วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Gucci Guilty Intense pour Homme


Gucci Guilty Intense pour Homme 

ถือว่าแตะไลน์ Guilty ของ Gucci ในส่วนของน้ำหอมผู้ชายครบพอดีเลยเพราะไล่เรียงกันมาตั้งแต่ Guilty Back, Guilty, Guilty Studs และก็ได้เวลาปิดท้ายของด้วยแรงอย่างรุ่น Guilty Intense บ้างแล้วล่ะครับ ว่าจะมาได้เด็ดดวงขนาดไหน 

เมื่อเป็น Intense ก็ถือว่าอัพเลเวลของกลิ่นจากรุ่นปกติมาได้ชัด โดยยังคงความดีงามของกลิ่นตามต้นฉบับที่ควรจะเป็นได้ไม่ขาดตกบกพร่อง แบบให้ความรู้สึกผิดว่า "กลิ่นยั่วไปหน่อย โทษทีนะตะเอง" แต่ตัดโทนติดหวานของรุ่นปกติเป็นแนวดาร์กเข้มได้ดีมากขึ้น โดย Top Notes ยังคงกลิ่นเด่นนำของเลม่อน ที่จะยังคงโทนซิตรัสสดชื่น โดยมีกลิ่นของเม็ดผักชีมาทำให้กลิ่นติดโทนซ่าๆ ที่สำคัญจะมีโทนนุ่มๆ ของลาเวนเดอร์มาตัด ซึ่งกลิ่นจะมาตัดกันได้อย่างลงตัวน่าดูชมเลยทีเดียยว ก่อนที่จะไปผสมผสานกับกลิ่นโทนนุ่มติดสดชื่นแบบซิตรัสแต่เย้ายวนจัดเต็มของดอกส้มในช่วง Middle Notes โทนหวานของดอกส้มที่เคยมีในรุ่นปกติและ Studs หายไป เป็นดอกส้มที่เย้ากันตรงๆ ติดโทนดาร์กจางๆ ที่จะค่อยๆ เข้มขึ้นในช่วง Base Notes โดยกลิ่นโทนอบอุ่นของแอมเบอร์และติดขรึมๆ ของไม้ซีดาร์ จะมากลืนกลิ่นดอกส้มให้ผันตัวไปอยู่พื้นหลังจางๆ ให้รู้สึกได้ถึงความนุ่มที่ยังมีอยู่ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะดาร์กดึงดูดเลยทีเดียว โดยพิมเสนจะมาปล่อยไอกลิ่นนุ่มเย้าให้น่าค้นหาไปเรื่อยๆ คาบเกี่ยวที่ได้ความรู้สึกทั้งสดชื่นจางๆ เย้ายวนจัดๆ Sexy น่าค้นหามาเต็ม มากกว่าจะเอากลิ่นหวานใสๆ มาดึงดูด ได้อารมณ์ผู้ชายที่มีชั้นเชิงและเข้าใจนำเสนอเสน่ห์ของตัวเองได้มากเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งเอาเข้าจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็ใช้น้ำหอมตัวนี้ได้นะครับ เพียงแต่ถ้าจะเอาใสๆ ไม่ดูมากประสบการณ์เกินไป ไปเล่นรุ่นปกติจะดีกว่า ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะกลิ่นมันออกแนวเย้ายวนดึงดูดเป็นหลัก ใส่ทำงานแบบอยู่ใน Office เฉยๆ ได้อยู่ แต่พบปะผู้คนหรืองานทางการ รวมถึงออกกำลังกายอาจจะไม่ค่อยเหมาะ ส่วนใส่ชิลล์ๆ หรือใส่ไปเกี้ยวพาราสีชาวบ้านน่ะได้เลย ส่วนยามกลางคืนจัดเลย กลิ่นเข้าทางมากครับ

ความทน - 8 ชั่วโมงกำลังดี อาจจะบวกลบไปบ้างอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าทนกว่ารุ่นอื่นๆ ในไลน์นี้เลยล่ะครับ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเลยทีเดียวในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ถ้าเทียบกันเองภายในไลน์ Guilty ผมยกให้รุ่นนี้เป็นตัวที่ดีงามเลยล่ะครับ ^^

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Carolina Herrera - 212 Sexy Men


Carolina Herrera - 212 Sexy Men 

จาก 212 Men ปกติที่ได้ทั้งความเขียวหวานนุ่มโปร่งที่เย้ายวนชวนเคลิ่้มแบบก็ไม่รู้สินะ ที่ใช้ได้แทบจะทุกสถานการณ์แถมเป็นตัวเอกที่ยอดนิยมมาตลอด สู่การแตกไลน์อีกมากมายก่ายกองเต็มไปหมด ก็ได้มาสู่ความเซ็กซี่ของกลิ่นในอีกรูปแบบกับ 212 Sexy Men ซึ่งจะเป็นอย่างไรบ้างจะคงความดีงามของต้นตระกูลหรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาคือ 

เรียกว่าไม่ทิ้งลายต้นฉบับเลยครับ คือกลิ่นโทนเขียวหวานนุ่มโปร่งๆ ยังคงความดีงามอยู่เช่นเดิมในช่วง Top Notes เพราะกลิ่นโทนซิตรัสติดเขียวและกลิ่นดอกไม้นุ่มๆ จะรวมตัวกันตอนแรก แต่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วง มีความสดชื่นจางๆ นุ่มนวลมามากหน่อย โดยกลิ่นจะเริ่มแน่นขึ้นด้วยโทนเครื่องเทศในช่วง Middle Notes ที่จะเริ่มฉีกมาในโทน Sexy มากขึ้นโดยยังมีความนุ่มนวลติดเขียวของกลิ่นคงที่อยู่ เพราะกลิ่นของเม็ดกระวานที่จะมาแบบหวานเย้า จะมาเคล้ากับโทนวานิลลาที่ไม่ได้มาแน่นมาก เพราะยังมีโทนเขียวๆ มาตัดอยู่ เลยทำให้ได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แบบผสมผสานระหว่างความเป็น 212 Men กับ Le Male ได้อย่างลงตัว และปล่อยเสน่ห์กันเต็มๆ แบบไม่มีกั๊กเลย จนส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นวานิลลายังคงทำหน้าที่ได้หอมละมุนเย้ายวนอบอุ่นอยู่เช่นเดิม แต่จะเพิ่มความอบอุุ่นด้วยโทนวู้ดดี้ติดกลิ่นอาย Smoky ที่จะได้ความรู้สึกดึงดูหอมรัญจวนแบบผู้ชายเมโทร โดยที่ยังคงความหวานนุ่มกลิ่น Sexy แบบพร้อมลุยยามค่ำไม่หลุด Concept เลยครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นไม่ได้ใช้ยาก และไม่ได้แน่นจนเกินไป สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการณ์ ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะจะทำให้มีลุคที่อบอุ่นกึ่งเย้ายวนกำลังดีเลย แต่ขอยามออกกำลังกาย ข้ามตัวนี้จะดีที่สุดครับเพราะกลิ่นมันจะตีขึ้นหนำไม่น้อยยามร่างกายทำความร้อน ส่วนยามค่ำคื่นจัดไปเลยยยยยย กลิ่นอบอุ่นเซ็กซี่ติดหวานโปร่งกำลังดี เรียกแขกได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ

ความทน - 8 ชั่วโมง โดยประมาณ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ก่อนที่จะลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอดจนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายชวนให้มาคลุกวงใน

ทิ้งท้าย - แม้กลิ่นจะคล้ายๆ Le Male แต่คล้ายไม่มาก เพราะตัวนี้ไม่ได้มีลาเวนเดอร์กับวานิลลาจัดหนักขนาดนั้น แต่มีความโปร่งของกลิ่นที่ไม่หนักหน่วงแต่เย้ายวนแบบวานิลาติดเขียวได้ดีเลยทีเดียวล่ะครับ ^^

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Burberry – Weekend for Men


Burberry – Weekend for Men 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมโซนสดชื่นของแบรนด์ Burberry สำหรับผมรุ่น Weekend ถือว่าเป็นรุ่นที่จะขึ้นมาในหัวก่อนเลย เพราะเป็นน้ำหอมที่สดชื่นอย่างมีเอกลักษณ์และเป็นเอกเทศมาก ได้ทั้งความรู้สึกสดชื่นก็ได้ ผ่อนคลายก็ดี คือลงตัวไปหมด ซึ่งก็ไม่แปลกใจเพราะก็ยังได้รับความนิยมอยู่เสมอเสียด้วย

กับกลิ่นที่เข้าถึงง่ายแบบนี้ ก็เริ่มต้นที่ Top Notes ที่จะขนความสดชื่นกันมาเต็มๆ กับโทนซิตรัสกลั้วผลไม้ ทำให้กลิ่นจะสดชื่นมากมาย เด่นจริงจังเลยคือ เลมอน มะกรูด และเกรฟฟรุต ที่หอมซิตรัวติดเขียวของเปลือกตัวมันเอง หอมสดใสด้วยสับปะรดที่ติดหวานจางๆ โดยที่สำคัญจะมีกลิ่นหวานรองพื้นของน้ำผึ้งที่พอสัมผัสได้ แบบว่าเปิดมาก็ผ่อนคลายกันเลยทีเดียว และเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นวู้ดดี้อ่อนๆ จะเร่มมาให้ความสะอาดติดอบอุ่นเบาๆ มีกลิ่นโทนเขียวสดชื่นของตำลึงมาให้ความนุ่มกำลังดี โดยที่โทนซิตรัสตอนต้นก็ตามมาผสานอยู่ รวมถึงกลิ่นน้ำผึ้งเริ่มชัดขึ้นจนกลายเป็นเหมือนน้ำผึ้งผสมเลมอนที่หอมชวนอารมณ์ดีไม่น้อยเลย แถมได้ความสดชื่นติดอบอุ่นแบบอากาศดีชวนชิลล์ๆ มากมาย และปิดท้ายที่ Base Notes คราวนี้น้ำผึ้งจะเริ่มมาเต็ม โดนจะให้โทนหวานกลางๆ ไม่มาแบบหนักหน่วงเพราะยังมีกลิ่นซิตรัสมาแบบกลั้วจางๆ อยู่ โดยจะมีตัวรองพื้นอย่างแอมเบอร์ที่มาให้ความอบอุ่นเบาๆ มีกลิ่นแบบผิวกายสะอาดๆ ไปด้วยตลอด ซึ่งภาพรวมทั้งหมด สมชื่อรุ่นมาก เพราะกลิ่นสดชื่นจริง ผ่อนคลายจริงและหอมจริง แบบที่ใครๆ ได้กลิ่นก็จะสดชื่นไปด้วยไม่ยากครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใส่ตัวนี้ได้สบายๆ จริงๆ เด็กน้อยกว่านี้ก็ใส่ได้ แต่ลดจำนวนสเปรย์เอา ซึ่งเข้ากับอากาศบ้านเราแบบทุกช่วงตัว แถมใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แต่ไม่ค่อยเข้าทางกับใส่ยามกลางคืน เพราะกลิ่นมันจะเบาไป ยกเว้นใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วๆ ไปยามเย็นก็พอได้ ที่สำคัญกลิ่นรุ่นนี้ ผู้หญิงใส่ได้สบายๆ ครับ เพราะกลิ่นออกทางกระฉับกระเฉง ใส่แล้วเพิ่มลุค Sport แบบชิลล์ๆ ได้เลยล่ะครับ

ความทน – 6 ถึง 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวถ้าอัด 6 สเปรย์แบบกดเต็มๆ ไปม่มเม้มอยู่ได้ 6 อัด 8 ก็อยู่ได้ 8 ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีเลยในช่วงต้น สร้างความสดชื่นทั้งคนฉีดและรอบๆ ตัวได้สบายๆ และจะลดลงมากระจายกลางๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเบาๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – กลิ่นสร้างความรื่นรมย์แบบไม่เหมือนใครดีครับ ซึ่งยามผมฉีด ผมจะได้อารมณ์น้ำผึ้งผสมเลมอนสดชื่นตลอดเลย ฟินไม่น้อยกับวันอากาศร้อนๆ ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Diesel – Only the Brave Tattoo


Diesel – Only the Brave Tattoo

Flanker อีกหนึ่งตัวจากน้ำหอมขวดทรงกำปั้นของแบรนด์ Diesel ที่จะมาแบบเข้มเท่ห์เท่าสีขวดหรือไม่ แล้วจะสื่อถึงคำว่า Tattoo อย่างไร ลองมาว่ากันที่รุ่นนี้ครับ Only the Brave Tattoo 

จากรุ่นต้นตระกูลที่บอกถึงความสดชื่นยามเช้าค่อนกลางวัน รุ่น Wild ที่บอกถึงความหอมหวานของป่าเขตร้อนติดชุมชนเมือง (ที่ออกผลไม้ไปหน่อย) ก็มาถึงความเข้มหวานของยามค่ำคืนแบบเท่ห์ๆ กันบ้าง เพราะเปิดต้นกลิ่นกันด้วยกลิ่นที่เรียกแขกกันตั้งแต่เริ่มต้นเลยกับกลิ่นของแอปเปิ้ลแดงกลั้วสั้มที่จะหอมสดชื่นติดหวานฉ่ำของผลไม้กันชัดเจนตั้งแต่ต้น และบอกเลยว่ากลิ่นนี้จะตามติดไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเลยทีเดียว ซึ่งในช่วงกลางกลิ่นของพริกไทยจะขึ้นมาผสานกับโทนผลไม้ทำให้กลิ่นแน่นขึ้นโดยมีโทนวู้ดดี้รองพื้นเบื้องหลังให้รู้สึกได้ กลิ่นในช่วงนี้เริ่มสื่อถึงความแมนและหวานได้ลงตัวไม่น้อย ที่สำคัญในช่วงนี้จะมาความเซ็กซี่เย้ายวนค่อยๆ ปล่อยของทีละนิดๆ โดยเริ่มมีกลิ่นยาสูบมาทีละหน่อยจนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมาเต็มเลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นกำยานที่มาเต็มมากขึ้น ให้โทนหวานกลั้วกับกลิ่นผลไม้ในช่วงต้น ซึ่งบอกเลยว่าไฮไลท์อยู่ที่ช่วงนี้เต็มๆ เพราะจะเย้ายวนและเซ็กซี่มาก แถมมีกลิ่นนุ่มเย้าดึงดูดของพิมเสนมาตอกย้ำเข้าไปอีก กลิ่นภาพรวมจะไล่ระดับกันมาให้ความรู้สึกทั้งหวานแน่น สดใส ขี้เล่น เซ็กซี่ กรุ้มกริ่ม มาครบ บอกอารมณ์ของ Bad Boy ได้กำลังดี เรียกว่าต่อยอดมาจากรุ่นปกติได้ดีเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะกลิ่นบ่งบอกถึงความเป็นวัยรุ่นได้เป็นอย่างดีเลยกับโทนผลไม้หวานๆ ในตัวนี้ สามารถใส่ได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันกับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะมากเกินไปเดี๋ยวชาวบ้านจะมองหน้าเอาเพราะกลิ่นมันแน่นอยู่ไม่น้อย และไม่ควรใส่ออกกำลังกายนัก ส่วนยามกลางคืนนี่เข้าทางเลย จัดไปได้เลย กลิ่นเย้ายวน Sexy ดึงดูดมากเลยทีเดียว

ความทน – 8 ชั่วโมงสบายๆ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายได้ดีมากในช่วงต้น คือคนรอบข้างจะรู้เลยเพราะกลิ่นแอปเปิ้ลฉ่ำๆ หวานๆ กระจายเต็มมาก และกลิ่นจะยังคงกระจายดีไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะลดมาเป็นออร่าดึงดูดรอบๆ ตัวแทน

ทิ้งท้าย – แม้ว่ากลิ่นนี้จะออกทางคล้ายๆ Paco Ranbanne – Black XS พอสมควร แต่จะไม่ได้ออกทางขี้เล่นจัดจ้านมากขนาดนั้นครับ ออกทาง Bad Boy ติดหวานเสียมากกว่าครับ

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Creed - Millesime Imperial


Creed - Millesime Imperial

ขึ้นชื่อว่า “King of Citrus” ของน้ำหอม ชื่อนี้คงไม่ได้แต่ใดมา ถ้าไม่ดีจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็น Creed จะมาหมูหมากาไก่ที่ไหนก็คงไม่ได้ ต้องมาเต็ม มาหรู มาไฮโซ และมาแบบมีคลาสมีระดับจัดเต็มแน่นอน ที่สำคัญถึงขั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Sean John Unforgivable และหลายๆ รุ่นเสียอีกด้วย เช่นนั้นมาเจอตัวพ่อกันหน่อยอย่าง Millesime Imperial ครับ 

เพียงแค่ Top Notes ก็ต้องยกให้เขาล่ะครับ เพราะกลิ่นโทนผลไม้สดชื่นติดเปรี้ยวอมหวานมาเต็มมาก มีความฉ่ำๆ ของเมล่อนและมีโทนเหล้ารัมแบบใสๆ บวกกับกลิ่นอายเกลือสะอาดๆ กำลังดี กลิ่นช่วงนี้สดชื่นแบบหรูหราติดกรุ้มกริ่มแนวๆ คุณชายได้ดีมาก และพอเข้าสู่ช่วง Middle Notes งานนี้โทนซิตรัสของมะกรูด ส้ม เลมอนจะมาแบบใสสว่าง สดชื่นมากมาย โดยมีฐานรองพื้นด้านหลังคือกลิ่นโทนแป้งของดอกไอริสมาเสริม ทำให้กลายเป็นกลิ่นโทนสดชื่นที่ติดความเซ็กซี่กรุ้มกริ่มจางๆ โดยไม่เสียลุคผู้ดีคุณชายเจ้าเสน่ห์ไปตลอด ก่อนจะปิดท้ายที่ Base Notes งานสะอาดนุ่มต้องมา เพราะ Musk แบบนุ่มนวลเย้าเป็นระยะจะมากลั้วกับโทนวู้ดดี้อ่อนๆ ติดอบอุ่นกำลังดี ที่สำคัญกลิ่นโทนผลไม้กลั้วซิตรัสยังคงตามมาอยู่ เรียกว่ามาเรียกแขกให้ตลอด ส่งเสริมให้คนใส่ดูรวย มีรสนิยม ขี้เล่นก็ได้ สดชื่นติดทางการหรูหราก็ดี ชิลล์ๆ ก็เหมาะ คือ ยังไงก็มาเต็มแบบมีระดับเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

เหมาะสำหรับ – จริงๆ น้ำหอมตัวนี้เป็น Unisex ครับ ใช้ได้ทั้งหญิงทั้งชาย แต่หลังจากใช้ผมเอนเอียงมาทางผู้ชายมากหน่อย เพราะกลิ่นมันดูสดใสและขี้เล่นติดหรูหรา อารมณ์ดีไม่น้อย แต่เอาเข้าจริงสาวๆ ใช้ได้สบายๆ แถมเพิ่มความหรูหรากับคนใส่ได้มากโขเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งงานทางการและไม่ทางการ ได้ทุกสถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน บอกเลยว่าครอบจักรวาลมาก เพียงแต่มันจะเปลืองไปนะถ้าใส่ไปออกกำลังกาย เพราะมันแพงงงงง 5555

ความทน – อยู่ที่ 8 ชั่วโมง อาจจะมีบวกลบบ้างตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวผมเจอ 10 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติของตัวพ่อตัวนี้ประจำ ฟินไปเลยยยยยย

การกระจาย – กระจายดีมากในช่วงต้น และจะลดมากระจายกลางๆ แบบหรูหรา ใครอยู่ใกล้ๆ ก็ฟินกับกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายแบบมีระดับแบบนี้ไม่ยาก จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ยังตีขึ้นให้คนใส่รับรู้เสมอครับ

ทิ้งท้าย – สมกับฉายา King of Citrus ไม่มีผิดเพี้ยน แถมเป็นตัวพ่อที่เรียกว่างดงามเลยทีเดียวในความมีระดับและหรูหราในเนื้อกลิ่นที่เน้นสดชื่น แม้ว่าจะมีกลิ่นที่เอาไปเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งถ้าเทียบจริงๆ ก็ไม่ได้ออกทางเจ้าชู้จัดๆ แบบ Unforgivable และไม่ได้ออกทางวัยรุ่นใสๆ แบบ Love & Luck for Men แต่เป็นกลิ่นผู้ดีที่อารมณ์ดี กรุ้มกริ่ม สดชื่น และมีระดับหรูหราคาบเกี่ยวทุกอารมณ์แทน ซึ่งถ้ามีตังค์ก็จัดไป อย่าให้เสียนะคร้าบ

ป.ล. ทำไม Creed จะขึ้นราคาอีกแล้ว จะแพงไปไหนเนี่ย 5555555

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Kenzo Homme Night


Kenzo Homme Night

Kenzo Homme ถือเป็นรุ่นต้นตระกูลที่มีความดีงามกับกลิ่นราวกับสายน้ำทะเลชื่นใจในยามเช้ามืด จนมี Flanker แตกแยกย่อยไปหลายมาก และเมื่อต้นปี 2014 ที่ผ่านมา ก็มีลูกหลานใหม่เกิดขึ้นนั่นคือ Kenzo Homme Night จะเป็นเช่นไร มาบอกเล่ากันหน่อยครับ 

เอาเข้าจริงๆ ตัวนี้ถือว่าแทบจะเชื่อมโยงกับรุ่นต้นตระกูลน้อยมากเลยนะครับ เพราะความรู้สึกแบบสายน้ำทะเลไม่มีอยู่ในเนื้อกลิ่นเลย ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นหนึ่งใน Trick การตลาดที่มาพึ่งพาอาศัยรุ่นที่เด่นดังเป็นตัวเรียกแขก เอาเข้าจริงๆ น้ำหอมก็มีดีไม่ใช่น้อยเลยนะครับ เพราะ Top Notes เปิดมาแม้จะมีโทนซิตรัสจางๆ และกลิ่นซ่าๆ ของเม็ดผักชีขึ้นมาก็ตาม แต่กลิ่นมะม่วงสุกดันขึ้นมาเร็วมาก แถมด้วยกลิ่นมะพร้าวที่ผสมผสานกันจนหอมหวานนวลๆ ได้ใจมาก จนเมื่อ Middle Notes มาถึง งานนี้มะม่วงมาเต็มกว่าเดิม แถมด้วยกลิ่นมะพร้าวที่ยังคงอยู่กับเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีโทนเขียวๆ มากลั้วไปตลอด ให้เกิดความรู้สึกหอมแบบมีชั้นเชิงมากขึ้น กลิ่นได้อารมณ์เซ็กซี่แบบยามค่ำคืนที่เย้ายวนและหอมหวานของประเทศเขตร้อนแบบบ้านเรามากเลยทีเดียว และจะเริ่มมีกลิ่นครีมมี่นุ่มนมของถั่วตองก้าขึ้นมาทีละนิดๆ จนมาเต็มเลยในช่วง Base Notes กลิ่นช่วงนี้มีโทนมะม่วงจางๆ มาเสริมด้วย โดยมีโทนวู้ดดี้ติดกลิ่นอาย Smoky ให้รู้สึกได้ กลิ่นในช่วงนี้จะหอมแบบนุ่มนวลน่าซบ (แต่จะขบโน่นนี่ต่อไหมนั่นอีกเรื่อง) แถมได้ความรู้สึกอบอุ่นติดแมนแกล้มไปตลอดอีกด้วยล่ะครั

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นถือว่าใช้ง่ายในระดับหนึ่งเลยทีเดียว สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ออกทางการหรือออกกำลังกาย เช่น ทำงานทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ ออกเดท อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืนอ่ะ จัดไป กลิ่นเย้ายวนกำลังดีเลยล่ะครับ

ความทน – 8 ชั่วโมงขึ้นไปสบายๆ เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากและต่อเนื่องยาวนานด้วยจนถึงปลายๆ ของช่วงกลาง ก่อนจะผันเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – บางวูบได้อารมณ์มะม่วงสุกราดกะทิและนมพอสมควร แหม ถ้ามีข้าวเหนียวมูลนะ กลิ่นนี้จะอร่อยเหาะไม่น้อยเลยแหละ 5555 แต่เพียงแค่นี้ก็เย้ายวนหอมหวานแบบ Modern มากแล้วล่ะครับ 

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Paco Rabanne – Black XS L’Exces for Him


Paco Rabanne – Black XS L’Exces for Him

เพราะ Black XS ถือว่าเป็นตัวเรียกแขกแบบเซ็กซี่สุดกู่ ทั้งหอมสดชื่นแบบผลไม้ที่น่ากิ๊นน่ากิน ก็ต้องมีการต่อยอดสิครับ ซึ่ง Paco Rabanne เลยปล่อยตัวลูกตัวแรกออกมาก่อนในปี 2012 คราวนี้จะมาแบบต้นตระกูลหรือไม่ ต้องมาว่ากันหน่อยกับรุ่นนี้ครับ Black XS L’Exces for Him

Top Notes เรียกได้ว่าเปิดต้นกลิ่นมาได้สดชื่นมากมายกับกลิ่นโทนผลไม้กลั้วซิตรัส แบบว่าสับปะรดและเลมอนมากลั้วกันได้อย่างลงตัวมาก แอบมีโทนสตรอเบอร์รี่คล้ายๆ ต้นตระกูลมาบางๆ ให้พอรู้สึกได้ ที่สำคัญกลิ่นไม่แหลมเกินไปเสียด้วยเพราะมีลาเวนเดอร์มาตัดให้ความลงตัวหอมแบบเรียกแขกกันตั้งแต่ตอนนี้เลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes ถึงเริ่มฉีกตัวเองออกมามากขึ้น โดยยังคงลายเซ็นของต้นตระกูลอย่างโทนผลไม้ผสมซิตรัสอยู่ ไม่ได้หนีไปไหน แต่จะได้โทนแบบน้ำทะเลแบบไม่มีกลิ่นคาวเข้ามาให้ความสดชื่นติดเย้ายวน และมีความซ่าๆ ติดโทน Spice ในเนื้อกลิ่นกำลังดี แอบมีโทนหวานจางๆ มาผสานแบบว่าเอากลิ่นของต้นฉบับมาปรับใหม่นั่นเอง และ Base Notes จะเริ่มเข้ามาให้ความอบอุ่นกลั้วเซ็กซี่ในรูปแบบที่คล้ายคลึงต้นฉบับ กับโทนวู้ดดี้สะอาดๆ ติดอบอุ่นและมีกลิ่นของพิมเสนนุ่มเย้าดึงดูดไปตลอด แต่สิ่งที่ยังคงมีอยู่จางๆ ให้รู้สึกได้คือ กลิ่นโทนผลไม้กลั้วซิตรัสที่ก็ยังไม่ได้ไปไหนเช่นเคย เรียกว่าปรับเป็นรุ่นลูกที่กลิ่นน่าดูชมและดมกลิ่นไม่น้อยเลยทีเดียว แถมให้ความรู้สึกแบบผู้ชายเย้ายวนแบบสดชื่นเท่ห์ๆ มากกว่าจะหวานยั่วแบบต้นฉบับเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไป กลิ่นเข้าถึงง่ายเลยทีเดียว ไม่ได้แน่นจนเกินไปด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน ซึ่งยามกลางวันอาจจะต้องเลือกสถานการณ์นิดนึง เพราะกลิ่นไม่ได้ออกทางการเท่าไหร่ ถ้าใส่ทำงานก็พอไหวในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ยิ่งใส่ชิลล์ๆ ก็ลงตัว หรือใส่ไปอยู่กับแฟน อาจจะคลุกวงในกันหนำได้เลย เพราะกลิ่นสดชื่นติดยั่วยวนไม่น้อย ส่วนยามกลางคืน ยิ่งท่องราตรีด้วยแล้ว จัดไป กลิ่นเหมาะสมมากเลย

ความทน – ขอยกนิ้วให้เลย สิ่งที่เจอคือ 8 ชม. กลิ่นก็ยังตีขึ้นสบายๆ ซึ่งบนผิวผม 12 ชม. ยังตีขึ้นครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกกกตั้งแต่ช่วงต้น ยาวไปถึงท้ายๆ ช่วงกลาง ก่อนจะกระจายปานกลางในช่วงท้าย และลดลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัว ที่ใครเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ได้กลิ่นแน่นอน

ทิ้งท้าย – ใครคิดว่า Black XS ปกติ หวานยั่วไปหน่อย ตัวนี้เป็นตัวที่ลดโทนหวานมาเป็นสดชื่นติดเย้ายวนได้ดีเลยทีเดียว แถมเผลอๆ อาจจะชอบมากกว่ารุ่นถ้วยรางวัลอย่าง Invictus ที่โทนกลิ่นคล้ายๆ กันอีกเสียด้วยนะครับนั่น ^^

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Chloe EDP Intense


Chloe EDP Intense 

จากโบว์ขาว - โบว์ครีม - โบว์ดำ ต้องเรียกว่า Chloe ประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำน้ำหอม เพราะไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ฮิตตลาดแตกหมด แถมเข้าถึงง่ายมากจนสาวๆ ต้องจับจองมาเป็นหนึ่งใน Collection น้ำหอมของตัวเองกันถ้วนหน้า เช่นนั้นเมื่อเคยกล่าวถึงโบว์ครีมไปแล้วก็ได้เวลาของโบว์ดำกันบ้างกับการเป็นรุ่น Intense ว่าจะเป็นอย่างไร 

เอาเข้าจริงรุ่นนี้ผมขอยกให้เลยว่าเป็นรุ่นที่ติดโทน Unisex ที่สุดของโซนโบว์สีต่างๆ ทั้งหมด เพราะพัฒนาจากรุ่นปกติมาเป็นรุ่น Intense ที่กลิ่นเข้มข้นขึ้น จากคุณหนูเรียบร้อยติดสดใส มาเป็นผู้หญิงมั่นใจ หรูหรา และติดโทนหวานเท่ห์ได้เป็นอย่างดี เพราะ Top Notes ยังคงแบบรุ่นปกติคือเป็นกลิ่นลิ้นจี่ผสานกับดอกไม้โทนกุหลาบ แต่เพราะความเข้มข้นที่มากขึ้นทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทางสดใสมากเกินไป ออกทางหอมมั่นใจกันตั้งแต่ต้น แซมไปด้วยความหรูหรา ตามด้วย Middle Notes ที่มีความแน่นของกลิ่นด้วยพริกไทยสีชมพูที่ให้ความ Spicy ติดหวาน มากลั้วกับกุหลาบ กลิ่นที่เคยมีความใสในรุ่นปกติจะมีเพียงเบางเบาให้รู้สึกได้บ้างก็จริง แต่สิ่งที่มามากกว่าคือความแน่นแต่ไม่หนักของกลิ่นและความรู้สึกเท่ห์แกล้มอ่อนหวานจางๆ จะมาเต็ม ซึ่งถือว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็น Unisex ที่ผู้ชายใส่ได้สบายๆ เลยทีเดียว จนเมื่อเข้า Base Notes ที่โทนวู้ดดี้อบอุ่นยังคงมีอยู่ แต่จะมีความครีมมี่นุ่มๆ เพิ่มขึ้นมาให้กลิ่นออกโทนเข้มขึ้น โดยมีกลิ่นกุหลาบติดลิ้นจี่จางๆ ตามมาให้ความรู้สึกได้ โโยทั้งหมดยังคงความหรูหรา สดชื่นอย่างมีระดับตามรุ่นปกติ แต่สิ่งที่มีมากขึ้นคือความมั่นใจแบบอ่อนหวานก็ได้ ลุยๆ ก็ดี ไม่ได้สาวจัดจ้านเกินไป นี่แหละครับ Chloe โบว์ดำ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นออกโทนเป็นสาวมั่นใจลุยๆ แต่ไม่ทิ้งความอ่อนหวานได้ดีเลยล่ะครับ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งยามกลางวันและกลางคืน เรียกได้ว่าครอบจักรวาลเลย ขอเรื่องการใส่ไปออกกำลังกายอย่างเดียวที่ควรจะรอให้ถึง Base ก่อนจะดีที่สุด ที่เหลือจัดไป ส่วนผู้ชาย สำหรับผมใส่ตัวนี้ได้สบายๆ กว่ารุ่นปกติเลยครับ และบอกเลยว่าอยู่บนผิวผู้ชาย แล้วกลิ่นจะแมนขึ้นมาไม่น้อยเลยล่ะ

ความทน - ยกให้เลย 10 ชม. กลิ่นก็ยังตีขึ้น

การกระจาย - ไม่ต่างจากรุ่นปกติที่เป็น Sillage Scent คนใส่จะได้กลิ่นกำลังดีจากการตีขึ้น แต่คนรอบข้างจะได้กลิ่นเต็มๆ เป็นบาเรียหุ้มรอบๆ ตัวเลย ซึ่งในช่วงท้ายๆ จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแทนครับ

ทิ้งท้าย - เป็นหนึ่งในน้ำหอมผู้หญิงที่ผมใส่ไปแล้วมีแต่คนทักว่า น้ำหอมหอมมาก กลิ่นกุหลาบก็จริงแต่แม๊นนนน แมน พอบอกไปว่า Chloe ตะลึงตึ้งตึงกันเป็นแถบ เห็นป่ะ! ใครว่าใส่ Chloe แล้วต้องเเปลี่ยนเพศเป็นสาวหวาน เดี๋ยวปั๊ด! ปล้ำเลยนิ 555555

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Lanvin L'Homme


Lanvin L'Homme 

ใครสนใจน้ำหอมโซนสดชื่นใช้ง่าย มีระดับและกลิ่นไม่เหมือนมหาชนส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำหอมโซนสดชื่นซ้ำๆ กัน ต้องกวักมือมาให้ลองดมรุ่น L'Homme ของ Lanvin กันหน่อยครับ เพราะ

กลิ่นสดชื่นที่มาตั้งแต่ต้นในช่วง Top Notes จะให้ความรู้สึกมีระดับและทันสมัยกันตั้งแต่ช่วงนี้ กับกลิ่นของมะกรูดที่จะมาแบบโทนสดชื่นสว่างสไว เพราะมีกลิ่นของส้มและดอกส้มมาช่วยดันให้กลิ่นไม่สดชื่นจนแหลมเฟี้ยวเกินไป ปรับโทนให้เป็นสีขาวสดชื่นกำลังดีเลย จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes กลิ่นโทนซิตรัสสว่างในช่วงต้นจะเป็นผันเป็นตัวรองพื้น และกลิ่นของและพระเอกของงานจะขึ้นมาตามสีของน้ำหอมเลยคือ ลาเวนเดอร์ที่มาโทนนุ่มๆ พลิ้วไหวหอมสะอาดกลั้วพริกไทยที่ยังคงมีความสดชื่น ที่สำคัญมีกลิ่นอาย Spice เย็นๆ ของมินท์ลอยล่องตลอดในช่วงนี้ เป็นกลิ่นที่เรียบไม่ได้หวือหวา แต่มีระดับบ่งบอกถึงความสะอาดสะอ้านมาดดีไม่น้อย จนถึงช่วงปิดท้ายกับ Base Notes ที่จะเข้าสู่ช่วงอบอุ่นติดหวานเบาๆ ด้วยกลิ่นโทนวู้ดดี้ติดแป้งวานิลลาแบบ Lite Version โดยยังมีความสะอาดสุภาพในช่วงกลาง โดยยังคง Concept ของกลิ่นที่บอกถึงความเรียบง่ายมีระดับตั้งแต่ต้นยันจบไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัย สำหรับเด็กน้อยฉีดน้อยๆ สเปรย์ที่เสื้อผ้าแทนผิวเอาก็ทำให้สดชื่นนุ่มๆ สะอาดได้เลยล่ะครับ ซึ่งกลิ่นนี้ถือว่าครอบจักรวาลในการใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว เพราะได้หมดทั้งสดชื่น สะอาด สุภาพ และอบอุ่นติดหวานจางๆ ส่วนยามกลางคืนถ้าทั่วๆ ไปก็จัดได้ครับ แต่ถ้าเที่ยวกลางคืนไม่เหมาะเท่าไหร่ กลิ่นเบาไปครับ

ความทน - ประมาณ 6 ชั่วโมง ถ้าอัดสเปรย์ดีๆ และจุดฉีดเหมาะสม ก็ถึง 8 ชั่วโมงได้สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในกลางๆ ของช่วง Middle และเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย ที่กลิ่นจะตีขึ้นให้ผู้ใส่รับรู้ยามร่างกายทำความร้อนหรือขยับเนื้อตัวครับ

ทิ้งท้าย - ถือเป็นกลิ่นสดชืิ่นนุ่มๆ ที่แตกต่างจากมหาชนคนใช้น้ำหอมสดชื่นได้ดีมาก แถมด้วยความมีระดับในเนื้อกลิ่น ไม่เสียชื่อแบรนด์ Lanvin เลยล่ะครับ ^^

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: AJMal – Wisal


AJMal – Wisal

ผมขอเรียกเลยว่า นี่คือหนึ่งใน Masterpiece มากมายก่ายของของ AJMal ที่เรียกได้ว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ดีที่สุดในระดับต้นๆ ของโลกได้อย่างสบายๆ เลย และเป็นน้ำหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นกุหลาบที่ฉ่ำ สว่างสไว และเป็นกลิ่นที่ผู้ชายสามารถใช้ได้โดยไม่เคอะเขินจนถูกมองด้วยหางตาว่า “เอ็งจะเปิดตัวใช่ม้ายยยย” ซึ่งนี่คือ Wisal ครับ 

เพียงแค่กลิ่นเปิดคนที่รักน้ำหอมกลิ่นกุหลาบจะฟินกันไปเลยข้างนึง เพราะแม้ว่ากุหลาบจะยังไม่ได้ฉายแสงมากเท่าไหร่ เพราะโดยล้อมด้วยกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์ที่ออกทางสดชื่น แต่เพราะนางเอกของงานแม้ไม่ได้ออกตัวแรงตั้งแต่ต้น แต่นางก็ปล่อยออร่าเปล่งประกายกันชัดเจนตั้งแต่ช่วงนี้ ซึ่งจะได้อารมณ์หอมละมุนดอกไม้สว่างสไวอย่างน่าดูชมและดมกลิ่นกันเลย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกุหลาบแบบฉ่ำๆ จะมาเต็ม กลิ่นจะหอมละมุนอย่างมีระดับมากมายก่ายกอง ยิ่งมีกลิ่นของเครื่องเทศเข้มๆ เข้ามาเสริมก็จริง แต่ไม่ได้กลบกลิ่นกุหลาบเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นดันให้กลิ่นกุหลาบกลายเป็นกลิ่นที่หอมหรูดูสง่าและฟุ้งกระจายอย่างมีระดับ มีโทนสะอาดจางๆ ให้รู้สึกได้เสียด้วยซ้ำ จนโทนสะอาดนี้จะปรากฏมาอีกทีในช่วงท้ายทำให้รู้ได้ง่ายๆ ว่า ชั้นคือ Musk แต่จะเป็นตัวรองพื้นเสียมากกว่า เพราะกลิ่นที่เด่นตีคู่กับกุหลาบ เสมือนเป็นพระเอกของงานเลยคือ Oud หรือกฤษณาครับ ที่จะมีลูกคู่ไชโยโห่ฮิ้วอย่างไม้จันทน์หอมมาช่วยผสมผสานกันจนเป็นกลิ่นที่ออกโทนไลท์เวอร์ชั่น หรือเรียกง่ายๆ ว่า White Oud เลย ทำให้กลิ่นนี้กลายเป็น Rich Tone ที่หอมหรูดูมีราคาและมีระดับทุกสโตรก เพราะกุหลาบก็หรูหรา Oud ก็สว่างไสว ตรงๆ ว่า ผมเองไม่ได้เป็นแฟนน้ำหอมกุหลาบมากเท่าไหร่ ยังขอยกดาวให้ทั้งฟ้ากับตัวนี้เลยทีเดียวล่ะครับ เพราะของเขาดีจริงๆ

เหมาะสำหรับ – ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปครับ เพราะกลิ่นนี้จริงๆ มัน Unisex มาก ไม่ได้ตราเฉพาะว่าน้ำหอมกุหลาบจะต้องเหมาะกับสาวๆ เสียหน่อย กลิ่นอาจจะไม่ได้เนื้อเดียวพิมพ์นิยมแบบที่มหาชนเขาใช้กันนัก แต่บอกเลยว่ากลิ่นนี้มีพลังพอที่จะตรึงให้คนที่ได้กลิ่นรอบข้างหันมาสนใจได้ไม่ยาก (กับจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม) ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งงานทางการยิ่งเหมาะมากมาย หรือเที่ยวกลางคืนก็ได้สบายๆ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางยั่วยวนชวนหาคนไปได้เสียกัน ออกแนวสร้างออร่าหรูหราสง่าให้คนใส่เสียมากกว่า

ความทน – เป็นอะไรที่สุดๆ ขอยกให้เลยที่ 12 ชั่วโมง กลิ่นก็ยังคงอยู่ และส่วนตัวเจอมาแล้วครับ 15 ชั่วโมง ของเขาดีจริงๆ ยอมรับเลย

การกระจาย – ช่วงต้นกลิ่นจะกระจายดีมากไปตลอดจนถึงปลายๆ ของช่วงกลางเลย คือ กลิ่นหอมอย่างมีระดับและหรูหราอย่างมีชั้นเชิงที่เด่นด้วยกุหลาบ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจึงกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ เป็นกลิ่นงามงดไม่น้อยเลยล่ะครับ

ทิ้งท้าย – ผมปลื้มตัวนี้มาก บอกเลย เพราะใช้กี่ครั้งคำชมจากคนรอบข้างมาตรึมไม่พอ คนไม่รู้จักในที่สาธารณะยังชม และถามชื่อน้ำหอมเป็นประจำ ซึ่งขออวยกันตรงนี้ และเตรียมนำตัวนี้เข้าสู่ Top 20 ส่วนตัวแน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Comme des Garcons – Wonderwood


Comme des Garcons – Wonderwood 

เพราะแบรนด์ Comme des Garcons นี้ช่างเก๋ไก๋ ทำน้ำหอมไฉไลไม่เหมือนใครแต่เอาอยู่ เอาตายและเท่ห์ขาดบาดจิตมาตลอด ยิ่งในโซนน้ำหอมที่เป็นโทนวู้ดดี้หรือไม้หอม รวมถึงโทนธูปต่างๆ ทำออกมาได้ล้ำมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอยู่รุ่นนึงครับ ที่เรียกได้ว่าคนรักกลิ่นโทนธูปและไม้หอมต่างๆ จะหลงใหลได้ไม่ยากนั่นคือ Wonderwood ครับ 

บอกก่อนว่าน้ำหอมตัวนี้ กลิ่นไม่ได้มาในทางที่คนใช้น้ำหอมทั่วไปโดยส่วนใหญ่ได้กลิ่นแล้วจะปลื้มปริ่มกันในทันที เพราะกลิ่นค่อนข้างออกไปทาง Niche ที่เฉพาะพอสมควร เพียงแต่ว่าถ้าพร้อมเรียนรู้คุณจะชอบได้ไม่ยาก เผลอๆ หลงและตามเก็บแบรนด์นี้กันหนำใจได้เลย ซึ่ง Wonderwood จะเปิดตัวกันด้วยกลิ่นของพริกไทย กับมะกรูดมากลั้วแบบบางๆ มีไอเย็นวาบๆ ของจันทน์เทศและมีโทนเขียวๆ ให้รู้สึกได้ แต่ทั้งนี้จะอยู่บนพื้นฐานที่มาเต็มมากเลยนั่น คือ กลิ่นเนื้อไม้หอมๆ แบบกำลังตัดไม้แล้วกลิ่นมันฟุ้งกระจาย และกลิ่นไม้หอมเหล่านี้จะรวมตัวกันมาเต็มเลยทีเดียวในช่วงกลางจนถึงช่วงท้าย โดยเฉพาะไม้ซีดาร์ที่จะเฉิดฉายแบบนิ่งๆ เงียบๆ ขรึมๆ ทำให้กลิ่นดูมีภูมิมากมาย โดยจะมีโทนไม้หอมอื่นๆ เข้ามาแทรกจนแบบว่า เหมือนรอบๆ ตัวเราคือโรงไม้ชั้นดีชัดๆ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่เป็นไม้หอมจัดจ้านเกินไปคือกลิ่นของยี่หร่าที่จะมาให้โทนหวานเย้าไปตลอด แถมมีกลิ่นอายของ Smoky ของโทนธูปให้รู้สึกได้ไปตลอด จนเมื่อปิดท้ายที่กลิ่นไม้จันทน์หอม ก็ควงมากับกฤษณา กลิ่นอาย Smoky เริ่มชัดขึ้น กลิ่นไม้ซีดาร์ยังคงมาเสริมทัพอยู่ ตามด้วยกลิ่นอายของพิมเสนนุ่มเย้าไปตลอด ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านไม้สะอาดๆ กลิ่นอายความเป็น Vintage กลั้วกับ Modern ชัดเจน แบบมาเต็มเลยทีเดียว ขอปรบมือให้เลยว่าหอมเข้าถึงความเป็นไว้หอมอันน่าอัศจรรย์จริงๆ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้แล้วครับ แต่ถ้าวัยทำงานจะยิ่งเสริมให้ราศีความนิ่งและความขรึมขลังในตัวมาเต็มมากขึ้น ความน่าเชื่อถือก็จะมาเต็มนั่นเอง เหมาะกับการใส่แบบทางการและกึ่งทางการเสียมากกว่าจะใส่แบบทั่วๆ ไป แม้จะใส่ได้ก็เถอะ ตัดการใส่ออกกำลังกายออกได้เลยเพราะไม่เหมาะทุกประการ ส่วนยามกลางคืนออกงานหรือจิบตามบาร์หรูๆ นี่สามารถได้เลยครับ

ความทน – ตรงๆ คือ จัดเต็มมากสำหรับตัวผมคือ 15 ชั่วโมง เพราะเคมีได้ด้วยย แต่โดยทั่วไปน่าจะเกิน 8 ชั่วโมงได้อยู่ครับ

การกระจาย – ช่วงต้นกระจายดีงาม พอมาช่วงกลางเป็นต้นไปสิ่งที่ผมเจอ คือ Sillage Scent ครับ เพราะกลิ่นที่เราได้จะเป็นไม้หอมอ่อนๆ ก็จริง แต่คนรอบข้างจะได้กลิ่นจากเราเต็มๆ (ได้ Feedback มา) เช่นนั้นถือเป็นบาเรียหุ้มเราไว้เลยล่ะครับ เพียงแต่ท้ายของช่วงท้าย หรือเกิน 10 ชม. ไปแล้วกลิ่นจะออกทางเริ่มติดผิวครับ

ทิ้งท้าย – ถ้าไม่แพง จะไม่ถนอมใช้ที่มีขนาดนี้ 5555 และถือว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นไม้หอมที่น่าสนใจมากมายเลยล่ะครับ

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Yves Saint Laurent - La Nuit de l’Homme


Yves Saint Laurent - La Nuit de l’Homme

น้ำหอมของ YSL นี่ทุกตัวเรียกว่าจะมีโทนของความเย้ายวนในรูปแบบต่างๆ ให้รู้สึกได้กันมาตลอด และพอมาที่รุ่นที่เรียกว่าพร้อมแล้วที่จะยั่วยวนอย่าง La Nuit de l’Homme ก็มาเต็มสิครับงานนี้ เพราะ 

เรียกได้ว่าเปิด Top Notes กันได้แบบหวานเย้ายวนกันตั้งแต่ต้น โดยไม่แคร์ใคร อ่ะ! ก็มีเสน่ห์อ่ะนะ ประมาณนี้เลย เพราะกลิ่นของกระวานจะมากลั้วกับกลิ่นของลาเวนเดอร์ โดยมีมะกรูดมาเสริม ประมาณว่าบอกกันตั้งแต่ช่วงต้นว่าคนใส่คือผู้ชายที่เซ็กซี่มีประสบการณ์ ปล่อยเสน่ห์พลางยักคิ้วหลิ่วตาเป็นพิธี คือกลิ่นเม็ดกระวานมาแบบหวานนุ่มเย้ามาก เพราะมาแบบมีชั้นเชิงและมีระดับพอในเรื่องของความเซ็กซี่ชวนซบไม่น้อย จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นหวานเย้ายังไม่หยุดเพราะจะมีโทนหวานเย้าอย่างยี่หร่ามาเสริมทัพเพิ่ม และมีโทนแมนๆ ขรึมๆ ของซีดาร์ เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้ตัดกันไปมาอย่างน่าดูชมจนกลายเป็นกลิ่นหวานเย้ายวนนุ่มจมูก คือ เรียกแขกกันเต็มๆ ช่วงนี้คือช่วงไฮไลท์ได้เลยทีเดียว แต่เรียกแบบมีชั้นเชิง ไม่ได้แบบว่า บอกใครไปทั่วว่า “มากินผม มากินผม” แต่จะบอกว่า “ผมมีประสบการณ์และชั้นเชิงมากเลยนะครับ” อารมณ์มันได้และใช่ จนปิดท้ายที่ Base Notes งานนุ่มต้องมา กลิ่นโทนหวานในช่วงกลางๆ จะกลมกล่อมมากขึ้นด้วยกลิ่นโทนครีมมี่นุ่มๆ โดยมีกลิ่นอาย Smoky ซึ่งน่าจะเป็นหญ้าแฝกเป็นตัวเสริมให้กลิ่นออกทางแมนและเซ็กซี่แบบมีของ ภาพรวมน่ะใช่เลย หนุ่มเมโทรเจ้าเสน่ห์ที่น่าค้นหา แบบว่ามาเต็มเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือไม่ทางการ ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ออกงานทางการใช้สเปรย์ดีๆ กลิ่นเซ็กซี่ อบอุ่น หวานเท่ห์ได้เลย ยิ่งถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืน หรืออยู่กับแฟน งานคลุกวงในอาจจะมาถี่หน่อยก็เท่านั้นเองครับ

ความทน – 8 ชั่วโมงกลิ่นยังอยู่สบายๆ ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์ดีๆ ยาวไปถึง 12 ชั่วโมงก็สามารถครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกันตั้งแต่ต้น แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอด จนกลางๆ ช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวดึงให้คลุกวงในได้ไม่ยาก ถ้าเข้ามาใกล้ๆ น่ะครับ

ทิ้งท้าย – ใครชอบน้ำหอมที่บอกความเซ็กซี่ในตัวคุณ ตัวนี้เข้าทางมากครับ

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Zara Man Silver


Zara Man Silver

เห็น Shop ของแบรนด์ของสเปนแบรนด์นี้กันแทบจะทุกห้างแล้วสินะ เพราะถือว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ตอบสนองความต้องการคนเมืองในราคาที่ไม่ได้หนักหน่วงกันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่านอกจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับ Zara เองก็บรรเทาปวดได้ เอ๊ย! ไม่ใช่สิ ก็ต้องมีน้ำหอมครับ ซึ่งบอกเลยมียาวเป็นหางว่าวสุดๆ เลยขอยกตัวแรกที่ได้มีโอกาสใช้มาบอกเล่ากันอย่าง Zara Man Silver ครั

Zara Man Silver อยู่ในไลน์ Zara Man ซึ่งก็แยกย่อยออกมา เหมือนกับไลน์ Zara ปกติที่จะมีหลายรุ่นแตกออกมา ไม่ต่างกัน 5555 ก็ยอมรับครับ ว่าได้ตัวนี้มาลอง เพราะออกตังค์เอง ได้มาแบบแพ็คคู่ หน้ามืดตามัวเพราะเห็นว่าไม่แพง 5555 พอได้ลองใช้เลยรู้กันเต็มๆ ว่า Silver สมชื่อเลย เพราะ Top Notes มาแบบซิตรัสเปิดตัวกันตั้งแต่ต้นที่มาแบบสดชื่นติดโทนเปรี้ยว มากับครบทั้งส้มและเลมอน ขนมากันเลยทีเดียว ซึ่งโทนซิตรัสในช่วงนี้จะตามติดไปจนถึงช่วง Middle Notes เลยทีเดียว เพราะจะมาผสานกับขิงให้โทนสดชื่นติดหวานเปรี้ยวกำลังดี แต่ที่เด่นกว่าใครเพื่อนเลย คือ ดอกส้ม ที่จะเด้งขึ้นมาให้รู้สึกได้เต็ม ๆโดยมีโทนเมทัลลิคแบบกลิ่นโลหะมาผสานไปตลอดทำให้เกิดความรู้สึกมาดแมนกำลังดี เย้ายวนกำลังงาม และไม่ได้ออกโทนดอกไม้สีขาวแบบดอกส้มจนมากเกินไป จนเมื่อถึงช่วง Base Notes งานไม้หอมและงาน Musk ต้องมา เป็นตัวรองพื้นให้กลิ่นโทนสะอาดนิ่งๆ โดยที่ยังมีอิทธิพลของดอกส้มติดเมทัลลิคตามมาบางๆ อยู่ โดยภาพรวมเรียกว่าเป็นน้ำหอมที่ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย และราคาไม่แพงเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ กลิ่นเข้าถึงง่าย ใช้ง่าย สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ส่วนถ้าจะออกกำลังกายรอช่วงเบสน่าจะดีกว่า ส่วนยามกลางคืนกลิ่นอาจจะเบาไป ถ้าใช้ทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ครับ แต่ถ้าไปท่องราตรีต้องอัดสเปรย์กันหนำไม่น้อยเลยล่ะครับ ถึงจะพอสู้เขาได้บ้าง ส่วนคุณผู้หญิงก็ใช้ตัวนี้ได้อยู่นะครับ เพราะกลิ่นมีความ Unisex อยู่บ้าง

ความทน – 6 ชั่วโมงกำลังดีครับ ซึ่งถึง 8 ชั่วโมงได้ถ้าอัดสเปรย์หน่อย รวมถึงฉีดที่เสื้อผ้าย้ำให้ทนขึ้น ซึ่งอาจจะต้องพึ่งเคมีด้วยนะครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น Skin Scent ครับ

ทิ้งท้าย – คนชอบ Gucci Guilty ตัวนี้คล้ายมากเลยทีเดียว มีต่างตรงโทนเมทัลลิคที่ Zara Man Silver มีเข้ามาแทรกตลอดนี่แหละ ซึ่งถ้าไม่ใส่ใจใช้แทนกันได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียวครั