วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Jaguar - Vision


Jaguar - Vision 

น้ำหอมหลายๆ ตัวของแบรนด์นี้จะทำขึ้นมาโดยได้รับแรงบันดาลใจของรถรุ่นต่างๆ ที่มีการวางจำหน่าย แบบว่าทำออกมาเพื่อเสริมโหวเฮ้งด้านกลิ่นกับผู้ขับขี่โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าใครไม่มีตังค์ซื้อก็ใส่น้ำหอมมโนแทนไปก่อนได้ว่ามีรถรุ่น Jaguar 2010 XJ ที่น้ำหอมรุ่นนี้ทำออกมาสนับสนุนนั่นเอง ว่าแล้วมารับทราบเรื่องกลิ่นของรุ่นนี้กันกับ Vision 

Top Notes เปิดตัวออกมาได้แบบผลไม้หวานอมเปรี้ยวชัดเจนเลยทีเดียวโดยเฉพาะกลิ่นสับปะรดเด่นสุดๆ เสริมด้วยโทนซิตรัสทำให้กลิ่นหอมสดชื่นอย่างมีระดับ แต่บอกเลยว่ากลิ่นไม่ได้เบาโหวงเลย เพราะมีเม็ดกระวานรองพื้นอยู่ทำให้กลิ่นออกทางแน่นมีมิติตั้งแต่เริ่มต้น จนเมื่อ Middle Notes เขยิบขึ้นมาแทนที่ กลิ่นของช่วงต้นยังตามมาตีคู่อยู่โดยเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวเพิ่มเติมกับกลิ่นออกแอปเปิ่้ลแดงฉ่ำๆ เข้าไป เพิ่มความนุ่มเย้าด้วยพิมเสนที่ให้อารมณ์หรูหรา กับโทนวู้ดดี้มาตัดไม่ให้ออกทางสดใสเริงร่าเกินเหตุ ภาพรวมช่วงนี้เลยเป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์สดใสก็ได้ เย้ายวนหรูหราก็ดี เคร่งขรึมแบบมีระดับก็สามารถ เป็นการผสมที่ลงตัวเลยทีเดียว และปิดท้ายที่ Base Notes กับโทนอบอุ่นด้วยแอมเบอร์ ความนุ่มนวลครีมมี่ด้วยถั่วตองก้า และสะอาดสะอ้านแบบมีระดับด้วย Musk โดยยังมีกลิ่นของโทนผลไม้กลั้วพิมเสนตามมาเบาๆ อยู่ ซึ่งจะได้อารมณ์แบบสุภาพบุรุษมีระดับ อบอุ่น เท่ห์ๆ และสดชื่นกำลังดี ครบเพียงพอที่จะขับหรือมโนว่าขับ Jaguar 2010 XJ ไม่น้อยเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ซึ่งยอมรับว่าน้ำหอมตัวนี้ครอบจักรวาลได้เลยในการใช้งาน เพราะใส่ได้ทั้งกลางวันและกลางคืนในทุกๆ สถานการณ์ โดยจะแฝงความหรูหรามีระดับไม่น้อยเลย

ความทน - ประมาณ 8 ชั่วโมงขึ้นไป บวกลบไม่มาก อยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และเคมีด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกในช่วง Top และ Middle และจะเป็นออร่าอบอุ่นนุ่มๆ รอบๆ ตัวยาม Base จนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย - น้ำหอมตัวนี้กลิ่นโทนผลไม้ในช่วงต้นๆ อาจจะมีความคล้ายหลายๆ แบรนด์หน่อยยามได้กลิ่นครั้งแรก แต่เอาเข้าจริงถ้าใช้แล้ว กลิ่นไม่ได้เหมือนขนาดนั้นครับ ออกจะเป็นเอกเทศที่น่าสนใจมากเสียด้วยซ้ำไป

Review: Fendi - Fan di Fendi pour Homme Acqua


Fendi - Fan di Fendi pour Homme Acqua

ส่วนใหญ่น้ำหอมโซนสดชื่นออกทางกลิ่น Aquatic หรือ Marine ทั้งหลาย ความทนมักจะไม่ได้ถึงขั้นเทพ โดยทั่วๆ ไปก็ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่เมื่อผมมาเจอน้ำหอมของ Fendi (ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าด้านแฟชั่นที่มีหนังเป็น Signature) กับรุ่น Fan di Fendi pour Homme Acqua นี้ ผมขออนุญาตลุกขึ้นปรบมือให้อย่างยาวนานจริงๆ ว่า “ทำได้ไงเนี่ย” เพราะความทนนี่ยาวนานมากจนไม่น่าเชื่อเลย ทั้งๆ ที่

Top Notes เปิดตัวมากับโทนกลิ่นน้ำทะเลใสๆ มีกลิ่นติดเกลือมานิดหน่อยแบบไม่มีกลิ่นคาว เพราะมีโทนซิตรัสอย่างเลมอนและมะกรูดมากลบ เติมความนุ่มด้วยลาเวนเดอร์ เลยทำให้ได้ความสดชื่นแบบน้ำทะเลสดใสมีความแน่นๆ กำลังดีเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes ได้เวลาของโทนเครื่องเทศหวานๆ แล้วล่ะจ้า เพราะพริกไทยสีชมพูจะให้กลิ่นหวานๆ และเม็ดกระวานให้ความเย้ายวน โดยไม่ทิ้งกลิ่นของโทนน้ำทะเลตามความเป็น Acqua ที่ยังคงความสดชื่นอยู่ ที่สำคัญ Signature ของแบรนด์นี้อย่างกลิ่นหนังเริ่มแทรกตัวเข้ามาช่วงนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป จนจะสำแดงอิทธิฤทธิ์กันเต็มๆ ในช่วง Base Notes จะมาแบบหนังนุ่มๆ กลั้ว Musk รองพื้นด้วยกลิ่นโทนวู้ดดี้ขรึมๆ ของไม้ซีดาร์ โดยที่ยังโทนสดชื่นในตอนต้นกับกลางๆ มาแซม ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะแน่น และให้ความหอมมีระดับ และมีมิติของกลิ่นมากขึ้นกว่าตอนต้นเสียอีก เรียกได้ว่า “คุณหลอกดาว” กันเลยทีเดียว เพราะเปิดตัวด้วยกลิ่นแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แล้วเริ่มแน่นขึ้น จนอัดหนักเข้มข้นมากในช่วงท้ายๆ แบบนี้ เรียกได้ว่า “ของเขาดีจริง” ยอมรับเลย

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นใช้ง่ายมาก และเข้าถึงง่าย แถมด้วยความแรงขึ้นในทุกๆ ช่วง สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการก็ยังไหวเลย ส่วนกลางคืนแบบอากาศบ้านเราก็จัดได้สบายๆ เช่นกัน

ความทน – อย่างที่กล่าวว่าทนยาวนานข้างต้น สิ่งที่ผมพบเจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้ได้กลิ่น ยิ่งขยับเนื้อตัวกลิ่นก็ปล่อยของออกมาตามความร้อนของร่างกาย ถือเป็นตัวโซนสดชื่นที่ทนจัดจริงๆ ยกนิ้วให้เลย

การกระจาย – กลิ่นในช่วง Top จะกระจายดีเลยทีเดียว และจะเริ่มกระจายดีมากขึ้นในช่วง Middle และจะคงตัวไปเรื่อยๆ ลดลงมาไม่มากในช่วง Base แต่กลิ่นตีขึ้นให้คนใส่รับรู้ รวมถึงคนรอบข้างยังได้กลิ่นได้ไม่ยาก

ทิ้งท้าย – คือ เป็นตัวที่ผมใช้แล้วไม่มีคำว่าผิดหวังในเรื่องความทนและการกระจาย ขอให้นิยามส่วนตัวเลยแล้วกันว่านี่คือ “หนึ่งในตัวเทพทางด้านน้ำหอม Aquatic” ที่ไม่ธรรมดาครับ

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Calvin Klein – CK One Scene

Calvin Klein – CK One Scene

เป็นอีกหนึ่งในลูกหลานของตระกูล CK One ที่นอกกรอบแบบเงียบๆ ไม่ได้โฉ่งฉ่างแตกต่างออกมาอย่างรุ่น Shock ซึ่งเนื้อกลิ่นก็ไม่ขัดใจคนที่รักโซน CK One เท่าไหร่ แต่มีความแตกต่างและนอกขนบไม่น้อยให้จับต้องได้ ซึ่งเป็นตัวเบิกทางที่ดีให้ไลน์น้ำหอมโซนนี้มีความหลากหลายมากขึ้น นั่นคือรุ่น CK One Scene ครับ 

เพียงแค่ Top Notes ก็ทำให้ Amazing มากมาย เพราะมันมาแบบสดชื่นติดหวานแบบดอกกระดังงามาเลยทีเดียว โดยมีกลิ่นขิงและส้มช่วยเสริมขึ้นมา ทำให้มีความเชื่อมโยงกับรุ่นต้นตระกูลมาบ้างนิดหน่อยเท่านั้น แต่จะได้อารมณ์ของดอกกะดังงาสดชื่นติดหวานนามเช้าอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่จะกลายเป็นโทนแป้งหอมสีเหลือนวลติดหวานโดยมีกลิ่นขิงนำเด่นขึ้นมา โดยมีกลิ่นของกุหลาบและกระดังงารองพื้นให้โทนออกทางหอมนวลๆ ไปตลอด โดยมีกลิ่นสะอาดๆ สดใสแฝงอยู่ตลอดเวลาแบบอ่อนๆ แต่ให้ความเย้ายวนกำลังดีเลย เมื่อ Base Notes ปล่อยของ กลิ่นโทนเครื่องเทศจะมาผสานกับวานิลลาในรูปแบบ Lite Version ไม่มาแบบหนักหน่วง มาแบบเบาๆ แต่อ้อยอิ่งยาวนาน โดยมีโทนนุ่มสะอาดของ Musk และกลิ่นเย้ายวนเซ็กซี่ของพิมเสนกับใบกระวานเป็นตัวรองพื้น แต่ไม่ทิ้งลายกลิ่นหวานๆ แบบแป้งสีเหลืองนวลแต่ประการใด ถือว่าเป็นอีกตัวที่ฉีกออกทางของโซย CK One ปกติได้แบบนิ่งๆ ได้เป็นอย่างดี ได้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมีสไตล์ และกลิ่นไม่โหลแต่ประการใด ออกจะเย้ายวนแบบเก๋ๆ เสียด้วยซ้ำ

เหมาะสำหรับ – กลิ่น Unisex สุดๆ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและชาย ทุกเพศและทุกวัย เพราะในเนื้อกลิ่นมีความเป็น CK One ที่เข้าถึงได้ง่ายอยู่ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ใส่ออกกำลังกายควรรอช่วงท้ายๆ หรือใส่ไปเที่ยวเคล้าแอลกฮอล์นั้น ต้องอัดสเปรย์หน่อยนะครับ กลิ่นถึงจะทำหน้าที่ได้ดี

ความทน – กลิ่นค่อนข้างทนเกินหน้าเกินตารุ่นต้นตระกูลมาก เพราะเฉลี่ยประมาณ 8 ชม.

การกระจาย – กลิ่นในช่วง Top และ Middle จะกระจายกำลังดี ยิ่งวันอากาศร้อนๆ ยิ่งกระจายดี แต่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาม Base ไปเรื่อยๆ จนถึง Skin Scent และหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – ไม่แปลกใจที่หลายๆ คนจะยกให้รุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งใน Flanker ที่ดีที่สุดของ CK One เพราะมันมีดีมากพอที่ควรจะยกย่องเลยล่ะครับ อีกอย่างผมไม่ค่อยได้กลิ่นกระดังงาในน้ำหอมผู้ชายหรือ Unisex เท่าไหร่ เจอตัวนี้เข้าไป ฟินไม่น้อยเลยทีเดียว

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Hugo Boss – Hugo Red


Hugo Boss – Hugo Red

เห็นรุ่นนี้ออกมาเมื่อตอนปี 2013 เกิดอาการอยากได้มาก เพราะถ้าใส่แล้วหล่อแบบ Jared Leto นี่ข้าพเจ้าต้องการอย่างยิ่ง เพราะอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกโฉลกไหม เพราะตัว Hugo ปกติใส่แล้วกลายเป็นกิมจ๊อเดินได้เหม็นจนสลบไป เช่นนั้นได้ลอง ก็เลยได้ข้อสรุปแบบนี้เลยครับ 

Top Notes บอกเลยว่าสดชื่นมากกับกลิ่นโทนเปรี้ยวอมหวานกันเต็มๆ ของเลม่อน โดนมีกลิ่นของพริกไทยสีชมพูมาให้ความหวานจางๆ อย่างลงตัว แต่จะแฝงไปด้วยกลิ่นเมทัลลิคคมๆ แบบกลิ่นสแตนเลสหรือเหล็ก ที่จะได้ความสดชื่นและแมนพอสมควร และโทนเมทัลลิคแบบนี้จะมาเต็มในช่วง Middle เลย จะได้อารมณ์สดชื่นแบบเปรี้ยวๆ ของผักรูบาร์ปและสับปะรดมาเสริมทัพ กลิ่นจะออกออกทางเปรี้ยวอมหวานจางๆ เหมือนช่วงต้น แต่กลิ่นจะไม่ได้ออกเบาโหวงเพราะมีโทนวู้ดดี้แทรกอยู่ หอมแบบสดชื่นเปรี้ยวๆ ดูแมนๆ กลิ่นออกทางแหลมเรียกร้องความสนใจได้อยู่ จนปิดท้ายที่ Base Notes กลิ่นโทนเมทัลลิคและก็ยังอยู่ไม่ไปไหน แต่จะมีโทนอบอุ่นของแอมเบอร์มาทำให้กลิ่นออกทางอบอุ่นติดสดชื่นแบบแมนๆ จับได้ความรู้สึกของความนุ่มจางๆ ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้ออกทางเปรี้ยวอมหวานเบาๆ ชัดเจน เรียกร้องความสนใจได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญบอกถึงความเป็นสีแดงได้ชัดอยู่ไม่น้อยครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวันเรียนม.ปลายขึ้นไป กลิ่นใช้ง่ายมากกกกกกกก เข้าถึงง่าย มีความแมนกลั้วเปรี้ยวสดชื่นได้ดี เรียกร้องความสนใจได้อยู่ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ขอยกเว้นเรื่องงานทางการ เพราะกลิ่นมันออกทางดูสำราญบานใจไปหน่อย ส่วนกลางคืนก็ใส่ได้อยู่กับอากาศบ้านเราครับ แต่ต้องอัดสเปรย์น่าดูชมไม่น้อยเลยทีเดียวนะนั่น ถึงจะสู้กับคนอื่นได้

ความทน – แกว่งครับ โดยประมาณที่ 6 ชม. และมีแนวโน้มอาจจะแตะ 8 ชั่วโมงได้ถ้าอัดสเปรย์เยอะหน่อย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีเรียกร้องความสนใจในช่วง Top และ Middle แต่พอเบสจะกลายเป็น Skin Scent ที่อาจจะได้กลิ่นเชิงเมทัลลิคอุ่นๆ แว้บๆ มาบ้างยามร่างกายทำความร้อนครับ

ทิ้งท้าย – กลิ่นหอมสดชื่นเปรี้ยวๆ แบบนี้ผมชอบก็จริงนะ แต่ผมเองก็ยังคิดว่า ฉีดแล้วมันไม่หล่อเหมือน Jared Leto อ่ะ 555555 ไว้ไปลองตัว Just Different อีกทีก็ได้ฟ่ะ รมณ์เสีย!

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Antonio Banderas – Seduction in Black


Antonio Banderas – Seduction in Black 

ถ้าใครคิดว่า Armani Code กลิ่นอาจจะดูหวานและหนักไป เชิญมาทางนี้ได้เลยครับ เพราะว่าตัวที่ผมกำลังจะมาบอกเล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งในทางเลือกที่ดี กลิ่นมีความใกล้เคียง แต่ไม่ได้เน้นหวาน เน้นสดชื่นเย้ายวน ที่สำคัญราคาเป็นมิตรมากกกกกกเป็นหลักแทน กับแบรนด์ Antonio Banderas อย่างรุ่น Seduction in Black ตัวนี้เลย 

หลายๆ คนอ่านข้างต้นไปก็คิดว่าตัวนี้ก็อบมาหรือเปล่า ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าโทนของรุ่นนี้แม้จะมีความคล้ายกับ Armani Code ก็จริง แต่มาแค่ในช่วงท้ายๆ ซึ่งภาพรวมของตัวนี้มีดีเฉพาะตัวไม่น้อยจริงๆ เพราะ Top Notes มาเลยทีเดียวกับกลิ่นโทนแบล็คเคอแรนท์กับมะกรูด กลิ่นจะสดชื่นแบบมีมิติติดเปรี้ยวอมหวานหอมแบบที่ว่าถ้าไม่สนใจช่วงอื่น ช่วงนี้พร้อมเสียตังค์ซื้อได้ทันที จนเมื่อ Middle Notes ได้เวลาปล่อยของถึงได้เวลาของความเย้ายวนแบบเครื่องเทศโทนหวานของเม็ดกระวานและจันทน์เทศที่จะเด่นขึ้นมา กลิ่นจะออกโทนหวานเย้ายวนกันเต็มๆ แต่ไม่ได้ออกทางหวานแน่นมากเกินไป เพราะว่ามีความสดชื่นจากช่วงต้นและความเป็นเครื่องเทศที่มีความสดชื่นผสมผสานอยู่ด้วยนั่นเอง จนปิดท้ายที่ Base Notes จึงได้เวลาของความเป็นสบู่หอมอุ่นๆ เย้ายวนแบบสะอาดสะอาดติดหวานชัดเจนที่รับมาจากช่วงกลาง มาผสานกับความครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้า มี Musk ที่ให้ความสะอาดเย้าๆ มาสนับสนุนหลัก ปิดท้ายตัวผู้สนับสนุนรองอย่างโทนวู้ดดี้อบอุ่น กลิ่นในช่วงนี้เลยจะมีความคล้าย Armani Code แต่ไม่ได้มาแน่นมาก เพราะมาแบบกำลังดีแทน เลยจะได้อารมณ์ของผู้ชายดูดี มีเสน่ห์ ดึงดูดและเย้ายวนแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ รู้ตัวอีกที “นี่ชั้นอยากได้ผู้ชายคนนั้นมาดมซอกคอจังเลยอ่ะ” ก็สามารถได้ไม่อยากครับ

เหมาะสำหรับ –กลิ่นตัวนี้ใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย และไม่หวานนำจัดๆ ซึ่งไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือวัยทำงานจนถึงวัยมากประสบการณ์ก็ใช้ได้หมด และที่สำคัญมอบความเป็นน้ำหอมครอบจักรวาลใส่ได้ทุกช่วงเวลาเลยด้วยซ้ำไป ซึ่งถ้ากลางคืน อัดสเปรย์หน่อยจะดีมากครับ สู้กับชาวบ้านได้สบายๆ เลย

ความทน – เป็นสิ่งที่ผมปลาบปลื้มกับตัวนี้มาตลอด เพราะเกิน 8 ชม. ทุกครั้งที่ใช้ ซึ่งโดยเฉลี่ย ถ้าอิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด ก็น่าจะอยู่ที่ 6 – 8 ชม. ไม่ยากครับ

การกระจาย – น้ำหอมตัวนี้เป็น Sillage Scent ชัดเจน เพราะบางครั้งคนฉีดจะไม่ได้กลิ่นอะไรจากตัวเองเท่าไหร่ หรืออาจจะได้แบบเบาๆ แต่คนรอบข้างจะได้กลิ่นชัดเจนเลย โดยที่เคยเจอการทักแบบ Amazing ของการใช้ตัวนี้

- ไปจัด Training ตรวจตราความเรียบร้อยที่โต๊ะลงทะเบียนก่อนเริ่มงาน น้องที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนนั่งห่างไปประมาณครึ่งเมตรบอกว่า “น้ำหอมพี่ หอมมาถึงตรงนี้เลยนะ” งงเลย เพราะตัวเองไม่ได้กลิ่น 5555
- นั่งทำงานอยู่ น้องที่นั่งห่างออกไปประมาณ 1 เมตรทักว่า “เฮีย น้ำหอมที่เฮียใส่มาหอมมากอ่ะ” แบบว่าเหวอ ทำไมตูไม่ได้กลิ่นเลยวะ 5555

ซึ่งถือว่ากระจายดีเลยทีเดียว โดยจะมีลดระดับมาเป็นรอบๆ ตัวในช่วงท้ายๆ แบบชวนคลุกวงใน จนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – นี่เป็นอีกหนึ่งในตัวที่เป็น Signature ของผมในช่วงหนึ่งเลยครับ เพราะราคาไม่ได้แรงมาก อยู่ในกลุ่มน้ำหอมที่เป็นพวกของถูกแต่ดีชัดเจนจริงๆ ยกนิ้วให้เลย

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Chloe EDP


Chloe EDP 

สาวๆ ที่ใช้น้ำหอมต้องไม่มีใครที่ไม่รู้จักแบรนด์นี้แน่ๆ ออกจะดังขนาด แถมคนหันมาใช้กันเยอะมากกกกก คืออย่างน้อยขึ้น BTS ใน 1 สัปดาห์ต้องได้กลิ่นนี้ไม่ต่ำกว่า 3 – 4 ครั้ง (จากสถิติส่วนตัวของผมเอง) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นหอมจริงอะไรจริง แถมมีคุณภาพมากเลยทีเดียวกับ Chloe EDP หรือที่เรียกกันว่า Chloe โบว์ครีมกันนั่นเอง 

ซึ่งกลิ่นนี้ผมยอมรับครับว่าสาวมากกกกกกก บนผิวผม แต่มันจะเริ่มเป็น Unisex กันตอนท้ายๆ ซึ่งตอนใส่ทุกคนทักเสียงเดียวกันหมดว่า “อื้อหือออ กลิ่นสาวคุณหนูมาแต่ไกลเชียว” (หมดกัน 5555) ซึ่ง Top Notes มาเต็มกับกลิ่นของโทนดอกไม้ที่ออกทางสดชื่น มีกลิ่นแซมของกุหลาบมาเลยทีเดียว แต่ไม่ได้จ๋ามาก เพราะมีลิ้นจี่มาตัดทำให้กลิ่นออกทางผลไม้หอมสดชื่นแบบมีระดับหรูหราได้เป็นอย่างดี กลิ่นเปิดแบบนี้บอกเลย ใครที่ได้ดมก็ชอบหมด เพราะมันหอมจริงอะไรจริง พร้อมจะเสียเงินซื้อได้แบบที่ไม่ต้องมาคิดเยอะให้เสียเวลา จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นโทนดอกไม้ต่างๆ จะเด่นขึ้นโดยลิ้นจี่จะผันตัวไปรองพื้นด้านหลังเบาๆ แทนให้กุหลาบปล่อยของแบบหอมอ่อนๆ กลั้วไปกับดอกแมกโนเลีย และดอกกระดิ่ง กลิ่นจะเป็นกลิ่นหอมสะอาดๆ หรูหรา มีคลาส กลิ่นจะออกหวานอมเปรี้ยวกำลังดีไปตลอด ซึ่งไม่ได้หมายความว่ากระจายไม่ดี กลิ่นจะกระจายดีแบบอ่อนๆ น่ารักแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลยทีเดียว และปิดท้ายด้วย Base Notes ที่กลิ่นจะมาในโทนอบอุ่นด้วยกลิ่นของแอมเบอร์และโทนวู้ดดี้ โดยมีวานิลลาจางๆ ซ่อนอยู่ และมีกลิ่นหวานหอมอมเปรี้ยวจางๆ ตามมาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นช่วง Unisex ได้เลย ซึ่งยังคงความสดใส หรูหรา และมีชั้นเชิงในตัวน้ำหอมตั้งแต่ต้นยันจบได้ดีตลอดไม่มีผิดเพี้ยนเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้หญิงทุกวัย ใช้ได้ทุกโมงยาม เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายอย่างมีระดับ ไม่ได้เป็นกลิ่นโหลๆ เลยแม้แต่น้อย บ่งบอกถึงรสนิยมของคนใส่น้ำหอมตัวนี้ได้เป็นอย่างดีว่าเข้าใจเลือก ถ้าใส่ยามกลางคืนอาจจะอัดสเปรย์เอาหน่อยนะครับ ส่วนคุณผู้ชายครับ ถ้าไม่มายด์สายตาคุณผู้หญิงคนอื่นๆ รอบตัวที่จะมองมาแล้วสายตาบ่งบอกว่า “แกใส่ Chloe โบว์ครีมเหรอเนี่ย ต๊ายยยยย!” ก็ใช้ไปเถอะ เพราะกลิ่นนี้มันมีมุม Unisex ได้อยู่ แถมหอมมากอีกด้วยนะครับนั่น

ความทน – มากกกกก เกิน 8 ชม. แน่ๆ ล่ะ เพราะผมใช้แล้ว 10 ชม. กลิ่นก็ยังตีขึ้นอยู่สบายๆ

การกระจาย – เป็นน้ำหอมที่เป็น Sillage Scent ชัดเจนครับ เลยจะกระจายดีมากเลยทีเดียว ซึ่งบางครั้งคนฉีดเองอาจจะได้กลิ่นจากที่ตัวเองฉีดเพียงเบาๆ หรือกำลังดี แต่คนรอบข้างอาจจะได้เต็มๆ แบบว่าเหมือนเป็นบาเรียหุ้มมาเลยประมาณนี้ อาจจะมีช่วงท้ายๆ ที่ลดระดับมากระจายกลางๆ หรือเป็นออร่ารอบตัวบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่จำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง

ทิ้งท้าย – นี่เป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดๆ พูดเลย! เพราะขนาดผมเองยังชอบเลยครับ กลิ่นหอมหรูหราน่ารักดูมีระดับจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Lalique - Hommage a L'Homme


Lalique - Hommage a L'Homme 

เพราะ Lalique นี้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทำน้ำหอมออกมาได้หรูหราขาดใจมาก เพียงแค่เห็นขวดของรุ่นที่กำลังจะมาบอกเล่ากันนี้ก็ฟินแล้ว เพราะสวยมากกกกก ที่สำคัญนอกจากขวดสวยแล้ว ยังทำกลิ่นออกมาได้หอมไม่เหมือนใครเสียอีกด้วยกับรุ่นนี้เลย Hommage a L'Homme 

สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจกับกลิ่นนี้มากเลยคือความเป็นแป้งหอมหรูหรา ที่ไม่มาแบบหนักหน่วง แต่มาแบบกำลังดีอย่างหนักแน่นที่ไม่จางหายไปไหน กำลังดีอย่างไงก็ยังงั้น ซึ่งเปิด Top Notes มากลิ่นอาจจะออกทางสดชืิ่นแบบโทนเขียวแปร่งๆ ติดขมหน่อยๆ เพราะกลิ่นของใบไวโอเล็ตจะมากลั้วกับกลิ่นของหญ้าฝรั่นที่ออกทางขมปนหวานติดกลิ่นหนังนิดๆ มีโทนซิตรัสเบาๆ เพิ่มความซับซ้อนของกลิ่น ซึ่งให้ความหรูหรากันตั้งแต่ต้นเลย เพียงแต่ถ้าคนที่ไม่ได้ผ่านน้ำหอมอื่นๆ มาก่อน อาจจะเบือนหน้าหนีหน่อยๆ เพราะกลิ่นมันจะไม่ได้ชวนดึงดูดมากขนาดนั้น และหลังจากผ่านไปไม่นานเข้าสู่ Middle Notes ซึ่งงานนี้ดอกไวโอเล็ตขอมากระชับพื้นที่ให้ความรู้สึกเป็นแป้งหอมดอกไม้ละมุนจมูก โดยมีพริกไทยมาให้ความรู้สึกสดชื่นติด Spice และมีถั่วตองก้ามาทำให้กลิ่นในช่วงนี้นุ่มนวลเข้าไปอีก แต่ก็ไม่ได้ออกทางสาวเลยกลายเป็นแป้งหอมนุ่มๆ ติดหรูมีคลาสของผู้ชายได้ชัดเจนโดยไม่หนักเกินไป ได้อารมณ์แบบแป้งหอมละมุนออกทาง Ozonic ที่ลอยตามอากาศให้ความรู้สึกละมุนหอมอยู่ตลอดเวลา จนปิดท้ายที่ Base Notes กับความเป็น Musk นุ่มเย้าสะอาดๆ โดยมีโทนอบอุ่นมาแทรก แต่สิ่งที่โดดเด่นมากคือ Oud: กฤษณา ที่ดันไม่ได้มาในแบบแน่นๆ มาแบบ Light ทำให้กลิ่นของ Oud ในช่วงนี้กลายเป็นกลิ่นแบบ Rich Tone ที่หรูหรากำจายแกล้มอบอุ่นได้ดีมาก ยิ่งมาผสมกับโทนกลิ่นแป้งหอมละมุนช่วงกลางที่ยังตามมา ยิ่งทำให้กลิ่นดูหรูแมนแบบมีระดับเข้าไปอีก ซึ่งอาจจะไม่ได้ดูท่านชายอะไรมากขนาดนั้น แต่เป็นเหมือนสุภาพบุรุษที่แต่งตัวดี วางตัวดี หรูหราแบบไม่ได้แสดงออกมานัก แต่ออร่าและอินเนอร์เวลาที่คนอื่นเห็นและได้กลิ่นมันใช่สุดๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศ โดยน้องๆ มหาลัยก็ใช้ได้ครับ เพียงแต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ออกทางเข้าถึงง่ายมากนัก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ไปทำกิจกรรมแบบลุยๆ เท่าไหร่ เพราะกลิ่นค่อนข้างเสริมให้เราดูเป็นสุภาพบุรุษแบบหรูหรา แบบเช่นนั้นกลิ่นนี้จะเหมาะกับวัยทำงานค่อนข้างมาก เพราะมันเสริมบุคลิก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งเฉพาะออกงานทางการ ขอยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะไม่เหมาะเลย เผลอๆ ถ้าเหงื่อมาผสมกับ Oud จะได้เป็นกลิ่นออกทางสาปหน่อยๆ ซึ่งถ้าไม่ชินกับกลิ่นแนวๆ นี้ จะอึดอัดเอาได้ ส่วนกลางคืนใส่ได้สบายๆ ครับ กลิ่นมีระดับจริงๆ

ความทน - เกิน 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ซึ่งส่วนตัวผมเจอ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดี ให้ความรู้สึกแบบหรูหรา มีคลาสไปตลอด คงเส้นคงวาไม่มีผิดเพี้ยน อาจจะมีลดลงมาหน่อยในช่วง Base แต่ก็ยังทำให้คนใส่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอยู่ตลอด

ทิ้งท้าย - ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้ผมขอลงเอยที่คำจำกัดความสั้นๆ ว่า "แป้งหอม Oud แบบ Ozonic ที่หรูหรา" แบบนี้เลยล่ะครับ แต่กลิ่นอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน มีโอกาสลองก่อนจะดีที่สุดครับ ^^

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Bond No.9 - New York Oud


Bond No.9 - New York Oud 

ถือเป็นแบรนด์น้ำหอมที่จัดหนักจัดเต็มมากในเรื่องของราคาซึ่งแพงงงงงงงงมากกกกกก แต่บอกเลยว่าไม่ได้สวนทางกับคุณภาพ เพราะจัดหนักจัดเต็มปล่อยของแบบไม่ยั้งเช่นกัน ได้อารมณ์ Concept ของ New Yorker ที่เปิดกันซึ่งๆ ว่า "รวย" ใช้ของมีระดับแบบไม่กั๊กตามประสาไลฟ์สไตล์ใน New York ซึ่งน้ำหอมแทบทุกรุ่นได้แรงบันดาลใจจากสถานที่ต่างๆ ใน New York เช่นนั้น รุ่นที่จะมาบอกเล่ากันอย่าง New York Oud ล่ะ จะเป็นอย่างไร

ที่มาก็มาจากเทรนด์ Oud (กฤษณา) ที่มาแรงแซงทางโค้งทุกส่วนผสมหลักในน้ำหอมในตอนนี้นั่นเอง แบรนด์ไหนก็ตามต้องมีรุ่นที่ลงท้ายด้วย Oud เลยทำให้เกิดส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความร่วมสมัยในความเป็น New York กับ Oud "(โหมดกระแดะ) บาบแว่ อะไรแปลกๆ ก็เกิดขึ้นได้ในมหานครนิวหยวกขึน่ะจ้าาา" เช่นนั้น

เพียงแค่เปิดต้นกลิ่นก็ทำเอา อืมมมม หนักนะ แน่นมาเชียว เพราะแม้จะเป็นโทนผลไม้อย่างลูกพลัมที่จะเด่นออกนอกหน้า แต่ก็มีกลิ่นของส้มรองพื้นอยู่ให้เห็นมิติ แต่ไม่ได้มีแค่กลิ่นผลไม้ เพราะหญ้าฝรั่นจะมาร่วมแท็กทีมแบบแน่นๆ ด้วยความหวานติดกลิ่นหนังหน่อย ซึ่งบอกเลยกลิ่นพวกนี้จะเริ่มโดนแย่งซีนภายในเวลาไม่ถึง 5 นาทีจากนางเอกของน้ำหอมรุ่นนี้นั่นคือ "กุหลาบ" นางมาเต็มและแรงมากกกกก จนเข้าช่วงกลางเต็มตัว ซึ่งนางไม่ได้มาคนเดียว นางพาพระเอกของนางมาด้วยนั่นคือ "Oud" มาคู่กันเปิดเผยนะว่าคบหากันอยู่ โดยมีลูกคู่ผู้สนับสนุนพระนางให้ได้กันอย่างพิมเสนมาร่วมวง ช่วงนี้จะได้อารมณ์กุหลาบกฤษณาพิมเสนปล่อยของแบบจัดหนักจัดเต็มอบอวลรอบทิศ กลิ่นหนักมากจ้า ใครแพ้ทางกุหลาบจะตายเอาได้นะ ขนาดผมชอบพอกับกลิ่นแนวนี้ก็ยังมึนตึ้บเลยอ่ะ ซึ่งพระนางคู่นี้จับคู่กันสร้างความเป็นไปได้แบบหนักหน่วงหนักแน่นแย่งซีนทุกอย่างยาวนาน จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายพระนางก็ยังอยู่ปล่อยของเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอเช่นเดิม แต่จะมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการคือ Musk และน้ำผึ้ง มาเป็นลูกคู่เพิ่มความนุ่มหวานกันบ้างแล้ว ซึ่งช่วงนี้ความแน่นเริ่มลดลงมาบ้างแต่ก็ยังอบอวลอยู่เช่นเดิม แต่ทั้งนี้นั้น เว่ากันซึ่งๆ ว่า เป็นน้ำหอมที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว เพราะในความแน่น มันมีความสว่างกลั้วไปกับความเย้ายวนตลอดเวลา ผลุบๆ โผล่ๆ สลับกันตลอด กลิ่นออกทางล่อลวงอย่างแสนหวานได้ดีเลยทีเดียวล่ะครับ ได้อารมณ์ชายหนุ่มแขกขาวตะวันออกกลางอย่าง Oud ได้เสียกับสาว New York เป็นกุหลาบแสนจัดจ้าน ยกนิ้วให้จริงๆ กับการทำกลิ่นนี้ออกมา แม้จะแพง แต่คุณภาพก็สมราคาอย่างสุดๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ครับ คือใช้ได้หมดแหละทั้งหญิงและชาย เพราะกุหลาบเป็นตัวแทนของผู้หญิง Oud มาในลักษณะตัวแทนของผู้ชาย ใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์แบบอย่าสเปรย์เกิน 3 สเปรย์นะครับ เอาตายรอบตัวจริงๆ นะเออ ผมแค่ 2 สเปรย์ๆ ก็ร้องหูยยยยแล้ว ที่แน่ๆ อย่าได้ใส่ไปออกกำลังกายเด็ดขาด ฆ่าตายหมู่เช่นกัน ส่วนเที่ยวกลางคืนก็ไม่ควรเกิน 3 สเปรย์อยู่ดี เพราะนอกจากแค่กลิ่นนี้แย่งซีนหมดทั้งบาร์แล้ว จะทำชาวบ้านเมาน้ำหอมก่อนเมาเหล้าได้ จัดพอดีไว้ก่อนแล้วจะหอมอย่างมีระดับครับ

ความทน - เอ่อ คือ จะบอกว่า มากกกกกกกกก คือ 15 ชม. ก็แล้วกลิ่นยังไม่หยุดตีขึ้น ไม่พออาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวและตีขึ้นอยู่ บอกเลยดีกว่าว่า "ทนข้ามวันข้ามคืน"

การกระจาย - มากกกกกกกกกกก จนไม่รู้จะมากอย่างไง เพียงแค่ 2 สเปรย์หน่อยๆ เกือบๆ 3 สเปรย์ก็อบอวลไปหมดทั้งสถานที่ฉีด ยานพาหนะที่เดินทาง โต๊ะทำงาน ห้องน้ำที่เข้าไปปลดปล่อยสวัสดิกะ คือ มาเต็มทุกช่วง มีลดลงมาในช่วงท้ายๆ ที่ก็ยังกระจายดีอยู่แต่ไม่แน่นจัดๆ เท่านั้นเอง

ทิ้งท้าย - ของเขาแรงจริงๆ ยกมือไหว้เลยครับ (-/\-)

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Valentino UOMO


Valentino UOMO

หลายๆ คนมักเทียบตัวนี้กับ Dior Homme ทั้งรุ่นปกติและ Intense ซึ่งบอกกันซึ่งๆ ว่า ผมเองอาจจะไม่ใช่ Big Fan ของโซน Dior Homme นักโดยเฉพาะตัว Intense (ยกเว้น Dior Homme Sport) แต่กลับกลายเป็นว่าผมดันมาหลงตัวนี้มากกว่าทั้งๆ ที่กลิ่นใกล้เคียงกันพอสมควรเลย เช่นนั้นมารู้จักกันกันซักหน่อยกับน้ำหอมแบรนด์ Valentino รุ่น UOMO ครับ 

เพียงแค่ช่วง Top Notes ก็บอกได้ทันทีว่า น้ำหอมตัวนี้จะอบอวลมากและใช้ได้ดีกับอากาศเย็นๆ แน่ๆ เพราะกลิ่นโทนซิตรัสกลั้วสมุนไพรและดอกไอริสที่ออกทางแป้งจะโดดเด่นออกมาก็จริง แต่กลิ่นรองพื้นด้านหลังนี่แย่งซีนกันเห็นๆ กับกลิ่นออกทางชอคโกแลต ฮาเซลนัท และกาแฟ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้กลายเป็นกลิ่นลิปสติกผสมกลิ่นในกระเป๋าเครื่องสำอางผู้หญิงในรูปแบบที่ออกทางขนมหวานมากกว่า ไม่ได้เป็นเครื่องสำอางเข้มๆ มากขนาดนั้น แต่ยังมีพื้นฐานของความแมนในเนื้อกลิ่นอยู่มาก และบอกถึงความเป็น Metrosexual กันอย่างชัดเจน จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes งานนี้มาเต็มเลยทีเดียวกับกลิ่นเชิงหอมอบอุ่นแบบเนยถั่วผสมชอคโกแลต กับกาแฟจะมาเต็มมาก กลิ่นช่วงนี้หอมอบอุ่นน่ากินและมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นใกล้เคียงความเป็น Dior Homme แต่แตกต่างในความรู้สึกทันทีเพราะ UOMO จะให้ความหวานมากกว่า ไม่ได้ออกทางเข้มอบอุ่นแบบที่อีกแบรนด์ทำ และเมื่อ Base Notes สำแดงตัวออกมาปิดฉากความใกล้เคียงไปได้เลย เพราะกลิ่นจะมาในโทนหนังนุ่มๆ กลั้ววู้ดดี้ มีติดกลิ่นหวานๆ มาจากช่วงกลาง ทำให้ยังคงความเย้ายวน และเซ็กซี่ในรูปแบบเมโทรแต่ติดหวานชัดเจน มันเลยแตกต่างจากเมโทร นิ่งๆ แบบ Dior Homme ก็ด้วยประการละฉะนี้

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปครับ เพราะมันมีความหวานที่แตะความเป็นวัยรุ่นได้อยู่จากโทนกลิ่นแบบเนยถั่วชอคโกแลตนี่แหละ สามารถใส่ไปเรียน ทำงาน เดินเที่ยวเล่น จู๋จี๋กับแฟน ได้ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม (แต่ต้องดูสภาพอากาศนิดนึงเนาะ ถ้าร้อนไม่ควรอัดสเปรย์เยอะเดี๋ยวฆ่าคนอื่นเอาได้) แต่ถ้าอากาศเย็นหรือกลางคืนเที่ยวโน่นนี่ จัดไป เหมาะมากครับ

ความทน – 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ เผลอๆ มากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

การกระจาย – ดีมาก แต่จะหนักในช่วงต้นๆ ที่เหลือจะกระจายดีแบบมีชั้นเชิง คนที่ยืนใกล้ๆ จะได้กลิ่น และจะลดลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัวจนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – ไม่ใช่ว่า Dior Homme ไม่หอมนะครับ แต่เป็นเพราะตัวผมเองชอบกลิ่นออกทาง Gourmand แบบนี้มากกว่า เลยสนใจตัวนี้มากกว่าเท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Bvlgari - BLV pour Homme

Bvlgari - BLV pour Homme

น้ำหอมรุ่นนี้ของ Bvlgari ผมเคยอ่านเจอในนิตยสาร POP เมื่อก่อนว่า พี่เจ เจตริน เขาใช้ แน่นอนว่าช่วงนั้นน้ำหอมของ Issey Miyake เป็น Signature ประจำตัวเลยไม่ได้สนใจตัวนี้นัก พอมาปัจจุบันเริ่มบ้าน้ำหอมเต็มขั้นได้มีโอกาสได้ใช้เต็มๆ กับเขาเท่านั้นแหละ อืมมมมมม ฟินนนนนนน เพราะ

แค่เปิดช่วงต้นกลิ่นก็หอมแบบสดชื่นแกล้มความอบอุ่นแบบพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แต่มีไออุ่นรอบตัวๆ และมีกลิ่นหอมติดหวานบนผิวกายเลย ซึ่งเต็มๆ กลิ่นที่ได้คือ #ขิง โดยมีเม็ดกระวานกลั้วกับไม้จันทน์หอม เพียงแค่กลิ่นต้นบอกเลยว่าเป็นกลิ่นเปิดที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยาก เพราะมันไม่ได้เปิดตัวเหมือนน้ำหอมตัวอื่นๆ ที่จะเน้นโทนซิตรัสนำเด่นเท่าไหร่ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางงานนี้มาเลยสดชื่นก็จริง แต่มันมีเสน่ห์เฉพาะที่ให้ความหวานและอบอวลอย่างมีชั้นเชิงของผู้ชายเท่ห์ๆ ซึ่งกลิ่นขิงยังคงอยู่ แต่คราวนี้ข่าจะมาร่วมด้วยช่วยกันเสริมให้กลิ่นออกทางสดชื่น Sparkling เข้าไปอีก มีความเป็นแป้งเย็นซ่าๆ รองพื้นด้านหลังของจูนิเปอร์เบอร์รี่อีกด้วย ฟินนนมากกกก ขอบอก เพราะกลิ่นมันออกทางเท่ห์ที่เข้าถึงง่ายนี่แหละ ใครๆ จะชอบกลิ่นนี้ได้ไม่ยากเลย ก่อนที่จะปิดท้ายกันช่วงกลิ่นโทนอบอุ่นของวู้ดดี้ กลั้วกับดอกยาสูบที่จะให้กลิ่นคล้ายๆ หนังจึงมีความนุ่มตามมา กลิ่นช่วงนี้เลยดูเป็นผู้ชายแมนอบอุ่น ยิ้มง่ายสบายๆ เข้าถึงง่ายและน่าเข้าหาสุดๆ ทำให้คนได้กลิ่นฟินเอาง่ายๆ เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมน้ำหอมรุ่นนี้ของ Bvlgari มีการปลอมเยอะมากกกกกในทุกวันนี้

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะกลิ่นใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ถือว่าเป็นอีก 1 ตัวที่ครอบจักรวาล ใส่เรียนก็ดูเท่ห์ ใส่ทำงานหรือออกงานก็ดูมีระดับ ในชิลล์ๆ ก็ดูสบายๆ ใส่เที่ยวกลางคืนก็ได้อยู่

ความทน – 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ครับ (ส่วนตัวเจอ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ)

การกระจาย กลิ่นกระจายดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงต้นและกลาง และจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย ของปลอมรุ่นนี้อยากจะบอกว่าเกลื่อนๆ พอๆ กับรุ่น pour Homme และ Extreme เลยทีเดียว ถ้าดูแค่เฉพาะแบรนด์ Bvlgari ซื้อจากเคาน์เตอร์หรือร้านที่ไว้ใจได้น่าจะดีกว่าครับ

Review: Aramis for Men


Aramis for Men

นี่คือหนึ่งในความคลาสสิคและยังเป็นอยู่มาตลอดกับน้ำหอมที่บ่งบอกถึงความภูมิฐาน สุภาพบุรุษ รวมถึงเย้ายวนแบบชายที่แมนทั้งแท่ง ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Masterpiece เลยทีเดียวที่ Aramis ได้ปล่อยรุ่นนี้ออกมาตั้งแต่ปี 1966 นั่นคือ Aramis for Men ครับ 

ต้องบอกกันก่อนว่า ถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วๆ ไป ยามได้กลิ่นนี้อาจจะบอกออกมาแบบจะทันทีเลยว่า “กลิ่นแมร่งโคตรจะแก่เลยฟ่ะ” เอาได้ ซึ่งไม่ผิดนะครับ ตรงๆ ผมก็คิดว่ากลิ่นมันค่อนข้าง Old School และมีอายุมากเลยทีเดียว แต่จะตัดสินเพียงแค่ดมและเทสเล็กๆ น้อยๆ มันคงไม่ได้ เมื่อจัดเต็มจึงได้รู้ว่า

เปิดตัวกันเต็มแน่นกันเลยทีเดียวเชียว กลิ่นจะออกทางเชิงสมุนไพรแห้งๆ แถมมีโทนหวานจากอบเชยหน่อยๆ ผสานกับกลิ่นเขียวๆ แบบจัดหนักจัดเต็มมาก ซึ่งใช่เลยกลิ่นออกทาง Old School ชัดเจนตามแบบฉบับน้ำหอมยุค 60 แม้จะออกทางสดชื่นจัดๆ คมแน่นไปหมดก็ตาม ซึ่งเมื่อผ่านตรงนี้ได้ ความดีงามจะเริ่มปรากฏ เพราะช่วงกลางกลิ่นพิมเสนจะเต็มแน่นขึ้นมา กลั้วไปกับกลิ่นของมะลิที่มาแน่นด้วย มีโทร Spicy สดชื่นบางๆ และมีโทนออกทางสะอาดและสุภาพบุรุษของหญ้าแฝกมาเสริม กลิ่นช่วงนี้จะหอมแบบมีระดับและบอกถึงความภูมิฐานได้แรงจัดชัดเจน ที่สำคัญมีกลิ่นโทนหนังที่ไม่ได้มาแบบนุ่มๆ แต่มาแบบเชิง Animalic หรือเชิงสาปปลุกเร้าแซมเข้ามาเรื่อยๆ จนเต็มเหนี่ยวไปเลยที่ช่วงท้ายๆ เพราะกลิ่นหนังจะมาเต็มมาก โดยมีโทนอบอุ่นของวู้ดดี้ นุ่มนวลของ Musk และมาดแมนของ Oak Moss ผสมผสานกระชับพื้นที่ให้รู้สึกถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่คลาสสิค มีครบทั้งความเป็นหนุ่มใหญ่สุขุม ทางการ และเย้ายวนแบบมีมาดชัดเจนเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – เพราะกลิ่นมันออกทางผู้ใหญ่จัดๆ หน่อย จึงเหมาะกับผู้ชายทุกเพศวัย 30 ขึ้นไป สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะการทำงานและการออกงานทางการที่ต้องพบปะผู้คน กลิ่นจะสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีมากและดูคลาสสิค ส่วนถ้าใส่เที่ยวกลางคืนก็พอได้อยู่ แต่ให้เน้นไปทางพบปะดื่มแบบหรูๆ จะดีที่สุด

ความทน – มากกกกกกกก ทนจัดจริงๆ 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น สมกับการเป็นน้ำหอมยุค 60 จริงๆ

การกระจาย – มากกกกกกก จะกระจายไปไหน เพียงแค่ 4 สเปรย์กับอากาศหนาวๆ กลิ่นยังตีขึ้นหนำมาก จนคลุ้งไปหมดเลย แต่ดีหน่อยที่ช่วงกลางและท้ายลดลงมากระจายดีงามสมกับการสร้างออร่าสุภาพบุรุษด้วยกลิ่นเลยทีเดียว

ทิ้งท้าย – ไม่ทุกคนที่จะชอบน้ำหอมตัวนี้ เพราะกลิ่นมันไปทางเดียวกับ YSL Kouros ที่จะออกแนว Old School เพียงแต่ไม่ได้ยั่ว X แบบมีประสบการณ์มากขนาดนั้น เน้นความเป็นสุภาพบุรุษทางการมากกว่า เช่นนั้นถ้าใครอยากลอง แนะนำครับว่าน้ำหอมยุคเก่าๆ มันแรงและดีงามสมกับความคลาสสิคจริงๆ

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

Review: Narciso Rodriguez for Him Musc


Narciso Rodriguez for Him Musc

ตัว For Him ของ Brand นี้เรียกว่าหอมคลาสสิคสุดๆ และเคยกล่าวถึงไปแล้วกับกลิ่นของไอดินยามฝนตกกลั้ว Musk ที่หรูหราและมีระดับ คราวนี้ได้เวลาของการข้ามขั้นมาที่ความเป็น EDP: Musk Collection กันบ้าง แน่นอนครับ Advance กว่าเดิมเพิ่มความเทพของกลิ่นเข้าไปอีก กับตัวนี้เลยครับ Narciso Rodriguez for Him Musc

เปิดตัวกันต้นกลิ่นก็มี Musk ขึ้นมากันเลย กลิ่นนุ่มเย้ายวนชัดเจนมาแบบแน่นๆ มา แต่จะมาในรูปแบบที่ผสมผสานกับกลิ่นโทนเบอร์รี่ ติดออกทางแป้งหอมคลุ้งกระจายแบบมีชั้นเชิง ซึ่งช่วงนี้อาจจะออกทางผู้หญิงนิดหน่อย แต่เป็นกลิ่นที่อย่างน้อยผ่านน้ำหอมอะไรมาพอสมควรหรืออาจจะผ่านรุ่น EDT ปกติมาก่อน เพราะไม่งั้นจะถือว่าหนักและทำให้แน่นกับกลิ่นเอามากจริงๆ จนมึนไปเลย เพราะความเข้มข้นมันสูงมาก จนเมื่อเข้ามาสู่ช่วงกลางๆ คราวจะมาในโทนของดอกไม้แน่นๆ แบบแมนๆ ความเป็นหญิงในช่วงต้นหายไปหมด ที่สำคัญ Musk ที่รองพื้นในช่วงต้น มาในช่วงนี้จะเริ่มเด่นแน่นเข้มขึ้น ซึ่งมันเซ็กซี่มากกกกกกกกก เพราะมันให้หมดเลยทั้งความเย้ายวนแบบมีคลาส หรูหรา แอบลึกลับ และมีความเป็นผู้ดีในเนื้อกลิ่นสุดๆ ช่างเด็ดดวงเหลือทนจริงๆ จนปิดท้ายด้วยความเป็น Musk กลั้วกลิ่นหนัง มีโทนเย้ายวนแบบมีระดับกลั้วไปกับความนุ่มสะอาด ที่สำคัญความเซ็กซี่นั้นไม่มีคำว่าจางหายไปไหน มากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีกเสียด้วยซ้ำไป แบบว่านี่แหละเขาเรียกว่า “เช็กซี่จัดๆ แบบไม่ต้องถอดเสื้อผ้า”

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป และบอกได้เลยว่ากลิ่นหนักแน่นมาก ซึ่งจะเหมาะกับใส่ยามกลางวันในสภาพอากาศเย็นๆ หรือทำงานห้องแอร์มันจะลดความหนักของกลิ่นลงไปได้มากโขอยู่ แต่ถ้าเจออากาศร้อนๆ หรือออกกำลังกายจะอึดอัดได้ง่ายๆ เลยต้องลดจำนวนสเปรย์ให้เหมาะสมเพราะกลิ่นหนักจริงอะไรจริง ส่วนใส่เที่ยวกลางคืนนี่สบายๆ เลยครับ แต่วางมาดนิดนึงนะครับ ไม่ใช่เมาหยำเปลุคทางด้านกลิ่นมันจะเสียหายหลายแสนเลยน

ความทน – คือ ดีงามมมมมมมมมมม ผมใส่ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ยาวไปถึงเที่ยงคืน กลิ่นยังตีขึ้น ยิ่งตอนอาบน้ำแล้วผิวโดยน้ำกลิ่นจะฟุ้งกระจายเหมือนระเหยออกมาจากผิวเลยทีเดียว ฟินนนนนนน สรุปง่ายๆ คือ เกิน 12 ชม. สบายๆ ครับ

การกระจาย – กลิ่นมันแน่นหนักอยู่แล้วการกระจายเลยไม่ลดราวาศอกเลยแม้แต่น้อย แน่ๆ เลยคือคนใส่จะได้กลิ่นตีขึ้นตลอด แต่คนรอบข้างอาจจะได้กลิ่นเย้ายวน เซ็กซี่ หรูหราและสะอาดมีคลาสหนักบ้างเบาบ้าง หรืออาจจะทิ้งกลิ่นไว้ตรงที่คนใส่เดินผ่านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะอิงกับยามร่างกายทำความร้อนด้วยในการกระจายของกลิ่น

ทิ้งท้าย – นี่คือหนึ่งในตัวเทพด้าน Musk เลยล่ะครับ อาจจะไม่ได้เป็น Musk ที่เต็มเหนี่ยว มีผสมผสานบ้าง แต่ยังไงมันก็ยังเทพอยู่ดีแหละ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ครับ