วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Fleur d’Oranger 27

Le Labo - Fleur d’Oranger 27

เพราะดอกส้มสามารถให้กลิ่นได้ 2 แบบ เขาเลยแยกโทนกลิ่นตามการสกัดออกมาเป็น Neroli ดอกส้มที่ติดเขียวสดชื่นแบบกิ่งก้านส้มและมีความใส และ Orange Blossom ดอกส้มที่สดชื่นแต่ติดหวานหอมนวลและสะอาด ซึ่งมันมีความต่างๆ ให้จับต้องได้ ในความเป็นดอกส้มที่ต่างรูปแบบนี้ Le Labo เองก็เอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์มินิมัลแยกชัดเจนออกมาเป็น 2 รุ่น ด้วย เช่นนั้นไ
ด้โอกาสมาสัมผัสกลิ่นอายดอกส้มของแบรนด์นี้แล้ว 1 รุ่นอย่าง Fleur d’Oranger 27 ที่นำเสนอความเป็น Orange Blossom ออกมา เช่นนั้นจึงต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมาวูบแรกคือความเป็น Citrus ผสมความเป็นดอกไม้ขาวเลย กลิ่นของความเป็น Citrus ที่ติดโทนเขียวอย่างกิ่งก้านส้มผสมผสานกับกลิ่นของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่ติดขมจางๆ และมีกลิ่นแนวเปรี้ยวสว่างๆ ผสมผสานอยู่ด้วย แต่สิ่งที่แย่งซีนแบบแทบจะทันทีเมื่อพ้นวูบแรกคือ ดอกส้ม กลิ่นจะเสริมขึ้นมาไวมาก กลิ่นจะออกทางนวลหวานหอมสะอาด ติดเปรี้ยวกำลังดีและเป็นตัวเอกยาวไปเลย โดยเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นดอกส้มจะชัดเจนมากขึ้น โดยที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนเป็นโทน Citrus ติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นที่ลดทอนลงมา ทำให้ช่วงนี้ความชัดเจนในกลิ่นอายแบบดอกส้มที่มีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง มีความหวานเจือแบบที่ดมจากดอกตรงๆ ไม่มีกลิ่นอายแบบติดเขียวกิ่งก้านมาผสมผสานเยอะมาก ได้ความรู้สึกแบบน้ำหอมสไตล์ Cologne ที่ผ่อนคลายกำลังดีในรูปแบบ EDP ได้ลงตัว กลิ่นมีความเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนและทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ดีจริงๆ ซึ่งกลิ่นของดอกส้มจะตามไปยังช่วงท้าย โดยเริ่มจะเป็นโทนสะอาดมากขึ้น โดยการดันราคาของ Musk ที่มาแบบเบาๆ แต่ตรึงกลิ่นได้อยู่หมัด ที่สำคัญมีความอบอุ่นจางๆ ติดไม้หอมแห้งๆ เบาๆ ให้พอรู้สึกได้ ทำให้รู้สึกสะอาด สบาย โปร่ง น้อยแต่มาก มีความเป็นกลิ่นแบบธรรมชาติได้ดี ที่สำคัญมีความเรียบหรูไม่น้อยเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย แม้กลิ่นจะเป็นโทนดอกไม้ แต่เป็นดอกไม้ที่สดชื่นติด Citrus ที่รื่นรมย์และเข้าถึงได้ง่าย จึงใช้ได้หมดทุกเพศ ที่สำคัญความเรียบหรูติดกลิ่นอายธรรมชาติที่มีความนวลเป็นพื้นฐานมันทำให้กลิ่นมีระดับและผู้คนมักชอบได้ไม่ยากด้วยเช่นกัน จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย กวาดหมด ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย (แต่มันเปลืองไปนะ) ส่วนยามค่ำคืนวันอากาศร้อนๆ ใส่เพื่อความสดชื่นรื่นรมย์ก็ได้สบายมาก แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่ประการใด โดนกลบแน่ๆ 

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีกับประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์งามๆ ที่ลากได้ไปถึง 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางในต้นช่วงกลาง แล้วเปลี่ยนเป็นออร่ารอยๆ ตัวเมื่อผ่านไป 4 ชม. พอเข้าช่วงท้ายเป็น Skin Scent ชัดเจน แต่ถ้าฉีดที่เสื้อด้วย จะยังมีกลิ่นตีขึ้นให้รับรู้ได้อยู่ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นสายมินิมัลที่น้อยแต่มาก ให้ความรื่นรมย์ได้ดีมากจริงๆ ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นแนวดอกไม้สดชื่นและมีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง ต้องบอกว่าอาจจะฟินได้ในทันทีกับสเปรย์แรกเลย สุดท้ายเรื่องราคา ก็ขอบอกว่า #ตัวใครตัวเผือก นะจ้า 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit: https://i.pinimg.com/originals/af/f3/b2/aff3b22a98be47eaea789bd53c1d2c70.jpg



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น