วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: PK Perfumes - Starry Starry Night

PK Perfumes - Starry Starry Night

ถ้าพูดถึงภาพวาดผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Vincent van Gogh  จิตรกรเอกชื่อดังของโลก คงจะหนีไม่พ้นภาพที่ชื่อว่า Starry Starry Night (ราตรีประดับดาว) ที่มาจากกการวาดวิวผ่านหน้าต่างพักโรงพยาบาลที่ Saint-Rémy-de-Provence ที่ทำให้เห็นตำแหน่งดวงดาวต่างๆ และดวงจันทร์ในตำแหน่งที่ชัดเจนและแน่นอนในค่ำคืนภายใต้ท้องฟ้าที่หมุนวน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งภาพที่มีความงดงามมากๆ และประเมินค่าไม่ได้ในปัจจุบันนี้  

และภาพวาดนี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นลงสู่ขวดของแบรนด์ Indie และ Niche Perfume จากอเมริกาอย่าง PK Perfumes ที่ Tribute มุมมองและศิลปะที่มาจาก Vincent van Gogh โดยการตีความเอากลิ่นอายต่างๆ ที่ควรจะเป็นตามภาพวาดนี้ออกมา เช่นนั้น ได้เวลาในการมาศึกษามุมมองทางกลิ่นกันซักหน่อยแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะสร้างความรู้สึกอย่างไรในการเป็นกลิ่นอายของราตรีประดับดาว

Starry Starry Night ทำเอาแปลกใจไม่น้อยกับการสื่อสารถึงกลิ่นอายดอกส้มแบบสกัดด้วยตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่เป็นแกนหลักของเนื้อกลิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะเจอกลิ่นอายของดอกส้มในน้ำหอมที่ใช้งานแบบ Daily Scent แต่สิ่งที่ได้คือกลิ่นอายแบบอากาศเย็นๆ สดชื่นแกมชื้นน้ำค้างหน่อยๆ ยามค่ำคืนที่กลิ่นดอกไม้เริ่มส่งกลิ่นหอมแรงแบบใกล้รุ่งเช้าเสียมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นดอกส้มจะเด่นออกมา แต่ก็จะมีกลิ่นโทนเขียวกิ่งก้านส้มมาตีคู่แบบเด่นเคียงกันเป็นกลิ่นลักษณะดอกไม้ขาวแกมเขียวเปรี้ยวที่มีลูกโทนกลิ่นปร่า Spicy เผ็ดหน่อยๆ ของกานพลูแฝง โดยจะมีกลิ่นออกทางฉ่ำชื้นๆ แตงกวาที่มาให้ความรู้สึกกึ่ง Aquatic หน่อยๆ และมีความสดชื่นแกมขมเล็กๆ ของเลมอนมาแฝงในความชื้นๆ แตงกวา ทำให้ได้อารมณ์อากาศสดชื่นแกมน้ำค้างแบบก่อนรุ่งเช้าได้อย่างน่าสนใจมาก

ในการเข้าสู่ช่วงกลางดอกส้มจะลดบทบาทลงไปหน่อย แต่จะไม่ได้หายไปไหน เพราะจะมีกลิ่นของกระดังงาเข้ามาเสริม ตามด้วยกลิ่นเขียวของกิ่งก้านส้มที่เรียกว่าเป็นตัวเด่นกว่าเข้ามาเป็นตัวหลักแทน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางยางไม้และเครื่องเทศที่ติดเผ็ดปร่าเข้ามาเสริมมากขึ้น ซึ่งช่วงนี้เรียกว่าเป็นไฮไลต์อย่างมากจริงๆ เพราะจะสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติของเนื้อกลิ่นที่สูงมาก เพราะจะได้ความเป็นดอกไม้ขาวหอมหวานอมเปรี้ยวสะอาดในสไตล์ดอกส้มที่ชัดเจน และมีความตุ่ยๆ Indolic ตามธรรมชาติแบบเราดมจากดอกจริงๆ ที่จะมีกลิ่นตุ่ยอ่อนๆ แกมเขียว และมีความเย้ายวนสีเหลืองนวลของกระดังงาให้รู้สึกได้ประปรายตลอด ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้จะจับต้องได้ถึงกลิ่นเขียวติดเผ็ดกำลังดี ซึ่งจะได้อารมณ์แบบกิ่งก้านส้มที่มีโทนเขียวแซมความเผ็ดปร่าที่มาจากทั้งกานพลูที่จับต้องได้ตั้งแต่ช่วงต้น แต่จะมีความปร่าแกม Incense หน่อยๆ ของ Frankincense เข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนเผ็ดกึ่งพริกไทยกึ่งยางไม้มากขึ้น ตามด้วยความหวานเย้าของกระวานที่มาแบบเบาๆ และฉากหลังจะมีกลิ่นโทนไม้หอมที่ติดนวลหอมแบบไม้จันทน์หอมแนว Classic หน่อยๆ ให้จับต้องได้อีกด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นมาจากช่วงต้นอีก 1 สเต็ป แต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป มีความเป็นธรรมชาติในการเป็นกลิ่นเขียวแกมดอกไม้ขาวและเหลืองที่มีความ Classic ที่แฝงอยู่อย่างงามๆ ได้เลย

เนื้อกลิ่นในช่วงท้ายจะชัดเจนเลยว่ามาในสายกลิ่นอาย Classic ที่ไม่ได้หนักหน่วงหรือดู Vintage จ๋าเกินไป แต่ให้อารมณ์ร่วมสมัยเสียมากจนเป็นข้อดีที่ทำให้ใช้งานได้แบบไม่มีคำว่าตกยุค เพราะเนื้อกลิ่นจะเป็นไม้จันทน์หอมเด่นมาเลย ให้ความเป็นไม้หอมติดมิลค์กี้อ่อนๆ ทีความจืดหอมนวลเรียบหรูเฉพาะเป็นพื้นฐาน โดยจะมีกลิ่นแนว Smart ของกลิ่นสนไพน์ที่ให้ความเขียวแกมยางสนสะอาดๆ แกมกลิ่นเขียวใบไม้กลิ่นสนที่ติดเข้มเพราะตัวแปรสำคัญอย่าง Oak Moss ที่ทำให้กลิ่นมีความเขียวเข้มแกมหมึกสร้างลักษณะกลิ่นแบบสไตล์ Classic เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้เมนหลักของกลิ่นกลายเป็นโทนไม้หอมที่มีความ Earthy เลย เพียงแต่เพราะว่ากลิ่นในช่วงกลางยังตามมาอยู่พอสมควร เลยทำให้ได้ความเป็นโทนเขียวติดปร่าหน่อยๆ มาเป็นเลเยอร์แรกแบบถอดมาเป๊ะให้เพียงกลิ่นเบาๆ ที่มีเสน่ห์แทน เรียกว่าให้ความรื่นรมย์ก่อนปิดคล้ายด้วยโทนกลิ่นสไตล์ Timeless ได้อย่างน่าสนใจและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้แล้ว ซึ่งเนื้อกลิ่นตอบโจทย์ Daily Scent โดยที่มีความเป็นโทนแนวร่วมสมัยปิดท้าย ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายทันสมัยจ๋าๆ หรือว้าวเรียกเรตติ้ง แต่มาสายกลิ่นอายธรรมชาติและการสื่อความกลิ่นโทนเย็นๆ ที่มีเสน่ห์เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นนี้เองก็สามารถใช้ยามกลางคืนได้ด้วยเช่นกัน แบบใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปที่วางตัวดีหน่อย แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์เย้ายวนสุดฤทธิ์ ข้ามไปจะดีกว่า

ความทน - ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 - 10 ชม. อาจจะไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. เป็นเรื่องปกติบนผิวกาย แต่ถ้าบนเสื้อเรียกว่าติดทนมากแบบข้ามวันกันได้เลย  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปถึง 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลงมาปานกลางต่ออีกราวๆ 2 ชม. แล้วจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 7 - 8 ถึงเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นการตีความ Starry Starry Night ที่น่าสนใจมากกับการเอากลิ่นอายแบบช่วงดึกค่อนรุ่งเช้า แบบที่ภาพวาดนำเสนอมาถ่ายทอดต่อ ซึ่งอาจจะไม่ได้แตะในเรื่องความโรแมนติคในเนื้อกลิ่นมากนัก เน้นการสื่อถึงความเป็นจริงที่ถอดมาจากภาพวาดและส่งต่อกลิ่นอายเยือกเย็นและสงบๆ แบบที่บอกสภาพแวดล้อมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ชัดเจนเสียมากกว่า

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pkperfumes.com/shop/starry-starry-night/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น