วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review: Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: Private Collection Un Crime Exotique



Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: Private Collection Un Crime Exotique

หนึ่งในแบรนด์น้ำหอม Niche ที่ปรุงออกมาได้เหนือชั้นมากในกระบวนการทางเคมีมาช่วยให้น้ำหอมปล่อยคุณค่าออกมาได้มากที่สุด ที่สำคัญเจ้าของแบรนด์นี้อย่าง Pierre Guillaume เป็นนักเคมีที่หล่อล่ำมากนะครับขอบอก 5555 มาเข้าเรื่อง เนื่องจากน้ำหอมของแบรนด์นี้จะมีทั้งไลน์น้ำหอมปกติ และไลน์ Private Collection ที่น้ำหอมจะทำออกมาไม่มากในารจัดจำหน่าย ซึ่ง Un Crime Exotique ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ

เนื่องจากเป็นน้ำหอม Niche ที่เป็น Private Collection กลิ่นจะเป็นเอกลักษณ์มาก แถมเลือกคนใส่มากมายเลยทีเดียว เพราะกลิ่นโดยรวมให้อารมณ์ "โต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยของกินและขนมหวาน" กลิ่นต้นอาจจะทำเอาผงะได้เลยเพราะเปิดมาก็เจอกลิ่นโทนชา Masala แบบผสมเครื่องเทศเยอะๆ กับอบเชยและโป๊ยกั๊กแบบจังๆ ที่ทั้งหวาน ทั้งฉุน แต่กลิ่นมีมิติพอสมควร ซึ่งบอกได้เลยว่าคนไม่ชอบเตรียมหนีได้ เพราะกลิ่นมันหวานจัด แถมจะทำเอาเวียนหัว แต่พอเมื่อมาถึง Middle ก็ได้เวลาของขนมปังขิงที่เด่นขึ้นมาเลย ให้อารมณ์อบอุ่นมากขึ้น กลั้วกับกลิ่นหวานๆ ที่ให้อารมณ์น้ำไซรัปสำหรับราดขนมอีกด้วย ซึ่งกลิ่นช่วงนี้บอกกงๆ กันว่า ถ้าคนชอบและเข้ากับผิว คุณจะดูเป็นขนมหวานอุ่นๆ น่ากินทันที แต่ถ้าไม่เข้ากับผิวจะกลิ่นเหมือนคุณป้าตามร้านเบเกอรี่ ที่ทำขนมมาเยอะมากจนกลิ่นผสานกันไปหมดงงจนไม่รู้ว่าตกลงกลิ่นอะไรเป็นอะไร รู้อย่างเดียวคือหวานเอียนๆ และส่งต่อมาช่วงเบสที่จะมีกลิ่นชา วานิิลลา และแนวๆ ไม้จันทน์หอม ที่ทำให้กลิ่นนุ่มขึ้น โดยยังมีกลิ่นขนมปังขิงและอบเชยจางๆ เป็นฉากหลัง เหมือนปิดท้ายมื้ออาหารด้วยชาและของหวานเบาๆ กลั้วปาก ทั้งหมดทั้งมวล คือ Un Crime Exotique ครับ

เหมาะสำหรับ - ตอบยาก เพราะน้ำหอมตัวนี้เลือกคนใส่เลยทีเดียว ซึ่งใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายครับ เพราะเป็น Unisex ใส่ทำงานได้แต่ไม่ควรเยอะ เพราะกลิ่นแบบนี้อากาศบ้านเราอาจจะทำให้คนอื่นๆ รอบตัวเวียนหัวได้ ที่เหมาะเลยคือใส่ตอนกลางคืนอากาศดีๆ ไปเดินเล่นรับลมหนาวอะไรประมาณนี้ หรือไปนั่งเล่นพวก Starbucks หรือร้านเบเกอรี่ กลิ่นจะเข้ากันได้ดีเลย

ความทน - จะทนไปไหนก็ไม่รู้ 10 ชม. ขึ้นไป แน่ๆ ขนาดลองล้างดูแล้วกลิ่นยังไม่จางเลย

การกระจาย - กระจายดีมากในทุกๆ ช่วง มีช่วงเบสที่จะออกแนวรอบๆ ตัว ปล่อยความหวานของขนมกันไปข้างนึง

ส่วนตัว - ได้มาแบบแบ่งขาย หลังจากลองใส่คนได้กลิ่นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลิ่นหว๊านหอม หิวขนมมากเลย อีกกลุ่ม โอ๊ย คุณมรึงเป็นป้าแก่ๆ ร้านเบเกอรี่หรือไง กลิ่นเอียนจนเวียนหัว เช่นนั้นน้ำหอมตัวนี้เลือกคนใส่ไม่พอ เลือกคนได้กลิ่นเสียด้วย ถ้าสนใจลองก่อนไม่เสียหายนะครับ

Review: Legendary Fragrances - Treasure Island



Legendary Fragrances - Treasure Island 

เห็นขวดและถังไม้โอ๊คใส่ขวดมันคงทำให้นึกถึงไปอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากคำว่า "โจรสลัด" เช่นนั้น น้ำหอมแบรนด์นี้ที่ถือว่าเป็นน้ำหอม Niche (น้ำหอมที่ทำมาเจาะจงตลาดเฉพาะกลุ่ม ประมาณว่าเป็นน้ำหอมอินดี้ว่างั้น) จึงได้ทำออกมาเพื่อตอบสนองคนที่หลงไหลในความลั่นล้าแบบแจ็ค สแปรว์โรว์ หรือบาร์บอสซ่า ในแนวๆ Party ของโจรสลัดริมทะเลนั่นเอง 

กลิ่นเปิดก็บอกกันซึ่งๆ ถึงคำว่า "นัว" เพราะกลิ่นเมลอนกลั้วมะนาวบางๆ จะแว้บให้ได้กลิ่นแป้บเดียวเท่านั้น ก็จะผสานไปกับกลิ่นสับปะรดคลุกพริกกะเกลือ เลยทำให้กลิ่นจะออกแนว Fruity กลั้ว Spicy กำลังดีมากเลย และคนที่เคยได้กลิ่นผลไม้คลุกพริกกะเกลือจะมีความรู้สึกเดียวกันว่ามัน "นัว" ดีแท้ เปรี้ยวปาก 5555 ซึ่งพอเริ่มเข้าสู่ช่วง Middle คราวนี้แหละ สับปะรดคลุกพริกกะเกลือยังคงอยู่ ก็มานัวกันต่อกับกลิ่นเหล้ารัม ใช่เลย นี่แหละโคตรโจรสลัด มันต้องมี "รัม" กลิ่นช่วงนี้เป็นอะไรที่บรรเจิดจริงๆ กับการบอกเล่าเรื่องราวปาร์ตี้ของโจรสลัด อาจจะหลังจากทำอะไรสำเร็จมาก็ตามเถอะ ทั้งเหล้า ผลไม้ และเครื่องเทศแบบนัวๆ ครบครันกันเลยทีเดียว หลังจากช่วงเด็ดดวงเริ่มหมดไป เลยส่งต่อมาที่ Base ที่กลิ่นจะเริ่มออกแนวอบอุ่นแบบวู้ดดี้กลั้วกับวานิลลา โดยมีกลิ่นรัมลอยอ้อยอี๋เอียงไปวันๆ รอบๆ ซึ่งเหมือนอารมณ์เมาได้ที่แล้วเตรียมหาที่นอนข้างกองไฟ หรือจะฟัดกับใครอิ๊ๆ อ๊ะๆ ต่อริมหาด ก็เข้าทาง คือ ทั้งหมดทั้งมวล เป็นกลิ่นที่อะเมซซิ่งมากกับการบอกเล่าเรื่องราวของโจรสลัดจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ - ชายหนุ่มทุกเพศทุกวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไป กลิ่นนี้ค่อนข้างออกแนวเพลย์บอย เจ้าชู้พอสมควร ใส่เที่ยวกลางคืนหรือปาร์ตี้ริมหาดจะได้อารมณ์ที่สุด หรือจะใส่ไปงานแฟนซีโจรสลัดอะไรก็เหมาะจริงจัง และน้ำหอมตัวนี้ใส่ยามกลางวันได้ ใส่ทำงานก็ได้ แต่อย่าเยอะเดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่ายังไม่สร่างจากเมื่อคืน หรือจะใส่เดินเล่น เที่ยวโน่นนี่ เดินริมหาดก็ดีเลยทีเดียวครับ

ความทน - 6 ชม. ขึ้นไป แล้วแต่ผิวของแต่ละคนที่ใส่ด้วย

การกระจาย - กระจายดีมากในช่วง Top และ Middle กลิ่นให้อารมณ์นัว มันส์ และฟัน ได้ดีเลยทีเดียว มีช่วงเบสที่จะออกแนวเป็นกลิ่นรอบๆ ตัวมากกว่า

ถือเป็นน้ำหอมที่แปลก และไม่เหมือนใครจริงๆ ที่สำคัญใช้ง่ายกว่าที่ีคิด อยากได้อารมณ์โจรสลัด ตัวนี้เหมาะเหม็งสุดๆ ครับ ^^

Review: John Varvatos - Artisan for Men



John Varvatos - Artisan for Men 

ขวดสวยใช่ไหมครับ ผมเห็นขวดครั้งแรก แทบจะซื้อมาใช้แบบไม่ต้องดมกลิ่นเลย เพราะมันแนวด้วยไม้ที่สานหุ้มขวดนี่แหละ มันดูดีจริงๆ แล้วกลิ่นล่ะดูผ่านไหม 

ผ่านครับ บอกเลยว่ากลิ่นค่อยข้างสวนทางกับขวดพอสมควร เพราะรูปทรงขวดนึกว่าจะมาในแนวๆ วู้ดดี้นำ ที่ผลออกมากลายเป็นน้ำหอมโซนสดชื่นที่เด่นที่กลิ่นส้มมากมายเลย โดยเฉพาะช่วง Top ที่เป็นส้มชัดๆ ส้มแบบจ๋าๆ แต่ออกแนวนุ่มๆ ไม่ Citrus จี๊ดขนาดนั้น ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหอมอีก 1 กลิ่นที่เพียงแต่ดมกลิ่น Top จะทำให้เสียเงินซื้อได้ทันที เพราะหอมจริงๆ ในแบบกลิ่นส้มแต่นุ่มๆ แกล้มสดชื่นแบบนี้ และกลิ่นส้มนี่แหละที่มาแจมในช่วง Middle ที่จะมาผสมกับดอกส้ม ลาเวนเดอร์ และมะลิ แต่แอบมีกลิ่นขิงจางๆ ที่ทำให้สดชื่นอยู่อีกด้วย ทำให้กลิ่นจะหอมนวลกำลังดี เย้ายวนเบาๆ ออกแนวแป้งหอมๆ กลิ่นดอกไม้หน่อยๆ และมาช่วงเบสที่คราวนี้ไม่มีส้มแล้วมาเป็นสบู่สะอาดๆ เลย ด้วยความเป็น Musk กลั้ววู้ดดี้ บางวูบถึงกับ เอ๊ะ! นี่มันสบู่นกแก้วก้อนสีเขียวนี่หว่า แต่ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าสบู่นกแก้วก้อนสีเขียวน่ะหอมสะอาดมากจริงๆ นะ แต่ไม่ได้ดู Low แต่ประการใด ออกแนวกำลังดี ซึ่งกลิ่นค่อนข้างติดผิวแนวSkin Scent จนหายไป

เหมาะสำหรับ - จริงๆ รุ่นชื่อว่า For Men แต่ใช้ได้ทั้งหญิงและชายสบายๆ ครับ เพราะกลิ่นส้มและกลิ่นแนวดอกไม้ในช่วงกลางๆ เข้าได้กับทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว เหมาะสำหรับใส่ไปทำงาน เดินเล่น ชิลล์ๆ ออกกำลังกาย อะไรก็ตามที่ทำยามกลางวันได้หมด อย่าได้ใส่ไปกลางคืินเลย กลิ่นจะหายไปหมดเพราะโดนกลิ่นชาวบ้านกลบ ที่สำคัญน้ำหอมตัวนี้เป็นน้ำหอมที่กลิ่นสุภาพใช้ได้เลย และเป็น Safe Scent ที่คนไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆ หรือไม่ได้ใช้น้ำหอมมาก่อนจะสนใจได้ง่ายๆ เพราะความที่มันไม่รบกวนใครนั่นเอง

ความทน - 6 ชม. ไม่เกินนี้ ตามประสาน้ำหอมโซน Citrus ที่ไม่ค่อยจะทนนัก แต่หอมจริง

การกระจาย - กระจายดีแค่ช่วงต้นที่จะปล่อยส้มกระจายได้ดีมาก และจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ จนกลายเป็น Skin Scent

ใครชอบ CK One ตัวนี้จะคล้ายๆ เลยทีเดียวครับ แต่กลิ่นจะออกแนวส้มนุ่มนวลกว่า ซึ่งความทนถ้าเทียบกับ CK One แล้ว ตัวนี้ทำได้ดีกว่าพอสมควรเลย อ้อ และใครชอบสบู่นกแก้วก้อนเขียวในรูปแบบที่ไม่ Low ดูหรูกำลังงาม ตัวนี้ตอบโจทย์เต็มๆ ครับ ^^

Review: Carolina Herrera - 212 Men



Carolina Herrera - 212 Men 

หนึ่งในพระเอกสุดๆ ของแบรนด์ Carolina Herrera ที่เป็นน้ำหอมยอดฮิตมากมาย แตก Flanker ออกเพียบและหลายรุ่นสุดๆ แต่รุ่นออริจินี่สิ เป็นรุ่นที่ไม่ว่าใครๆ ได้กลิ่นก็ติดใจ ไม่อยากจากไปไหน สาวๆ ได้กลิ่นแถมจะเคลิ้มอีกต่างหาก กับ 212 Men ตัวนี้นี่เอง 

แค่กลิ่นเปิดก็เย้ายวนกันสุดๆ ส่วนตัวเป็นกลิ่นเปิดที่ Oh my God มาก เพราะกลิ่นมันดูเขียวโซนสะอาดก็จริง แต่มันหวานติดเครื่องเทศบางๆ ทำให้กลิ่นเย้ายวนกันตั้งแต่แรกเริ่มแบบ "ก็ไม่รู้สินะ" ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นกลิ่น Top ที่เพียงแค่ได้กลิ่นสามารถเสียตังค์ซื้อเจ้าตัวนี้ไปครองได้ทันทีเพราะหอมจริง อะไรจริง ยังไม่พอตามมาต่อด้วยช่วง Middle ที่ Floral Spicy เพราะกลิ่นดอกไวโอเล็ตกับพริกไทยมันผสมผสานเคล้ากันได้นัวมาก เพิ่มความเซ็กซี่แบบสะอาดสะอ้านเข้าไปอีก แถมออกหวานสดชื่นกำลังดีจากขิงอีกด้วย คือ มาครบไม่ต้องให้ทวงในเรื่องความสดชื่นเลย ของเขาเก๋นะนั่น และสุดท้ายได้เวลาเผยโฉมของ Base ที่นุ่มนวล กลิ่นสะอาดสะอ้านแบบ Musk กลั้ววู้ดดี้ผสมกับพวกยางไม้ที่ยังมีกลิ่นอายเซ็กซี่เย้ายวนไม่จาง ออกแนวหอมแบบมีคลาส หรูกำลังดี ให้คนได้กลิ่นเขาฟินกันได้แบบ "ก็ไม่รู้สินะ" ได้เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้จริงๆ ชื่อเป็นของผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็ใช้ได้สบายๆ ครับ เพราะกลิ่นออกโทนหวานนั่นเอง อย่าได้แคร์ เพราะสาวๆ ใส่ผู้ชายก็เคลิ้มได้ แน่นอนว่าใส่ได้ทุกสถานการณ์ ทำงาน เดินเล่น ไปอี๋อ๋อกับกิ้ก ออกกำลังกายก็ยังได้แต่กลิ่นอาจจะตีขึ้นเยอะไปนิดถ้าบึ้ดจ้ำบึ้ดหนักไปหน่อย ที่สำคัญใส่เที่ยวกลางคืน หรือออกงานหรูต่างๆ ได้สบายๆ เลยทีเดียว กลิ่นเขาเก๋

ความทน - 8 ชม. ขึ้นไปครับ จริงๆ กลิ่นทนกว่านั้นมาก อยู่ที่ผิวแต่ละคนด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - ดีมากกกกกกก ทั้ง 3 ช่วง ปล่อยเสน่ห์เซ็กซี่ได้ทุกช่วงตัว มีช่วงเบสที่ลดระดับมาเป็นอยู่ใกล้ๆ หน่อย ออกแนวยั่วเบาๆ ว่า เข้ามาสิจ้ะ แล้วจะได้กลิ่นเต็มๆ มากกว่านี้ คริคริ

ปิดท้ายง่ายๆ ว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง อีกตัวครับ

Review: Bvlgari - au the Vert และ au the Vert Extreme



Bvlgari - au the Vert และ au the Vert Extreme

ตัวที่ 3 และตัวสุดท้ายของ Series "#ชา" ในรูปแบบ Unisex จาก Bvlgari ที่มี 2 แบบให้เลือกสรรกันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นปกติและ Extreme ซึ่งกลิ่นโดยรวมของทั้ง 2 ตัวคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ว่าแตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง เช่นนั้นภาพรวมของ au the Vert คือ "ชาเขียว" นั่นเอง 

อารมณ์โดยรวมของทั้ง 2 ตัว คือ "สีเขียวที่สดใสและสดชื่น" เป็นน้ำหอมชาเขียวที่โดดเด่นมากที่สุดเลยตัวนึงของโลก แน่นอนว่า กลิ่นเปิดขึ้นมาชาเขียวก็มาทักทายกันเลย และอยู่ยาวนานจนกลิ่นหมดไปด้วย เพียงแต่ว่า ชาเขียวจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับชัดเจน คือ

Top - ชาเขียวซิตรัสติดแนว Spicy บางๆ ให้อารมณ์สดชื่นมากมาย
Middle - ชาเขียวฟลอรัล มีกลิ่นมะลิมาเลย ให้อารมณ์หอมนุ่มนวลแต่ก็ยังสดชื่น
Base - ชาเขียววู้ดดี้ ให้อารมณ์สะอาดสะอ้าน หอมเย้ายวนกำลังงาม

แรกเริ่มชาเขียวอาจจะไม่ได้ชัดมากเท่าไหร่ แต่กลิ่นชาเขียวจะเริ่มมา และยกระดับมาเรื่อยๆ จนโผล่มาเต็มๆ ในช่วงเบสที่ทำเอาคนรักชาเขียวจะฟินกันได้เลยทีเดียว เพราะมันชาเขียวหอมได้ใจมากๆ ครับ

ความแตกต่าง 2 รุ่น - รุ่นปกติจะให้อารมณ์เด่นที่ชาเขียวซิตรัส แต่รุ่น Extreme จะเด่นที่ชาเขียวเข้มๆ ติดวู้ดดี้ เป็นหลัก แต่ภาพรวมเหมือนกันแทบไม่มีอะไรแตกต่าง แล้วแต่ความชอบเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ทั้งผู้หญิงและผู้ชายทุกเพศทุกวัย กลิ่นชาเขียวเข้าถึงได้ง่ายมาก และสดชื่นจริงๆ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน และกลางคืนแบบทั่วๆ ไป แต่ไม่เหมาะกับใส่ไปเที่ยวผับอะไรเทือกนั้นเท่าไหร่ ที่สำคัญใส่แล้วดูสดชื่นไม่พอ ยังดูหรู และเย้ายวนตามสไตล์น้ำหอมของ Bvlgari เสียด้วย

ความทน - รุ่นปกติก็ประมาณ 6 ชั่วโมงขึ้นไป แต่รุ่น Extreme จะเกิน 8 ชม. ขึ้นไป เพราะความเข้มข้นของหัวน้ำหอมมีมากกว่าเยอะเลย

การกระจาย - กระจายดีมากกกกกกกก ทั้ง 2 ตัว

ส่วนตัวผมรักรุ่น Extreme มากกว่าตัวปกติ เพราะกลิ่นจะออกแมนๆ กว่าครับ แต่รุ่นปกติจะออกแนวเหมาะกับสาวๆ มากกว่า เพราะกลิ่นโทน Floral ชัดต่อเนื่องจากฝั่ง Citrus เลย โดยสรุป

ปิดท้าย Series - อยู่ที่ความชอบเน้นๆ เลยครับ ว่าชอบแนวไหน หรือจะสอย 3 แนวเลยก็ยังได้ กับ
au the Rogue - สีแดงเต็มแน่นและหรูหรา
au the Blanc - สีขาวสะอาดและนุ่มนวลชวนฝัน
au the Vert - สีเขียวสดใสและสดชื่น

Review: Bvlgari - au the Blanc



Bvlgari - au the Blanc 

มาถึงตัวที่ 2 ของ Series "#ชา" ของ Bvlgari ซึ่งแน่นอนจากชาแดงมาสู่ "ชาขาว" ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหอม Unisex ที่ทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะ

น้ำหอมตัวนี้จะบอกอารมณ์ของความเบาบาง สดใสกำลังดี เรียบร้อย ผู้ดี เซ็กซี่เบาๆ และตรงตาม Concept คือ สีขาว เป็นน้ำหอมที่เข้าถึงได้ง่ายมากในด้านของกลิ่นที่สดชื่นและนุ่มจมูกไปในคราวเดียวกัน เปิดกันซึ่งๆ ด้วยกลิ่นแนวๆ ชาขาวกลั้ว Citrus กลิ่นจะกระจายดีมาก บอกความรู้สึกที่สดชื่นกำลังดี และจะตามมาด้วยกลิ่นแนวๆ ชาขาว Spicy อ่อนๆ สุภาพมาก กลิ่นเรียบร้อยก็จริงแต่แฝงไปด้วยความสดชื่นแบบอากาศสะอาดๆ ที่มีกลิ่นชาขาวเบาบางรอบๆ ตัวลอยมาให้ได้กลิ่นเป็นระยะ และจะปิดท้ายติดตัวยาวนานไปตลอดวัยด้วยกลิ่นชาขาวบางๆ กลั้วกับ Musk สะอาดๆ มีกลิ่นอายอบอุ่นที่หรูหรา เย้ายวนแบาๆ มากเลยทีเดียว ถ้า au the Rogue สื่อถึงความเป็นสีแดงเต็มแน่นและหรูหรา au the Blanc จะสื่อถึง "สีขาวสะอาดและนุ่มนวลชวนฝัน" นั่นเองครับ

เหมาะสำหรับ - ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ชอบน้ำหอมแนว Safe Scent สุภาพ กลิ่นไม่ทำร้ายคนอื่นและตัวเอง ใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืน ยกเว้นไปเที่ยวผับ กินเหล้าเพราะกลิ่นมันสุภาพเกินไป เดี๋ยวเสียลุคหมด 5555 และที่สำคัญน้ำหอมกลิ่นนี้ถ้าใส่ไปพบปะผู้คนหรือสัมภาษณ์งานกลิ่นจะนุ่มนวลชวนวางใจได้ดีเลยทีเดียวครับ (ลองมากับตัวแล้ววววว)

ความทน - 6 ชม. กำลังดีครับ อาจจะได้มากกว่าแต่ไม่เกิน 8 ชม. เพราะน้ำหอมกลิ่นค่อนข้างเบ

การกระจาย - กระจายดีช่วง Top ที่เหลือจะลดระดับมากระจายแบบเบาๆ ช่วง Middle จนกระจายแบบบางๆ ในช่วงเบส และหายจากผิวไปในที่สุด

ทิ้งท้าย - เป็นน้ำหอมที่สุภาพมากจริงๆ ครับ แอบติดหรู ดูผู้ดี และไม่รบกวนคนที่เกลียดน้ำหอมแต่ประการใดจริงๆ ^^

Review: Bvlgari - au the Rogue



Bvlgari - au the Rogue 

ขอเข้าสู่ Series น้ำหอมกลิ่น "#ชา" จากแบรนด์ชื่อดังอย่าง Bvlgari ที่คนใช้น้ำหอมรู้จักกันเป็นอย่างดี แถมเป็น Unisex ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศเสียด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตัว ก็ขอมาเริ่มกันที่ตัวแรกเลยคือ "au the Rogue - ชาแดง" เลยครับ 

au the Rogue มาพร้อมกับกลิ่นเมนหลักคือ "ชาแดง" ซึ่งกลิ่นชัดมากครับ เป็น 1 ใน 3 ตัวของ ที่กลิ่นชาโดดเด่นที่สุดเลยทีเดียว แม้ว่ากลิ่นต้นจะเริ่มที่กลิ่นแนวๆ Citrus สดชื่นก็จริงแต่กลิ่นค่อนข้างนุ่ม และมีโทน Spicy หวานเบาๆ ที่อาจจะออกไปทางผู้หญิงหน่อยๆ แต่ไม่มาก กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมาก และส่งต่อไปยังพระเอกที่อยู่ยาวไปจนถึงเบสอย่าง "ชาแดง" กลั้วกับมะเดื่อที่ทำให้ทั้งหรูหรา สดเชื่น เย้ายวน นุ่มนวล มีคลาสมากมายเลยจริงๆ กลิ่นจะตีขึ้นดีตลอดเวลาเลย ยิ่งพอมาช่วงเบสที่ชาแดงยังอยู่ก็จะเริ่มมากลั้วกับกลิ่นถั่วจนทำให้กลายเป็นคล้ายๆ กลิ่นชาแดงมะพร้าว ออกแนวแป้งๆ และสะอาดๆ หอมกระจายได้มากมายโดยที่ไม่ทำให้เกิดอาการฉุนแต่ประการใด คงคอนเซปท์น้ำหอมเข้าถึงง่าย แต่เรียบหรู ดูมีระดับจริงๆ ยกนิ้วให้เลย

เหมาะสำหรับ - ทั้งหญิงและชายครับ กลิ่นออกแนวกลางๆ ใช้ได้ทุกเพศ แต่กลิ่นจะค่อนข้างหรูหน่อย เพราะโทนของชาแดงจะออกหอมเข้มพอประมาณอยู่แล้ว จึงค่อนข้างเหมาะกับสถานการณ์ยามกลางวัน ทำงาน เดินเล่นหรูหน่อยๆ ไรงี้ แต่ไม่ค่อยแนะนำให้ใส่ไปออกกำลังกายเท่าไหร่ครับ หรูไปนิดและกลิ่นจะกระจายดีเกินไปคนอื่นอาจจะเขม่นได้ แบบที่ผมเคยโดน 55555

ความทน - 6 ชม. ขึ้นไปสบายๆ อาจจะถึง 10 ชม. ก็ได้ถ้าเข้ากับผิวคนใส่

การกระจาย - กระจายดีมากตั้งแต่ต้นยันจบ แม้ช่วงเบสจะออกแนวลดลงมาในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังกระจายดีครับ

ป.ล. au the Rogue ค่อนข้างหายากแล้วในปัจจุบันนะครับ ถ้าใครสนใจรีบสอยจะดีมากเลย

Review: Hugo Boss - Orange for Men



Hugo Boss - Orange for Men

รู้สึกว่าเอลฟ์มาเป็นพรีเซนเตอร์ เช่นนั้นใช้กลิ่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะออกแนวพ่อเอลฟ์หล่อแต่จะออกแนวหนุ่มเท่ห์ ไม่เหมือนใครแบบ Orlando Bloom มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ซึ่งแค่รูปใน Ad ก็บอกถึงความเป็นน้ำหอมได้ชัดเลยทีเดียวครับ เพราะ 

ถึงแม้จะชื่อว่า Orange ก็จริง แต่กลิ่นส้มนี่แทบจะโผล่มาน้อยมาก โดยรวมแล้วน้ำหอมตัวนี้สื่ออารมณ์ถึงสีส้มมากกว่า เพราะเปิดตัวกันด้วยกลิ่นของ Apple ผสมกับเมล็ดผักชี ที่กลิ่นจะออกแนวสดชื่นกลั้วความ Spicy โดยจะมีกลิ่นส้มจางๆ รองพื้นอยู่ด้านหลัง กลิ่นต้นแบบนี้หลายคนที่ได้กลิ่นอาจจะเหวอๆ พอสมควรเพราะกลิ่นของแอปเปิ้ลกับเมล็ดผักชีค่อนข้างออกแนว Contrast กัน จะแปร่งๆ นิดนึงถ้าคนไม่ชินอาจจะรู้สึกว่ากลิ่นมันแปลก แต่ก็จะเนียนเป็นเนื้อเดียวกันเพราะส้มบางๆ ตามด้วยกลิ่นยางไม้และพริกไทยในช่วงกลางๆ ที่ให้ความรู้สึกเท่ห์ หวาน และลึกลับในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งวานิิลลาและกลิ่นแนวๆ วู้ดดี้เริ่มทยอยตบแถวเข้ามาปล่อยของจึงกลายเป็นน้ำหอมเชิงอบอุ่น มาดแมน ทันสมัย และเป็นผู้ชายมาดเท่ห์ ดูมีอะไรน่าค้นหาไม่หยอกขึ้นมาทันที ซึ่งอารมณ์ที่บอกถึงความร้อนแรงแต่นุ่มนวลแบบสีส้มยังปรากฎเด่นชัดตลอดไม่หลุดเลย ไม่แปลกใจที่ชื่อว่า Orange

เหมาะสำหรับ - ชายหนุ่มโดยทั่วๆ ไป ที่ต้องการน้ำหอมที่กลิ่นอายทันสมัย ดูเท่ห์ และมาดแมนไม่เหมือนใคร สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว

ความทน - 8 - 10 ชม. ซึ่งตรงตามมาตรฐานของ Hugo Boss เลยที่น้ำหอมส่วนใหญ่จะทนทานมากๆ

การกระจาย - กลิ่นชัดมากกกกก กระจายดีมาก ตีขึ้นตลอดวันเลยทีเดียว

ค่อนข้างเป็นน้ำหอมที่ทันสมัยก็จริง แต่เป็นตัวที่ถ้าลองก่อนจะดีที่สุด เพราะน้ำหอมตัวนี้เลือกคนใส่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวครับ ^^

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Review: Jean Paul Gaultier - Le Male



Jean Paul Gaultier - Le Male 

หนึ่งในน้ำหอมที่ขึ้นชื่อสุดๆ ในเรื่องของความเทพ ไม่ว่าจะชายแท้ ที่ใส่แล้วจะมีภาพลักษณ์แบบป๋าพร้อมเปย์แกล้มอบอุ่น หรือเกย์ที่ถึงขั้นยกให้ตัวนี้เป็นน้ำหอมของหมู่เหล่าที่ใส่แล้วรับรองความเป็นเกย์ที่มีรสนิยมพร้อมรบ All Night Long กันเลยทีเดียว 

ขึ้นชื่อว่า Le Male สำหรับคนที่เล่นน้ำหอม รวมถึงเหล่าคนที่ใช้น้ำหอมต่างๆ ย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกันอยู่แล้วว่า กลิ่นนั้นให้อารมณ์เย้ายวนทุกสโตรก แถมเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างได้เกินหน้าเกินตาอย่างมาก มีเพียงช่วง Top ที่หลายๆ คนมักจะตกใจและผงะกันไปเลยทีเดียว เพราะฉุนเหลือแสน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นมินท์ เม็ดผัดชี มะกรูด และอาร์ทิมิเซีย (ชื่อไทย: โกฐจุฬาลัมพา) ประโคมกันสุดๆ แบบไม่มีใครยอมใครและกลิ่นออกทางสังเคราะห์ชัดเจน เลยทำให้คนใส่ถ้าไม่ชินอาจจะตายเอาได้ เพราะมันช่างฉุนเหลือเกิน แต่พอรอไปครบ 10 - 15 นาที ได้เวลาเซ็กซี่ ร้อนแรง ฮอตฉ่า เย้ายวน กับกลิ่นลาเวนเดอร์ อบเชย ยี่หร่า และดอกส้ม ผสมผสานกันปล่อยของไม่มีให้หยุด แกล้มด้วยกลิ่นวานิิลลาที่ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาซึ่งกลิ่นจะเรียกร้องความสนใจได้แบบว่าอาจจะฆ่าน้ำหอมทุกกลิ่นที่คนอื่นๆ รอบข้างใส่มาได้กันเลย จนมาถึงช่วงเบสที่วานิลลายังจัดหนักควบคู่กับกลิ่นแนวๆ วู้ดดี้ที่ให้อารมณ์หอมกระจายแบบนุ่มนวล อบอุ่น ชวนซบ กลิ่นยังจัดหนักตีขึ้นกระจายดี เพียงแต่เป็นเซ็กซี่แบบมีชั้นเชิงมากกว่าจะชวนกันโต้งๆ แทน ผลิตมาตั้งแต่ปี 1995 ยังโดดเด่นอย่างไง ก็ยังเป็นเช่นนั้น ยังคงคลาสสิคมากมายไม่มีตกยุค เสียด้วย แถมยังเจาะตลาดผู้ชายทุกเพศกันแบบเต็มเหนี่ยวจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป เพราะน้ำหอมตัวนี้อยู่ที่ภาพลักษณ์และมาดของคนใส่ด้วยที่จะเอื้อให้กลิ่นไปในทิศทางตามที่คนๆ นั้นจะสื่อ เช่น
  • ถ้าเป็นผู้ใหญ่มีอายุแต่งตัวสุภาพ จะให้อารมณ์ผู้ใหญ่อบอุ่น น่าเข้าใกล้ แต่ถ้าแต่งตัวจัดเต็ม รัดติ้ว ตาวาวโรจน์ ทารองพื้น กลิ่นนี้ อาจจะทำให้คนขนานนามได้ว่า "เกย์/กระเทยแก่" ที่จะเปย์เด็กหรือไม่อันนี้ตัวใครตัวมัน 
  • ถ้าเป็นหนุ่มๆ ใส่ชุดทำงานปกติ ใส่แบบไม่เยอะ กลิ่นจะอบอุ่น เย้ายวนกำลังงาม ชวนเคลิ้มกำลังดี แต่ถ้าแต่งตัวแบบรัดติ้ว แอบปัดแก้ม ใส่รองพื้น ป้ายคอนซีลเลอร์บางๆ กลิ่นนี้จะเกย์สุดช่วงตัวตามอิมเมจเลย 
และ Le Male สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเที่ยวกลางคืนและไปอี๋อ๋อกับแฟน แต่ไม่ควรใส่ไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกลางแจ้ง กลิ่นมันจะกระจายและหนักข้อจนอาจจะเวียนหัวได้ครับ

ความทน - มากกกกกกเกิน 10 ชม. ขึ้นไป สบายๆ ครับ

การกระจาย - ดีมากกกกกกกกกกกทุกช่วงของน้ำหอม เรียกเรตติ้งได้ดีสุดๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะทั้งชวนอีกฝ่ายเคลิ้ม ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น สบายใจ หรือทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศต้องการไปเจรจาธุรกิจ 2 ต่อสอง อิเคะๆ อิตัยๆ ได้ทั้งนั้นครับ

ทิ้งท้าย - แม้ว่ากลิ่นนี้จะออกแนวที่คนหลายๆ คนมักได้กลิ่นแล้วจะบอกว่า "กลิ่นเกย์" ซึ่งก็นะ เป็นความเข้าใจของแต่ละบุคคล แต่จริงๆ แล้วกลิ่นนี้ถ้าใส่ดีๆ พอเหมาะจะเป็นน้ำหอมที่ทำให้เราดูอบอุ่นขึ้นได้มากมายเลยทีเดียวครับ ส่วนเรื่องคนใส่เป็นเกย์หรือไม่ อันนี้ตัวใครตัวเผือกอีกทีนะครับ ผมไม่เกี่ยว 55555555

Review: Adolfo Dominguez - Agua Fresca



Adolfo Dominguez - Agua Fresca 

หนึ่งในน้ำหอมยอดนิยมมากๆ ของสเปนที่ขายดีมากเลยทีเดียว ผู้ชายสเปนส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำหอมมักจะปลื้มตัวนี้กัน เพราะความเป็นธรรมชาติและสะอาดสุดๆ รวมถึงเป็นหนึ่งในน้ำหอมจำพวก#ของดีเทคนิคไม่ต้อง นั่นเอง 

Agua Fresca ถ้าดูจากในรูปที่ขวดน้ำหอมจะมีรูปแนวๆ ต้นไม้ ทุ่งหญ้า และลำธารอยู่ ซึ่งน้ำหอมตัวนี้ตอบโจทย์ทุกประการตามภาพเลยทีเดียว เพราะจะให้อารมณ์เดินเล่นอยู่ในทุ่งหญ้า และต้นไม้ที่ร่มรื่น เดินเลาะไปทำลำธารใสไหลเย็น ท่ามกลางหมอกจางๆ ในยามเช้า กลิ่นทั้งหมดเริ่มบอกกันตั้งแต่ช่วง Top ที่แสนจะสดชื่นมากมายก่ายกองไปกับกลิ่นแนว Citrus Green และ Aquatic ที่ให้อารมณ์ของสายหมอกยามเช้าและอากาศที่สดชื่น ตามด้วยช่วง Middle ที่จะออกแนวพืชพันธุ์สมุนไพรต่างๆ ดอกไม้หอมอ่อนๆ เขียวๆ แบบเดินเล่นกลางทุ่งหญ้าแซมด้วยดอกไม้ ตามด้วยช่วงเบสที่บอกอารมณ์ของความสะอาด กลิ่นอายของต้นไม้ และไอดินจางๆ สายลมเย็นๆ และไอน้ำสดชื่นแอบจางๆ ที่หอมมากมายแบบธรรมชาติจริงๆ สมกับชื่อรุ่นของน้ำหอมที่มีความหมายว่า "น้ำที่แสนสดชื่น" นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ชายหนุ่มทุกเพศทุกวัย สามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นเข้าถึงได้ง่าย ถูกใจมหาชนคนได้กลิ่น ใส่ได้ทุกช่วงเวลาในยามกลางวัน ตั้งแต่เสื้อกล้าม+ผ้าขาวม้า ยันสูทเต็มยศออกงานหรูหรา ที่สำคัญเหมาะกับอากาศบ้านเราสุดๆ คุณผู้หญิงก็ใส่ได้ครับ เพราะกลิ่นนี้จะให้อารมณ์แนวๆ สปอร์ตสำหรับผู้หญิงได้ดีเลยทีเดียว

ความทน - 6 ถึง 8 ชม. สบายๆ

การกระจาย - ดีมากในช่วง Top และุ Middle ให้อารมณ์สดชื่นรอบตัวตลอดเวลา แต่ช่วงเบส จะเป็นกลิ่นที่ติดผิวเสียส่วนใหญ่ แต่มีตีขึ้นให้คนใส่ได้กลิ่นหอมสะอาดบ้างยามร่างกายทำความร้อนหรือขยับตัว

เป็นหนึ่งในลูกรักของผมเลยทีเดียว เพราะกลิ่นมีชีวิตชีวามาก ทนเกินที่คาดไว้ รวมถึงมีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นก็จริง แต่ก็ไม่หลุด Concept ของความเป็น "น้ำที่แสนสดชื่น" เลยล่ะครับ 

Review: Giorgio Beverly Hills - Giorgio for Men



Giorgio Beverly Hills - Giorgio for Men 

ถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ผลิตตั้งแต่มี 1984 จนปัจจุบันก็ยังผลิตอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ไม่ได้มีเคาน์เตอร์ในไทย แต่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเลยทีเดียวในต่างประเทศเพราะความคลาสสิคนั่นเอง

Giorgio for Men บ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษมากๆ กับเนื้อกลิ่น เพราะส่วนผสมของน้ำหอมตัวนี้เยอะมากกกกกก และซับซ้อนมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเปิดที่มาหมดแทบจะทั้งสวนผลไม้กับความเป็น Citrus Fruity กลั้วความเขียวๆ ในเนื้อกลิ่นซึ่งแน่นอนว่า เป็นกลิ่นเปิดที่แรงมากเลยทีเดียว ถ้าคนไม่ชอบมีแนวโน้มผงะเอาได้ เพราะของเขาแรงจริงๆ และความแรงที่กระจายดีนี่แหละส่งต่อมาช่วง Middle ที่กลิ่นกระจายได้ใจสุดๆ แต่ไม่รุนแรงขนาดช่วงแรกแล้วเพราะกลิ่นพิมเสนกลั้ววู้ดดี้แจมด้วยกลิ่นกุหลาบมันทำให้เกิดความรู้สึกที่นุ่มนวลมากขึ้น ไม่กระแทกจมูกแล้ว ซึ่งพิมเสนและกุหลาบนี่แหละที่พอผสมกันแล้วเป็นกลิ่นที่มาดแมนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นหนุ่มใส่ทักซิโด้ผมใส่น้ำมันเรียบแปล้ ถือช่อดอกกุหลาบมอบให้สาว แล้วพาไปเต้นรำแบบย้อนยุคมากเลยทีเดียว และพอมาถึงในช่วงของเบส นี่แหละกลิ่นของสุภาพบุรุษที่อบอุ่น หวาน นุ่มละมุน ด้วยกลิ่นน้ำผึ้งเด่นออกมาเลย ผสานไปกับวานิิลลาและแอมเบอร์ และมีการเพิ่มความแมนของกลิ่นด้วยมอส ซึ่งใช่เลยกลิ่นออกมาคลาสสิคมาก แต่ถ้ามองในอีกแง่กลิ่นค่อนข้างแก่และดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยทีเดียว ก็น้ำหอมผลิตมาตั้งแต่ปี 1984 มันเป็นเรื่องปกติมากเลยที่กลิ่นจะออกแนวสุภาพบุรุษสมัยก่อนที่ยังคงความคลาสสิค ที่ถ้าเป็นวัยรุ่นปัจจุบันคงจะเบือนหน้าหนีกลิ่นแนวนี้เป็นแน่แท้

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายอายุ 30 ขึ้นไป ยิ่งอายุ 50 อัพ ใส่แล้วจะยิ่งดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีมากๆ จริงๆ จะอายุน้อยกว่า 30 ก็ใส่ได้ครับ ถ้าหลงใหลในกลิ่นน้ำผึ้งและชอบความคลาสสิคในเนื้อกลิ่นซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งใส่ทำงานจะยิ่งทำให้มีออร่าของการเป็นผู้ใหญ่และน่าเชื่อถือมากเลยทีเดียว

ความทน - โคตรรรรรรรรจะทนเลย เคยลองตั้งแต่ 6 โมงเช้า ทำงานทั้งวัน ออกกำลังกายตอนเย็น มานั่งเล่นให้เหงื่อแห้งจนเพลิน อาบน้ำตอนเที่ยงคืนกว่าๆ กลิ่นยังตีขึ้นไม่หยุด เรียกได้ว่าเกิน 12 ชม. เป็นต้นไปจนถึง 18 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย - ดีมหาศาลมากกกกกก ยิ่งช่วงต้นอบอวลกันเลยทีเดียว พลางจะทำให้ฉุนได้ แต่ที่เหลือกระจายดีมหาศาลเช่นเคยแต่ออกแมนๆ เย็นๆ สดชื่น และนุ่มๆ จนไปถึงช่วงเบส ไม่ควรฉีดเยอะไม่งั้นจะฆ่าตายทั้งตัวคนฉีดและคนได้กลิ่นอื่นๆ เอาได้ครับ

เป็นน้ำหอมที่ถูกและราคาไม่แพง แต่คุณภาพสุดยอดและคลาสสิคจริงๆ ขอยืนยันครับ

Review: Tonino Lamborghini - Mitico



Tonino Lamborghini - Mitico 

Lamborghini เป็นยี่ห้อรถสุดเท่ห์ก็จริง แต่ก็มาจับธุรกิจด้านแฟชั่นไม่ใช่น้อยนะครับ ดูอย่างที่ Paragon ได้เลยมี Shop ของเสื้อผ้าพร้อม แม้คุณจะไม่มีรถยี่ห้อนี้ขับ เพราะไม่มีตังค์ซื้อและตังค์เติมน้ำมันก็ตาม (เพราะมันสูบน้ำมันสะใจขาดดิ้นจริงๆ) คุณก็สามารถใส่เสื้อผ้า และฉีดน้ำหอมที่บอกความเป็นลัมโบได้ แน่นอนว่า Mitico เป็นหนึ่งในน้ำหอมของ Lamborghini ที่ทำออกมาสนับสนุนคนใช้รถยี่ห้อนี้ รวมถึงคนอื่นๆ ที่อยากดูดีแบบคนขับรถยี่ห้อนี้ ที่แม้ว่าหน้าเหียก แต่พอขับลัมโบ จะดูหล่อปานเทพบุตรมากๆ ขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไม เอ๊ะ! รู้สึกเริ่มใช้อารมณ์กับการเขียน เข้าเรื่องดีกว่า 5555

Mitico มาพร้อมกับกลิ่นที่ออกแนวทันสมัย มั่นใจ และมาดเท่ห์เลยทีเดียว เข้ากับคอนเซปท์ของลัมโบชัดเจน ซึ่งกลิ่นต้นเปิดตัวกันด้วยเปปเปอร์มินท์และส้ม ซึ่งบอกกงๆ เลยว่า นี่มัย Le Male ของ Jean Paul Gautier ชัดๆ กันเลยทีเดียว เพราะกลิ่นเปิดแทบจะถอดกันมาเดะๆ เพียงแต่ไม่ได้ออก Spicy มา่กขนาด Le Male กลิ่นบางกว่าไม่เสียดจมูกเกินไป และความ Spicy นี่แหละ จะเริ่มๆ เปิดเผยออกมากำลังดี พร้อมกับกลิ่นแนวๆ วานิลลาแบบไลท์ ที่ไม่หนักหน่วงเท่ากับ Le Male พูดง่ายๆ ทั้ง 2 ช่วง คือ Le Male แบบที่ไม่หนักหน่วงชวนเป็นป๋าพร้อมเปย์ แต่กลับให้อารมณ์เท่ห์กำลังดี ดูมีเงินและรวย ยิ่งมาช่วงเบสที่วานิลลาจะหายไปหมดแล้วจะกลายเป็นกลิ่นสะอาดๆ ทันสมัยนุ่มๆ ไปตลอดแทน ถือว่ากลิ่นค่อนข้างทำออกมาดูครบเครื่องและดีสมกับการใส่ไปขับลัมโบเล่น (คนไม่มีก็มโนแบบผมไปก่อนนะครับ) 55555

เหมาะสำหรับ - ชายหนุ่มตั้งแต่สัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นใช้ง่ายกว่าที่คิด แม้ว่าพอฉีดไปแล้วอาจจะไม่ได้บอกชัดว่า ใส่น้ำหอมลัมโบมานะ แต่ถือว่าให้อารมณ์ทันสมัย มั่นใจ และเท่ห์ไม่หยอก จะใส่ไปเรียน ไปทำงาน ไปเดินเล่น ไปขับรถเล่น นั่งรถเมล์ หรือเล่นรถโมเดลลัมโบอยู่กับบ้าน รวมถึงไปเที่ยวกลางคืินได้หมดไม่มีปัญหาใดๆ แต่สำคัญจะใส่น้ำหอมตัวนี้กับเสื้อโปโลของลัมโบ เออ ดูรวยขึ้นมาได้ทันทีนะครับขอบอกกกกก

ความทน - 6 ชม. ขึ้นไป ซึ่งจะค่อยๆ เป็นกลิ่นติดผิวแล้วหายไปในที่สุด

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางไม่มากไม่มายครับ เน้นมายืนใกล้ๆ จะได้กลิ่นของหนุ่มลัมโบมากกว่า ถือว่าค่อนข้าง Safe และให้ความมั่นใจพอสมควรว่ากลิ่นจะไม่ไปทำให้ใครต้องยี้ หรือ "พี่ขารับหนูไปนั่งข้างๆ ลัมโบของพี่ได้ไหมค่ะ" แน่นอนครับ

Review: Givenchy - Play Intense



Givenchy - Play Intense 

ได้เวลาของการเป็นหนุ่มเมโทรกันก็คราวนี้ เพราะแค่โฆษณาก็บอกชัดเจนแล้วว่า น้ำหอมตัวนี้มากับความเท่ห์ในแบบที่ทำให้คุณดูดีได้แบบ Presenter ^^

จริงๆ ขวดทรง MP3 Player นั้นเรียกได้ว่าเข้าทางกับ Presenter อย่างบักหยอยมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นจริงๆ ไม่ได้สื่อถึงดนตรีแต่ประการใดเลย เพราะกลิ่นต้นแม้จะออกแนวสดชื่นแบบ Citrus แต่อยู่ไม่ถึง 2 นาที กลิ่นที่ทะลุพุ่งพรวดขึ้นมาดันเป็นกาแฟที่เด่นมากมาย ให้อารมณ์กาแฟดำแบบอเมริกาโน่ แม้จะมีกลิ่นอายความหวาน Spicy หน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพูก็เถอะ แต่กาแฟนั้นอบอวลจริงจัง หอมแบบเข้มเท่ห์มากมาย และกลิ่นกาแฟนี่แหละที่ยาวนานไปจนช่วงเบสที่จะผสานไปด้วยกลิ่นของหญ้าแฝก พิมเสน ตองก้าบีน ที่ให้อารมณ์เข้มได้อยู่ แต่ชิลล์ๆ เย็นบางๆ นุ่มๆ น่าค้นหา น่าเข้าฟัด หอมกระจายมากมาย สร้างความแมนได้ชัดเจน และความเป็นหนุ่เมโทรแต่งตัวดี มาดดี กลิ่นเร้าใจชวนให้เพ้อ ถือว่าเป็นการยกระดับตัวดั้งเดิมอย่าง Play ปกติที่เน้นกาแฟ Citrus มาเป็นกาแฟเข้มและเร้าใจ แถมมีระดับอย่างมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - หนุ่มๆ ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปยันแก่เฒ่า ใส่ได้ทุกสถานการณ์ แม้ว่าจริงๆ ตัวนี้จะเหมาะกับการไปอี๋อ๋อกับคนรักหรือเที่ยวกลางคืนมากหน่อยก็ตาม เพราะโทนกาแฟกลิ่นมันทำให้เกิดความสดชื่นและตื่นตัวได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าใส่มากไปในยามกลางวันที่อากาศร้อนๆ เป็นพอ เพราะคุณอาจจะเป็นอเมริกาโน่เดินได้มากกว่าจะหอมชวนให้หลงใหลนะคร้าบ

ความทน - เกิน 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ กลิ่นติดทนมากจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายได้ดีมากในทุกๆ ช่วงเลยทีเดียว เป็นอีกตัวของ Givenchy ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีในกับสภาพอากาศบ้านเรามากมาย