วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Lattafa Perfumes – Nakahat Al Oud

Lattafa Perfumes – Nakahat Al Oud

ในช่วงรอบปีที่ผ่านมาถือว่าน้ำหอมแบรนด์ทางฝั่งตะวันออกกลางเริ่มแผ่ขยายเข้ามาที่เมืองสารขัณฑ์บ้านเรามากขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้เราได้รู้จักแบรนด์ที่น่าสนใจต่างๆ มากมาย แม้ว่าบางแบรนด์เขาจะเป๊ะมากในการทำกลิ่นที่คล้ายตัวยอดนิยมก็ตาม (บางตัวทำได้ดีกว่าเสียด้วย) แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่น้ำหอมลักษณะแบบนั้นเสมอไป ยังมีน้ำหอมที่เป็นอัตลักษณ์แบบน้ำหอมอาหรับที่น่าสนใจอีกมากเสียด้วย เช่นนั้นเมื่อได้ฤกษ์กลับมาที่แบรนด์ Lattafa Perfumes ก็ได้มาโป๊ะเชะกับรุ่นล่าสุดที่พึ่งออกมาวางตลาดกันไม่นานมานี้เลยอย่าง Nakahat Al Oud ซึ่งกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรกัน ต้องพิสูจน์

เปิดตัวกันที่
Top Notes กับกลิ่นอายแบบเครื่องเทศผสมกับกุหลาบกันก่อนเลย ซึ่งจะมีกลิ่นอายของแอลกอฮอล์ผสมผสานบ้างกลิ่นจึงพุ่งฟุ้งเต็มที่อาจจะทำให้เกิดอาการตึ้บกันนิดนึงได้ โดยที่ความเต็มแน่นของกลิ่นจะมาชัดเจนมากโดยกลิ่นกุหลาบจะชัดตีคู่กับกลิ่นของอบเชย และมีความสดชื่นติดหวานของดอกส้มจางๆ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนถ่ายโทนมาเป็นโทนไม้หอมมากขึ้น โดยที่กลิ่นกุหลาบจะเบาตัวลงไป เหลือเบาๆ ให้สัมผัสได้แต่เครื่องเทศโทนหวานยังคงชัดอยู่ใน Middle Notes ซึ่งจะมาผสมผสานกับกลิ่นของ Oud ที่จะมาแบบกลิ่นแนวไม้หอมที่ออกทางเนื้อไม้ติดกลิ่นยาอวลๆ กำลังดี  รวมทั้งจะมีกลิ่นของพิมเสนที่มาในลักษณะเสริมให้กลิ่นออกทางนวลๆ ติดสาบดิบหน่อยๆ  มาเด่นตีคู่เครื่องเทศกับไม้หอมขึ้นมาตามแบบฉบับของพิมเสนแนวตะวันออกกลาง ที่สำคัญกลิ่นจะมีกลิ่นไม้จันทน์หอมเป็นตัวรองพื้นแบบนวลๆ ไปตลอด และจะไปผสมผสานกับโทนอบอุ่นที่เดิมทีเหมือนเป็นตัวหลบๆ ซ่อนๆ ให้รู้ว่ามี แต่จะเริ่มฉายแสงมากขึ้นจนมีลักษณะไม้หอมอุ่นติดเปรี้ยวอมหวานจางๆ ใน Base Notes นั่นคือกลิ่นของแอมเบอร์กับวานิลลาโดยเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมอุ่นๆ ติดเปรี้ยวเบาๆ เคล้ากับกลิ่นของวานิลลาติดโทนแป้งนวลๆ และในช่วงนี้จะจับได้ถึงความหวานแบบผลไม้จางๆ แนวราสเบอร์รี่เข้ามา เสริมให้กลิ่นอบอุ่นมีโทนหวานหอมผลไม้เสริมเข้ามาเบาๆ แบบมีมิติ  โดยกลิ่นในช่วงกลางยังตามมาผสมผสานอยู่ไม่ว่าจะเป็นพิมเสนที่ยังทำหน้าที่แบบติดแห้งอวลและ ไม้จันทน์หอมที่ทำหน้าที่รองพื้นอยู่สม่ำเสมอและไม่ได้แสดงความเด่นออกมามากนักแต่จะอยู่ยาวนานมากแบบติดผิวไปตลอด ภาพรวมกลิ่นเลยจะออกแนวไม้หอมอบอุ่นแบบกำลังดี มีความภูมิฐานผสมผสานกับเย้ายวนแบบไม่ได้มาหนักหน่วงมาก มีความอวลในระดับหนึ่ง และมีความเป็นน้ำหอมตะวันออกกลางที่เข้าถึงได้ไม่ยากนักนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว แต่อย่างน้อยถ้าผ่านน้ำหอมตะวันออกกลางมาบ้าง หรือชอบกลิ่นแนวไม้หอมติด Oud อุ่นๆ หรือเครื่องเทศแนวหวานอบอุ่นแบบชัดๆ จะฟินกับตัวนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ จะใช้กับงานทางการหรือทั่วๆ ไปก็ได้ กลิ่นมีภูมิติดเย้ายวนกำลังดี งดใส่ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะอาจจะทำให้ขาดอากาศหายใจได้ ยิ่งถ้าคนไม่ชินจะแน่นกันสุดๆ เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้ถือว่าใส่ไปเที่ยวได้ เผลอๆ จะออกแนวน่าซุกได้เสียด้วย

ความทน
- 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และมากกว่านั้นด้วยซ้ำอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายเต็มเหนี่ยวพุ่งฟุ้งชัดเจนมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงไปกระจายดีกึ่งปานกลางในช่วงกลาง แล้วค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายแบบยาวไป

ทิ้งท้าย
- แน่นอนว่ากลิ่นยังมีความเป็นตะวันออกกลางอยู่แน่ๆ แต่ Oud ไม่ได้เด่นนัก เป็นเหมือนตัวรองพื้นที่ต้องมีในน้ำหอมที่เด่นกับกลิ่นแนวไม้อบอุ่นของตะวันออกกลางเสียมากกว่า ที่สำคัญกลิ่นแม้จะมีโทนชัดเจนแต่ก็ยังถือว่ามีเสน่ห์ในรูปแบบของน้ำหอมที่ไม่ได้เข้าถึงยากเกินไปนัก และมีความ Modern กับกลิ่นเครื่องเทศ ไม้หอม เคล้าพิมเสนอยู่แบบจับตลาดทั้งในและนอกโซนอาหรับได้หมดนั่นเอง

หมายเหตุ: 
1. Review
นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit
ภาพ http://www.punmiris.com/himg/o.46001.jpg


วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Benetton - Nero

Benetton - Nero

ความหลากหลายของสีสันที่ Benetton นำเสนอนอกจากแฟชั่นแล้วน้ำหอมคือส่วนหนึ่งที่บ่งบอกได้ถึงความหลากหลายทางสีด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในรุ่นที่มาจอยกันเจอกันเข้า Theme ของการเป็นสีดำของความเป็น Colori Collection ของแบรนด์ก็คือ Nero นั่นเอง ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะต้องลองดมกันหน่อยแล้ว 

Nero เปิดตัวด้วยการเป็นกลิ่นอายที่ชัดเจนเลยทีเดียวของการเป็นเครื่องเทศโทนสดชื่นแบบเผ็ดปร่าแต่จะยังโดนกลบด้วยความเป็น Citrus ติดมินท์อยู่ โดยกลิ่นของส้มและเลมอนจะมาแว้บๆ ให้รู้สึกได้กลั้วกับความซ่าของมินท์แต่เพียงไม่นานก็ต้องแหวกทางให้ตัวเอกของน้ำหอมรุ่นนี้เฉิดฉายในช่วงกลาง ที่กลิ่นอายเครื่องเทศโทนสดชื่นติดเผ็ดๆ จะมาชัดเจนจนจับได้เลยนี่คือกลิ่นของกลีบเลี้ยงลูกจันทน์เทศ (รกสีแดงที่พันเมล็ดลูกจันทน์ซึ่งกลิ่นจะมีความเผ็ดปร่ามีความคล้ายเม็ดจันทน์เทศแต่จะไม่มีกลิ่นออกแนวไม้หอมนุ่มมาเจือ) ซึ่งจะเด่นขึ้นมาเลยแต่จะมีตัวเสริมให้มีความสดชื่นแบบคมๆ ที่รับช่วงต่อจากมินท์คือ จูนิเปอร์เบอร์รี่ เลยจะกลายเป็นกลิ่นสดชื่นที่โปร่งมีกลิ่นอายไม้หอมติดโทน Citrus ประปราย ซึ่งกลิ่นไม้หอมจะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นกลิ่นของไม้หอมที่ติดดาร์กหน่อยๆ มีความแมนในเนื้อกลิ่นแต่ไม่ได้มาหนักหน่วงมาก เพราะจะมี Musk มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มสะอาด โดยมีกลิ่นแนวสบายจมูกแบบพิมเสนบางๆ ให้รู้สึกไปตลอด ซึ่งภาพรวมให้ความรู้สึกแบบที่เป็นดำตัดกับขาวมีแบบที่กลิ่นไม้หอมจะเป็นตัวดำ และกลิ่นโทนสดชื่นเป็นความสว่างขาว ที่สำคัญได้ความรู้สึกแบบหนุ่มใส่แว่นดำแต่งตัวสบายๆ เลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว เพราะกลิ่นใช้ง่ายและเข้าถึงง่ายมาก คนได้กลิ่นมักไม่ยี้ ซึ่งใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายรบกวนคน ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้เรียกว่าเบาไปถ้าจะเอาไปเรียกแขก แต่ถ้าจะใส่แบบสบายๆ วันที่อากาศร้อนๆ แบบบ้านเราที่มีทั้งวันคืนนั้น บอกเลยว่าสบายมาก 

ความทน - มีความแกว่งในระดับหนึ่ง อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. บวกลบประมาณ 2 ชม. ได้ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาไวนิดนึงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ ในช่วงกลาง แล้ว Skin Scent ในช่วงท้าย เข้าทางการเป็น Safe Scent ชัดเจน 

ทิ้งท้าย - เป็นน้ำหอมที่เรียกว่า Can't Go Wrong ใช้ไปเถอะกลิ่นยังไงก็รอด เพราะมันไม่ได้ซับซ้อนมาก เข้าถึงง่ายและกลิ่นสดชื่นติดเผ็ดสบายๆ จมูกเสียด้วย เป็นอีกตัวที่ราคาไม่แพงและลงตัวครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://img.tarad.com/shop/c/cawaiitime/img-lib/spd_20140428155936_b.JPG

Review: Guerlain - La Petite Robe Noire Eau de Toilette

Guerlain - La Petite Robe Noire Eau de Toilette 

หลังจากที่เคยได้เล่าถึงรุ่Eau Fraiche ไปของไลน์ La Petite Robe Noir จาก Guerlain กันไปแล้ว ก็ได้เวลาของการมาแตะที่ตัวอื่นๆ กันบ้างว่าจะเป็นอย่างไร จะสาวมากน้อยแค่ไหน หรือสาวสะพรั่งสุดๆ หรือไม่ งานนี้สบโอกาสได้พิสูจน์ก็จัดไปกับรุ่นนี้เลย La Petite Robe Noire Eau de Toilette 

ก่อนอื่นต้องบอกกันก่อนว่าตอนที่ใช้รุ่นนี้ ไม่เคยลองรุ่น EDP มาก่อนเลยจะบอกถึงความเชื่อมโยงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความเชื่อมโยงของไลน์ที่ควรจะเป็นอันนี้มีชัดเจนแน่ๆ กับกลิ่นอายของอัลมอนด์ เชอร์รี่ กุหลาบ และพิมเสน ที่จะได้เจอกันแน่ๆ โดยเริ่มต้นที่ Top Notes กับการเป็นกลิ่นแนวดอกไม้แบบติดเขียวกันก่อน จากกลิ่นอายของกุหลาบแบบติดเขียวสดชื่นก็จริง แต่มีกลิ่นของดอกไม้สีขาวแนวมะลิกับดอกส้มเสริมเข้ามา พร้อมกับดึงความเป็นผลไม้ของเชอร์รี่ขึ้นมา แน่นอนเปิดมาก็สาวกันเลยทีเดียว ที่มาแบบหรูดูดีและเยาว์วัยไม่ได้ออกทางสาวสะพรั่งจัดจ้านอะไรมากนัก และกลิ่นอายของเชอร์รี่จะนำเข้าสู่ Middle Notes ให้กลิ่นกลายเป็น Floral Fruity ที่ออกทางนวลติดหวาน ซึ่งผลไม้อย่างแอปเปิ้ลเขียวมาทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดเขียวโปร่งอยู่ โดยที่กลิ่นกุหลาบจะยังคงตามมาให้ความเป็นกลิ่นอายผู้หญิงนวลๆ เสริมเข้าไปตลอด ซึ่งในช่วงนี้จะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นอายแบบครีมมี่ติดหวานที่มีลักษณะแบบนวลๆ เข้ามาด้วย ซึ่งจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ Base Notes นั่นคือ อัลมอนด์ที่จะมีความหวานติดเขียวสดชื่นจากแอปเปิ้ลเขียวในช่วงกลาง ผสมผสานไปกับกลิ่นเชอร์รี่และกุหลาบที่ให้ความเป็น Fruity แบบกำลังดี ทำให้กลิ่นจะนวลๆ หอมแบบมีระดับ โดยที่จะมีกลิ่นพิมเสนที่มาให้ความหรูหราแบบกลิ่นสมุนไพรกลั้วดินอ้อยอิ่งนวลจมูก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะจับถึงความหวานนุ่มได้ตลอด และมีความสะอาดละมุนจาก White Musk ที่ให้ความรู้สึกแป้งนวลติดอุ่นๆ เข้าไปด้วย ภาพรวมจึงออกแนวน้ำหอมผู้หญิงที่มีความหวานแบบมีระดับไม่ได้มาสายเริ่ดเชิ่ดมาก ออกแนวสาวลุคคุณหนูที่มั่นใจและมีความเป็นกันเอง พร้อมไปเฉิดฉายในงานพรอม แบบที่หนุ่มๆ ก็อยากจะเอารถมารับและควงให้ทุกคนรับรู้ประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ เลย ซึ่งถ้าเป็นฝรั่งกลิ่นนี้ High School ก็จัดได้แล้ว แต่ถ้ากับบ้านเรา วัยมหาลัยขึ้นไปน่าจะลงตัวกว่า เพราะเอาไปใส่ในการใช้ชีวิตประจำวันได้ เสริมความหรู มีระดับ และน่ารักก็ได้ไปในตัว โดยใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ได้ทั้งทางการในระดับหนึ่งที่ไม่ได้เป็นการที่ต้องการความภูมิฐานจัดๆ หรือใส่ทั่วๆ ไป แต่งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้เข้ากิจกรรมแนวๆ นี้เลย ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่าเป็นตัวที่เสริมความน่ารักติดลดอายุ แถมกลิ่นไม่ได้โหลด้วย บ่งบอกความมีระดับของคนใส่ได้ดีในการไปปาร์ตี้หรือไปท่องราตรีที่ไม่ได้มาสายเต้นแหลกกวาดลานก้นเด้งอะไรขนาดนั้น 

ความทน - กลิ่นทนน่าพึงพอใจอยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นเรียกว่า ฉีดแล้วดูสวยน่ารักทันที แล้วจึงลดลงมาเป็นกระจายปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นราวๆ 6-8 ชม. (อิงตามจำนวนสเปรย์) จะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent และหายไปจากผิว 


ทิ้งท้าย - เดิมทีคิดว่ารุ่น Eau Fraiche น่ารักสดใสอยู่แล้ว เปรียบเสมือนยามกลางวัน มาเจอตัวนี้ทำให้ได้ความรู้สึกน่ารักอีกรูปแบบหนึ่งเลย คือ น่ารักแบบมีความมั่นใจและมีระดับหรูหรา เปรียบเสมือนยามกลางคืนนั่นเอง ส่วนผมเหรอ ใส่แล้วมีแต่คนบอกว่า "จะสาวไปไหน" 5555555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ
http://www.nocibe.fr/bibliotheque/produits/GUERLAIN/guerlain_la_petite_robe_noire_eau_de_toilette_eau_de_toilette_30ml_500x500.jpg 

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: D'Orsay - Etiquette Bleue

D'Orsay - Etiquette Bleue

D'Orsay เป็นอีกหนึ่งแบรนด์น้ำหอมของฝรั่งเศสที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน เลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าคงขนบธรรมเนียมสไตล์กลิ่นแบบเมืองน้ำหอมที่มีความ Classic แบบหรูหราไปตลอด เช่นนั้นได้มีโอกาสมาบรรจบกับแบรนด์นี้ ก็ได้เจอตัวงดงาม จึงต้องมาบอกเล่ากันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Etiquette Bleue

Top Notes เปิดมาแบบที่คอ Citrus คงจะงงกันพอสมควร เพราะว่ามันเป็น Citrus ก็จริง โดยในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นติดเขียวซ่าแบบสมุนไพรอยู่พอให้รู้สึกได้โดยมาแบบน้ำหอมขนบฝรั่งเศสเลยที่จะมาแบบ Citrus Herbal แต่มาวูบเดียว แล้วจะกลายเป็น Citrus หวาน แบบเดียวกับเลมอนหรือมะกรูดที่เชื่อม แต่กลิ่นโทน Citrus ยังคงอยู่ แล้วกลิ่นจะโดนกลบโดยความเป็นดอกส้มหอมนวลที่จะนำเข้าสู่ Middle Notes ซึ่งจะมีกลิ่นของยางไม้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกแน่นขึ้น เคล้ากับดอกส้มและโทนเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งช่วงนี้ความรู้สึกบางคนอาจจะคิดไปถึงบ๊วยดองเอาได้เพราะกลิ่นถือว่าใกล้เคียงพอสมควร ซึ่งแม้ว่ายางไม้จะออกแนวทึบ แต่กลิ่นดอกส้มผสม Citrus หวานมันจะออกแนวโปร่ง เลยผสมผสานกันได้อย่างลงตัวหวานอมเปรี้ยวหอมแบบมีเสน่ห์ ซึ่งจะพอจับได้ถึงกลิ่นแนวอบอุ่นแบบไม้หอมเสริมเข้ามาทีละหน่อย จนนำเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นไม้จันทน์หอมกับแอมเบอร์ที่ติดโทนวานิลลาจะเด่นขึ้นมา มีกลิ่นอายติดเขียวสากหน่อยๆ ของ Oak Moss มาลดทอนความเปรี้ยวอมหวานลงไป ทำให้กลิ่นมีความภูมิฐานสะอาดอบอุ่นปนหวานนวลได้อย่างลงตัวแถมมีความรู้สึกผ่อนคลายน่าเข้าหาอีกด้วย ภาพรวมจึงเป็นลักษณะแบบน้ำหอมที่มีความหรูหราและสบายๆ อบอุ่นกลั้วไปกับความ Classic ในสไตล์แบบฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใช้น้ำอมตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ใช่น้ำหอมสดชื่น Citrus ในแบบที่หลายๆ คนคุ้นชินที่จะสดชื่น เพราะมาสายหวาน ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะกับอากาศบ้านเรา แม้ว่ากลิ่นนี้จะมาโทน Citrus แต่ดอกส้มและย่งม้มีความแน่นอยู่ ซึ่งอยู่ในห้องแอร์กลิ่นจะลงตัวมาก แต่ถ้าออกกลางแจ้งเบาสเปรย์ลงมา ส่วนออกกำลังกายจงงดเถิด เดี๋ยวจะขาดออกซิเจนเพราะตีขึ้นหนักหน่วงพอสมควร ส่วนยามกลางคืน ถือว่าตัวนี้ใส่ได้ แต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายยั่วยวนมากนัก แต่จะออกแนวอบอุ่นเปรี้ยวอมหวานติดมีระดับน่าเข้าใกล้เสียมากกว่า

ความทน - 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่อาจจะมีบวกลบ 2 ชม. บ้างอิงตามสภาพผิว จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และคงตัวการกระจายดีไปตลอดจนถึงท้ายๆ ช่วงกลางเลย ก่อนจะลดลงเป็นออร่าหอมสะอาดเปรี้ยวอมหวานนุ่มๆ ในตอนท้าย 

ทิ้งท้าย - รุ่นนี้มันคือ Citrus แบบคลาสสิคครับ ไม่ใช่ Citrus แบบ Modern ซึ่งมันมีเสน่ห์ในความเป็นผู้ดีและหอมแบบมีชั้นเชิงในตัวอยู่แล้วตามลักษณะน้ำหอมแบบฝรั่งเศสที่มีความ Classic ซึ่งกลิ่นไม่ได้ออกทาง Old School เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นถือว่าใช้งานได้สบายโดยไม่มีใครตราว่ากลิ่นแก่แน่นอน แม้กลิ่นจะมีความเป็นบ๊วยดองเปรี้ยวหวานไปบางช่วง (ตามความรู้สึกของแต่ละคน) แต่กลิ่นยังคงมีระดับติดหรูหราหอมมีเสน่ห์ตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.11072.jpg



วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Serge Lutens - Vitriol d’Oeillet

Serge Lutens - Vitriol d’Oeillet

ทุกครั้งยามที่ได้มีโอกาสลองน้ำหอมของ Serge Lutens มักจะคิดไปก่อนเสมอว่าเราต้องเจอกับความซับซ้อนและน่าค้นหาของกลิ่นนะ แม้ว่าบางครั้งอาจจะเจอตัวที่ใช้ง่ายกว่าที่คาดก็ตาม แต่ก็ยังมิติทางด้านกลิ่นที่ให้ได้รู้สึกถึงความน่าค้นหาและลึกล้ำอยู่เสมอ และรุ่น Vitriol d’Oeillet ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นเอง

ในการตีความทางภาษาความหมายของน้ำหอมรุ่นนี้ คือ "ความโกรธกริ้วของดอกคาร์เนชั่น" ที่เป็น กลิ่นหลัก ของน้ำหอมตัวนี้และอยู่ลากยาวต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลยทีเดียว โดยเปิดตัวที่กลิ่นอายแบบดอกคาร์เนชั่นสดที่มีความเขียวติด Spicy เคล้ากลิ่นสะอาดคมๆ แบบ Aldehydes ซึ่งจะได้ความสดชื่นติด Old School กันบ้าง แต่เพราะกลิ่นอายที่มีลักษณะโปร่งๆ และมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ของลิลลี่ ที่เป็นหวานโปร่งติดเครื่องเทศผสมแว๊กซ์จะลอยมาอ่อนๆ กับกลิ่นพริกไทยสีชมพูที่ให้ความอมหวานเบอร์รี่ฟรุตตี้อยู่เบาๆ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นกานพลูจะเริ่มมาผสมผสานกับคาร์เนชั่น กลิ่นจะรับช่วงกันอย่างดีเพราะลักษณะโทนกลิ่นใกล้เคียงกัน ซึ่งกานพลูจะมาให้ความเป็นเครื่องเทศโทนโปร่งแบบชัดเจนมากขึ้นให้กับคาร์เนชั่นให้กลิ่นอายออกทางแป้งติดเครื่องเทศโปร่งๆ โดยจะมีกลิ่นที่มาทำให้สะอาดมากขึ้นแบบเครื่องเทศอีกตัวคือพริกไทยและมีกลิ่นเผ็ดนุ่มของเม็ดจันทน์เทศมาทำให้กลิ่นอายนวลขึ้น แฝงกลิ่นอายไม้หอมจางๆ ทำให้กลิ่นช่วงนี้มีความเผ็ดโปร่งที่นั่มละมุนก็จริงแต่มีความถือตัวและซับซ้อนทางความรู้สึกว่าเข้มข้นอยู่ภายใต้ความโปร่งนุ่ม ซึ่งกลิ่นในช่วงกลางจะยังตามไปเด่นในช่วงท้ายๆ ที่ให้ความรู้สึกแบบไม้หอมอ่อนๆ อบอุ่นกำลังดี มีกลิ่นอายแบบสบู่กลิ่นโปร่งผสมผสาน เคล้าความเป็น Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาด โดยที่กลิ่นของคาร์เนชั่น กานพลู และกลิ่นโทนออกทางสบู่กลิ่นหอมเผ็ดนุ่มจะยังลอย On Top ออกมาให้รู้สึกได้ เรียกว่าภาพรวมมาในลักษณะ Bomb of Fresh Spicy เลยเพราะกลิ่นคาร์เนชั่นมันมีความเป็น Spicy เผ็ดๆ ติดเขียวอยู่แล้ว พอมาเจอกานพลูและเหล่าเครื่องเทศเผ็ดโปร่งอื่นๆ เรียกว่ารวมกันกันเต็มๆ และสนุกสนานกับการค้นหาความซับซ้อนของกลิ่นได้ดีมาก

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเรียกว่าต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งกลิ่นอาจจะมาแบบที่ไม่ได้เข้าถึงทุกคนได้ในทันทีมากนัก แม้กลิ่นจะดูเหมือนเข้าถึงได้ง่าย แต่กลิ่นมีความน่าค้นหาและซับซ้อนในการบอกเล่าเรื่องราวแบบนิ่งขรึมแต่เข้มข้นในความรู้สึกเสียมาก จึงเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งออกน่าจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นลั่นล้า ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้แบบออกงานหรือใส่ไปจิบเบาๆ แบบมีระดับมีมาดจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาโทนเย้ายวนนักออกแนวถือตัวแต่มีเสน่ห์ท่ามกลางความนิ่งขรึมเสียมากกว่านั่นเอง

ความทน - ลงตัวมากที่ 8 ชั่วโมงเป็นพื้นฐาน บวกลบประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางโปร่งแต่เข้มข้นในช่วงกลาง และเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ต้องบอกว่ากลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งที่แสดงความเป็นคาร์เนชั่นได้ชัดไม่พอ ยังบอกความรู้สึกแบบภายใต้ความโปร่งและดูเหมือนไม่มีอะไรสวยงามตามที่เห็น แต่ภายในมีความเข้มข้นคุกรุ่นออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าจะบอกว่านี่คือความโกรธของคาร์เนชั่น มันก็ออกมาแบบที่โกรธแบบปล่อยบรรยากาศมาคุแบบนิ่งๆ แต่ยังมีชั้นเชิงในการเก็บอารมณ์ที่ให้เห็นความซับซ้อนได้อยู่ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สอนให้ผมแตะความรู้สึกของน้ำหอมได้อีกระดับเลยทีเดียว

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ



วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Al-Rehab – Lord

Al-Rehab – Lord

หลังจากที่ได้บอกเล่าน้ำหอมแบรนด์ Al-Rehab กันไปก่อนหน้านี้แล้วกับตัวชื่อดังอย่าง Silver ที่ใกล้เคียงความเป็น Creed Silver Mountain Water มากเลยทีเดียว ก็ได้เวลาของการมาแตะที่รุ่นอื่นกันบ้าง ว่าจะมีความใกล้เคียงอีกไหม หรือว่าจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปบ้าง เช่นนั้น มาเอาใจคนชอบกลิ่นแมนจัดๆ กันบ้างดีกว่ากับตัวนี้เลย Lord

Al-Rehab ในหลายๆ รุ่นเขาจะมีทั้งการเป็น Alcohol Base และ Oil Base ซึ่งสำหรับ Lord นั้นจะมีแบบ Oil Base ที่ขนาด 3 และ 6 ml กับแบบ Alcohol Base ที่เป็นขนาด 50 ml ซึ่งการเขียน Review รุ่นนี้จะเน้นกลิ่นอายจาก Oil Base เป็นสำคัญ

เปิดต้นโทนกลิ่นเรียกว่ามาสาย Old School กันชัดเจน แต่ว่ายังมีความ Modern ผสมผสานอยู่บ้างกับการเป็นกลิ่นอายโทนเขียวเคล้าความเป็นสับปะรด และมีกลิ่นอาย Citrus เสริมเข้ามาแต่จะเคล้าความเป็นสมุนไพรแนวพิมเสนติดเครื่องเทศโทนสดชื่นที่ให้ความรู้สึกแบบน้ำหอมชายคลาสสิคกันเต็มๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงกลางที่คราวนี้กลิ่นแบบยางไม้กลั้ว Musk ที่ให้ความรู้สึกแบบ Dirty เพราะจะเคล้ากับเครื่องเทศแนวยี่หร่าหน่อยๆ โดยที่พิมเสนจะเริ่มชัดขึ้นและมีความดิบเข้ม ซึ่งกลิ่นจะออกทางแมนจัดมาก เพียงแต่จะจับได้ถึงกลิ่นนวลๆ ของดอกไม้แนวมะลิกับเจอเรเนียมซึ่งจะมาแบบบางๆ ให้กลิ่นไม่ได้ออกทาง Dirty จัดๆ เกินไป ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบผู้ชายเข้มๆ ดิบๆ แต่ฉาบด้วยความปลุกเร้าติดนวลคาบเกี่ยวระหว่างความ Dirty กับกลิ่นหอมนวลสะอาด จนเมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นของพิมเสนจะเริ่มผันมาออกทางนวลๆ แมนๆ กลั้วความเขียวติดสากๆ จาก Oak Moss โดยที่กลิ่นMusk จะเริ่มลดลงมาให้ความนุ่มแบบติด Animalicเหมือนเคล้ากลิ่นหนังจางๆและมีอับนิดๆ ซึ่งจะมาจากโทนแป้งของหัวเหง้าออริส  และมีความครีมมี่ในเนื้อกลิ่นจนรู้สึกได้ โดยจะได้ความรู้สึกอบอุ่นติดโทนแป้งนวลๆ อมหวานน้ำผึ้งเบาๆ ไปด้วย ภาพรวมจึงชัดเจนมากถึงกลิ่นที่มีความแมนจัดชัดเจนกลิ่นมีความ Dirty เคล้าความนวลแบบผู้ชายเข้มเท่ห์และมีความ Old School ในเนื้อกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว

ถ้าถามว่ากลิ่นอายคล้ายตัวไหน เรียกว่าเป็นการผสมผสานและอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็น Yves Saint Laurent – Kourosในแบบที่ใส่โทนแป้งและใส่ความหวานแมนติดครีมมี่ของ Ted Lapidus – Lapidus pour Hommeเข้าไปเสียมากกว่านั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานที่อายุเกิน 30 ขึ้นไป หรือพื้นฐานเป็นคนชอบกลิ่นแนว Old School จะปลื้มได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นเหมาะกับทั้งสถานการณ์ยามกลางวันในหลายๆ รูปแบบทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพียงแต่ถ้าจะใส่ออกกำลังกายแนะนำว่ารอท้ายๆ เลยจะดีกว่า เพราะเดี๋ยวกลิ่นติดสาปแมนเข้มช่วงกลางจะทำให้หายใจไม่ออกเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนก็จัดได้สบายมาก เพราะกลิ่นแบบเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์ได้อยู่

ความทน - มากกกกกก Oil Perfume นี่นา 15 ชม.  แล้วกลิ่นยังคงอยู่ตีขึ้นอยู่เลย อาบน้ำไปแล้วกลิ่นยังติดผิวจางๆ ให้รู้สึกได้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นเรียกว่ามาเต็มกันเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงไปเป็นออร่ารอบๆ  ตัวแบบยาวไปจนถึวช่วงท้าย เพราะลักษณะของ Oil กลิ่นมันจะออกแนวนี้เป็นเรื่องปกติ แต่จะตีขึ้นให้รับรู้ตลอด

ทิ้งท้าย - ตรงๆ คือ กลิ่นนี้ ทำให้ผมเข้าถึงความเป็น Kourosได้มากขึ้นจากเดิมแบบว่ามันแน่นห่ามไปหมด จนรู้สึกว่าตัวนี้เป็น Kouros ที่เบาลงมา ซึ่งแน่นอนคนที่ไม่ได้ชอบกลิ่นอาย Old School อาจจะมองว่ากลิ่นนี้แก่ แต่กลิ่นแก่ที่ว่านี่น่ะ วันนึงพอถึงวัยที่เหมาะสมแล้วมาใช้ มันจะรู้สึกว่ากลิ่นมันหอมขึ้นนะ เห็นมาเยอะแล้วนาจา 5555555

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Photo by เข็มขัดสั้น



วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Cris Horwang - Secret

คริส หอวัง - Secret 

ได้เวลากลับมาหาน้ำหอม Celebrity เมืองไทยกันบ้าง กับการได้มีโอกาสลองน้ำหอมของ คริส หอวัง กับการเป็นหนึ่งในนักแสดงเมืองไทยที่ได้มีน้ำหอมเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาได้มีโอกาสร่วมงานกับ Bel Perfume สรรสร้างน้ำหอมออกมากับรุ่นนี้เลย Secret งานนี้จะแซ่บหรือไม่หรือจะดราม่าแบบ The Face ผ่านกลิ่นต้องมาลองดมกัน 

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความใช้ง่ายและกลิ่นออกแนวสาวทันสมัยมั่นใจซึ่งก็บ่งบอกลักษณะของคริส หอวังเลย เพราะ เปิดต้นกลิ่นก็ก็จัดเต็มกับกลิ่นแนวเบอร์รี่ผสมกับส้ม กลิ่นจะมาสายฟรุตตี้ผลไม้ค่อยข้างชัดเจนมาก ซึ่งถ้าใครชอบแนวเบอร์รี่ติCitrus จะฟินไปเลยทีเดียว แต่จะจับได้ไม่ยากว่ากลิ่นไม่ได้มาสายผลไม้เพียงอย่างเดียว เพราะจะมีกลิ่นอายแบบสาวจ๋ามารองพื้นด้านหลังอย่างโทนดอกไม้ที่จะเป็นตัวดึงเข้าสู่ช่วงกลาง กับการผสมผสานความเป็นโืทน Fruity Floral แบบชัดเจน เพราะกลิ่นโทนเบอร์รี่ติดส้มจะยังอยู่ชัดเจน ตีคู่กับโทนดอกไม้แนวหวานใสอย่างซากุระและแมกโนเลีย ที่กลิ่นจะเป็นโทนหวานอมเปรี้ยวไปตลอด แต่กลิ่นจะไม่ได้ใสจ๋ามากเพราะมันมีความครีมมี่ในเนื้อกลิ่นแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายความครีมมี่ที่รู้สึกได้จะชัดเจนขึ้นมากำลังดี ไม่ได้เข้มข้นมาก แต่จะมีความหวานจางๆ จากคาราเมลเสริมเข้ามาให้มีความเป็นขนม Gourmand เบาๆ ที่ยังมีกลิ่นอาย Fruity Floral จากช่วงกลางอยู่ โดยรองพื้นที่ความนุ่มสะอาดของ White Musk และมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ให้ความอบอุ่นเบาๆ เคล้าไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมันออกทางน่ารักมั่นใจเสียมาก โดยไม่ได้ดูใสจ๋าจนวัยรุ่นลั่นล้าเกินเหตุ ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการแบบรับแขกบ้านแขกเมืองอาจจะไม่เข้าทางนัก เพราะกลิ่นออกทางเบอร์รี่ Fruity ไปนิด ไม่ได้เสริมเรื่องความภูมิฐานเท่าไหร่ แต่ถ้าทั่วๆ ไปแบบใส่ทำงาน Office พบปะผู้คน หรือชิลล์ๆ ก็สามารถ ถ้าจะต้องออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนแบบท่องราตรีก็จัดได้สบายมาก เพียงแค่อัดสเปรย์เพิ่มหน่อย ก็สู้คนอื่นได้แล้ว เพียงแต่จะไม่ได้หนักหน่วงมากแบบแนวหวานจ๋าๆ ก็เท่านั้นเอง 

ความทน - เรียกว่าเป็น EDP ที่ลงตัวในเรื่องความทนเลย กับ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมากกว่านี้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้ แบบที่ไม่ได้อยู่ห้องแอร์และอากาศร้อนๆ เสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วค่อยเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย ที่ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน 

ทิ้งท้าย - ถือว่าเป็นกลิ่นใช้ง่ายมากเลยทีเดียว โดยที่กลิ่นไม่ได้ซับซ้อนจนปีนบันไดดม เข้าถึงง่ายแบบที่ใครได้กลิ่นจะไม่ยี้ แน่นอนว่าผู้ชายใช้อาจจะโดนมองกันหน่อย เพราะกลิ่นสาวจริงๆ นะ แบบที่ผมโดนมองและถามว่า "น้องใช้น้ำหอมกลิ่นผู้หญิงเหรอคะ" นั่นเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  http://lofficielthailand.com/wp-content/uploads/2013/10/lofficielthailand_800-1-1.jpg

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Avon - Scentini: Citrus Chill

Avon - Scentini: Citrus Chill 

หลังจากได้ข่าวว่า Avon ประเทศไทยจะปิดตัวลงสิ้นปี 2016 นี้ เรียกว่าเสียดายมากเลยทีเดียว กับแบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์นี้ที่เราๆ รู้จักกันมายาวนาน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้เราจะหาน้ำหอม Avon กันได้ยากขึ้นแน่ๆ เช่นนั้น เลยขอมาว่ากันด้วยเรื่องน้ำหอมของแบรนด์นี้เผื่อจะยั่วให้รีบสอยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ได้ทันกับหนึ่งในไลน์ Scentini แบ่งภาคน้ำหอม 2 สีที่จะเน้นกับความลั่นล้าของหญิงสาวในรุ่นนี้เลย Citrus Chill 

ในไลน์ของ Scentini จะเป็นน้ำหอมที่มีการแบ่งภา2 สี โดยก่อนใช้จะต้องทำตัวเป็นสาวเชคเนสกาแฟกันนิดนึง (รู้อายุกันเลยทีเดียวเมื่อพูดถึงสาวเชค) แล้วเชคๆๆๆๆ เพื่อที่จะให้เกิดการผสมกันแล้วจึงฉีด ซึ่งกลิ่นอายที่ออกมาในช่วง Top Notes จะมากันเต็มๆ เลยกับความเป็น Citrus คมๆ รองพื้นด้วยกลิ่นอายดอกไม้กลั้ว Musk ตามสไตล์ของ Avon แต่เรียกว่ามาให้พอรู้เสียมากกว่า ว่ามีอยู่นะ โดยให้กลิ่นอายของ Citrus เด่นนำเป็นสง่าไป โดยจะเป็นการผสมผสานความเป็นส้มที่ให้ความหวานอมเปรี้ยวอย่างส้มสีเลือดและมีความเปรี้ยวหอมแบบส้มแมนดาริน กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบไอศครีมชอร์เบทส้มกันพอสมควร มีความเป็นเมทัลลิคติดเขียวบางๆ ให้พอรู้สึกได้ โดยกลิ่นส้มนี่จะตามไปผสมผสานกับ Middle Notes ที่จะมีความเป็นผลไม้เข้ามาผสมผสานแบบกำลังดีจากฝรั่งสุกและมีกลิ่นติดเปรี้ยวเมทัลลิคบางๆ อย่างดอกเสาวรสเลยทำให้กลิ่นจะได้อารมณ์ไอศครีมกันชัดเจน โดยมีความเป็นดอกไม้จางๆ แทรกอยู่ตลอด จนเมื่อเข้าสู่ Base Notes กลิ่นอายแบบชอร์เบทจะเริ่มหายไปเหลือเบาบางมาก ให้ความเป็น Musk มาเป็นตัวเด่นติดผิวกายแบบกลิ่นออกสะอาดนุ่มแบบผิวกายสะอาด มีกลิ่นอายอบอุ่นจางๆ ผสมผสานแบบยาวไป ภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่มาแบบสดชื่นแบบไอศครีมชอร์เบทเปรี้ยวๆ ดูสดใสลั่นล้าเป็นหลัก โดยไม่ทิ้งความเป็น Signature ที่จะต้องมีกลิ่นอายดอกไม้ที่แทรกเข้ามาให้รับรู้ตามแบบฉบับของ Avon นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว ตัวนี้มีความใช้ง่ายสูงมาก เพราะมันเน้นความสดชื่นเป็นหลัก เลยไม่ต้องปีนบันไดหาความซับซ้อนที่บ่งบอกอารมณ์อะไรไปมากนอกจากลั่นล้าและชิลล์ ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเรียกว่ากวาดแทบหมด จะมีในส่วนของงานทางการที่อาจจะไม่เข้าทางบ้างแต่ก็พอใส่ได้อยู่เพราะกลิ่นไม่ได้รบกวนใคร ถ้าในยามค่ำคืน ไม่เหมาะเลยกับการเอาไปเย้ายวน เพราะกลิ่นสดชื่นอยู่ไม่พอ ยังเบาไปที่จะเอาไปสู้ใครเขาได้ ยกเว้นจะใส่เพื่อความสดชื่นส่วนตัวกัน ส่วนคุณผู้ชายกลิ่นนี้ถือว่Unisex ได้อยู่ประมาณ 30 % เลยสามารถใส่ได้อยู่ เพียงแต่อาจจะมีกลิ่นแนวผู้หญิงตีให้รับรู้บ้าง ถ้าไม่มายด์ก็สบายไป

ความทน - ความทนของกลิ่นไม่ได้มาเยอะนัก เพราะอิงกับประเภทของน้ำหอมแล้วความทนก็แนวๆ นี้ เพราะอยู่ที่ราวๆ 4-6 ชม. เป็นสำคัญอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้รับรู้ถึงความสดชื่นกัน แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent ยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นถือว่าเป็นแนว Citrus ที่ชัดเจน มีความสดใสและความลั่นล้ากำลังดีเลย ที่สำคัญราคาไม่ได้สูงมาก เน้นเอามาฉีดให้ความสดชื่น รวมถึงพกติดตัวไปเติมระหว่างวันจะลงตังและดีงามจริงๆ สุดท้ายเสียดายมากที่ Avon ต้องโบกมือลาประเทศเราไปอีก 1 แบรนด์

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  http://www.terapeak.com/worth/avon-scentini-citrus-chill-eau-de-toilette-spray-nib-never-used-1-7-oz-50ml/111735007285/

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Dunhill - Custom

Dunhill Custom

มองข้ามน้ำหอมตัวนี้ไปนานมากเลยทีเดียวกับการผลัดวันประกันพรุ่งว่าจะลองดีไหม จนวันหนึ่งได้รับการแถมมาจากการซื้อน้ำหอมแบบข้ามประเทศเลยมาลองจัดกันซักหน่อยอยากรู้ว่าโทนกลิ่นแบบสุภาพบุรุษอังกฤษที่ Dunhill นำเสนอจะเป็นอย่างไร ผลออกมาคือ

Dunhill Custom รุ่นนี้จะได้อารมณ์แนวๆ Baldessarini Ambre ผสมผสานกับแนวๆ Hugo Boss Bottled ในช่วงต้นที่เด่นกับการเป็นแอปเปิ้ล แต่แตกโทนให้เป็นลักษณะแบบ Smoky ติดโทน Incense ดึงดูดแทนที่จะมาสายอบอุ่นแบบ 2 ตัวที่กล่าวไปข้างต้น โดยเปิดตัวที่ Top Notes ที่กลิ่นอายของแอปเปิ้ลแดงจะมาก่อนเลย กลิ่นอายจะมาแบบแอปเปิ้ลหอมกำลังดีแต่ไม่ได้มาแบบหวานฉ่ำโบ๊ะ Fruity จ๋าๆ อะไรขนาดนั้น ซึ่งจะสัมผัสได้ว่ากลิ่นจะมีโทน Smoky ติดไม้หอมรองพื้นให้รู้สึกได้ ซึ่งเพียงไม่นานจะเข้าสู่ Middle Notes ที่คราวนี้ความเป็นเครื่องเทศโทนสดชื่นของพริกไทยจะมาผสมผสานกับให้ความหอมติดหวานโปร่งของแอปเปิ้ลแดงมีความสะอาดแต่ก็แฝงด้วยความเป็นผลไม้หอมลากยาวไป ได้อารมณ์แบบหอมสุขุมและดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้ง ซึ่งกลิ่นอายของไม้หอมและโทSmoky จาก Incense หรือโทนธูปที่รองพื้นมาตั้งแต่ช่วงแรกให้เราสัมผัสได้จะเริ่มชัดเจนขึ้นมามากขึ้น และกลายเป็นตัวเด่นหลักในช่วง Base Notes ที่ความเป็นโทนธูปไม้หอมจะมาแบบนวลนุ่มละมุน ซึ่งกลิ่นอายของแอปเปิ้ลจะยังเหลือจางๆ เคล้ากับพริกไทยที่ยังให้กลิ่นโปร่งอยู่ กลิ่นจะมีความสุขุมนุ่มลึกแบบ Rich Tone ชัดเจนมากที่สุด โดยที่มีความสะอาดติดแบบสุภาพบุรุษที่ความนิ่งขรึมและมีคลาสอยู่ในที ภาพรวมจะได้อารมณ์ผู้ชายนิ่งๆ ดูเท่ห์ ใส่เสื้อผ้าและสูทแบบทันสมัย หน้าตาเหมือนจะขรึมแต่ก็ไม่เย็นชา มีความดึงดูดสูงให้หันไปมองประมาณนั้นเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นให้ความภูมิฐานและหอมเท่ห์แบบมีระดับลงตัวมาก จึงเหมาะกับงานทางการที่ต้องพบปะผู้คนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หรือว่าออกงานก็ยังได้ เพราะกลิ่นไม่ได้มาหนักหน่วง ออกแนวให้ความรู้สึกหอมแบบเรื่อยๆ เสียมากให้รู้สึกว่าคนใส่มีคลาส ส่วนยามทั่วๆ ไป ก็สามารถใส่ได้ แต่จะไม่เหมาะกับแนวๆ ลั่นล้า หรือใส่ผ้าขาวม้าวิ่งไล่จับกันอะไรนัก ตัดทิ้งไปได้เลยในการใส่น้ำหอมตัวนี้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย กลิ่นไม่เข้าทางแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนถ้าเป็นการออกงานพอได้อยู่แบบอัดสเปรย์นิดนึง หรือออกแนวใส่ไปจิบเบาๆ ตามบาร์หรือเลาจน์ดีๆ แต่ถ้าใส่ไปเต้นลากแตกเมาปลิ้นหรือเน้นเรียกแขก กลิ่นจะไม่เข้าทางและจะเบาไปหน่อยก็เท่านั้นเอง 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. บวกลบประมาณ 2 ชม. ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรยและจุดที่ฉีด รวมถึงสภาพอากาศเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นนี้มาสายสุขุมและไม่ทำร้ายใครนัก การกระจายในช่วงต้นจึงจะมาแบบปานกลาง หอมแอปเปิ้ลแดงนวลจมูกกันก่อน และจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ แล้วกลายเป็น Skin Scent ในที่สุด 

ทิ้งท้าย - กลิ่นแอปเปิ้ลแดงของตัวนี้ให้ความประทับใจกับผมมากเลยเพราะมันไม่ได้หวานฉ่ำ เลยทำให้ได้อารมณ์หวานเบาๆ ติดโปร่งๆ นวลจมูกหอมน่าดึงดดูดดีแท้ ที่สำคัญตัวนี้สามารถเป็น Office Scent ได้ดีมากไม่ว่าในภาวะอากาศประเภทไหน เพราะมันไม่ได้ทำร้ายใครไม่พอ ยังทำให้คนใส่ดูมีระดับขึ้นมาในชุดทำงานได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  
http://www.perfumepavilion.com/thumb.php?src=uploads/o_19sf7gtfl1g4rpmm6k69s0s0ha.jpg&w=600&h=600&zc=2&cc=ffffff&s=1&ct 

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Brut Parfums Prestige - Brut Oceans

Brut Parfums Prestige - Brut Oceans

หลังจากที่เคยบอกเล่าถึงกลิ่นอายของรุ่น Original ไปแล้วกับน้ำหอมของ Brut Parfums Prestige ที่เป็นแบรนด์ลูกของ Fabergé แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังของฝรั่งเศสเช่นนั้น แบรนด์นี้เขาไม่ได้มีน้ำหอมผู้ชายเพียงแค่ตัวเดียวแน่ๆมีออกมาอีกเพียบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีแนวกลิ่นที่ออกทางสดชื่นทะเลเสียด้วย นั่นคือ Brut Oceans ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหนหนอ?

ก็มาในลักษณะที่เป็นกลิ่นโทนทะเลแบบสะอาดสะอ้าน ที่มีความแมนเป็นพื้นฐานและเป็นกลิ่นสากลนิยมของผู้ชายทั้งหลายที่ดมแล้วจะคุ้นชินมาก เพราะมาในลักษณะแบบ Old School สะอาดคมๆ ผสมผสานกับกลิ่นร่วมสมัยเข้าถึงง่าย โดยกลิ่นเปิดจะมาในลักษณะของโทนสดชื่นมาลักษณะคล้ายแนวๆ จูนิเปอร์เบอร์รี่ให้กลิ่นแนวแป้งเย็นกลั้วกลิ่นเขียวแมนสะอาด เคล้ากับกลิ่นแนวสบู่คมๆ กลั้วกลิ่นทะเลจากกลิ่นสังเคราะห์ของ Calone โดยกลิ่นที่กระจายออกมาจะมีความสดชื่นแบบน้ำทะเลสีฟ้ากลั้วความสะอาดแบบที่ผู้ชายจะคุ้นชินมากๆ เวลาใช้ Aftershave หรือโฟมล้างหน้ากลิ่นแมนๆ สะอาดๆ ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นสาหร่ายจะชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้มาสายเขียวคาวออกแนวโดนเครื่องเทศโทนสดชื่นและสมุนไพรเขียวๆ กลบโดยจะมีกลิ่นพริกไทยผสมผสานกับลาเวนเดอร์คงความเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลกลั้วกลิ่นเขียวแนวสมุนไพรแบบโปร่งๆ ทำให้ได้กลิ่นสะอาดแบบแมนๆ ที่เข้าถึงง่าย จนเมื่อส่งต่อสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นอายเขียวสะอาดที่จับได้นั้นจึงชัดขึ้นมามากในลักษณะของ Oak Moss ที่ตัดกลิ่นสากๆ ออกไป ผสมผสานกับกลิ่นอายของไม้หอมและ Musk อ่อนๆ มีพิมเสนจางๆ ความเป็นกลิ่นอายทะเลยังอยู่ไม่หนีไม่ไหนตามมาให้ความรู้สึกแบบ ภาพรวมของกลิ่นเลยจะเป็นลักษณะที่เข้าถึงง่ายมาก สะอาด แมนๆ มีความเป็นกลิ่นอายแบบทะเลกลั้วความเป็น Barbershop ที่ทำให้เราคุ้นเคยได้ในทันทีนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เรียกว่ามันเป็นกลิ่นแนวสากลนิยมที่บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นอายแมนๆ สะอาดๆ ของผู้ชายเลย ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลแบบที่ใครๆ ได้กลิ่นก็คุ้นชินได้สบายๆ เพราะมีความรอดทางกลิ่นสูงมากอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเน้นแบบฉีดสบายๆ กับอากาศร้อนๆ ให้ความสดชื่นสะอาดจะดีกว่าไปยั่วยวนแนวเที่ยวกลางคืน เพราะกลิ่นเบาไป สู้ชาวบ้านเขายากถ้าจะเอาไปใช้ในแง่นี้ 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชั่วโมง บวกลบประมาณ 2 ชั่วโมง อิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด ส่วนตัวลองฉีดกลิ่นนี้แบบอากาศร้อนๆ ไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ มีเหงื่อซึมๆ เรื่อยๆ กลิ่นลากยาวไปที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ (รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แบบที่ได้กลิ่นแล้วจะแบบว่าคุ้นชินกับแนวนี้สุด ก่อนที่จะลดลงมากระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางและปิดท้ายที่ Skin Scent ให้ความรู้สึกสะอาดๆ ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ได้กลิ่นนี้ครั้งแรกแบบว่าผมนึกถึงโฟมล้างหน้าหรือครีมอาบน้ำผู้ชายที่กลิ่นแมนสะอาดแนว Nivea มาเลย กลิ่นให้ความสดชื่นสะอาดแมนจัดชัดเจนจริงๆ แต่ไม่ได้บาดจมูกทำให้เวียนหัวในความแมนติดเขียวของกลิ่นแบบ Cologne ผู้ชายแนวสเปรย์ดับกลิ่นกายแต่ประการใด ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวใช้ง่ายเข้าถึงง่ายแบบไม่ต้องพยายามอะไรมากก็หอมสะอาดเลยล่ะ ที่สำคัญราคาไม่แพงเสียด้วยนะนั่น

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  https://fimgs.net/images/secundar/o.19400.jpg

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Zoologist - Bat

Zoologist - Bat 

เพราะแค่ชื่อรุ่นน้ำหอมก็ชัดเจนว่าเราจะมาเป็นค้างคาวกัน ซึ่งน้ำหอมรุ่นนี้ของ Zoologist เป็น Winner of the Art and Olfaction Awards 2016 in the Independent category ด้วยนะครับ เพราะมันมาด้วยความเป็นธรรมชาติของค้างคาวมากจริงๆ ซึ่งจะเป็นยังไงนั้น มาดมกัน 

มาถึงก็ได้เวลาค้างคาวกินกล้วยและผลไม้กันเลย เพราะ Top Notes นี่มาถึงอารมณ์แบบดินเปียกๆ ติดตะไคร่น้ำ ผสมดินประสิวแนวๆ ขี้ค้างคาวนิดๆ แต่ไม่ได้มารุนแรงมากนัก และมีกลิ่นของเปลือกกล้วยผสมผลไม้มาเต็มมากกกกก แบบว่า เฮ้ยยยยย! นี่เดินถ้ำอยู่เหรอ ซึ่งเพียงไม่นานก็เข้าสู่ Middle Notes ซึ่งคราวนี้กลิ่นของผลไม้แบบพวกสับปะรดและฝรั่งสุกงอมๆ ผสมผสานกับกล้วยจะชัดมากขึ้นไปอีก แถมกลิ่นดินชื้นๆ ยิ่งมาเต็มกว่าเดิม เพียงแต่จะมีกลิ่นแนวๆ หินปูนเปียกๆ อารมณ์ถ้ำ และมีกลิ่นอับๆ ชื้นๆ กลั้วไปด้วยกลิ่นเขียวติดหวานโปร่งๆ ผสมผสานกันมา แบบเหมือนยิ่งเดินเข้าถ้ำลึกมากขึ้นยังไงยังงั้น แถมด้วยกลิ่นอายติดสาปสัตว์จางๆ เริ่มจะแทรกขึ้นมาทีละนิดจนนำเข้าสู่ Base Notes กันอย่างเต็มๆ กับกลิ่นของ Musk แบบดิบๆ เคล้ากลิ่นอายแบบหนังติดสาปหน่อยๆ แต่ไม่หนักหน่วงจะเริ่มมาเคล้ากับกลิ่นดินเปียกๆ อับๆ กลิ่นจะมีความชื้นๆ ตีคู่มาแบบชัดเจนมาก ซึ่งถ้าใครเคยได้กลิ่นค้างคาวจะมีลักษณะแบบสาปสัตว์ติดหนังแห้งๆ ซึ่งช่วงนี้คือการจำลองออกมาได้ดีมากจริงๆ แบบว่าเหมือนค้างคาวอยู่รอบตัวเราในถ้ำที่ชื้นๆ มีกลิ่นผลไม้คลุกดินเปียกๆ หล่นอยู่ เป็นอาณาจักรของสัตว์พวกนี้ชัดเจนและมาเต็มแบบที่แนวอิงธรรมชาติได้ชัดมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดทุกเพศที่เรียกว่าต้องการความแปลกใหม่ในด้านกลิ่นอายที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ซึ่งแน่นอนไม่ได้ตอบโจทย์ทุกคน โดยกลิ่นสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน อาจจะต้องใช้ความอินดี้เข้ามาผสมผสานในการใช้งานบ้าง แต่อาจจะไม่เหมาะกับกลิ่นแบบงานทางการที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือนัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office ไม่ได้พบปะคนมากแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ถือว่าสร้างความแนวให้ตัวเองโดดเด่นได้ ในยามทั่วๆ ไปก็สามารถ แต่ขอผ่านการใส่ออกกลางแจ้งและออกกำลังกายจะดีที่สุด เดี๋ยวคนอื่นได้กลิ่นจะคิดว่าอาศัยถ้ำอยู่พึ่งออกมา ส่วนยามค่ำคืนถ้าไม่มายด์จะใส่เที่ยวก็เอาเลย เด่นแน่ๆ 5555555

ความทน - มากกกกกกกกกก 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ความเข้มข้นแบบ EDP ที่แตะ 20% จะเป็น EDP Intense อยู่แล้ว ซึ่งติดทนจั๋งหนับมาก ซึ่งถ้าคนไม่ชอบกลิ่นแต่ลองฉีดมาแบบเต็มที่อาจจะต้องร้องขอชีวิตให้หยุดทนจัดแบบนี้ซะที เพราะบางครั้งกลิ่นล้างน้ำไปแล้ว อาบน้ำไปแล้วก็ยังติดนกับผิวอยู่มากด้วยซ้ำ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีสุดๆ ในตอนต้น แบบว่าเหมือนเราเป็นผลไม้คลุกดินเปียกๆ กันเลย ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ ยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้าย จึงกลายเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวตามสภาพผิวของแต่ละคน

ทิ้งท้าย - กลิ่นมันแน๊วววววว แนววววว แบบที่ว่าคนได้กลิ่นยามที่ผมใส่อึ้งกันหมด ทักด้วยซ้ำว่า ไปเที่ยวถ้ำมาเหรอ 555555555 ซึ่งเป็นอะไรที่ผมต้องชื่นชZoologist กันเลยว่า ทำกลิ่นนี้ออกมาได้ชัดในสภาพแวดล้อมและสื่อถึงความเป็นค้างคาวได้ดีจริงๆ สมแล้วที่ได้รางวัลมา 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  https://cdn.shopify.com/s/files/1/0396/9165/products/Bat-Still-Life-Photo_1024x1024.jpg?v=1463318509

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Fendi - Fan di Fendi pour Homme Assoluto

Fendi - Fan di Fendi pour Homme Assoluto 

ได้เวลาเก็บเกี่ยวไลน์ Fan di Fendi ฝั่งผู้ชายจนครบถ้วนเสียทีกับแบรนด์ที่เขาเก่งเรื่องแฟชั่นเครื่องหนังและเฟอร์ต่างๆ อย่าง Fendi รวมถึงน้ำหอมในไลน์นี้เขาก็เอาความเป็นเอกของ Fendi มานำเสนอไม่ว่าจะเป็นรุ่นปกติหรือ Acqua กับการนำเอากลิ่นโทนหนังมาผสมผสานในรูปแบบอื่นๆ จนประสบความาสำเร็จและผ่านการรีวิวไปแล้ว เช่นนั้นมาแตะกันที่ตัวสุดท้าย (และอาจจะไม่ท้ายสุด) อย่าง Assoluto กันบ้าง ว่าจะออกมาในลักษณะไหน

ต้องยกให้เขาเลยว่า Fendi ยังคงลายเซ็นของตัวเองในการใส่กลิ่นโทนหนังมาผสมผสานกับความเป็นเครื่องเทศและไม้หอม รวมถึงเอาความเป็น Oud มาผสมผสานได้อย่างลงตัว โดยจะเปิด Top Notes กับกลิ่นอายที่มาแบบชัดแจ่มกันก่อนเลยกับโทนเครื่องเทศกลั้วความหวานเคล้ากลิ่นอายของ Citrus ที่มาแบบสายผู้สนับสนุนรองกันก่อน กลิ่นของกระวานกับพริกไทยสีชมพูจะเคล้ากันได้แซ่บเข้มข้นอุ่นนัวกึ่งสดชื่นติดเบอร์รี่ได้กำลังดีมาก เพียงไม่นานก็เข้าสู่ Middle Notes ที่คราวนี้ Oud มาเป็นตัวเด่นนำ เพียงแต่ไม่ได้มาสายอวลแบบตะวันออกกลาง มาสายกลิ่นแนวเนื้อไม้เคล้าเครื่องเทศโทนหวานติดเปรี้ยวจางๆ ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นจากอิทธิพลของกระวานและพริกไทยสีชมพู กลิ่นจะมีความเย้ายวนกำลังดีเคล้ากลิ่นนวลๆ ของพิมเสน และมีความ Smoky ให้รู้สึกได้ กลิ่นยังคงความเข้มข้นอยู่เพียงแต่ว่าจะไม่ได้ดำดิ่งลงสายดาร์กนัว แต่มีความโปร่งในระดับหนึ่งให้สัมผัสความเป็นกลิ่นโทนไม้หอมเคล้าเครื่องเทศได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งในช่วงนี้จะเริ่มจับได้ถึงความครีมมี่ติดยางไม้ที่จะแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นตัวนำเข้าสู่ Base Notes ที่งานนี้กลิ่นครีมมี่ผสมผสานกับโทนลายเซ็นของ Fendi อย่างกลิ่นหนังจะเป็นเสมือนตัวรองพื้น โดยมีกลิ่นยางไม้ติดเปรี้ยวกลั้วกับ Oud แบบเนื้อไม้จะเป็นตัว on Top ที่ลอยขึ้นมาอยู่ กลิ่นจะยังมีความหวานให้สัมผัสได้จากเครื่องเทศ และคงความผสมผสานกันได้อย่างดีไปตลอดเลยทีเดียว ซึ่งภาพรวมจะได้อารมณ์แบบเข้มข้น ดุดันก็จริงแต่ยังมีความนุ่มหวานแฝงเข้าไป และออกแนวผู้ชายมาดนิ่งมีระดับดูน่าค้นหาและเย้ายวนแบบมีความมั่นใจและถือตัวเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้ เอาเข้าจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็ใส่ได้ แต่อาจจะเน้นเป็นการออกงานแต่งตัวเท่ห์ๆ หรือท่องราตรีก็สามารถ ซึ่งกลิ่นนี้ถ้าคนผ่านโทนเครื่องเทศกับ Oud และหนังมาบ้าง จะเข้าถึงได้เร็วมากขึ้น โดยสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือทั่วๆ ไป เพียงแต่เน้นใส่แล้วอยู่ในห้องแอร์จะดีกว่า เพราะกลิ่นมาแบบดุและหนักอยู่ซึ่งการจำกัดจำนวนสเปรย์จะดีที่สุด ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายทุกประเภทเลย เพราะกลิ่นจะกระจายและตีขึ้นหนักหน่วงจริง เดี๋ยวขาดอากาศเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนกับการออกงานหรือท่องราตรีก็จัดไป กลิ่นเอาอยู่ มีมาด และน่าค้นหาเลยทีเดียว ชาวบ้านกลบตัวนี้ไม่ได้ง่ายๆ ด้วย 

ความทน - ลุกขึ้นยืนปรบมือ เพราะไลน์นี้ทั้ง 3 ตัวเรื่องความทนดีงามหมด แถมรุ่นนี้มีความเป็น Assoluto กลิ่นจะเข้มจัดและทนมากเลยทีเดียว กับพื้นฐานคือ 8 ชม. และมากกว่านั้นอิงตามจไนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ตั้งแต่ 7 โมงเช้ายัน 4 ทุ่ม กลิ่นก็ยังตีขึ้นกับจำนวนสเปรย์เพียง 5 สเปรย์ 

การกระจาย - มาเต็มเลยทีเดียวในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีกึ่งปานกลางในช่วงกลาง และค่อยๆ ลงไปที่กระจายปานกลางในช่วงท้าย ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านราวๆ 8-10 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้มาเต็มและปล่อยของจริง เรียกว่าเป็นตัวพ่อของไลน์ Fan di Fendi pour Homme ได้เลย ในเรื่องความเข้มข้น ซึ่งถ้าสรุป 3 ตัวของไลน์นี้จะได้ความเชื่อมโยงจากโทนหนังและเครื่องเทศที่แตกต่างกันไปแบบนี้เลย

pour Homme - หนังและเครื่องเทศแบบเซ็กซี่เย้ายวนอบอุ่น
pour Homme Acqua - หนังและเครื่องเทศแบบสดชื่นแนวทะเล
pour Homme Assoluto - หนังและเครื่องเทศที่เข้มข้นมีมาดเหลือร้าย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  
http://parfumstation.com/product/p1423551676-o.25194.jpg