วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566

Review: Rogue Perfumery - Fougere L’Aube

Rogue Perfumery - Fougere L’Aube

เพราะเน้นส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติและไม่แคร์ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการในสร้างสรรค์น้ำหอมแต่อย่างใด เลยทำให้แบรนด์ Rogue Perfumery กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมต่างๆ ในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มีเสน่ห์และสร้างความร่วมสมัยในการใช้งานน้ำหอมโดยที่จับต้องได้ถึงคำว่า “กลิ่นจริงๆ และของจริง” มาอย่างต่อเนื่อง และทุกวันนี้ก็ยังปล่อยเสน่ห์ทางกลิ่นออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งหนึ่งคือ ส่วนตัวไม่เคยได้ลองกลิ่นอายของโทน Fougere จากแบรนด์นี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่พื้นฐานเป็นคนชอบโทนเขียวแบบ Fern-Like อยู่มาก เช่นนั้นวกไปเวียนมาตัดสินใจอยู่หลายรอบ ก็ได้มีโอกาสในการได้เจอซักทีกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าไม่ธรรมดาและสร้างสรรคกลิ่นที่มีระดับออกมาได้เกินคาดในการเป็น Fougere เช่นนั้น จัดไปผลที่ได้ในการใช้งานจึงออกมาเป็นเช่นนี้

Fougere L’Aube เปิดต้นกลิ่นมากับความเป็นลูกผสมระหว่างโทน Citrus ที่มีความปร่าขมแต่แกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่สดชื่นซึ่งน่าจะมาจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีวูบที่เป็นโทนออกทาง Splash สดชื่นของเลมอนให้จับต้องได้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายเปรี้ยวสดชื่นแบบนั้น เพราะว่ามีโทนกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาแบบสมุุนไพรติดเขียวเกินไป แต่มาแบบกลิ่นลาเวนเดอร์ที่นวลๆ มีลูกเอื้อนสมุนไพรหน่อยๆ มากล่อมให้กลิ่นมีความสดชื่นแกมนวลให้จับต้องได้ตั้งแต่ 15 วินาทีแรก แต่แล้วก็จะเริ่มมีโทนเขียวที่น่าสนใจมากๆ เสริมเข้ามาซึ่งนั่นก็คือ Hay หรือหญ้าแห้งที่ติดเขียว เคล้ากับยางไม้ที่ให้ความเขียวติดขมที่มีความเข้มแบบกำลังดีของ Gallbanum ทำให้ช่วงต้นสร้างความรู้สึกที่สมดุลย์ได้พอเหมาะจริงๆ ในการเป็นโทนเขียวที่มีความเขียวแบบธรรมชาติแบบกลิ่นหญ้าแห้งที่มีความหวานแกมลาเวนเดอร์นวล และมีความเข้มแบบกลิ่น Stem เขียวๆ ในใบไม้ใบหญ้า ที่มีความสดชื่นของ Citrus สว่างๆ ที่คมไม่เปรี้ยวจัดจ้าน เปิดมาก็ตกได้เลย โดยเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นแนวเขียวธรรมชาติและกลิ่นแนวป่าเขียวชื้นๆ หรือทุ่งหญ้าเขียวๆ โปร่งๆ อะไรแนวนี้

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนวลๆ แกมกลิ่นกุหลาบและกลิ่นเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบที่มีความมินต์หน่อยๆ ของเจอราเนียม ที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นกุหลาบที่มีความเขียวจะมาสมทบกับกลิ่นที่มาจากช่วงแรกทั้งหมด เนื้อกลิ่นจะมีความเขียวแกมหวานนวลและมีความเป็นธรรมชาติเช่นเดิม เพิ่มเติมความนวลแกมกุหลาบและไม้หอมแนวนวลๆ เข้ามาซึ่งคาดว่าจะเป็นไม้จันทน์หอม แต่เนื้อกลิ่นจะมีความลึกของโทนเขียวเข้มๆ เป็นฉากหลังให้รู้สึกได้ ซึ่งพอโทนเขียวต่างๆ มาผสมผสานกันจะมีมิติที่เป็นกลิ่นออกแนวคล้ายอยู่ในสถานที่ธรรมชาติที่มีทั้งความสดชื่น ความนุ่มนวล ความเป็นสมุนไพรติดปร่าๆ ความเขียวแกมหวานหอม ความเขียวเข้มที่ให้ความขรึมสมาร์ท และความเขียวแกมโรแมนติคที่ติดกุหลาบหน่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ทำให้นึกถึงกลิ่นอายเขียวมีเสน่ห์และสมาร์ทแบบนี้อย่าง Green Irish Tweed ของ Creed  ในความเขียวรื่นรมย์และมีเสน่ห์สไตล์ Old School ที่มีเสน่ห์ สุภาพบุรุษ สดชื่น และหรูหราในที โดยไม่อัดความคมสบู่ฟุ้งๆ เรียกว่าเอาความเป็นกลิ่นอายแนว Fougere ฉาบหน้าความเป็น Cologne Classic ที่ลงตัวและไม่ธรรมดามาก 

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงท้ายต้องยกให้ความ Smooth ของกลิ่นที่มีความค่อยเป็นค่อยไปสูงมาก เพราะความเป็น Oak Moss จะค่อยๆ ชัดเจนออกมาท่ามกลางความเขียวที่เริ่มเฟดตัวเองลงไม่ ตัดทอนด้วยความนุ่มนวลของ Musk และมีไม้จันทน์หอมที่ยังตามมาในช่วงนี้แบบติดนวลกุหลาบอ่อนๆ และที่สำคัญความเป็นกลิ่นออกทางเขียวที่เป็นหญ้าแห้งแต่มีความหวาน ทำให้กลิ่นมีความ Smooth และมีเสน่ห์มากขึ้น โดยยังคุมโทนความ Classic มีความเป็นสุภาพบุรุษที่ครบถ้วน และที่สำคัญมีเสน่ห์ในความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นสูงมาก ปิดท้ายได้อย่างดงาม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก แถมมีความสมาร์สดชื่นและหรูหราเป็นธรรมชาติมาเลย ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด เพียงแต่ว่าถ้าเอาไปใส่ออกกำลังกาย จะแอบเสียของเวลามันละลายไปกับเหงื่อ แต่ถ้าใส่แบบทางการล่ะก็ ยังไงก็ได้รับคำชมได้ไม่ยาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นทั่วๆ ไปหรือว่าจะใส่ออกงานจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเที่ยวกลางคืนอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และสู้กลิ่นแนวหวานแน่นๆ ต่างๆ ไม่ได้แน่ๆ 

ความทน - อันนี้คือแม้ส่วนผสมจะมีความเป็นธรรมชาติสูง แต่ความทนไม่ได้แปรผันตามการเป็นกลิ่นอายธรรมชาติเลย เพราะความทนคืออยู่ตั้งแต่ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก และที่เจอสูงสุดคือ 15 ชม. ก็ยังจับต้องกลิ่นได้อยู่ นี่สิไม่ธรรมดา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและอยู่ราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 4 ชม. ก็จะลงไปที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 เลย ถึงจะค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent  

สรุป - Fougere L’Aube ทำให้นึกถึงกลิ่นอายสาย Fougere ที่ยอดเยี่ยมต่างๆ ที่เปรียบเสมือนเป็น Background เช่น Green Irish Tweed ที่ค่อนข้างชัดเจนว่ากลิ่นนี้น่าจะเป็น Reference ที่ชัดเจน + สไตล์สะอาดนวลแบบแนวๆ Classic Cologne แนวแบบกลิ่นสะอาดๆ ไม่ใช่เอะอะก็ฟุ้งก็คม กันจนกลายมาเป็นกลิ่นนี้มีความหอมที่ยังไงก็สมาร์ท เรียบหรู และสุภาพบุรุษ แถมยังมีความเป็นธรรมชาติเนื้อกลิ่นสูง โดยให้ความเขียวที่มีมิติรื่นรมย์มากในการจับต้อง ซึ่งนี่แหละที่ยอดเยี่ยมมาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://rogueperfumery.com/products/fougere-l-aube

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น