วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Strangers Parfumerie - SM Cafe

Strangers Parfumerie - SM Cafe

จะว่าไป Marquis de Sade ที่ถือเป็นบิดาแห่งความซาดิสต์ทางกามารมณ์ผ่านตัวอักษร ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมมาอยู่บ้าง ซึ่งบางกลิ่นก็ให้อารมณ์ห้องแห่งความลับ ที่มีโซ่ แส้ กุญแจมือ ท่ามกลางความดิบห่ามเร้าใจ Animalic จัดเต็ม และบางกลิ่นก็เน้นเร้าใจแบบอบอุ่นอวลลึกเคล้ากลิ่นหนัง ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีโทนหนังมาประกอบเสมอ ซึ่งจะนึกภาพแส้หนัง สายรัดหนัง ชุดหนังแหวกล่างแหวกบน และบรรยากาศอบอวลอุ่นเร้าใจได้เลย

และเมื่อ Strangers Parfumerie เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เอาความเป็น Marquis de Sade มานำเสนอและจับกลิ่นลงสู่ขวด แน่นอนว่าเห็นชื่อแบรนด์ก็ตอบได้เลยว่าจะไม่ได้มาแบบน้ำหอมแบรนด์อื่นที่เคย Tribute บุคคลนี้แน่ๆ เพราะอิงจากคำโปรยแบบขอย่อเองสั้นๆ ว่า “Marquis de Sade + 50 Shades of Grey” งานนี้จะออกมาเป็นรูปแบบไหน ไปต่อกันที่ย่อหน้าถัดไปได้เลยกับรุ่นนี้ SM Cafe

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าอะโรม่าแบบกาแฟเข้มหอมมาเต็มมาก กลิ่นจะมาแบบกาแฟดำสไตล์ Espresso ที่มีความเข้ม ข้น Smoky มีความเป็นธรรมชาติ และเป็น Riche Tone แบบที่กาแฟที่ดีซักแก้วควรจะเป็น ตามด้วยเลเยอร์กลิ่นออกทางโทนหวานคล้ายขนมปนน้ำผึ้งหอม โดยมีกลิ่นออกทางเชอร์รี่เชื่อมปลายกลิ่น ซึ่งจะเป็นวูบแรกของน้ำหอมกันก่อน เรียกว่าเปิดมาสร้างความพึงพอใจให้คนชอบกลิ่นกาแฟดำเข้มได้เลยในทันทีเป็น 1st Impression เต็มๆ แถมมีกลิ่นหวานหอมกึ่งขนมตามมาเบาๆ อีก ยิ่งสร้างความน่าสนใจและดึงดูดได้ดีมาก และชั่วขณะถัดมากลิ่นอายหนังติดดิบหน่อยๆ แต่ไม่หนักมาก แต่ให้ความห่ามเร้ากำลังดีค่อยๆ เปิดตัวออกมาและเริ่มตีคู่ไปกับกลิ่นกาแฟอย่างไปนัยยะสำคัญ จนกลายเป็นตัวเอกคู่ในช่วงกลางเต็มตัว

แน่นอนว่ากลิ่นกาแฟจะยังคงให้อารมณ์หอมเข้มน่าค้นหา และแน่นอนว่ามีความ Modern ในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งกลิ่นจะแกมกลิ่นพิมเสนที่มาแบบสายเย้าระเรื่อหน่อยๆ โดยที่ยังมีความหอมเชอร์รี่ปนน้ำผึ้งปลายกลิ่นอ่อนๆ แอบมีโทนดอกไม้หน่อยๆ แนวกุหลาบเข้ามาแจมด้วยเบาๆ แต่สิ่งที่เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นนั่นก็คือกลิ่นหนัง เพราะเนื้อกลิ่นจะมีลูกผสมของความเป็นหนังกลับที่ให้ความเย้า และมีกลิ่นออกทางหนังดิบห่าม และกลิ่นหนังแก้วที่มีลักษณะคล้ายพลาสติคเล็กๆ เข้ามาร่วมด้วย แถมความ Smoky เริ่มจะมีลักษณะคล้าควันบุหรี่หน่อยๆ แกมหวานนิดออกแนวยาสูบเข้ามาเนียนๆ เคล้ากลิ่นไม้ติดปร่านิดๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความอบอวลและชัดเจนกับการสร้างบรรยากาศแบบสไตล์ห้องแห่งความลับที่กลิ่นเครื่องหนังเฉพาะ ที่ทำให้นึกภาพตามได้ไม่ยากทั้งหนังกลับสายเย้าแบบผิวกาย หนังดิบห่ามแบบแส้หนัง เบาะหนัง สายรัด และชุดหนังเข้มๆ  หนังแก้วแบบชุดหนังเลื่อมๆ แหวกโชว์เฉพาะที่ โดยเคล้ากับกลิ่นกาแฟที่เกริ่นไว้ตอนต้นได้อย่างลงตัวและไม่ได้ดูเป็นโทนออกทางกระทำชำเราแบบดูโหดเกินไป ยังมีความอะโรม่าแบบกำลังดีเลย ที่สำคัญช่วงนี้เป็นช่วงที่บอกชัดเจนมากถึงการเป็น SM Cafe ที่สุดด้วย

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นเริ่มจะชัดเจนตรงที่โทนอบอุ่นแกมยางไม้กึ่งไม้หอมต่างๆ เริ่มจะเปิดตัวออกมาเคล้ากับโทนหนังจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นในช่วงท้าย ซึ่งช่วงนี้โทนกาแฟจะจางไปแล้ว แต่จะให้ลักษณะกลิ่นหนังออกทางติด Vinatge นิดๆ แบบห่ามหน่อยที่เร้าใจได้ความ Animalic รวมถึงมีโทนหวานติดออกทางยางไม้แนวกำยานแกล้มแอมเบอร์ที่มีกลิ่นออกทางน้ำผึ้งหน่อยๆ ที่มีความสาบเร้าเข้าทาง Dirty แต่ไม่หนักหน่วงมากเกินไปมาเป็นเมนหลัก ซึ่งจะมีกลิ่นยาสูบที่เริ่มชัดเจนและเด่นขึ้นมาด้วยแบบกึ่งควันยาสูบ ตามด้วยตัวเสริมที่สำคัญอย่างไม้หอมที่จะได้กลิ่นไม้นวลคล้ายไม้จันทน์หอมหน่อยๆ เสริมให้กลิ่นมีความเย้าอวลนวลเข้ามาร่วมด้วย ผสมผสานกันโดยจะจับภาพรวมของกลิ่นเด่นที่โทน Animalic Amber Leather กันชัดเจนมาก กลิ่นจะมีความ Dirty ติดเย้าเคล้าควันหน่อยๆ แกมหวานลึกปนยางไม้อบอวล ที่สำคัญเป็นช่วงที่จับได้ถึง Signature เนียนๆ ของแบรนด์กับโทน Incense หรือธูปเนียนๆ ที่สร้างความฟุ้งๆ ติดควันไม้เนียนๆ ในกลิ่นดึงดูดในกลิ่นแบบอารมณ์เดินเข้าไปสู่สถานที่ปลุกเร้าสัญชาตญาณที่มีองค์ประกอบของกลิ่นต่างๆ ผสมผสานกันอย่างลุ่มลึกและกระตุ้นแรงขับได้อย่างลงตัวมาก ปิดท้ายการเป็น SM Cafe กันยาวๆ ไป 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดทุกเพศเลย เพราะความซาดิสต์ไม่เข้าใครออกใคร เอ๊ย! ไม่ใช่ เพราะกลิ่นมีความกลางๆ แบบที่จะเพศไหนก็ไม่ได้ห้าม แต่กลิ่นนี้มีความซับซ้อน อาจจะต้องผ่านน้ำหอมมาพอสมควร โดยที่พื้นฐานชอบกลิ่นหนังและกลิ่นกาแฟเป็นทุนเดิม ก็จะอินกับกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป (แต่จะแอบเซ็กซี่แบบไม่ต้องถอดเสื้อผ้าแถมซ่อนแส้ไว้ข้างหลังได้ด้วย) แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป กลิ่นเย้าและมีเสน่ห์แบบซ่อนคมและหน้านิ่งแต่เอาจริงพร้อมกระทำได้ดีมาก 

ความทน - ดีงามมาก เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ อาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังคลอผิวอ่อนๆ อยู่เลย อันนี้ต้องยกให้เขาจริงๆ

การกระจาย - เรียกว่าสร้างความประทับใจในกลิ่นกาแฟกันเลยทีเดียว เพราะกลิ่นกระจายดีเปิดตัวมาเลย แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นปานกลางและคงตัวยาวไปจนถึงราวๆ ซัก 8 ชม. ก็เป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเมื่อพ้นซัก 12 ชม. ถึงเริ่มติดผิว

สรุป - กลิ่นเปิดคือสวรรค์ของคนชอบกาแฟเอาได้เลยเพราะกลิ่นมาเต็ม ชัด และหรูหราสไตล์กาแฟดำเข้มน่าค้นหามาเชียว ส่วนที่เหลือคือความเต็มที่ของโทนกลิ่นที่สร้างความเร้าใจดิบห่ามแบบกำลังดี อารมณ์แบบหน้านิ่งแต่เหน็บแส้กับกุญแจมือไว้ข้างหลัง ซึ่งมันคือการ Twist และ Mix & Match ที่เอาความเป็นกลิ่นอายสไตล์ Modern ของโทนกาแฟเข้มหอม แบบ Mr.Grey + กลิ่นหนังเจือ Animalic แบบสไตล์ Vintage หน่อยๆ แบบ Marquis de Sade โดยมีตัวเชื่อมที่ดีอย่างโทน Incense และไม้หอมได้อย่างเร้าใจ เซ็กซี่ ดึงดูดและไม่ธรรมดามากจริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Tobali - Iron Wind


 Tobali - Iron Wind

Oda Nobunaga เห็นชื่อนี้ หลายๆ คนน่าจะรู้จักผ่านการเล่นเกม ผ่านการรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาบ้าง และหลายๆ คนอาจจะผ่านตาจากการดูภาพยนตร์ย้อนยุคของญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าชื่อนี้คือหนึ่งในขุนศึกซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นที่เรียกว่าโด่งดังมาก ได้รับฉายาว่า Devil King และเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน แม้ว่าชื่อเสียงนั้นมีทั้งทางดีในสร้างคุณูปการให้กับญี่ปุ่นในการวางรากฐานหลายๆ อย่างของประเทศ และทางไม่ดีในความโหดเหี้ยม เด็ดขาด และเลือดเย็น

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีพลังแผ่ซ่านออกมาในการรับรู้จากการอ่านอยู่แล้ว งานนี้จึงได้มีแบรนด์ญี่ปุ่นอยู่หนึ่งแบรนด์ในแวดวงสาย Niche Perfume อย่าง Tobali ที่ได้เอาแรงบันดาลใจของขุนศึกผู้โด่งดังคนนี้มา Tribute ส่งต่อพลังออกมาผ่านกลิ่นในความเป็น Oda Nobunaga โดยประทับชื่อรุ่นไว้ว่า Iron Wind ซึ่งจะเป็นอย่างไรบอกเล่าออกมาได้แบบนี้เลย 

เปิดต้นกลิ่นออกมาสิ่งที่มาชัดเจนพอสมควรเลยคือความเป็นโทนไม้หอมเคล้าเครื่องเทศปร่าๆ กึ่งโทนแป้งหน่อยๆ ที่มีกลิ่นออกทางโลหะหน่อยๆ ออกมา ซึ่งกลิ่นมีความฟุ้งออกมาระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ถึงกับจัดจ้านมาก เหมือนให้รังสีและพลังทางกลิ่นออกมาก่อนแบบที่จะได้ความหอมติดกลิ่นไม้โปร่งๆ แต่ไม่ได้ไปสายสว่างมากนักปนกับความคมพุ่งของกานพลู เคล้ากลิ่นออกทางอวลติดพริกไทย และมีกลิ่นออกทางติดเขียวกึ่งสดชื่นบางๆ ของใบไวโอเล็ต แต่กลิ่นก็ไม่ได้ไปสดชื่นจ๋าๆ เลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีความขมปนหวานแปร่งๆ ติดโลหะหน่อยๆ ของหญ้าฝรั่นเคล้ากับกลิ่นออกทางคล้ายเหงื่อที่ชื้นนิดๆ ที่เสริมขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทนแป้งอย่างไอริสที่ให้ความอวลกำลังดีมีพลัง เลยทำให้ช่วงนี้จะออกแนวมาสายปล่อยของที่เน้นสร้างออร่าความหนักแน่นและเด็ดขาดแบบไม่ได้เล่นใหญ่ แต่มาแบบสมดุลย์แต่มีพลังทางกลิ่นออกมาได้อย่างดีมากเกินคาดในการเป็นไม้หอมที่มีความอวลเครื่องเทศแบบปร่าแปร่งปนโลหะนิ่งๆ

และเมื่อกลิ่นโทนเครื่องเทศอวลแปร่งเริ่มเซตตัว กลิ่นไม้หอมปนกลิ่นโลหะจะเริ่มชัดขึ้นอีกสเต็ป เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้เปิดตัวมาแบบมีอำนาจแบบช่วงต้นแล้ว แต่จะลดทอนลงมาสร้างออร่าความขรึม นิ่ง ที่มีความดาร์กและมีพลังแบบอวลรุมๆ รอบกายอารมณ์ออร่าสีออกทางดำๆ ที่ไม่ธรรมดาเสียมากกว่า เพราะว่าเนื้อกลิ่นช่วงนี้จะมีไม้กฤษณาหรือ Oud ที่เข้ามาสร้างโทนดาร์กอวลน่าค้นหาแบบติดกลิ่นเนื้อไม้สีดำที่มีความ Smoky หน่อยๆ และไม่ได้ไปทางตะวันออกกลางแต่อย่างใด เพราะองค์ประกอบอื่นอย่างกลิ่นเหล็กร้อนที่อวลเข้ามาเสริม ทำให้กลิ่นยังคุมโทนการมีพลังกำลังดีนิ่งแต่แผ่ซ่านออกมาทีละหน่อยๆ อย่างมีชั้นเชิง โดยที่กลิ่นช่วงต้นจะลดทอนลงมาสร้างเสน่ห์ที่น่าค้นหาเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยโดยเฉพาะไอริสและหญ้าฝรั่นที่ตามมาให้ความรู้สึกแป้งติดอวลขมเจือหวานปลายหน่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นมีความอบอุ่นมากกว่าช่วงต้น แต่ยังคุมโทนนิ่งและมีรังสีอำนาจก็จริง แต่ผ่อนลงมาระดับหนึ่งและจะเข้าโทนมินิมัลมากกว่าจะเยอะสิ่งจัดเต็มหนักหน่วง ซึ่งช่วงนี้แหละได้อารมณ์ของความเป็นญี่ปุ่นแบบนิ่งขรึมมีพลังแบบไม่โฉ่งฉ่างเข้ามาให้รู้สึกได้เลยล่ะ

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้จากโทนไม้หอมที่มีความอวลนิ่งมีความขรึมปร่าแต่ก็มีลักษณะอวลอุ่นกึ่งวานิลลาอ่อนๆ เข้ามาร่วมด้วย ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม โดยโทนกลิ่นเหล็กในช่วงกลางจะเหลือแบบประปราย แต่กลิ่นไม้หอมปนโทน Musky ที่ติดออกทางมีความหวานอ่อนๆ คลอกับผิวกายและมีเครื่องเทศบางๆ คล้ายยี่หร่าที่สร้างลักษณะกลิ่นคล้ายกลิ่นกายเบาๆ เลยทำให้ได้อารมณ์ที่เป็นเลเยอร์กันค่อนข้างชัด โดยเมื่อดมไปที่ใกล้ผิวจะได้กลิ่นคล้ายผิวกายติดหวานเบาๆ มีกลิ่นออกทางกลิ่นกายนวลอ่อนๆ พอถอยออกมานิดนึงก็จะได้กลิ่นโลหะเบาๆ ถอยออกมากลิ่นจะได้กลิ่นไม้หอมขรึมๆ ปนอวลอุ่นหน่อย ซึ่งจะเป็นเลเยอร์กลิ่นที่ถ้าดมทั่วๆ ไปจะไม่ได้ซับซ้อนออกทางจะเรียบง่ายติดเก๋หน่อยๆ แต่พอดมแบบพินิจพิเคราะห์อารมณ์กลิ่นจะค่อนข้างชัดถึงการสื่อสารแบบสไตล์มินิมัลที่ให้ความนิ่งขรึมท่ามกลา่งกลางหอมหวานอ่อนๆ ปนอบอุ่นที่มีความโรแมนติคเนียนๆ เจืออยู่เคล้ากับกลิ่นอายของบรรยากาศรอบตัว ปิดท้ายการเป็น Iron Wind ที่ให้ความนิ่งแฝงรื่นรมย์ได้ดีมากเลยทีเดียว     

เหมาะสำหรับ - Unisex ก็จริง แต่ค่อนข้างมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อย แต่ถ้าไม่มายด์ใส่ได้สบายมาก เพราะช่วงท้ายมีความกลางๆ กำลังดีเลยล่ะ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปที่เน้นการสร้างออร่าความเป็นผู้นำหรือขรึมมีเสน่ห์ จะไม่ค่อยเข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมลุยๆ เท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้เลย กลิ่นดูเป็น Boss ดี แต่ถ้าใส่ท่องราตรีอาจจะสู้คนอื่นเขาไม่ได้เท่าไหร่เพราะว่ากลิ่นช่วงท้าย ๆมาสายเบาๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งจะโดนกลบจากความหวานแน่นของคนอื่นที่ใช้น้ำหอมหนักๆ แน่นอน

ความทน - กลิ่นทนเกิดคาด เพราะคาดไว้ตามสไตล์น้ำหอมญี่ปุ่นว่า 6 ชม. ขาดตัว แต่เกมพลิก เงิบไปเลย เพราะกลิ่นลากยาวไปถึง 15 ชม. ได้สบายมาก กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ซึ่งตีค่าเฉลี่ยไว้ก่อนเลยว่า อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาไวหน่อยมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป เมื่อเข้าช่วงกลาง ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายกันยาวๆ 

สรุป - ภาพรวมของกลิ่นได้ความรู้สึกแบบ Mix & Match ที่ให้ความเป็นนักรบที่ใส่ชุดเกราะเหล็กแบบญี่ปุ่นที่มีออร่าพลังอำนาจออกมาชัดเจน + มีกลิ่นไอร่างกายติดเหงื่อนิดๆ แต่ไม่ได้ออกทาง Animalic  โดยนั่งอยู่ในเรือนไม้โปร่งๆ มีกลิ่นอายบรรยากาศสบายๆ โดยรอบ เรียกว่าถ้าสื่อถึง Oda Nobunaka ก็ต้องยกให้เลยว่าเข้า Concept ตามที่มาที่ไปได้ดี และมีความลุ่มลึกไม่ธรรมดาที่แฝงด้วยความน้อยแต่มาก และมีพลังอำนาจแบบมาเงียบๆ แต่เอาจริงได้อย่างน่าสนใจมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.aedes.com/products/iron-wind-eau-de-parfum

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Banana Republic - Dark Cherry & Amber

Banana Republic - Dark Cherry & Amber

เมื่อแบรนด์ Designer แต่ละแบรนด์ต่างก็มีไลน์น้ำหอมสาย Exclusive กันให้เพียบ ต่างออกมาประชันกันอย่างสุดฤทธิ์ แน่นอนว่าถ้ามีแบรนด์ไหนที่นิ่งเงียบก็อาจจะแผ่วลงไปได้ เช่นนั้นแทบทุกแบรนด์ต่างก็เข็นเอาความ Exclusive ในการสร้าง Collection พิเศษออกมากันอย่างมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มาสาย Luxury ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายอย่าง Banana Republic ที่ก็มีกับเขาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ Icon Collection

ใน Icon Collection ปัจจุบันนี้ มีน้ำหอมออกมาหลายตัวมากเลยทีเดียว และส่วนใหญ่เป็นการใช้ Concept เจาะจงชูโรง Note กลิ่นเด่นๆ ที่แบรนด์ตั้งใจสื่อสารและเป็นไปตาม Trend ในปัจจุบันที่สาย Exclusive มักทำเช่นนี้อยู่แล้ว เช่นนั้นการได้เข้ามาเจอกับไลน์นี้เป็นครั้งแรกเลยต้องหาตัวน่าสนใจมาลองกันซักหน่อย และก็ได้เจอกับขวดแดงอย่างรุ่น Dark Cherry & Amber ที่ดึงดูดอย่างน่าประหลาดเช่นนั้น จัดมาใช้จนตกผลึกแล้ว ก็เล่ากลิ่นต่อได้อย่างนี้เลยว่า

กลิ่นต้นกลิ่นมีอารมณ์กลิ่นเชอร์รี่ที่ออกทางติดหวานออกทางไซรัปแต่ไม่ได้หวานเชื่อมเกินไป ออกทางเชอร์รี่อวลเข้มเข้าทางสายดาร์กเชอร์รี่ตามชื่อรุ่นจะมาอย่างชัดเจนก่อนใครเพื่อนเลย ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะได้โทนติดเขียวนวลปร่าเจือพริกไทยเป็นลูกคู่รองพื้นให้อยู่ ซึ่งจะเป็นวูบแรกของการได้กลิ่น แต่วูบถัดมาอารมณ์กลิ่นหอมหวานออกทางช็อคโกแลตสอดไส้ครีมหรือ Praline ที่จะแทรกตัวมาไวมากพอสมควร เลยทำให้อารมณ์กลิ่นมันจะแบ่ง ออกเป็น 2 โทนที่จับต้องได้ทันที นั่นคือ ผลไม้ติดดาร์กและขนมอวลเย้า โดยมีพื้นกลิ่นเป็นโทนหวานลึกที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก ที่สำคัญบางวูบในช่วงนี้มันจะมีโทนกลิ่นที่เร้าจมูกบางอย่างให้รู้สึกได้ถึงความคล้ายกับน้ำหอมรุ่นดังบางตัว ที่เรียกว่าเกิน 50% นั่นก็คือ MFK - Baccarat Rouge 540 แต่เหมือนแบบทั้งหมดไหม? ไม่ขนาดนั้น เพราะถ้าดมเผินๆ อันนี้จะรู้สึกว่าคล้าย แต่ถ้าลงรายละเอียดของกลิ่น ความหวานของกลิ่นนี้จะมาจาก Praline ที่มีความอวลสากหน่อยๆ และเชอร์รี่ที่ซ่อนเปรี้ยวได้ความเป็นสีแดงแบบที่ออกทาง Velvet เข้มแต่ไม่ข้น จะไม่ได้ลึกเท่าหญ้าฝรั่นและกลิ่นอายน้ำตาลไหม้สร้างอารมณ์สีแดงชาดแบบของ MFK อันนี้แหละต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มมีเมื่อกลิ่นของ Praline จะเริ่มมาเทคโอเวอร์ความคล้ายรุ่นดังเริ่มจางไป ก็เข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะกลายเป็นกลิ่นชอคโกแลต Praline ที่ให้ความอวลกำลังดี มีความครีมมี่ติดครีมแบบสมดุลย์แบบครีมชอคโกแลตสอดไส้ที่ให้ความอวลหอมหวานนุ่มดาร์กน่าค้นหาที่รวมอารมณ์กลิ่นเข้ามาได้มีมิติในการรับรู้ตามแบบที่ควรจะเป็นของ Note ประเภทนี้ และมีโทนกลิ่นออกทาง Nutty ติดถั่วหน่อยๆ มาเสริมอีกด้วย เลยสร้างกลิ่นอายสายขนมค่อนข้างชัดอยู่พอสมควร แต่โทนกลิ่นไซรัปเชอร์รี่ติดดาร์กในช่วงต้นจะลดทอนลงมาเป็นกลิ่นอายสายดอกไม้เจือกลิ่นเชอร์รี่หวานใสๆ มากขึ้น ซึ่งนั่นก็คือกลิ่นดอกเชอร์รี่หรือซากุระ ที่จริงๆ มันไม่มีกลิ่น แต่ประยุกต์ให้กลิ่นออกทางหวานใสสดชื่นให้อารมณ์กลิ่นออกทางสีชมพู เข้ามาผสมผสาน ซึ่งแน่นอนยังมีลูกหวานลึกซ่อนเปรี้ยวปลายกลิ่นของดาร์กเชอร์รี่ที่ตามมาจากช่วงต้นจะยังมีอยู่เนียนๆ จนทำให้ได้อารมณ์เหมือน Praline สอดไส้ครีมชอคโกแลตเชอร์รี่อะไรประมาณนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อกลิ่นจะมีความอวลๆ ครีมมี่ และอบอุ่นให้จับต้องได้ด้วย ซึ่งช่วงนี้แหละกลิ่นอายเข้า Trendy มาก เพราะเป็นช่วงที่แสดงถึงกลิ่นอายแบบเย้ายวนปนเซ็กซี่ดึงดูดแบบอวลตามสไตล์น้ำหอมที่ต้องมีโทนแบบนี้ในการสร้างความโดดเด่นในช่วงปลายยุค 2020

ช่วงท้ายจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดมากขึ้นกับกลิ่นอายสายอบอุ่นที่จะกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นมากขึ้น ซึ่งตรงกับชื่อรุ่นเลยนั่นก็คือ Amber แต่กลิ่น Amber จะเสมือนเป็นตัวคุมเกมเสียมากกว่า มาแนวล้อมกลิ่นให้เป็นโทนอบอุ่นติดวานิลลาเล็กๆ ไม้หอมหน่อยๆ ยางไม้เนียนๆ โดยจะมีลูกผสมอย่างโทนไม้หอมโปร่งๆ ปน Smoky อ่อนๆ มาตัดทอนให้กลิ่นไม่ได้ข้นและหนักเกินไป ซึ่งโทนเหล่านี้จะสอดรับพอดีกับกลิ่น Praline ครีมมี่ปนผลไม้เชอร์รี่ที่ตามมาจากช่วงกลางแบบที่เบาลงมาอีกสเต็ปและไม่อวลหนักเท่าช่วงกลางแล้ว กลิ่นเลยจะได้ความรุมๆ เรื่อยๆ กำลังดี มีความคลอผิว แต่ถ้าขยับเนื้อตัวหรือมีการชะล้างผิวด้วยน้ำแบบผ่านๆ จะมีกลิ่นหวานออกทางน้ำตาลกึ่งเชอร์รี่วูบขึ้นมา สร้างอารมณ์แบบคล้าย Baccarat Rouge 540 กลับมาอีกครั้งแบบเบาๆ ซึ่งเป็นอีกมิติกลิ่นที่สร้างเสน่ห์ได้ดีมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่มีความกลางๆ พอดีที่เข้าได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งกลิ่นจะมีความหวานเย้าและดึงดูด เลยเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือจริงๆ จะใส่ทำงาน Office ก็ได้ เพราะเป็นโทนทันสมัยที่ชัดเจนมากเพราะของแบบนี้มันต้องมีแฝงกันบ้างจริงไหม แต่ยามทางการอาจจะต้องพิจารณากันนิดนึงเพราะกลิ่นมันมีลักษณะเจ้าเสน่ห์อาจจะไม่เสริมบุคลิกทางการเท่าไหร่ แต่ที่ให้ตัดออกไปได้เลยก็คือการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งเพราะกลิ่นมันอวลเดี๋ยวจะอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนอัดเสปรย์หน่อยบอกเลยว่าไปได้ดีและไปได้รอดไม่ยากเลย แต่ความปล่อยพลังอาจจะไม่ได้มากนัก เน้นคลุกวงในแทนแล้วกัน

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดีกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนแรก แล้วจะลงมาปานกลางกันยาวๆ แบบรุมๆ รอบตัวใครมาใกล้ก็ได้กลิ่นแน่นอน ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 5 - 6 ชม. ก็จะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ เป็นติดผิว

สรุป - มันมีช่วงความคล้ายกับรุ่น Baccarat Rouge 540 อยู่ก็จริง แต่มันก็เป็นแบบผิวเผินที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียง แต่พอมาดมพิศไปมา มันมีลักษณะกลิ่นที่มีความเป็นเอกเทศของมันอยู่จากโทน Praline ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว เช่นนั้นง่ายๆ เลยกลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่มีความเจ้าเสน่ห์ในตัวเองแบบที่เอาข้อดีของรุ่นดังมาใส่ความมีเสน่ห์แบบอวลๆ ในลักษณะของโทนขนมที่มาสายเย้าอบอุ่นน่ากินแทน มันก็เป็นเช่นนี้แล

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrancenet.com/fragrances/banana-republic/banana-republic-dark-cherry-and-amber/eau-de-parfum#341738

 

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Maison Martin Margiela - Replica: Jazz Club

Maison Martin Margiela - Replica: Jazz Club 

บรรยากาศที่คราคร่ำไปด้วยหลอดไฟสีวอร์มไลท์ บาร์เครื่องดื่ม เก้าอี้โซฟ้าหนัง ในสถานที่ที่เป็นโทนสีน้ำตาลไม้ทาแว๊กซ์ เคล้ากลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควันซิการ์หรือบุหรี่ และใบหน้าที่เปื้อนยิ้มและสนุกสนานจากการสนทนา โดยมีเสียงแซกโซโฟน ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดับเบิลเบส เปียโน กีตาร์ กลอง และคลาริเน็ต ร่วมบรรเลงออกมาเป็นท่วงทำนองของ Mainstream Jazz มี Bebop สร้างความสนุกสนานเข้ามาหน่อย และมีช่วงผ่อนเป็นทำนองแบบ Smooth Jazz หรือ Bossa Nova มาเสริมให้เกิดความเพลิดเพลิน และทั้งหมดทั้งมวลที่บรรยายมานี้คือ บรรยากาศของการเป็น Jazz Club ที่ให้ความบันเทิงอย่างมีระดับและรื่นรมย์ในยามค่ำคืน

ซึ่งเสน่ห์ของกลิ่นอายต่างๆ ที่รวมอยู่ใน club ประเภทนี้เรียกว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างมากแบบที่ไม่เหมือนคลับประเภทอื่นๆ และหนึ่งใน Brand ที่เน้นการถอดกลิ่นอายสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ มาสู่ขวดอย่าง Maison Martin Margiela ก็ได้จับเอา Concept กลิ่นอายของ Jazz Club มาเป็นหนึ่งใน Collection: Replica เช่นนั้นก็ต้องลองและเล่าต่อสิว่ากลิ่นอายจะทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดตัวกับกลิ่นเหล้ารัมที่ค่อนข้างมีความชัดเจนให้จับต้องได้แบบเนียนๆ แอบมีกลิ่นซ่าคล้ายแชมเปญหน่อยๆ โดยจะมีกลิ่นฝาดปร่าเผ็ดอวลกำลังดีของกลิ่นอายแนวโทนพริกไทยสีชมพูที่จะมีโทนฝาดเป็นตัวหลักสำคัญ และในบางวูบจะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางยาสูบโปร่งหวานที่เข้ามาผสมผสานด้วย รวมมีความหวานติดไม้หอมปนโทนออกทางวานิลลาเนียนๆ ซึ่งจะมาเคล้ากลิ่นเหล้ารัมที่ติดดาร์กและมีกลิ่นซิการ์ปนปร่าให้ลักษณะกลิ่นที่มีความดึงดูดชัดเจน แต่ไม่ได้มีแค่นี้เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นดอกส้มที่สร้างอารมณ์กึ่งสดชื่นบางๆ และมีกลิ่นติดเปรี้ยวสดชื่นเจือหวานปลายแบบเล็กๆ มาให้รู้สึกได้ ทำให้กลิ่นเปิดให้อารมณ์ที่ใกล้เคียงการเดินเข้าคลับแนว Jazz ได้เลยทีเดียว เพราะจะได้มิติของการรับรู้จะได้แบบอวลหอมเย้ากึ่งปร่าแกมสดชื่นปลายๆ ที่ดึงดูดได้อย่างน่าสนใจมาก

แล้วเมื่อกลิ่นออกทางโทนไม้หอมปนโทนแนวลาเวนเดอร์แบบอบอุ่นปนนวล Musk หน่อยๆ ของ Clary Sage ค่อยๆ เปิดตัวออกมา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว เพราะกลิ่นจะมาเคล้ากับเหล้ารัมที่ยังคงคุมโทนได้ดีอยู่ และกลิ่นยาสูบเริ่มมีความโดดเก่นมากขึ้นในลักษณะโทนหวานเย้ามีเสน่ห์ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์แบบ Dark Rum ปนยาสูบที่มีกลิ่นปร่าเผ็ดนวลออกทางพริกไทยแกมวานิลลาเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย พร้อมกับกลิ่นอายไม้แห้งๆ ที่รองพื้นอยู่ ซึ่งทั้งหมดจะผสมผสานให้มีความอวลปนเย้ามีเสน่ห์แบบแบบเข้าโทนอบอุ่นดึงดูด สร้างลักษณะกลิ่นอายสาย Boozy กรึ่มๆ ที่มีชั้นเชิงอารมณ์กลิ่นรัมคลอรอบกายอวลๆ มากกว่าจะดูเป็นขี้เมาเหล้าหึ่งรอบทิศมาจากไหน และที่สำคัญเนื้อกลิ่นเข้าทางสายผู้ชายสมาร์ทๆ อบอุ่นที่มีเสน่ห์พอสมควรเลยทีเดียว

เมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าโทนวานิลลาเริ่มที่จะกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับยาสูบและลดทอนเอากลิ่นเหย้ารัมลงไปเป็นสายสนับสนุนมี่ให้ความเย้ามีเสน่ห์ ก็จัดป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นการเล่นโทนตีคู่กันอย่างลงตัวมากกับพื้นกลิ่นเป็นนวลวานิลลาแบบกลางๆ ไม่หนัก โดยมีเลเยอร์กลิ่นยาสูบหวานเหย้ามีเสน่ห์ตีคู่กันไป อารมณ์เป็นยาสูบวานิลลาที่มีความสมดุลน์พอเหมาะแบบหรูหรามีนะดับและมีความกรุ้มกริ่มเจ้าเสน่ห์เนียนๆ ในเวลาเดียวกันจากเหล้ารัมติดดาร์กเนียนๆ โดยในพื้นฐานกลิ่นที่ให้ความหวานกำลังดีและมีระดับมากกว่าจะไปสายข้นคลั่กอวลจัดจ้าน ซึ่งกลิ่นตะสร้างออร่าความอวลแบบน่าค้นหาและน่าคลุกวงในกำลังเหมาะ แถมบางวูบก็แอบหวานโรแมนติคด้วย เลยทำให้ภาพรวมของกลิ่นมีความหวานนวลอวลรื่นรมย์ปนอบอุ่นมีเสน่ห์

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ไพล่ไปทางผู้ชายถึง 75% เลยทีเดียว เพราะกลิ่นมันสร้างลักษณะแบบผู้ชายสายสมาร์ทที่มีเสน่ห์อบอุ่นและเซ็กซี่เนียนๆ ได้เลย แต่บางวูบก็มีความหวานลุ่มลึก เช่นนั้นผู้หญิงก็ใช้ได้เพียงแต่จะลุคแมนๆ เท่ห์ๆ เข้ามาเสริมบุคลิกเสียมาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ไปสายทางการ แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อันนี้พอได้ อาจจะมีกลิ่นเหล้ารัมบ้างแต่ก็ไม่ได้ดูว่าแฮงค์มาจากไหน ออกแนวน่าค้นหาเสียมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นมีระดับ หรูหรา และเย้ายวนแบบเนียนๆ แบบที่เอาความอบอุ่นของเนื้อกลิ่นเป็นที่ตั้ง แถมให้ความเท่ห์อวลหวานที่ลงตัวมากๆ อีกด้วย

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้งาน ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ในหลายๆ ครั้ง กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ เรียกว่าสร้างความพึงพอใจได้ชัดเจนมากในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายค่อนไปทางดีในเบื้องต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักพัก แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นไปซัก 10 ชม. ก็จะเป็นกลิ่นอวลคลอผิวแต่ไม่ถึงกับติดผิวคงตัวไปเรื่อยๆ

สรุป - ถ้าจับคู่กลิ่นนี้กับดนตรี Jazz จังหวะกำลังดี อารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกเซ็กซี่ด้วยแซกโซโฟน พลิ้วไหวด้วยเปียโน รื่นรมย์ด้วยคลาริเน็ต อบอุ่นด้วยดับเบิ้ลเบส สนุกสนานด้วยกลอง มีเสน่ห์ด้วยทรัมเปต และมีพลังแผ่ซ่านออกมาด้วยทรอมโบน เช่นนั้นบอกเลยว่านี่แหละครบเครื่องเรื่องกลิ่นอายสร้างเสน่ห์ที่ลุ่มลึกอบอุ่นเย้ายวนแบบที่ไม่ธรรมดา

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.maisonmargiela-fragrances.co.uk/en/product/484289/replica-jazz-club

 

Review: Santa Maria Novella - Ginestra

Santa Maria Novella - Ginestra

ที่มาที่ไปครั้งแรกเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์ Santa Maria Novella เอาความเป็นดอก Broom (ซึ่งไม่ใช่ดอกไม้กวาด แต่เป็นดอกไม้สีเหลืองต้นเป็นพุ่มบานในป่าหรือตามธรรมชาติในช่วงฤดูร้อน บางทีบานเต็มทุ่งสวยงามเหลืองอร่ามกันเลย ตัวดอกถ้าเอาแบบคล้ายคลึงก็จะคล้ายแนวดอกโสนที่ดอกใหญ่ แต่เป็นคนละประเภทกัน โดยอ้างอิงถึงการบานเต็มภูเขาหรือทุ่งในแถบแคว้น Tuscany ของอิตาลี ซึ่งแน่นอนว่าดอกไม้ชนิดนี้มาสายดอกไม้สีเหลืองที่มีกลิ่นหอมเสียด้วย ทำให้รู้สึกได้เลยว่า มันต้องมีอะไรดี และต้องถอดกลิ่นออกมาได้อย่างน่าสนใจแน่นอน

จนเมื่อได้ใช้งานจริงจนตกผลึก ก็บอกแบบสปอยก่อนได้เลยว่า มันคือการถอดกลิ่น Broom ออกมาได้อย่างสวยงามจริงๆ”

ซึ่งกลิ่นเปิดจะให้อารมณ์แบบเรายืนในแมกไม้กลางทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่จะมีลูกผสมกลิ่นเขียวแบบกิ่งก้านไม้พุ่มติดเมือกเขียวตามธรรมชาติเวลาเราขยี้มัน เคล้าคลอไปกับกลิ่นดอกไม้หอมหวานติดกึ่งวานิลลาเจือน้ำผึ้งใสๆ เบาๆ แต่กลิ่นมีความอวลและเข้มข้น ซึ่งจะตบด้วยกลิ่นอายบรรยากาศกึ่ง Citrus บางๆ และมีโทนออกทางพริกไทยนิดๆ แบบช่วงอากาศยามสายที่กลิ่นฟุ้งรับแดดได้เป็นอย่างดี อารมณ์ยืนแบบไม่งงในดงดอก Broom และบางวูบอาจจะได้อารมณ์แบบกลิ่นโทนสบู่ฟุ้งๆ ที่เป็นลูกผสมระหว่างกลิ่นดอกไม้กับกลิ่นเขียวผักบ้าง อิงตามประสบการณ์การรับกลิ่นของแต่ละคนและแต่ละช่วงความคิด ซึ่งตรงนี้ถ้าพื้นฐานคนที่ชอบกลิ่นดอกไม้สีเหลืองต่างๆ ที่เป็นโทนหวานหอมฟุ้งบอกเลยว่าโดนตกแน่นอน แต่ถ้าคนที่ไม่ได้อินอาจจะมีอึนๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าไปต่อก็จะเริ่มเห็นความดีงามของกลิ่นที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติได้เลย

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางจะค่อยเป็นค่อยไปและไม่ได้ลดทอนเอาความเป็นกลิ่นดอกไม้เหลืองที่โดดเด่นในช่วงต้นแต่อย่างใด แต่แค่ลดทอนความฟุ้งอวลพุ่งในช่วงต้นลงมาอีดหนึ่งสเต็ป เสริมด้วยมิติของของโทนดอกไม้อื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่เป็นแค่ตัวเสริมนะ ไม่ได้มาแย่งซีน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของดอกไวโอเล็ตที่ให้โทนแป้งออกทางเขียวโปร่งหวาน กลิ่นดอกดารารัตน์ที่มีความเขียวเจือพริกไทยซ้อนกับกลิ่นยาสูบหวานโปร่งอ่อนๆ และกลิ่นดอกส้มที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานสะอาดนวล ทุกอย่างจะชูโรงกลิ่นดอก Broom ที่ยังคงให้ความเหลืองหอมฟุ้งแต่จะมีความนวลและผ่อนคลายมากขึ้น โดยมีคุมโทนเด่นที่ความหอมหวานดอกไม้สีเหลืองเจือความเขียวตามธรรมชาติแบบเมือกอ่อนๆ อยู่ ทำให้บางวูบจะรู้สึกถึงกลิ่นอายแบบธรรมชาติที่เข้มข้นแต่นอวล และบางวูบจะให้ความเป็นสบู่กึ่งโลชั่นกลิ่นดอกไม้เหลืองเจือเขียวที่ชัดเจนมาก เลยจะสอดรับกันพอเหมาะพอดีให้ความเป็นดอก Broom หอมหวานโปร่งเจือเขียวเจือน้ำผึ้งใสเรื่อๆ อ่อนๆ ชัดเจน จนเมื่อกลิ่น Musk ค่อยๆ ตะล่อมขึ้นมาเนียนๆ ทีละนิด การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีให้จับต้องได้จากการที่โทนดอกไม้ในช่วงกลาง เริ่มลดทอนลงมาเป็นสายสนับสนุนแทน โดยให้โทน Musky เป็นตัวเด่นนำขึ้นมาในช่วงท้าย แน่นอนว่าความหวานโปร่งดอกไม้ยังอยู่ให้ความประปรายระเรื่อรื่นรมย์โดยรอบ แต่จะมีความนุ่มนวลติดสะอาดเจือกลิ่นไม้หอมหน่อยๆ ที่เรียบง่าย (แต่ไม่ง่ายในการผสมผสาน) ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้ๆ จะจับต้องได้ถึงกลิ่นเขียวคล้ายหญ้าแห้งแกมเขียวเข้มน่าค้นหาของ Oak Moss หน่อยๆ แกมกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่เนียนผสมอยู่ในเนื้อโทน Musky อยู่ เลยทำให้ช่วงท้ายกลิ่นจะมีความเรียบง่ายและเรียบหรูในลักษณะแบบโทน Musky กึ่งแป้งหอมแบบฉาบหน้าด้วยกลิ่นดอกไม้สีเหลือหอมนวลหวานระเรื่อปิดท้ายการเป็น Ginestra ได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่าสำหรับผู้หญิง ซึ่งใช่เลยผิวกายผู้หญิงจะสอดรับกับเนื้อกลิ่นแนวนี้ได้ดีมาก แต่ขอพ่วงเพิ่มมาหน่อยว่ามันมีความ Unisex สูงพอที่ผู้ชายใช้งานได้ แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นมาชัดเข้มพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการ หรือทั่วๆ ไป ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ แต่ออกกำลังกายขอเป็นช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เดี๋ยวกลิ่นจะตีขึ้นเยอะจนอึนเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นไม่ได้ไปสายพร้อมรบหรือพร้อมปล่อนยเสน่ห์เย้ายวนอะไรเท่าไหร่ ได้แต่ความอะโรม่าผ่อนคลาย เลยเน้นใส่แบบออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีกว่า

ความทน - เป็น Eau de Cologne ก็จริง แต่ความทนล้ำหน้าไปไกล EDT หรือ EDP หลายๆ ตัวเสียอีก เพราะสิ่งที่เจอคือ 8 ชม. สบายมาก และไปต่อได้อีกด้วยถึง 12 ชม. เลย กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น มาเต็ม มาชัด แบบทั้งสดชื่น ทั้งเขียว ทั้งหวานโปร่งมาหมด แล้วจะลดลงมาที่กระจายดีซักพัก ก่อนจะลงมาที่ปานกลางไปจนพ้นซัก 4 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ก่อนจะเป็น Skin Scent ที่ติดหวานระเรื่อหลัง 6 - 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - กลิ่นนี้สร้างภาพเหมือนเห็นคนในชุดสีขาวสบายๆ ยืนในทุ่งดอก Broom เหลืองทองแล้วถ่ายภาพออกมาเน้น Landscape ที่สร้างความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในสถานที่นั้้นและซึมซับกลิ่นหอมดอกไม้รายล้อมรอบตัว และยังไม่พอกลิ่นดอกไม้เหล่านี้ตามติดผิวกายเวลาเราออกจากสถานที่นั้นมาแล้วอีกด้วยแบบยาวๆ บอกเลยนี่คือการสร้างสรรค์ที่ถอดกลิ่นออกมาได้อย่างดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.smallflower.com/products/santa-maria-novella-ginestra-cologne-100-ml?variant=37056759955607

 

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Tory Burch - Jolie Fleur Lavande

Tory Burch - Jolie Fleur Lavande

ว่ากันในเรื่องของกระเป๋าที่เป็นสาย Assesories หนึ่งในแบรนด์ที่กระเป๋ามีความเรีนยบหรูทันสมัยและโดดเด่นจนเป็นแบรนด์ระดับต้นๆ นั่นก็ต้องมี Tory Burch อยู่ในนั้นด้วย และแน่นอนว่าไม่ได้มีดีแค่กระเป๋าเพราะว่าแฟชั่นเสื้อผ้าทั้งหลายก็ไม่ธรรมดา รวมถึงน้ำหอมเองก็มีความดีงามในตัวสูงตามสไตล์ของกลิ่นอายเรียบหรูและมีระดับสาย Designer มากเลยทีเดียว

และจากที่เคยผ่านการเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้อย่างรุ่นแรกสุดของแบรนด์ ก็ได้เวลาในการมาต่อเนื่องกับรุ่นอื่นๆ ซึ่งหันซ้ายขวาไปเจอ Collection - Julie Fleur ที่จะชูโรงความเป็นกลิ่นอายสายดอกไม้ต่างๆ และสื่อสารความเป็นสาย Feminie แบบที่น้ำหอมแบรนด์นี้เดินในเส้นทางนี้มาเสมอ ซึ่งรุ่นที่เลือกมาเล่ากลิ่นนั่นก็คือ Jolie Fleur Lavande เพราะชูโรงการเป็นลาเวนเดอร์นี่แหละ และสิ่งที่ซึมซับออกมาได้นั่นก็คือ

ความเรียบหรูในสายมินิมัลที่ให้ความเป็นลาเวนเดอร์แบบเข้าถึงง่ายแต่มีเสน่ห์ในรูปแบบกลิ่นอายสายดอกไม้และโทนแป้ง”

นี่แหละคือประโยคที่จำกัดความน้ำหอมตัวนี้ค่อนข้างชัดเจนเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเริ่มจากช่วงต้นนั่นก็คือการสร้างกลิ่นอายแบบดอกไม้ติด Herbal สมุนไพรหน่อยๆ ที่มีความสดชื่นและมีความเย็นๆ ในเนื้อกลิ่น ซึ่งสิ่งแรกที่มาชัดในการจับคู่ 2 สีกันได้ลงตัวมานั่นก็คือ กลิ่นของลาเวนเดอร์ที่ให้โทนออกทางอะโรม่านวลอวลหอมรื่นจมูกแกมกลิ่นกิ่งก้านที่มีความเขียวเข้มแต่มาแบบอ่อนๆ แต่จะมีกลิ่นของดอกฟรีเซียที่สร้างอารมณ์กึ่งเขียวชื้นกึ่งพริกไทยติดออกทางสบู่หน่อยๆ ที่เป็นตัวตีคู่รองรับได้อย่างลงตัว ซึ่งจะมีโทนออกทางคล้ายกุหลาบหอมนวลสดชื่นที่น่าจะเป็นลักษณะของแนวๆ ดอกโบตั๋นที่ให้ความเป็นกุหลาบหวานน่ารักเข้ามาร่วมด้วย กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบสบู่ลาเวนเดอร์ธรรมชาติที่มีโทนปร่าติดเขียวกึ่งพริกไทยปนกลิ่นดอกไม้หอมหวานในพื้นฐานกลิ่นติดโทนหรูๆ ได้น่าสนใจ แต่ไม่จบแค่มิตินี้ เพราะจะมีกลิ่นปร่าสดชื่นติดเปรี้ยวขมของมะกรูดฝรั่งล้อมคลอกลิ่นอยู่ประปรายที่รู้สึกเย็นๆ เข้ามาร่วมด้วย เลยเป็นความสดชื่นคลอกลิ่นสบู่ลาเวนเดอร์ได้อย่างดีเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงเริ่มมีความชัดเจนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่มีความเป็น Feminine ชัดเจนมาก และเป็นการปูทางสู่การเป็นโทนแป้งที่มีมิติกลิ่นครอบคลุมพอสมควรไม่ว่าจะเป็นกลิ่นแป้งติดหวานเจือเขียวโปร่งของดอกไวโอเล็ตที่จะเปิดตัวออกมาเคล้ากเลเยอร์กลิ่นแป้งติดทึบอ่อนๆ ระเรื่อๆ จากไอริสที่ลดทอนความเป็นโทนลาเวนเดอร์แบบสมุนไพรในช่วงแรกมาเป็นลาเวนเดอร์นวลๆ หอมนุ่มแบบแป้งลาเวนเดอร์ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางเปรี้ยวหอมหวานแกมแว๊กซ์เมือกหน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะของแมกโนเลียแกมกลิ่นเขียวรื่นจมูกติดอะโรม่าของกลิ่นชาอ่อนๆ ที่เข้ามาสร้างความสดชื่นในเนื้อกลิ่นได้อยู่ ทำให้ช่วงนี้จะยังได้ความรู้สึกสดชื่นแกมแป้งลาเวนเดอร์ที่มีความหวานกึ่งใสกึ่งนวลไม่พอ กลิ่นโทนโบตั๋นในตอนแรdก็ยังตามมาอยู่เลยคุมโทนความเป็นผู้หญิงในเนื้อกลิ่นได้ชัดเจนมาก โดยที่ถ้าดมเข้าไปใกล้ๆ ผิวจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นออกทางสะอาดนวลของ Musk ที่แฝงตัวรองพื้นอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรแก่เวลา กลิ่นโทนลาเวนเดอร์จะผ่อนลงเหลือเพียงความนวลหอมอะโรม่าเบาๆ ควานหวานใสของโบตั๋นจะหายไป ก็เปลี่ยนสถานะในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่มีความมินิมัลเป็นที่ตั้ง กับการเป็นโทนกลิ่นแป้งเจือความสะอาด อารมณ์แบบแป้งเด็กหน่อยๆ แต่มีความเรียบหรูที่ดูผู้ดีมากกว่าจะแป้งเด็กจ๋าๆ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นที่เด่นมาเลยคือ Musk และมีกลิ่นออกทางแป้งนวลๆ แบบแป้งวานิลลาเคล้าแป้งเด็กที่มาจากถั่วตองก้าที่เกลาเอาความเขียวคิดหญ้าแห้งกึ่งอัลมอนด์ออกไป เลยทำให้ช่วงนี้จะเป็นกลิ่นออกทางคล้ายแป้งเด็กหรูๆ มีความสะอาดรองพื้นเคล้ากลิ่นนวลติดลาเวนเดอร์อ่อนๆ ที่ให้ความเรียบง่ายและเรียบหรูแบบที่ยังไงก็รอด ปิดท้ายการสื่อสารกลิ่น Jolie Fleur Lavande ได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบาย เนื้อกลิ่นเปิดตัวด้วยความเป็นธรรมชาติและสื่อสารถึงความเป็นลาเวนเดอร์แบบรื่นรมย์ 2 มิติได้ดีเลยทีเดียว โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยแบบกวาดหมดยังไงก็รอดและมีความสดชื่น สว่าง และนุ่มนวลเรียบหรูได้ยาวๆ จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ ดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปหรือโรแมนติคจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายหนักหน่วงหรือปล่อยพลังเพื่อเน้นเย้ายวนชวนใส่ไปท่องราตรี เพราะเน้นความสดใสนุ่มนวลและอ่อนโยนเป็นสำคัญ

ความทน - 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งเรียกว่าเกินคาดในเรื่องความทนมากเลยทีเดียว เพราะเดิมคาดไว้ว่าไม่น่าจะเกิน 6 ชม. ซึ่งตรงนี้ทำได้ดีมากในแง่ของน้ำหอมโทนดอกไม้ที่มีความสดชื่นและโทนแป้งไล่เรียงกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนตัวเกิน 8 ชม. ไปอีกจนถึง 12 ชม. เลยด้วยซ้ำ เออ ของเขาดี

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีและชัดเจนในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่กลางๆ ไปเรื่อยๆ ยาวๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกลิ่นแป้งรื่นรมย์ไปเรื่อยๆ  

สรุป - ถ้าจะเอาความหวือหวา อาจจะไม่ได้จากรุ่นนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าเอาความรื่นรมย์ ใช้ง่าย มีระดับ รอด และผ่าน อย.ด้านกลิ่นแบบที่ให้ความเรียบหรูมินิมัล และมาในโทนสว่างที่รื่นรมย์ อันนี้ยกให้เลย ได้ครบและเต็มเปี่ยมจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.robinson.co.th/th/tory-burch-jolie-fleur-lavande-eau-de-parfum-net-volume-100-ml-rbs32404616

 

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Aesop - Hwyl

Aesop - Hwyl

เรื่องกลิ่นอายอะโรม่าจากสภาพแวดล้อมแปลออกมาเป็นน้ำหอมลงสู่ขวดโดยเน้นที่ความเป็นกลิ่นอายสายเครื่องเทศที่เผ็ดปร่าและกลิ่นไม้หอมที่มีเสน่ห์ หนึ่งในนั้นจะต้องมี Aesop รวมอยู่ด้วยแน่นอน เพราะในแต่ละรุ่นที่ได้ผ่านการใช้งานมาทุกตัวมีความดีงามในการถ่ายทอดสภาพแวดล้อมและกลิ่นอายที่งดงามของสถานที่นั้นๆ ไม่พอ ยังให้ความรื่นรมย์ปนความรู้สึกผ่อนคลาย Happy ซึ่งแน่นอนว่าในรุ่นที่ 3 ของการกลับมาสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ใหม่อีกครั้ง (หลังจากทิ้งช่วงไปเกือบ 9 ปี) อย่าง Hwyl ก็เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเอาข้อดีมาทั้งหมดเช่นกัน

ที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์ Hwyl ที่เป็นภาษาเวลส์ที่แปลคร่าวๆ ได้ว่า “ความรู้สึกตื่นเต้นของอารมณ์ที่กระตุ้นให้มีพลัง” อะไรประมาณนี้ โดยจะเอากลิ่นอายความเป็นป่าแบบญี่ปุ่นโบราณที่เงียบสงบและเขียวขจีท่ามกลางสายลมเย็นที่มาจากท้องฟ้า เช่นนั้น อย่างแรกกลิ่นน่าจะเป็นการจำลองจากจินตนาการเป็นสำคัญ แต่เอาความเป็นกลิ่นอายสายป๋าเขียวๆ เข้าชูโรงด้วย ดังนั้นความน่าสนใจก็มาทันทีทันควันเพราะกลิ่นอายป่าแบบญี่ปุ่นจะต้องมีความอะโรม่าปลอดโปร่งแบบที่รื่นรมย์แน่ๆ และเมื่อใช้งานจนซึมซับได้ที่ สิ่งที่ได้ คือ

ถ้าเป็นการรำพึงรำพันก่อนเข้าสู่การจำแนกกลิ่น จะบอกว่าปลอดโปร่งสดชื่นก็ได้ แต่มันจะมีความเป็นกลิ่นอายสายไม้หอมโซนไม้สนเด่นนำเคล้ากลิ่นอาย Smoky ที่มีความหนาในเนื้อกลิ่นพอสมควร เลยทำให้มีความน่าค้นหาปนดาร์กในกลิ่นมาร่วมด้วยแบบที่ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสายอะโรม่าแบบที่แบรนด์ถนัดและทำได้ดีเช่นเดิม ซึ่งเมื่อแยกการถ่ายทอดกลิ่นก็เริ่มที่ช่วงต้นกับการเป็นกลิ่นอายแบบบรรยากาศที่มีไอหมอกเคล้ากลิ่นสมุนไพรที่จะมีความปร่าระเรื่อเย็นๆ ชื้นๆ โดยอย่างแรกที่จับต้องได้เลยคือ ไทม์ ที่จะมาให้ความเขียวสมุนไพรที่มีความปร่ากำลังดีแบบให้ความสดชื่น เคล้ากับกลิ่นเครื่องเทศแบบอ่อนๆ + กลิ่นอายแบบสร้างบรรยากาศที่ให้ความชื้นในเนื้อกลิ่น โดยมีกลิ่นไม้สนรองพื้นอยู่แบบจับต้องได้ อารมณ์เหมือนเดินเข้าสู่ป่ายามเช้าที่จะจับต้องไอเย็นจากความชื้นและไอหมอกเคล้ากลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรเจือเขียวที่ติดชะอุ่มและไม้หอมปร่าๆ ประมาณนั้นเลย

ช่วงแรกจะมาสร้างความน่าสนใจซักครู่ การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางก็ชัดเจนมากขึ้นเพราะกลิ่นไม้สนไซเปรสติดปร่าเย็นจะชัดเจนมากขึ้นจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นกันยาวๆ ไป เพียงแต่จะมีกลิ่นโทนสมุนไพรที่ตามมาจากช่วงต้นเคล้าอากาศเย็นๆ เป็นตัวอ้อยอิ่งล่องลอยรอบๆ เสริมให้รู้สึกสดชื่นอยู่ประปราย ซึ่งในช่วงนี้จะรู้สึกได้อย่างหนึ่งคือ กลิ่นไม้สนจะไม่ได้ปร่าสว่างนัก อารมณ์จะแบบไม้เก่าๆ ที่มียางไม้ปร่าๆ เคล้ากลิ่นเปลือกไม้ที่กึ่งชื้นกึ่งแห้ง มีกลิ่นอายของไม้ซีดาร์ที่ปร่าขรึมแกมอารมณ์กลิ่น Smoky เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกอะโรม่าสดชื่นผ่อนคลายก็จริง แต่มีความน่าค้นหาแกมดาร์กเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วยตลอด และทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นมาอีกหนึ่งเต็ปแต่ก็ไม่ได้ไปสายข้นหนัก อารมณ์แนวหยินหยางแบบกลิ่นหนาอยู่นะ แต่ก็เย็นๆ โปร่งอะโรม่าติดสดชื่นอยู่ ง่ายๆ สมดุลย์กันได้ดีนั่นแล ซึ่งเนื้อกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของยางไม้ที่ให้ความปร่ากึ่งไม้หอมแนวสนไพน์ติดไอควันเนียนๆ ที่เป็นลักษณะของ Frankincense ที่ให้ความรู้สึกขลังแนวๆ ธูป Incense นิ่งๆ อ้อยอิ่งที่จะมีกลิ่นเขียวออกทางหมึกติดเขียวเข้มของ Oak Moss มาเป็นตัวสร้างมิติกลิ่นที่ให้ความเป็นลักษณะแบบ Earthy ผืนป่าคลอ แต่กลิ่นโทนชื้นๆ จะเริ่มหายไป เพราะกลิ่นโทนไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝกจะเสริมเข้ามาสร้างออร่าของความเป็นโทนไม้หอมที่โดดเด่นมากขึ้น ซึ่งยังมีไม้ซีดาร์ที่ให้ความขรึมเจือนิ่งโปร่งอยู่ และแกล้มด้วยไม้สนไซเปรสที่ตามมาจากช่วงกลาง ทำให้ช่วงนี้จะเป็นลักษณะแบบไม้หอมแห้งๆ ที่มีมิติกลิ่นน่าค้นหาปนอะโรม่ากลิ่นไม้ โดยจะได้เลเยอร์การดมกลิ่นไม้หอมจากไม้แห้งๆ ชัดๆ และมีความ Smoky Incense ที่กลั้วอยู่ด้วยตลอด สู่ปลายกลิ่นที่จะติดไม้สนปร่าดึงดูดแบบนิ่งๆ ที่มีชั้นเชิงและมีความเรียบหรูเข้าทางโทนธรรมชาติได้อย่างลงตัวและมีความน่าสนใจมากเกินคาดไปจากที่คิดไว้ว่าจะเป็นกลิ่นป่าปลอดโปร่งไปมากเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ตามที่แบรนด์ลงไว้ก็จริง แต่ค่อนไปทางผู้ชายถึง 70% ได้เลย เพราะกลิ่นในช่วงท้ายจะเป็น Woody ไม้หอมขรึมๆ เลยจะเข้าทางผู้ชายมากกว่าผู้หญิงพอสมควร แต่ถ้าสาวๆ ไม่มายด์ก็จัดไป ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นให้ความน่าค้นหาในความปร่าเย็นได้ดีมาก จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ได้อยู่แบบกล้อมแกล้มเออออ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความน่าค้นหากึ่งอะโรม่าแบบทั่วๆ ไปหรือจะโรแมนติคหน่อยๆ น่าจะดีที่สุด เพราะกลิ่นนี้ไม่เข้ากับการใส่ไปท่องราตรีเท่าไหร่ โดนกลบแน่นอน

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. กำลังดีเลย อาจจะมีบวกลบบ้างราว 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาที่ปานกลางซักครู่ แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ จนเมื่อพ้นไปซัก 6-8 ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เนื้อกลิ่นมีความเป็นการจำลองสถานการณ์ตามจินตนาการชัดเจน เพราะกลิ่นแตะความดาร์กและน่าค้นหาในลูกเล่นโทนไม้หอมติด Smoky ได้อย่างดีมาก เลยสร้างอะโรม่าติดขรึมอยู่ตลอดเลย แต่ก็ไม่ทิ้งกลิ่นอายธรรมชาติที่ควรจะเป็นในลักษณะป่าแบบญี่ปุ่นที่ให้ความปลอดโปร่งและนิ่งสงบเยือกเย็น เช่นนั้น บอกง่ายๆ เลยว่า กลิ่นนี้ให้ความสมดุลย์หยินหยางในสายไม้หอมที่ดีมากอีกหนึ่งกลิ่น แต่จะสร้างความรู้สึกถึงความตื่นเต้นจนทำให้มีกระตุ้นจนมีพลังไหม อันนี้แล้วแต่คน แต่ส่วนผู้เขียนกระตุ้นก็จริง แต่กระตุ้นให้เกิดความผ่อนคลายและนิ่งสงบปนสดชื่นเสียมากกว่า

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.issue.ink/post/this-is-therapy-in-a-bottle

 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Lush - Grass

Lush - Grass

เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย” ว่ามีน้ำหอมอยู่หนึ่งกลิ่นที่สร้างสรรค์ความเป็นกลิ่นหญ้าได้แบบแท้ทรูมากมายก่ายกอง ราวกับเรานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนกองหญ้าสดแกมแห้งที่พึ่งตัด แถมแบรนด์ที่สร้างสรรค์ยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทำน้ำหอมสายเก๋ต่างๆ มากมายอย่าง Lush เสียด้วย แน่นอนว่าเราไม่พลาด เพราะกลิ่นเขียวหญ้ามันทำให้รู้สึกสดชื่นและอะโรม่าผ่อนคลายแบบที่เกิดความสุขได้โดยที่ไม่ต้องปีนบันได้ดม เช่นนั้นก็ต้องไปจัดซักหน่อยเพื่อพิสูจน์และเอาความสุขในการครอบครองมาเพิ่มเติม (แม้ว่าจะทุกข์กระเป๋าเงินภายหลังก็ตาม ^^”)  

ซึ่งนั่นก็คือรุ่น Grass และบทสรุปของการใช้งานก็ออกมาแบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นมาก็ร้องว่า “โอ้โห” กันแบบเต็มๆ เพราะ มันคือ กลิ่นหญ้าสดแบบชัดๆ มาเต็ม เขียวฟุ้งคมสด อารมณ์หญ้าตัดใหม่ที่เข้มข้นมาเลยหรือจะเป็นหญ้าปั่นสดๆ มาก็ได้ หรือจะเป็นช่วงหญ้าสดถูกตัดใหม่กองเป็นภูเขาแล้วเราไปนอนกลิ้งในนั้น หรือนอนให้กองหญ้าสดตัดใหม่ทับเล่นๆ ซึ่งจะจับได้ทุกอณูองศาของความเป็นหญ้าที่นอกจากความเขียวสดชื่นฟุ้งๆ แล้วจะได้อารมณ์แบบติดยางเขียวๆ ตามธรรมชาติอารมณ์แบบเราขยี้หญ้าแบบข้นๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นเปิดสามารถบ่งบอก Concept หลักและหัวใจหลักของน้ำหอมกลิ่นนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ

เมื่อความเข้มข้นในช่วงต้นเริ่มค่อยๆ จางลง โดยที่ไม่ได้ทิ้งความเป็นตัวหลักของน้ำหอมลงไป นั่นก็คือ กลิ่นหญ้าที่ยังคงคุมโทนเด่นอยู่ เพียงแต่จะได้อารมณ์กลิ่นหญ้าฟุ้งเขียวที่ไม่ได้คมชัดแบบตอนแรก แต่จะเริ่มมีกลิ่นอายบรรยากาศเข้ามาเสริม ซึ่งจะมีลักษณะของโทน Citrus ที่ติดทางกึ่งเปรี้ยวขมที่สร้างบรรยากาศสดชื่นอย่างมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แกมด้วยกลิ่นดอกส้มติดเขียวเปรี้ยวของ Neroli ที่มาลดทอนความเขียวคมในตอนแรกลงมาเป็นสเต็ปที่ 1 ตามด้วยการตัดทอนให้กลิ่นมีความสมดุลย์มากขึ้นจากโทนเขียวโปร่งหวานเจือแป้งหน่อยๆ ที่มีความอะโรม่าของดอกไวโอเล็ต กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบกลิ่นหญ้าเขียวติดโปร่งสดชื่นมีความสะอาดเรียบหรูคลอไปตลอด อารมณ์แบบกลิ่นหญ้าตัดใหม่ที่ลอยฟุ้งตามอากาศมาคลอกับกลิ่นอากาศยามเช้าที่ยังมีพื้นฐานของความเป็นโทนเขียวสดชื่นติดสะอาดเจือหวานปลายกลิ่น ซึ่งจะจับต้องได้หน่อยๆ ด้วยซ้ำว่ามีโทนไม้หอมติดนวลจืดหน่อยๆ ที่เนียนๆ อยู่ และก็มาเริ่มชัดเอาตอนช่วงรอยต่อระหว่างกลางกับท้าย ที่จะจับต้องได้ถึงความเป็นไม้จันทน์หอมที่มีความนวลติดไม้เฉพาะตัวที่กลายเป็นตัวที่เริ่มแย่งซีน รวมถึงกลิ่นมีโทนอบอุ่นหน่อยๆ ให้จับต้องได้ลักษณะคล้ายโทนแอมเบอร์ติดแปร่งไม้นิดๆ เสียด้วย เลยทำให้ความเขียวเริ่มมีมิติอื่นๆ เข้ามา ก่อนส่งต่อในการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวแบบที่ความเป็นโทนกลิ่นหญ้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแต่ยังมีความเขียวสดชื่นตามสไตล์ประปรายอยู่ให้รับรู้ได้ แต่กลิ่นของหญ้าเองจะมีความแห้งจนเข้าโทนลักษณะของ Hay (หญ้าแห้ง) เข้ามาร่วมด้วยพอสมควรเลย ซึ่งจะมีโทนกลิ่นออกทางสมุนไพรแห้งติดเขียวเจือหวานสบายๆ คลอร่วมด้วยไปตลอด ซึ่งพอดมเข้าไปใกล้ๆ จะสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความอบอุ่นคลอผิวรองพื้นอยู่กับกลิ่นโทนไม้จันทน์หอมกึ่งแอมเบอร์หน่อยๆ ที่ให้มิติสอดรับกับโทนแห้งของหญ้ากึ่งสมุนไพรได้ดีเลยทีเดียว อารมณ์กลิ่นเลยจะได้ความอะโรม่าของหญ้าที่ค่อนมาทางแห้งเคล้ากลิ่นอายอบอุ่นแบบผิวกายเคล้าโทนไม้หอมที่ให้ความผ่อนคลายสบายใจและเรื่อยๆ มาเรียงๆ กันไปเรื่อยๆ จนจางไปตามกาลเวลา

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีความกลางมากมายและเป็นกลิ่นที่แทบทุกคนต้องผ่านมาแล้วในชีวิตอย่างแน่นอน ซึ่งจะได้ทั้งความสดชื่นเขียวจัดเต็ม ตามด้วยสดชื่นติดเรียบหรูสบายๆ และความอบอุ่นเจือเขียวค่อนแห้งของหญ้าได้รื่นรมย์ เลยทำให้กลิ่นใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เรียกว่าครอบจักรวาลมากๆ ในการใช้งาน เพียงแต่จะไม่ได้ง่ายนักตามประสา Lush เพราะกลิ่นนี้พื้นฐานคนต้องชอบกลิ่นเขียวด้วยจะอินและไปได้ด้วยกันอย่างดี ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อความสดชื่นวันอากาศร้อนๆ จะดีกว่า เพราะใส่ไปท่องราตรีบอกเลยว่าไม่ได้ยั่วยวนตรงไหนเลย และเกรงว่าจะโดนแซวด้วยซ้ำว่าไปตัดหญ้าก่อนมาเที่ยวหรือยังไง อาการมันเป็นอย่างไรไหนเล่ามาสิ แบบนี้เลย  

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายมาๆ และไปต่อได้อีกที่ราวๆ 10 ชม. ได้เลย

การกระจาย - ดีมากเลยในช่วงแรก อารมณ์แบบหญ้ามาเต็มยัดเข้าจมูกกันเลยทีเดียว ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางไปนานพอสมควรแล้วจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นไปซัก 6 - 8 ชม. ก็เป็น Skin Scent   

สรุป - หนึ่งในกลิ่นหญ้าที่มีความชัดเจนมากถึงมากที่สุด สื่อสารถึงความเป็นหญ้าได้แบบทุกสโตรกของการดมกลิ่นเลย ตั้งแต่เข้มข้น สู่รื่นรมย์ และผ่อนคลายปิดท้าย ต้องยอมเขาจริงๆ ที่ถอดกลิ่นความเป็นธรรมชาติของหญ้าออกมาได้อย่างหมดจดมากๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://th.lush.com/products/perfume-library/grass

 

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Sonoma Scent Studio - Lieu de Reves

Sonoma Scent Studio - Lieu de Reves

เมื่อแบรนด์อินดี้จาก USA อย่าง Sonoma Scent Studio ที่สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และมีระดับมากๆ จากเจ้าของแบรนด์ควบตำแหน่งสุคนธกรอย่าง Laurie Erickson ได้ประกาศปิดตัวลงไปราวๆ ปี 2019 เพราะด้วยเหตุผลทางธุรกิจและอายุที่มากขึ้นของสุคนธกรเองที่ต้องการปลดระวาง ภายในปีนั้นจึงได้มีคนที่สนใจมารับช่วงในการทำให้ Sonoma Scent Studio ส่งต่อกลิ่นอายที่ยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง โดยการนำของเดิมที่เป็นกลิ่นที่โดดเด่นต่างๆ มาทำต่อ และยังคงความดีงามของเนื้อกลิ่น โดยได้รับความนิยมเสมอต้นเสมอปลายจนถึงตอนนี้

แต่ใช่ว่าจะมีน้ำหอมที่ได้ไปต่อทุกรุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีรุ่นหนึ่งที่สุคนธกรเดิมได้ทำออกมาเป็นล็อตการผลิตเดียว ขายหมดก็จบไปอยู่ ก่อนที่จะมีการนำไป Adapt แล้วกลายเป็นกลิ่นใหม่แบบที่ยังมีลายเซ็นเดิม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Lieu de Reves ที่แปลออกมาได้ว่า “ดินแดนในฝัน” แน่นอนว่ากลิ่นนี้จะหายากเพราะเลิกผลิตไปนานแล้ว เช่นนั้นเลยต้องมาบรรยายกันซะหน่อยว่ากลิ่นเป็นลักษณะไหน เผื่อในอนาคตแบรนด์จะนำกลับมาอีกครั้งจะได้จับจองได้ทัน

ดินแดนในฝันของ Sonoma Scent Studio จะมี Concept หลักเลยคือ โทนแป้ง เพราะจะชูโรงการเป็นโทนแป้งหอมงามๆ ที่เล่นโทน Notes กลิ่นต่างๆ ที่เป็นตัวหลักของโทนแป้งทั้งหมดมารวมกันได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งกลิ่นเปิดจะให้อารมณ์ของการเป็นดอกไวโอเล็ตที่ให้โทนเขียวอมหวานโปร่งและมีความเป็นธรรมชาติเกินคาด เพราะเนื้อกลิ่นจะได้ลักษณะแบบเขียวติดชื้นๆ มีความหวานโปร่งเนียนๆ อยู่ ซึ่งจะยังไม่ได้ถึงกับเข้าโทนแป้งเต็มๆ นัก ที่สำคัญแอบจับได้ว่ามีโทน Aldehydes ที่ทำให้กลิ่นช่วงต้นจะพุ่งฟุ้งแบบเนียนๆ คลออยู่ด้วย แต่พอผ่านไปไม่เกิน 2 นาที เนื้อกลิ่นจะปรับสภาพเป็นโทนแป้งหอมหวานเขียวโปร่งระเรื่อกำลังดี เสริมด้วยกลิ่นกุหลาบที่ให้ความหวานเย้าเบาๆ ที่มีเสน่ห์สร้างออร่าแป้งหอมกุหลาบที่มีความเรียบหรูมาเลยทีเดียว และไม่ได้จบแค่นี้เพราะเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะได้อารมณ์แบบแป้งติดวานิลลามีอารมณ์ผสมอัลมอนด์หน่อยๆ ที่เป็นลูกผสมระหว่างโทน Soft Vanilla กับดอกเฮลิโอโทรเป้ ซึ่งโทนนี้แหละจะเป็นตัวหลักที่อยู่กันยาวๆ จนถึวช่วงท้ายของน้ำหอมเลย

การปรับเปลี่ยนโทนในหารเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มมีความเป็นกลิ่นอายโทนแป้งมากขึ้นอีก 1 สเต็ป แต่ก็ไม่ได้หนักข้นเกินไป เพราะจะมีกลิ่นอายของดอกไอริสที่ให้โทนแป้งติดทึบอ่อนๆ อารมณ์แบบแป้งฝุ่นที่มีความหอมหวานบางๆ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้รับมิติที่ครบถ้วนของการเป็นโทนแป้งทั้งแป้งหอมหวานโปร่งจากดอกไวโอเล็ต แป้งติดทึบอ่อนๆ สไตล์แป้งฝุ่นเจอดอกไม้ของไอริส แป้งหอมอบอุ่นของวานิลลาเบาๆ และแป้งหวานนวลอวลอ่อนๆ ติดอัลมอนด์กำลังดีของเฮลิโอโทรเป้ ที่ทุกอย่างจะเป็นเลเยอร์ซ้อนกันได้อย่างดีงาม แต่จะมีตัวเสริมที่ดีอย่างกุหลาบที่ให้ความหวานโรแมนติคอ่อนๆ โทนไม้หอมที่ให้ความโปร่งขรึมกำลังดีจากไม้ซีดาร์ ทำให้กลิ่นที่นอกจากจะเป็นโทนแป้งไล่เลเยอร์และมิติกลิ่นในการดมที่ดีแล้วยังมีลูกเล่นกลิ่นกุหลายและไม้หอมที่สร้างโทนสว่างและผ่อนคลายเข้ามาร่วมด้วย จนเมื่อกลิ่นต่างๆ เริ่มผสมผสานกันอย่างเข้าที โทนแป้งตัวสุดท้ายจะเริ่มเปิดตัวออกมาแบบเนียนๆ นั่นคือ Musk ที่จะมีอารมณ์แบบแป้งติด Animalic เบาๆ ที่มีเจอกับถั่วตองก้าที่เสริมให้โทนแป้งของวานิลลามีความครีมมี่ขึ้นมาอีกนิด ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เลเยอร์การได้รับกลิ่นจะเป็นเป็นแป้ง Soft Vanilla ที่มีอัลมอนด์อ่อนๆ แบบเฮลิโอโทรเป้ ที่มีกลิ่นโทนแป้งฝุ่นดอกไม้อ่อนๆ ของไอริสฉาบหน้า เคล้ากับกลิ่นติดไม้แห้งเจือโทนหญ้าบางๆ จากหญ้าแฝกที่เปิดตัวออกมาให้จับต้องได้ด้วยหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นคลออยู่ให้รู้สึกได้ และเข้าทางลักษณะ Woody Powdery กลั้วกันไปมาระหว่างแป้งหอมและไม้หอมที่ชัดเจนขึ้น โดยที่เนื้อกลิ่นยังมีโทนสว่างขาวนวลอยู่เพียงแต่จะมีมิติที่มีโทนเย้า Animalic แฝงเคล้ากลิ่นแห้งๆ ของไม้อยู่ตลอด ซึ่งกลิ่นจะให้ความรื่นรมย์เรียบหรูก็ได้ ให้ความเย้ายวนเนียนๆ ก็ดี โดยที่คงความมีระดับในการเป็นโทนแป้งระเรื่อๆ ที่มีชั้นเชิงอยู่ตลอดจนกว่าจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะเนื้อกลิ่นชัดเจนถึงความ Feminine กันเต็มๆ โดยอย่างน้อยถ้าผ่านกลิ่นโทนแป้งมาก่อนบ้างหรือชอบโทนแป้งหอมอยู่เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงกลิ่นนี้และอาจจะรักไปเลย เพราะกลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็นของโทนแป้งจริงๆ เลยสร้างความเรียบหรูมีเสน่ห์เป็นสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่จะไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก ส่วนยามค่ำคืนจะใส่ออกงานก็ได้เลย เพียงแต่จะไม่ได้เน้นปล่อยพลัง หรือจะใส่แบบทั่วๆ ไปก็ย่อมได้ แต่ให้ตัดทิ้งการใส่เพื่อท่องราตรีเน้นยั่วยวนไปได้เลย กลิ่นเบาเกินไปในการไปสู่กับของหนักปล่อยพลังทั้งหลาย 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยสูงสุดที่เคยเจอก็ 8 ชม. กำลังดี มียืดออกไปนิดหน่อย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้นก่อน แล้วจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ กันยาวๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายถึงเปลี่ยนเป็น Skin Scent เต็มๆ แบบที่กลิ่นจะตีขึ้นอ่อนๆ ยามขยับตัว ง่ายๆ กลิ่นนี้มาสายเบาๆ เน้นเรียบหรูมากกว่าจะปล่อยพลัง  

สรุป - หนึ่งในกลิ่นโทนแป้งที่แบรนด์ทำออกมาได้เป็นธรรมชาติมาก สื่อสารเลเยอร์โทนแป้งในแต่ละมิติเสริมเข้ามารับช่วงต่อสร้างความเพลิดเพลินในการดมกลิ่นได้เป็นอย่างดีและมีความสมดุลย์มาก เสียดายที่เลิกผลิต และแถมตัวที่ไป Adapt ต่อเองอย่างรุ่น To Dream ก็เลิกผลิตเช่นกัน ไปใช้กลิ่นโทนใกล้กันแต่กลิ่นนิ่งเศร้ากว่าอย่าง Guerlain - L’Heure Bleue EDP แทนก็แล้วกันเนาะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Sonoma-Scent-Studio/Lieu-de-Reves-5646.html

 

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Montale - Velvet Fantasy

Montale - Velvet Fantasy

สีขวดที่สะดุดตาแดงชมพูมาเชียวกับน้ำหอมใหม่ประจำปี 2020 ของ Montale ที่ไม่ใช่สาย Oud หรือไม้กฤษณา โดยมาเน้นที่ความเป็นกลิ่นอายสาย Velvet หรือพลิ้วไหวและสวยเนียนดุจกำมะหยี่ ซึ่งแน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์สูงมากในการที่จะเอาใจผู้ใช้ฝ่ายหญิง เช่นนั้นความเป็น Velvet ที่แบรนด์นี้เคยสร้างสรรค์มาแล้วทั้งในสาย Oud และสายดอกไม้ (ที่ยังไม่ได้ผ่านการลอง ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันอีกที) คราวนี้เราจะมาตื่นตาตื่นจมูกกันกับการเป็น Velvet Fantasy บ้าง

และกลิ่นจะเป็นอย่างไร ว่ากันได้แบบนี้เลย

Top Notes มากันแบบชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายที่เข้าทางสาย Feminine หรือสาวๆ ค่อนข้างชัดเจนกับการเป็นโทนแบบผลไม้สายเบอร์รี่แกล้มไปกับสาย Citrus ที่เหมือนส้มและเลมอนที่จะมีความเปรี้ยวติดหวาน และบางวูบจะจับได้ถึงกลิ่นคล้ายแอบเปิ้ลเขียวที่ให้ความเปรี้ยวค่อนมาทางผลไม้ที่เป็นตัวเชื่อมโทนที่ดีระหว่าง Citrus และเบอร์รี่ แต่ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้มาแบบใสๆ เพราะจะมีกลิ่นติดโทนครีมมี่หน่อยๆ เข้าโทนออกทางจะไปสายขนมเสริมและสนับสนุนอยู่ อารมณ์เลยจะได้กลิ่นแบบมีจริตและมีเสน่ห์แบบติดอวลเย้าที่ไม่ได้สร้างอารมณ์ใสๆ เลย แต่ให้ความเป็นสีแดงที่ติดกรุยกรายและมีเสน่ห์และ Sex Appeal ที่ดึงดูดเสียมากว่า 

Middle Notes การเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดตรงที่อารมณ์กลิ่นจะได้ลักษณะแบบลูกอมเบอร์รี่ติดครีมมี่เบาๆ เพราะจะมีกลิ่นติดหวานโปร่งเข้าทางโทนแป้งของดอกไวโอเล็ตที่เข้ามาผสมผสานอย่างสมดุลย์และไม่ดึงซีนแต่อย่างใด ให้พื้นฐานของการเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีให้กลิ่นมีลูกเล่นโทนสีแดงที่มีความนวลหวานเข้ามาร่วมด้วย และที่สำคัญจะเริ่มมีเฉดกลิ่นออกทางสีชมพูอย่างกุหลาบเข้ามาร่วมด้วย ช่วงกลางอารมณ์กลิ่นเลยจะเป็นลูกครึ่งระหว่างโทนออกทางลูกอมครีมมี่ติดเปรี้ยวเบอร์รี่เคล้ากุหลาบที่แน่นอนว่ามีความอวลในเนื้อกลิ่นชัด แตะความเป็นโทน Gourmand ที่ชัดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หวานเยิ้มหนักแน่นหน่วงอต่อย่างใด ให้ความสมดุลย์กำลังดีในการปล่อยพลังเฉดสีแดงแกมชมพูที่กรุยกรายแทน

Base Notes จะเป็นการเปลี่ยนโทนที่ค่อนข้างชัดเลย เพราะกลิ่นจากช่วงกลางจะเริ่มเฟดตัวเองมาเป็นสายสนับสนุน ให้กลิ่นโทนออกทางอบอุ่นแนววานิลลาที่เจือกลิ่นยางไม้อบอุ่นแนวแอมเบอร์ แต่ก็มีความนวลของ Musk ที่มารองพื้นเคล้ากลิ่นออกทางสารหอมแนวๆ ไม้หอมติด Smoky ที่ได้อารมณ์แนว Amberwood เจือกลิ่นสายควันเข้ามาสร้างความน่าค้นหาคลอผิวอยู่ ซึ่งแน่นอนกลิ่นจะให้ความอบอุ่นเป็นหลักและมีความอวลต่อจากช่วงกลางที่คงที่พอสมควร โดยที่อารมณ์กลิ่นสายผลไม้เบอร์รี่แคนดี้ติดครีมมี่จะเบาลงมาให้จับได้ปลายกลิ่น และยังทิ้งลายเซ็นกลิ่นอายสีแดงปนชมพูอยู่เหมือนเดิม แน่นอนว่ากลิ่นจะให้ความอวลติดหรูหรา และมีจริตที่ให้อารมณ์ผู้หญิงเจ้าเสน่ห์ติดกรุยกรายแบบดูนิ่งๆ มาเงียบๆ แต่เรียกเรตติ้งได้ดีและเอาอยู่ได้ชัดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นไม่ไดมาสายใสๆ วัยสะออนนัก แม้จะมีลูกเล่นอารมณ์ผลไม้เบอร์รี่ก็ตาม แต่จะเป็นตัวเสริมที่สร้างความเป็นโทนสีแดงให้ความเจ้าเสน่ห์แทน ซึ่งจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบใส่ออกงาน ใส่ทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน ส่วนยามทางการอาจจะกรองก่อนว่ากลิ่นมันจะดูโปรยเสน่ห์มากไปหรือเปล่าอีกที ที่สำคัญตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางทุกประการ แต่ยามค่ำคืนบอกเลยว่าถ้าสเปรย์ลงตัวสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นได้ดีมาก แถมสามารถใส่ออกงาน ปาร์ตี้ งานกาล่า หรือว่าท่องราตรีได้เลยเพราะกลิ่นเสริมเสน่ห์เย้ายวนแกมหรูหราได้ลงตัว 

ความทน - 12 ชม. คือพื้นฐาน และไปต่อได้อีกนานเลยจนถึง 15 ชม. ได้สบายมาก โดยส่วนตัวเจอข้ามคืนเลยทีเดียวแม้จะอาบน้ำด้วยสบู่ที่ชะล้างได้ดีก็ตาม กลิ่นยังตรึงผิวกันยาวจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเลย  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยพลังหนักหน่วงแบบสาย Oud ของแบรนด์ขนาดนั้น ให้ความกระจายดีมากแบบมีชั้นเชิงมากกว่าและคงตัวกันยาวๆ จนถึงปลายๆ ช่วงกลางเลย แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวหลังผ่าน 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ถ้ามองว่ากลิ่นมันมาสายทรงพลังแบบโซน Oud ไหม? อันนี้ไม่ใช่ ไม่ได้มาแบบปล่อยพลังบอลเกงกิรอบทิศขนาดนั้น แต่จะให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์สะดุดจมูกเสียมากกว่าและให้ความเป็นกลิ่นอายสร้างโทนสีแดงแกมชมพูได้ค่อนข้างชัด อาจจะไม่ได้หวือหวาเพราะกลิ่นมีความเป็นสไตล์ Designer อยู่บ้าง แต่ก็ยังคุมโทนความดีงามของ Montale ที่ความทนจัดจ้านและมีความอวลเสน่ห์เสมอต้นเสมอปลาย อ้อ และเพิ่มด้วยว่ากลิ่นทันสมัยเข้าเทรนด์แบบใช้แล้วไม่เอาท์ได้ดีเลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.perfumemaster.com/montale/velvet-fantasy-womens-perfume

 

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563

Review: Montale - Oud Tobacco

Montale - Oud Tobacco

ความแดงแรงฤทธิ์ของสีขวดพร้อมกับการชูโรงกลิ่น Oud ที่เป็น Note ชูโรงหลักของแบรนด์ Montale ที่ปล่อยออกมาตลอด ปล่อยทุกปี ไม่มีคำว่ายั้ง และในปี 2020 นอกจากรุ่นขวดลายสวยผงาดอย่าง Oudrising แล้ว ยังมีการจับคู่เอา Oud มาเจอกับ Note กลิ่นอื่นด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ยาสูบ (Tobacco) ซึ่งกลิ่นจะมีความน่าสนใจอย่างไรและพร้อมปูทางการสร้าง Impact ให้กับสาย Oud ของแบรนด์หรือไม่?

ได้เวลามาลองกันหน่อยแล้วกับรุ่นนี้เลย Oud Tobacco

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่า “เกินคาด” เพราะว่าเนื้อกลิ่นมีความหอมที่ติดออกทางโทนผลไม้แนวเชอร์รี่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นยาแก้ไอ เพราะมีความปร่าหอมเปรี้ยวอมหวานค่อนมาทางสาย Citrus ที่มีความอวลๆ ติดสีแดงในความรู้สึกออกมาค่อนข้างชัด ซึ่งดูจาก Note กลิ่นน่าจะใช่เลยนั่นก็คือ Sumac (เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ให้โทนสีแดงและกลิ่นอายออกทางเปรี้ยวหอมอวล) รวมถึงมีความซ่าเบาๆ ติดขมปนเปรี้ยวเจือจากกลิ่นอายสาย Citrus ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) รวมถึงกลิ่นอายสายเปรี้ยวที่เสริมความหวานปลายกลิ่นอย่างเลมอนที่เข้ามาร่วมด้วย แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะอารมณ์กลิ่นจะมีลูกผสมที่เนียนเสริมอยู่ด้านหลังอย่างดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่จะให้ความอวลนวลเปรี้ยวหอมอมหวานเสริมเข้ามาอีกอย่างมีชั้นเชิง และมีกลิ่นออกทาง Dirty ติดสาบเหงื่อนิดๆ อารมณ์ Animalic หน่อยๆ ปนหวานจากกลิ่นยี่หร่าเข้ามาเนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงเปิดทั้งหมดราวๆ 10 นาที เป็นช่วงที่สร้างอารมณ์กลิ่นสีแดงอวลได้อย่างมีเสน่ห์มาก ตรงกับคำว่า “เกินคาด” ที่บอกไว้ตอนต้นเลย เพราะอารมณ์กลิ่นแบบที่มักจะ Oud จัดจ้านมาเต็มตั้งแต่ช่วงเปิดของ Montale จะไม่มีมาให้รู้สึกแต่อย่างใด กลิ่นเลย Modern ขึ้นมากจริงๆ

และการเปลี่ยนแปลงก็จะเริ่มมีให้จับต้องได้ในการเดินเข้าสู่ช่วงกลางเพราะกลิ่นของ Sumac และดอกส้มจะเริ่มมีความอวลมากขึ้น แอบมีโทนกลิ่นออกทางอบอุ่นหน่อยๆ คล้ายวานิลลาเข้ามาเนียนผสมอยู่ด้วยเลยทำให้อารมณ์สีแดงความครีมนวลอบอวลเปรี้ยวหอมอมหวานชัดเจนเลย และมีลูกเล่นกลิ่นอายไม้หอมที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก แต่ให้ความอวลลึกเข้ามาอย่างมีชั้นเชิงแบบที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็น Oud หรือไม้กฤษณา และมีมิติปลายกลิ่นที่ออกทางโทนธูป Incense หน่อยๆ ที่จะไม่ได้มาแบบหนักหน่วงจนแย่งซีน แต่จะมาแบบสาย Support ที่ให้ความอวลลึกปนควันไม้แบบมีเสน่ห์ดึงดูดและเซ็กซี่แบบเนียนๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงนี้เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นการไล่เลเยอร์กลิ่นที่มีความซับซ้อนกำลังดีปะปนกันอยู่ โดยที่เมนหลักของกลิ่นจะเป็นโทนเปรี้ยวอมหวานนวลปนครีมมี่ที่ให้สีแดงซ้อนกับกลิ่นอวลลึกติดไม้ดาร์กปนควันนิดๆ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่รู้สึกว่า “เกินคาด” ในเรื่องของกลิ่นที่สร้างความน่าสนใจและเรียกร้องความสนใจได้ดีเลยทีเดียว

เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นยาสูบที่ให้ความหวานโปร่งแต่ติดควันไหม้อารมณ์คล้ายบุหรี่นิดๆ ที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาเรื่อยๆ จนเป็นตัวพลิกเกมมาเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่โทนหอมเปรี้ยวอวลอมหวานของดอกส้มและ Sumac จะเบาลงเหลือบางๆ แต่จะให้กลิ่น Oud แบบติดควัน หรือจะเรียกว่ากลิ่นควันที่ได้จากการเผาไม้กฤษณาที่มาแบบกลางๆ สมดุลย์จะเป็นเมนหลักในการเดินกลิ่นแบบพลิกโทนเนียนๆ ไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าลายเซ็นแบบ Montale มาแล้ว แต่ไม่ได้มาแบบอวลหนักหน่วงแบบสายตะวันออกกลางจ๋าขนาดนั้น แต่ให้อารมณ์อวลโปร่งควันระเรื่อจมูกที่มีเสน่ห์และความเย้ายวนแบบสายไม้หอมที่มีความดาร์กหน่อยๆ มีกลิ่นควันยาสูบอ้อยอิ่งอย่างมีชั้นเชิงเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย (บางวูบทำให้นึกถึง Tom Ford - Tobacco Oud แบบที่เข้มอวลและควันชัดเจนมากขึ้น) โดยกลิ่นที่รองพื้นจะมีความครีมมี่อ่อนๆ ติดแป้งวานิลลาเล็กๆ ปนเขียวหญ้าแห้งบางๆ ของถั่วตองก้ามาสอดรับให้กลิ่นมีความอวลตรึงหวานติดเปรี้ยวปลายกลิ่นที่มีหลงเหลืออยู่จากช่วงกลางเบาๆ กำลังดี ทำให้ความรู้สึกจะไล่เรียงความมีเสน่ห์ดึงดูดที่มีความดาร์กเย้าของควันไม้เนียนๆ ล่อลวงกำลังดี ต่อด้วยควันยาสูบที่ให้ความเร้าใจ แล้วความอวลนวลที่ให้ความเซ็กซีอบอุ่นปิดท้ายการเป็น Oud Tobacco ได้น่าสนใจไม่พอ ความ “เกินคาด” ในด้านดีก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยมเช่นเดิม     

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่สมดุลย์ได้ดีเลยทีเดียวระหว่างการตีคู่กลิ่นที่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยที่สร้างโทนสีแดงได้อวลนวลปนควันไอไม้กฤษณาได้งามเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกับอากาศบ้านเรา ถ้าจำนวนสเปรย์หนักมือ ก็บอกเลยว่ามีจุก เพราะ Montale เป็นสายปล่อยพลังอยู่แล้ว ซึ่งกลิ่นจะใส่ยามทางการก็ได้ (แต่เลือกหน่อยก็ดี เพราะถ้าทางการจัดๆ มันอาจจะดูปล่อยเสน่ห์เกินไป) ใส่แบบ Smart Casual ก็แบบว่าเข้าทาง หรือใส่แบบทั่วๆ ไปก็ได้เลยกลิ่นมีเสน่ห์ชัดเจน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ กับออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงาน ใส่ไปท่องราตรี จัดไป ยังไงก็เด่นและรอดสูงมาก

ความทน - ดีงามมากกกกก กับ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้ถึง 24 ชม. แบบอาบน้ำไปแล้ว 2 รอบ กลิ่นก็ติดผิวลึกๆ อยู่เลย เรียกว่า “ทนหายห่วง” เลยก็แล้วกัน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ชัดเจน ฟุ้งทั้งห้องและคงอยู่ในห้องนั้นได้อีกราว 10 นาทีเลย เลยแม้ตัวจะออกไปจากห้องนั้นแล้ว แล้วกลิ่นจะลดลงมาที่กระจายปานกลางแบบคงความเสถียรไปเรื่อยๆ จนผ่านไปซัก 8 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป

สรุป - Oud Tobacco ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานใหม่ของแบรนด์ที่ต่อยอดความเป็น Montale สาย Oud โดยให้ทิศทางใหม่ๆ เข้ามาให้จับต้องได้ชัดมากขึ้น โดยที่ลดทอนความเป็น Oud แบบอวลลึกออกทางยาเนื้อไม้เข้มๆ เล่นเอาความอาระเบียนมาเต็มตั้งแต่แรกที่เป็นลายเซ็นอันจัดจ้าน มาเป็นลูกผสมที่ดีสร้างออร่าความดึงดูดที่ให้เสน่ห์เนียนเฉพาะออกมาอย่างเกินคาดแทน เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ลองแล้วก็ต้องยกให้เลยว่าลงตัวและมีเสน่ห์มาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.profumeriagini.it/prodotto/oud-tobacco/