วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Review: BeauFort London - Terror & Magnificence

BeauFort London - Terror & Magnificence

ลองนึกถึงโบสถ์คาทอลิกเก่าๆที่เป็นสไตล์กึ่ง Baroque กึ่ง Gothic มีความขลัง ขรึม ดาร์ก แบบอารมณ์กึ่งปราสาทโบราณใหญ่ๆ หน่อยท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนที่มีแสงไฟน้อยๆ รู้สึกถึงความดาร์กกันแบบทั้งน่ากลัวและน่าค้นหาในเวลาเดียวกันไหม? ถ้าใช่ เรียกมาปูทางความรู้สึกกันก่อนเลยว่ามีแบรนด์น้ำหอมจากอังกฤษอย่าง BeauFort London ได้สร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่มาในสไตล์กอธิคแบบนี้ออกมาให้สัมผัสความดาร์กกันเต็มๆ กับกลิ่นที่ชื่อว่า Terror & Magnificence

ที่มาที่ไปมาจาก Concept ของแบรนด์ที่มักเอา Element ด้านความดาร์กมาสร้างสรรค์และสื่อสารในการเป็นน้ำหอม และเมื่อ Creative Director ของแบรนด์อย่าง Leo Crabtree ได้แรงบันดาลใจจากงานสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์คริสต์ที่มีความเก่าและมืด ที่มีกลิ่นอายเฉพาะตัวและสร้างความรู้สึกในหลากหลายรูปแบบในความรู้สึกดาร์กๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นจึงได้เป็นการสร้างสรรค์ร่วมกับสุคนธกรออกมาในการเป็น Terror & Magnificence นั่นเอง

การเปิดตัวของ Terror & Magnificence เรียกว่าถ้าไม่คุ้นชินกับกลิ่นแนว Smoky ดารก์เข้มๆ อาจจะตึ่งโป๊ะ! กันได้ เพราะจะมากับกลิ่นออกทางเขม่าของ Birch Tar ที่ชัดเจนมาก มีทั้งกลิ่นแบบ Smoky อวลๆ ที่ไม่ได้ควันจ๋า แต่มีอารมณ์กลิ่นสีดำเข้มๆ แบบถ่านที่มีความเป็น Incense หรือโทนธูปติดปร่าๆ ของ Frankincense เข้ามาผสมผสาน เลยจะได้ความเป็นโทนดาร์กเข้มปร่าๆ ที่วูบขึ้นมาพร้อมกับลูกเอื้อนที่ให้ความหนาในเนื้อกลิ่นชัดเจนมากขึ้น + ให้ความเผ็ดนวลอย่างพริกไทย และมีความหวานแปร่งเย้าหน่อยๆ ของหญ้าฝรั่นที่มาทำให้กลิ่นมีลักษณะดึงดูดแกมหวานกึ่งขมเนียนๆ แฝง แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเนื่้อกลิ่นทำให้นึกถึงกลิ่นหินหรือก้อนอิฐเย็นๆ แนวแร่ธาตุหน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งทุกอย่างพอผสมผสานเข้าด้วยกัน เนื้อกลิ่นให้ความดาร์กทะมึนมาเลย และมีความชัดเจนในความมืดของกลิ่นสมกับ Concept ของแบรนด์ได้ชัดเจนมาก

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะจับต้องได้ถึงความเป็นยางไม้กึ่งยาสูบที่ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ โดยที่ไม่ละทิ้งความดาร์กของกลิ่นโทนเขม่าสีดำแกมธูปย่างไม้ติดปร่า ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานลึกและหวานโปร่งผสมผสานกันเข้ามาอย่างพอเหมาะ ทำให้กลิ่นดาร์กเข้มที่แอบดูมืดไปหมดในช่วงต้น มีมิติความหวานที่ดึงดูดมากขึ้น และที่สำคัญอารมณ์กลิ่นโทนธูปยางไม้กึ่งไม้หอมในช่วงนี้ ให้อารมณ์แบบติดควันอ้อยอิ่งหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงกลิ่นธูปในโบสถ์คริสต์ขึ้นมาทันที ซึ่งทำให้กลิ่นมีทั้งความลึกลับและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรียกว่าตรงกับ Concept ที่ควรจะเป็นกับการเย้าความรู้สึกในการได้รับกลิ่นที่ได้ทั้งความดาร์ก ลึกลับ และน่าค้นหา แบบให้เรานึกถึงเวลาเราเข้าโบสถ์คริสต์เก่าๆ มืดๆ ทั้งน่ากลัวและอยากรู้อยากเห็นต่อว่ามีอะไรแนวๆ นั้นเลย

ช่วงท้ายของน้ำหอมแกนหลักของกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นกลิ่น Incense ที่ชัดเจนมาก ซึ่งแน่นอนว่ายังเป็น Frankincense ที่จะให้ความเป็นยางไม้ติดปร่าแกม Smoky แบบกำลังดี แต่สิ่งที่มาเสริมชัดเจนมากขึ้นคือ โทนอบอุ่นของแนวแอมเบอร์แต่มีความลึกกว่าซึ่งน่าจะเป็น Labdanum รวมถึงมีกลิ่นกำยานที่ค่อนไปทางวานิลลาแบบ Benzoin เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้กลิ่นมีวูบความหวานอุ่นให้รู้สึกได้ และไม่พอความรู้สึกของโทนออกทางแร่ธาตุแบบหินเย็นๆ ติดชื้นๆ แบบ Earthy ดินๆ ที่น่าจะมาจากหญ้าแฝกก็มาให้จับต้องได้ด้วยเช่นกัน โดยมีเคล้ากับกลิ่นติดเขียวเข้มๆ คล้าย Oak Moss อยู่ประปราย ที่ซ้อนอยู่ในกลิ่นติดหวานแกมอบอุ่นในโทนแอมเบอร์กำลังดี อารมณ์เลยได้แบบความเป็นกลิ่นอายแบบโบสถ์ลึกลับมืดๆ กับกลิ่นธูปติดควันในโบสถ์ที่อวลแกมอุ่นเนียนท่ามกลางความเป็นโทนดาร์กมืดได้อย่างพอเหมาะเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมาแนวสภาพแวดล้อมเลยไม่ว่าจะเพศไหนก็ใช้งานได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมสาย Incense หรือสายดาร์กที่กลิ่นจะให้ความรู้สึกลึกลับมืดๆ มาบ้างจะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทั่วๆ ไป ที่สร้างความแนวและขรึมขลังในตัวเอง และพอไปได้กับการใส่ยามทางการ แต่ก็จะดูดาร์กไปหน่อย ต้องเบามือนิดนึง แต่จะไม่เข้ากับการใส่กิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายเลย ส่วนยามค่ำคืน มาสายเก๋ไม่เหมือนใครก็จัดไป กลิ่นให้ความรู้สึกลึกลับได้ดีมาก และมีความดาร์กเป็นออร่ารอบๆ ตัวได้ด้วยเช่นกัน

ความทน - 8 ชม. คือพื้นฐานของกลิ่นนี้และไปต่อได้อีกจนถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง

การกระจาย - ช่วงต้นเป็นการกระจายที่ดีมาก เรียกว่าถึงกับอึ้งในความดาร์กและมืดของกลิ่นที่ชัดเจนมาก เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ทึบจนทำให้อึดอัด แล้วถึงจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นกระจายดีไปราวๆ 1 ชม. แล้วลดลงมาเป็นปานกลางต่อไปอีกถึง ชั่วโมงที่ 4 จึงค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงเป็นติดผิว

สรุป - กลิ่นดาร์กจริงอะไรจริง อะไรแบบเอา Birch Tar มาจัดให้เต็มๆ เพียงแต่เพราะว่าการมี Frankincense เลยทำให้กลิ่นมีความโปร่งและเป็นสภาพบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งเวลาใช้กลิ่นนี้ทีไร โดนถามทุกทีว่ากลิ่นดูมืดๆ ดำๆ ชอบกล และมีอารมณ์เหมือนถ่านดำๆ ที่มีความอวลมาเลย ซึ่งอันนี้ ถือว่าน้ำหอมทำหน้าที่ในการสื่อความตามที่สร้างสรรค์กลิ่นได้อย่างครบถ้วนและชัดเจนมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sensuniqueparis.com/en/beaufort-london/11-terror-magnificence-beaufort-london.html

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น