

PRYN PARFUM - Taiga 

เมื่อได้เห็นคำโปรยเกี่ยวกับน้ำหอมรุ่นนี้ของ PRYN Parfum ว่าเป็นกลิ่นอายแบบป่าเขตหนาวที่เรียกว่า Taiga Forest แน่นอนว่าตาวาวขึ้นมาเลยทีเดียว แถมยิ่งได้ทราบว่าความเข้มข้นน้ำหอมไปที่ 40% เรียกว่า EDP Intense กันแบบจัดเต็มมาก จึงได้เวลาของการมาใช้รุ่น Taiga นี้กัน ผลออกมาคือ 

กลิ่นเปิดได้ความรู้สึกกลิ่นอายเขียวเย็นๆ ของใบสนไพน์ที่กำลังโดนริดออกจากต้นเลย ผสมผสานกับกลิ่นอายแบบที่เรากำลังถากเปลือกต้นสนแล้วได้กลิ่นเนื้อไม้ผสมยางไม้ออกมา กลิ่นจะมาแบบเขียวปร่าๆ เข้มๆ มีความเป็นไม้หอมผสมผสานกับกลิ่นยางไม้กันก่อนแบบที่ได้ความรู้สึกเย็นๆ มากลั้วไปมาตลอด และกลิ่นโทนนี้จะเป็นเมนหลักตามไปในทุกๆ ช่วงของของน้ำหอมเลย จนเมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่งกลิ่นเขียวๆ จะเริ่มมีความหอมนวลของใบเบิร์ชที่มาผสมผสาน โดยจะมีกลิ่นยางไม้โทนธูป Incense ติด Smoky เย็นๆ กำลังดีให้รู้สึกได้กลิ่นจะให้ความหอมแบบติดภูมิฐานและมีความขลัง และโทนไม้หอมที่รองพื้นในช่วงต้นจะเด่นขึ้นแบบกลิ่นเนิ้อไม้สะอาดๆ จากไม้ซีดาร์กลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของสนไซเปรสเลยให้กลิ่นอายนิ่งขรึมและโปร่งๆ แบบอากาศดีๆ เย็นๆ เลย ต้องบอกว่าช่วงนี้คือไฮไลท์มากที่ทำให้กลิ่นอายเหมือนเรายืนอยู่ในป่าสนยามสายๆ ที่กลิ่นจะมีความสดชื่นแบบเขียวกับไม้หอมสดๆ กำลังดีไปตลอด ส่งต่อให้ช่วงท้ายกลิ่นหนังนุ่มๆ อุ่นๆ แบบผิวกายติดกลิ่นนวลจางๆ จะมารองพื้นในช่วงท้าย โดยมีความอ้อยอิ่งของพิมเสนจางๆ เย็นๆ ซึ่งกลิ่นไม้หอมที่มาแบบหอมนวลจมูกจากไซเปรสและซีดาร์กลั้วความเขียวของใบสนที่ยังตามมาอยู่ให้รู้สึกได้ชัดเจน กลิ่นจะได้ความรู้สึกผสมผสานกันระหว่างความอบอุ่นและกลิ่นอายเย็นๆ หอมเนื้อไม้แบบสะอาดขรึมขลัง ซึ่งเนื้อกลิ่นทำให้เห็นภาพเห็นว่าสื่อสารถึงสถานที่ที่เป็นป่าต้นสนเขตขั้วโลกที่เย็นแห้งยามเช้ามืดก่อนที่จะมาเป็นกึ่งเย็นกึ่งอบอุ่นในยามสาย และปิดท้ายที่อบอุ่นกำลังดีในช่วงบ่าย ก่อนที่จะวนลูปกลับมาเหมือนเดิมยามที่เราได้ใช้ตัวนี้อีกครั้ง

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มีความแมนในเนื้อกลิ่นอยู่พอสมควร แต่ยังถือว่าเป็น Unisex ที่ใช้ได้ทุกเพศตั้งแต่มหาลัยขึ้นไป เพราะกลิ่นค่อนข้างสื่อสารถึงธรรมชาติและมีความเป็นเอกลักษณ์บอกถึงความเยือกเย็นและอบอุ่นได้อย่างลงตัวสร้างเสน่ห์เฉพาะให้คนใส่ได้ดีมากเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะตอบโจทย์ในหลายๆ อารมณ์ไม่ว่าจะภูมิฐาน หรือผ่อนคลายแบบกลิ่นไม้เนื้อหอม ส่วนยามออกกำลังกาย แนะนำว่ารอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า นอกจากนี้ยามค่ำคืนเองก็ใส่ได้ แต่กลิ่นนี้จะไม่ได้มาในโทนเย้ายวนอะไร เช่นนั้นถ้าใส่ไปเที่ยวก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับบ้านก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ความเข้มข้นน้ำหอมสูง เช่นนั้นบอกเลยว่าสิ่งที่เจอคือโทนข้ามวันกลิ่นจะได้เต็มๆ ตลอดใน 15 ชม. อาบน้ำตื่นมาในวันรุ่งขึ้นกลิ่นยังติดผิวให้รู้สึกได้ ขนาดเสื้อที่สวมยามใส่ตัวนี้เวลาซักแล้วเอามารีดผ้ากลิ่นยังติดอยู่เลย ยกนิ้วให้เลยจริงๆ ในเรื่องความทน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงการกระจายดีแบบนี้ไปเรื่อยไปจนถึงปลายๆ ช่วงกลาง ก่อนจะลดลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกกลิ่นที่ผมยกนิ้วให้เลยในการทำออกมาและทำให้ผมเห็นภาพในหัวว่าเรายืนอยู่ในป่าเมืองหนาวติดขั้วโลก ที่สำคัญเป็นกลิ่นที่ได้รับคำชมว่าหอมโปร่งจมูกไม่หนักแน่นจากคนรอบข้างได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://www.facebook.com/prynparfum/photos/a.487978928073390.1073741829.482029525334997/532674720270477/?type=3&theater

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Antonio Banderas – The Secret

Antonio Banderas – The Secret 

เพราะแบรนด์น้ำหอม Celebrity ของนักแสดงชื่อดังอย่าง Anotonio Banderas นี้ เรียกว่ามักจะมาแบบดูธรรมดา แต่เอาเข้าจริงไม่ธรรมดาเพราะน้ำหอมดีๆ มีหลายกลิ่นมากที่เอามาต่อกรเรื่องความหอมได้ไม่เป็น 2 รองใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตัวนี้เลย The Secret 

ซึ่งจะเปิดตัวด้วย Top Notes กับกลิ่นของซิตรัสจากเกรฟฟรุตกลั้วความเขียววาบๆ ของมิ้นท์กันก่อนเลย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาแบบสดชื่นแบบเต็มเหนี่ยวอะไร เพราะความเป็นเครื่องเทศโทนหวานกับหนังรองพื้นอยู่ด้านหลังให้รู้สึกได้ เพียงไม่นานก็นำเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่คราวนี้ความเป็นอบเชยกลั้วหนังจะเด่นตีคู่กันได้อย่างน่าดูชมรองพื้นด้วยกลิ่นของพริกไทยจางๆ ให้มีความสะอาดรองพื้นด้านหลัง ทำให้โทนเด่นอย่างกลิ่นหวานเย้ายวนผสมผสานกับความเป็นหนังแบบเท่ห์ๆ ทำให้ได้ความแมนแบบที่ติดเซ็กซี่กำลังดีหวานกำลังงาม อบอุ่นลงตัวเสียด้วย เรียกว่าเป็นช่วงที่กลิ่นดีงามไม่ได้มาเล่นๆ เลย จนถึงเวลาส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นอายของหนังกับอบเชยจะลดเพดานบินลงมา และโดน Musk ตัดทอนลงไปจนกลิ่ยนนุ่มขึ้น มีความเป็นไม้หอมกำลังดีกล่อมให้กลิ่นเข้าโทนอบอุ่นติดหอมนวลๆ เข้าทางความเป็นโทนชวนซบไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งภาพรวมแม้ว่ากลิ่นอายจะมีความคล้ายตัว Paco Rabanne – 1 Million แต่เนื้อกลิ่นมีความเป็นเอกเทศที่มาโทนอบอุ่นกว่า ไม่ได้ออกแนวเมโทรอะไรชัดแจ้งขนาดนั้นนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็จัดตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีความใช้งานได้ง่ายกว่าที่คิดมาก เพราะทำให้กลิ่นที่ดูเหมือนจะหนักมาเป็นกลางๆ กำลังดีได้ ซึ่งสามารถจัดได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการก็ได้ เพราะเนื้อกลิ่นเน้นโทนอบอุ่นเสียมาก แต่ให้งดใช้เพื่อออกกำลังกายเลย เพราะไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์มากหน่อยก็เอาอยู่ในระดับที่สู้กับชาวบ้านเขาได้ไม่ยาก 

ความทน อยู่ระหว่าง 6 ชม. ซึ่งอาจจะบวกลบประมาณ 1 - 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายกำลังดีในตอนต้น แล้วจะลดมากระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายที่แนวๆ Skin Scent 

ทิ้งท้าย ตัวนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แบบที่จะให้คนตราหน้าเอาได้ว่าเป็นแค่น้ำหอม Celeb นะครับ เพราะมีดีในตัวสูงกว่าที่คิดและเบลนด์กลิ่นออกมาได้ดีสู้แบรนด์ดังๆ ได้สบาย บนพื้นฐานของความใช้ง่ายเสียด้วยแหละ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.14627.jpg

Review: Elizabeth Arden – Untold

Elizabeth Arden – Untold

กลับมาหาแบรนด์ที่เขามีไลน์ดังอย่าง Green Tea อีกครั้งอย่าง Elizabeth Arden ซึ่งครั้งนี้จะมาในลักษณะที่ให้ความ Advance มาขึ้นจากความเบาๆ ของไลน์ดังข้างต้นมาสู่น้ำหอมที่ส๊าววววววสาววววกันมากขึ้นบ้าง และตัวที่จะมาบอกเล่านี่คือ Untold ตัวนี้นี่เองงงงงงง

Top Notes เปิดมาจะได้อารมณ์ของผลไม้ผสมผสานกับโทนเครื่องเทศติดหวานมีความซ่าประปรายเลย เพราะกลิ่นผลไม้ที่ได้จะมาจากลูกแพร์ที่จะเป็นนางเอกของน้ำหอมรุ่นนี้ และเครื่องเทศจะมาจากพริกไทยสีชมพูที่จะมาแบบติดสดชื่นแกมหวาน โดยจะมีกลิ่นเขียวๆ ผสมผสานกับซิตรัสบางๆ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันให้ความหอมแบบผลไม้นัวๆ ติดคมก่อน แล้วจะเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่กลิ่นอายของลูกแพร์กับพริกไทยสีชมพูจะยังตามมาในช่วงนี้ แต่ลดความสดชื่นในช่วงต้นลงเป็นโทนนุ่มนวลจมูกมากขึ้นจากกลิ่นอายของมะลิและดอกพุด กลิ่นจะมีความครีมมี่เข้ามาด้วยทำให้ออกทางโทนสีครีมสีเนื้อติดโทนขาวกำลังดี บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงมาเต็มแน่นอน จนไม่นานกลิ่นโทนผลไม้จะจางลงเหลือความบางๆ ใน Base Notes ให้กลิ่นอายดอกไม้ขาวมาแบบนวลๆ กลั้วความเป็น Musk ที่สะอาดรองพื้นไว้ตีคู่กับโทนอบอุ่นเบาๆ มีกลิ่นอายพิมเสนนวลๆ จางๆ นุ่มๆ บางๆ เข้ามาให้รับรู้เบาๆ กลิ่นเลยจะได้ความอ่อนโยนและนุ่มสะอาดนวลๆ กันเต็มๆ ก็ช่วงนี้เลย ภาพรวมเลยจะบ่งบอกถึงผู้หญิงในชุดสีครีมดูสุภาพ เรียบร้อย อ่อนหวานและอ่อนโยนกำลังดีไปหมดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นบ่งบอกความเป็นผู้หญิงได้ลงตัว สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นแบบนี้ยังไงก็ผ่านค่อนข้างสูงมาก ขอยกเว้นใส่เพื่อออกกำลังกาย ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนใส่ยามค่ำคืน เน้นแบบสบายๆ ติดโรแมนติคนิดๆ ก็เข้าที หรือออกงานก็พอไหว แต่ถ้าใส่ไปเต้นเด้งซ้ายขวา กลิ่นไม่รอด สู้ชาวบ้านเขาไม่ได้แน่ๆ อ้อ คุณผู้ชายมองข้ามไปได้เลยครับ กลิ่นสาวจริงอะไรจริง ยกเว้นไม่มายด์นั่นอีกเรื่อง

ความทน อยู่ที่ประมาณ 6 – 8 ชม. อิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวลากยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้ายที่จะผันเป็น Skin Scent อย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย ถือว่าเป็นอีกกลิ่นที่ทำออกมาได้ลงตัว ใช้ง่ายและมีระดับมากขึ้น ไม่ได้มาแบบเบาๆ แนว Green Tea และไม่อลังการเว่อร์วังเป็นคุณนายที่ไหน ที่สำคัญมองว่าตัวนี้เป็น Office Scent ที่ดีตัวนึงสำหรับผู้หญิงเสียด้วยนะครับนั่น

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Armaf – Club de Nuit Intense for Men

Armaf – Club de Nuit Intense for Men

เมื่อได้อ่านข้อมูลมาจากหลายๆ ทางไม่ว่าจะเป็นทั้งเวบไซต์เกี่ยวกับน้ำหอม หรือเพจต่างๆ ที่เหล่าคนรักน้ำหอมเขาไปชุมนุมกันของ ตปท. มักจะพูดกันว่า Armaf รุ่น Club de Nuit Intense for Men เป็นอีกหนึ่งตัวที่คล้าย Creed Aventus มากโดยเทียบกับ Batch การผลิตในรุ่นที่มีกลิ่นอาย Smoky จัดๆ (ต้องเข้าใจกันก่อนว่า Creed เป็นแบรนด์ที่วัดกลิ่นเหมือนกันในทุกรอบการผลิตได้ยาก เพราะอิงกับคุณภาพวัตถุดิบในช่วงนั้นๆ เลยทำให้จะมีบาง Batch ที่กลิ่นนี้เด่นกว่ากลิ่นนั้น กลิ่นนั้นโดยกลบไปเยอะบ้าง) เช่นนั้นเราต้องพิสูจน์ด้วยการเสียเงินสอยมาแล้วผลที่ออก คือ

Top Notes กลิ่นมีความเข้มข้นของโทน Smoky จากเปลือก Birch ชัดเจนมากกลิ่นมาติดโทนหนังหน่อยๆ เสียด้วย แต่เพราะว่ามีกลิ่นอายของทนสดชื่นอย่างซิตรัสและผลไม้นั้นไม่ยอมให้มาแย่งซีนแน่ๆ เลยทำให้กลิ่นของเลมอนและโทนผลไม้นั้นยังทำหน้าที่เด่น แน่นอนว่ากลิ่นสับปะรดนั้นแทบไม่รู้สึกเพราะออกแนวจะไปทางโทนผลไม้อย่างแบล็คเคอแรนท์และแอปเปิ้ลเขียวเสียมากกว่า โดยกลิ่น Smoky ก็ขอตีคู่กันไปตั้งแต่ต้น จนเมื่อเข้า Middle Notes งานมาเต็มของโทน Smoky จึงได้มาและเป็นตัวที่จะเด่นไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลยนั่นคือ เปลือกไม้ Birch ที่จะให้กลิ่นอายหนังติดโทน Smoky แมนๆ มาเลยก็จริง แต่จะมีกลิ่นโทนดอกไม้อย่างมะลิติดกุหลาบจางๆ เคล้าวานิลลาหน่อยๆ มาทำให้กลิ่นนุ่มขึ้น ไม่มามะรุมมะตุ้มผลัดกันเด่นแบบช่วงต้นแล้ว ซึ่งส่งต่อไปยังช่วง Base Notes ที่ความ Smoky ยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน แต่จะมีความอบอุ่นติดนุ่มนวลของ Musk และกลิ่นตรึงที่ออกทางผิวกายสะอาดติดเค็มจางๆ ของอำพันปลาวาฬ (Ambergris) ที่จะมาตรึงให้เกิดความนุ่ม วานิลลาจะมาให้ความอบอุ่นเพิ่มมีกลิ่นอายของพิมเสนมาแบบเบาๆ เคล้าไปตลอด ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วกับตัวเทพอย่าง Aventus คงต้องบอกว่า

กลิ่นช่วงต้นแตกต่างเพราะยังอยู่ในช่วงชิงดีชิงเด่นกันอยู่ ก่อนที่จะเริ่มมีความคล้ายมากขึ้นในช่วงกลางแต่มีความแมนเข้มอยู่ และใกล้เคียงมากในช่วงท้าย ซึ่ง
Batch ของ Aventus ที่มีความเป็น Smoky จัดๆ กลิ่นจะใกล้เคียงตัวนี้มากจริงๆ แต่ Armaf ก็ยังไม่ได้มีกลิ่นอายที่นุ่มนวลจมูกกว่า Aventus ที่มีคุณภาพกลิ่นและตัวเกลาให้กลิ่นมีความหรูหรามีระดับแบบสัมผัสได้มากกว่ารวมถึงมีความนวลเนียนกว่าก็เท่านั้นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นอาจจะอยู่ระหว่างกลางๆ ที่ไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายมากขนาดนั้น แต่ถ้าใครต้องการตัวแทนของ Aventus ในแบบที่ Smoky จัดๆ ตัวนี้ไปได้ค่อนข้างดีและมีความแมนเข้มเพิ่มเข้ามาเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ถ้าจะออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน กลับกลายเป็นว่าตัวนี้เข้าทางกว่าในแง่ของการใส่ไปเรียกเรตติ้งและไม่ได้ดูออกทางคุณชายมากเกินไป แบบที่ Aventus ทำได้ เพราะความเข้มของโทน Smoky ที่สร้างความแมนเท่ห์นั่นเอง

ความทน – EDP มาเต็มเช่นนั้นจัดไปที่ 8 ชม. สบายๆ แถมลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเอื้อมากพอ ส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. แบบฟินๆ เลย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบดีค่อนไปปานกลาง และปิดท้ายที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย แล้วลดลงเรื่อยๆ ตามลำดับ

ทิ้งท้าย เทียบกับกลิ่นใกล้เคียงทั้งหมดที่ผมมี ต้องบอกจุดเด่นของแต่ละตัวแบบนี้แล้วกันว่า
Aventus – กลิ่นนวลเนียนมีระดับสมดุลทุกทาง (เฉพาะ Batch ของผม)
Cedrat Boise – โทนอบอุ่นจะเด่น
Supremacy Silver – โทนผลไม้จะเด่น
Club de Nuit Intense for Men – โทน Smoky จะเด่น
Tierra del Fuego – โทนห่ามๆ ติดแมนแบบไม่นุ่มนวลจะเด่น

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Zoologist – Panda

Zoologist – Panda

หลังจากที่ได้ผ่านการบอกเล่ากลิ่นอันหนักแน่นและน่าเกรงขามของท่านนายพลแรด ที่แบรนด์ Zoologist ได้สร้างสรรค์ขึ้น ก็มาถึงกลิ่นอายของสัตว์โลกน่ารักกันบ้างกับเสี่ย Panda ซึ่งคราวนี้จะมาในลักษณะที่เป็นธรรมชาติของแพนด้าหรือไม่หรือว่าสื่อสารถึงแพนด้าแบบไหน มาลองดูกันดีกว่า

เรียกว่ากลิ่นเปิดทำให้นึกถึงป่าไผ่กันเลยทีเดียว ไม่พอยังนึถึงเหมือนตัวเองเป็นแพนด้า นั่งเคี้ยวใบไผ่จั่บๆ เพราะกลิ่นเขียวแบบใบไผ่จะฟุ้งกระจายมากมาย มีกลิ่นของใบชิโซะติด Spicy จางๆ จากพริกไทย แถมมีกลิ่นชาเขียวเสริมเข้ามา ที่สำคัญมันกลิ่นซิตรัสแบบอึนๆ หน่อย ทำให้กลิ่ยช่วงนี้เหมือนกลิ่นเขียวสากของใบไผ่ผสมน้ำลายของแพนด้าแบบชุ่มๆ เอียนๆ ท่ามกลางอากาศดีๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นช่วงนี้อาจจะทำให้ต้องทำหน้าเบ้ไปพอสมควร เพราะกลิ่นยังไม่ลงตัวมากนัก แถมมีความเอียนแบบแปลกๆ ที่จะทำให้ถอยหนีกันได้ แต่สิ่งดีๆ กำลังจะตามมานั่นคือ พอเข้าช่วงกลาง กลิ่นเอียนๆ อึนๆ จะเริ่มหายไปเป็นกลิ่นเขียวๆ ของใบไผ่แบบประปรายกลั้วกับกลิ่นของดอกไม้อ่อนๆ นำเด่นโดยลิลลี่ และดอกกระถิน (Mimosa) ที่จะมาให้ความนวลติดเขียวหวานจางๆ ที่สำคัญมีกลิ่นออกทางดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) ที่ออกกลิ่นหอมพีชจางๆ ได้อารมณ์แบบกลิ่นอายบรรยากาศสดชื่นติดหอมหวานของกลิ่นป่าไผ่เคล้าดอกไม้ เหมือนซูมขยายออกมาจากพฤติกรรมของแพนด้าที่กินใบไผ่แบบสะใจขาดดิ้นมาสู่สภาพบรรยากาศโดยรอบๆ ตัวของแพนด้า ส่งต่อให้ช่วงท้ายกลิ่นเขียวๆ ของไผ่จะตามมาจางๆ โดยที่กลิ่นของหอมหมื่นลี้และดอกกระถินจะยังคงอยู่ให้ความเขียวติดโทนหวานใสๆ กลั้วกับกลิ่นสะอาดๆ นุ่มๆ จากกลิ่น Musk และมีกลิ่นไม้หอมตีคู่มาจากไม้จันทน์หอมที่ออกอบอุ่นเบาๆ กลิ่นจะยังคงความสดชื่นจากโทนเขียวๆ มีความฉ่ำหน่อยๆ จากหญ้าแฝกกำลังดี เหมือนซูมขยายออกมาอีก จนเห็นแพนด้านอนกลิ้งไปมาแบบผ่อนคลายท่ามกลางอากาศสดชื่นสะอาดนุ่มติดเขียวตามธรรมชาติ ไล่เรียงกันมาอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย กลิ่นนี้เรียกว่าได้หมดทุกเพศ และต้องเป็นคนที่ชอบกลิ่นโทนเขียวๆ พอสมควรจะอินกับกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่ไม่ได้ออกทางการแบบรับแขกบ้านแขกเมืองเกินไปนัก ซึ่งถ้าใส่ทำงานทั่วๆ ไป หรือใส่ชิลล์พักผ่อนกลิ่นจะลงตัวเลยทีเดียว แบบให้รอช่วงต้นผ่านไปก่อนถึงค่อยออกเจอผู้คน ไม่งั้นอาจจะมีคนสงสัยว่าเราเคี้ยวใบไผ่อยู่หรือเปล่าเอาได้ ส่วนใส่เพื่อออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายๆ เลยกับอากาศร้อนๆ แบบนี้ แต่ถ้าคิดจะเอาตัวนี้หาเหยื่อ หยุดเถิด กลิ่นไม่ได้ยั่วเลยนะ

ความทน มากกกกกกกกก เพราะความเข้มข้นของน้ำหอมราวๆ 20% ได้ถ้าจำไม่ผิด ความทนลากยาวไปที่ 12 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นด้วยถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเหมาะสม ที่สำคัญกลิ่นนี้อิงเคมีในระดับหนึ่ง

การกระจาย กลิ่นกระจายหนักในช่วงต้น พอผ่านไปได้จะลงลงมากระจายดีงามไปตลอด จนช่วงท้ายที่จะลดลงมากระจายกลางๆ ไปเรื่อยๆ ซักพักใหญ่ก่อนจะลดเพดานลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย
กลิ่นแนวมาก และก็ธรรมชาติมากด้วย ที่สำคัญกลิ่นนี้ลองกับกระดาษกับผิวจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะกระดาษจะคงความเขียวเอียนๆ ยาวนานมาก แต่กับผิวจะกลายเป็นติดหวานจางๆ หอมเขียวกำลังดีมากมายครับ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


Review: Benetton - Hot

Benetton - Hot 

หลายๆ คนบอกว่ามีกลิ่นนึงคล้าย Chanel Allure ของผู้หญิงมาก แต่มาในคราบ Unisex และราคาที่ไม่แพงกับแบรนด์ Benetton ที่สำคัญคือพึ่งประกาศเลิกผลิตไปเสียด้วย แหม เสียดายตรงนี้ เช่นนั้นมาบอกเล่าความดีงามก่อนที่ตัวนี้จะหายากในท้องตลาดกันซักหน่อยนั่นคือรุ่น Hot นั่นเอง 

เคยผ่านการ Review ตัว Cold ที่เป็นหยินหยางคนละขั้วกับตัวนี้ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า Hot ก็มาสมชื่อและมีความเย้ายวนแฝงมาเสียด้วย เพราะ Top Notes เปิดตัวมาก็มีความเป็นซิตรัสติดหวานรองพื้นด้วยกลิ่นอายของไม้หอมกันเลย กลิ่นจะออกนวลๆ ติดโทนกุหลาบจางๆ และเพราะอิทธิพลของช่วง Middle Motes ที่ขึ้นมาแทรกไวมากเลยทำให้กลิ่นจะผันมาเป็นโทนหอมหวานแบบโปร่งๆ จากกลิ่นแอปริคอตที่มีความเป็นแป้งอบอุ่นรายล้อม รวมถึงกลิ่นดอกไม้นวลๆ ที่รองพื้นอยู่ กลิ่นช่วงนี้จะได้อารมณ์อบอุ่นเย้ายวนของความเป็นแป้งหอมผลไม้กันอย่างชัดเจน และลากยาวไปเรื่อยๆ จนความอบอุ่นจะเริ่มมามากขึ้นจนนำเข้าสู่ Base Notes กับกลิ่นวานิลลาที่มาเป็นโทนแป้งชัดเจนกลิ่นจะไม่หวานจนเกินไป ยังให้ความโปร่งได้อยู่จากโทนไม้หอมต่างๆ ที่กลิ่นไม้จันทน์หอมจะเด่นขึ้นมาตีคู่ และมีโทนนุ่มสะอาดของ Musk มาเสริมประปราย ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะอบอุ่นติดนุ่มนวล และมีความเย้ายวนติดโทนแป้งกันอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ปฏิเสธเลยว่ากลิ่นคล้าย Allure ของ Chanel มาก เพียงแต่อาจจะไม่ได้ออกทางกรุยกรายดอกไม้มาเต็มมากขนาดนั้น มีความเป็นกลิ่นโปร่งสบายหอมหวานแบบที่ใช้ง่ายมากกว่านั่นเอง 

เหมาะสำหรับ – Unisex เลยเพราะความเป็น Woody หรือไม้หอมที่มาตัดทอนความเป็นแป้งหอมหวานไปได้นี่แหละเลยทำให้ตัวนี้มีความเป็น Hot ที่ออกโทนอบอุ่นลงตัวใช้ได้ทั้งหญิงและชาย อาจจะออกไปทางหญิงมากกว่านิดหน่อยก็เท่านั้นเอง สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและทั่วไป แต่ถ้าจะใส่ออกกำลังกาย ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน ตัวนี้ใส่ได้อยู่เพียงแต่ว่า อาจจะต้องอัดสเปรย์กันน่าดูชมนิดนึงถ้าจะเอาไปเหยื่อก็เท่านั้นเอง 

ความทน น่าสนใจมาก เพราะอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. บวกลบประมาณ 1-2 ชม. อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 7 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์กดเต็ม

การกระจาย กลิ่นกระจายกำลังดีในช่วงต้นลากยาวไปจนถึงปลายๆ ช่วงกลางที่จะผันเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย น่าเสียดายมากที่ Benetton เลิกผลิตกลิ่นนี้ มันมีความดีงามแบบเข้าถึงง่ายมากเลยทีเดียว โดยที่ไม่ได้หรูกรุยกรายเกินไป มีความเย้ายวนแบบติดเท่ห์ๆ หน่อยๆ ได้ลงตัวเสียด้วย เบ้ปากใส่ Benetton เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.99perfume.com/image/HO15.jpg

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Diptyque – Philosykos EDT

Diptyque – Philosykos EDT

ได้ยินชื่อมานานมาก ว่ากลิ่น Philosykos ของ Diptyque นั้นมีความเป็นกลิ่น Fig ที่ชัดเจนมาก ซึ่งเดิมทีจะผ่านกลิ่นอายแบบนี้กับการผสมผสานอาจจะมีเด่นบ้างแต่ก็มีกลิ่นอื่นๆ เข้ามาวุ่นวายเป็นระยะๆ เช่นนั้นสบโอกาสเพื่อที่จะได้กลิ่น Fig หรือมะเดื่อฝรั่งจากการแบ่งปันมา เราก็จัดไป จึงได้รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้

เรียกว่ากลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงลูกมะเดื่อฝรั่งหรือที่รู้จักกันนั่นคือ Fig กันอย่างเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอในทุกๆ ช่วงจริงๆ ซึ่งถ้าใครหลงรักในกลิ่นเขียวๆ แบบเฉพาะไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะใบ ลูก และต้น กลิ่นจะยืนพื้นที่ความเขียวติดขมแต่มีความโปร่งมากพอที่ทำให้รู้สึกธรรมชาติมากกว่าจะแน่น ซึ่ง Philosykos เปิดตัวที่กลิ่นของใบและลูก Fig ที่มาผสมผสานกัน กลิ่นจะได้ความเขียวติดขมกลั้วความเป็นครีมมี่โปร่งๆ จางๆ ที่เป็นกลิ่นเฉพาะของความเป็น Fig กันอย่างชัดเจน กลิ่นมีความโปร่งสบายๆ กันเต็มๆ ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นโทนเขียวๆ ติดครีมมี่หวานบางๆ ที่ไม่เหมือนใครจะหลงกลิ่น Fig ได้ไม่ยากจริงๆ ส่งต่อให้ช่วงกลาง ความครีมมี่เริ่มจะมากขึ้นเพราะกลิ่นมะพร้าวออกครีมมี่จะมาผสมผสานให้กลิ่น Fig ทั้งใบและลูกที่ตามมาในตอนแรกมีความนวลจมูก แต่ก็ยังคงความเขียวโปร่งเช่นเคยไม่หนีไปไหน ซึ่งบางวูบจะให้อารมณ์แบบเรากำลังปลอกเปลือกมะพร้าวเขียวๆ กันอย่างชัดเจน และแน่นอนว่ากลิ่น Fig จะไม่มีหนีไปไหน แต่จะพัฒนาไปในโทนของไม้หอมมากขึ้นในช่วงท้าย ด้วยการเอากลิ่นเนื้อไม้ของ Fig มาเป็นกลิ่นอายเด่นความครีมมี่ที่จะมีลดลงเป็นกลิ่นไม้หอมติดครีมมี่ มีความเป็นแป้งโปร่งๆ นิดๆ และผสมผสานความเขียวอยู่เช่นเคย ซึ่งจะมีกลิ่นไม้หอมอื่นๆ อย่างซีดาร์เข้ามาร้องพื้นด้านหลังให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เป็นต้น Fig ทื่ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ใบ ลูก และต้นได้ลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – Unisex เลยกลิ่นนี้ได้หมดทั้งหญิงและชาย กลิ่นมีความเขียวและเป็นเอกลักษณ์สูงมากในรูปแบบครีมมี่โปร่งๆ สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ กลิ่นมีความผ่อนคลายเลยทีเดียว และมีความเป็นธรรมชาติเลยทีเดียว ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรามากเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะใส่ไปยั่วใคร เพราะมันจะออกแนวอะโรม่า แทนที่จะได้เหยื่อเสียมาก ยกเว้นใส่แบบชิลล์ๆ ผ่อนคลายอันนี้ได้อยู่

ความทน ตัวนี้ความทนค่อนข้างแกว่งเพราะเป็น EDT เพราะอยู่ที่ราวๆ 4 – 6 ชม. ซึ่งอิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงเคมีเป็นสำคัญ แต่สิ่งที่เจอส่วนตัวอาจจะเป็นเพราะเคมีเข้ากันได้ดีมาก รวมถึงฉีดเสื้อด้านหน้าด้วย 2 สเปรย์ เรียกว่าติดยาวนานตีขึ้นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ได้ถึง 8 ชม. เลยทีเดียว

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงไปกระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนและอากาศร้อนๆ ชัดเจน

ทิ้งท้าย เดิมทีคิดว่ามันจะไม่ทน เพราะกลิ่นแนวๆ นี้มักมาไวและไปไว แถมอากาศบ้านเราเข้าช่วงร้อนจัดๆ กลายเป็นเคมีได้ อันนี้ภูมิใจในเรื่องแรก อย่างที่ 2 คือ กลิ่น Fig ตัวนี้สื่อสารได้ดีมากในทุกๆ อย่างที่เป็น Fig เช่นนั้นใครสนใจกลิ่น Fig ตัวนี้เป็นตัวที่ใช้ง่ายมากตัวนึงให้เรียนรู้เลยล่ะครับ  

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Comme des Garcons - Play: Red

Comme des Garcons - Play: Red 

เอาเข้าจริง Comme des Garcons มักจะออกน้ำหอมที่เรียกว่าล้ำและแนวจัดจ้านมาเสมอ แต่พอมี Collection - Play ออกมา เพื่อเอาใจวัยสะออนที่ต้องการความแนวแบบเข้าถึงง่ายกับหัวใจที่มีลูกกะตา เช่นนั้นนอกจากเสื้อผ้าแล้วต้องมีน้ำหอมแน่นอนเพื่อที่จะตอบโจทย์ความเป็น Play ซึ่งแน่นอนมีออกมาเป็นไลน์เลย ซึ่งมีตั้ง ตัว Play ต้นตระกูล ตามด้วยหัวใจอีก 3 สีรุ่นลูก เช่นนั้น มาดมกันดีกว่ากับหัวใจสีแดงอย่างรุ่น Red ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นตัวแรกของไลน์นี้ที่ได้ลองทั้งเทสและใช้จริง ซึ่งไม่เคยลองตัวต้นตระกูลและหัวใจสีเขียวและดำมาก่อน เลยจะข้ามเรื่องความเชื่อมโยงของไลน์ไปเน้นที่ตัวกลิ่นเป็นสำคัญ 

แรกเริ่มฉีดกลิ่นที่ได้รับจะมาเต็มมากในเรื่องของความเปรี้ยวสดชื่นแบบติดผลไม้กันเลย ซึ่งกลิ่นจะมาจากเชอร์รี่ที่ออกเปรี้ยวตีคู่กับกลิ่นส้มที่สดชื่น และมีกลิ่นอายของพีชจางๆ เลยจะรวมกันออกมาเป็นกลิ่นคล้ายๆ เยลลี่สีแดงฉ่ำๆ Bubblegum น่ากินเชียว ซึ่งกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ เสียด้วย โดยจะมาในลักษณะที่มีความอบอุ่นมากขึ้นและมีความหวานจากเครื่องเทศอย่างอบเชยและพริกไทยสีชมพู รวมถึงมีกลิ่นโทนดอกไม้แบบสดชื่นจากดอกเจอเรเนียมมาผสมผสาน เลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะมีความเย้ายวนหวานแบบติดขี้เล่นกำลังดี มีความลั่นล้า เริงร่าผสมผสานไปอยู่ตลอด และความอบอุ่นจะเริ่มมากขึ้นนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายของหญ้าฝรั่นแบบขมปนหวาน ติดกลิ่นหนังหน่อยๆ จะเริ่มเด่นขึ้นมาคุมโทนให้มีกลิ่นที่นวลมากขึ้น และมีตัวสนับสนุนชั้นดีอย่างยางไม้ติดโทนหวานออกแนวกึ่งกลิ่นโทนธูปที่มาแบบกลางๆ ไม่คมหรือเด่นเกินไป ผสมผสานเบลนด์กันให้ความหวานแบบอบอุ่น โดยมีกลิ่นอายผลไม้ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นมาทอนความแน่นให้มีความใสในเนื้อกลิ่นอยู่ เลยทำให้น้ำหอมตัวนี้ได้อารมณ์ของความสดใสเริงร่าท่ามกลางความอบอุ่นได้ลงตัว ตอบสนอง Concept ของความเป็น Play และสีแดงได้เป๊ะ! จริง อะไรจริง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นนี้ตอบโจทย์ทุกเพศ วัย ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว ไม่กีดกันเรื่องคนอายุมากที่อยากลั่นล้าแบบ Play เพราะหัวใจยังวัยรุ่นอยู่ แต่กลิ่นนี้จะไม่ค่อยเข้ากับความเป็นทางการเท่าไหร่ เพราะมันดูลั่นล้าและสดใส เลยจะเหมาะกับการใส่แบบทั่วๆ ไป เริงร่า วัยรุ่น หรือออกกลางแจ้ง แต่ถ้าทำงาน Office แบบไม่ได้อะไรกับใคร ก็ใส่ได้ ส่วนถ้าจะใส่ออกกำลังกาย ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน ถ้าเป็นลั่นล้าท้าลมร้อนเดินชิลล์ เดินเที่ยวกับอากาศบ้านเราเรียกว่าสบายๆ แต่ถ้าจะเน้นไปแดนซ์หาเหยื่อ ตัวนี้อาจจะด้อยกว่าตัวหนักๆ หลายๆ ตัวก็เท่านั้นเอง 

ความทน - เดิมทีคิดว่าไม่น่าจะทน แต่พอใช้จริงกลิ่นลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ อาจจะมากกว่านี้ได้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น สดใสเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ และปิดท้ายที่ออร่ากึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นน่ารักสดใสสมวัยผมมากกกก ที่สำคัญในความสดใส มันมีอะไรบางอย่างที่เป็นลายเซ็นของ CDG แฝงเข้าไปอยู่ไม่น้อย กับความไม่ธรรมดาของโทนยางไม้ที่ทำให้กลิ่นคงตัวและคงความหอมแบบมีชั้นเชิงเหนือคำว่า Bubblegum ได้มาก ต้องยกให้เขาเลยทำได้ออกมาน่ารัก สดใสอย่างมีชั้นเชิงจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://media.liberty.co.uk/pws/client/images/catalogue/products/contcomm656000598-nocolour/enlarge/contcomm656000598-nocolour.jpg

Review: Hermes - Hermessence: Poivre Samarcande

Hermes - Hermessence: Poivre Samarcande

ห่างหายจากไลน์ Hermessence ของ Hermes มานาน เพราะแพงงง ไม่มีตังค์ซื้อ พอมาวันหนึ่งได้มีคนลองแบ่งปันมาให้เพื่อให้ลองมาดมว่ากลิ่นอายแบบ Poivre Samarcande จะเป็นอย่างไรบ้าง เช่นนั้นเลยได้จัดไป ผลออกมาในการดมตัว Exclusive ของ Hermes เลยทำให้รู้ได้ว่า 

กลิ่นนี้มีความเป็นกึ่งกลางระหว่างความเป็นเครื่องเทศและความเป็นไม้หอมได้ลงตัวเลยทีเดียว ถ้าดมเพียงผิวเผินจากหัวฉีดจะได้กลิ่นของเครื่องเทศอย่างพริกไทยที่มาเต็มมากสมชื่อว่า Poivre ผสมผสานกับกลิ่นอายของ ISO E Super ที่มาแบบกลิ่นไม้หอมสะอาดเลย ก็เป็นไปตามแรงบันดาลใจของรุ่นนี้ที่เอาการบรรจบของตะวันออกกับตะวันตกมาผสมผสานกันอิงกับเมือง Samarkand ของอุซเบกิสถาน ซึ่งพอได้ลองฉีด กลิ่นเปิดที่เต็มมากับโทน Spicy กันก่อนเลยเพราะพริกไทยจะมาเต็มมาก กลั้วกับกลิ่นอายของพริกหวานที่มาให้ความสดชื่นเลยทำให้กลิ่นออกทางโปร่ง ซึ่งกลิ่นรองพื้นจะจับได้ไม่ยากว่ามีโทนไม้หอมผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ ซึ่งช่วงนี้เปรียบเสมือนการบ่งบอกถึงความเป็นเครื่องเทศแนวตะวันออกอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นของเครื่องเทศนี้จะอยู่ไปตลอดจนถึงช่วงท้ายๆ แบบลดระดับไปเรื่อยๆ โดยเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นเครื่องเทศจะมาผสมผสานกับกลิ่นโทนสดชื่นติดเขียว ซึ่งจะมีความเป็น Spicy แบบติดหวานกำลังดีของยี่หร่าที่ไม่มาแบบแขกเกินไปเด่นขึ้นมา ที่สำคัญกลิ่นไม้หอมจะเริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลิ่นแนวๆ ไม้ Oak ที่เด่นขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า ISO E Super จะมาปรากฎชัดหลังจากผลุบๆ โผล่ๆ ในช่วงนี้ กลิ่นเลยจะเป็นการผสมผสานระหว่างกลิ่นอายแบบตะวันออกและตะวันตกแบ่งช่วงกันอย่างดี นำเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นโทWoody เต็มตัว กลิ่นโทนเครื่องเทศจะเหลือเบาบางลงไป กลิ่นไม้ซีดาร์แบบสะอาดๆ จะเด่นขึ้นมาด้วยผลพวงของ ISO E Super ที่ปล่อยพลังชัดเจนในช่วงนี้ โดยจะมากลั้วกับกลิ่นไม้ Oak ที่ยังตามมาแบบติดหวานรวมถึงพิมเสนประปรายให้กลิ่นสบายๆ นุ่มและเบาติดโปร่งสบาย ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นกลิ่นสะอาดแบบมีระดับ มีความเป็นธรรมชาติติดหรูหราแบบผู้ดีในเนื้อกลิ่นสูงเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นนี้กลางๆ พอที่จะแตะความเป็นทุกเพศได้อย่างลงตัวและมีระดับมาก ที่สำคัญกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิดตรงที่เป็นกลิ่นเครื่องเทศแบบสดชื่นโทนโปร่งเสียมากนั่นเอง สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ถ้าจะออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนให้ข้ามตัวนี้ไปจะดีกว่าจะเอาไปใช้เพื่อเที่ยวกลางคืน ยกเว้นแบบสบายๆ ดินเนอร์หรือทั่วๆ ไปอันนี้พอเข้าทางได้อยู่ 

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดอิงเคมีพอสมควร ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์รวมฉีดเสื้อด้านหน้าด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงแรก มาแบบไม่ทำร้ายใครเลย แล้วจะลดเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลย ซึ่งพอเริ่มพ้นประมาณ 6 ชม. กลิ่นจะเป็น Skin Scent แล้ว 

ทิ้งท้าย - ตอนแรกเห็นตัวนี้แอบกลัวตรงที่มันเป็นเครื่องเทศเพราะกลิ่นยี่หร่าบางทีมาแบบแขกตะวันออกกลาง แต่พอได้ลองกลับประทับใจมากที่เขาทำให้กลิ่นยี่หร่าไม่แรงมาก กลายเป็นเครื่องเทศที่โปร่งสบายจมูก แถมหรูด้วยกลิ่นอายแบบไม้หอมช่วงท้ายได้น่าดมข้อมือทั้งวันเลยทีเดียว อ้อ ราคาไม่ต้องพูดถึง ราวๆ 9,000 ต่อขวด กราบบบบบบเลยดีกว่างานนี้ 55555 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://media.hermes.com/media/wysiwyg/Prehome/Fragrances/poivre-sacramande.jpg