วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

ในช่วงที่ Parfums Dusita ได้แจ้งเกิดในการเป็นน้ำหอมสาย Niche Perfume ที่สร้าง Impact ในกับวงการน้ำหอมพอสมควรกับ 3 รุ่นแรกในปี 2016 (Oudh Infini, Issara และ Melodie de L’Amour) ในปีต่อมาการปล่อย Second Wave ออกมาอีก 2 รุ่น ก็เรียกว่าเสริมความแตกต่างและสไตล์ทางด้านกลิ่นที่หลากหลายมากขึ้นจากรุ่นเดิมที่มี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นที่สื่อสารถึงโทนเขียวเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วย นั่นก็คือ Le Sillage Blanc

ซึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจะมาจากโทน Fresh Green Chypre ที่จะสื่อสารออกมาเหมือนกลิ่นเช้าวันแรกของโลกใบนี้ที่จะมีกลิ่นเขียวจ่างๆ กลิ่นน้ำต้าง และบรรยากาศที่อบอุ่นจากแสงแดดต่างๆ รวมถึงเอาความเป็นกลิ่นอายสาย Classic ที่เด่นกับโทนเขียวและความเป็นหนังของรุ่น Bandit ของแบรนด์ Robert Piguet มาขยายต่อในการสร้างสรรค์เพื่อให้ได้อัตลักษณ์ตาม Concept ในการสร้างสรรค์กลิ่นเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้น ไม่ท้าวความอะไรมาก เข้าเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่า

Le Sillage Blanc เปิดต้นกลิ่นมาความเขียวเข้มๆ Intense ของยางไม้ Galbanum ก็พุ่งมาก่อนเลย กลิ่นจะมีความคมระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้บาดหรือแทงทะลุจมูกขนาดนั้น แต่จะให้ความเป็นโทนเขียวขมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยที่ไม่ได้มาสายทึบจมูกเกินไป รวมถึงมีตัวเสริมที่ดีเข้าไปอีกในการสร้างโทนเขียวเข้มๆ จากโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia ที่ให้ความเขียวขมสมุนไพรที่ชัดเจนร่วมด้วย รวมถึงจะมีอารมณ์แบบเขียวติดกลิ่นหมึกหน่อยๆ ให้จับต้องได้แฝงอยู่ตลอด แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้โหดกับเราหรือยัดความเข้มขนาดนั้น เพราะจะมีความเป็นโทนออกทางกึ่งสบู่ติดเขียวแกมนวลหวานเจือเปรี้ยวสะอาดหน่อยๆ ของดอกส้มเลยมีลูกเอื้อนเปรี้ยวแกมนวลติดหวานปลายกลิ่น และมีโทนติดเขียวปร่าขมบรรยากาศชื้นๆ เนียนๆ รายล้อมซึ่งน่าจะมาจาก Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) เลยทำให้ช่วงต้น คนที่ชอบโทนเขียวขมเข้มๆ จะฟินมากกับความชัดเจนที่ไม่ได้หนักหน่วงจนเหมือนโดนยัดเยียด แต่ให้อะโรม่าความเขียวได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

ในช่วงกลางสิ่งที่ค่อยๆ เด่นออกมาเลยต้องยกให้กลิ่นหนังที่จะมาแบบไม่ได้ดิบห่ามเกินไป แต่มีความเข้มที่กำลังดีสอดรับกับกลิ่นเขียวต่างๆ ที่ตามมาจากตอนต้น ทำให้ช่วงนี้คือการเจอกันที่ลงตัวระหว่างความเข้มที่สมดุลย์ของทั้งหนังและสายเขียวที่แน่นอนว่าโกฐจุฬาลัมพาก็ยังให้ความเขียวขมสมุนไพรเข้มๆ และ Galbanum ก็ยังให้ความเขียวที่ลดความชุ่มชื้นลงจากช่วงต้นมาเป็นเขียวเข้มกำลังดี แต่เนื้อกลิ่นมีแค่นี้ก็จะทื่อเกินไป เลยมีมิติของกลิ่นที่ให้ความเขียวโปร่งติดหวานหน่อยๆ ของใบยาสูบเข้ามาเสริมให้มีความอะโรม่า พ่วงรวมกับกลิ่นดอกส้มที่ยังตามมาในช่วงนี้ เลยทำให้เนื้อกลิ่นแฝงความผ่อนคลายเนียนๆ แม้ว่าจะมีความเข้มของหนังและโทนเขียวชัดอยู่ก็ตาม 

การเข้าสู่ช่วงท้าย เนื้อกลิ่นที่เข้มต่างๆ จะเริ่มลดบทบาทลงมาในระดับหนึ่งจนกลายเป็นสายสนับสนุนที่ยังคงได้ทั้งความเป็นหนังและความเขียวขมอยู่ แต่โทนกลิ่นเขียวเข้มที่ค่อนไปทางหมึกที่ได้ความรู้สึกกลิ่นแนวนี้ในช่วงต้นจะเริ่มกลับมาอีกครั้งให้จับต้องได้ชัดเจน และรู้เลยว่าเป็น Oak Moss ที่จะเป็นผู้เดินกลิ่นหลักในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงเพราะมีกลิ่นที่เป็นลูกครึ่งระหว่าง Musk และผักเขียวๆ อย่าง Ambrette ที่เป็นโทน Musk ติดเขียวจากพืช ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความเป็นบรรยากาศเขียวอ่อนๆ สบายๆ และมีโทนออกทาง Earthy แกมปร่าระเรื่อหวานของพิมเสนคลอๆ อยู่ตลอด เลยสร้างความรื่นรมย์กำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ภาพรวมของกลิ่นเลยจะไล่โทนที่จับต้องได้จากปร่าระเรื่อสบายๆ สู่เขียวอ่อนๆ แกมนวล และติดผิวด้วยเขียวเข้ม Oak Moss ที่มีความเป็นหนังและกลิ่นเขียวสมุนไพรเบาๆ ผสมผสานอยู่ ถือเป็นการปิดท้ายที่วางสมดุลย์ทางกลิ่นได้มีเอกลักษณ์และงดงามเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้ชายมากซักหน่อย เพราะกลิ่นมีความหนักแน่นแกมแมนๆ แฝงอยู่ให้รู้สึกได้ในหลายๆ ช่วง แต่ถ้าไม่มายด์ ผู้หญิงที่ชอบโทนเขียวเข้มๆ ก็จัดได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งแบบทางการ (แบบที่ใส่แบบเหมาะสม) หรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกิจกรรมเบาๆ เรื่อยๆ กลางแจ้งที่ไม่ได้ลุยๆ ก็จัดได้ แต่ถ้าออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนอวลเซ็กซี่แต่อย่างใด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้งานด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในหลายๆ ครั้งถ้าอากาศเป็นใจไม่ร้อนจนเหงื่อท่วมเกินไป ก็สามารถไปต่อได้ถึง 12 ชม. ก็มีเหมือนกัน

การกระจาย - เปิดตัวมาก็กระจายดีมากเลย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ทั้งหมดในแต่ละช่วงมีความเป็นลูกผสมที่เป็นโทนร่วมสมัยอย่างมาก เพราะมีความเป็นกลิ่นอายแบบ Intense Green กับหนัง ที่มีความ Classic แบบสไตล์น้ำหอมย้อนยุค + กับความอะโรม่าที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำหอมสาย Modern ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและให้ความผ่อนคลายร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเชื่อมต่อโทนกลิ่นที่มีมีเสน่ห์ไล่เรียงความหอมที่ครอบคลุมการใช้งานสไตล์ Timeless ที่มีระดับ และที่สำคัญ Unique ไม่เหมือนใครในการสร้างอัตลักษณ์ทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ในโทนเขียวเข้มแกมหนังได้มีชั้นเชิงมาก  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.rafinadparfumerie.com/product-page/le-sillage-blanc-dusita

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น