วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Carthusia - Io Capri

Carthusia - Io Capri

เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ Tribute เอาความเป็นเกาะ Capri ของอิตาลีได้แบบไม่มีคำว่าสิ้นสุดจริงๆ เพราะแต่ละกลิ่นที่ถ่ายทอดออกมาต่างก็มีที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับเกาะตากอากาศชื่อดังนี้แทบทั้งหมด และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่นนี้ที่ออกมาวางจำหน่ายในปี 2000 นั่นก็คือ Io Capri

สิ่งที่เอามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นนั่นก็คือ จักรพรรดิลำดับที่ 2 ของจักรวรรดิโรมันอย่าง Tiberius Caesar Augustus ที่มาสร้างพระราชวังบนเกาะ Capri อย่าง Villa Jovis ที่เป็นเสมือนที่ลี้ภัยกลายๆ ในการป้องกันการลอบปลงพระชนม์ รวมถึงตอบโจทย์การไม่อยากยุ่งกับใคร เก็บตัว และในทางประวัติศาสตร์เองก็มีการเล่าด้วยว่าจักรพรรดิองค์นี้ ไม่ได้มีใจที่อยากจะเป็นจักรพรรดิในการบริหารบ้านเมืองเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีความเก่งกล้าสามารถก็ตาม เลยถือเป็นการปลีกวิเวกมาอยู่บนเกาะ Capri กันยาวๆ ซึมซับเอาความเป็นธรรมชาติของเกาะนี้ ซึ่งพระราชวัง Villa Jovis เองก็ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความมั่นคงและมีความสร้างสรรค์ตามศิลปะในยุคนั้น ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะปรักหักพังไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ดังนั้นเลยเป็นที่มาของคำว่า Io เลยถือเป็นการ Tribute เฉพาะเจาะจงกับบุคคลสำคัญของเกาะ Capri นั่นเอง

Io Capri เปิดตัวด้วยเนื้อกลิ่นที่สื่อสารชัดเจนมากถึงการเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อม ที่ผสมผสานหลากหลายโทนออกมาจนทำให้เราเห็นภาพเสมือนอยู่ในสถานที่นั้นๆ โดยจะเด่นมาก่อนเพื่อนเลยคือกลิ่นของมินต์ติดเขียวที่จับได้ถึงกลิ่นแนวกึ่งสเปียร์มินต์ที่ให้ความปร่าอะโรม่าปลายกลิ่น และมีความติด Peppery หน่อยๆ แต่ไม่หนักมากของเพพเพอร์มินต์ โดยจะมีความปร่ากึ่งเมนทอลซ่าๆ แกมผลไม้ปลายกลิ่นของยูคาลิปตัส ที่เชื่อมโทนกันได้เป็นอย่างดีในการเป็นกลิ่นสาย Fresh Spicy ปลอดโปร่งจมูก แต่สิ่งที่ซ้อนเข้ามาให้ความรู้สึกสดชื่นและเข้าทางโทนสว่างนั่นก็คือเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวเจือๆ จนได้อารมณ์คล้ายกลิ่นอายแนว Cologne สดชื่นเข้ามาร่วมด้วย โดยมีลูกเอื้อนปลายกลิ่นเป็นโทนติดหวานคล้ายโป้ยกั๊กอ่อนๆ เสริมอยู่ แต่นี่แค่วูบแรกเท่านั้น

เพราะวูบถัดไปจะเริ่มจับต้องได้แล้วว่ามีความเขียวเป็นที่ตั้งเข้ามาเสริม ซึ่งมีอารมณ์กึ่งเขียวจากใบชาสดแกมกลิ่นหญ้า และมีกลิ่นติดเขียวทึบแกมมิลค์กี้ที่มีคตวามขมเขียวเป็นเอกลักษณ์จากมะเดื่อหรือ Fig เข้ามาร่วมด้วย แกมกลิ่นออกทางติดไอเค็มแนว Sea Breeze เนียนๆ เลยทำให้ภาพรวมในช่วงต้นก่อนที่จะส่งต่อไปยังช่วงกลาง ได้สร้างสรรค์กลิ่นที่มีความเป็นสภาพแวดล้อมแบบอากาศสดชื่นติดเขียวปร่าระเรื่อ เหมือนอยู่บนที่สูงริมทะเลที่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและรายล้อมด้วยความเขียวและกลิ่นผลไม้ติดหวานอ่อนๆ ซึ่งเป็นการผสมผสานกลิ่นที่มีความซับซ้อน แต่ผลลัพธ์ออกมาคือ Minimal Style ได้น่าสนใจมาก

และเมื่อปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีลูกเล่นทางกลิ่นที่มีความเป็นสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบราวกับเราเห็นภาพ Landscape กว้างๆ มากขึ้น โดยที่กลิ่นในช่วงต้นยังคงตามมาอยู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนตัวเอกของกลิ่นมาเป็นกลิ่นโทนผลไม้ที่ติดเขียวทึบแกมหวานปลายของลูกมะเดื่อเคล้ากับกลิ่นเขียวใบชาที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นมินต์และยูคาลิปตัสจะยังให้ความปร่าระเรื่ออะโรม่าอย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมการเชื่อมโยงระหว่างกลิ่นโทน Citrus และ Herbal ด้วยกลิ่นปร่าหอมของตะไคร้เข้ามาร่วมด้วย และยังไม่พอมีกลิ่นออกทางดอกไม้กึ่งผลไม้หอมอ่อนๆ แกมหวานมาเสริมด้วย เลยได้บรรยากาศที่นอกเหนือจากกลิ่นอายสดชื่นที่มีลูกผสมจาก Citrus สมุนไพร โทนเขียว และกลิ่นอากาศแบบทะเลแล้ว ยังเพิ่มเอาความเป็นกลิ่นดอกไม้แกมผลไม้อ่อนๆ เสริมเข้ามาด้วย โดยทุกอย่างยืนพื้นกลิ่นเด่นด้วย Fig และชาใบเขียวเป็นสำคัญ

การพัฒนาของเนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไปและออกทางผ่อนตัวลงมาให้ความเบาๆ เสียมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่น Fig และใบชาเขียวๆ ยังมีอยู่ แถมด้วยความเป็นมินต์ก็ยังเป็นปลายกลิ่นอ่อนๆ เช่นเดิม แต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนกลิ่นอายแบบทะเล Sea Breeze เข้ามามากขึ้น อารมณ์แบบกลิ่นบรรยากาศแกมกลิ่นสาหร่าย แต่ไม่ได้มีกลิ่นคาวเค็มแต่อย่างใด เพราะมีการตัดทอนทางกลิ่นจากโทนสมุนไพรแกมกลิ่นเขียวเจือหวานจากทั้ง Fig และชามาช่วยได้มากเลยทีเดียว และจะมีกลิ่นคล้ายๆ ดอกไม้แกมหญ้าแห้งบางๆ หน่อยๆ เสริมเข้ามาด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความเบาแบบคลอผิว ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ สบายๆ ซึ่งให้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายสภาพแวดล้อมติดผิวกายอ่อนๆ เป็นการปิดท้ายที่เรียบง่ายและมีความสงบจนค่อยๆ จางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากถึงมากที่สุด เพราะว่าเป็นกลิ่นโทนสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเป็นสำคัญ เลยกวาดหมดทุกเพศตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไปได้เลย เพียงแต่ว่าต้องอินกับกลิ่นแนวสมุนไพรกับ Fig ที่มีความเป็นทะเลนิดๆ ซักหน่อย ก็จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้เร็วและฟินกับอารมณ์กลิ่นมากขึ้น ซึ่งถือว่ากวาดหมดในการใช้งานยามกลางวันได้เลยทั้งทางการและทั่วไป ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังนัก

ความทน - แม้ว่าจะเป็น EDP แต่ก็อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ และมีการบวกลบกันที่ราว 2-3 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งต้องเข้าใจกันนิดนึงว่าเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นธรรมชาติด้วย ความทนก็อาจจะไม่ค่อยโดดเด่นนัก ส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 8 ชม. แล้วก็จางและจมไปกับผิวจนหมด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางราวๆ 1-2 ชม. หลังจากนั้นก็จะลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวอยู่พักใหญ่ๆ พอเข้าช่วงโมงที่ 4 ก็จะลงเป็น Skin Scent แล้ว 

สรุป - ต้องชมเลยว่าเป็นการผสมผสานโทนกลิ่นที่สร้างความรู้สึกแบบเราอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ ได้เลย เอาความซับซ้อนมารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างดีมากจริงๆ เพียงแต่กลิ่นอาจจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังเพื่อความจัดจ้านนัก และถือว่าเป็นการดึงเอาความเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สร้างสรรค์กลิ่นนี้มาเพื่อ Tribute ได้อย่างน่าสนใจในการแทรกอารมณ์สันโดษและสงบในอารมณ์กลิ่นได้ดีอีกด้วย ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทั้งชา ทั้ง Fig และมินต์ บอกเลยว่ารื่นรมย์ในทุกสโตรกกลิ่นจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.carthusia.it/io-capri.html?___store=en&___from_store=it

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น