วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: L'Erbolario - Ambraliquida

L'Erbolario - Ambraliquida

กลับมาสู่แบรนด์ของดีราคาไม่แพงและคุณภาพเทียบเท่าน้ำหอมทั้ง Niche และ Designer แบบที่ต้องชื่นชมเลยอย่าง L’Erbolario ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้อินอะไรมากเล๊ยยยยยย! แค่ซื้อแบรนด์นี้เฉลี่ยเดือนละขวดเอง (-___-") เมื่อมีโอกาสเห็นอยู่หนึ่งรุ่นที่ชูความเป็นกลิ่นโทน Amber มีหรือที่จะพลาด เราต้องไม่อิน และสอยมาเช่นเคย ซึ่งเมื่อได้ลองจนหนำแล้ว ก็ต้องมาบอกเล่าว่า 

Ambraliquida ถือเป็นน้ำหอมที่เล่นโทนอบอุ่นได้น่าสนใจมาก ซึ่งก็ตรงตามที่แบรนด์อ้างอิงถึงใบเมเปิ้ลหอมจากป่าเมเปิ้ลในประเทศตุรกีที่เวลาเห็นจะไล่เฉดสีสวยงามโทนแดง ส้ม และน้ำตาลที่เห็นแล้วจะได้ความรู้สึกอบอุ่น ซึ่งเป็นโทนยืนพื้นของกลิ่นเป็นหลัก โดยเปิดตัว Top Notes กันที่ความเป็นโทนดอกไม้ผสมกับความเป็นเครื่องเทศโทนโปร่ง มี Citrus ของกลิ่นมะกรูดเป็นตัวสนับสนุน มีความนวลจางๆ มาจากกุหลาบ แต่กลิ่นจะปร่าซ่ากันอย่างชัดเจนเพราะจะสัมผัสได้ถึงความเป็นโทนเครื่องเทศอบอุ่นกับพิมเสนที่วูบเข้ามาพอสมควร กลิ่นจะอยู่ในช่วงเซทตัว เพราะจะมีความหลากหลายไม่น้อย เช่นกลิ่นมีความเปียกหน่อยๆ มีความนวล มีความสดชื่น มีความปร่า ที่อาจจะทำให้ตกใจและงงๆ ไปบ้าง แต่ก็มีความอบอุ่นให้สัมผัสได้กันตั้งแต่ช่วงนี้ แล้วพิมเสนจะเป็นตัวดึงเข้าสู่ Middle Notes ที่จะเริ่มเป็นโทนมวลมหาไม้มาผสมผสานกัน และกลิ่นจะเริ่มแห้งลงตามลำดับตามการเป็นไม้หอมเจืออบอุ่น โดยจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้นวลๆ อย่างจันทน์หอม และมีกลิ่นไม้ติด Smoky จางๆ เสริมเข้ามา กลิ่นช่วงนี้จะเริ่มเป็นลักษณะของการเป็น Amber แบบกลิ่นไม้หอมอบอุ่นซึ่งจะมีความนวลๆ ติดวานิลลาให้รับรู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เค้าความหอมติดกลิ่นโทนยางไม้ที่อมหวานเจือของกำยาน นำเข้าสู่ Base Notes ที่เป็นโทน Amber กันเต็มๆ กลิ่นจะอยู่ระหว่างความเป็นวานิลลาแบบโทนแป้งนวล กลิ่นยางไม้เจือหวานอวลเคล้ากลิ่นไม้นวล และมีความเป็นสากๆ ของพิมเสนจางๆ ซึ่งกลิ่นจะรุมๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นภูมิฐานกำลังดีแบบยาวไปเรื่อยๆ มีความเย้ายวนแบบแมนๆ ลงตัวและไม่ได้ออกทางเซ็กซี่ไม่โจ่งแจ้งมากเกินไปนัก มีมาดที่ให้รู้สึกได้ชัดเจน คงความเป็นลักษณะที่ชัดเจนแบบ Amber ที่ควรจะเป็น เป็นกลิ่นโทนสีน้ำตาลอมส้มอุ่นๆ แบบไม่ได้มาสายข้นหนักหน่วงได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีความภูมิฐานเคล้าความอบอุ่นได้แบบไม่เหมือนใคร สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งจะเหมาะกับการอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันมาก พอใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้บ้าง แต่ถ้าออกกำลังกายงดไปเลยจะดีกว่าเพราะอาจจะทำให้อึดอัดกับความอุ่นๆ รุมๆ ของตัวนี้แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้มาสายหนักมานักก็ตาม ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยไปได้หมดเลยทั้งออกงานและท่องราตรี กลิ่นไม่เหมือนใครและมีมาดน่าค้นหาผ่านกลิ่นได้ลงตัว 

ความทน - เรียกว่าต้องยกนิ้วให้เลย กลิ่นทนเกินคาดมาก เพราะอยู่ที่ราวๆ 8 - 10 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าจะมาเต็มมาอวลกันก่อน แล้วจะลดระดับลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะผันตัวลดลงมาเป็น Skin Scent ที่ยามขยับเนื้อตัวกลิ่นจะตีขึ้นให้รู้ว่ายังมีอยู่ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทำกลิ่นออกมาได้น่าสนใจมากในแง่ของการสื่อสารความเป็นโทน Amber ที่อบอุ่น เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งในของดีราคาไม่แรงได้เลย เพียงแต่แค่ไม่มีขายในไทยเท่านั้นเอง เจ็บตรงนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://cdn.erbolario.com/wp-content/uploads/prodotti/post_images/it_066.304_1000_copia_2.jpg

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Annayake pour Lui

Annayake pour Lui

หลังจากที่เคยบอกเล่าถึงรุ่Miyabi เพื่อซูมดู เอ๊ย! อ่านกลิ่นกันไปเมื่อนานมาแล้ว ก็ได้เวลาของการหวนกลับมาแบรนด์ Skin Care แบบวิถีญี่ปุ่นที่ทำน้ำหอมออกมาได้ดีงามไม่น้อยและสื่อสารผ่านรูปแบบทั้งกลิ่นและขวดถึงความเป็นแดนอาทิตย์อุทัยได้ชัดมากดังเช่นรุ่น Annayake pour Lui ที่กำลังจะมาบอกเล่าเรื่องกลิ่น ดูขวดยังบอกได้เลยว่าน้ำหอมนี้มาจากประเทศไหน 

Top Notes อย่าได้คิดว่าจะมาสายสดชื่นมันเข้าไปแบบน้ำหอมที่มาสายสายตะวันตก เพราะว่าแม้จะมีโทน Citrus อยู่ก็จริง แต่จะไม่ใช่เปรี้ยวสดชื่นเลย เพราะจะออกทางเปลือกส้มเปลือกมะกรูดที่มีความติดขมเสียมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นผลไม้อย่างแอปเปิ้ลเขียวมาเป็นวูบๆ และมีการผสมผสานของกลิ่นชาติดเขียวขมอวล ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ทั้งหมดจะไม่ได้มีความชัดในโทนเดี่ยวๆ ของตัวเองกันมาก ออกแนวผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นชาติดแอปเปิ้ลเขียวที่มีความขมและความนวลอวลแทรกอยู่ตลอด รวมถึงรู้สึกชัดเจนเลยว่ากลิ่นมาสายโทนสุภาพบุรุษเลย แต่ก็มีสไตล์ที่แตกต่างจากน้ำหอมแมนๆ ทั่วไป และสัมผัสได้ถึงความเป็นโซนกลิ่นอายแบบตะวันออกเสียด้วย ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นนี้จะตามไปยัง Middle Notes ที่ต้นเหตุของความอวลนวลๆ นี้จะชัดขึ้นมากจากกลิ่นของไม้ไผ่ที่จะเป็นโทนสะอาดติดกระดาษแห้งๆ ที่จะกลายเป็นพระเอกหลักของกลิ่น มีกลิ่นจืดติดเขียวอมหวานหน่อยๆ จากบัวเสริมเข้ามา ผสมผสานกับกลิ่นชาในช่วงต้น เลยทำให้ได้กลิ่นอายแบบนวลๆ นุ่มๆ สะอาดๆ กลิ่นในช่วงนี้ถือว่าผสมผสานกันลงตัวมากขึ้น ทำให้นึกถึงเชิ้ตสีขาวแห้งๆ สะอาดนุ่มและมีความหวานเจือไปตลอด ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ในช่วงกลางนี้ ความรู้สึกนวลๆ อวลๆ รุมๆ จะยังอยู่และชัดขึ้นเรื่อยๆ อีก จนนำเข้าสู่ Base Notes แบบที่กลิ่นไม้ไผ่กลั้วชาเขียวและบัวสะอาดๆ ยังคงเป็นเหมือนกลิ่น on Top ที่ลอยออกมา แต่เมื่อดมใกล้ผิวจะเป็นกลิ่นอายครีมมี่นุ่มๆ มีกลิ่นหวานเนียนแบบนุ่มไม่บาดของถั่วฮาเซลนัทเป็นตัวทำให้กลิ่นครีมมี่มากขึ้น เนื่อกลิ่นยังคุมโทนนุ่มนวลแบบเชิ้ตขาวสีนวลตา และมีความเป็นสุภาพบุรุษที่อบอุ่นกำลังดี สะอาดสะอ้าน และนวลๆ ให้รู้สึกได้ถึงความน่าเข้าใกล้ ดูยิ้มง่ายแกมอบอุ่น และน่าเชื่อถือ ภาพรวมกลิ่นนี้มีความเป็น Daily Scent สูงมาก คือ ใส่แล้วภาพผู้ชายญี่ปุ่นดูสะอาดสะอ้านและสุภาพในชุดทำงานเชิ้ตขาวใส่สูท แบบไม่ได้ลุคหยองกรอด ออกแนวผู้ชายดูแลตัวเอง ประมาณนี้เลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่น Office Scent มาก หรือถ้าน้องๆ วัยมหาลัยจะใส่ก็ได้อยู่ ทำให้ดูมีมาดขึ้นมาได้เลย และูแตกต่างจากน้ำหอมทั่วไปด้วย ซึ่งสามารถจัดได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะยามทางการหรือใส่ทำงาน เข้าทางสุดๆ ไม่มากไม่น้อยไป ลงตัวหมด ส่วนยามทั่วๆ ไป ก็ใส่ได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นไม่ได้มาสายลั่นล้า อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปเต้นเพลงที่มันมีงูออกมา หรืออารมณ์เฮฮาปาร์ตี้อะไรมากนัก ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายนี้เลยแม้แตนิดเดียว นอกจากนี้ยามค่ำคืนใส่ออกงานได้ ไปชิลล์ๆ ให้ดูเป็นผู้ชายสุภาพมีความอบอุ่นนวลๆ น่าเชื่อถือได้สบายๆ แต่ไม่ควรใส่ไปเมายกก๊วน ป่วนยกแกงค์เพราะกลิ่นไม่ได้เอื้อกับสถานการณ์ไม่พอ เหล้ากลบหมดเกลี้ยงแน่นอน 

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดีเลย แถมกลิ่นติดเสื้อรุมๆ นวลๆ ดีด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น กลิ่นอาจจะทำให้งงๆ กันก่อนเพราะเหมือนจะอึนๆ ไม่คุ้นกับโทนเปิดแบบนี้กันนัก และพอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดลงมากระจายแบบปานกลาง แล้วค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. จะเป็น Skin Scent ยาวไป 

ทิ้งท้าย - ได้กลิ่นนี้แล้วนึกถึง เอนามิ ไดจิโร่นักข่าวญี่ปุ่นหล่อๆ ที่มาทำข่าวในไทยจนสาวๆ กี๊ซแตกกันประมาณนั้นเลย คือ ใช่ มาดได้ โทนกลิ่นเข้าทางชัดเจน จุดนี้ใส่แล้วดูเป็นเอนามิอย่างบอกไม่ถูก ><

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit by https://media.douglas.de/053911/900_0/Annayake-Pour_Lui-Pour_Lui.jpg

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Atelier Cologne - Cedre Atlas

Atelier Cologne - Cedre Atlas 

เมื่อเห็นว่า Atelier Cologne มีการปล่อยไลน์ใหม่มาได้พักใหญ่มากอย่าง Collection Azur ซึ่งมีหลายตัวน่าสนไม่น้อย ก็เรียกว่าเริ่มซุ่มหามาลองกันหน่อย เพราะว่ามาสาย Cologne Absolue ที่เป็นลักษณะกลิ่นอายสไตล์ Cologne แต่ความเข้มข้นเทียบเท่ากับ EDP เสียด้วย จิ้มมาได้ก็หลายตัวอยู่ ก็เลยเสี่ยงดวงเริ่มทดสอบกับตัวแรกของไลน์นี้กันว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง สุ่มได้ตัCedre Atlas มาก็จัดไปหลายยก จนมาบอกได้ว่า 

กลิ่นอายเรียกว่ามาสาย Cologne ที่มีความสดชื่นไล่เรียงกันไปสู่การเป็นกลิ่นอายไม้หอมแบบใช้ง่ายและมหาชนมักชอบได้ไม่ยาก เผลอๆ จะทำให้ประทับใจกันตั้งแต่ต้นเลยทีเดียวกับความสดชื่นที่มาแบบธรรมชาติในช่วง Top Notes ที่กลิ่นจะมีความเปรี้ยวสดชื่นเจือหวานปลายของเลมอนกันเต็มๆ โดยจะมีความเปรี้ยวแหลมติดขมหน่อยๆ และกลิ่นแปร่งๆ ติดผลไม้เปรี้ยวๆ กลิ่นผสมผสานกันเลยจะได้ความรู้สึกสดชื่นกันเต็มๆ ปลุกโสตประสาทให้ตื่นกันได้เลย ซึ่งความเป็น Citrus จะเริ่มลดทอนลงไปในช่วง Middle Notes กับการที่เป็นกลิ่นโทนผลไม้หวานอมเปรี้ยวของแอปริคอต ซึ่งกลิ่นจะมีโทนติดครีมมี่ไม้หอมดันขึ้นมาด้วย เป็นการแบ่งโทนที่ผสมผสานกันอย่าง Citrus Fruity และ Woody ได้พอเหมาะพอเจาะเลย กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมาก ซึ่งความเป็นไม้หอมจะค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวเอกหลักนั่นคือกลิ่นไม้ซีดาร์ ที่จะเด่นออกมาโดยมีตัวรองรับให้กลิ่นมีมิติสดชื่นติดครีมมี่ข้นให้พอรู้สึกได้อย่างโทน Citrus กลิ่นจะเริ่มเป็นโทนลักษณะนี้แบบยาวไปจนแม้ว่าจะเข้าช่วง Base Notes ก็จะยังเป็นลักษณะไม้หอมติดสดชื่นหวานจางๆ แบบนี้อยู่ เพียงแต่ความเป็นไม้หอมแห้งๆ จะชัดขึ้นกว่าเดิม เพราะมีกลิ่นอายหญ้าแฝกเข้ามาเป็นคู่หูกับไม้ซีดาร์ทำให้ได้อารมณ์สะอาดๆ ติด Smoky ไม้แห้งๆ เป็นพื้นฐาน ซึ่งกลิ่นจะเป็นโทนสะอาดสดชื่นกำลังดี On Top ทุมโทนชัดเจนกับความเป็นลักษณะแบบ Cologne และยังมีความอบอุ่นพอให้รู้สึกได้บางๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลยกลิ่นมาสาย Unisex ชัดเจน กลิ่นเข้าทางการเป็นกลิ่นที่มหาชนได้กลิ่นแล้วไม่ยี้ เข้าถึงง่าย ซึ่งเหมาะกับอากาศบ้านเรามาก รวมถึงใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด เรียกว่ายังไงก็รอด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบอากาศร้อนๆ หรืออกแนวเดินช้อปปิ้ง เสริมให้รู้สึกสดชื่นจะเข้าทางมากกว่าใส่ไปเที่ยวร่อนราตรี 

ความทน - แม้ว่ากลิ่นจะมาสาย Citrus ที่มักไม่ค่อนทน แต่ตัวนี้ทำได้ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวถือว่าไปที่ 8 ชม. ได้สบายๆ กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากสดชื่นกันเลยทีเดียวในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนจะเป็นกลิ่นติดผิวแนว Skin Scent 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ กลิ่นนี้ไม่ได้หวือหวานัก ได้อารมณ์เอา D&G Light Blue ของผู้หญิงที่กลิ่นเป็นลักษณะของ Citrus กับไม้ซีดาร์ มาผสมกับความเป็น Burberry The Beat ของผู้ชายที่เด่นกับ Citrus คมๆ และหญ้าแฝก ออกมาเป็นกลิ่นที่เน้นสายใกล้เคียงธรรมชาติแบบไม่ได้เป็นสายสังเคราะห์หรือปรุงแต่งมากเกินไป โดยที่คงความเป็นสไตล์แบบ Cologne ที่ทนตามสไตล์ EDP เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://static.iledebeaute.ru/files/images/tag/part_5/103462/pre/500_500sb.jpg

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Pizza Hut - Eau de Pizza Hut

Pizza Hut - Eau de Pizza Hut 

เมื่อยามที่ Pizza Hut ประกาศออกมาว่าจะแจกน้ำหอมกลิ่น Pizza ให้กับแฟนของแบรนด์ตัวเองที่เริ่มจากแคนาดาเป็นที่แรกแล้วค่อยๆ ไล่มาในแต่ละประเทศจนมาถึงประเทศไทย แน่นอนว่าตอนนั้นไม่คิดว่าจะเอาเพราะไม่อยากหิวทั้งวัน แต่พอได้มีโอกาสลองเพราะรับการแบ่งปันมาจากมิตรสหายท่านหนึ่งที่ได้มา ก็เลยเอาวะ เป็นไงเป็นกัน หิวก็หิว เช่นนั้นก็ได้เวลาพิสูจน์ว่ากลิ่นของ Eau de Pizza Hut จะออกมาเป็นยังไง ผลก็คือ 

ถ้าคำโปรยของแคมเปญการแจก คือ กลิ่นเมื่อยามเปิดกล่อง Pizza Hut” ก็ต้องบอกว่า Eau de Pizza Hut สื่อสารตรงนี้ได้ดีมาก เพราะช่วงแรกของการฉีด กลิ่นที่ได้ออกมาคือกลิ่นออกทาง ออริกาโน่กับไรสแมรี่ผสมผสานกับกลิ่นของแป้งโดว์ที่อบเสร็จใหม่ๆ กลิ่นมีความผสมผสานระหว่างความ Spicy ซ่าๆ และมีกลิ่นของแนวๆ อบเชยพุ่งขึ้นมาด้วยแต่ไม่ได้มาสายอบอุ่นติดหวานแบบที่เคยได้กลิ่นจากน้ำหอมทั่วๆ ไปที่จะเน้นกลิ่นแนวนี้มาเป็นสายเย้ายวน แต่นี่จะออกแนวแบบกลิ่นบางๆ จางๆ แบบใส่ไม่เยอะ ให้กลิ่นของโทน Fresh Spicy มันกลบให้กลิ่นความรู้สึกแบบปร่าหอมเคล้ากลิ่นแป้งพิซซ่าอบ กลิ่นจะได้อารมณ์ของการเปิดกล่องพิซซ่าได้กำลังดีเลย แล้วเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มทำให้หิวมากขึ้นเพราะกลิ่นที่ฟุ้งกระจายออกมาจะยังคงความเป็นกลิ่นอายแบบเปิดกล่องพิซซ่าอยู่ ความ Spicy ของเครื่องเทศโทนโปร่งยังมีอยู่ แต่กลิ่นที่ดมใกล้ๆ ผิวจะได้ความเป็นชีสและกลิ่นของแป้งตรงกลางพิซซ่าที่เปียกๆ อุ่นๆ แบบเวลาเราปาดหน้าออกทั้งหมดเพื่อกินแป้งก่อนแล้วค่อยมากินหน้าทีหลังประมาณนั้น เรียกว่าอย่าได้ดมใกล้ผิว จะหิวเอาได้ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะเริ่มมีกลิ่นอายแบบกระดาษกล่องเสริมเข้ามามากขึ้น และนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะออกแนวเป็นกล่องที่มีกลิ่นชีสจางๆ โดยจะจับได้ว่ามีกลิ่นนุ่มๆ ของ Musk กับไม้หอมอ่อนๆ ผสมผสานอยู่ในนั้น อารมณ์แบบกลิ่นเบาๆ เหมือนกินพิซซ่าหมดกล่องไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ เรียกว่าอิ่มแล้วสินะ ภาพรวมถือว่าสื่อสารถึงกลิ่นตรงตามคำโปรยได้ดี โดยที่ทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกอยากกินตอนที่เปิดกล่องพิซซ่าได้เลย ที่สำคัญเป็นเรื่องดีที่ไม่เอากลิ่นเบคอน เปปเปอโรนี แฮม สับปะรด เห็น มะเขือเทศ หอมใหญ่เข้ามาผสมด้วย ไม่งั้นมีแนวโน้มหิวทั้งวันและเป็นพิซซ่าเดินได้อย่างแน่นอน 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย ถ้าอยากมีกลิ่นพิซซ่าติดตัวแน่นอนว่ากลิ่นนี้แม้เป็นโทนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่มันไม่ได้จะเข้ากับทุกสถานการณ์นัก เพราะมันจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่า แกมาทำร้ายฉันทำไม ฉันหิวเอาได้ซึ่งแน่นอนไม่เหมาะกับการใส่กับงานทางการ หรือกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกายทุกประเภท เน้นใส่แบบชิลล์ๆ เอาสนุกสนานแบบนี้ถือว่าลงตัวมาก 

ความทน - ถือว่าทำได้ดีไม่น้อยกับราว6 ชม. บวกลบไม่เกิน 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนแรก แบบว่าใช่เลยกลิ่นเครื่องเทศที่โรยหน้าพิซซ่าที่โดนความร้อนแล้วฟุ้งออกมาพร้อมกลิ่นกล่องพิซซ่าเวลาเปิดออกมา แล้วจึงลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ไม่เหมาะกับคนที่จะลดความอ้วน แต่ก็ยอมรับเลยว่าทำกลิ่นออกมาได้ดี ได้อารมณ์ของการเปิดกล่องพิซซ่าที่กลิ่นเครื่องเทศ แป้งพิซซ่า และกล่องที่โดนความร้อนฟุ้งกระจายออกมา เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้เราพุงกางได้อย่างชัดเจน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://image.itmedia.co.jp/nl/articles/1212/06/ah_PizzaHut1.jpg

วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: AJMal - Neutron

AJMal - Neutron

เป็นอีกหนึ่งรุ่นหนึ่งของแบรนด์ AJMal ที่เรียกว่าราคาดีชวนให้เสียเงินไม่น้อย แถมมาในระดับความเข้มข้นแบบ Eau de Parfum ตามสไตล์ ซึ่งกลิ่นจะเป็นยังไงเข้าถึงง่าย และแขกหรือไม่ ก็ได้เวลาจัดมาพิสูจน์ตามคำเล่าเสียที ผลออกมาคือ 

Neutron มาในลักษณะของน้ำหอมสดชื่นแมนๆ ที่จะมากับความเป็นโทนผลไม้กลั้วความเป็น Citrus ที่จะจับได้ถึงความเป็นเกรฟฟรุตที่ให้ความสดชื่น แต่จะเจือความหวานคล้ายกลิ่นอายของสับปะรดกับ Blackcurrant เข้ามาด้วย โดยจะมีกลิ่นเขียวโปร่งหน่อยๆ ให้รู้สึกจากใบไวโอเล็ตเสริมให้กลิ่นมีความเขียวโปร่งนวลรองพื้นอยู่ แต่สิ่งที่จะสัมผัสได้กันตั้งแต่ตอนนี้เลยคือ กลิ่นของ Musk ที่จะชัดในระดับหนึ่งทำให้กลิ่นสดชื่นในตอนต้นมีความอวลในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับหนักมากเพราะความสดชื่นติดผลไม้เป็นตัวเด่นสุดนั่นเอง จนเมื่อเข้าช่วงกลางความเป็Citrus ติดผลไม้ยังคงเด่นอยู่ แต่สิ่งที่จับได้ในความรู้สึกอวลๆ ที่มาเป็นสายสนับสนุนนั่นคือความเป็นโทนแนวดอกไวโอเล็ตที่ให้ความรู้สึกเป็นดอกไม้โปร่งติดแป้ง มีกลิ่นอายแบบดอกไม้ขาวจางๆ เสริมเข้ามา กลั้วไปกับเนื้อกลิ่นมีความเป็นเครื่องเทศแนว Fresh Spicy ที่มีกลิ่นคล้ายขิงเข้ามาเสริมให้ความสดชื่นเคล้า Citrus ติดหวาน ท่ามกลางกลิ่นนวลอวลๆ ไม่หนัก ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้อาจจะทำให้นึกถึง Bleu de Chanel หรือว่า Dior Sauvage กันอยู่บ้าง เพราะมีบางวูบที่ทำให้นึกถึงแต่ว่าไม่ได้คล้ายมากขนาดนั้นเพราะว่ากลิ่น Musk เริ่มที่จะเป็นตัวเอกดันให้กลิ่นมีความนวลขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้มีลักษณะที่แตกต่างชัดออกมาพอสมควร ซึ่ง Musk จะเป็นตัวเด่นที่ดึงเข้าสู่ช่วงท้ายกับกลิ่นอายแบบนวลสะอาดติดเขียวสากแบบ Oak Moss จางๆ มีกลิ่นไม้จันทน์หอมเจือนิดๆ ที่ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะเป็นกลิ่นอายแมนๆ ที่เจือความเป็นไม้หอมอ่อนๆ นัวๆ คาบเกี่ยวที่จะเป็นตะวันตกก็ได้ ตะวันออกกลางก็แตะอยู่บางๆ ให้พอรู้สึกได้ โดยที่ความสดชื่นยังมีอยู่ประปรายท่ามกลางความนวลอวลกำลังดีแบบยาวไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถแล้วกลิ่นนี้ไม่ได้มาสายแขกตะวันออกกลางแต่ประการใด มีความเป็นโทนสดชื่นสุภาพบุรุษแมนๆ กันพอสมควร เลยใส่ได้สบายๆ กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ส่วนใส่ออกกลางแจ้งพอได้บ้าง และออกกำลังกายควรรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ไม่งั้นกระจายจุกคอหอยกันเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายมาก อัดสเปรย์หน่อยสู้คนอื่นได้แบบเราไปสายกลิ่นอายมาดแมน เรียกว่าเป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลการใช้งานได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - เรียกว่าคุ้มค่ามาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังทำหน้าที่ได้ดี และลากยาวไปอีกได้สบายๆ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไป 6 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น กลิ่นฟุ้งพอสมควร แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะผันเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย เมื่อพ้น 8 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent ติดผิวชัดเจน 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ใช้งานได้ง่ายมาก โดยที่ไม่ได้มาสาย Sport จนเกินไป ให้ความสดชื่นปนนวลอวลแบบที่เป็นอีกหนึ่งใน Daily Scent หรือ Office Scent ได้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://www.ajmalperfume.com/en/product-details/Neutron/78

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Jo Malone - Orris & Sandalwood

Jo Malone - Orris & Sandalwood 

กลับมายัง Jo Malone อีกครั้ง อันเนื่องมาจากติดใจในการเป็น Cologne Intense ของแบรนด์นี้และอยากลองในหลายๆ ตัวไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้นสบโอกาสได้รับการแบ่งปันมาเพิ่มเติมอีก 1 ตัว เลยต้องมาบอกเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นอายของความเป็นโซน Intense กับรุ่น Orris & Sandalwood เป็นอย่างไรบ้าง 

เปิดตัวกันเต็มๆ ด้วยการเป็นกลิ่นของหัวเหง้Orris (ที่เป็นเหง้าของต้นไอริส) กันก่อนเลย กลิ่นจะมาลักษณะแบบติดอับแบบหัวเหง้าใต้ดิน ที่ให้ความรู้สึกเป็นโทนแป้งติดเปียกชื้นๆ วูบมาก็จริง แต่กลิ่นกลับไม่ได้เป็นโทนแป้งแน่นๆ แต่ประการใด เพราะว่ามีกลิ่นโทนแป้งแบบติดเขียวโปร่งจางๆ เสริมเข้ามาจากดอกไวโอเล็ต กลิ่นที่ได้เลยจะได้ความรู้สึกกึ่งความเป็นดอกไอริสและเหง้า Orris โดยที่โปร่งกว่าที่คิด เข้าทางสไตล์การเป็น Cologne ที่ไม่หนักชัดเจน ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเดินทางเข้าสู่ช่วงกลางกับการเป็นโทนแป้งของ Orris ที่มาแบบกลางๆ กำลังดี ไม่ได้ติดชื้นเหมือนตอนแรก ซึ่งกลิ่นจะมีความเป็นโทนเครื่องเทศโปร่งๆ ติดสะอาดให้รู้สึกได้ และกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมจะเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ แบบไม้หอมอ่อนๆ ไม่ได้มาสายติดครีมมี่ มาแบบเนื้อไม้หอมนวล ซึ่งจะมีความอบอุ่นจางๆ ให้รู้สึกได้เรื่อยๆ กลิ่นในช่วงนี้ถือว่าเป็นการเจอกันที่ลงตัวมากระหว่างความเป็นโทนแป้งและโทนไม้หอมกลิ่นจะค่อนข้างชัดและคงตัวในโทนของตัวเองโโยที่ไม่ขัดแย้งกัน รู้สึกถึง Orris ก็ชัดเจน รู้สึกถึงไม้จันทน์หอมก็มาเต็ม แล้วดำเนินไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่โทนแป้งจะลดบทบาทมาเป็นสายสนับสนุนผลัดเปลี่ยนให้กลิ่นอายของไม้หอมเป็นตัวเด่นขึ้นมา โดยที่จะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแบบโทนแอมเบอร์ที่จับได้ถึงกลิ่นอายวานิลลาเบาๆ ไลท์เวอร์ชั่นจางๆ สายโทนแป้งนิดๆ เข้าทางเชื่อมกับความเป็น Orris เบาๆ เคล้ากับไม้จันทน์หอมที่เด่นสุด กลิ่นเลยจะเป็นไม้หอมนวลๆ สะอาดอุ่นๆ กลิ่นชัดแต่ไม่หนักคงความเป็นลักษณะสไตล์ Cologne เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะว่ากลิ่นนี้มีความกลางๆ มากพอที่ทำให้ใช้ได้หมดทุกเพศ แม้ว่าอาจจะทำให้นึกถึงน้ำหอมโทน Orris หรือ Iris ที่มาสายสาวๆ ไปบ้างตามความรู้สึกที่เคยคุ้นชิน แต่มันก็มีมุมผู้ชายแฝงให้จับต้องได้อยู่ จึงเหมาะกับการใส่แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นยามทางการ ที่กลิ่นโทนนี้เอื้อมากเลยทีเดียว หรือทั่วๆ ไปที่ออกแนววางตัวดีด้วย แต่กลิ่นนี้จะไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมันสายแป้งไม่เอื้อกับเหงื่อ และไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพราะเบาไป ให้ใส่สบายๆ อยู่บ้าน หรือออกงานก็ได้อยู่แบบอัดสเปรย์ 

ความทน - เป็น Cologne Intense ความทนเลยถือว่าลงตัวกับที่ 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 8 ชม. ได้เลยบนผิว และไปที่ 10 ชม. กับกลิ่นที่ฉีดบนเสื้อที่สว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางก่อนในตอนต้น และจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนจะปิดท้ายที่ Skin Scent กลิ่นไม้หอมอ่อนๆ อุ่นๆ จะตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งรุ่นน้ำหอมที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความเป็น Orris ได้ชัดมากขึ้นกับการเป็นโทนที่สามารถเป็นแป้งอับๆ ดึงดูดแบบโปร่งๆ ก็ได้ รวมถึงกลิ่นไม้จันทน์หอมแบบนวลสะอาดก็ชัดเจน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีดีในแง่กลิ่นชัด และจับต้องได้ ใช้งานง่ายตามสไตล์ Cologne ของ Jo Malone เลยล่ะ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.buro247.ru/thumb/625x1250_0/images/ja-malone-new.jpg

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Coromandel EDT

Chanel - Les Exclusifs de Chanel: Coromandel EDT

หลังจากวนเวียนในไลน์ปกติขอChanel มาได้พักใหญ่ แอบไปด้อมๆ มองๆ ดมไลน์ Les Exclusifs de Chanel เพราะความอยากรู้อยากเห็นเป็นระยะ ก็ได้เวลาของการก้าวเข้ามาจัดเต็มกันซักหน่อย ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่ทำเอาประทับใจมากในการทำออกมาและสื่อสารถึงกลิ่นอายที่พลิ้วไหวดั่งความสุขที่บางเบา โดยที่มาของรุ่นคือความสุขยามได้มองบานพับกั้นห้องแบบจีนของ Coco Chanel เลยดึงเรื่องราวในส่วนนี้ออกมาทำเป็นน้ำหอมที่มีความพิเศษออกมา และเป็นหนึ่งที่คนรักกลิ่นอายของพิมเสนต้องไม่พลาดที่จะลอง นั่นก็คือ Coromadel

พิมเสน หรือ Patchouli เป็นหนึ่งหัวใจสำคัญของกลิ่นนี้แบบชัดเจนซึ่งจะพลิ้วไหวรื่นไหลได้งดงามมากตั้งแต่ต้นยันจบเลย เป็นศูนย์กลางของกลิ่นที่จะเป็นหลักให้กลิ่นต่างๆ มาผสมผสานทำให้กลิ่นมีเสน่ห์ในโทนสีขาวนวลในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงทีละหน่อยๆ จนทำให้เราหลงเสน่ห์ในความเรียบหรูนุ่มนวลกันได้เลยกับการเปิดตัวด้วยกลิ่นอายสดชื่นจากโทนซิตรัสที่แบบแห้งๆ ติดขมเปลือกส้มหน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากกลิ่นของส้มขม (Bitter Orange) ที่จะชัดเจนขึ้นมา โดยมีกลิ่นอายเป็นโทนสมุนไพรเขียวสากของพิมเสนค่อยๆ เสริมขึ้นมาทีละนิดๆ โดยจะมาเพื่อนมาด้วยอย่างมะลิที่จะมาให้ความรู้สึกใสนวลกำลังดี ไม่ทำให้กลิ่นอายของพิมเสนดิบสากเกินไป โดยจะส่งต่อถึงช่วงกลางที่จะเริ่มเป็นพิมเสนแบบชัดเจนทะลุออกมาที่กลิ่นแม้จะมีความดิบตามธรรมชาติที่ติดกลิ่นแนวๆ ดินเขียวสากหน่อยๆ อยู่บ้าง แต่กลิ่นจะมีความนุ่มนวลแฝงเข้ามาด้วยตลอด เพราะลักษณะของโทนดอกไม้นวลๆ ของมะลิที่ยังตามมาอยู่ และมีกุหลาบจางๆ นวลสะอาดให้รู้สึกได้เสริมเข้ามาพร้อมกับกับโทนแป้งติดอับนิดๆ ที่เป็นเหมือนตัวสนับสนุนชั้นดีตัดทอนให้กลิ่นไม่ได้ออกทางดิบจัดเกินไป ที่สำคัญกลิ่นอายแบบอบอุ่นนวลๆ ของกำยานที่เสริมเสริมเข้ามาอีกตัดทอนให้กลิ่นพิมเสนมีความนุ่มนวลจมูกมากกว่าที่คิด ทำให้ช่วงนี้จึงเป็นกลิ่นอายที่ให้โทนสีขาวพลิ้วไหลนวลสบายและมีเสน่ห์แบบเรียบหรูมากจริงๆ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นอายของความเป็นโทนอบอุ่นเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยที่พิมเสนจะยังคงเป็นตัวเด่นอยู่แต่มาในลักษณะติดโทนแป้งเบาๆ เคล้ากับความรู้สึกติดขาวนวลเป็นหลักให้เราสัมผัสได้ยามที่กลิ่นตีขึ้น แต่พอดมที่ผิวจะจับได้ถึงที่มาความอุ่นที่เป็นตัวสนับสนุนชั้นดีจากไม้หอม กำยานติดหวานนิดๆ และโทนยางไม้ติดธูป Incense สดชื่นจางๆ ที่น่าจะมาจากตัว Frankincense รวมถึงความนวลๆ หอมเย้าๆ ละมุนแบบชอคโกแลตขาวที่ก็ทำให้รู้สึกได้ชัดเจนเสียด้วย แต่ไม่ได้มาสายขนมแต่ประการใด เสริมให้กลิ่นพิมเสนมีมิติแบบผสมผสานได้ดีมากครอบคลุมหมดทุกอารมณ์ที่จะสื่อออกมาได้ทั้งดิบบางๆ นวลอ้อยอิ่ง ละมุนโปร่งจมูก คุมโทนความขาวนวลพลิ้วไหวได้ลงตัว ให้ความมีระดับ ภูมิฐาน หรูหรา และรื่นรมย์โทนสว่างในได้เวลาเดียวกัน อันนี้ต้องยอมในความเทพของสุคนธกรที่ปรุงกลิ่นนี้ออกมาเลย เพราะทำได้ดีจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - กำกับเอาไว้ว่าเป็นน้ำหอมของผู้หญิงก็จริง แต่มีความ Unisex ในเนื้อกลิ่นสูงมากเลยทีเดียว ซึ่งผู้ชายสามารถใช้รุ่นนี้ได้สบายๆ โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งยามทางการเรียกว่าเหมาะมาก ให้ความภูมิฐานและสว่างโปร่งได้ดีมาก ส่วนยามทั่วๆ ไปก็สามารถใส่ได้อยู่แบบออกแนววางตัวดีประมาณนั้น แต่กลิ่นนี้ไม่เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายแต่ประการใด เพราะว่ากลิ่นมีภูมิในตัวสูง ส่วนยามค่ำคืนก็จัดได้ทั้งการออกงานและใส่เผื่อผ่อนคลายเรียบหรูสบายๆ ของเราไป แต่จะไม่เหมาะเลยกับการใส่ไปเพื่อแดนซ์สะโพกหลุดหรือหาเหยื่อยามราตรี แม้จะมีโทนดึงดูดอยู่พอสมควรก็ตาม แต่กลิ่นมันจะเบรกให้คนใส่ต้องวางตัวดีๆ เสียมากกว่านั่นเอง ไม่งั้นเสียลุคคุณชาย/คุณนายหมด 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมากกว่านั้นอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ เป็นบาเรียภูมิฐานเรียบหรูแบบยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว และพอผ่าน 8 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent ที่กลิ่นติดผิว ตีขึ้นเบาๆ ยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - Coromandel EDT ถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมพิมเสนที่อยู่ในกลุ่ม Masterpiece เลยก็ว่าได้ เพราะตอบโจทย์และชัดเจนในโทนกลิ่นพิมเสนที่ลงตัวแสดงอารมณ์ของกลิ่นทุกด้านอย่างสมดุลและละมุนมาก ซึ่งต้องบอกว่า#เลิกผลิต ไปเสียแล้ว เพราะ Chanel ปรับตัวนี้ให้เป็น EDP แทน แถมเพิ่มราคา (มีอาการมองบน) ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาว่ากันอีกทีในตัว EDP ครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit - https://www.ft.com/__origami/service/image/v2/images/raw/http%3A%2F%2Fs3-eu-west-1.amazonaws.com%2Ffthtsi-assets-production%2Fez%2Fimages%2F2%2F6%2F1%2F9%2F709162-1-eng-GB%2F604e00f8-ff29-4ae5-9b15-dba5e6761826.jpeg?width=620&dpr=1&format=jpg&source=htsi

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Tauer Perfumes - No.02 L’Air du Desert Marocain

Tauer Perfumes - No.02 L’Air du Desert Marocain

ข้ามไปแตะความเป็น Funville ในโซน Tauerville มาในระยะหนึ่งกับการเรียนรู้ความเป็น Andy Tauer สุคนธกรชื่อดังในอีกมุมของความสนุกสนานด้านกลิ่น ก็ถึงเวลามาแตะความเป็น Andy แบบเต็มๆ ชัดเจนกับฝีมือที่จัดเต็มทุกสิ่งอย่างในไลน์ปกติกันบ้าง ซึ่งก็ขอมาเจอกับรุ่นที่เรียกว่าเป็นตัว Top ของแบรนด์ Tauer Perfumes ที่ถ้าใครสนใจแบรนด์นี้ต้องมีโอกาสได้ลองตัวนี้ไม่งั้นจะถือว่าพลาดกันได้เลยทีเดียวนั่นคือ L’Air du Desert Marocain

เปิดต้นกลิ่นมาก็มาเต็มกับความรู้สึกเขียวติดไม้หน่อยๆของกิ่งก้านส้มที่คมพุ่งขึ้นมา พร้อมเครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าสดชื่นที่มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากนำทางกันอย่างชัดเจนด้วยเม็ดผักชี มีกลิ่นของยี่หร่ากับหญ้าฝรั่น และเหล่าเครื่องเทศเผ็ดปร่าจางๆ เสริมเข้ามาแบบไม่ได้เด่นจนทำให้รู้สึกถึงความเป็นแขกจัดๆ ในเนื้อกลิ่นเลย มีบ้างให้พอรู้สึกได้ถึงสภาพแวดล้อม แต่จะมาลักษณะแบบเครื่องเทศแห้งๆ รุมๆ เสียมาก กลิ่นจะได้อารมณ์แบบเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องเทศแห้งๆ ที่เป็นแบบคล้ายๆ เพิงไม้ กลิ่นมีความซับซ้อนในระดับที่สัมผัสได้ท่ามกลางความแห้งระหว่างกลิ่นไม้หอมกับเครื่องเทศ จนเมื่อเข้าช่วงกลางความเป็นกลิ่นโทน Fresh Spicy ของเม็ดผักชียังคงเด่นหรา เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้นเพราะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นแนว Incense ที่มาแบบอ้อยอิ่งเคล้าความเป็นดอกไม้จางๆ คล้ายมะลิที่มีความนวลทำให้กลิ่นของเครื่องเทศไม่คมจัดจ้านเกินไป กลิ่นปร่าซ่าเลยออกแนวให้ความรู้สึกแห้งนวลสบายจมูก แต่จะรู้สึกได้ว่ามีความอุ่นกำลังดีแทรกเข้ามาเรื่อยๆ แบบอากาศอุ่นๆ ปร่าแห้ง ติดไม้หอม ซึ่งจะชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นกลิ่นอายอบอุ่นแบบไม่ได้มาสายอวลหวานนัก เพราะแม้จะกลิ่นเครื่องเทศปร่าเผ็ดแห้งจะยังคงอยู่ และลดระดับมาเป็นสายสนับสนุน แต่ความเป็นแอมเบอร์ติดวานิลลาจางๆ ที่ให้ความอบอุ่นจะชัดขึ้นมาก เคล้ากับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของไม้ซีดาร์ติดกลิ่นอายแบบเรซิ่นยางไม้ที่ให้ความขรึมรับช่วงต่อจาก Incense ได้ชัดเจนมาก รวมถึงมีความ Smoky จางๆ แต่มาสายไม้แห้งจัดๆ ของหญ้าแฝกจะมาเด่นเทียบเคียง ผสมผสานกันเป็นโทนไม้หอมอบอุ่นเคล้าความเป็นเครื่องเทศปร่าชัดเจน กลิ่นมีความ Dirty แบบแห้งๆ สากๆ ติดฝุ่นอ้อยอิ่งของพิมเสนที่มีความดิบเท่ห์แบบที่ไม่หนักหน่วงเสียด้วย ผสมผสานกันออกมาจนได้ลักษณะที่เป็นกลิ่นแนวสภาพแวดล้อมที่มีความอุ่นแห้งติดฝุ่นหน่อยๆ ซึ่งตอบโจทย์ของน้ำหอมตัวนี้อย่างชัดเจนที่อ้างอิงถึงกลิ่นอายแบบโซนขายเครื่องเทศริมทะเลทรายที่จะมีอากาศแห้งๆ อุ่นร้อนผสมผสานกับเครื่องเทศเทศเผ็ดปร่าได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มาสาย Unisex ที่ตอบโจทย์ทุกเพศ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องผ่านน้ำหอมที่เป็นโทนเครื่องเทศกับโทนแห้งติดฝุ่นมาบ้าง จะเข้าถึงกลิ่นนี้มากขึ้น เพราะกลิ่นมันไม่ได้มาสายสภาพแวดล้อมที่เราคุ้นชินแน่นอน ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นยามทางการ ออกรับแขกบ้านแขกเมือง หรือว่าใส่ทำงานได้อยู่ เพียงแต่จำกัดจำนวนสเปรย์ เพื่อให้มีความเหมาะสมและกลิ่นให้ความขรึมขลังอย่างมีระดับโดยไม่หนักเกินไป ที่เหลือจักได้ตามความเหมาะสมและความชอบของคนใส่ที่อยากซึบซับกลิ่นอายแนวเครื่องเทศและทะเลทรายแบบนี้ แต่ไม่เหมาะเลยกับการใส่เผื่อออกกำลังกายเพราะกลิ่นมันอุ่นรุมแม้จะโปร่งแต่เดี๋ยวจะจุกคอหอยเอาเสียก่อนได้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมาก กลิ่นให้ความรู้สึกมีภูมิและดึงดูดแบบเก๋ๆ ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบสายเย้ายวนมากเกินไปก็เท่านั้นเอ 

ความทน - กราบบบบบบ กลิ่นทนจัดมากกับประมาณ 12 ชั่วโมงได้อย่างสบายๆ และมากกว่านั้นด้วยซ้ำ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไป 15 ชม. แบบที่ฟินไปข้างนึงเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น พอเข้าช่วงกลางถึงลดระดับมากระจายปานกลางให้ความรู้สึกแบบเครื่องเทศกลั้วความอุ่นแห้ง ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่ง Skin Scent แบบยาวไป จนกว่าจะหายไปจากผิวอิงตามประเภทผิวของคนนั้่นๆ 

ทิ้งท้าย - สมแล้วที่เป็นหนึ่งในตัว Top และ Masterpiece ของ Andy Tauer ที่ทำกลิ่นออกมาด้วยการจำลองสถานการณ์ได้ชัดเจนมากจริงๆ ข้าน้อยขอคารวะ (-/\-) 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://tauerperfumes.com/media/catalog/category/Classic_3.jpg

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: The Body Shop - Mango / Mangue

The Body Shop - Mango / Mangue 

ยามเมื่อเห็นน้ำหอมกลิ่นนี้ของ The Body Shop สิ่งแรกคือ ทำไมไม่เคยเห็นที่ไทย ก็มาบางอ้อว่าเมืองไทยเอาเข้ามาไม่กี่ตัวซึ่ง Mango หรือมะม่วงกลิ่นนี้ไม่ได้นำมาขาย เช่นนั้นเมื่อมีโอกาสได้มาจาก US งานนี้ต้องลองเพราะอยากรู้ว่ากลิ่นมะม่วงจะเป็นยังไง ฉ่ำมากขนาดไหน ผลออกมาก็คือ 

มะม่วงจ๋ามาเลย แต่จะไม่ใช่กลิ่นแนวๆ มะม่วงไทยแบบอกร่องหอมฉ่ำหรือน้ำดอกไม้หวานคม แต่กลิ่นจะมาแนวคล้ายๆ มะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูที่เวลาสุกลูกจะเป็นสีแดงกลิ่นหอมมากกว่า และจะมาลักษณะที่เป็นน้ำมะม่วงเข้มข้น 100% ที่ตามร้านสมูตตี้เอามาเจือจางปั่นผสมน้ำผลไม้ต่างๆ ซึ่งจะปรุงแต่งให้ความหวานและกลิ่นมาเต็มกันพอสมควรหรืออกแนวไซรัปมะม่วงเสียส่วนมาก ซึ่งกลิ่นแรกฉีดนี่ชัดเจนเลย เพราะเป็นกลิ่นของมะม่วงที่เข้มข้นแบบซอสหรือไซรัปฟุ้งกระจายออกมา ราวกับกำลังเอาน้ำมะม่วงเข้มๆ หวานๆ มาทาตัว ซึ่งกลิ่นจะได้ความหวาน หอม แบบติดผลไม้เมืองร้อน มีความเป็น Citrus จางๆ ให้พอรู้สึกได้ตามสไตล์ของมะม่วง ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นจะค่อนข้างเป็นโทนเดียวตั้งแต่ต้นยันจบ เพียงแต่จะลดระดับลงมาเรื่อยๆ จากมะม่วงเข้มข้นแบบจัดเต็ม จะลงมาเป็นกลิ่นมะม่วงกลางๆแบบหอมหวานแบบอ้อยอิ่ง แบบที่เราจะได้กลิ่นมะม่วงฉ่ำหวานลอยมา แบบไม่ใช่เอาหน้าไปคลุกหรือน้องแช่น้ำมะม่วงเข้มข้นขนาดนั้น ซึ่งจะจับได้ถึงกลิ่นอายของวานิลลานวลๆ กับ White Musk สะอาดๆ จางๆ เป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นของมะม่วงนวลมากขึ้น โดยยังคงความเบาๆ กึ่งใสหวานอยู่แบบได้กลิ่นน้ำมะม่วงแบบห่างๆ ซึ่งภาพรวมของกลิ่นไม่มีความซับซ้อนอะไร มาเป็นไซรัปมะม่วงแบบไหนก็ยาวไปแบบนั้นเพียงแต่จางและเบาลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - เขาตราเอาไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงเพราะมาสาย Fruity Citrus แต่เอาเข้าจริงๆ ก็พอ Unisex ได้อยู่ ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เช่นนั้นผู้ชายก็สามารถใช้ได้สบายๆ เพราะมันไม่ได้ทำร้ายใคร จึงสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แต่อาจจะข้ามงานทางการไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นมันผลไม้ตรงตัวเกินไป เดี๋ยวจะทำให้หิวกันเสียก่อน นอกนั้นยามชิลล์ๆ สบายๆ หรือออกกิจกรรมกลางแจ้งทั่วไปก็ใส่ได้เลย เพียงแต่ว่าถ้าจะใส่ไปออกกำลังกาย เดี๋ยวจะหิวอีกเช่นกัน พาลเดินเข้ากินข้าวเหนียวมะม่วงแถวไหนไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่สบายๆ ลั่นล้าดมกลิ่นมะม่วงยาวไปแบบอยู่กับแฟน เดินเล่นชิลล์ๆ หรือช้อปปิ้งจะดีกว่าที่จะใส่ไปท่องราตรี เพราะกลิ่นมันเบาไป แม้จะหอมมะม่วงแค่ไหน ถ้าเจอตัวอื่นที่หนักและหวานกว่าโชยมา ก็โดนชาวบ้านกลบหมดอยู่ดี 

ความทน - เพราะกลิ่นมันโทนเดียวด้วยส่วนหนึ่ง แม้จะเป็น EDT ก็ตาม ความทนจะอยู่ที่ไม่เกิน 4 ชม. จากการฉีดที่ผิวเป็นสำคัญ แต่กลิ่นสามารถทนไปได้มากกว่านี้ ถ้าฉีดที่เสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วย ซึ่งความทนที่เจอลากไปที่ 8 ชม. โดยกลิ่นที่ติดเสื้อรุมๆ เบาๆ ได้เลยดีทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้คนใส่ได้กลิ่นมะม่วงเต็มๆ คนรอบข้างอาจจะได้เบาๆ ก่อนจะเป็น Skin Scent ชัดเจนแบบยาวไป ที่พอร่างกายขยับก็จะตีขึ้นมาให้รับรู้ได้

ทิ้งท้าย - ถ้ามองในแง่ของกลิ่นมะม่วงที่ธรรมชาติ เหมือนเราได้กลิ่นมะม่วงสุกเวลาที่ดมจากลูกหรือกินในปากนั้น อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกลิ่นมะม่วงแบบน้ำผลไม้หรือไซรัปข้นๆ ที่เป็นเหมือนซอสมะม่วง หรือน้ำมะม่วงเข้มข้น 100% ก่อนมาเจือจางอันนี้เรียกว่าได้อยู่ และกลิ่นแบบนี้ใครได้กลิ่นก็ทักว่ามะม่วงทุกคนแน่นอน และขวดจะมี 2 แบบคือฝาอะลูมิเนียม ที่จะเขียนว่า Mango/Mangue กับฝาดำที่จะเขียนว่า Mango อย่างเดียว ซึ่งกลิ่นเดียวกัน เพียงแต่วางขายคนละโซนประเทศเท่านั้นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://assets.thebodyshop.com/medias/mango-eau-de-toilette-4-640x640.jpg?context=product-images/h0c/h70/11152099606558/mango-eau-de-toilette_4-640x640.jpg

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Review: Parfums de Marly – Herod

Parfums de Marly – Herod

วนไปเวียนมาแบบว่าจะเอาดีไม่เอาดีมาหลายครั้งแม้ว่าจะได้ยินชื่อเสียงมานานว่าน้ำหอมแบรนด์ Parfums de Marly มีความเด็ดดวงและเป็นแบรนด์ที่ทำน้ำหอมเพื่อสดุดีถึงยุคสมัยที่รุ่งเรืองช่วงศตวรรษที่ 18 รวมถึงเพื่อระลึกถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน แต่ก็ข้ามมาตลอด จนเมื่อได้รับการแบ่งปันมาเพื่อที่จะให้พิสูจน์ว่ามันดีแค่ไหนกับรุ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งน้ำหอมกลิ่นยาสูบที่ทำได้ดีมากเลยทีเดียว ก็จัดให้หนำจนได้รู้ว่า

Herod จะเปิดตัวที่ความเป็นยาสูบแบบให้สัมผัสได้แต่ยังไม่ถึงกับเด่นทะลุแป้งออกมานัก เพราะจะชูโรงที่ความเป็นอบเชยซึ่งจะไม่ได้มาหนักเกินไปแบบผงอบเชยที่จะฟุ้งออกมายามเราเอามาโรยขนมหรือสูดดมโดยตรง กลิ่นจะมีความหวานอุ่นแบบโปร่งๆ เพราะมีพริกไทยมาทำให้กลิ่ยมันโปร่งมากขึ้นโดยที่ไม่ได้ถึงกับทำให้คมมาก จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอายของยาสูบจะเริ่มเป็นพระเอกแบบหวานเย้าเคล้าอบเชยที่ลดทอนความเด่นลงไปเป็นสายสนับสนุนให้ความหวานอบอุ่นกำลังดี แต่กลิ่นที่มาเสริมแบบโปร่งๆ ติดโทนพีชและดอกไม้หอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้ที่ทำให้กลิ่นมีความใสและรื่นจมูก ช่วงนี้เลยจะเป็นกลิ่นอายยาสูบหอมโปร่งอมหวานใสได้ลงตัวมาก แต่ก็จะพอสัมผัสได้ถึงความเป็นโทนธูปที่ติดสดชื่นและ Smoky จางๆ แฝงอยู่ในกลิ่นให้รู้สึกว่ามีภูมิและมีความขรึมแบบนิ่งๆ น่าค้นหา มีโทนอบอุ่นขอวานิลลาแบบเบาๆ ค่อยๆ ดันขึ้นมา และนำเข้าสู่ช่วงท้ายกับการเป็นกลิ่นอายของวานิลาที่ให้ความอบอุ่นนวลๆ ไม่หนักหน่วง เพราะจะมีกลิ่นอายหวานโปร่งเย้ายวนของยาสูบกับหอมหมื่นลี้ที่ผสมผสานความ Smoky ที่ตามมาจากช่วงกลางเป็นสายสนับสนุนลดทอนลงไปแต่ยังจับกลิ่นได้อยู่ และจะมีกลิ่นอายแบบไม้หอมแห้งๆ เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความแมนแบบสุภาพบุรุษมีระดับอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งภาพรวม Herod จะเป็นกลิ่นอายที่มีความดีงามตามคำบอกเล่าจริงๆ เพราะกลิ่นอายจะแบ่งเป็น 3 สหายเด่นกันคนละช่วง อย่างอบเชยเป็นพระเอกช่วงต้น ยาสูบเป็นพระเอกช่วงกลาง และวานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่นเป็นพระเอกช่วงท้าย ซึ่ง 3 สหายนี้นอกจากจะเด่นแล้ว ยังจะผลัดกันเป็นสายสนับสนุนที่ดีให้กันแต่ช่วงต่างๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็นตัวเด่น โดยที่จะมีกลิ่นอายอื่นๆ อย่างโทนติดพีช โทนไม้หอม และโทนโปร่งของเครื่องเทศมาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีมิติที่ลงตัว ซึ่งแม้ว่าจะมาสายยาสูบแบบเดียวกับตัวดังๆ หลายๆ ตัวไม่ว่าจะเป็น Tom Ford – Tobacco Vanille, by Kilian – Back to Black, หรือ Serge Lutens – Chergui แต่ตัวนี้ถือว่าฉีกออกมาได้ดีและลงตัวสื่อคาแรคเตอร์ได้ชัดมาก ถ้าให้มองกลิ่นนี้เป็นผู้ชายหนึ่งคนก็จะมองเห็นคุณชายที่มีระดับนิ่งขรึมวางตัวดีมีออร่าความอบอุ่น หวานหอมนวล และเข้าถึงได้แบบที่เรายังคงความรู้สึกเกรงใจคนนี้อยู่เพราะออร่าความภูมิฐานและความมีระดับมันออกมาให้รับรู้ได้นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเสริมบุคลิกให้ภูมิฐาน แบบที่มีความหวานโปร่งรื่นจมูกของยาสูบเป็นตัวดึงดูด โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะงานทางการนี่เข้ากันมากมายไม่ว่าจะรับแขกบ้านแขกเมืองหรือว่าพบปะผู้คน โดยสเปรย์ตามความเหมาะสม ส่วนยามทั่วๆ ไปก็สามารถใส่ได้อยู่ เพียงแต่จะไม่เหมาะเลยกับกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายเพราะเดี๋ยวจะตีขึ้นจนจุกเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนแน่นอนออกงานเป็นของตายเสริมลุคชัดเจน และยามโรแมนติคนี่ก็เป๊ะจริงอะไรจริง เพราะมันเอื้อให้เกิดความรู้สึกหวานอบอุ่นได้ไม่ยาก เพียงแต่ไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปเต้นแร้งเต้นกาอะไรนัก เพราะกลิ่นมันจะไม่ไปกับลุครั่วๆ แบบนั้นน่ะนะ 

ความทน กลิ่นทนมากเพราะ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน และจะอยู่ยาวนานเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีดเหมาะสม โดยส่วนตัวเจอที่ไป 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้รู้สึกได้

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปเรื่อยจนถึงกลางๆ ช่วงท้ายๆ ที่จะเริ่มลดเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้มีความรู้สึกหวานหอมอบอุ่นเวลาอยู่ใกล้

ทิ้งท้าย เรียกว่าเป็นหนึ่งใน Masterpiece เลยก็ว่าได้ของ Parfums de Marly ที่ทำกลิ่นออกมาได้ดีจริงๆ และฉีกออกมาให้รู้สึกถึงความเป็นยาสูบในสไตล์ที่ภูมิฐานและหรูหราในคราวเดียวกัน คนรักกลิ่นยาสูบมีโดนตัวนี้กันได้แน่ๆ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://www.punmiris.com/himg/o.47060.png