วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2567

Review: Kenzo - Nuit Tatami

Kenzo - Nuit Tatami

ในปี 2022 เมื่อ Kenzo ได้เปิดตัว Collection น้ำหอมใหม่ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวในวัยเด็กของผู้ก่อนตั้งแบรนด์อย่าง Kenzo Takada ที่เติบโตมากับบ้านที่ทำพิธีชงชา โดยทุกอย่างจะมีความเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นมาเป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์กลิ่น ซึ่งได้ Perfumer ต่างๆ มาร่วมกันสร้างสรรค์ในแต่ละ Concept ที่มาจากความทรงจำ โดยมาจากฤดูกาล สิ่งแวดล้อม ความรื่นรมย์ และกลิ่นที่อยู่ในความทรงจำต่างๆ ซึ่ง Collection นี้ก็คือ Kenzo Memori

ทั้ง 8 กลิ่น ที่ปล่อยออกมาจนถึงปัจจุบัน ทุกกลิ่นต่างก็นำเสนอความเป็น Unisex Scent ทั้งหมด และต่างที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์ ขึ้นอยู่กับว่า Perfumer จะเจาะไปในด้านในตามเรื่องราวความประทับใจในวัยเด็กของผู้ก่อนตั้งแบรนด์ และเมื่อเกิดความสนใจ 1 ใน 8 กลิ่นที่สื่อสารถึงกลิ่นอายอะโรม่าของเสื่อตาตามิในบ้านที่ให้ความรื่นรมย์ในยามค่ำคืน + กับกลิ่นอายความอบอุ่นของแสงไฟและความรื่นรมย์ของห้องนั่งเล่นในบ้านอย่าง Nuit Tatami บอกเลยว่าความน่าสนใจมาเต็ม เพราะอยากรู้ว่าจะถ่ายทอดกลิ่นออกมาอย่างไร เช่นนั้น ใช้แล้ว ซึมซับแล้ว ก็บอกต่อได้ตามนี้ 

โทนแป้งและความอบอุ่นของเนื้อกลิ่นจะชัดเจนตั้งแต่เรื่องต้นเลย แต่คาดการณ์ไม่ผิดแน่นอนว่าจะเป็นพื้นฐานกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม และจะเป็นกลิ่นอายสไตล์มินิมัล ซึ่งช่วงเปิดกลิ่นอายโทนแป้งที่เป็นลักษณะของแป้งข้าว + ไอริส + ไวโอเล็ต + วานิลลา + คาดว่าจะมีลาเวนเดอร์อยู่ด้วยด้วย แบบผสมผสานกันออกมาให้มิติไล่เรียงโทนกลิ่นที่ต่อเนื่องและสอดรับกันได้อย่างลงตัว เพราะจะได้อารมณ์ทั้งกลิ่นอายแบบแป้งฝุ่นโปร่งหวาน แต่มีความนวลครีมอบอุ่นแกมสะอาดรองพื้น แต่เนื้อกลิ่นจะมีความปร่าแกมฝาดหน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพู ที่ทำให้มี Part ของความปร่าเครื่องเทศโทนโปร่งและมีความเป็นกลิ่นติดกุหลาบบางๆ เข้ามาตัดแบบเบาๆ กำลังดี ถือว่าเป็นช่วงที่เปิดการรับกลิ่นโทนแป้งได้ดี มีความมินิมัลและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นแต่ไม่หนักหน่วงตั้งแต่แรกเริ่ม

เมื่อเนื้อกลิ่นปรับโทนเข้าสู่ช่วงกลาง จะเข้าสู่ Part ของการเป็นโทนแป้งแบบเต็มร้อย โดยจะให้อารมณ์ของการเป็นโทนออกทางแป้งฝุ่นแบบกึ่งเครื่องสำอางค์หน่อยๆ เพราะมีความหวานนวลแกมดอกไม้แบบเรื่อๆ โดยมีความ Feminine อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมากอยู่ไม่น้อยเป็นตัวตั้ง แต่จะมีตัวเสริมชั้นดีคือโทนแป้งที่ให้ความครีมมี่อบอุ่นเสริมเข้ามาให้เนื้อกลิ่นมีโทนสีครีมนวลค่อนไปทางสีครีมวานิลลา + กลิ่นคล้ายแป้งลาเวนเดอร์มาให้จับต้องได้ กลิ่นยังมีความปร่าหวานที่ค่อนไปทางแนวชะเอมอยู่บ้างแต่ค่อนข้างบาง เน้นความอบอุ่นนุ่มนวลแหมแป้งหอมที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา รวมถึงกลิ่นเกลามาได้สวยเลยทีเดียว

ช่วงท้ายความเป็นแป้งฝุ่นแกมหวานโปร่งจะเริ่มลดบทบาทลงเป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นโทนแป้งสายอบอุ่น ซึ่งในช่วงนี้จะมีกลิ่นอายของ Musk เข้ามาเสริมด้วย แต่จะมีความเขียวนิดๆ แกมหวานบางๆ แทรกในเนื้อกลิ่นให้รู้ได้ด้วย ซึ่งน่าจะเป็น Ambrette ที่เป็นกลิ่นอายของ Musk ที่มาจากพืช ซึ่งช่วงนี้เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบเสื่อตาตามิเข้ามาอยู่หน่อยนึงให้รับรู้ได้อยู่บางๆ (พึ่งมาประมาณนั้น) เลยทำให้ภาพรวมช่วงท้ายจะได้กลิ่นอายอบอุ่นของวานิลลาแกมหวานนุ่มนวลสะอาดมีปลายกลิ่นที่เป็นแป้งฝุ่นที่ให้ความอบอุ่นแกมผ่อนคลาย และมีวูบของบรรยากาศห้องญี่ปุ่นในแสงไฟสีนวลให้รู้สึกรื่นรมย์

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เนื้อกลิ่นค่อนไปทางผู้หญิงถึงราวๆ 75% เลยทีเดียว เพราะช่วงกลางจะให้ความเป็นแป้งหอมสไตล์เครื่องสำอางค์ติดหวานโปร่งนานพอตัว แต่ถ้าผู้ชายไม่ได้มายด์เรื่องนี้ เน้นใส่ให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นกับตัวเองเป็นสำคัญ ก็ใช้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ในช่วงอากาศร้อนก็ได้อยู่ เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงนัก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปเลยดีที่สุด เพราะไม่ได้อารมณ์สอดคล้องกัน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ หรือว่าโรแมนติคจะเข้าทางที่สุด และไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเลย เพราะกลิ่นแม้จะมาสายอบอุ่นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยพลังจัดจ้านที่จะเรียกแขกได้ นอกจากดึงมาซุกไปเลยแบบไม่ต้องไปที่อื่น จะพอถูไถในแง่ปล่อยเสน่ห์ได้อยู่

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้และตัวแปรอื่นๆ อย่างสภาพอากาศด้วย เพราะถ้าใส่แบบอากาศกำลังดี ค่อนไปทางเย็นๆ ความทนจะลากยาวได้น่าพึงพอใจไม่น้อย แต่ถ้าอากาศร้อนๆ เหงื่อตรึม บอกเลยว่าอาจจะสัมผัสได้กลิ่นได้ราวๆ 4 ชม. ก็อาจจะจางไปแล้ว

การกระจาย - กระจายดีในช่วง 5 นาทีแรก แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปประมาณ 15 นาที ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวล้วนๆ ยาวๆ ไป แล้วพอผ่านไปราวๆ 4 - 5 ชม. กลิ่นก็เริ่มจะติดผิวแล้ว ซึ่งเข้าทางการเป็น Safe Scent ที่ไม่รบกวนใครก็ได้ หรือจะเป็นกลิ่นกรุ่นแป้งหอมอ่อนๆ คลอผิวกายก็ไม่ติด

สรุป - เนื้อกลิ่นให้ความเป็นโทนแป้งที่รื่นรมย์ไม่น้อยเลยทีเดียว ได้ Feel แบบญี่ปุ่นอยู่ แต่มีความเป็นสไตล์ Feminine ที่ได้ความรู้สึกสวยๆ ในเนื้อกลิ่น และมีความละมุนผ่อนคลายเป็นฉากหลัง และเอาจริงๆ ถ้าดมใกล้ๆ กลิ่นนี้น่าพึงใจในการซุกดมความหอมอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยแบบไม่ได้เซ็กซี่ แต่มีความอบอุ่นปลอดภัยน่ากอดยาวๆ แนวๆ นั้น 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.elcorteingles.es/perfumeria/A42919451-eau-de-parfum-kenzo-memori-nuit-tatami-75-ml-kenzo/

 

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Cerapure - Believe in Fresh

Cerapure - Believe in Fresh

Cerapure เมื่อได้เห็นชื่อนี้ครั้งแรก นั่นคือ การโฆษณาผ่าน Facebook ที่เป็นแบรนด์สบู่ โดยเน้น Concept ลดกลิ่นกาย และลดปัญหาผิวกายต่างๆ ซึ่งก็ได้เป็นหนึ่งในการซื้อมาลองนั่นเลย และก็มีใช้สลับๆ กับสบู่อื่นๆ บ้าง แต่หลักๆ มักใช้สบู่ของแบรนด์นี้ช่วงหน้าร้อนจัดๆ มากกว่า เพราะทำให้สดชื่นและลดกลิ่นเหงื่อไปได้เยอะมาก

และเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์นี้มีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาหลากหลาย รวมถึงมีน้ำหอมอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความสนใจอยากลองว่าน้ำหอมกลิ่นเดียวกับสบู่นั้นจะเป็นอย่างไร และส่งเสริมกันขนาดไหน และเมื่อได้ใช้งานจริงก็เล่าต่อได้แบบนี้ว่า

Believe in Fresh จะมาในการเป็น Main หลักกับกลิ่นสไตล์สบู่สะอาดฟุ้งๆ ที่มีความนวลให้ความรู้สึกแบบสีฟ้าเคล้าสีขาว ที่ได้ความรู้สึกสะอาดแบบกึ่งคลาสสิคกึ่งร่วมสมัยที่กำลังดี ช่วงเปิดความเป็นโทน Aldehydes ที่มีความเป็นโทน Soapy แบบชัดๆ มีความฟุ้งความแน่นของกลิ่นแบบโทนสบู่ชัดเจนและมีความคมในระดับหนึ่ง โดยผสมผสานกับโทนออกทางดอกไม้ขาวนวลๆ และมีความเป็นลูกผสมระหว่างโทน Citrus ที่ออกทางปร่าขมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น รวมถึงมีความชื้นๆ แกมหวานใสๆ นิดๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลิ่นของลูกพลับบางๆ แฝงอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมในช่วงต้น คือ กลิ่นสบู่ฟุ้งๆ ที่มีความสะอาดแกมดอกไม้นวลๆ ติดปร่าหน่อยๆ และมีกลิ่นติดชื้นกำลังดี ให้อารมณ์กลิ่นในลักษณะแบบหลังอาบน้ำที่ยังมีกลิ่นสบู่ฟุ้งๆ และอารมณ์ชื้นๆ สดชื่น โทนสีในความรู้สึกจะเป็นสีฟ้าแกมขาวแนวๆ นั้น ซึ่งตรงๆ ก็คือกลิ่นแบบเดียวกับสบู่เลย เพียงแต่เข้มชัดกว่า

แต่ยังไงก็ตามความเมื่อโทนออกทางชื้นๆ และความเป็นโทน Citrus ที่ติดขมเริ่มจางลงไป เหลือเพียงความเป็นโทนสบู่แกมดอกไม้ที่มีความแห้งปนปร่านวลมากขึ้น ก็จะเป็นช่วงกลางของน้ำหอมซึ่งเนื้อกลิ่นมีความเป็น Accord ดอกไม้ขาวกึ่งดอกไม้อื่นๆ ที่ผสมมาแล้ว เลยจะได้อารมณ์แบบดอกไม้ขาวรวมๆ ที่เบลนด์เป็นเนื้อเดียวกับกลิ่นสบู่ที่เริ่มเป็นโทนแป้งเต็มตัว (น่าจะมีลาเวนเดอร์แบบสะอาดๆ รวมอยู่ด้วย) แต่กลิ่นยังมีความอวลฟุ้ง เพียงแต่กลิ่นจะแห้งมากขึ้นจากช่วงต้น แต่ยังคุมโทนกลิ่นหอมสะอาดนวลๆ อารมณ์แบบกลิ่นสบู่ติดผิวกายที่กลิ่นชัดเจนและจับต้องได้ และยังเข้าถึงง่ายแบบใครได้กลิ่นก็ใช่เลย “กลิ่นสบู่”

ช่วงท้ายจะลดทอนความฟุ้งลงมาระดับหนึ่ง โดยยังให้ความรู้สึกสะอาดแกมนวลๆ แบบโทยแป้งก็จริง แต่จะมาแบบอารมณ์เหมือนทาแป้งเย็นสไตล์คลาสสิคแต่ “ไม่ได้” มี Cooling Effect มานานในระดับหนึ่งจนกลิ่นผสมกับความอบอุ่นของร่างกาย ได้ลักษณะแบบ Clean Earthy Classic ที่มีการรวมตัวกันเรียบร้อยในการเป็น Accord (ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็น Accord ที่ผสมผสานโทนกลิ่นแบบ Oak Moss หญ้าแฝก ไม้หอมอื่นๆ  และ Musk โดยมี Amber เข้ามารวมด้วย) โดยที่อาจจะไม่ได้เป็นกลิ่นสบู่จ๋าๆ แบบช่วงต้นกับกลางแล้ว แต่ได้โทนสะอาดแกมคลาสสิคอยู่เนียนๆ แบบร่วมสมัยที่เข้าถึงง่าย และยังคุมโทนที่ได้วูบของความสดชื่นบางๆ แบบสีฟ้าแกมขาวอยู่เช่นเดิม

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากและเป็นกลิ่นสบู่แบบที่ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นใช้แบบทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใช้เพื่อออกกำลังกาย แนะนำให้ผ่านช่วงต้นไปก่อน พราะไม่งั้นกลิ่นตีขึ้นจนตึ้บได้ ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่เสริมเพิ่มหลังอาบน้ำเสร็จให้รู้สึกสดชื่นสะอาด แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปออกงานหรือว่าใส่ไปท่องราตรีเท่าไหร่ กลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกเย้ายวนเสริมออร่าชุดสวย/หล่อเท่าไหร่นัก เพราะยังไงคนรอบตัวที่ได้กลิ่นก็จะบอกว่า “สบู่” ตามความคุ้นชินในชีวิตประจำวันอยู่ดี

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เลยว่าไม่ธรรมดา เพราะ 8 ชั่วโมงแล้วกลิ่นยังคงฟุ้งอยู่ และยังไปต่อได้ถึงที่เจอสูงสุดคือ 15 ชั่วโมง เรียกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าฟุ้งกันเลยทีเดียว ก่อนที่จะผ่อนลงมาทีละหน่อยๆ จนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายๆ หลังผ่านไปประมาณ 5 - 6 ชั่วโมงไปแล้ว แล้วคงตัวยาวๆ ไป จะติดผิวจริงๆ ก็ผ่านไปซัก 10 - 12 ชั่วโมงไปแล้ว (ซึ่งตรงนี้แต่ละคนที่ใช้อาจจะแตกต่างกันไป) 

สรุป - กลิ่นแบบยังไงก็สบู๊~ สบู่ ที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นเปลี่ยนเดียวกับสบู่และโรลออนของแบรนด์ที่เดาไม่ยากว่ามี Accord การผสมกลิ่นที่ชัดเจนมาอยู่แล้ว เช่นนั้นกลิ่นที่ได้จะมีความสำเร็จรูปสูงมาก จึงไม่ได้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายธรรมชาติจ๋าๆ อะไรนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ กลิ่นสบู่สดชื่นแกมหอมปร่าสะอาดที่มีความร่วมสมัยแบบนี้ะเป็นกลิ่นที่เป็น Safe Scent ประเภทหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินอยู่เดิม จึงถือว่าใช้งานได้ง่าย เข้าถึงก็ง่าย แบบไม่ต้องเล่นใหญ่ไฟกระพริบ ก็มีความหอมสบู่ชิลล์ๆ ได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://cerapureth.com/product/believe-in-fresh/

 

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Jul et Mad - Aqua Sextius

Jul et Mad - Aqua Sextius

จากแรงบันดาลใจในการพบปะจนกลายมาเป็นคู่ชีวิตของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 คนอย่าง Julian และ Madalina ที่ส่งต่อมาสู่น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ใน Collection - Les Classiques กับ 6 กลิ่นที่เปรียบเสมือนเส้นทางความรักจากจุดเริ่มต้นของแต่ละคนสู่ความเป็นรักนิรันดร์ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้และผู้สะสมน้ำหอม Niche Perfume ทั่วโลกไม่น้อยเพราะทั้ง 6 กลิ่นนี้ต่างมีความดีงามที่ส่งต่อกันได้อย่างมีเสน่ห์และชั้นเชิง รวมถึงคุณภาพกลิ่นก็ยอดเยี่ยมในระดับต้นๆ อีกด้วย

และจากที่ผ่านการเล่ากลิ่นที่เป็นการพบกันของ 2 คนไปแล้ว และเป็นกลิ่นที่ประทับใจ + รักที่สุดในชีวิตของผู้เขียนอีกกลิ่นอย่าง Terrasse a St-Germain (ที่เป็น Chapter ที่ 2 ของ Collection) ตอนนี้ก็ได้มาเรียนรู้ช่วงเวลาแห่งความรักของคนทั้ง 2 บ้างกับ Chapter ที่ 4 ของ Collection กับการนำเสนอกลิ่นอายของเมือง Aix-en-Provence (เมืองแห่งน้ำพุ) ที่เป็นสถานที่แต่งงานและเป็นบ้านของคนทั้ง 2 ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งจะออกมาเป็นอย่างไร สื่อสารแบบไหนมาว่ากันที่กลิ่นนี้ Aqua Sextius

เปิดต้นกลิ่นมาความรู้สึกแบบกลิ่นปร่า Sparkling ของ Citrus มาชัดเจนมาก และไม่คมเกินไปด้วย เนื้อกลิ่นค่อนข้างผสมผสานในการเอาข้อดีของการเป็นโทน Citrus อย่างเกรปฟรุตที่ให้ความเปรี้ยวแปร่งและสว่างในเนื้อกลิ่น Bergamot ที่ให้ความเปรี้ยวขมปร่าแกมเขียว แกมมีลูกเอื้อนกลิ่นส้มติดเปรี้ยว Juicy หน่อยๆ แฝง หลักๆ ที่ฟุ้งขึ้นมาราวๆ นี้ ซึ่งนึกว่าจะปร่าใสๆ สดชื่นเน้นที่สาย Citrus แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ความเขียวของชาที่ให้ความอะโรม่าหน่อยๆ เชื่อมกับโทนแป้งติดหวานนิดๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความหนาขึ้นมาหน่อยของกระถินเทศหรือ Mimosa เป็นตัวเสริมที่ตามมาภายในไม่ถึง 2 นาที เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีมิติที่น่าสนใจมากในความเป็นโทนสดชื่นที่มีความอวลปร่าในระดับหนึ่ง และเน้นความเขียวที่แตกต่างทั้งเขียวปร่า เขียวรื่นรมย์ และเขียวแกมแป้งติดหวานในความเป็น Citrus ได้อย่างสมดุยล์และมีคุณภาพกลิ่นที่เป็นธรรมชาติเลยทีเดียว

ไม่ถึง 5 นาทีต่อมาก็เปลี่ยนสถานะแล้วเพราะกลิ่น Fig กับกลิ่นทะเลที่ให้ความสดชื่นแบบสาย Aquatic โดยไม่มีความคาวจะแทรกตัวเข้ามากลายเป็นแกนหลักในการเดินกลิ่น โดยรวมเอาความเป็น Citrus ในตอนต้นมาผนวกด้วย เลยแน่นอนความสดชื่นแบบกลิ่นทะเลที่มีความปร่าซ่า Sparkling เลยชัดเจน แอบรู้สึกว่ามีกลิ่นปร่ามินต์ในนี้รวมอยู่ด้วย แต่ตัวเสริมชั้นดีที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่ากลิ่นนี้ไม่ธรรมดาคือ Fig ที่มาความเขียวมิลค์กี้แกมฟรุตตี้หวานหน่อยๆ แกมกลิ่นชาที่ตามมาจากช่วงต้น และมีกลิ่นสนไพน์มาเป็นฉากหลังทำให้กลิ่นมีความหนาขึ้น อารมณ์แบบกลิ่นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่ได้ทั้งทะเล ความเขียวของ Fig ความหอมปร่าของกลิ่นสนไพน์ และมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆประปรายให้จับต้อง แถมลูกเอื้อนแบบ Aquatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นสดชื่นติดฉ่ำหน่อยๆ  บอกชัดเจนถึงการเป็นกลิ่นอายสถานที่ได้ครบถ้วนจริงๆ เพราะเมืองนี้ก็อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไม่มาก

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะปรับโทนเข้าสู่การเป็นโทนไม้หอมที่จะเป็นสนไพน์แกมไม้ซีดาร์เคล้าแอมเบอร์ มีความ Animalic หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมีจากกลิ่นแนวๆ Ambergris ที่ให้ความเป็นแอมเบอร์กึ่งเค็มผิวกาย และที่สำคัญจับต้องได้ถึงกลิ่นคล้ายๆ หินและกลิ่น Oak Moss ที่ให้ความติดขมซ่อนเขียว สร้างความรู้สึกแบบกลิ่นอายพื้นที่สีเขียวต้องแดดเคล้าอากาศสดชื่นที่ติดเปรี้ยวบางๆ ลอยมาตามลมได้ดี และเมื่อดมลงไปใกล้ผิวจะจับต้องได้ถึงกลิ่น Musk ที่รองพื้นนุ่มๆ เคล้ากลิ่นเค็มอ่อนๆ เป็นฐานกลิ่นอยู่ ซึ่งทั้งหมดสร้างความผ่อนคลายอารมณ์แบบกลิ่นอายบรรยากาศที่มีไอทะเลอ่อนๆ + กลิ่นพื้นที่สีเขียวต้องแสงแดดอบอุ่น เป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ครบถ้วนและมีเสน่ห์ในตัวเองสูงและมีความร่วมสมัยที่ไม่ตกยุคได้ดีมากๆ เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก เพราะเนื้อกลิ่นมาแบบสภาพแวดล้อมมากกว่าที่จะเจาะจงไปที่เพศใดเพศหนึ่ง แม้ว่าบางวูบอาจจะมีอารมณ์กลิ่นแบบน้ำหอมชายสไตล์กึ่งทะเลแบบ 90 อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แมนจ๋านัก ได้อารมณ์สบายๆ เสียมาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปก็ได้ แต่อาจจะไม่ได้เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายมากเท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นมีความหนาในระดับที่ตีขึ้นไม่เบาถ้า Heat ของร่างกายออกเยอะ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะลงตัวมาก

ความทน - อยู่ที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานของกลิ่นนี้ และลากไปถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวไปราวๆ 2 ชม. ถึงผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะ 5 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งบางครั้งกว่าจะรู้ตัวว่า Skin Scent แล้ว ก็เลย 10 - 12 ชม. ไปแล้ว  

สรุป - เป็นการจับ Match ที่สมดุลย์มากทั้งการเป็นโทน Sparkling Citrus โทนฟรุตตี้ติดเขียวมีความปร่าหน่อยๆ ของ Fig ผสานกับกลิ่นทะเลที่ไม่คาว ไม่สาหร่าย และให้ความรื่นรมย์อบอุ่นแบบไม้หอมแกมกลิ่นอากาศที่มีไอทะเลให้รู้สึกได้ ถือว่าเป็นอีกกลิ่นที่มีความดีงามในตัวสูงมากในแง่ของการฉีกโทนสาย Aquatic ให้มีอะไรที่มากกว่าความสดชื่น + ให้ความรู้สึกเป็นสถานที่ที่มีกลิ่นอายสายรื่นรมย์ต่างๆ ได้ครบถ้วน และถ้าไพล่ไปคิดถึงความโรแมนติค มันตอบโจทย์ในเรื่องของความเป็นเมืองที่รื่นรมย์ผ่อนคลายที่สอดรับกับชีวิตคู่แบบข้าวใหม่ปลามันของคนทั้ง 2 ได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://bloomperfume.co.uk/products/aqua-sextius

 

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Paco Rabanne - Phantom

Paco Rabanne - Phantom

แรกสุดเมื่อได้เห็นขวด นั่นคือ “โหยยยยย อย่างเท่ห์” และมีความล้ำตามสไตล์ของ Paco Rabanne กันแบบเต็มๆ แถมมีความเป็นอารมณ์อวกาศเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าความสนใจใคร่อยากลองน่ะมาเต็มจริงๆ และที่สำคัญเมื่อเห็นสุคนธกรที่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์กลิ่น เรียกว่า Dream Team เลยก็ว่าได้ เพราะมีถึง 4 คนระดับปรมาจารย์กันได้เลยไม่ว่าจะเป็น Anne Filpo, Dominique Ropion, Juliette Karagueuzoglou และ Loc Dong 

ที่มาที่ไปของน้ำหอม จริงๆ มันคือการเปลี่ยนเรือธงใหม่จากที่อยู่กัยบ Invictus มาหลายปี เพื่อมาเป็นความล้ำแบบใหม่ในสไตล์ของแบรนด์นั่นเอง เลยเอาความเป็นสไตล์ล้ำยุคและอวกาศ สร้างขึ้นมาเป็น Paco Galaxy ที่ไม่ว่าจะมาจากไหนก็มา Join กันได้ราวๆ นั้น เช่นนั้นในการเป็น Phantom เนื้อกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน มาว่ากันได้ตามนี้

เปิดมาก็ Citrus ที่เนื้อกลิ่นมีความหนาและอวลอยู่พอสมควร โดยเป็นการผสมผสานของกลิ่นโทนเลมอนที่มีอารมณ์ติดขมเปลือกเลมอน + กับกลิ่นโทนนวลกึ่งแป้งที่มีความติดเขียวหน่อยๆ มีลูกกลิ่นแบบโทนเขียวกึ่งวินเทจจางๆ ในนั้น ซึ่งพอจับได้ว่าสาเหตุที่ทำให้กลิ่นมีน้ำหนัก แม้ว่าน่าจะเปิดด้วยโทน Citrus คือ ลาเวนเดอร์ ที่จะเป็นแก่นหลักของกลิ่นอยู่ในทุกๆ ช่วงแบบเป็นตัวละครสนับสนุนที่ไม่ได้เป็นตัวเอก แต่อยู่กันยาวๆ แบบที่ต้องมี ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นช่วงนี้มีอารมณ์กลิ่นที่เป็นสไตล์เรียกแขกในแบบทันสมัยที่ให้อารมณ์อวลๆ เย้าๆ แบบที่เรามักเจอในน้ำหอมเจ้าเสน่ห์ของแบรนด์นี้ อาทิเช่น Pure XS หรือ Black XS เพียงแต่จะมีกิมมิคที่แตกต่างเมื่อเข้าสู่ช่วงถัดไป นั่นคือ 

โทนกลิ่นออกทางดินๆ Earthy ที่แทรกเข้ามาพร้อมกับลูกผสมกลิ่นโทน Fruity ที่ให้อารมณ์เกือบจะ Creed Aventus ที่มีแอปเปิ้ลเขียวแกมสับปะรดติด Smoky แกมพิมเสนเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่ได้ทื่อๆ ไร้ชั้นเชิงขนาดนั้น เพราะโทน Earthy ที่ให้ความรู้สึกดินๆ แกม Dirty นี่แหละ ที่เป็นตัวคุมเกมส์ โดยมีตัวเสริมชั้นดีที่ตามมาจากช่วงต้นอย่าง Citrus และลาเวนเดอร์ ที่ยังคงตรึงให้กลิ่นมีความเย้าๆ เจ้าเสน่ห์อยู่ เพียงแต่มีความ Dirty Earthy ของโทนแกมดินๆ กึ่งพิมเสนที่ให้ความเก๋ๆ แตกต่างเข้ามาเด่นมาก ทำให้กลิ่นฉีกออกมาได้เป็นตัวตนของตัวเอง ที่ยังคงมีโทนกลิ่นสมัยนิยมสายเย้าต่างๆ เสริมให้ทันสมัย + ร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนอบอุ่นแกมกลิ่นไม้หอมอวลๆ ที่มีความเป็นวานิลลาแบบไม่ได้หนัก แต่มาให้น้ำหนักของกลิ่นที่มีโทนอบอุ่นอวลๆ เสริมให้กลิ่นหญ้าแฝกที่มาร่วมทีมกับโทนกลิ่นแนวลาเวนเดอร์ + กลิ่นโทนคล้าย Oak Moss ที่มีความเขียวเข้มๆ เนียนๆ รวมอยู่ เนื้อกลิ่นมีความเป็นแป้งหน่อยๆ ร่วมด้วยจาก Effect ทั้งลาเวนเดอร์และวานิลลา โดยที่ยังมีกลิ่นติดฟรุตตี้อ่อนๆ แกม Smoky จากช่วงกลางมาให้จับต้องได้ประปราย ทำให้ช่วงท้ายเป็นกลิ่นแนวไม้หอมแห้งๆ อวลๆ มีความอบอุ่น มีความ Fougere สุขุมหน่อยๆ แต่แน่นอนเป็นกลิ่นสายอวลอุ่นเย้าที่มีความทันสมัยและใช้งานง่ายสาย Trendy เต็มๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใส่แต่เฉพาะตะลุยราตรี เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานยามกลางวันด้วย แต่ไม่ควรอัดสเปรย์เยอะเกินไป เดี๋ยวจะอวลจนอึนเอาเสียก่อน ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นทั่วไปหรือว่าใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งแนะนำเบาสเปรย์หรือรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ไปออกงานหรือท่องราตรี อันนี้จัดไปเข้าทางแบรนด์นี้นักแล 

ความทน - สมฐานะที่พื้นฐาน 8 ชม. ได้สบายๆ และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวใช้แค่ 5 สเปรย์ก็แตะ 8 - 10 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าเปิดมาก็เรียกแขกกันเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อเนื่องไปราวๆ 3 ชม. ก็จะลงมาปานกลางจนถึงราวๆ 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปเรื่อยๆ แล้วติดผิวเมื่อผ่านไปซักประมาณ 8 - 10 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - เอาจริงๆ ตอนแรกเห็นขวดคิดว่ากลิ่นจะล้ำกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะสไตล์ของแบรนด์เป็นสไตล์น้ำหอมเจ้าเสน่ห์เรียกแขก แน่นอนว่ายังคงต้องมีลูกเอื้อน Signature สายเย้า Citrus + Fruity ที่เรียกแขก แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความต่างคือโทน Earthy ดินๆ แกมพิมเสนช่วงกลางนี่แหละที่เป็น Game Changer ให้เนื้อกลิ่นหลุดมาในการเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ดี เช่นนั้น ไม่ได้ล้ำยุค Avant-Garde หรืออวกาศมาจากไหน แต่ให้ความทันสมัยมีเสน่ห์ อวล เย้า เซ็กซี่ และดึงดูด ในอีกรูปแบบตามสไตล์น้ำหอมชายของแบรนด์นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://6shop.mom/products.aspx?cname=phantom+paco+rabanne+perfume&cid=62

 

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Osaji - Aoyu

Osaji - Aoyu

จุดเริ่มต้นของเจ้าของแบรนด์อย่าง Masakazu Shigeta ที่เป็นนักพัฒนาเครื่องสำอาง ที่คุณแม่ของเจ้าของแบรนด์ที่พื้นฐานชอบสิ่งประทินผิวที่มาจากพืชพันธุ์จากธรรมชาติเป็นหลัก แต่วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุกับคุณแม่ จนทำให้เกิดผลกระทบข้างเคียงเกี่ยวกับผิวหนัง ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ได้อีก เจ้าของแบรนด์จึงมีปณิธานเพื่อคิดค้นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวไม่ว่าจะเป็นผ่านการกินเข้าไปและสร้างสรรเครื่องสำอางที่ไม่ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้  ซึ่งก็เป็นแบรนด์ Osaji ในทุกวันนี้

แน่นอนว่าแบรนด์ญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ซึ่งยังไม่เห็นมีการจัดจำหน่ายที่ประเทศอื่น ซึ่งสินค้าก็มีครบในการช่วยดูแลผิวโดยลดการระคายเคืองต่อผิวให้มากที่สุด และที่สำคัญมีน้ำหอมที่พื้นฐานกลิ่นของแบรนด์นี้ส่วนใหญ่มักจะดึงเอาดอกไม้มาเป็นกลิ่นเด่น + คุมโทนในการเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์แบบไม่จำเป็นต้องรบกวนชาวบ้าน แต่ก็จะมี Limited Edition ออกมาจำหน่ายในแต่ละช่วงด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อได้ไปเยือนญี่ปุ่น ก็ต้องจัดกลิ่นสาย Limited ก่อน เพราะถ้าพลาดอาจจะไม่มีโอกาสได้หาลองใช้งานอีกในอนาคต เช่นนั้นเลยได้หนึ่งในกลิ่นที่ปล่อยออกมาวางจำหน่ายในปี 2022 ที่หมดแล้วก็หมดเลย (ไม่รู้จะผลิตมาวางจำหน่ายอีกไหม) ที่ปล่อยออกมารับฤดูฝนและฤดูร้อนของญี่ปุ่นในปีดังกล่าว ซึ่งนั่นก็คือ Aoyu ที่ใช้จนตกผลึกแล้วก็ขอมาเล่าต่อว่า

นี่คือกลิ่นสาย Citrus ที่เด่นกับความเปรี้ยวขมสร้างบรรยากาศที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมากกลิ่นหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงเปิดที่ให้ความรู้สึกแบบกลิ่นเปลือกผลไม้สาย Citrus ที่มีความเขียวขมซึ่งจับอารมณ์ได้อย่างแรกคือ มะนาวที่วาบขึ้นมาทักทายจมูกก่อนแรกสุด ก่อนจะเป็นกลิ่นแนวเปลือกส้มยูซุแบบผลเขียวๆ และกลิ่นที่คล้ายมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่มีความเปรี้ยวคมออกทางส้มเปรี้ยวจัดๆ เท่าที่ไปอ่านดู คือ ส้มสุดาชิ ที่มักเอามาทำอาหารในครัวเรือนของญี่ปุ่น ซึ่งรวมตัวกันออกมาให้ความรู้สึกเขียวเปรี้ยวขมปร่าที่ไม่จัดจ้าน และที่สำคัญเสริมความเป็นธรรมชาติเข้าไปอีก ด้วยการใส่โทนสมุนไพรติดตุ่นหน่อยๆ ของโรสแมรี่ ซึ่งนี่แหละคีย์หลักเลยที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นจริงๆ แบบเวลาเราผ่าพวกกลุ่มผล Citrus แนวๆ มะกรูด ซึ่งคือใช่เลยไม่ต้องพยายามและตรงไปตรงมาสุดๆ 

ซึ่งช่วงต้นนั้นจะอยู่ไปราวๆ ไม่เกิน 5 - 10 นาทีแบบที่จะค่อยๆ ผ่อนตัวลง แล้วเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเขียวขมจะกลายเป็นกลิ่นเบาๆ สร้างบรรยากาศแทน แต่กลิ่นที่เด่นขึ้นมาคือกลิ่นของกิ่งก้านและใบส้ม (Petitgrain) ที่ให้ความเขียวแกมเปรี้ยวอ่อนๆ มีความคมเบาๆ ที่เป็นธรรมชาติเป็นหลัก แต่จะมีความรู้สึกแบบกลิ่นกลิ่นติดหวานบางๆ และมีความสดชื่นให้รู้สึกแบบกลิ่นดอกไวโอเล็ตจริงๆ (ที่ไม่ใช่โทนแป้งติดหวานแกมเขียวแบบที่มักจะได้กลิ่นในน้ำหอมที่เด่นด้วยดอกไวโอเล็ต) และมีความรู้สึกนวลสะอาดแกมหวานอ่อนๆ คล้ายมีกุหลาบบางมากๆ รวมอยู่ด้วย แต่ก็เป็นสายสนับสนุนเพราะว่ากลิ่นไม่ได้เด่นออกมาเลยถ้าไม่ดมติดผิว ความรู้สึกที่ได้จึงมาเป็นหลักที่ความเขียวติดปร่าบรรยากาศเป็นสำคัญ

จริงๆ จะจบที่ช่วงกลางเลยก็ได้ เพราะเมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะกลายเป็นโทนแบบผิวกายปกติของมนุษย์มากๆ จนบางทีแทบไม่รู้สึกว่ามีน้ำหอมอยู่ แต่ถ้าดมแบบพินิจพิเคราะห์จะมีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ปร่าบางๆ ของไม้ซีดาร์ที่มีความ Smoky บางมากๆ แนวๆ Incense แต่ก็มีพื้นฐานความสะอาดเบาๆ ซึ่งน่าจะมี Musk อ่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกว่าน้ำหอมไม่ทน แต่ถ้ามองที่ Concept แบบสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว นี่แหละใช่เลย กลิ่นจะติดผิวมากๆ เหมือนไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่มีโทนให้รู้สึกสบายๆ และผ่อนคลายบางๆ เนียนๆ มินิมัลนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เข้าหมดทุกเพศและทุกวัย (ยกเว้น Baby เด็กทารก) ซึ่งสำหรับเด็กน้อยจะฉีดที่เสื้อที่สวมเบาๆ ซัก 1 สเปรย์ก็ได้ ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาลในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ แต่งดได้เลยกับการใส่ไปเพื่อหวังเรียกเรตติ้ง เพราะเข้าใจก่อนว่านี่สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ได้เน้นปล่อยพลังใส่คนอื่น

ความทน - เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากๆ ซึ่งนั่นก็แปรผันกับความทน ก็ตาม Concept แบรนด์เน้นความเป็นธรรมชาติจากพืชพันธุ์ต่างๆ จึงให้ความทนที่ไม่เกิน 4 ชม. หรืออาจจะทนมากขึ้นหน่อยถ้าฉีดเสื้อที่สวมแต่ก็ + ไปราวๆ 1 ชม. แนวๆ นั้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวในช่วงต้น ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่งๆ จะติดผิวอยู่รอมร่อในช่วงกลางไปจนถึงราวๆ 2 ชม. ถึงเป็น Skin Scent เต็มตัวจนกว่าจะจางไปจากผิว ซึ่งใช่เลย Safe Scent สุดๆ   

สรุป - สิ่งที่ทึ่งมากคือกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ และมากจริงๆ กับการให้ความรู้สึกแบบสบายๆ แบบอารมณ์เราได้กลิ่นตอนผ่าส้มเปรี้ยวๆ มะนาว หรือมะกรูดแนวๆ นั้น ก่อนจะมาเป็นกลิ่นเขียวคมอ่อนๆ ที่มีความเป็นบรรยากาศสูงมาก และเข้ากับอากาศที่ร้อนหรือมีความอับชื้นสูงแบบฝนตกได้ดีอีกด้วย แต่ถ้ามองที่ข้อด้อยความกระจายกับความทนไม่ได้โดดเด่นนัก ซึ่งก็วนมาที่เรื่องเดิมคือ ก็น้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่น เลยไม่ได้เน้นรบกวนใครนั่นแหล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://osaji.net/special_products/aoyu2023ss/

 

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Lorenzo Villoresi - Dilmun

Lorenzo Villoresi - Dilmun

ในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Lorenzo Villoresi จะมีอยู่กลิ่นหนึ่งที่ดึงเอาสถานที่ ในตำนานเรื่องเล่าของชาวเมโสโปเตเมียที่ถือเป็นสรวงสวรรค์และดินแดนแห่งความสุข ไม่ว่าจะผู้คนหรือสรรพสัตว์ต่างอยู่ร่วมกันท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วนำถ่ายทอดกลิ่นออกโดยมีแก่นหลักที่เป็นโทนสว่าง มีความรื่นรมย์ และมีเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย และเอาความสุขที่คาดว่าน่าจะมีอยู่ในสถานที่แห่งนั้นมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความเฉพาะตัวและมีเสน่ห์ และนั่นก็คือ Dilmun

ซึ่งเมื่อได้พินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ก่อนการใช้งาน สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้เลย คือ แก่นของกลิ่นคือ “ดอกส้ม” ที่จะมีการผสมผสานทั้งดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ให้กลิ่นโทน Green Citrus และดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ให้กลิ่นลูกผสมระหว่างดอกไม้ขาวกึ่ง Citrus ซึ่งก็บอกกลายๆ ได้เลยว่า เนื้อกลิ่นต้องมีพื้นฐานสว่างแน่นอน และผลจากการใช้งานก็ออกมาเป็นในลักษณะนี้

ช่วงเปิดคือสวรรค์ของคนที่ฟินกับดอกส้มแกมโทน เขียว และ Citrus อย่างชัดเจนมาก พื้นฐานกลิ่นคือดอกส้มที่ผสมผสานกันระหว่าง Neroli และ Orange Blossom ชัดเจน เพราะจะได้ทั้งความเขียวแกมเปรี้ยว ตามด้วยเปรี้ยวหอมนวลสะอาด โดยจะมีโทนกลิ่นสาย Green แบบใบไม้เขียวๆ และโทน Citrus ล้อมรอมสร้างความสว่างไสวและ Sparkling ซ่าๆ แกมขมอมเปรี้ยวในเนื้อกลิ่นชัดเจน แต่สิ่งที่สร้างความซับซ้อนในความสดชื่นในเนื้อกลิ่นต้องยกให้โทนกุหลาบและมะลิที่เป็น Hint ซ่อนอยู่ เนื้อกลิ่นเลยจะไล่เรียงจากเขียว > เปรี้ยว > ปร่าซ่า > นวล ทั้งทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานกลิ่นที่มีโทนสว่างขาวเป็นสำคัญ อ้อ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบโทน Cologne เสียด้วย

เนื้อกลิ่นในช่วงกลาง ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทนสดชื่นเขียวปร่าแกมเปรี้ยวหอม Citrus และความนวลแกมดอกไม้ขาวที่ชัดมากขึ้น แน่นอนว่าความเป็นดอกส้มทั้ง 2 แบบยังคงผสมผสานกันเป็นอย่างดี และชัดเจนมากที่สุดมากกว่าช่วงต้นเสียด้วย โดยในความเขียวเปรี้ยวปร่าแกมนวลสะอาดนั้นจะมีตัวช่วยที่น่าสนใจคือ Petitgrain หรือกิ่งก้านส้มที่มาให้ความเขียวแกมเปรี้ยวให้ชัดเจนมากขึ้น และฝั่งดอกมะลิที่เสริมให้กลิ่นดอกไม้ขาวแกมเปรี้ยวอมหวานสะอาดมีชั้นเชิงที่ตีคู่ไปกับโทนสดชื่นได้อย่างสมดุลย์ แต่เมื่อจับกลิ่นลงไปแบบดมใกล้ผิว จะจับต้องได้อีกโทนนั่นคือโทนยางไม้และวานิลลาที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นแฝง และทำให้เนื้อกลิ่นที่ขาวสว่างสดชื่น เริ่มมีสีครีมนวลเข้ามาเสริมแบบค่อยเป็นค่อยไปได้พอเหมาะ และเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในช่วงท้าย คือ การลดลทบาทของโทน Citrus และ Green ลงเหลือเพียงบางเบาคลอๆ กลิ่น รวมถึงดอกส้มเองก็จะลดหน้าที่ลงมาเหลือเพียงความนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดในลักษณะของ Orange Blossom ที่สร้างออร่านวลสะอาดในเนื้อกลิ่น แต่แก่นหลักจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นโทน Oriental Woody แทน เพราะจะมีวานิลลา ไม้จันทน์หอม และไม้ซีดาร์ เป็นแกนหลักที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดอบอุ่น ที่มีลูกผสมระหว่างความเป็นนวลแบบ Lite ของวานิลลาที่สอดรับกับกลิ่นไม้นวลๆ ของจันทน์หอมที่มีซีดาร์มาผสานทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นกระดาษหน่อยๆ เข้ามาพร้อมกลิ่นอบอุ่นสบายๆ กำลังดีคลอๆ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสว่างนวลได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าโทนดอกไม้ขาวเป็นแก่นหลัก เพียงแต่เอาเข้าจริงยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีขาวสะอาด ยิ่งเข้ากันอย่างสุดๆ ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือเน้นออกงานสุภาพจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายเร้าใจอยู่เป็นทุนเดิม

ความทน - อันนี้อาจจะไม่ได้ว้าวซ่ามาจากไหนเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ แน่นอนว่ามีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กระจายดีในเบื้องต้นให้ความสดชื่นสว่างและรื่นรมย์มากจริง แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 2 - 3 ชม. แล้วถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 5 - 6 ชม. ถึงค่อยๆ จางไปตามลำดับ

สรุป - Dilmun ในมุมมองของสุคนธกรน่าจะเป็นดินแดนที่สดชื่น สว่างไสว และรื่นรมย์เป็นแน่แท้ เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานที่สร้างความรู้สึกทั้ง 3 อย่างที่กล่าวได้ครบถ้วนมากๆ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นไม่ได้ไพล่ไปทาง Traditional Cologne ที่มีดอกส้ม Neroli เป็นพื้นฐาน นัก แต่เอาแก่นหลักของ Orange Blossom เป็นผู้เล่นหลักที่ให้ความรู้สึกแตกต่างได้ดี โดยยังมี Concept แบบสไตล์ร่วมสมัยได้ครบถ้วน ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตกคนชอบดอกส้มได้ไม่ยากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lorenzovilloresi.it/eu_en/dilmun-eau-de-toilette

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Elizabeth and James - Nirvana French Grey

Elizabeth and James - Nirvana French Grey

จุดเริ่มต้นจากความโด่งดังของคู่แฝดอย่าง Mary-Kate และ Ashley Olsen จากการเล่นซิทคอมอย่าง Full House ตั้งแต่เป็นเด็กทารกในปี 1987 จนกระทั่งเป็นเด็กสาวใน Season สุดท้ายในปี 1995 แล้วก็ต่อยอดทางด้านสาย Series และ TV Movie มาอย่างยาวนานจนถึงปี 2004 จนกลายเป็นหนึ่งใน Celebrities ที่โด่งดังมาก แต่เพราะการต่อยอดของ Celebrities ไปทางสายแฟชั่นเรียกว่าก็เรียกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่เดิม แต่เพิ่มเติมสำหรับทั้งคู่ คือ ถ้ามีเซนส์ทางนี้ได้ดี จะไปได้อย่างยาวนาน และแน่นอนว่าไปได้ดีมากๆ จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะแบรนด์สาย High Fashion อย่าง The Row

และในปี 2017 ทั้ง 2 สาวก็สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาที่เน้นแฟชั่นสไตล์ Contemporary ที่เอาความเก๋ในสไตล์ Vintage มาประยุกต์กับความเรียบโก้ ซึ่งนั่นก็คือ Elizabeth and James ที่เป็นตัวแทนทั้งฝั่งผู้หญิงและผู้ชายในแบรนด์นี้ แต่แบรนด์เองก็ไม่ได้มีแค่แฟชั่น แต่มีน้ำหอมรวมอยู่ด้วย ซึ่งแม้ว่าแบรนด์นี้จะสิ้นสุดไปแล้ว แต่สิ่งที่รับรู้มาตลอดเลยคือ น้ำหอมของแบรนด์นี้ไม่ธรรมดา ก็ขอได้มาเจอกันซักหน่อยก่อนที่จะเริ่มหายไปจากตลาดและกลายเป็นของ Rare Items ในอนาคต เช่นนั้นเลยเอากลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ลอง (ที่ไม่ใช่กลิ่นแรกของแบรนด์) มาเล่าต่อว่ากลิ่นจะมาในทิศทางไหน นั่นก็คือ Nirvana French Grey

เปิดตัวด้วยการเป็นโทนสดชื่นติดเขียวที่มีความคมกำลังดี ไม่บาดไป ไม่พุ่งปรี๊ดไป เนื้อกลิ่นให้อารมณ์ลูกผสม 3 โทนหลักๆ คือ เขียว Citrus และดอกไม้ขาวเบาๆ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะไล่จากเขียวออกทางใบไม้ติดคมหน่อยๆ ที่มีความเปรี้ยวคลอ และมีกลิ่นดอกไม้ขาวนวลบางๆ รองพื้น ซึ่งเป็นการผสมผสานจากโทนเขียวใบไม้ กิ่งก้านส้ม และดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่เป็นลูกครึ่ง Citrus กึ่งดอกไม้ขาว ซึ่งไล่เลเยอร์ได้มีความสดชื่น โดยไม่ต้องมีความซับซ้อนอะไรมาก ให้ต้องปีนบันไดดมแต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะลดทอนความคมลงมาเรื่อยๆ จนได้ความเขียวสดชื่นอ่อนๆ คลอ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่ตอนนี้แก่นหลักของกลิ่นคือลาเวนเดอร์ ที่จะให้ความนวลสะอาด เนื้อกลิ่นจะไม่ได้ลาเวนเดอร์ที่ออกมาเขียวแปร่งสมุนไพรแบบดมจากดอก แต่ให้ความหอมนวลสะอาดๆ นุ่มๆ สบายๆ ไม่หนักไม่ข้น  ที่มีความเขียวสดชื่นเจือปนจากดอกส้มแบบ Neroli และกลิ่นใบไม้เขียวๆ ติดเปรี้ยวอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น และไม่พอยังมีความสะอาดอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่มาเสริมให้พื้นกลิ่นมีความสะอาดนวลติดเปรี้ยวบางๆ รวมถึงมีความปร่าหน่อยๆ ที่น่าจะมาสายเครื่องเทศแกมสมุนไพรเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมีมิติที่สบายๆ ร่วมด้วย สร้างความรู้สึกแบบสดชื่นแกมนุ่มนวลผ่อนคลายได้กำลังดี 

และเมื่อ Musk เริ่มเข้ามา แล้วจับคู่กับลาเวนเดอร์ + โทนเขียวสดชื่นต่างๆ ลดทอนลงไปเกือบหมดเหลือเพียงบางๆ จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆ จะกลายเป็นกลิ่นสะอาดแบบ Musk + ลาเวนเดอร์ + ดอกส้ม ที่ให้อารมณ์ลูกผสมกึ่งแป้งนวลละมุน และกลิ่นนุ่มสะอาดแบบกลิ่นเสื้อผ้าสะอาด ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมบางๆ แฝงอยู่ด้วยหน่อยๆ ซึ่งทำให้บางวูบจะมีกลิ่นคล้ายกระดาษนิดๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายคือโทนสะอาดเน้นๆ ที่มีมิติแบบไม่ซับซ้อน ที่จะได้ทั้งความสะอาดผ่อนคลาย ความนวล และความเบาในเนื้อกลิ่นที่ครบถ้วนเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าแบรนด์จะลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่บอกเลยนี่คือ Unisex ชัดๆ ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบครอบจักรวาลกวาดหมดในการใช้งานแบบที่คนได้กลิ่นก็ไม่ยี้แต่อย่างใด จะมีก็แค่ยามค่ำคืนที่จะใช้ไปท่องราตรี ที่ข้ามไปเถอะ กลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกเลยแม้แต่นิดเดียว  

ความทน - ตอนแรกคิดว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมาก เพราะกลิ่นมีความกลางๆ กึ่งเบา แต่เอาเข้าจริงแล้วแตะ 8 ชม. ได้สบายๆ แต่มีบวกลบราวๆ 2 ชม. เพราะบางครั้งอากาศร้อนจัดๆ กลิ่นก็ไปตั้งแต่ราวๆ 6 ชม. และบางวันที่ฝนตก อากาศชื้นๆ กึ่งสบายๆ กลิ่นก็ยาวไปที่ 10 - 12 ชม. ได้ด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางไปราว 1 - 2 ชม. ที่เหลือคือ ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป กลิ่นจะติดผิวจริงๆ เมื่อผ่านไปหลัง 6 ชม. ไปแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอว่าติดผิวราวๆ ชั่วโมงที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ถ้าชอบความหวือหวา ซับซ้อน Sexy หรือความเรียบหรูแบบเต็มๆ กลิ่นนี้คงไม่ได้มีให้ เพราะเนื้อกลิ่นมาในสายโทนสะอาดเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเสียมากกว่า ซึ่งให้ความไล่เรียงจากสดชื่น สะอาด นุ่มนวล และผ่อนคลายแบบสบายๆ อารมณ์เสื้อผ้าสะอาดบนผิวกายหอมแกมแป้งนุ่มๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายมากๆ และเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง แบบที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แบบที่มีเสน่ห์ในตัวเองแบบไม่เยอะสิ่งได้ดี ที่สำคัญส่วนตัวชอบในการเล่นโทนเขียวสดชื่น สู่ลาเวนเดอร์ และ Musk ปิดท้ายได้สมูธมาก ถึงกับถ้าคิดไม่ออกในวันอากาศร้อนๆ หรือวันฝนตก ว่าจะใช้น้ำหอมตัวไหนดี ก็จะหยิบกลิ่นนี้มาใช้ประจำเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjones.com/product/elizabeth-and-james-nirvana-french-grey-edp-50ml-21696458

 

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Hermes - Voyage d’Hermes

Hermes - Voyage d’Hermes

ข้ามไปฟินกับ Voyage d’Hermes Parfum ก็ไม่ได้วนกลับมาที่กลิ่นตั้งต้นที่มีความใสกว่าในรุ่น EDT เพราะคิดว่าอยู่ที่ความเข้มข้นและมีความหรูหราชัดเจนในการเป็น EDP น่าจะถูกใจที่สุดแล้ว และเมื่อผ่านมาถึง 6 ปี สิ่งที่ตะหงิดๆ ในใจก็คือ เราน่าจะลองความเป็น EDT บ้าง เพราะในชีวิตการใช้น้ำหอม ก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเข้มชัดอะไรมากขนาดนั้น ก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง จึงได้เป็นที่มาในการขอซักหน่อยและก็อย่างรู้ตนเองเช่นกันว่าจะหลงเสน่ห์กลิ่นนี้แบบที่เคยเกิดขึ้นในรุ่น EDP หรือไม่?

ที่มาที่ไปแบบย่อๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมก็มาจากฝีมือของสุคนธกรชื่อดังอย่าง Jean-Claude Ellena ที่เป็นอดีตหนึ่งใน Perfumer หลักของ Hermes มาอย่างยาวนาน (ซึ่งปัจจุบันปลดระวางไปเรียบร้อยแล้ว) โดยปล่อยออกมาจำหน่ายในปี 2010 จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทั้ง EDT และ EDP เช่นนั้นไม่ร่ายยาว ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

Voyage d’Hermes (EDT) จะมีแกนหลักสำคัญของกลิ่นเลยนั่นคือ เม็ดกระวาน แต่เนื้อกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่าจะไปเย้าอวลข้น เรียกว่าเป็นกลิ่นแนวเครื่องเทศที่ให้ความพอดีๆ หวานเย้าและไม่หนัก มีความเผ็ดหวานลุ่มลึกกำลังดี เคล้ากลิ่นแนวพริกไทยที่ให้ความนวลเผ็ดแฝงอ่อนๆ และที่แน่ๆ รู้สึกได้ถึงโทนเขียวปร่าบางๆ คล้ายโหระพาที่แฝงรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความใสและเกลาให้เนื้อกลิ่นมีความโปร่งเลยต้องยกให้โทน Citrus ของเลมอนที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดขมอ่อนๆ สร้างความ Sparkling ในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวและมีคุณภาพทางกลิ่นสูงมาก แบบที่ได้ความสดชื่น ผ่อนคลาย และเรียบหรูได้อย่างครบถ้วนกันตั้งแต่ช่วงต้นเลย

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ของโหระพาที่รู้สึกได้ในช่วงต้นจะชัดขึ้น และมีกลิ่นออกทางชาที่ค่อนไปทางชาดำหน่อย แต่มาแบบใสๆ ไม่ได้เข้มจัดเสริมเข้ามาแบบกำลังดี สร้างความ Aromatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย ซึ่งโทนเครื่องเทศโปร่งๆ จากช่วงต้นโดยเฉพาะกระวานยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานเย้าๆ ติดปร่าเผ็ดหน่อยๆ เสริมเข้ากับกลิ่นชาได้พอดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ เสริมให้กลิ่นมีความเรื่อๆ ละมุนปลายกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งช่วงกลางได้อารมณ์กลิ่นเรียบหรูผ่อนคลายสว่างๆ ไปกำลังดี โดยกลิ่นมีความรื่นรมย์เป็นแกนหลักสำคัญ

จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มีความแห้งเบาๆ สบายๆ และมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ Musk ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ ก็ถึงเวลาของช่วงท้ายที่จะมาแบบเรื่อยๆ เบาๆ มีความสะอาดและสว่างอยู่เช่นเดิม โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความกึ่งกลางระหว่างความอบอุ่นและความสบายๆ พอเหมาะพอเจาะระหว่างความเป็น Musk และไม้หอมมาก ซึ่งโทนชาก็จะยังมีอยู่ให้ความเรื่อยๆ เนียนๆ ไปกับเนื้อกลิ่น ส่วนกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ จะลดลงไปจนเหลือเพียงประปรายบางๆ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่ให้ความสะอาดเบาๆ และมีเสน่ห์แบบวางตัวดีในความเป็นโทนไม้แห้งแกมชาอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ว่าจะหญิงหรือชายตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูและสดชื่นแบบมีระดับและแตกต่างจากโทนสดชื่นอื่นๆ ในท้องตลาด จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกำลังกายก็ได้ด้วย จึงถือว่าครอบจักรวาลมากในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือออกงานจะลงตัวที่สุด ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยโดนกลบมิดเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อาจจะมีลากยาวไป 10 ชม. บ้างว่ากันตามสภาพอากาศในวันนั้นๆ ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบตัวกันยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 จึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องยอมเลยว่าเนื้อกลิ่นมีความดีงามและวางโทนกลิ่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสไตล์ที่มีความมินิมัลในเนื้อกลิ่นสูงมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเรียบหรูอยู่ตลอดในการใช้งาน แม้ว่าความทนอาจจะไม่ได้เด่นนักก็ตาม แต่ความดีงามทางกลิ่นสูงแบบที่ใช้แล้วมีเสน่ห์และรื่นรมย์กับตัวผู้ใช้งานเองได้ครบถ้วนจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/us/en/product/voyage-d-hermes-eau-de-toilette-V107568V0/

 

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Dolce & Gabbana - The One for Men EDP Intense


 Dolce & Gabbana - The One for Men Eau de Parfum Intense

ความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเป็น D&G The One for Men ในปี 2008 ที่ไม่เคยลดลงแต่อย่างใด คงความเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับการยอมรับในการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องและยังมีลูกหลายห้อยตามออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีแต่ความเข้มข้นทางกลิ่นขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าที่จะลงลงไปเบา ที่สำคัญแต่ละรุ่นที่ออกมาไม่ว่าจะสายตรง หรือสาย Exclusive ต่างก็ไม่ได้ลดราวาศอกในการได้ใจผู้ใช้งานแต่อย่างใด

เมื่อการต่อยอด The One for Men ที่คิดว่าน่าจะสุดที่ตัว EDP แล้วเริ่มที่จะไปที่ลักษณะกลิ่นแบบอื่นๆ ตามเทรนด์ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่จบแค่นี้ เพราะ D&G ก็ยังไปต่อได้อีกกับการเป็น The One for Men EDP Intense ที่ปล่อยออกมาในปี 2020 (อนาคตคงจะมี Pure Parfum ออกมาแน่แท้) และกลิ่นนี้จะคงที่กับการเป็นเม็ดกระวานตามลายเซ็นของ The One for Men หรือว่าจะเริ่มมาแตะการเป็นโทนอื่นๆ เพื่อที่จะเริ่มเปลี่ยนทิศทางกลิ่นของ Collection เช่นนั้นมาพิสูจน์กัน

ความรู้สึกแรกดม กลิ่นมีความอุ่นเป็นพื้นฐานชัดเจนมาก เพียงแต่จะมีลูกเล่นของโทนสดชื่นหน่อยๆ ให้จับต้องได้จากดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่ไม่ได้มาแบบเขียวเปรี้ยวนวลสดชื่นในสไตล์แนว Cologne ที่มักจะเจอแต่อย่างใด แต่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ เนียนๆ แต่แกนหลักสำคัญเลยต้องยกให้เม็ดกระวาน ที่มาชัดเจนตั้งแต่ต้นให้ความหวานเผ็ดแต่ไม่แน่น ไม่หนัก มีความเย้ายวนชัดเจน และมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหวานแบบกำลังดี มีความเย้ายวนที่อวลๆ เป็นตัวเปิดทางชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางค่อนข้างชัดเจนมากในการเป็นโทน Warm Spicy ที่ยืนพื้นกับความอบอุ่นติดครีมมี่เป็นหลัก เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นติดแมน แต่ไม่ได้ยัดเยียด ออกจะให้ความน่าค้นหามากๆ เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนกระวานยังคงยืนหนึ่ง เพียงแต่กลิ่นของ Cashmeran ที่เป็นกลิ่นโทนสังเคราะห์ที่สื่อถึงผ้าแคชเมียร์ซึ่งให้อารมณ์ผสมผสานระหว่างโทนนุ่มของ Musk และความเป็นไม้หอมครีมมี่หน่อยๆ จะกลายมาเป็นตัวเสริมชั้นดีที่ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่นวลเนียน ลูกผสมติดโทนแป้งนิดๆ และที่สำคัญการมีกำยาน Benzoin มาร่วมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของกลิ่นช่วงนี้ด้วย ทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลอวลอุ่นที่ละมุนได้ลงตัวมาก แต่ก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นปร่าเขียวแกมนวลบางๆ ของ Neroli ไปไหน เพราะมีแทรกซึมอยู่ตลอด ดูรวมๆ แล้ว มีเสน่ห์แบบสไตล์ครีมมี่กระวานหวานเย้าชวนซุกแบบมีระดับและไม่ได้อัดแน่นความแมนจัดเกินไป

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มที่จะมีความเป็นโทนหนังที่มีความนุ่มแกมห่ามนิดๆ ติด Smoky พอประมาณเสริมเข้ามารวมตัวกับโทนครีมมี่นุ่มๆ ของ Cashmeran และกำยาน Benzoin จากช่วงกลาง ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้ความเท่ห์แบบนุ่มปนเย้าแกม Animalic ที่ไม่ติดสาบ เพราะความหวานของ Benzoin ที่ให้อารมณ์ติดวานิลลาทำให้กลิ่นนุ่มมากขึ้น โดยที่เนื้อกลิ่นจะเป็นโทนอบอุ่นชัดเจน แถมมีความเป็นพิมเสนที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความหวานปนปร่าหอมระเรื่อๆ กำลังดี สร้างความเย้ายวนดึงดูด ให้อารมณ์ทางกลิ่นเป็นแนวคลุกวงในเป็นการปิดท้ายได้อย่างครบเครื่อง โดยไม่ทิ้งลายเซ็นของการเป็น The One for Men แต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ ที่สมดุลย์ในการสร้างเสน่ห์ที่ไม่ได้จงใจแต่เอาอยู่ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ เลยจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นมาสายอวล เดี๋ยวตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้ทั้งแบบโรแมนติคและปล่อยเสน่ห์แบบมีระดับ

ความทน - กำลังดีที่ราวๆ 8 ชม. แต่ไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีช่วงต้น แล้วจะลงมาปานกลางไปซักประมาณ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวคงที่ยาวไปถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนที่จะลงมาเป็น Skin Scent ซึ่งถือว่ากลิ่นไม่ได้ทรงพลังเล่นใหญ่มาจากไหน เน้นให้ความมีระดับแบบกำลังดีมากกว่า

สรุป - แม้จะเป็น EDP Intense แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับแผ่ไพศาล อารมณ์แบบกลิ่นมาสายเข้มขึ้นแต่ตัดทอนด้วยความนุ่มนวลที่เอาแต่ข้อดีในความหอมของแต่ละ Notes กลิ่นมาผสมผสานอย่างสมดุลย์ ซึ่งถือเป็นอีกมุมที่ต่อยอดลายเซ็นความเป็น The One for Men มาได้ดีด้วยโทนเม็ดกระวาน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้รู้สึกได้ในการใช้งานที่ไม่ยึดติดกับการชูโรงความเป็นโทนยาสูบในแบบที่รุ่นก่อนๆ ทำไว้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.com/Perfumes/Dolce_Gabbana/the-one-for-men-eau-de-parfum-intense

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: The House of Oud - Wonderly

The House of Oud - Wonderly

หิมะตกที่ทะเลทรายซาฮาร่า ถือเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พักนี้เริ่มเกิดขึ้นถี่ แน่นอนว่ามันอจจะเป็นสัญญาณทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จริง แต่เมื่อปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้น ในแล่ของความงดงามตามธรรมชาติก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในความสวยงามที่ตัดกันได้อย่างลงตัวระหว่างกับสีขาวของหิมะและสีน้ำตาลของผืนทราย

และปรากฎการณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในที่มาที่ไปในการนำมาสร้างสรรค์กลิ่นหอมของ The House of Oud แต่เป็นอีกมุมมองเสียมากกว่าที่ไม่ได้ถอดเอาความเป็นธรรมชาติของปรากฎการณ์ลักษณะนี้มาสู่ขวด แต่มองในมุมที่ว่าเมื่อเราเห็นผืนทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มันได้อารมณ์เหมือนขนมหวานอบบางอย่างที่มีน้ำตาลไอซิ่งโรยทั่วไปทั้งหมด อารมณ์เปลี่ยนจาก Desert เป็น Dessert อะไรประมาณนี้ ก็เลยกลายเป็นน้ำหอมกลิ่นนี้ออกมา ซึ่งนั่นก็คือ Wonderly

ช่วงเปิดจะมีอารมณ์เนื้อกลิ่นที่ให้ความกึ่งๆ อยู่พอสมควร เพราะจะมีอารมณ์กึ่งผลไม้ที่มีความเปรี้ยวอมหวานที่ไม่หนักเกินไป ค่อนไปทางโทนแห้งๆ ค่อนแป้งเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นที่จับได้จะมีความหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่มีความนมๆ เล็กๆ ของแอปริคอต และมีกลิ่นออกทางกึ่งเบอร์รี่กึ่งกุหลาบแห้งอ่อนๆ แฝงอยู่ แต่ทั้งหมดจะออกแนว On Top เสียมากกว่าเพราะว่าพื้นกลิ่นคือแป้งที่มีกลิ่นออกทางอัลมอนด์แบบกลางๆ กำลังดี ไม่ได้เป็นอัลมอนด์ที่มาแบบสไตล์ถั่วๆ แต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นแป้งอัลมอนด์กึ่งดอกไม้ประมาณนั้นเลย ซึ่งถือว่าเปิดมาก็ให้ความเป็นกลิ่นกึ่งแป้งกึ่งอบอุ่นที่มีความนวลๆ แกมหอมสดชื่นเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ ได้ดี ไม่หนักเกินไป และเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ได้ไก่กาเสียด้วย

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่ชัดมากขึ้นเลยก็คือโทนดอกไม้ขาวอย่างมะลิที่มาเสริมโทนให้กลิ่นมีความเป็นแป้งและมีโทนสีออกทางขาวนวลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นอัลมอนด์แกมดอกไม้ยังคงมีอยู่แบบพอเหมาะ แต่สิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นอีกอย่างคือ โทนไม้หอมนวลๆ ของไม้จันทน์หอมและกลิ่นวานิลลาที่ออกทางแป้งอบอุ่นแกมหวานติดโทนแห้งๆ จะเสริมขึ้นมามากขึ้นตามลำดับทำให้เนื้อกลิ่นมีความนัวๆ อวลๆ ที่กลางๆ กำลังดีมีความละมุนๆ แกมหวานไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมีโทนออกทางยางไม้ติดหวานแห้งๆ แกมแป้งฝุ่นที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาปูทางไปสู่ช่วงถัดไปของน้ำหอม

และในช่วงท้ายจะชัดเจนมาก คือ การเป็นโทนแป้งที่มีความแห้งและมีความเป็นโทนออกทางแป้งฝุ่นเข้ามามากขึ้นของดอกไอริสและน่าจะรวมหัวเหง้าออริสเข้ามาด้วยที่ทำให้กลิ่นมีความทึบแบบแป้งฝุ่นเมื่อเสริมเข้ากับโทนไม้หอมแห้งๆ กึ่งนวลของไม้จันทน์หอมแกมยางไม้ที่มีอารมณ์กลิ่นออกทางกึ่งยากึ่งหวานหน่อยๆ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นโทนของ Myrrh เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนออกทางผืนทรายและให้สีในความรู้สึกคือสีน้ำตาลเอิร์ธโทนของผืนทรายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยมีความหอมหวานอบอุ่นประปรายของบรรยากาศที่มีวานิลลาติดอัลมอนด์อ่อนๆ คลออยู่แบบกำลังดี แกมกลิ่นหวานปนขมยางไม้และไม้แห้งๆ ที่เป็น Effect เสน่ห์ของความแห้งแบบอารมณ์ทะเลทรายเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะมาสายหวานก็จริง แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังจัดจ้านมากเกินเหตุถ้าไม่ได้รัวหนักจนอาบน้ำหอม เลยใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป ซึ่งจะใส่ในวันร้อนๆ ก็พอไหวอยู่แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ แต่สิ่งที่ให้ข้ามไปได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย กลิ่นไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมเข้าจังหวะแบบนั้นนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคน่าจะดีที่สุด หรือจะใส่ไปท่องราตรีก็ได้อยู่แบบเพิ่มสเปรย์เองตามความเหมาะสม

ความทน - ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันตามสภาพผิวผู้ใช้ แต่ถ้าให้ยืดเวลาไปนานที่สุดเท่าที่เคยใช้มาก็ไม่เกิน 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะคงที่กับการกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 3 ชม. ชม. ถึงจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ไปจนถึงประมาณ 7 ชม. ก็เริ่มที่จะ Skin Scent แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา  

สรุป - ถือเป็นการตีความการผสมผสานการเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแห้งแบบทะเลทรายที่มีความเป็นโทนออกทางแป้งดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกสีขาวเข้ามาสื่อสารถึงการเป็นสีของหิมะ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้มีความเยือกเย็นในความเป็นหิมะแบบที่ควรจะเป็นก็ตาม แต่ทั้งนี้ภาพรวมของกลิ่นก็ให้ความเป็นโทนออกทางกึ่งๆ ระหว่างความเป็นกลิ่นหวานขนมที่มีพื้นฐานของความเป็นโทนแป้งกึ่งไม้หอมมาผสมผสานกันแบบที่ไม่หนักหน่วงและให้ความรู้สึกรื่นรมย์เคล้าความหวานได้กำลังดี

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit -  https://www.goldenscent.com/en/p/the-house-of-oud-wonderly-eau-de-perfum-for-men-and-women-23651.html?action=prod&id=23650