วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Geparlys - Yes I Am the King


Geparlys - Yes I Am the King

Geparlys เปิดตัวออกมาเมื่อปี 2001 ในการเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมจากฝรั่งเศสที่อาจจะไม่ได้มาแพร่หลายในประเทศแถบบ้านเรานัก เพราะเหมือนจะเน้นขายในภูมิภาคยุโรปเป็นหลัก ซึ่งก็มีกระจายไปที่ฝั่ง USA บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโซน Designer Brand ได้เลย เพราะน้ำหอมที่ทำออกมาก็เจาะตลาดจนได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ ก็มาในลักษณะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่เป็น Mass Market ชัดเจน และยังไม่พอยังมีโซน Exclusive ของตัวเองที่แตะความเป็น Niche Perfume อีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าแบรนด์นี้ไม่ได้มาเล่นๆ นะเนี่ย

และหนึ่งใน Collection ของแบรนด์ที่ถือว่ามาเขย่าตลาดไม่น้อยเลย อย่างโซน Yes I Am the King ที่เรียกว่ามากันแบบอื้อหือกันได้เลยในแต่ละรุ่น เช่นนั้น มาลองกันดีกว่าว่ารุ่นที่ได้มาเป็นตัวแรกของสายนี้นี้อย่าง Yes I Am the King EDT จะทำกลิ่นออกมาได้สมกับที่เขาให้ความสนใจกันขนาดไหน ก็ว่ากันตามนี้เลย

เปิดตัวมาได้แบบว่าต้องหันไปมองขวดเลย นี่หยิบผิดหรือเปล่า เพราะเนื้อกลิ่นที่มาเป็นลักษณะแบบโทน Citrus แกล้มโทนผลไม้ออกทางเปรี้ยวอมหวานแบบนี้ และมีความเป็นโทนปร่าหน่อยๆ สนับสนุน มันมีความคล้าย Dior Sauvage EDT พอสมควร เพียงแต่ว่ากลิ่นไม่ได้ไพล่ไปในโทนที่มีลักษณะคล้ายโทนออกทางสับปะรดปนปร่าแนวพริกไทยหรือมีความคมชัดเจนนัก เพราะกลิ่นที่เด่นออกมาเลยคือกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เปรี้ยวเจือขมหอม และมีกลิ่นออกทางเกรปฟรุตที่ให้โทนสดชื่นแกมสว่างหน่อยๆ โดยไม่ได้เปรี้ยวเด่นแกมกลิ่นโทนมินต์อ่อนๆ เสริมความเป็นโทนผลไม้ด้วยแอปเปิ้ลเขียวที่ค่อนข้างชัดทำให้เปิดมาเป็นลักษณะกลิ่นที่อาจจะชี้ชัดได้เต็มๆ ว่าเหมือนรุ่นดังหรือไม่ แต่กลิ่นมีความลงตัวและมาสายเมโทรแบบเข้าเทรนด์น้ำหอมผู้ชายสร้างเสน่ห์ในยามนี้ชัดเจน

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นโทน Citrus แกมแอปเปิ้ลเขียวในตอนต้นจะลดทอนลงมาเป็นสายสนับสนุนให้เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นอ่อนๆ อยู่ แต่โทนยางไม้จะค่อยๆ เปิดตัวออกมาและมีพื้นฐานกลิ่นเป็นโทนออกทางไม้หอมอวลๆ เข้ามารองรับจนทำให้กลิ่นกลายเป็นโทนไม้หอมติดยางไม้อวลๆ มีลูกผสมของโทนเผ็ดปร่าหน่อยๆ ที่น่าจะมาจากโทนกลิ่นพริกหมาล่าแนวๆ นี้ แล้วยังมีลาเวนเดอร์ที่มาทำให้กลิ่นมีความนวลๆ รวมถึงมีโทนกลิ่นคล้ายน้ำในแจกันกุหลาบแกมมินต์หน่อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจอราเนียม ทำให้กลิ่นทั้งหมดได้ความเป็นโทนออกทางยางไม้ติดเผ็ดแปร่งที่มีโทนติดนวลของลาเวนเดอร์มาตัด มีกลิ่นเขียวกึ่งกุหลาบเล็กๆ ที่มีโทนกลิ่นในช่วงต้นเป็นตัวแทรกประปรายให้จับต้องได้ และแน่นอนบอกเลยว่าเวลาที่ไม่ได้ดมกลิ่นแบบใกล้ผิวให้กลิ่นตีขึ้นตามการกระจายตัว ใช่เลยช่วงนี้แหละคล้าย Sauvage มากจริงๆ เพียงแต่แค่จะมีโทนที่แตกต่างออกไปจากโทนยางไม้ติดแปร่งเล็กๆ อยู่พอประมาณถ้าดมใกล้ๆ ผิว

จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มปรับสถานะในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะทำให้โทนสายสดชื่นทั้งหมดจะหายไป แต่ยางไม้ยังคงอยู่ให้พอสัมผัสได้และให้โทนที่มีความเป็นไม้หอมอวลๆ มากขึ้น ซึ่งชัดเจนเลยว่าอย่างแรกจะได้โทนออกทางไม้แห้งๆ แกม Smoky เล็กๆ ที่เป็นเสน่ห์ของโทนกลิ่นแนวหญ้าแฝก กับกลิ่นอายออกทางไม้โปร่งๆ คล้ายไม้ซีดาร์แกมกลิ่นพิมเสนระเรื่อเบาๆ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นสารหอมแนวๆ Clearwood ที่ให้โทนประมาณนี้ และตัวสำคัญเลยนั่นก็คือ Ambroxan ที่มาแบบชัดเจน มีกลิ่นออกทางคล้ายโทนอำพันปลาวาฬที่มีโทนติดอวลเค็มแบบผิวหนังติดเค็มหน่อยๆ ผสมผสานกับโทนไม้หอมแกมยางไม้ที่มีความอบอุ่น และมี Musk มาเสริมให้กลิ่นมีความนวลสะอาดอ่อนๆ เป็นพื้นฐาน ทำให้ได้อารมณ์กลิ่นติดอวลมีเสน่ห์แบบโทนไม้หอมอบอุ่นแกมเย้าดึงดูดตามสมัยนิยมชัดเจนมาก ปิดท้ายแบบที่ให้อารมณ์กลิ่นแบบทันสมัยและมีความใกล้เคียงรุ่นดังแบบชัดเจน เพียงแต่ถ้าดมใกล้ๆ จะให้กลิ่นไม้หอมที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าความเป็น Ambroxan แบบที่ Sauvage ทำเอาไว้นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้แล้ว เพราะกลิ่นมันสไตล์แบบตัวยอดฮิตตามเทรนด์ที่ใส่เถอะยังไงก็หล่อ เช่นนั้นเลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ออกกิจกรรมก็ได้อยู่ แต่ถ้าออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยออกงานได้ ท่องราตรีได้ ไปแนวสบายๆ ก็ได้ ถือว่าครอบคลุมการใช้งานได้ดีอีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว

ความทน - กลิ่นทนเกินคาด เพราะสิ่งที่เจอคือลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้สบายมาก เรียกว่าหายห่วงในเรื่องนี้ได้เลยในการใช้งาน เพราะยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้แน่ๆ ในหลายๆ สภาพผิว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 2 ชม. ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความอวลๆ รุมๆ เอาราวๆ 6 ชม. ถึงค่อนๆ เฟดลงมาเป็นติดผิวกันยาวๆ ไป

สรุป - จับเข้าทีม Dior Sauvage EDT ได้เลย เพราะเนื้อกลิ่นมีความคล้ายและสามารถเอามาทดแทนกันได้แบบเนียนๆ  แถมมีคุณภาพกลิ่นที่ไม่ไก่กาเสียด้วย โดยแบรนด์เข้าใจปรับโทนกลิ่นและ Notes กลิ่นบางอย่างมาทดแทนและลดทอนสาย Fresh Spicy ลง เพิ่มความ Citrus และให้ความเป็นไม้หอมอบอุ่นเด่น โดยมี Ambroxan เป็นพื้นหลังตรึงกลิ่น ซึ่งยังคุมโทนกลิ่นที่มีความเมโทรและความทันสมัยได้อย่างครบถ้วน ครบเครื่องตามสไตล์ที่ควรจะเป็น  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://geparlys.com/collections/king/products/yes-i-am-the-king

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น