วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

Review: Cartier - La Panthere Edition Soir

Cartier - La Panthere Edition Soir

จากจุดเริ่มต้นในปี 2014 กับการเปิดตัว Collection น้ำหอมใหม่ของ Cartier ที่เอาสัญลักษณ์ของแบรนด์ คือ เสือ Panthere มาสร้างสรรค์เป็นทรงขวดรูปหน้าเสือ และนำเสนอการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่สื่อสารถึงความเป็นอิสระ สง่างามแซ่บอย่างมีชั้นเชิง และมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง โดยอิงพื้นฐานกลิ่นที่การเป็นโทน Chypre Floral ที่มีโทนผลไม้สร้างความเป็นโทน Feminine แบบชัดเจน ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere ที่เป็นตัวต้นตระกูลในการต่อยอดสร้างลูกหลานออกมาในการเป็น La Panthere มาอย่างต่อเนื่อง

แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาที่การเป็นรุ่นต้นตระกูล แต่มากับการเอารุ่นที่เปิดตัวมาในปี 2016 ซึ่งมีความน่าสนใจในการสื่อสารถึงความสตรองและมั่นใจอย่างเต็มเหนี่ยวของการเป็นผู้หญิงที่มีพลัง โดยเอาโทน Animalic มาเป็นตัวเดินกลิ่น อารมณ์นางพญาที่มีความเป็นเสือในตัวฉาบหน้าด้วยความหรูหรามั่นใจ เช่นนั้น จะสตรองขนาดไหน มีโอกาสได้ใช้ก็ต้องมาจาระไนกันซักหน่อยว่าจะเป็นดังเช่นคำโปรยหรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น La Panthere Edition Soir

เปิดตัวมาก็ได้กลิ่นของดอกพุดที่วูบขึ้นมาแบบที่มีลูกเอื้อนกลิ่นหอมนวลครีมมี่ แต่มีความเป็นโทนกึ่งเห็ดตุ่นๆ หน่อยๆ ซ่อนอยู่เด้งมาก่อนใครเพื่อน แล้วจะสัมผัสได้ว่าจะมีโทนออกทางสาบปลุกเร้าแบบ Animalic ที่มีความตุ่ยๆ แกมเย้ายวนดึงดูดที่ให้อารมณ์แบบสตรองซ่อนหวานเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบขนบนิยมนักในแง่ของน้ำหอมผู้หญิงที่เปิดมาใสๆ โลกสีชมพูแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นเสือที่มีความมั่นใจและมีเสน่ห์ ซึ่งถือเป็นการเล่นโทนและเชื่อมโทนต่อกันได้ดีระหว่างความเป็นดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic และโทนสาบ Animalic ที่คาดว่าน่าจะมาจาก Musk แฝงโทนหนังเนียนๆ โดยที่มีปลายกลิ่นมีความเป็น Citrus เบาๆ สร้างมิติที่ไม่ทื่อเกินไป เรียกว่าเล่นโทนได้สตรองกันตั้งแต่ต้นเลย

การเปลี่ยนแปลงจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ไม่ทิ้งความเป็นโทน Animalic เพียงแต่จะผ่อนความสตรองในตอนแรกลงมาในระดับที่เจอกันตรงกลางพอดี ซึ่งคราวนี้จะสัมผัสได้มากกว่า 2 โทนหลักๆ คือ ดอกไม้ขาวกับสาย Animalic Musk นั่นคือ โทน Earthy ที่จะมีลูกผสมของ Oak Moss ที่มาแบบเขียวเข้มแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเข้าโทนกรุยกราย Classic กับพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย้ามีเสน่ห์ และไม่พอยังมีโทนแป้งที่เสริมเข้ามาด้วยซึ่งน่าจะเป็นลูกผสมของดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งโปร่งหวาน + ไอริสที่ให้โทนติดแป้งฝุ่นมีเสน่ห์กำลังดี ซึ่งจะมีลูกผสมโทนดอกไม้อื่นๆ เข้ามาซึ่งพอจับต้องและคาดเดาได้ว่าน่าจะมีมะลิและกุหลาบมาเนียนๆ รวมอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกผสมที่ลงตัวในการดึงเสน่ห์ของแต่ละโทนหลักออกมาได้ดีมาก เพราะจะรู้สึกได้เลยว่ามันมีกลิ่นสาบเร้า แต่ก็มีกลิ่นครีมมี่หอมหวานดอกไม้ขาว และมีความนิ่งน่าค้นหาแถมหรูหรามีระดับของสาย Earthy และมีความละมุนๆ แป้งหอมติดหวานคลอเคลียได้อย่างพอดิบพอดี เรียกว่าเป็นช่วงที่สมดุลย์มากจริงๆ

เมื่อโทน Animalic เริ่มผ่อนตัวลงมา และมีโทน Musky หน่อยๆ ที่เข้าโทนนุ่มนวลแกมแป้งที่เป็นลูกผสมของ Musk และน่าจะเป็นวานิลลาที่เข้าโทนแป้งอบอุ่น เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความหอมเย้ามีเสน่ห์ และมีโทนติดทางคล้ายแอมเบอร์ที่ไม่ได้เป็นโทนแปร่งยางไม้ แต่เป็นอุ่นลึกค่อนโทนหนังที่สะอาดๆ ซึ่งน่าจะเป็น Labdanum ที่ให้โทนแบบนี้ เนื้อกลิ่นเลยจะเป็นโทนที่ให้ความอบอุ่นนวลสะอาดที่มีความน่าค้นหาติดเข้ม Oak Moss แกมแป้งหอมติดหวานกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์เบาๆ หรูๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง + แป้งอบอุ่นวานิลลาที่มีความครีมมี่กำลังดี กึ่งติดเย้าที่มี Effect ของโทนสาบเร้าอยุ่แบบเนียนๆ โดยมีปลายกลิ่นที่เป็นพิมเสนหน่อยๆ ที่ถือว่าเป็นการขมวดความสตรองมาสู่ความความอบอุ่นและมีความเป็นโทน Feminine ที่มีความมั่นใจแกมหรูหรามีเสน่ห์ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป และอย่างน้อยพื้นฐานรับโทน Indolic ตุ่ยๆ กับโทนสาบ Animalic ได้อยู่บ้างจะอินกับการใช้น้ำหอมตัวนี้ได้มากขึ้น ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะไม่งั้นเดี๋ยวปล่อยความสตรองเกินจนคนอื่นตกใจเอาได้ เนื้อกลิ่นเข้ากับการใส่ยามทางการอยู่บ้าง แบบให้ผ่านช่วงต้นไปก่อน และใส่ทั่วๆ ไปแบบโชว์ความเป็นนางพญาก็ดีไม่น้อย ส่วนนามค่ำคืนบอกเลยว่าเข้าทาง แต่จะไม่ได้โฉ่งฉ่าง เน้นมาแบบมีพลังและมีเสน่ห์ที่น่าสนใจและแตกต่างเสียมากกว่า เลยแตะได้ทั้งใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ

ความทน - แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกอาจจะถึง 12 ชม. เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็อิงตามจำนวนเสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าถ้าไม่ชินกับกลิ่นติดตุ่ยๆ Indolic ของสายดอกไม้ขาว หรือว่ากลิ่นสาบตุ่ยๆ แนว Animalic Musk จะอึ้งกิมกี่ไปกันได้เลย แต่พอเข้าช่วงกลาง การกระจายจะลดลงมากำลังดี หรูหราและมีเสน่ห์ แล้วค่อยๆ ลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว จนเป็น Skin Scent เอาเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป

สรุป - เก๋และสตรอง แบบที่ได้ความเป็น Panthere แบบทรงขวดชัดเจนไม่พอ ยังมีความหรูหรามั่นใจได้อย่างดี โดยที่คุมโทนความ High - End ในเนื้อกลิ่นที่สื่อถึงความเป็น Cartier ได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้ามองในแง่ของการเป็น Flanker ก็ถือว่าต่อยอดออกมาจากรุ่นปกติได้ดีมากๆ เลยทีเดียวในการชูโรงความเป็นดอกพุดและโทน Animalic ที่มีเสน่ห์ในแบบมั่นใจ อีกหนึ่งในความไม่ธรรมดาของ Cartier เลยก็ย่อมได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cartier.com/en-gb/eau-de-parfum-edition-soir-la-panthere_cod25372685655533003.html

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น