วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

จากเดิมในช่วงยุค 60 ในสหรัฐอเมริกาที่ Concept ของการแบ่งเพศยังคงมีแค่ชายและหญิง และมีกฎหมายที่บังคับชัดเจนว่าทุกคนต้องแต่งกายตามเพศสภาพของตนเอง ทำให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นถูกกดขี่อย่างรุนแรงและไม่สามารถแสดงตนออกมาได้ จนทำให้มีการเปิดเป็นสถานที่เฉพาะหรือบาร์เกย์ลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาๆ และการจ่ายสินบนต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Stonewall Inn ที่ถือเป็นแหล่งนัดพบของเหล่าเพศทางเลือกต่างๆ ในการมาปลดปล่อยความเป็นตัวเองและมีความสุขให้มากที่สุดก่อนกลับไปเจอโลกใบเดิม

จนกระทั่งในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 เกิดกรณีบุกเข้าตรวจค้นและจับกุม โดยมีการใช้กำลังและบังคับทางกฎหมายในช่วงเวลานั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ทางหน้าประวัติศาสตร์ขึ้น นั่นก็คือ เหตุการจราจลสโตนวอลล์ หรือ Stonewall Riots ที่ยาวนานถึง 6 วัน ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมและปกป้องสิทธิ์ของตนเองในการจะเป็นเพศใดก็ได้สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ที่สร้างอิมแพคอย่างมากในระดับโลกจนทำให้เดือนมิถุนายนของทุกปีกลายเป็น Pride Month มาจนถึงทุกวันนี้

และหน้าประวัติศาสตร์นี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นที่ดึงเอาพลังของการเป็นมนุษย์ที่มีความสวยงามในความหลากหลายทางเพศของแบรนด์ Histoires de Parfums ด้วยเช่นกัน

1969 Parfum de Révolte เปิดตัวมาก็สร้างความเป็นพีชแบบเข้มข้นและเต็มๆ ซึ่งกลิ่นพีชจะมีมิติให้จับต้องได้พอสมควรทั้งการเป็นพีชสดไล่ไปสู่พีชที่ออกทางไซรัปกลิ่นพีช แถมไพล่ไปทางแอปริคอตแห้งๆ ที่ออกเปรี้ยวอมหวานเนียนๆ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์ ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกทาง Citrus รวมๆ ที่ให้อารมณ์สีส้มสดใสกึ่งเข้มข้นรวมอยู่ด้วย อารมณ์กลิ่นออกแนวส้มแกมเสาวรสมาเสริมอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าช่วงต้นคือความโดดเด่นของการเป็นโทน Fruity เต็มๆ แบบที่กลิ่นจะสร้างความหวานสดใสสู่เย้าลึกได้เลย จนเมื่อผ่านไปซักครู่ ถึงจะเริ่มจับต้องตัวสนับสนุนที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นก็คือโทนเครื่องเทศต่างๆ ที่จะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงต่อไปของน้ำหอมนั่นเอง

ช่วงกลางคือการผสมผสานระหว่าง 4 โทนที่น่าสนใจมากนั่นคือ โทนผลไม้ที่ยังคงชัดเจนอยู่ เสริมด้วยโทนเครื่องเทศ พิมเสน และดอกไม้เด่นที่กุหลาบ ทำให้มีความน่าสนใจในการผสมผสานกลิ่นอย่างมาก เพราะว่ากลิ่นจะให้ความหวานอุ่นเย้าที่มีความร้อนแรงในความรู้สึกก็ได้ ให้ความอบอุ่นมีเสน่ห์ก็ได้ หรือให้ความหวานอุ่นอวลก็ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการผนวกกันได้เป็นอย่างดีของกระวานที่ให้ความหวานเย้าเร้าเสน่ห์ โดยมีกลิ่นออกทางยี่หร่าบางๆ ที่ให้อารมณ์เหงื่อนิดๆ มาสร้างความเร้าใจหน่อยๆ + กับกลิ่นแนวเดียวกับอบเชยที่ให้ความหวานร้อนกับกลิ่น ตามด้วยกุหลาบที่ให้ความหวานโรแมนติค เคล้าดอกไม้ขาวที่ให้ความระเรื่ออวลๆ ก่อนที่ฉากหน้าที่ฟุ้งกระจายออกมาจะมีพิมเสนที่ให้อารมณ์สไตล์ฮิปปี้แบบพิมเสนแห้งเคล้ากลิ่นชอคโกแลต ทำให้เนื้อกลิ่นมีความอบอวลอุ่นเย้าหวานเร้าและมีความ Earthy ที่ให้ความติดดินเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย เรียกว่ามีความซับซ้อนพอสมควรเลยทีเดียว และที่สำคัญกลิ่นไม่เม้มในแง่ของการเปิดเผยถึงความอุ่นเย้าและร้อนแรงในเนื้อกลิ่นที่ยังคุมโทน Smooth ได้ดีจริงๆ 

ในการเข้าช่วงท้ายเนื้อกลิ่นโทนหวานต่างๆ เริ่มจะลดบทบาทลงแต่กลิ่นที่จะโดดเด่นขึ้นเลยคือกลิ่นโทนชอคโกแลตที่มีความเป็นพิมเสนแนว Earthy แห้งๆ หวานแบบสไตล์ฮิปปี้ที่มีเสน่ห์อยู่ ซึ่ง 2 โทนนี้ต่างสอดรับกันได้ดีอยู่เป็นทุนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ กลิ่นออกทางกาแฟที่ให้กลิ่นโทนกึ่งเข้มหอมแกมไม้หน่อยๆ ที่เนียนกริบไปกับ Musk ที่น่าจะมีวานิลลาผสมผสานอยู่ด้วยหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็น Sensual Musk ที่มีความหวานแกมเย้า Sexy ในสไตล์ที่มีความฮิปปี้ในยุค 60s ที่ยังไม่ได้แพร่หลายและค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่ม (ก่อนที่จะเป็นยุคบุปผาชนเมื่อเข้ายุค 70s ที่อิสระเสรีมากขึ้นและพิมเสนมีบทบาทเด่นมากขึ้นในน้ำหอมยุคนั้น) ซึ่งถือว่าสร้างกลิ่นอายที่มีความอบอุ่นเย้ายวนหวานและมีเสน่ห์ได้แบบไม่ต้องปิดบังได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่มาในโทนหวาน บางคนอาจจะรู้สึกว่ากลิ่นไปทางผู้หญิงมากกว่าเพราะมีความหวานและเกือบจะเป็นโทนขนม Gourmand อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วความเป็นชอคโกแลต พิมเสน และเครื่องเทศนี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้เป็น Unisex เต็มตัว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะใส่ทั่วไปหรือทำงาน Office แต่ถ้าเป็นได้กลิ่นไม่ได้เข้ากับทางการเท่าไหร่เพราะมันมีความ Sexy เย้ายวนค่อนข้างชัด รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นจะตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ แต่ในยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ทั่วไป ออกงาน หรือท่องราตรี กลิ่นนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแน่นอนและมั่นใจได้

ความทน - 12 ชม. คือพื้นฐานที่เจอจากกลิ่นนี้และไปต่อจนสิ้นวันอาบน้ำล้างตัวที่ราวๆ 15 - 18 ชม. ก็เจอเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นยังไงก็แตะที่เกินค่าเฉลี่ย 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น คือไม่ต้องเขียมเลย ปล่อยความเป็นพีชหวานมาเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. หลังจากนั้นถึงเป็นปานกลางยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 - 6 ถึงค่อยๆ ลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วคงที่ไปยาวๆ ซึ่งรู้ตัวอีกทีว่าเป็น Skin Scent ก็เลย 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - จึงถือว่าถ้ามองในแง่ยุคสมัยกลิ่นนี้นำเสนอความเอกเทศเปิดตัวออกมาได้ชัดเจนมากในการสร้างความแตกต่างในแง่น้ำหอมบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่แฝงความเย้ายวน อบอุ่น และมีเสน่ห์ เพราะเนื้อกลิ่นถ้าตีความไปในช่วงยุค 60s ไม่น่าจะมีกลิ่นแนวๆ นี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบประท้วงหรือจราจลแต่ให้ความตรงไปตรงมาในการแสดงออกถึงความหวานเย้าและเสน่ห์เฉพาะบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่เปิดเผยให้รับรู้ถึงความหลากหลายผ่านกลิ่นกันเต็มๆ และที่สำคัญการที่กลิ่นนี้แตะคำว่า Unisex ต้องยกเครดิตให้ความเป็นชอคโกแลตที่เป็นตัวเชื่อมที่ดีมากๆ ไม่ได้มาข้นหนักออกจะพิมเสนเสียด้วยซ้ำ แต่สร้างความเป็นเนื้อเดียวกันที่เชื่อมต่อการใช้งานกับทุกเพศจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1969

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น