วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Byredo - Rose Of No Man’s Land

Byredo - Rose Of No Man’s Land

The Rose of No Man’s Land เป็นหนึ่งในเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อทำการเชิดชูพยาบาลที่อยู่แนวหน้าต่างๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่เกิดจากสงครามต่างๆ จนทำให้มีผู้รอดชีวิตมากมายในเวลาต่อมา ซึ่งเดิมทีเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศสเมื่อปี 1918 โดย Louis Delamarre กับชื่อเพลงว่า La rose sous les boulets แล้วจึงได้มีการแปลงออกมาเป็นภาษาอังกฤษในปี 1945 โดย Jack Caddigan and James Alexander Brennan ที่เปรียบพยาบาลด่านหน้าต่างๆ เสมือน “กุหลาบงามเบ่งบานในดินแดนที่ไม่มีศึกสงคราม” (หรือจะเรียกว่าเป็นกุหลาบในเขตปลอดการรบก็ได้) เพราะเป็นข้อตกลงที่เป็นกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เจาะจงไปที่อนุสัญญาเจนีวาที่ระบุเรื่องการคุ้มครองหน่วยพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ให้ไม่ถูกโจมตีจากสงครามใดๆ

และ Rose Of No Man’s Land นี่แหละ จึงได้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นที่ Tribute ให้กับความไม่เห็นแก่ตัวและความเห็นอกเห็นใจของพยาบาลด่านหน้าต่างๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จากแบรนด์ Byredo ที่จะมาเรียบเรียงและถ่ายทอดกลิ่นผ่านตัวอักษรว่าแบรนด์จะสื่อสารกลิ่นนี้ออกมาอย่างไรบ้าง

ช่วงเปิดเป็นการแบ่งภาคและส่งเสริมกันได้ดีมากในโทนกลิ่นที่ชัดเจนกับการเป็นกุหลาบที่สดชื่นแต่ไม่ได้ฉ่ำจ๋าเกินไป และไม่ได้ถึงกับเป็นน้ำลอยดอกกุหลาบขนาดนั้น แต่ให้อารมณ์กลิ่นปร่าเผ็ดแกมฝาดกึ่งสมุนไพรเล็กๆ ที่มีลูกเอื้อนของกลิ่นค่อนไปทางกุหลาบของพริกไทยสีชมพู ที่สอดรับพอดีกับกลิ่นกุหลาบหอมนวลกึ่งสดชื่นที่คิดว่าน่าจะมีกลิ่นออกทางติดเขียวกึ่งแป้งเล็กๆ มาเสริมอยู่ เพียงแต่ไม่ได้เด่นมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางสว่างแกมสดชื่นหน่อยๆ อยู่ด้วยเลยทำให้ช่วงเปิดอารมณ์แบบโทนกุหลาบที่มีความกึ่งนวลกึ่งสดชื่นที่มีความปร่ากำลังดี ให้ความตรงไปตรงมาแบบกลิ่นกุหลาบที่มีโทนออกทางสีอ่อนๆ นวลๆ มีความหวาน แต่ไม่ได้ถึงกับโรแมนติคและไม่ได้ดูคุณนาย เน้นให้ความอ่อนโยนของกลิ่นเสียมากกว่า และที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีโทนรองพื้นเป็นไม้หอมอ่อนๆ ให้พอรู้สึกได้ด้วยตั้งแต่ต้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลใน 5 นาทีแรกของกลิ่น ก็บอกชัดเจนว่านี่คือกุหลาบมินิมัลสายสดชื่นที่หอมลงตัวมาก จนทำให้ต้องตามต่อมาช่วงต่อไปจะเป็นอย่างไง

ช่วงกลางกลิ่นกุหลาบจะเปลี่ยนมาเป็นโทนนวลละมุนมากขึ้น แน่นอนว่าความอ่อนโยนในเนื้อกลิ่นยังมาเต็ม แต่มีตัวเสริมที่ให้มิติทางกลิ่นที่มีความสดใสเข้ามาร่วมด้วยจากโทนออกทางหวานผลไม้แนวเบอร์รี่ที่ค่อนไปทางราสเบอร์รี่ แต่ไม่ได้ผลไม้จ๋าๆ ขนาดนั้น เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนติดเขียวหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางเบาๆ ที่ค่อนไปทางโทนคล้ายดอกไม้ เลยเรียกว่าสอดรับสนับสนุนกันเป็นอย่างดีมาก ซึ่งพื้นกลิ่นมีความเป็นแป้งอ่อนๆ ที่เนียนๆ ไม่ได้เป็นแป้งจ๋ามากเลยทำให้กลิ่นได้ความเป็นกุหลาบที่มีความเป็นธรรมชาติและมีความอ่อนโยน ไม่มีกลิ่นอะไรมาแหลมให้กวนใจ ยังคุมโทนที่ติดอบอุ่นกึ่งไม้หอมเจือสะอาดๆ รวมอยู่ด้วย เรียกว่าในมิติของความเป็นโทนกุหลาบนวลเด่นที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย ก็ยังมีอะไรที่ทำให้เห็นเลเยอร์ของการผสมผสานกลิ่นได้อย่างลงตัวและสร้างเรียบหรูมีเสน่ห์ และคุมโทนนวลหวานระเรื่อสะอาดได้ครบถ้วนมาก

ช่วงท้าย โทนกลิ่นจะมีความอบอุ่นมากขึ้นและมีโทนออกทางไม้หอมติดแห้งๆ มาเป็นตัวเดินกลิ่นที่ฉาบหน้าด้วยความเป็นกุหลาบหอมระเรื่อแกมอบอุ่น เนื้อกลิ่นจะมีโทนสะอาดๆ แต่ไม่ได้ออกทางนุ่มถึงกับเป็น Musky จ๋าๆ (แต่ก็มีให้สัมผัสอยู่บ้าง) ซึ่งแน่นอนว่าคุมโทนกุหลาบหอมนวลอ่อนโยนระเรื่อ กลิ่นสวยคงที่ และมีความคงทนในการอยู่ตั้งแต่ต้นยันปลาย ทำให้มิติกลิ่นจะได้อารมณ์กึ่งแป้งกุหลาบอบอุ่นก็ได้ กุหลาบนวลระเรื่ออวลอบอุ่นและอ่อนโยนก็ดี กลิ่นมีความเรียบหรูปนนวลละมุนอ่อนโยนที่แบบไม่หนักแม้จะมีความอวลอยู่บ้าง แต่ให้อารมณ์รุมๆ รอบกายที่มีเสน่ห์แบบที่ไม่ได้เน้นขับ Sex Appeal แต่ให้ความหวานอ่อนโยนนุ่มนวลที่มีความเรียบหรูเป็นหลักในการเดินกลิ่นกันไปยาวๆ ปิดท้ายโดยไม่ต้องมีคำว่าหวือหวา แต่เอาอยู่ในการใช้งานได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นไปทางผู้หญิงถึง 80% ได้เลย เพราะความเป็นกุหลาบที่ไล่โทนจากสดชื่น สู่นวลสะอาด และละมุนอบอุ่น แบบคุมโทนความระเรื่อเรื่อยๆ ที่มีความ Feminine สูง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ชายจะใช้งานไม่ได้ เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนติดสะอาดและไม่ได้หนักนี่แหละ เลยทำให้ถ้าผู้ชายนำมาใช้จะได้อารมณ์ไปในทิศทางที่โรแมนติคเอาได้ไม่ยากเลย ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะมีความเป็น Daily Scent สูงมาก จะมีก็แต่ไม่เข้ากับกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกายเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะมันสร้างมุมอ่อนโยนให้ผู้ใช้ได้ดีเชียว แต่สิ่งให้ตัดออกไปเลย คือ ท่องราตรี กลิ่นเบาไปกับการใส่ไปเน้นความเย้ายวน และกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนเสียด้วยซ้ำไป

ความทน - เห็นเป็นกลิ่นสไตล์เรียบหรูมินิมัลแบบนี้ ความทนไม่เป็นสองรองใครนะนั่น เพราะว่าสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แบบนี่ถึงกับทึ่งในความทนของกลิ่นนี้เลย ซึ่งถ้าตีสภาพผิวอื่นๆ ยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ แน่นอน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะลดทอนลงมาปานกลางแบบไม่หนักซักราวๆ 3 ชม. แต่ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันแบบยาวๆ มีความเสถียรคงที่กันไปถึงราวๆ 10 ชม. ก็ว่าได้ ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ปิดท้าย

สรุป - Minimal Rose Scent ถือเป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนมากที่สุดของ Rose Of No Man’s Land เพราะ เนื้อกลิ่น Tribute ความตรงไปตรงมาของกุหลาบที่หอมสดชื่นก็ได้ และละมุนก็ดี โดยที่มีความเรื่อยๆ เรียบหรู และไม่ดูเป็นโทน Classic สไตล์แนวกุหลาบแดงกำมะหยี่คุณนายมาจากไหน ทำให้อารมณ์กลิ่นมาแบบกุหลาบงามท่ามกลางโทนสว่างนวลรายล้อมแบบที่สวยงามทางกลิ่นแบบไม่ต้องพยายาม ที่สำคัญนี่เป็นอีกหนึ่งกลิ่นกุหลาบที่ผู้เขียนสามารถใช้งานได้โดยที่ไม่มีอาการติดเอียนจนเวียนหัว ซึ่งประทับใจมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.byredo.com/eu_en/rose-of-no-mans-land-eau-de-parfum-100ml

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น