วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

Review: Cacharel - Noa

Cacharel - Noa

จากที่ห่างหายน้ำหอมของ Cacharel มาอย่างยาวนาน ที่เคยใช้ก็มีเพียงขวดรูปตัว Y อย่าง Nemo เพราะเป็นน้ำหอมชายที่มีความซับซ้อนและมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก เพียงแค่นั้นก็ไม่ได้ไปต่อกับแบรนด์นี้อีกเลยเพราะน้ำหอมส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมมักจะเป็นน้ำหอมผู้หญิง ทั้งฝั่งสาย Classic กับโซนยุค 2000 ขึ้นไปที่มีความ Modern เป็ํนเน้นดมเพื่อเรียนรู้กลิ่นมากกว่าจะเจาะลึก

แต่พอเริ่มผ่านประสบการณ์ทางกลิ่นมามากขึ้น เลยเริ่มหันมาสนใจกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นี้อยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งมีอยู่ 1 กลิ่นที่เรียกว่าอยู่กึ่ีงกลางระหว่างสาย Classic กับกลิ่นอายสาย Modern ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจนเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Timeless Scent อีกหนึ่งกลิ่นเลยก็ว่าได้ของแบรนด์นี้ และที่สำคัญเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายและเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เสียด้วย เช่นนั้นจึงมาขอเรียนรู้กลิ่นและลงลึกซักหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาในรูปแบบใดกับ Noa

Floral เปิดตัวมาเลย แต่เป็นกลิ่นแนวดอกไม้ใสๆ ที่มีความหวานหอมลูกผสมระหว่างดอกไม้ขาวที่ให้โทนหวานใสแกม Spicy จางๆ ซึ่งน่าจะมาจาก Freesia กับกลิ่นแนวหวานดอกโบตั๋นแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกชมพูในกลิ่นจ๋าเกินไป เสริมด้วยความนวลละมุนแต่ไม่ข้นคลั่กเกินไปของ White Musk ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นโทนแป้งกึ่ง Musk มินิมัลประมาณนั้นเลย และไม่พอยังได้ความรู้สึกติดเขียวๆ แบบใบไม้เบาๆ เลยทำให้กลิ่นในภาพรวม คือ Floral Musk ที่มีความหวานใสสู่นวลละมุนขาวอมชมพู ติดสดชื่นเขียวอ่อนๆ ไม่หวือหวา แต่มีเสน่ห์แบบที่ใครดมก็ชอบและไม่ยี้ได้เลยตั้งแต่ต้นกลิ่น

ซึ่งเมื่อช่วงต้นปูทางให้แล้ว ก็จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางที่แน่นอนว่า White Musk และโบตั๋นยังคงยืนพื้นเหมือนเป็นเวทีที่แข็งแรงในการชูโรงให้สายดอกไม้และความเขียวเป็นผู้โลดแล่นอยู่ด้านบน ซึ่งคราวนี้ความเป็นดอกไม้ขาวใสๆ จะชัดขึ้นมาก และมีความติด Spicy หน่อยๆ ซึ่งจับได้เต็มๆ เลยคือ ลิลลี่ ที่ให้ความปร่าหวาน Spicy แกม Waxy หน่อยๆ และมีดอกกระดิ่งหรือ lily-of-the-valley ที่มาให้ความเป็นโทนกึ่งมะลิแกมเขียวใส และแน่นอนว่ามีมะลิอยู่ด้วย ที่สำคัญมีความเขียวใบไม้ใบหญ้าชัดมากขึ้น ทำให้กลิ่นมีมิติทั้งกลิ่นหวานดอกไม้ใสๆ กลิ่นเขียวสดชื่นบางๆ คลอๆ ไปสู่กลิ่นแป้งละมุนที่มีความหอมหวานสบายๆ แกมนวลที่ชัดเจนมาก แต่ยังมีอะไรซักอย่างที่เป็นฉากหลังนอกเหนือจากแป้งกับ Musk อยู่แต่ยังจับไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นกลิ่นขมเบาๆ ที่มีเสน่ห์ เลยต้องตามกลิ่นกันต่อ 

ความต่อเนื่องของกลิ่นยังคงส่งต่อมาถึงช่วงท้ายที่ตอนนี้จะมีความเซอร์ไพร์สขึ้นมาเพราะตอนนี้จะจับกลิ่นได้แล้วว่าอะไรที่ให้ความขมหอมเบาๆ มีเสน่ห์ นั่นคือ กาแฟ ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายกาแฟนมต่างๆ เลยแต่จะให้ความเป็นกาแฟบางๆ เคล้ากับ White Musk ที่ยังคงอยู่แต่กลิ่นลดทอความนวลลงไปเยอะมากแล้ว แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาชัดมากขึ้นคือกลิ่นแป้งหอมติดวานิลลาอ่อนๆ ที่มีกลิ่นไม้หอมนวลๆ เบาๆ ของจันทน์หอมและน่าจะมีกลิ่นปร่าๆ ของซีดาร์รวมอยู่ด้วย ที่เป็นตัวเดินกลิ่นที่เคล้าคลอด้วยกลิ่นกาแฟาบางๆ ประปราย แน่นอนว่ายังมีกลิ่นหวานดอกไม้ตามมาอยู่ก็จริง แต่ก็จะเนียนเป็นเนื้อกลิ่นกันกับกลิ่นแป้งเรียบร้อยแล้ว ปิดท้ายผสมผสานกันเป็นกลิ่นแป้งหอมนวลแกมไม้หอมกึ่งโปร่ง Airy ที่มีกลิ่นกาแฟซ่อนอยู่อย่างเนียนๆ ได้อย่างลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ญิงทุกเพศ ได้ตั้งแต่เรียน ม.ต้น เลยก็ยังได้ เพราะกลิ่นมีความใสๆ แกมแป้งที่เข้าทางการเป็นกลิ่นที่คุณหนูก็ได้ หรือจะดูเป็นกลิ่นหอมแกมแป้งหวานโปร่งที่ให้ความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน หรือจะให้ความเป็นกลิ่นสบายๆ ที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่ยังไงก็รอดแบบน้อยแต่มากก็ได้ และเอาจริงๆ ผู้ชายก็ใช้ได้ เพราะเนื้อกลิ่นหวานหอมจะมาช่วงต้นๆ ก็จริง แต่พอกลิ่นเบาลงก็จะได้ความ Unisex จากกาแฟและโทนแป้งแกม Musk เบาๆ ได้เช่นกัน ซึ่งจะใส่ตอนไหนก็ได้ ยกเว้นใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนน้ำหอมกลิ่นหนักทั้งหลายกลบมิดแน่นอน

ความทน - 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่กลิ่นจะติดเสื้อยาวกว่าอีกราวๆ 2 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นราวๆ 15 นาที ก่อนที่จะลดลงไปเป็นปานกลางต่ออีกราวๆ 1 ชม. แล้วจะไปคงที่กับการเป็นออร่าอ่อนๆ รอบตัวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 - 5 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent แล้ว

สรุป - เป็นอีกกลิ่นที่ปรามาสไม่ได้ แม้ว่าจะมาสายกลิ่นมหาชนชอบ เข้าถึงได้ง่าย ยังไงก็รอด แต่ยังมีตัวซ่อนอย่างกาแฟที่ให้ลูกเล่นทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ในความเรียบง่ายได้ดีและให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปแบบไม่โจ่งแจ้ง เนียนๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก และบอกได้ตรงนี้เลยว่า ยังไงกลิ่นนี้ก็เป็นหนึ่งใน Timeless Scent แน่นอน และยืนอย่างยาวนานอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.central.co.th/en/cacharel-noa-edt-spray-50-ml-cds26366982

 

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

My Favorite Newcomer Fragrances of 2024


My Favorite Newcomer Fragrances of 2024

เมื่อย้อนกลับไปในรอบปี 2024 ที่ผ่านมา ยอมรับกันซึ่งๆ ว่า ไม่ค่อยได้ซื้อน้ำหอมมากนัก + เกิดปัญหาจากโรงงานอุตสาหกรรม (อาหารสัตว์) ที่อยู่ใกล้เคียงกับที่พักปล่อยกลิ่นรบกวนช่วงฤดูมรสุม ทำให้จมูกไม่สามารถพินิจพิเคราะห์กลิ่นได้แม่นยำ เพราะกลิ่นอาหารสัตว์จะรบกวนจนทำให้การรับกลิ่นเพี้ยนไปเยอะจนต้องเบรกการเขียนบรรยายกลิ่นน้ำหอมไป ซึ่งทุกวันนี้ยังรอการแก้ปัญหาจากหน่วยงานรัฐว่าจะจัดการให้โรงงานนี้ปรับปรุงอย่างสมบูรณ์ได้หรือไม่ ซึ่งก็เลยทำให้ซื้อน้ำหอมน้อยลงไปมากเช่นกัน

แต่ยังไงก็ตามก็ยังมีช่วงที่ยังเรียนรู้กลิ่นน้ำหอมได้ และยังสามารถค้นหากลิ่นที่เข้าทางและตรงกับจริตได้อยู่ ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ 10 กลิ่นของปี 2024 ก็ขออ้างถึงกลิ่นที่จำใจนำออกจาก List อยู่ จึงขอให้เครดิตและ Profile กลิ่นไว้ตามนี้

  • Hince - 03 The Flat Shoes : นอนเล่นในสวนเคล้าใบและลูก Fig
  • Kohshi Parfums - Taian : ชาเขียวมัทฉะทุกมิติ
  • Jul et Mad - Stairway to Heaven : กอดคนรักที่ใส่สเวตเตอร์ผ้าแคชเมียร์จากด้านหลัง
  • Aux Paradis - Grapefruit : Pure Grapefruit ที่สุภาพและสดชื่น
  • Aiam - Chapter 18 : หนุ่มญี่ปุ่นที่มีกลิ่นแป้งสะอาดอ่อนๆ คลอผิวกาย 

และก็ขอเข้าสู่ 10 กลิ่นน้ำหอมโดยไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2024 เพียงอย่างเดียวของเข็มขัดสั้น เริ่มที่

-----------------------------------

Osaji - Shogo Sekine × Osaji Eau de Parfum

“Sparkling Citrus > Green Earthy > Clean Earthy Woody” กลิ่นจะไล่เรียงกันเฉกเช่นเดียวกับสีของ Artwork บนขวด โดยเนื้อกลิ่นจะมีศูนย์กลางอยู่ที่หญ้าแฝกเป็น Background ให้จับต้องได้ตั้งแต่ต้นยันจบ และเป็นเสมือนตัวเกลาให้กลิ่นมี Concept สไตล์ Woody Minimal ที่สว่าง สุภาพ แต่มีระดับสูงมาก โดยมีสไตล์แบบญี่ปุ่นที่กลิ่นไม่ตะโกนบอกทุกคนรอบตัวว่าใส่น้ำหอมมา แต่ให้ความมีคลาสหอมสดชื่นแกมไม้หอมสว่างกำลังดีและสมดุลย์ตั้งแต่ต้นยันจบได้อย่างพอเหมาะเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา
-----------------------------------

J-Scent - On A Cloud

“Sweet Icy Creamy Mint > Green Vanilla & Coconut > Milk Ice Cream” สมชื่อกลิ่นชัดเจนมากถึงบอกที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นจะมีความครีมมี่ปุยนุ่มนวลแต่ล้อมกรอบด้วยความรู้สึกเย็นๆ แบบไอศครีม โดยความหวานหอมนุ่มจะมาจากกลิ่นนมผสมวานิลลาเป็นตัวตั้งที่จะจับต้องได้ตลอดก่อนจะเข้มชัดขึ้นตามแต่ละช่วงของน้ำหอม แต่กลิ่นกลับไม่ถึงกับหนักข้น มีความสมดุลย์พอดีๆ เพราะความ Icy เย็นๆ และความติดปร่าเขียวของมินต์ ที่สำคัญช่วงท้ายได้กลิ่นโทนไม้หอมแบบไม้แท่งไอศรีมวานิลลาเวลาที่เรากินหมดแล้วดูดไม้จนได้กลิ่นนั่นแหละ ปลื้มจริงอะไรจริง

-----------------------------------

Zara - Popeline Blanche

“Fresh Green Citrus > Fresh Laundry Cologne > Clean & Relaxing” โดยความสดชื่นและน้อยแต่มากสไตล์มินิมัลจะเป็นแก่นหลักของน้ำหอมกลิ่นนี้ ซึ่งจะสัมผัสได้จากช่วงต้นที่เป็นโทน Bergamot และกลิ่นหญ้าสดตัดใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดความสดชื่นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะได้ความเรียบง่ายกับกลิ่นโทนดอกส้มสะอาดๆ เหมือนกลิ่นเสื้อผ้าซักเสร็จใหม่ๆ ตากกลางแจ้งแล้วกลิ่นลอยตามลมมาให้รับรู้ ก่อนจะเป็นกลิ่นสะอาดๆ ติดเขียวอมเปรี้ยวปร่าอ่อนๆ แกม Musk และไม้หอมเบาๆ นี่แหละ Simply the Best ชัดเจนที่สุด

-----------------------------------

Kousaido - Lily of the Valley (Solid Perfume)

“Japanese Classic Powder : Fruity Floral & Powdery All in One Place” เพียงแค่ได้กลิ่นครั้งแรกภาพลอยขึ้นมาในหัวเลยถึงผู้หญิงหรือผู้ชายที่ใส่กิโมโนหรือยูกาตะที่มีกลิ่นแป้งหอมคลาสสิคสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งกลิ่นจะผสมผสานความเป็นโทนผลไม้หวานอมเปรี้ยวกับกลิ่นดอกไม้แนวมะลิและดอกกระดิ่งที่ติดเขียวโปร่งอ่อนๆ แต่เพราะมีความเป็นแป้งหอมหวานโปร่งของไวโอเล็ตทำให้เนื้อกลิ่นมีมิติความหวานลึกนิ่งเฉพาะตัวที่มีเสน่ห์มาก เพียงแค่น้ำหอมแห้งสำหรับแต้มกระปุกเล็กๆ แต่สามารถบอกเล่าถึงภาพความเป็นกลิ่นอายแป้งหอมสไตล์ญี่ปุ่นได้ครบถ้วน บอกเลย “ไม่ธรรมดา”

-----------------------------------

Hermes - Un Jardin à Cythère

“Olive & Herb Garden with the Brighter Day” แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ในการไปเยือน Kythira Island ที่ Greece มาก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีเวลาที่ใช้กลิ่นนี้คือ กลิ่นต้นและลูกมะกอกกับกลิ่นถั่วพิสตาชิโอที่มีความสดชื่นของเลมอนมาเสริม ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเดินผ่านสวนต้นมะกอกและสมุนไพรที่มีกลิ่นเขียวเฉพาะตัว ตามด้วยความอวลคล้ายกลิ่นนมอัลมอนด์ผสมอาหารแนวธัญพืช ก่อนจะเป็นกลิ่นไม้หอมแกม Musk ที่มียังมีความเขียวมะกอกเบาๆ สร้างประสบการณ์ใหม่และความประทับใจในเนื้อกลิ่นทันที เพราะมันได้บรรยากาศผ่านกลิ่นจริงๆ

-----------------------------------

Roger & Gallet - Fleur de Figuier

“All about Fruity Fig: Fresh > Ripe > Sweet Syrup” เป็นการนำเสนอความเป็น Fig หรือมะเดื่อฝรั่งที่เน้นไปทางด้านความเป็นโทนผลไม้แบบชัดๆ เต็มๆ ซึ่งแต่ละช่วงจะได้ความเป็นโทนผลไม้จริงๆ โดนช่วงเปิดอาจจะไม่ได้มาถึงก็ Fig จ๋าก่อน เพราะจะมาแบบโทน Fruity Citrus ที่มีความเป็นส้มแกมเครื่องเทศหน่อยๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นดึงดูดให้น่าสนใจก่อน แล้วก็จะมาแบบกลิ่น Fig สุกหอมหวานเคล้ากลิ่นส้มคลอเป็นฉากหลัง ก่อนจะปิดท้ายด้วยไซรัป Fig ที่ชัดเจนมาก แม้เนื้อกลิ่นจะค่อนไปทางน้ำหอมผู้หญิง แต่มันแตกต่างอย่างมีเสน่ห์จนดมแล้วดมอีกวนไป

-----------------------------------

Kitowa - Kusunoki

“Kindness People: Polite, Nice & Warm” ต้องบอกเลยว่ากลิ่นไม้การบูรที่เป็นแก่นหลักในน้ำหอมขวดนี้คือที่สุดในแง่ของการวางตำแหน่งกลิ่นระหว่างความเยือกเย็นและความอบอุ่น โดยฟากที่เป็นโทน Citrus ไม้สน เกล็ดการบูร คือ ฝั่งเยือกเย็น และโทน Musk วานิลลา และกลิ่นแนวผ้าแคชเมียร์ที่เป็นลูกผสมระหว่าง Musky & Woody ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เนื้อกลิ่นส่งต่อกันอย่างดีเป็นผืนเดียวที่เปลี่ยนแปลงโทนทีละนิดๆ เหมือนให้เราเจอและทำความรู้จักคนใจดีคนหนึ่งผ่านกลิ่นน้ำหอม บอกตรงๆ ว่า “ตกหลุมรักในทุกๆ สโตรกกลิ่นเลย”

-----------------------------------

Moresque - Al Andalus

“Seductive Saffron > Rich Amber & Oud > Smoky Amber” เพียงแค่เปิดต้นกลิ่น ก็สามารถจับต้องได้เลยในคราวเดียวถึงกลิ่นอายโทน Amber ที่เป็นศูนย์กลางของกลิ่น ยิ่งมีหญ้าฝรั่น กับ Oud เข้ามาเสริมแบบกำลังดี ไม่ได้มาถึงก็สำแดงฤทธิ์เดชกลบทุกสิ่ง แต่มาแบบลักษณะกลิ่นไม้หอมเย้าลึกเสริมให้โทน Amber มีความลุ่มลึกมากขึ้น และเชื่อมโยงกับโทน Smoky ไหม้ๆ แกมกลิ่นหนังที่จะเข้ามาเสริมในช่วงท้ายแกมกลิ่นหวานยางไม้ ซึ่งทำให้อารมณ์กลิ่นดึงดูดและมีเสน่ห์เฉพาะตัว อาจจะไม่ได้ถูกใจคนที่ไม่ได้อินกับ Amber แต่ส่วนตัวเหมือนรักแรกพบในทุกรอบที่ใช้งานเลยจ้ะ
-----------------------------------

Roja Parfums - Elysium Eau Intense

“Icy Fresh > Modern Timeless > Smooth & Smart Gentleman” ไม่นึกว่าตัวเองจะชอบกลิ่นนี้ เพราะพื้นฐานเฉยๆ กับสาย Elysium แต่พอได้ใช้งานกลายเป็นประทับใจในความเป็นกลิ่นสไตล์ Modern ที่มีความเปรี้ยวหอม Rhubarb และความ Icy เย็นๆ ให้สัมผัสได้ตั้งแต่ต้นยันจบ เนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนที่ใส่ลูกเล่นทั้งความเป็นโทน Citrus, Green, Floral และ Woody ที่ทำให้ภาพรวมกลิ่นมีความ Fresh และอวลทันสมัย แต่ซ่อนความคลาสสิคเนียนๆ ในเวลาเดียวกันและกลิ่นถูกใจเกินกว่าที่คิดไปมาก ตรงๆ กลิ่นนี้สดชื่นกว่า และหวานน้อยกว่ารุ่น Parfum Cologne

-----------------------------------

Hunq - # 005 Mechanic

“Unique > Dirty > Uncompromising” บอกเลยว่าครั้งแรกได้กลิ่น คือ สตันไปเลย! เพราะเถื่อนได้สะใจมากกับกลิ่นโทน Dirty ต่างๆ ทั้งกลิ่นแนวน้ำมันเครื่อง โลหะ ยาง ที่มีโทนหนังแบบดิบเถื่อน Animalic แกมเหงื่อรองพื้นให้กลิ่นมีความหนาอวล และมีโทน Smoky ติดไหม้ควันเผาๆ เคล้ายาสูบ กำยาน และพิมเสน ที่ขุดด้านดิบออกมาชัดเจน แต่ดันมีความเซ็กซี่แกมหวานโปร่งจากไวโอเล็ตที่สร้างโทนแป้งมาตัดทอนความเถื่อน ภาพที่เห็นคือ หนุ่มฝรั่งล่ำหุ่นเซี๊ยะทำงานอู่ซ่อมรถที่ตัวเปื้อนจากการทำงานมีกลิ่นเหงื่อเคล้ากลิ่นแป้งติดหวานเย้า เออ! ไปสุดมากๆ ชอบ

-----------------------------------

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของเข็มขัดสั้นในปี 2024 ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่น และดีใจที่ได้มาครอบครองเพื่อเติมเต็มสีสันของชีวิตในแต่ละวันมาเสมอ และสุดท้าย Happy New Year 2025 ขอให้มีความสุขกับกลิ่นหอมรายล้อมรอบตัวกันตลอดทั้งปีนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567

Review: Kousaido - Sandalwood (Solid Perfume)


Kousaido - Sandalwood (Solid Perfume)

จากจุดเริ่มต้นในปี 1994 ที่ Kousaido เริ่มเปิดตัวขึ้นในการเป็นธุรกิจธูปหอม (Incense) ต่างๆ ที่ผลิตและจำหน่ายให้กับวัด ศาลเจ้า และบุคคลทั่วไป ที่นำไปใช่แบบทั่วไปและพิธีสำคัญต่างๆ ในเมือง Kyoto โดยมีการสอดแทรกเรื่องราวต่างๆ ผ่านกลิ่นที่ทำให้คนที่ได้กรุ่นกลิ่นนั้น จะรับรู้ได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นกลิ่นอายที่สื่อสารออกมาถึงคำว่า Kyoto แบบที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เออ ภาพขึ้นมาในหัวเลยทั้งๆ ที่อาจจะไม่เคยไปเยือนเลยก็ตาม

ซึ่งนอกจากที่จะมีธูปหอมในหลากหลายรูปแบบที่เป็นแก่นหลักของผลิตภัณฑ์แล้ว แบรนด์ยังได้มีการต่อยอดเรื่องราวทางกลิ่นต่างๆ ออกไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางค์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะน้ำหอมที่จะมีพื้นฐานในการเป็น Solid Perfume หรือน้ำหอมแห้งเป็นสำคัญ ซึ่งเข้าทางการเป็นน้ำหอมในลักษณะรูปแบบเครื่องประทินผิวแบบญี่ปุ่นที่เหนือกาลเวลาและคลาสสิคไม่ใช่น้อย เช่นนั้น มาลองกันซักหน่อยดีกว่าว่ากลิ่นอายของแบรนด์นี้จะออกมาเป็นรูปแบบไหน

Sandalwood คือ กลิ่นแรกที่มีโอกาสได้สัมผัส ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมี 2 ช่วงคือ ช่วงต้นและ Dry Down โดยจะเริ่มที่กลิ่นเข้นข้นของกลิ่นไม้หอมติดอวลหนักระดับหนึ่ง มีความแปร่งแกมลูกเอื้อนเมทัลลิคนิดๆ มีความอุ่นอวลในเนื้อกลิ่นชัดเจน อารมณ์แบบน้ำมันหอมระเหยไม้จันทน์หอมที่มีความเข้มข้นพุ่งมาก่อนเลย ซึ่งถ้าคนไม่ได้เห็น Packaging ก่อนอาจจะคิดว่านี่เป็นน้ำหอมแนวตะวันออกกลางเอาได้ ซึ่งพื้นฐานของ Solid Perfume จะเป็นสไตล์ Oil ผสม Wax อยู่เป็นทุนเดิม เลยจะทำให้กลิ่นมีความเข้มชัดตั้งแต่แรกในลักษณะนี้

เมื่อเนื้อกลิ่นจะลดทอนความเข้มข้นลง เหลือเป็นกลิ่นอายติดครีมมี่ที่มีความอบอุ่น มีความหวานค่อนไปทางสีครีมนวลให้สัมผัส ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์กึ่งแป้งหอมกรุ่นกำจาย เพราะมีความเป็นแป้งหอมดอกไม้รองพื้นกลิ่นไม้จันทน์หอมในทุกๆ สเต็ป จนกลิ่นเริ่มคงที่ในการเป็นไม้จันทน์หอมที่มีความครีมมี่อบอุ่น ให้ความอวลๆ กำลังดี มีความละมุนแต่คงความมีจริตกลิ่นไม้หอมแกมแป้งหอมที่มีเสน่ห์แบบคลาสสิคได้ครบถ้วน

สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนมากคือ ไม่ได้มีกลิ่นอายสไตล์คลาสสิคแบบตะวันตกที่เป็นสาย Aldehydes ฟุ้งๆ หรือ Oakmoss เข้มๆ มาให้รับรู้เลยแม้แต่นิดเดียว จะมีแต่กลิ่นอายกรุ่นกลิ่นแป้งหอมรวยรินเคล้าคลอพะนอไม้จันทน์หอมอยู่ตลอด ทำให้เหมือนเดินผ่านย่านวัฒนธรรมของ Kyoto ที่มีเกอิชาแต่งตัวสวยจัดเต็ม หรือผู้คนที่แต่งกายด้วยกิโมโนทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีระดับ ที่จะสัมผัสถึงกลิ่นแป้งหอมสไตล์คลาสสิคของญี่ปุ่นที่มีความหอมเฉพาะตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่จะค่อนไปทางผู้หญิงพอประมาณ เพราะว่าเนื้อกลิ่นติดโทนแป้งหอมกรุยกรายสไตล์ญี่ปุ่น แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก เพราะมีความคลาสสิคที่เข้ากับผู้ชายในสไตล์วางตัวดีและมีระดับได้อีกด้วย เนื้อกลิ่นจะไม่เหมาะกับการใส่ไปกิจกรรมลุยๆ ทุกกรณี เน้นใส่แบบทางการหรือทั่วไปที่เน้นความคลาสสิคในการแต่งตัวจะลงตัวมากที่สุด รวมถึงสามารถใส่ออกงานทั้งกลางวันและกลางคืนได้ลงตัวด้วยเช่นกัน

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. โดยสามารถไปต่อได้อีก จนถึง 12 ชม. เลย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีมากๆ อยู่เดิมของการเป็น Wax ที่จะตรึงกลิ่นอยู่บนผิวได้นาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นราวๆ 15 นาที ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงราวชั่วโมงที่ 7 - 8 เลย ซึ่งค่อนข้างคงที่กับการกระจายตัวของกลิ่นในลักษณะนี้และเป็นสไตล์แบบญี่ปุ่นได้ดีมาก แล้วจะค่อยๆ เป็น Skin Scent

สรุป - แบบที่ถ้าเคยมีประสบการณ์ในการเดินสวนกับเกอิชาแบบที่แต่งหน้าแต่งกายสวยงามเต็มตัว หรือจะชายญี่ปุ่นแบบผู้ดีที่แต่งกายด้วยกิโมโนของผู้ชายที่หวีผมเรียบแปล้ มีเสน่ห์แบบสไตล์ผู้ใหญ่หน่อยๆ กรุ่นกลิ่นจะมีความคลาสสิคออกมาในลักษณะประมาณนี้เลย เพราะทั้งมีความรุ่มรวย สวยงาม สง่างามแบบค่อนไปทางกลิ่นอายสายคลาสสิคสไตล์ญี่ปุ่นย้อนยุคที่ยังมีความร่วมสมัย ซึ่งนี่แหละที่เป็น Hint สำคัญมากในการบอกเล่ากลิ่นแบบ Kyoto อย่างชัดเจนจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://tealao.com/en/teaware/japanese-solid-perfume-sandalwood

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Review: Shiro Fragrance - Cheer Apple

Shiro Fragrance - Cheer Apple

สิ่งหนึ่งที่มักสร้างความน่าสนใจเสมอในฝั่งของแบรนด์น้ำหอมญี่ปุ่นสาย Mass Market โดยเฉพาะการวางจำหน่ายในประเทศ คือ การมี Limited Edition ที่มักจะออกมาตาม Season ต่างๆ โดยบางแบรนด์อาจจะออกมาทุกฤดูกาลเลย หรือบางแบรนด์อาจจะเน้นเฉพาะฤดูร้อน หรือเป็นการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมที่วางจำหน่ายจนกว่าจะหมดก็มี และ Shiro Fragrance ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มของ Collection - Shiro Classic

สิ่งหนึ่งของการเป็น Limited Edition ของ Shiro Classic มักจะออกมาวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อนในแต่ละปี โดยจำหน่ายเฉพาะแค่ภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น (ยกเว้น Collection - Shiro Perfume ที่เป็นสาย Exclusive ที่ถ้ามี Limited Edition ก็จะมีวางจำหน่ายในหลายๆ ประเทศ) และในปี 2024 นี้ กลิ่นที่ได้เป็น Limited Edition และได้วางจำหน่ายจนกว่าจะหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ Cheer Apple ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้น จะเล่าให้อ่านตามนี้เลย

สิ่งแรกต้องขอชื่นชมก่อนเลย คือ การทำกลิ่นช่วงต้นให้มีลักษณะใกล้เคียงความเป็นแนวแอปเปิ้ลกรอบฉ่ำหอมหวานติดเปรี้ยวอ่อนๆ แนวๆ เดียวกับแอปเปิ้ลฟูจิ หรือแอปเปิ้ลเนื้อกรอบฉ่ำหอมหวานแบบแอปเปิ้ลญี่ปุ่น ซึ่งต้องยอมรับในการผสมกลิ่นของแอปเปิ้ล ส้ม และลิ้นจี่ของแบรนด์นี้เลยที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนผลไม้หวานฉ่ำ Juicy ใกล้เคียงกลิ่นของแอปเปื้ลญี่ปุ่นได้มากขนาดนี้ ไม่พอกลิ่นยังชัดเจนมากเสียด้วย

การปรับตัวเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมจะปรับโทนด้วยการเอาโทน Floral เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันทำให้กลิ่นกลายเป็น Floral Fruity เต็มตัว ซึ่งเมื่อกลิ่นโทนมะลิกับกุหลาบและมีความติดเขียวแกมหวานใสๆ หน่อยๆ ซึ่งพอดอกไม้เจอผลไม้ สิ่งที่ได้คือ กลิ่นหญิงผมหอมมาเลย อารมณ์เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นกลิ่นแนวแชมพูกลิ่นดอกไม้ผลไม้ที่เด่นกับแอปเปิ้ลฉ่ำสวยๆ กำลังดี ได้ความรู้สึกแบบเดินผ่านหญิงงามที่ผมสยายตามลมแล้วเราได้กลิ่นหอมออกมาแนวๆ นั้นเลย แต่แม้ว่ากลิ่นจะให้อารมณ์แบบแชมพูหอมๆ ใสๆ แต่ก็ไม่ได้ดูไก่กาจากไหน ยังมีความสดชื่นและหวานระรวยรินแบบกลิ่นชัดไปเรื่อยๆ ซึ่งบอกกันอย่างชัดเจนเลยว่าช่วงนี้คือ Feminine เต็มตัวมาก

เมื่อกลิ่นโดทนแชมพูหอมหวานใส เริ่มเบาลง และมีกลิ่นโทนสะอาดนวลของ Musk แกมกลิ่นอบอุ่นติดครีมมี่บางๆ ของไม้จันทน์หอมที่คาดว่าน่าจะมีกลิ่นแอมเบอร์เนียนๆ รวมอยู่ด้วย เริ่มเข้ามาเทคโอเวอร์ตามลำดับ จนกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นช่วงท้ายเต็มตัวที่เป็นกลิ่น Musk สะอาดๆ แกมไม้หอมโปร่งครีมมี่บางๆ ที่มีกลิ่นของดอกไม้แกมผลไม้เจืออ่อนๆ เนื้อกลิ่นเมื่อดมใกล้ๆ จะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเนียนๆ รวมอยู่ในเนื้อกลิ่น ถือว่าเป็นการปิดท้ายที่ให้ความสะอาด สบาย นวลและหวานระเรื่อได้ลงตัว และไม่ซับซ้อบให้ต้องปีนบันไดดมแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าตอนซื้อมาพนักงานขายจะบอกว่า Unisex ซึ่งอันนี้ไม่เถียง เพราะมีโทน Unisex อยู่ในช่วงต้นและช่วงท้าย เพียงแต่มัน Unisex น้อยไปหน่อย เช่นนั้นกลิ่นจะเข้าทางกับสาวๆ แน่นอนมั่นใจได้ แต่ถ้าหนุ่มๆ จะใช้ก็ไม่ติด เพราะถ้าชอบกลิ่นแนวแอปเปิ้ลฉ่ำๆ แบบแอปเปิ้ลฟูจิ อันนี้ตอบโจทย์ ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะไม่ได้ตรงตัว เพราะกลิ่นมาสายสวย แนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วไปหรือออกงานเพื่อสร้างออร่าความหวานใสสวยๆ อันนี้เหมาะ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี ชนแก้วคัมไป หรือยั่วยวนผู้คน ข้ามจะดีกว่า คนละลุคกัน  

ความทน - พื้นฐานอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมจะยืดไปถึง 10 - 12 ชม. ได้เลย ซึ่งก็ยอมรับเลยว่ากลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ทนดีงามเป็นลำดับต้นๆ ของสาย Shiro Classic นี้ (ส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ ลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น กลิ่นชัดเจน และจะลดลงมากระจายปานกลางในช่วงกลางของน้ำหอมไปซักพัก พอผ่านชั่วโมงที่ 4 ก็จะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 6 - 7 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - กลิ่นสวย และเป็น EDP ในสาย Shiro Classic ที่แม้กลิ่นจะไม่ได้ดูหวือหวาแตกต่าง เพราะพื้นฐานน้ำหอมญี่ปุ่นมักจะเน้นสายมินิมัลหรือซับซ้อนเชิงลึก แต่ทำกลิ่นได้ดีและมีความหวานหอมฉ่ำแอปเปิ้ลญี่ปุ่นได้น่าประทับใจมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shiro-shiro.jp/item/13068.html

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

Review: Britney Spears - Prerogative Ego

Britney Spears - Prerogative Ego

นอกจากสาย Fantasy ที่ได้รับความนิยมมาอย่างสม่ำเสมอในการเป็นน้ำหอมสาย Celebrity ซึ่งแน่นอนว่าจับตลาดฝั่งน้ำหอมผู้หญิงชัดเจน แต่ Britney Spears เอง ก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหอมที่เจาะตลาด Unisex ที่ให้ผู้ชายทุกเพศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรับรู้ถึงความเป็น Britney ผ่านน้ำหอม และ Collection นั้นก็คือ Prerogative

แน่นอนว่าชื่อ Prerogative มาจากเพลง My Prerogative ที่เป็น Single เปิดตัวอัลบั้ม Greatest Hits: My Prerogative เมื่อปี 2004 ซึ่งถือว่าเป๊ะเลยทีเดียวกับการเอาคำนี้มาเป็น Collection น้ำหอมที่สร้างแรงบันดาลใจในเรื่องความมั่นใจ ความมีพลังเชื่อมั่นในตัวเอง และความเฟียซที่แต่ละคนพึงมี แม้ว่าจะมาในปี 2018 แต่ก็เข้าทางและใช้งานกับความรู้สึกแบบนี้ได้เสมอโดยเจาะตลาด Unisex ให้ครบถ้วนในการใช้งาน ไปเลยถึง 2 ใน 3 ของน้ำหอมในไลน์นี้

และในครั้งนี้จะมาเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่า 1 ใน 2 น้ำหอม Unisex ของ Britney จะมีกลิ่นอายแบบไหน ก็ขอมาว่ากันที่กลิ่นนี้เลย Prerogative Ego (รุ่นล่าสุดของ Collection นี้)

เปิดมาก็กลิ่นวิปครีมกันเลยทีเดียว ซึ่งในความเป็นวิปครีมจะมีพื้นกลิ่นที่เป็นวานิลลาแกมครีมมี่นมๆ อยู่ชัดมาก ซึ่งนี่แหละจะเป็นฐานกลิ่นที่อยู่กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย โดยช่วงเปิดแม้ว่าวิปครีมจะเด่น แต่จะมีความปร่าขมปนเปรี้ยวที่เป็นตัวทำให้กลิ่นพุ่งอวลขึ้นมาอยู่ทางโทน Citrus แต่เพราะว่าเป็นตัวเสริมเลยจะไม่ได้เด่นเกินหน้าวิปครีมแกมวานิลลาเท่าไหร่ ให้อารมณ์ติดเปรี้ยวอวลๆ เนียนๆ ไปกับกลิ่นสายครีมแทน

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นลูกครึ่งระหว่างโทน Gourmand กับ Floral อยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนช่วงนี้คือความเป็น Celebrity Scent ที่เอาใจสายหวานแกมขนมได้ครบถ้วนและทั่วถึง โทนวานิลลาจะเด่นขึ้นมามีความหวานแนวแหลมนิดๆ ซึ่งน่าจะมีจากกำยาน Benzoin ที่ให้โทนเสริมลักษณะนี้ โดนมีความเป็นวิปครีมสร้างความครีมมีเป็นฉากหลัง แต่จะมีกลิ่นดอกไม้สายหวานแบบใสๆ เข้ามาตัดทอน ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางมะลิใสๆ แกมเขียวของดอกกระดิ่ง lily-of-the-valley กับกลิ่นค่อนไปทางดอกแอปเปิ้ลที่ให้อารมณ์แอปเปิ้ลติดหวานใสแกมกลิ่นน้ำผึ้งใสๆ ที่ถ้าไม่ได้มาจากดอกลินเดนก็น่าจะ Mimosa ที่มาแบบกลางๆ สมดุลย์ ดูสวยๆ ให้กลิ่นมีมิติมากกว่าความเป็นครีมมี่วานิลลา และที่สำคัญเริ่มจับต้องได้ถึงโทนไม้หอมโปร่งๆ ที่มาตัดทอนไม่ให้ความเป็นโทนวานิลลาแผ่ไพศาลเกินไป ซึ่งตรงนี้ถือว่าทำได้ดีมากเพราะแตะความ Unisex ได้กลางๆ พอดีเลย

การเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งคราวนี้จะมีความเป็นโทนลูกผสมเลย เพราะจะจับได้ทั้งความเป็นโทน Gourmand ที่ยังยืินพื้น ซึ่งวานิลลาจะยังคงให้ความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นอยู่ แต่มีโทนออกทางคล้านผิวกายซึ่งน่าจะเป็นโทน Musk แกมสารหอมแนว อื่นๆ ทำให้กลิ่นมีความเป็นวานิลลากึ่งอวลผิวกายที่มีความเป็นไม้หอมโปร่งๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็น ISO E Super ที่มาทำให้เกิดกลิ่นอายไม้หอมแห้งโปร่ง ทำให้เนื้อกลิ่นมีทั้งความอวลอบอุ่นกำลังดี และมีความอวลโปร่งไม้หอมสะอาดๆ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ให้ความผ่อนคลายแกมอบอุ่นหวานอวลอ่อนๆ ปิดท้ายได้สมดุลย์แต่พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงพอตัว แต่ถ้าผู้ชายใส่ก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะช่วงกลางค่อนท้ายคือ Unisex ชัดเจนมากในสายของโทนขนมแกมหวานวานิลลา ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office ก็กำลังดี แต่ให้ข้ามการใส่แบบทางการหรือว่าออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้ (ยกเว้นใส่เต้น Concert ใน Hall อันนี้จัดไป) ส่วนยามค่ำคืน จัดได้ในแทบทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะโรแมนติค ท่องราตรี หรือใส่ทั่วไปก็ได้เลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ถึงกับทรงพลังรอบทิศนัก ถ้าอยากได้แน่นๆ ก็เพิ่มสเปรย์พอช่วยได้ 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวเลยที่ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีไปต่อได้อีกราวๆ 2 ชม. เพราะส่วนตัวเจอที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใส่ที่ 5 - 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีตอนต้น ให้ความอวลวิปครีมชัดเจนมาก ก่อนที่จะลดลงมาเป็นปานกลางยาวๆ ไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 3 ก็จะค่อนๆ ผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วติดผิวชัดเจนเมื่อแตะราวๆ 6 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ส่วนตัวถือว่าเกินคาดในแง่ของการเป็นน้ำหอมโทน Celebrity ที่ีมาสายขนมก็จริง แต่ไม่ได้เอะอะก็ใส่พลังจัดเต็ม ยังให้อารมณ์ที่พอเหมาะกำลังดีจนไม่อึดอัดเกินไป แถมยังมีความอวลเซ็กซี่ก็ได้ หรือจะเย้าแต่ผ่อนคลายก็ดี ซึ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นวิปครีม บอกเลยกลิ่นนี้ตอบโจทย์จริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://labelleperfumes.com/products/prerogative-ego-3-3-oz-edp-for-women


วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Review: Penhaligon’s - Brilliantly British

Penhaligon’s - Brilliantly British

Brilliantly British เปิดตัวออกมากับการเป็นหนึ่งในน้ำหอม Limited Edition ที่เฉลิมลองการครบรอบ 150 ปีของแบรนด์น้ำหอมคู่บ้านคู่เมืองประเทศอังกฤษอย่าง Penhaligon’s ซึ่งมาแบบชัดเจนมากว่า นอกจากฉลองให้แบรนด์แล้ว ยัง Tribute ในความเป็นสไตล์อังกฤษโดยการเอา Note กลิ่นที่เรียกว่าสื่อถึงความเป็นอังกฤษมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้างสรรค์อีกด้วย นั่นคือ ลาเวนเดอร์ กับ ท็อฟฟี่คาราเมล

ซึ่งกลิ่นจะสร้างสรรค์ไล่เรียงกันออกมาอย่างไรนั้น ว่ากันได้ตามนี้

ต้องยกความยอดเยี่ยมให้ช่วงเปิดเลย เพราะสามารถสื่อสารถึงความเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ได้เป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์แบบอังกฤษแบบชัดเจนมากในทุกๆ สโตรกกลิ่น เพราะจะได้กลิ่นลาเวนเดอร์ธรรมชาติแกมเขียวหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นบรรยากาศสดชื่นอ่อนๆ ของโทน Citrus ที่มีความขมจางๆ เดาว่าน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวสร้างบรรยากาศสดชื่น ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้มีอะไรมากเน้นความมินิมัลที่มีความเป็นธรรมชาติเป็นหลัก

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะมีรอยต่อของกลิ่นในการส่งต่อกันก่อนระหว่างความเป็นโทนลาเวนเดอร์ธรรมชาติ ที่จะเริ่มมีความหวานของคาราเมลติดเค็ม (เดาว่าค่อ Salted Caramel) ผสมผสานกับโทนวานิลลาที่มีความหวานแหลมๆ ที่เป็นลักษณะของกำยาน Benzoin เข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความหวานแหลมแบบลักษณะของกลิ่นระหว่างการทำ English Toffee ที่ฟุ้งกระจายออกมาแบบชัดเจน ซึ่งตอนนี้เหมือนลาเวนเดอร์จะหายไป แต่จริงๆ ไม่ได้หายไปไหน เพราะจะรวมอยู่ในเนื้อกลิ่นโทนหวานแหลมให้จับต้องได้ สร้างความหนาในเนื้อกลิ่นโทนหวานได้ดีอีกด้วย

เมื่อโทนกลิ่นหวานแหลมของ Toffee เริ่มคงที่และผ่อนตัวลงเปิดทางให้โทนอบอุ่นกึ่งนวลเสริมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกผสม 3 โทนระหว่างกลิ่นโทนอบอุ่นกึ่งแอมเบอร์แกมหนังเคล้า Musk ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลแกมอบอุ่น + ความหวานหอมของ English Toffee ที่ลดความแหลมลงมาเป็นกลิ่นอายแบบ Toffee ที่ตัดมาแล้วพร้อมรับประทาน เสริมด้วยความประปรายของลาเวนเดอร์ที่เนียนรายล้อมเบาๆ ให้พอจับต้องได้ สร้างโทนกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลายเคล้าความหวานอบอุ่นแกมลาเวนเดอร์ที่จับคู่กันได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดทุกเพศ ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นของลาเวนเดอร์และกลิ่นโทนหวานคาราเมลท็อฟฟี่อยู่ทุนเดิม บอกเลยว่าฟินสุด ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ก็พอใส่ยามทางการได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นจะให้ความสุขุมแกมหวานคมนิดๆ กำลังดีได้ด้วย รวมถึงใส่แบบโรแมนติตก็ยังได้ ให้ความดึงดูดกำลังดีอีกด้วย แต่ให้ตัดไปได้เลยคือใส่ออกกำลังกาย เพราะกลิ่นหวานตีขึ้นแน่นๆ ตอนวิ่งมีเป็นลมนะเออ หรือใส่ไปท่องราตรีเพื่อเรียกแขก บอกเลยว่าไม่น่าไม่ปัง เพราะเจอกลิ่นแน่นๆ รอบทิศจากคนอื่นก็อาจจะกริบได้

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบได้แน่ๆ ที่ 2 ชม. ซึ่งหลายๆ ครั้งใส่กลิ่นนี้อยู่ในห้องแอร์เป็นหลักก็ยาวไปที่ 10 ชม. เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เพราะเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ธรรมชาติ เลยไม่ได้เอะอะก็ยัดความพุ่งฟุ้งกระจายมากนัก แต่กลิ่นจะเปลี่ยนมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางไปราวๆ 2 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางสู่ออร่ารอบๆ ตัว ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มกลายเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ให้นึกภาพเหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์ แล้วเดินผ่อนคลายกลับเข้ามาในพื้นที่พักผ่อนพร้อมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดกายมาผสมกับกลิ่นคาราเมลหอมหวานลอยมาให้ได้กลิ่นชวนยิ้ม แล้วเราเดินเข้าไปในครัวเห็นว่าเชฟหรือใครซักคนกำลังทำ English Toffee ด้วยการกวน Salted Caramel กับเนยกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอยู่ แล้วเรายืนดูก่อนจะหยิบออกมาจากครัว มานั่งเคี้ยวกินอย่างมีความสุขกับความอบอุ่น แกมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดผิวกายเรา + ลอยมาตามลมบางๆ เคล้ากับกลิ่นความหวานหอมอย่างสบายอารมณ์ นี่แหละคือทั้งหมดของการเป็น Brilliantly British ขวดนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.harrods.com/en-gb/shopping/penhaligons-brilliantly-british-eau-de-parfum-100ml-15997779

 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

Review: Technique Indiscrete - Monarchy

Technique Indiscrete - Monarchy

จากการเห็นภาพวาดที่สื่อสารถึงความเป็นเขตชนบทของประเทศเบลเยี่ยม แล้วมาต่อยอดพระราชวังหรือปราสาทต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่เหล่านั้น และมีพระราชวงศ์อยู่อาศัยตามปกติโดยมีรั้วรอบขอบชิดเป็นต้นไม้หนาทึมห้อมล้อมพื้นที่ภายในกันกว้างขวางและมีพื้นที่สีเขียวรายล้อม เพื่อมาเป็นน้ำหอมที่สื่อสารถึงคำว่า Monarchy = สถาบันกษัตริย์ และถ่ายทอดออกมาเป็นกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงชีวิตประจำวันของพระราชวงศ์เหล่านั้น

นี่ก็คืออีกหนึ่งในผลงานของแบรนด์ Niche จากฝรั่งเศสอย่าง Technique Indiscrete ที่ดึงดูดให้เกิดความสนใจไม่น้อยว่าจะถ่ายทอดกลิ่นออกมายังไงจากแรงบันดาลใจในการสื่อความถึงคไว่า Monarchy เช่นนั้น เมื่อลอง แล้วรู้ จึงเล่าต่อแบบนี้ว่า

เป็นกลิ่นที่เล่นโทนระหว่างความสดชื่นเรียบง่าย ความหอมละมุนแบบสวยแบบนิ่งๆ กับความอบอุ่นให้ความผ่อนคลายแบบขรึมๆ ที่ไล่เรียงกันอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากช่วงต้นที่จะให้ความสดชื่นของความปร่าแกมเขียว ซึ่งหลักที่จับต้องได้เลยคือ กลิ่นของใบ Clover ที่จะให้ความเขียวติดหวาน ที่จะแซมด้วยมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศสดชื่นในยามเช้า แต่จะมีความปร่าซ่าแกมสะอาดของตะไคร้เข้ามาคลอให้มีความรู้สึกสดชื่น ซึ่งช่วงเปิดจะได้ความรู้สึกแบบความเขียวแนวสวนที่มีกลิ่นเขียวยามเช้าที่ลอยมาได้พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว

เมื่อกลิ่นช่วงต้นเริ่มเบาลงไปตามลำดับ ก็เข้าสู่ช่วงกลางที่จะปรับให้กลิ่นโทนลาเวนเดอร์ที่ติดนวลสะอาดเด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ นวลหวานละมุนแกมสะอาดเข้าทางโทนแป้งแบบชัดเจน โดยมีความเขียวกึ่งกุหลาบของเจอราเนียมเสริมให้รับต่อมาจากช่วงต้นอยู่แบบกำลังดี แต่สิ่งหนึ่งคือ พื้นฐานกลิ่นมีความอวลๆ สูงมาก และมีลูกผสมระหว่างโทนไม้หอมแกม Musk อวลๆ ที่ทำให้กลิ่นโทนแป้งดอกไม้มีความหอมละมุนๆ ไล่โทนสีกึ่งม่วงอ่อนแกมชมพูบางๆ ที่มีความเขียวเบาๆ แบบบรรยากาศคลอ และที่สำคัญแอบจับได้ถึงกลิ่นวานิลลาหน่อยๆ ที่เป็นฉากหลังอีกด้วย ซึ่งเป็นการปูทางที่ดีไปสู่ช่วงท้ายนั่นเอง

ช่วงท้ายกลิ่นจะชัดเจนมากในการเป็นโทนวานิลลาแบบ Lite Version ติดหวานแบบสมดุลย์มีความเป็นแป้งลาเวนเดอร์กุหลาบเบาๆ ผสมนวลเนียนในเนื้อกลิ่นที่ไม่ข้นเกินไปและไม่หนักเกินไป + มีความเป็นไม้หอมสีครีมนวลเข้ามาเป็นตัวเด่นในการเดินกลิ่นร่วมด้วย นั่นก็คือ ไม้จันทน์หอม รวมถึงการมีไม้ซีดาร์เข้ามาผสมผสานทำให้ได้อารมณ์กลิ่นโปร่งสะอาดกึ่งกระดาษสีถนอมสายตาคลอไปกับวานิลลา โดยมีความอบอุ่นและนุ่มนวลสะอาดของ Musk ที่มีความโปร่งเบาๆ กำลังดี ติดเขียวหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็น Ambrette ที่เป็น Musk ที่มาจากพืชมาเป็นตัวเชื่อมโทนให้มีกลิ่นเขียวบางๆ รวมถึงกลิ่นมีคล้ายหญ้าแห้งกึ่งหวานที่มาจากสารหอมที่สกัดจากถั่วตองก้าอย่าง Coumarin ร่วมด้วย ซึ่งเป็นการช่วงต่อมาสร้างมิติให้มีความเขียวคลอๆ ทำให้การปิดท้ายของกลิ่นจะได้ความอบอุ่น แกมหวานนวลอ่อนๆ ติดกลิ่นออกทางกระดาษที่มีความเขียวแห้งบางเบาในบรรยากาศ สร้างความเรียบหรูและผ่อนคลายได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลางๆ ครอบคลุมการใช้งานทุกเพศได้กำลังดี และยังครอบคลุมการใช้งานยามกลางวันแบบเก็บเกือบหมดอีกด้วย จะมีนิดหน่อยคือถ้าใส่ออกกำลังกาย ก็อาจจะไม่ได้เข้าทางเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมีความนิ่งและสุขุมอยู่พอตัว เลยไม่ได้มาสาย Activity สลายพลังงานจ๋าๆ นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นมีความนิ่งเรียบหรูที่ส่งเสริมให้ดูมีการวางตัวที่ดีตามคาแรคเตอร์กลิ่นได้ไม่ยาก   

ความทน - กลิ่นทนได้น่าพึงพอใจที่เฉลี่ย 8 ชั่วโมงในการใช้งานได้สบายมาก และไปต่อได้อีกด้วยจนถึงราวๆ 12 ชม. ก็บ่อยครั้งที่ใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปซักราวๆ 3 ชม. ก่อนที่คงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนจะเป็๋นกลิ่นอวลๆ ไม่หอมแกมวานิลลาสุขุมนุ่มลึกติดผิว

สรุป - แตะคำว่า Monarchy ไหม ก็ได้อยู่แง่ของการเป็นกลิ่นที่เป็นสถานที่ตากอากาศหรือพักผ่อนของพระราชวงศ์อะไรแบบนี้ ซึ่งกลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติที่ดีเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ ปรับจากธรรมชาติเข้าสู่ความสุขุมนุ่มลึกและเรียบหรูแบบกำลังดี ใช้ง่ายและมีคลาส

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://techniqueindiscrete.com/en/fragrance/8-144-mug-today-is-a-good-day.html

 

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: 4711 - Acqua Colonia Myrrh & Kumquat

4711 - Acqua Colonia Myrrh & Kumquat

ก่อนที่จะใช้ Cologne ของ 4711 ถ้าไม่ใช่สาย Intense ก็มักจะทำใจก่อนเสมอว่าเราเน้นแค่ Refreshing ไม่ได้เน้นว่าความทนจะต้องจัดจ้านในย่านไหน และเน้นสบายๆ ในวันอากาศร้อนๆ อยากเติมเมื่อไหร่ก็เติม แต่ถ้ากลิ่นนั้นดันทนขึ้นมาเกินคาดนั่นคือ ผลพลอยได้ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้นในการซื้อหากลิ่นที่ว่ามาใช้งาน

และในครั้งนี้ก็ได้เวลาของการที่มาเจอกับกลิ่นที่ส่วนตัวมองว่าความทนเกินคาดในการเป็น 4711 สายปกติอีกหนึ่งกลิ่น ที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นก็คือ Acqua Colonia Myrrh & Kumquat และเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นก็ว่ากันได้ตามนี้

จุดเปิดคือการเป็นโทน Citrus ที่มีวูบติดเปรี้ยวหอมที่ใสนิดๆ ชื้นหน่อยๆ ที่พุ่งมาพร้อมกับกลิ่นที่คาบเกี่ยวโทนกึ่งแป้งกึ่งยางไม้ที่มีอารมณ์ติดฝุ่นทึบปร่าหน่อยๆ แต่มีความหวานลึกในเนื้อกลิ่นทีเรียกว่ามาครบกันตั้งแต่แรกในการเป็น Myrrh & Kumquat (ส้มจี๊ด) ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่ใสกิ๊งกระจ่าง เพราะเป็นยางไม้ที่เป็นพื้นกลิ่น แต่ก็ยังมีความเป็นสไตล์ Cologne อยู่ เพราะความเป็น Citrus ที่ทำหน้าที่ในการเป็น Part ของตัวเองได้ดี ให้ความสดชื่นแบบที่ Cologne ควรจะเป็นได้ลงตัว

แต่ความเป็น Citrus ของส้มจี๊ดไม่ได้อยู่นานนัก เพราะกลิ่นในช่วงกลางจะกลายเป็นกลิ่นอายแบบที่มีความคุ้นแคยในลักษณะที่มีความเป็นลูกผสมคาบเกี่ยวระหว่างการเป็น Dior Homme รุ่นปี 2011 ที่เด่นด่วยโทนแป้งกึ่งลิปสติกกับกลิ่นของ Dior Homme Eau ที่เป็น Citrus Iris เข้ามาให้จับต้องได้ โดยไม่ได้หมายว่าเป็นการถอดกลิ่นมาแบบทั้งดุ้น อารมณ์โทนกลิ่นใกล้เคียง แต่จะมีตัวเสริมชั้นดีเป็นกลิ่นของยางไม้ที่ให้ความปร่าแกมหวานทึบของ Myrrh เป็นตัวเสริม ทำให้กลิ่นตอนนี้จะเป็นกลิ่นโทน Cologne ที่มีความเป็นโทนแป้งแกมยางไม้กึ่งแอมเบอร์ที่มีความกำลังดี ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป โดยมีลักษณะกลิ่นที่อารมณ์เป็นสไตล์ยางไม้รองพื้นที่ชัดเจน

ช่วงท้ายโทนแป้งจะเป้าลงไปเหลือเพียงเบาบางจนแทบจับต้องไม่ได้ แต่จะให้ลักษณะความเป็นโทนกึ่งยางไม้กึ่งแอมเบอร์ที่ติดผิวอวลอ่อนๆ เบาๆ มีความเป็นโทนไม้หอมหน่อยๆ ที่ยังมีความหวานอวลๆ แกมปร่าบางๆ เป็นตัวปิดท้ายไปเรื่อยๆ แบบไม่ซับซ้อนแต่ให้ความอบอุ่นแบบมีเสน่ห์กำลังดีจนจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex แบบเต็มขั้น ไม่ว่าจะเพศไหนก็ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมากและไม่หนักเกินไปเพราะเป็น Eau de Cologne อาจจะมีวูบแน่นๆ แค่ช่วงฉีดแรกๆ บ้าง แต่เดี๋ยวก็ลดลงเป็นกลิ่นกลางๆ เรื่อยๆ ไม่พีค ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายแนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบชิลล์ๆ หรือโรแมนติคก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับการใส่เพื่อเน้นปล่อยเสน่ห์ร้อยแรงม้านัก เพราะก็ Cologne น่ะ มันไม่ได้มาสายซูเปอร์ไซย่ารอบทิศอยู่แล้ว

ความทน - 8 ชม. มีบวกลบราว 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และประเภทผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ส่วนตัวยอมรับเลยว่าทนเกินคาดมากจริง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นปานกลางซักพักราว 30 นาที ที่เหลือก็ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอเข้าชั่วโมงที่ 5 ก็เริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ไม่ธรรมดา กับการสร้างกลิ่นอาย Cologne ที่มีระดับและทันสมัยในเวลาเดียวกัน โดยเอาความเมโทรในเนื้อกลิ่นมาเสริมให้มีน้ำหนักในกลิ่นของโซนยางไม้อย่าง Myrrh และใส่ความเป็น Citrus เปรี้ยวหอมที่ลงตัวในช่วงต้น และที่สำคัญเด่นในเรื่องความทนที่เกินกว่าการเป็น EDC โดยทั่วไป 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.worten.es/productos/perfume-4711-acqua-colonia-eau-de-cologne-mirrakumquat-170-ml-mrkean-4011700747443

 

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: Zara - Lush Vetiver

Zara - Lush Vetiver

เพราะ Zara ปล่อยน้ำหอมบ่อยมากจนแทบไม่อยากรู้แล้วว่าที่มาที่ไปในการกำหนด Collection นี้ออกมาอย่างไร เพราะน้ำหอมเยอะไปหมด เช่นนั้นเลยแบบง่ายๆ แล้วกันว่าไม่ท้าวความให้มากเรื่อง ขอมีบ้างเพื่อแตะๆ แล้วกัน

Lush Vetiver เป็นหนึ่งใน Men’s Collection 2023 ที่ปล่อยน้ำหอมผู้ชายในรูปแบบ EDP ทั้งหมด 11 กลิ่น ซึ่งต่อให้จะเขียนคำโปรยสวยๆ มาอย่างไงก็ตาม เอาตรงๆ ก็คือ มาสไตล์เอาสภาพแวดล้อม สีสัน และชูโรง Note กลิ่นมาสื่อสารเป็นน้ำหอมรวมๆ กันอยู่ใน Collection และกลิ่นนี้ก็มาในสายชูโรง Note กลิ่นนั่นเอง ส่วนกลิ่นเป็นอย่างไรนั้น ก็ตามนี้

Fresh Wood คือ จุดเริ่มต้น เพราะโทนไม้หอมจะเด่นชัดมาก่อนเลย และชัดเจนมากๆ ว่าจะเป็นแกนหลักของกลิ่นตั้งแต่ต้นยันจบ แต่จะมีโทน Citrus มากล่อมให้กลิ่นมีความสดชื่น แต่ไม่ได้มีโทนเปรี้ยวคมใดๆ มาแย่งซีน ออกแนวเป็นโทนขมที่มีความเปรี้ยวบางๆ และมีความปร่าติดฝาดหน่อยๆ เสริมให้กลิ่นมีโทนแบบบรรยากาศ เนื้อกลิ่นจะมีความเขียวเจือๆ ให้สัมผัสที่พอทำให้รู้สึกได้ตามชื่อกลิ่น Lush Vetiver (หญ้าแฝากเขียวชะอุ่ม) อยู่บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นโทนเปิดที่ลงตัวและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิด

Lite Sensual Wood คือ ช่วงกลางของน้ำหอม ที่แน่นอนว่าเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนไม้แห้งๆ แต่มีความเย้าของกลิ่นติดขมกึ่งหนังของหญ้าฝรั่น ที่มาแบบกำลังดี ไม่ได้ดูเครื่องเทศจัดจ้านจ๋าไปและก็ไม่ได้หนังเข้มเกินไป ออกแนวมาแบบเย้าๆ เสริมให้โทนไม้แห้งๆ ที่โปร่งๆ ลูกผสมระหว่างหญ้าแฝกและไม้โอ๊คที่ค่อนข้างมีความเป็นกลิ่นไม้หอมแห้งแต่มีน้ำหนักที่ให้อะโรม่ากำลังดี เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางแป้งอยู่หน่อยๆ ด้วย อารมณ์แบบแป้งกลิ่นไม้แห้งๆ นั่นเลย ทำให้ออร่าของกลิ่นจะมีพลังออกมากำลังดี เหมาะสม และมีเสน่ห์แบบโทนไม้หอมให้รับรู้ได้ตลอด 

Dry Aromatic Wood เป็นช่วงท้ายที่ให้ความเป็นออร่าล้อมกายแบบกลาง ที่เหมาะสม มีเสน่ห์แบบมินิมัล ซึ่งเนื่อกลิ่นจะเป็นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝกและไม้โอ๊คที่ผสมผสานกันจนตรงๆ ว่ากลิ่นไม้แห้งๆ ที่สว่างๆ และผ่อนคลาย เสริมด้วยกลิ่นพิมเสนที่มาแบบสะอาดๆ โปร่งๆ เสริมให้กลิ่นไม้มีความเรื่อๆ Earthy แบบแห้งๆ สบายๆ ติดดิน แต่สะอาดและมีความเป็นสีเอิร์ธโทนให้สัมผัสได้ตลอด และปลายๆ กลิ่นก็จะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นเขียวบางๆ แทรกอยู่ด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสไตล์ Gentlemen ที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วย เป็นการปิดท้ายที่ไม่เยอะสิ่ง ไม่เล่นใหญ่มากจนดูพยายาม แต่มีความลงตัวกำลังดีในการเป็นโทนไม้หอมที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบครอบจักรวาลได้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ วัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพียงแต่สำหรับน้องๆ ม.ปลาย กลิ่นอาจจะดูสุขุมไปหน่อย ถ้าไม่ติดก็จัดไป ซึ่งกลิ่นมีความครอบจักรวาลในการใช้งานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่เข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายตรงๆ หรือว่าใส่ไปปล่อยเสน่ห์ล้านแปดนัก เพราะกลิ่นมาสายสว่างๆ สบายๆ สุขุมเสียมากกว่า

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่ว่าจะมีบวกลบอยู่บ้างราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเริ่มติดผิวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 7 โดยประมาณ 

สรุป - เป็นกลิ่นไม้หอมที่มีครบถ้วนในการใช้งาน และไล่เรียงความหอมจากสดชื่นสู่โทนแห้งได้อย่างลงตัว และที่สำคัญเนื้อกลิ่นมาสายมินิมัลแบบไม่เยอะสิ่งแต่ให้ความมีเสน่ห์แบบเหมาะสม สุดท้ายความเห็นส่วนตัวเลยว่า “กลิ่นนี้คือ Daily Scent ที่ไม่ไก่กาเลย เรียกว่ามีเสน่ห์และแตกต่างเนียนๆ กำลังดีท่ามกลางน้ำหอมสาย Mass ทั้งหลายจริงๆ”

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.zara.com/pl/en/lush-vetiver-edp-100ml---3-38%C2%A0oz-p20220255.html

 

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567

Review: Yves Rocher - Voile Doré

Yves Rocher - Voile Doré

ต้อนรับวัน Christmas ของทุกปี Yves Rocher เองก็จะมีน้ำหอมมารอพร้อมรองรับเทศกาล ที่นอกจากจะเป็นหนึ่งในของขวัญที่น่าสนใจในช่วงปีใหม่แล้ว ยังเป็น Limited Edition สำหรับปีนั้นๆ อีกด้วย ซึ่ง Concept จะมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเป็นแกนหลักของกลิ่นเสมอนั่นคือ วานิลลา ซึ่งเหมาะเจาะกับกลิ่นอายที่เพิ่มความอบอุ่นรื่นรมย์ในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ (ของแถวเขตหนาว) อย่างมากจริงๆ

และในปี 2023 กลิ่นที่เป็น Christmas Limited Edition ก็คือ Voile Doré ซึ่งแน่นอนว่าเข้ามาจำหน่ายที่ไทย เช่นนั้นจะสื่อถึงความเป็นวานิลลากัย Christmas อย่างไร ต้องลองซักหน่อย และสิ่งที่ได้ คือ 

วานิลลาเต็มๆ แต่ จะมีลูกผสมโทนไม้หอม ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีอารมณ์ของกลิ่นแนวคุกกี้วานิลลาอบที่มีกลิ่นติดเครื่องเทศแกมไม้ที่มีความความอบอุ่น แนวๆ อบเสร็จใหม่ๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งนี่คือแกนหลักของกลิ่นที่รับรู้ได้ตลอด

แต่ถ้ามาจำแนกเป็นแต่ละช่วง กลิ่นจะให้ความเป็น Spicy Vanilla อวลๆ มาก่อนเลยตั้งแต่แรก เนื้อกลิ่นจะมีความหนาในระดับที่กำลังดีค่อนไปทางแน่น แต่ไม่ได้แน่นมาก ซึ่งกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นอบเชย กระวาน ขิงหน่อยๆ และน่าจะมีเม็ดจันทน์เทศจะเข้ามาผนวกกับวานิลลา ทำให้เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีสีครีมนวล แต่จะให้ความเป็นโทนสีออกน้ำตาลจนได้อารมณ์สีวานิลลาเข้มค่อนไปทางน้ำตาล เนื้อกลิ่นจะพอจับต้องโทนออกทาง Citrus ติดขมที่ให้ความปร่าอ่อนๆ ได้อยู่ สร้างมิติที่ยังมีวูบปร่าบางๆ รวมอยู่ด้วย แต่พื้นฐานกลิ่นคือชัดเจนมากว่าเป็นโทนกลิ่นอบอุ่นหวานอวลนวลเย้าเครื่องเทศที่ชัดเจนมาก และที่สำคัญมีวูบของการเป็นกลิ่นแนวขนมอบเข้ามารวมอยู่ด้วย แนวๆ ชินนามอนบัน หรือคุกกี้วานิลลาอบเชยได้เลย

เมื่อกลิ่นเริ่มลดทอนความปร่าประปรายในช่วงต้นลงไป แต่เพิ่มความอบอุ่นเข้ามาในเนื้อกลิ่นชัดขึ้น โดยไม่ได้มาแบบหนักหน่วง เพราะกลิ่นลดทอนความหนักและกระจายลงมา แต่จะให้อารมณ์และความรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีความอบอุ่นอวลๆ อยู่ ซึ่งแก่นหลักของกลิ่นยังเป็นวานิลลาอยู่เช่นเคย แต่ตัวแชร์โทนกลิ่นจะเริ่มแบ่งเบาภาระจากเครื่องเทศต่างๆ มาเป็นกลิ่นโทนไม้หอมแกมอบอุ่นเข้าโทนแอมเบอร์เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งพอรวมกันทั้งหมดแล้ว นี่แหละกลิ่นขนมแนวคุกกี้วานิลลาที่ผสมเครื่องเทศต่างๆ อบจนหอมกรุ่นออกมา แล้วมีไอความอบอุ่นกึ่งไม้หอมให้จับต้องได้ ซึ่งช่วงนี้ขอยกให้เป็นโทน Gourmand ที่ไม่ได้หนักหน่วง แต่ให้ความรู้สึกพึงใจและอบอุ่นหอมหวานอวลได้กำลังดี

การปรับโทนเข้าสู่ช่วงท้ายทำให้นึกถึงกลิ่นหนึ่งของแบรนด์นี้นั่นคือ Volie d’Orcre ที่เด่นกับการเป็นโทนไม้จันทน์หอมอบอุ่นและมีเสน่ห์มาก ซึ่งอารมณ์เหมือนดึงเอาความเป็น Volie d’Ocre มาผสมผสานกับโทนวานิลลากึ่งเครื่องเทศเข้าทางคุกกี้อบ ทำได้ให้อารมณ์ที่แตกต่างแบบไล่โทนมีในเนื้อกลิ่น โดยมีสีครีมนวลของไม้จันทน์หอมเป็นแกนหลัก สนับสนุนด้วยสีวานิลลาเข้มกึ่งสีน้ำตาลแดงเครื่องเทศ และสุดท้ายคือสีน้ำตาลแกมทองอบอุ่น ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่ต่อเนื่องและทอเป็นผืนเดียวกันได้ดีเข้าทางกลิ่นอายที่ทำให้ช่วงเทศกาล Christmas หรือปีใหม่ที่อากาศหนาวๆ (แบบเขตหนาว) มีความหอมอบอุ่นรื่นรมย์และสร้างความพึงใจมาตัดทอนให้รู้สึกถึงความสุข ซึ่งถือว่าเป็นการปิดท้ายกลิ่นได้ลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ก็จริง แต่เนื้อกลิ่นแนวนี้จะตอบโจทย์ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแน่ๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นวานิลลาขนมแนวๆ นั้น แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เน้นอวลๆ รุมๆ รอบตัวเป็นหลัก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะใส่แบบทั่วๆ ไป อยู่ในห้องแอร์ รวมถึงวันอากาศร้อนๆ ก็พอได้แต่ไม่ควรสเปรย์เยอะเพราะเดี๋ยวจะตึ้บเสียก่อน แต่ให้ตัดไปได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืน ใส่ออกงานหรือว่าใส่แนวโรแมนติค จัดไป รวมถึงจริงๆ จะใส่ไปท่องราตรีก็พอได้ แต่กลิ่นจะไม่ได้กระจายเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไม่ได้เน้นไปเรียกแขก ก็ใส่ได้ตามสะดวก

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 - 10 ชม. เป็นประจำ

การกระจาย - ช่วงแรกกลิ่นจะอวลชัดมากและกระจายดี แต่พอเข้าช่วงกลางราวๆ ผ่านไปซัก 15 นาทีแรกแล้ว กลิ่นจะลดลงมาเป็นปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปถึงชั่วโมงที่ 6 - 7 แล้วะเริ่มติดผิว

สรุป - เป็นไปตามข้างต้นก่อนจำแนกกลิ่นในแต่ละช่วงเลย และเพิ่มเติมด้วยว่า เป็น Limited Edition ด้วย เช่นนั้นการมีไว้ใช้ในช่วงอากาศเย็นๆ ถือว่าไม่เสียหายและยังหอมอบอุ่นหวานอวลได้ดีมากอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.yves-rocher.com.mx/pws/homeoffice/store/AM/catalog/Home/fragancia-de-tocador-voile-dore