วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Review: Dapper - 79° After Dark

Dapper - 79° After Dark

เอ่ยถึง Dapper เรียกว่าคนไทยที่เดินห้างกันบ่อยๆ หรือสายการแต่งตัวหรือเครื่องหนังทั้งหลายมีหรือที่จะไม่รู้จัก เพราะถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ผลิตเสื้อผ้านแนว Ready to Wear และได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ แถมยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จับต้องได้ไม่ยากในการสวมใส่หรือใช้งาน สู้กับแบรนด์เสื้อผ้านแนว Ready to Wear ที่มาจากเมืองนอกต่างๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

สิ่งหนึ่งที่เป็นแกนหลักสำคัญของ Dapper นั่นคือ เครื่องแต่งกายของผู้ชายที่เป็นหลักของแบรนด์มาตั้งแต่ก่อตั้งยันปัจจุบัน แต่ไม่เคยมีน้ำหอมของแบรนด์ที่สอดรับเรื่องของเครื่องแต่งกายมาก่อนเลย แต่ก็เริ่มคิดไม่น้อยว่าน่าจะมีออกมาบ้าง เพราะตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาแบรนด์ไทยหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มเปิดตัวน้ำหอมสัญชาติไทยกันพอสมควรมาเรื่อยๆ จนเมื่อต้นปี 2022 ได้เห็นว่า Dapper ได้วางจำหน่ายน้ำหอมแล้วโดยเจาะตลาดน้ำหอมชายกันเต็มๆ ในการเป็น Collection - 79° ที่ออกมาวางจำหน่ายแล้วถึง 3 กลิ่นในปัจจุบัน เช่นนั้น กลิ่นจากน้ำหอมของ Dapper จะออกมาเป็นลักษณะไหน ขอมาเจอกับกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ใช้งานเต็มๆ กันหน่อยอย่าง 79° After Dark

เพียงแค่ช่วงเปิดก็บอกได้เลยว่า “มีเอกลักษณ์ไม่น้อย” เพราะจะสัมผัสกลิ่นที่เป็นเมนหลักและจะอยู่ในทุกๆ ช่วงให้รู้ได้ไม่ยากเลย นั่นก็คือ ยาสูบ ไม้หอม และ Malt ซึ่ง 3 กลิ่นนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างออร่าผู้ชายมีเสน่ห์และดึงดูดสมกับคำว่า After Dark ของชื่อน้ำหอมชัดเจน ซึ่งกลิ่น Malt จะให้อารมณ์แบบกลิ่นเบียร์แกมวิสกี้ติดเปรี้ยวนิดๆ ผสานกับความหอมยาสูบติดแห้งแกมหวานติดขมอ่อนๆ และมีกลิ่นไม้โปร่งๆ ติดดาร์กแฝงอยู่ด้วย เพียงแต่ทั้งหมดนี้จะมีกลิ่นโทนกึ่งเขียวกึ่งผลไม้ติดหวานอวลแกมสดชื่นปร่านิดๆ ที่น่าจะมาจากดอกฟรีเซีย เคล้ากับกลิ่นที่ติดเปรี้ยวชื้นค่อนไปทางติดจืดขมอ่อนๆ อารมณ์แบบกลิ่นเลมอนที่ไม่ได้มาสายสแปลชน้ำฉ่ำๆ เปรี้ยวหอมแบบสาย Cologne นัก มาเป็นตัว On Top ทำให้เมื่อผสมผสานกันจะได้อารมณ์กลิ่นแบบแมนๆ ที่มีความสดชื่นซ้อนกับกลิ่นแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แนวเบียร์ที่มีกลิ่นไม้หอมกับยาสูบ เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความแตกต่าง และมีความเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเองได้ชัดเจน

ในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางจะจับต้องได้ถึงกลิ่นแนวแอปเปิ้ลเขียว ที่ให้ความเปรี้ยวแกมเขียวหน่อยๆ เข้ามาผสมผสานกับกลิ่นที่เรียกว่าเป็นแกนหลักชัดเจนมากๆ กับการเป็นโทนเบียร์กึ่งวิสกี้ที่เริ่มจะมีไม้หอมซึ่งน่าจะเป็นไม้ซีดาร์และกลิ่นยาสูบที่ติด Smoky หน่อยๆ ซึ่งตัวแอปเปิ้ลเขียวจะมาให้อารมณ์แบบสดชื่นขี้เล่นแบบเบาๆ เสียมากกว่า อารมณ์กลิ่นไม่ได้จะมาแบบตะบี้ตะบันเจ้าสำราญ แต่จะให้อารมณ์เท่ห์ขรึมๆ ที่ดึงดูดเสียมากกว่า ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะพอจับได้ถึงกลิ่นนวลๆ ดอกไม้หน่อยๆ แต่อารมณ์ออกแนวมากล่อมเกลากลิ่นให้มีมิติที่ละมุนให้พอรู้สึกได้มากกว่าจะมาเป็นตัวเด่น แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มรู้สึกได้มากขึ้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปแม้ยังอยู่ในช่วงนี้ คือโทนแอมเบอร์ลึกๆ ที่กึ่งหนังอวลหน่อยๆ ที่น่าจะเป็นยางไม้อย่าง Labdanum ที่เริ่มจะมาเป็นส่วนหนึ่งของกลิ่นและสร้างความอวลแกมอุ่นเย้าๆ ให้จับต้องได้มากขึ้นตามลำดับและเป็นตัวปูทางในการเข้าสู่ช่วงถัดไป

ในช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะผ่อนลงมาในระดับที่อวลๆ เสียมากซึ่งช่วงนี้จะได้กลิ่นไม้หอมที่มีความอบอุ่นแกมหนังเล็กๆ ซ้อนอยู่กับกลิ่นยาสูบที่ให้ความหวานแห้งๆ แกมกลิ่นคล้ายเบียร์กับวิสกี้ประปราย ทำให้ได้เลเยอร์ออกมาเป็น 2 สเต็ปหลักๆ คือกลิ่นหวานโปร่งแกมวิสกี้บางๆ เป็นเลเยอร์บนสุด ตามด้วยกลิ่นไม้หอมติดอวลๆ มีความอบอุ่นแบบผิวกายหน่อยๆ เป็นตัวรองพื้น ซึ่งช่วงนี้จะไม่ได้ถึงกับมาสายทรงพลังแต่ให้ความหอมเท่ห์ๆ น่าค้นหาเสียมาก ซึ่งถือว่าเป็นการปิดท้ายที่คุมโทนการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและมีเสน่ห์ในการใช้งานกับอากาศในเมืองไทยได้น่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก แม้ว่าเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกแนวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ไม่ได้หนักมากเกินไปจนใช้งานยากหรือทำให้คนใช้กลายเป็นขี้เมามาจากไหน ออกแนวให้ความดึงดูดแบบกำลังดีเสียมาก จึงทำให้สามารถใช้ได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืนแบบทั่วไป ใส่ลั่นล้าเท่ห์ๆ ชิลล์ๆ รวมถึงใส่ทำงาน Office หรือออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ยังได้ แต่ถ้าออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนออกงานราตรี หรือเที่ยวกลางคืนก็ใส่ได้อยู่แต่ต้องอัดสเปรย์นิดนึง เพราะกลิ่นไม่ได้จัดจ้านในเรื่องความทรงพลังเท่าไหร่ถ้าเทียบกับกลิ่นสายแน่นทั้งหลาย

ความทน - 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวที่เจอสูงสุดคือ ราวๆ 10 ชม. กับการใช้งานที่ 8 สเปรย์

การกระจาย - อันนี้ค่อนข้างจะเข้าทาง Concept แบบเน้นคูลๆ เท่ห์ๆ ดึงดูด เลยไม่ได้เน้นการเรียกร้องความสนใจมากเท่าไหร่นัก ซึ่งกลิ่นจะกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปประมาณ 2 - 3 ชม. หลังจากนั้นก็จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ แล้วแตะการเป็น Skin Scent ชัดเจนเมื่อผ่านไปแล้วราวๆ 5 - 6 ชม. 

สรุป - เนื้อกลิ่นมีเอกลักษณ์ดีเลย และคุมโทนความแมนแบบไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดให้กลิ่นมีความแมนจ๋าๆ จัดๆ แต่ให้ความเรื่อยๆ ที่เน้นแนวเท่ห์ขรึมแฝงความกรุ้มกริ่มเสียมากกว่า เรียกว่า “มีสไตล์” นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/DapperInCambodia/?ref=page_internal

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น