วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Jo Malone - Blue Agava & Cacao

Jo Malone - Blue Agava & Cacao

เมื่อปี 2006 ตามสไตล์ของแบรนด์ Jo Malone ที่นอกจาก Collection พิเศษที่จะออกมาในแต่ละปีแล้ว ก็จะมีบางรุ่นที่เอามาเปลี่ยนขวดให้ดูเข้ากับเทศกาล (ซึ่ง Blackberry & Bay นี่แหละ บ่อยเหลือเกิน) และมีการออกกลิ่นใหม่ออกมาสมทบไลน์น้ำหอมปกติให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นที่ได้รับคำชมอย่างมากอยู่มากมายรวมถึงรุ่น Blue Agava & Cacao ด้วยเช่นกัน

ซึ่ง Blue Agava & Cacao ก็ครองใจคนใช้น้ำหอมของ Jo Malone มากันอย่างยาวนาน แล้ววันหนึ่งแบรนด์ดับสลายด้วยการบอกว่ากลิ่นนี้เลิกผลิต ทำให้คนที่ชอบกลิ่นนี้ต่างรีบจับจองมาเก็บไว้ชื่นชมกันยาวๆ ไป ก่อนที่จะหมดหายไปจากตลาด แต่ Jo Malone ก็มีก็อกสองคือเอากลิ่นนี้กลับมาขายบ้างเป็นช่วงๆ และแน่นอนว่าในอนาคตกลิ่นนี้ก็สามารถเป็นหนึ่งในรุ่นประจำเทศกาลที่เอากลับมาเรียกเรตติ้งแน่นอน แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น มาว่ากันเรื่องกลิ่นหน่อยว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงครองใจและได้รับคำชื่นชมมากขนาดนี้

เปิดกลิ่นมาก็ชวนตื่นเต้นเลย เพราะเนื้อกลิ่นจะจัยต้องได้ถึงโทนเบอร์รี่ที่จะเด่นออกมาก่อนเพื่อน แต่กลิ่นจะไม่ได้เป็นเบอร์รี่สายลั่นล้าใสกิงก่องแก้วแต่อย่างใด เพราะจะให้ความเป็นโทนสีแดงติดเปรี้ยวอมหวาน โดยที่จะมีอารมณ์เปรี้ยวติดสว่างหอมของเกรปฟรุตมาเสริมที่ทำให้ได้อารมณ์แบบ Cologne แต่ก็ไม่ได้ไปสายสดชื่นสแปลชอะไร เพราะมีความอวลของเครื่องเทศสายเย้าอย่างเม็ดกระวานคลออยู่แบบสมดุลย์กำลังดี โดยที่ไม่ได้ไปสายเข้มเกินไปมาตัดให้กลิ่นมีความยวลเย้าลึกดึงดูดเสริมให้ความเป็นโทนเบอร์รี่สีแดงมีความลึกในกลิ่นมากขึ้น ที่สำคัญมีอารมณ์กลิ่นออกทางดอกไม้ติดหวานๆ แนวๆ ลิลลี่คลออยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นช่วงต้นเป็นการเปิดตัวที่น่าค้นหาเกินคาด และสร้างมิติกลิ่นให้จับต้องได้อีกมุมในการเป็นโทนเบอร์รี่สีแดงที่มีความน่าค้นหาได้อย่างน่าสนใจมาก โดยที่ยังคุมโทนอารมณ์แบบ Cologne ได้ดีอยู่

และเมื่อเริ่มจับต้องถึงกลิ่นหวานติดเขียวนวลและมีกลิ่นติดดินชื้นๆ เล็กๆ คลออยู่ก็บอกเลยว่าตัวเอกของกลิ่นได้เวลาเข้ามาแล้วนั่นคือ Agave ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เขาเอามาผลิตเป็นเหล้าเตกีล่า ซึ่งตรงตามโจทย์ว่า Blue Agava ชัดเจน เพราะอารมณ์กลิ่นจะได้วูบแบบเตกีลาแบบที่ไม่ได้ฉุน ซึ่งจะมีลูกโทนกลิ่นเบอร์รี่ในช่วงแรกที่ให้ได้อะโรม่าแบบเตกีล่าร์ที่จะมีโทนผลไม้วูบๆ อยู่ในนั้นให้มิติที่ 2 อยู่แล้ว แล้วจะมีกลิ่นหวานติดดินชื้นอ่อนๆ สร้างความน่าสนใจเป็นมิติที่ 3 ซึ่งนอกจากความเป็น Agave จะเด่นแล้ว ในเนื้อกลิ่นจะมีตัวสนับสนุนที่ดีอย่างโทน Citrus ที่ตามมาจากช่วงแรกและมีกลิ่นเกลือหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงช็อตเตกีล่าที่เสิร์ฟคู่กับเลมอนฝานและเกลือทันทีเลย แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะมีกลิ่นดอกไม้คลออยู่เสริมความหวานที่เป็นมิติรื่นรมย์ปนเย้ากำลังดีจากลิลลี่ ติดแป้งที่มีความชื้นนิดๆ ของกล้วยไม้ที่ให้ความมีมิติส่งเสริมกันเป็นอย่างดีเกินคาดอารมณ์แบบเตกีล่าเคล้ากับกลิ่นกรุ่ยกายหอมดอกไม้หวานเจือแป้งนวลเย้าเลย และเมื่อกลิ่นดำเนินไประยะหนึ่งจะเริ่มจับต้องได้ถึงความแห้งของกลิ่นแนวโกโก้ที่เริ่มเปิดตัวออกมาและเชื่อมโยงกับกลิ่นโทนแป้งของกล้วยไม้ที่สอดรับกันพอดี เลยจะเริ่มเข้าโทนที่มีความอบอุ่นแลลุ่มลึกน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยและเริ่มชัดเจนเรื่อยๆ โดยจะมีกลิ่นวานิลลาที่เป็นโทนแป้งเสริมเข้ามาร่วมด้วยตามลำดับ และก็เปลี่ยนเป็นช่วงท้ายที่เตกีล่าช่วงกลางจะเป็นมิติกลิ่นที่ให้โทนบรรยากาศแทน แต่กลิ่นที่คลอจะเป็นแป้งหอมวานิลลาเจือโกโก้ที่มีความหวานรื่นรมย์ปนโปร่งๆ มากกว่าจะไปทึบข้น ซึ่งจะมีโทนหวานอบเชยอ่อนๆ มาเย้าๆ เบาๆ ให้รู้สึกได้ด้วย และเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะได้กลิ่นนวลสะอาดของ Musk ปนกลิ่นไม้แห้งอ่อนๆ เนียนๆ อยู่ ซึ่งทุกอย่างคุมโทนอะโรม่าที่ไล่เลเยอร์การจัยกลิ่นได้จากอบอุ่นดาร์กหน่อยปนลุ่มลึกนวลแป้งสู่กลิ่นสะอาดเจือไม้หอมแห้งท่ามกลางกลิ่นเตกีล่าเบาๆ คลออยู่ ซึ่งทุกอย่างสร้างความ Aromatic ที่ปลอดโปร่งได้อย่างมีชั้นเชิงและเรียบหรูมีระดับมาก ยกนิ้วให้เลยว่ายอดเยี่ยมจริงๆ กับประสบการณ์ในการเรียนรู้กลิ่นนี้ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แม้จะมีโทนออกทางผู้หญิง Feminine บ้าง แต่ก็ไม่ได้สาวจ๋าจนเปิดตัวรอบทิศขนาดนั้น ออกแนวเป็นกลิ่นดอกไม้ที่โปร่งหวานอย่างมีชั้งเชิงและดึงดูดมากกว่า เช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนใส่ก็มีเสน่ห์หมด โดยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไปที่สร้างออร่าน่าค้นหาแบบเรียบหรูและมีเสน่ห์ แต่ถ้าใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ใส่ออกงานหรือใส่ยามโรแมนติคนี่แหละ ลงตัวมาก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราว 2 ชม. ตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งส่วนตัวเจอมาแล้วตั้งแต่ 6 ชม. กับ 4 สเปรย์และอากาศร้อน และ 8 ชม. ในวันอากาศกำลังดี และถึง 12 ชม. ในวันที่อากาศเย็นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางซักครู่ แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ ตามสไตล์ Whispering Scent ของแบรนด์ที่ให้ความเรียบหรูมีคลาสกันไปเรื่อย จนเมื่อผ่านไป 5 - 6 ชม. ถึงเป็นติดผิวแล้วจางไปเรื่อยๆ ตามเวลา

สรุป - ต้องยอมรับความคุมสมดุลย์ของกลิ่นเลยแม้ว่าจะมีโทนอบอุ่นให้จับต้องได้ และมีโทนเครื่องดื่มกับโทนแป้งที่ควรจะไปสายข้นนวลหรือปล่อยเสน่ห์เต็มๆ แต่สุคนธกรอย่าง Jo Malone เองที่สร้างสรรค์กลิ่นนี้ยังคุมความโปร่งติดสไตล์ Cologne ได้อย่างดีงามตั้งแต่ต้นยันจบได้ไม่หลุด Concept แต่อย่างใด และคุณภาพกลิ่นก็ให้อารมณ์ที่หรูหรา เย้ายวน ดึงดูดแบบปลอดโปร่งได้ดีงามในทุกช่วงกลิ่นเลย ยอมจริงๆ สมแล้วที่เป็นกลิ่นที่ได้รับความนิยมมากอีกหนึ่งกลิ่น เช่นนั้นกรุณาอย่าเลิกผลิตเลยนะ Please~

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/116389971594182653/

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น