วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: 1907 - Pepper

1907 - Pepper

ในช่วงที่มีการเปิดตัวแบรนด์และวางจำหน่ายน้ำหอมใหม่ๆ ของ 1907 น้ำหอมส่วนใหญ่จะเป็นการเจาะจงไปที่การนำเสนอกลิ่น Note กลิ่นหลักๆ แบบตรงไปตรงมา เช่น Cedar, Vanilla, Jasmine และอื่นๆ มาแบบเดียวกับการชูโรงกลิ่นสไตล์ Exclusive Collection หรือว่า Niche Perfume ในหลายๆ แบรนด์ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้ จะมีการปรับเปลี่ยน Collection น้ำหอมใหม่หมด ปรับความเข้มข้น และปรับเปลี่ยนรูปทรงขวดให้สวยงามมากขึ้น ทำให้กลุ่มที่เป็นชื่อกลิ่นแบบ Note เดี่ยวๆ ได้ไปต่อเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น เช่นนั้น แน่นอนว่าส่วนใหญ่เลิกผลิตไปโดยปริยาย

เช่นนั้นเมื่อหลายกลิ่นเลิกผลิต เช่นนั้นต้องเอามาเล่ากลิ่นซักหน่อย เพราะเป็นสารบัญเก็บไว้ด้วยส่วนหนึ่ง เช่นนั้น จึงขอมาว่ากันที่กลิ่น Pepper ที่แบรนด์นี้ได้เคยสร้างสรรค์มาซักหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไรบ้าง (สำหรับกลิ่นอื่นๆ ที่เลิกผลิตไว้ว่ากันภายหลัง)

เปิดต้นกลิ่นมาก็ Pepper สมชื่อ เพราะว่าเนื้อกลิ่นในความเป็นโทนเผ็ดนวลของพริกไทยจะยืนเด่นเป็นสง่ามาก เพียงแต่ว่าจะไม่ได้เผ็ดร้อนมากขนาดนั้น มีลูกโทนติดฝาดหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของพริกไทยสีชมพูเสริมเข้ามา และมีลูกเอื้อนติดหวานเผ็ดของกระวานที่มาตัดทอนความเผ็ดนวลลงไปพอประมาณ แต่แฝงด้วยกลิ่นไม้หอมแห้งๆ กึ่งเก่าๆ หน่อย เลยทำให้ภาพรวมมากับความเป็นโทนเผ็ดนวลแกมไม้หอมแบบ Woody Spicy ที่มีความเข้าถึงได้ง่ายและไม่เล่นใหญ่เกินไปได้ลงตัวตั้งแต่แรกเริ่มเลย

ในช่วงกลางเรียกว่าพริกไทยก็ยังไม่ได้หายไปไหน ยังคงเด่นอยู่เช่นเดิม แต่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้ว เพราะพริกไทยออกเองครึ่งนึง ไม้หอมสนับสนุนอีกครึ่งนึง ถือเป็นแกนหลักสำคัญของเนื้อกลิ่นในการสร้างโทนแบบ Woody Spicy เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือความอวลแกมน่าค้นหาหน่อยๆ ของไม้หอมที่จับต้องได้ว่าเป็นสไตล์ไม้แห้งดาร์กหน่อยๆ อารมณ์แบบไม้หอมเนื้อดำเก่าๆ แกมไม้จันทน์หอมที่มาทำให้กลิ่นมีความนุ่มมากขึ้น และมีกลิ่นพิมเสนปลายกลิ่นระเรื่อบางๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความเย้าเบาๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังให้ความพอดีๆ มีความอวลแกมอุ่นหน่อยๆ เป็นหยินหยางที่ทั้งเผ็ดนวลสะอาด และดาร์กน่าค้นหาเบาๆ สร้างโทนแบบ Daily Scent ชัดเจน

แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงท้ายเพราะเนื้อกลิ่นอุ่นขึ้น โทนไม้หอมเริ่มนุ่มขึ้นเพราะมี Musk สะอาดๆ เข้ามาเกลากลิ่น แต่แน่นอนว่าพริกไทยก็ยังยืนหนึ่ง แต่ตอนนี้จะจับต้องได้แบบอารมณ์เราได้กลิ่นพริกไทยขาวบดแบบห่างๆ ที่มีความเผ็ดนวลสว่างกำลังดีเข้ามาแทน เพราะโทนไม้หอมติดดาร์กเบาๆ ลดทอนลงไปจนเหลืออ่อนๆ ติดผิวแทนแล้ว ซึ่งทำให้ช่วงท้ายเป็นโทน Musky Peppery ที่มีความอบอุ่นแกมไม้หอมกลางๆ ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายที่คุมโทนการเป็นกลิ่นพริกไทยใช้ง่ายและเข้าถึงง่ายแบบที่ยังไงก็รอดสูงนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก เนื้อกลิ่นมาสไตล์ Daily Scent ใส่แบบแทบจะครอบจักรวาลยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะเป็นทางการ ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป ลามไปจนถึงใส่ออกกำลังกายก็พอได้อยู่ แบบรอให้เข้าช่วงท้ายก่อนประมาณนี้ เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงมากนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปหรือออกงานเน้นแบบโทนสุภาพจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนอวลพลังรอบทิศนัก

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวเอื้อมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 แล้วก็ Skin Scent กันยาวไปจนกว่าจะจาง

สรุป - เป็นน้ำหอมโทนพริกไทยเด่นที่ใช้ง่ายมาก มีความเป็น Daily Scent สูงแบบที่ใส่ยังไงก็รอด ซึ่งกลิ่นมาสายมินิมัลที่ไม่หวือหวานัก ซึ่งถือเป็น Safe Scent เลยก็ย่อมได้ แบบที่ใส่แล้วก็ไม่ได้ไก่กา แต่ถ้ามองที่ข้อด้อย ก็ไม่ได้แปลกใจนักว่าทำไมกลิ่นนี้ไม่ได้ไปต่อ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/1907/Pepper-43883.html

 

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Shiro Fragrance - Savon


 Shiro Fragrance - Savon

จุดเริ่มต้นในปี 1989 ที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น กับการเป็นร้านขายของที่ระลึก ปลูกสมุนไพรต่างๆ และการทำของขวัญเฉพาะ โดยมาจากวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ที่มาจากธรรมชาติของท้องถิ่นด้วยความรู้ที่เจนจัดของเจ้าของแบรนด์ จนได้ก่อสร้างสร้างตัวมาเป็นธุรกิจ Supplier ด้านการผลิตวัตถุดิบและส่วนผสมทางด้านความงามให้แบรนด์ต่างๆ มากมาย จนมาถึงปี 2009 จึงได้เปิดตัวแบรนด์ของตัวเองออกมาในการสร้างสรรค์สกินแคร์ บอดี้แคร์ แฮร์แคร์ เมคอัพ และเครื่องหอมต่างๆ ที่รวมถึงน้ำหอม ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การเป็นแบรนด์ Shiro ในการส่งต่อผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ทั่วโลก เพราะขยายไปจำหน่ายที่ UK และ US แล้วด้วยในทุกวันนี้ 

ในเรื่องของน้ำหอมกับการเป็น Shiro Fragrance เองก็ถือว่าได้สร้าง Collection ออกมาเป็น 2 ส่วน คือ Shiro Perfume (สาย Exclusive) กับ Shiro Classic (สายน้ำหอมแนว Mass Market) ซึ่งทั้ง 2 Collections นี้ต่างเอาความเป็นสไตล์การสร้างสรรค์กลิ่นแบบญี่ปุ่นมาสื่อสารด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งทำให้น้ำหอมแต่ละโซนได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้น เมื่อได้มีโอกาสได้เจอกับแบรนด์นี้ ก็ไม่ยอมที่จะพลาด Signature Scent ที่แบรนด์ปูไว้กับกลิ่นที่ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของสาย Shiro Classic นั่นคือ Savon ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเนื้อกลิ่นออกมาอย่างไร ว่ากันได้ตามนี้เลย

กลิ่นเปิดชวนนึกถึงวิตามินซีเม็ดสีเหลืองขนาด 100 mg. มากเลยทีเดียวเพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทน Citrus เปรี้ยวหอมทที่ให้กลิ่นออกทางสว่างๆ ในลักษณะของกลิ่นแบบเลมอน ที่จะมีกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความเปรี้ยวแกมหวานหอมของลิ้นจี่มาผสมผสานกับกลิ่นออกทางเปรี้ยวหอมหวานของพลัมที่เสริมเข้ามาแบบกำลังดี แต่ที่เนื้อกลิ่นมีความครีมมี่หน่อยๆ เพราะแกนหลักของกลิ่นอย่าง Musk และแอมเบอร์ (ที่ตัดโทนอุ่นๆ ออกไปก่อน) ที่จะมีอิทธิพลสูงมากตั้งแต่ต้นไปยันจบ เลยทำให้ช่วงต้นเป็นกลิ่นลักษณะที่ให้ความหอมสดชื่นสว่างๆ แบบเปรี้ยวอมหวานที่เข้าถึงได้ง่ายมาก และที่สำคัญเนื้อกลิ่นไม่ได้อัดความเป็นโทนเปรี้ยวจนรู้สึกแบบยัดเยียดเกินไป ให้ความกำลังดีมีความสุภาพตั้งแต่เริ่มต้นแบบที่ไม่กวนใครและไม่ทำให้ใครยี้ ซึ่งเข้าทางชัดเจนในการเป็นกลิ่นอายแบบสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นความเกรงใจผู้อื่นเป็นสำคัญ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงในการเป็นโทนออกทางครีมมี่สะอาดๆ มากขึ้นและมีโทนกลิ่นกึ่งสบู่ดอกไม้เข้ามาเป็นตัวเสริม โดยที่ไม่ได้ลดทอนความเป็นโทน Citrus ติดครีมมี่ในช่วงต้นแต่อย่างใด ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ชัดเจนเลยว่าเป็นกลิ่นออกทางสบู่ที่มีมิติความหอมนวลๆ แกมเปรี้ยวอมหวานแบบครีมมี่ที่จะมีมากขึ้นมาอีก 1 ขั้นแต่ก็ไม่ได้หนาแน่นแต่อย่างใด ให้ความอวลๆ แกมสุภาพที่มีความเปรี้ยวหอมแกมหวานแนววิตามินซีแบบกำลังดี แต่ความชัดเจนของลิ้นจี่จะจางลงไปให้พลัมเป็นตัวเด่นเสริมด้วยเลมอนแทน ซึ่งพลัมจะมีกลิ่นของมะลิมาสร้างความนวลๆ แกมกลิ่นสบู่ติดกุหลาบอ่อนๆ เสริม ทำให้ได้กลิ่นนวลสว่างแกมหวานอมเปรี้ยวหอมที่ไม่โฉ่งฉ่างที่ตัดทอนความเย้ายวนออกไปเสียบเกือบทั้งหมด ซึ่งก็บอกได้เต็มปากตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าเป็นโทน Daily Scent ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความเป็นสไตล์สุภาพที่จะมีผลไม้ กลิ่น Citrus และสบู่ดอกไม้นวลๆ ให้ดูสะอาดและสดชื่นแกมอวลได้แบบระเรื่อๆ พอเหมาะ 

เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายความเป็น Musk กับแอมเบอร์จะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นซึ่งตอนนี้จะได้กลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ แฝงอยู่ให้มีมิติความหอมนวลแกมสว่าง โดยที่โทนสบู่กึ่งสดชื่นและอวลอ่อนๆ จากช่วงกลางจะลงเป็นเหนึ่งในองค์ประกอบของกลิ่นโทนนุ่มสะอาดจนกลายเป็นปลายกลิ่นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นความเรียบง่ายที่ยังไงก็รอด ให้ออร่าแบบสะอาดๆ มีความสดชื่นแกมหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ บางๆ ไปเรื่อยๆ เป็นการปิดท้ายแบบที่คุมโทนความสุภาพ ไม่รบกวนใครและให้ความเรียบง่ายและมินิมอลที่ยังไงก็รอดสูงมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นมีความกลางสุดๆ ในการใช้งานที่ไม่ว่าเพศไหนก็เข้าถึงได้ไม่ยาก และสามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กๆ (แบบฉีดเสื้อที่สวม) เป็นต้นไปได้เลย จึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดครอบจักรวาลสุดๆ Daily Scent ชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่แบบสะอาดๆ สบายๆ จะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนแต่อย่างใด

ความทน - แม้จะเป็น EDP แต่เพราะพื้นฐานกลิ่นไม่ได้หนักหน่วง ความทนเลยอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบแน่นอนที่ราว 2 ชม. ตามแต่ละสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้งาน

การกระจาย - มาสาย Safe Scent แบบเต็มตัว เพราะเริ่มที่กลิ่นกระจายปานกลางในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ จนปิดท้ายที่ติดผิวเอาเมื่อตอนผ่านไปแล้วราวๆ 4 - 5 ชม. แต่กลิ่นก็ยังตีขึ้นยามร่างกายมีความร้อนจากการขยับเนื้อตัวอยู่บ้าง ซึ่งก็ตรงไปตรงมาเลยว่ากลิ่นนี้ไม่ได้เน้นการปล่อยพลัง แต่เน้นให้เรามีโทนกลิ่นที่สดชื่นนวลๆ แกมสะอาดแบบที่ไม่รบกวนผู้คนมากเกินไปนั่นเอง

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ได้จับต้องที่การปล่อยพลัง แต่เอาความเป็นพื้นฐานแบบคนญี่ปุ่นที่มีความเกรงใจผู้อื่นมาเป็นหลักในการสร้างสรรค์กลิ่น โดยเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มีความสดชื่น ความนวล ความสะอาด และความสว่าง มาถ่ายทอดเป็นกลิ่นที่ใช้งานง่ายตอบโจทย์คนที่ไม่ได้ชอบกลิ่นแรงๆ แน่นๆ หรือฉุนจัด และที่สำคัญให้ลักษณะกลิ่นแบบ Daily Scent ที่ครอบจักรวาลการใช้งานได้ทั้งครอบครัว ไม่แปลกใจที่จะเป็น Signature Scent ของแบรนด์ และเนื้อกลิ่นเองก็ให้โทนกลิ่นตามชื่อแบรนด์ได้ครบถ้วนมากด้วยเช่นกันกับคำว่า Shiro = สีขาว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shiro-shiro.us/collections/shiro-classics/products/savon-eau-de-parfum

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Celine - Black Tie

Celine - Black Tie

ในการเข้ามาสู่การเป็นหัวเรือใหญ่ของการเป็น Creative Director ของ Hedi Slimane กับ Celine ที่นอกจากการสร้างสรรค์งานทางด้านแฟชั่นแล้ว ยังเอาน้ำหอมกลับมาเป็นหนึ่งใน Product ของแบรนด์อีกครั้งด้วยกับคราวนี้ที่ยกระดับเป็น High-End Exclusive Collection กันไปเลย โดยเอาแรงบันดาลใจต่างๆ ที่ทั้งเกี่ยวกับตัวแบรนด์เอง ผนวกรวมกับ Concept เฉพาะตัวต่างๆ มาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นอายสไตล์ High-End ซึ่งปัจจุบันก็มีออกมาแล้วทั้งหมด 10 รุ่นด้วยกัน

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นหนึ่งที่สร้างสรรค์มาจากการถอดเอาสไตล์ของ Creative Director มารวมเข้ากับสไตล์ของแบรนด์ ที่มีที่มาที่ไปจากความหลงใหลในโทนสีดำและภาพวาด Silhouette แบบลักษณะเงาดำที่ใส่ชุดทางการ ชุดราตรี หรือชุดสูททักซิโด้ออกงานกลางคืนต่างๆ และนั่นก็ออกมาเป็น Black Tie ในที่สุด เช่นนั้น เนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไร บทสรุปที่ออกมาก็เป็นแบบนี้

Black Tie เปิดตัวออกมากับการเป็นลูกผสมที่มี 3 โทนคือวานิลลา ไม้หอม และ Earthy เข้มของ Oak Moss ซึ่งตัวเด่นจริงๆ เลยต้องยกให้ไม้หอมที่กลิ่นพุ่งมาก่อนใครเพื่อน ก่อนที่จะมีกลิ่นออกทางดาร์กเข้มแกมเขียวกึ่งหมึกของ Oak Moss ที่เคล้าวานิลลาแบบสมดุลย์ตามมาให้สัมผัสได้ ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีมิติที่หลากหลายพอสมควร ไม่ว่าจะเ้ป็นความหอมวานิลลาติดหวานที่เข้าทางโทนแป้ง ความเป็นกลิ่นเข้มแกมหมึกดาร์กที่แอบมีลูกโทน Smoky หน่อยๆ คล้ายมีหญ้าแฝกแฝงอยู่ และกลิ่นไม้หอมที่ติด Spicy ปร่าคม เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นที่ปล่อยของทางกลิ่นที่เป็นลักษณะกลิ่นอายสไตล์ดึงดูดแกมเท่ห์และอบอุ่นเย้ายวนแบบที่ได้หมดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เรียกว่าเข้าทางการเป็นน้ำหอมใส่ออกงานที่มีความแตกต่างและมีสไตล์สายสมาร์ทที่มีเสน่ห์ชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงทางโทนกลิ่นที่เริ่มลดทอนความเป็นโทนไม้หอมลงมาให้เนียนไปกับวานิลลาและ Oak Moss รวมถึงมีโทนแป้งที่ติดออกทางแป้งอับทึบมีเสน่ห์กึ่งแป้งฝุ่นของหัวเหง้า Orris กับดอกไอริสที่แทรกตัวเข้ามากลายเป็นตัวคุมโทนทั้งหมดแทน ทำให้อารมณ์กลิ่นหลักคือแป้งแนวเครื่องสำอางค์แกมวานิลลา ที่มีไม้หอมแห้งอวลๆ แต่มีความสุขุมน่าค้นหาซึ่งตอนนี้จะจับได้ชัดเจนว่ามีกลิ่นไม้ซีดาร์ที่เสริมภาพลักษณ์ความสุขุม และแทรกความน่าค้นหาของ Oak Moss ที่เป็นฐานให้ภาพรวมมีทั้งความเย้ามีเสน่ห์ของโทนแป้งวานิลลาแกมเครื่องสำอางค์หน่อยๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมแนวสมาร์ท และมีความดาร์กดึงดูดยกระดับ เรียกว่าครบถ้วนมากๆ เข้าทางการเป็นลักษณะแบบ Dress Code แนว Black Tie ที่ออกงานและมีความแตกต่างอย่างมีสไตล์ชัดเจนมาก ถือเป็นช่วงที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของน้ำหอมกลิ่นนี้ 

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดทอนบทบาทของ Oak Moss ลงไปพอสมควรเหลือเพียงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ยังมีมิติกลิ่นให้พอจับต้องได้หน่อยๆ รวมถึงไม้หอมที่จะกลายเป็นผู้สนับสนุนรองใจดีแทนในการให้กลิ่นไม้อ่อนๆ ที่มีระดับ โดยที่ตัวหลักในการเดินกลิ่นจะกลายเป็นโทนแป้งวานิลลาอบอุ่นกับ Musk ที่จะเป็นตัวหลักให้ความสุขุมนุ่มนวลและมีเสน่ห์ในคราวเดียวกัน เนื้อกลิ่นมีความอวลๆ แบบลูกครึ่งแป้งวานิลลาไม้หอมแห้งๆ แต่เมื่อดมเข้ามาใกล้ๆ จะได้กลิ่นนุ่มนวลของ Musk ที่มีความสะอาดกำลังดีแกมอบอุ่นปลายกลิ่นที่มีวานิลลาอ่อนๆ ซึ่งถือว่าเป็นมิติกลิ่นเริ่มแตะในเรื่องของความเป็นโทนมินิมอลที่มีเสน่ห์เรียบหรูเข้ามาร่วมด้วย ปิดท้ายการเป็น Black Tie ได้อย่างมีคลาสและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้หมดตั้งแต่วัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งเสริมบุคลิกความมีเสน่ห์และน่าค้นหาแบบมีระดับอยู่ในทุกๆ ช่วงกลิ่น โดยจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันอยู่บ้าง เช่น ใส่ออกงานหรือทำงาน Office แต่เบามือนิดนึงเพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นแป้งวานิลลาแกมไม้หอมที่ชัดเจนพอสมควร อากาศร้อนๆ อาจจะอึดอัดเอาได้ ซึ่งแน่นอนว่าใส่ออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ไม่เข้าทางทุกประการ แต่ถ้าเอาไปใส่ยามค่ำคืน ไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อยบอกเลยว่าลงตัวมากจริงๆ

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะไปต่อได้อีกราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าเป็นช่วงที่จัดเต็มที่สุดแล้ว ก่อนที่จะลดทอนลงมากระจายดี ตามด้วยปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 - 5 แล้วถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ แล้วถึงติดผิวเมื่อผ่านไปราวๆ 7 ชม.

สรุป - เนื้อกลิ่นมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เข้าถึงการแต่งตัวแบบชุดทางการสีดำมากถึงมากที่สุด ที่สำคัญมีลูกเอื้อนไม้หอมที่จะสอดรับได้ดีกับกลิ่นบุหรี่ด้วย อารมณ์กลิ่นจะเป็นโทนหรูหราสมาร์ทมีเสน่ห์ที่มีระดับสูงมาก ที่สำคัญกลิ่นจะปูทางไปยังอีกรุ่นหนึ่งใน Collection เดียวกันอย่าง Nightclubbing ที่จบงานหรูไปท่องราตรีต่อตลอดคืนได้อีกด้วย เพราะมีโทนกลิ่นสอดรับกันได้อย่างลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.celine.com/en-th/celine-shop-women/fragrance-collection/black-tie-eau-de-parfum-100ml-6PC1H0705.37TT.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Hilde Soliani - Fraaagola Saalaaata

Hilde Soliani - Fraaagola Saalaaata

ในแวดวงน้ำหอมสาย Niche Perfume ที่ค่อนไปทาง Indie Perfume จะมี Perfumer ชาวอิตาลีอยู่ 1 คน ที่หลายๆ คนให้สมญานามกับเธอว่า Queen of Gourmand กันเลย เพราะว่ากลิ่นต่างๆ ที่ได้สร้างสรรค์ออกมามีพื้นฐานจากกลิ่นแนวอาหาร เครื่องดื่ม และขนมหวานต่างๆ ที่เรียกว่าเกินคาดและมีชั้นเชิงอย่างมากจริงๆ ในการนำเสนอ ซึ่งถึงกลับมีน้ำหอมกลิ่นหอยนางรมอบเนยได้เนี่ย ไม่ธรรมดาแน่นอน และเธอคนนี้้ก็คือ Hilde Soliani

ซึ่งในแต่ละกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาต่างก็มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมากในการสร้างความแตกต่างโดยอิงเอาความเป็นธรรมชาติของกลิ่นแนว Gourmand นั้นๆ มาเป็นจุดแข็ง และจะมีการปรับนิดปรับหน่อยให้กลายเป็นน้ำหอมที่ใช้งานได้และมีความเก๋เฉพาะตัว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในความน่าตื่นตาตื่นจมูกในการดมกลิ่นอย่างมาก และเมื่อสบโอกาสได้เจอกับแบรนด์นี้ในช่วงที่อยากได้น้ำหอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ที่ผู้ชายสามารถใช้งานได้อยู่พอดี ความสมพงษ์กันจึงมาลงที่แบรนด์นี้จนได้กับกลิ่น Fraaagola Saalaaata ที่จะสื่อสารถึงความเป็นสตรอว์เบอร์รี่แบบชัดๆ จัดให้เต็มๆ เช่นนั้น มาพิสูจน์ความหอมกันหน่อย ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

เปิดต้นกลิ่นมาในช่วงต้นราวๆ 3 นาทีแรก นี่คือการนำเสนอกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่สดที่ค่อนข้างชัดเจนมากวูบขึ้นมาทักทายก่อนที่จะมีมิติกลิ่นมาสนับสนุนอย่างโทนราสเบอร์รี่นิดๆ มีความเป็นเบอร์รี่สีแดงหน่อยๆ ที่มีความหวามอมเปรี้ยว แกมกลิ่นติดเขียวนิดๆ ที่เป็นธรรมชาติ ก่อนที่จะมีกลิ่นเกลือเสริมขึ้นมาให้ความเค็มแฝงเนียนๆ อารมณ์สตรอว์เบอร์รี่สดหวานฉ่ำที่จะเป็นการจิ้มเกลือก็ได้ หรือจะเป็นกลิ่นไอเกลือเค็มๆ ก็สามารถ ซึ่งถือว่าเป็นการเอาเกลือมาตัดทอนความหวานอมเปรี้ยวหอมได้เหมาะสมในช่วง 5 นาทีแรกได้ดีและกลิ่นน่ารักสดใสเชียว

เมื่อเข้าสู่รอยต่อก่อนเข้าช่วงกลางสิ่งที่ชัดเจนขึ้นมาคือความหวานแกมไซรัปจะชัดขึ้นตามลำดับและปรับโทนเข้าสู่ช่วงกลางในการเป็นกลิ่นแนว Candy หรือลูกอมรสสตรอว์เบอร์รี่ที่ชัดเจนมากขึ้น เพียงแต่มิติกลิ่นจะไม่ได้เป็นลูกอมจ๋าๆ อย่างเดียว ยังให้อารมณ์ฉบบน้ำสตรอว์เบอร์รี่สดที่มีความเข้มข้นสูง ค่อนไปทางไซรัปสตรอว์เบอร์รี่มาแบบชัดเจนเลย โดยที่ยังมีกลิ่นออกทางเกลือมาตัดทอนอยู่ไม่ให้หวานเยิ้มเกินไป และที่สำคัญคือเนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปเพราะจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางดอกไวโอเล็ตที่ให้ความหวานโปร่งๆ แกมแป้งและกลิ่นออกทางเครื่องเทศโทนหวานโปร่งคล้ายชะเอม ซึ่งกลิ่นจะแบ่งภาคและส่งเสริมกันอย่างชัดเจนมากในการเป็นกลิ่นสไตล์ Candy แกมเครื่องดื่มสตรอว์เบอร์รี่แบบที่คนชอบกลิ่นหวานใสแกมโปร่งที่มีมิติจะอินได้ไม่ยากเลย

การเข้าสู่ช่วงท้ายความเป็นสตรอว์เบอร์รี่ยังคงอยู่แต่จะเป็นกลิ่นแนวลูกอมแกมไซรัปชัดเจนแล้ว (อารมณ์แบบลูกอมสตรอว์เบอร์รี่ละลายด้วยความร้อนแล้วกลิ่นฟุ้งออกมาแนวๆ นั้น) แต่พื้นกลิ่นจะมีความเป็นกลิ่นออกทางวานิลลาแบบเบาๆ แกม Musk ที่มีความเค็มของเกลือมาผสมผสานเลยทำให้กลิ่นยังมีมิติที่เป็นโทนหวานใสไซรัปแบบไม่ได้แหลมคมเกินไปแต่เมื่อดมใกล้ๆ ก็มีความหวานนวลครีมมี่แบบไม่หนัก มำให้กลิ่นครบถ้วนมากๆ ในการเป็นโทน Sweet Gourmand แบบสมดุลย์ แม้จะมีความจัดจ้านในความเป็นสตรอว์เบอร์รี่แต่ก็ไม่ได้หวานหนักจนไปสายวานิลลาขนมหวานเกินไป ถือว่าเป็นการปิดท้ายได้หวานหอมน่ารักก็ได้ สดใสก็ดี และเป็นกลิ่นแนวเก๋ๆ ที่หลุดกรอบ Designer Gourmand ทั้งหลายก็ใช่ อีกทีตรงนี้ว่า “ฝีมือสุคนธกรคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”   

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้หญิงถึง 80% ได้เลยเพราะว่าเนื้อกลิ่นให้ความหวานและมีโทนสตรอว์เบอร์รี่ที่จะเข้ากับผู้หญิงมากกว่า แต่ถ้าผู้ชายจะใช้ก็ไม่ติด เพราะมันก็ไม่ได้สื่อถึงความเป็นผู้หญิงจ๋าจนต้องแต่งหญิงใส่กลิ่นนี้ซักหน่อย และได้หมดตั้งแต่วัย ม.ปลาย เป็นต้นไป ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมเพราะว่ากลิ่นหวาน ไม่ว่าจะทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office รวมถึงชิลล์ๆ ต่างๆ แต่สิ่งที่ควรตัดไปได้เลยก็คือ ยามทางการกับออกกำลังกาย เพราะไม่ได้ในเรื่องความสุขุมส่งเสริม รวมถึงหวานเกินไปกับการออกกำลังก่ยที่อาจจะทำให้อึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนได้ใส่ท่องราตรีหรือว่าชิลล์ๆ น่ารัก รวมถึงไพล่ไปทางโรแมนติคก็ได้เลย ให้ความเยาว์วัย น่ารัก และหวานหอมลงตัว

ความทน - อันนี้ยกให้เลยที่ 12 ชม. เป็นพื้นฐาน และสามารถไปต่อได้อีกเพราะส่วนตัวหลายๆ ครั้งก็เจอที่ 15 ชม. เลย ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยตามแต่ละสภาพผิว ก็ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากเรียกว่าเปิดมาก็สตรอว์เบอร์รี่อยู่รอบตัวเราสุดๆ แถมความหวานก็ครอบคลุมเราตัวเราทั้งหมดอีกด้วย แล้วเพียงราวๆ 10 นาทีก็จะทยอยๆ ลดลงมาที่กระจายดีไปซักราวๆ 1 ชม. ก่อนจะคงตัวที่ปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนจะเป็น Skin Scent จริงๆ ก็ผ่านไป 12 ชม. แล้วราวๆ นั้น

สรุป - กลิ่นนี้คือการเล่ากลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ในหลากหลายมิติโดยยืนพื้นที่กลิ่นแนว Candy กึ่งไซรัปหรือน้ำสตรอวร์เบอร์รี่เข้มข้น โดยให้หอมหวานที่ภาพรวมกลิ่นมีความใส แต่ก็มีความนวลๆ รองพื้นให้กลิ่นไม่ได้โล่งโจ้งเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ฉีดปุ๊บ ภาพเบอร์รี่สีแดงนำทัพด้วยสตรอว์เบอร์รี่ก็มาปั๊บเลย ถือเป็นอีกกลิ่นที่ให้ความเพลินเพลินและสนุกในการดมกลิ่นมาก และที่สำคัญกวาดคำชมจากคนที่ชอบกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ติดหวานมาได้แบบไม่ยากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://hildesoliani.com/profumo-e-gusto-in-liberta/fraaagola-saalaaata/

 

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Yves Rocher - Nouveau Genre

Yves Rocher - Nouveau Genre

จากน้ำหอมใน Collection - Eaux de Parfum ที่เข้ามาจำหน่ายในไทยในช่วงแรกๆ กลิ่นที่อยู่ในโซนที่น่าจะมีความหนาและแน่นจะยังไม่ได้เอาเข้ามา เน้นเฉพาะกลิ่นที่สดชื่นสบายๆ กำลังดี หรือกลิ่นอายกลางๆ ที่เข้าถึงไม่ยากและเข้ากับอากาศบ้านเราเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็แอบรอคอยไม่น้อยว่าอีก 2 กลิ่นที่เหลือจะเอาเข้ามาไหม (ไม่รวมกลิ่นใหม่ที่พึ่งเปิดตัวไม่นานนี้อย่าง Voile d’Ocre ที่ปัจจุบันเอาเข้ามาจำหน่ายแล้ว)

และ Yves Rocher ก็ไม่ทำให้ผิดหวังราว 50% เพราะว่าเอาหนึ่งในรุ่นที่คาดว่ากลิ่นอยู่ในโซนแน่นกว่าที่เคยมีจำหน่ายเข้ามาแล้วอย่าง Nouveau Genre ที่จะเน้นกลิ่นอายสาย Patchouli หรือพิมเสนเป็นแก่นหลัก โดยเอาเข้ามาเฉพาะขวด 30 ml ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการเอามาให้ผู้ใช้ได้ลองแบบที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับขวดใหญ่อีกด้วย เช่นนั้นเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไร ขอเล่า

พิมเสนจะเป็นแกนหลักที่อยู่กันยาวๆ โดยที่จะมีความเป็นถั่วตองก้าเป็นสายสนับสนุนตั้งแต่ต้นยันจบแบบที่ให้เนื้อกลิ่นแตะความเป็น Niche Perfume กันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยชัดเจนกันตั้งแต่ต้นเลยว่าพิมเสนจะมาในลักษณะที่คมแห้งแกมหวานเย้าในระดับหนึ่ง โดยที่โทนกลิ่นจะมาในลักษณะพิมเสนแบบสาย Mugler - Angel แต่จะไพล่ไปทาง Angle Muse ที่มีลูกเอื้อนแบบชอคโกแลตหน่อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เสียมากกว่า แต่ไม่ได้โฉ่งฉ่างเรียกร้องความสนใจขนาดนั้น แต่จะมาแบบอารมณ์พิมเสนฟุ้งพุ่งกำลังดีไม่ได้จัดจ้าน ให้ความละเมียดแต่ดึงดูดมีเสน่ห์​ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลูกเล่นของโทน Citrus ที่ติดขมสดชื่นเล็กๆ คาดว่าน่าจะมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวสร้างโทนบรรยากาศ รวมถึงมีโทนติดฝาดปร่านวลอ่อนๆ แนวๆ พริกไทยสีชมพูเป็นตัวแฝงแบบเนียนๆ โดยพื้นกลิ่นจะมีโทนติด Earthy กึ่งอัลมอนด์ขมแกมหญ้าแห้งหน่อยๆ ที่เป็นโทนของถั่วตองก้าเนียนๆ แต่ยังไงก็ตามพิมเสนก็ยังคงคุมโทนและให้อะโรม่าที่มีเสน่ห์ตั้งแต่เริ่มต้นเลย

เมื่อเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลาง โทนสดชื่นปร่าขมแฝงทั้งหลายจะหายไปแล้ว แต่จะเข้าสู่การเป็นโทนไม้หอมที่มีบทบาทมากขึ้น ซึ่งความเป็นพิมเสนยังคงความดีงามในลักษณะโทน Earthy แกมลูกเอื้อนชอคโกแลตอยู่เช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือมีความเป็นโกโก้เข้ามาเนียนๆ ทำให้มีลักษณะแบบกลิ่นพิมเสนและโกโก้มากขึ้น โดยที่จะมีกลิ่นวานิลลาที่ออกทางแป้ง และแน่นอนความเป็นถั่วตองก้าก็ให้ความเป็นอัลมอนด์แกมหญ้าแห้งกึ่งวานิลลาบางๆ เข้ามาเสริมเป็นฉากหลัง แต่กลิ่นที่จะเด่นขึ้นมาเลยคือกลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ แกมดินๆ ซึ่งน่าจะมีหญ้าแฝกแกมไม้ซีดาร์รวมอยู่ด้วย ที่จะมาผสมผสานและตีคู่ไปกับพิมเสนและโกโก้ที่ต่างตัดทอนและเอื้อกันจนกลายเป็นหนึ่งในช่วงที่ให้ความพลิ้วไหวทางกลิ่นโดยคุม Concept การเป็น Woody Earthy Patchouli ที่มีเสน่ห์ลงตัวมาก ได้ทั้งความนิ่งขรึมและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน

การเข้าสู่ช่วงท้ายเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าเนื้อกลิ่นมีความคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นไม้หอมโปร่งๆ กึ่งพิมเสนที่ลดทอนลูกเอื้อนความเป็นโกโก้หรือชอคโกแลต รวมถึงความ Earthy แบบกลิ่นสากๆ ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวลง เป็นกลิ่นพิมเสนปร่าระเรื่อเจือหวานรื่นจมูก ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดอาจจะมีกลิ่นโทนสารหอมที่ให้ความเป็นลูกครึ่งพิมเสนปร่าระเรื่อแกมไม้หอมอย่าง Clearwood รวมอยู่ด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมโปร่งๆ สะอาดๆ และมีความนวลๆ กึ่งวานิลลาเบาๆ เคล้าความนุ่มๆ ที่เป็นลูกเอื้อนของถั่วตองก้า ที่สำคัญแอบมีโทนคล้ายแอมเบอร์อ่อนๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่มาแบบให้ Effect ความอบอุ่นอวลๆ เบาๆ เลยทำให้ช่วงท้ายจะได้โทนกลิ่นพิมเสนปร่าสะอาดแกมหวานระเรื่อเคล้ากลิ่นไม้หอมที่มีโทนวานิลลากึ่งโทนแป้งนวลเบาๆ แฝง ซึ่งเป็นกลิ่นที่เรียบหรูและให้ความรื่นรมย์ในการรับกลิ่นเป็นการปิดท้ายได้ลงตัวและผ่อนคลาย

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะเข้าได้กับทุกเพศเลย และเป็นกลิ่นพิมเสนที่อยู่กึ่งกลางพอดีระหว่างความเย้ายวนเซ็กซี่และความเรียบหรู ซึ่งถ้าพื้นฐานชอบความเป็นพิมเสนที่มีความหลากหลายในตัว ก็จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ไม่ยากและเผลอๆ ชอบมากเอาได้เลย ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ตัดการใส่เพื่อสถานการณ์ลุยๆ ออกไป ที่เหลือใส่ได้สบายมากทั้งทางการและทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานหรือโรแมนติคเสียมากกว่า เพราะไม่ว่าจะอยู่บนผิวกายผู้ชายหรือผู้หญิงก็จะมีความดึงดูดและมีเสน่ห์ได้ทั้งคู่

ความทน - ค่าเฉลี่ยคือ 8 ชม. ได้สบายมาก และสามารถไปต่อได้อีกตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 12 ชม. บนผิวทุกครั้งในการใช้งาน แต่ถ้าบนเสื้อที่สวมไปต่ออีกถึงก่อนซักเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 3 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนเมื่อแตะราวๆ 8 - 10 ชม. ก็จะติดผิวแล้ว แต่กลิ่นก็ยังจะตีขึ้นเวลาขยับเนื้อตัวอยู่ 

สรุป - กลิ่นนี้น่าจะเอาเข้ามาตั้งแต่แรกๆ เพราะเนื้อกลิ่นไม่ธรรมดา รวมถึงแตะการใช้งานแบบน้ำหอม Niche Perfume ก็ยังได้ แต่ก็พอเข้าใจว่ากลิ่นแบบนี้ถ้าเอาใจมหาชนอาจจะไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายนักถ้าเทียบกับตัวอื่นๆ ที่เอาเข้ามาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญถ้าคุณชอบ Mugler - Angel Muse แบบที่ตัดกลิ่นโทน Gourmand ออกไปจนเหลือเบาๆ แต่ให้เสน่ห์ที่พลิ้วๆ แทน บอกเลยว่า Nouveau Genre ตอบโจทย์มากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Yves_Rocher/nouveau-genre

 

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - PG04 Musc Maori

Pierre Guillaume - PG04 Musc Maori

ในโซนของการเป็น Parfumerie Generale เดิมที่ปัจจุบันโดนย้ายมาเป็น Number Collection ของ Pierre Guillaume จะเห็นได้ชัดว่าในแต่ละหมายเลขจะมีความโดดเด่นที่ชูโรง Note กลิ่นหลักนั้นๆ ที่สุคนธกรจะนำเสนอ แต่ในบางหมายเลขจะมีต่อยอดออกไปอีกในสายของตัวเองโดยเป็นรุ่นเลขเดิมเพิ่มเติมด้วยจุดทศนิยมที่ฉีกออกไปในโทนที่ต้องการจะสื่อโดยมีพื้นฐานการชูโรง Note กลิ่นหลักนั้นๆ รวมอยู่ด้วย (ยกตัวอย่างเช่น ในการก่อนหน้ามีการเล่ากลิ่น PG 4.1 Le Musc & La Peau ซึ่งก็เป็นรุ่นที่แตกแขนงออกมาจาก No.04)

เช่นนั้นเมื่อไปแตะรุ่นแขนงไป ก็ต้องขอกลับมาที่ตัวตั้งต้นอย่าง PG04 กันหน่อย ซึ่งพอมาเห็นจึงได้รู้ว่าจุดตั้งต้นของ No.04 นั่นก็คือการเป็นโทน Musk และเป็นการสื่อสารกลิ่นอายสายหวานหอมในโทน Gourmand (ที่สุคนธกร/เจ้าของแบรนด์ถนัด) มาตีคู่กับความเป็น Musk เสียด้วย เช่นนั้นความน่าสนใจจึงมาอย่างเต็มเปี่ยมจนต้องจัดให้รู้กันไปข้างซักหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร และสิ่งที่ได้ก็ออกมาตามนี้

PG04 Musc Maori เปิดตัวมาได้ชวนประทับใจถึงขีดสุดมากๆ เพราะว่า กลิ่นที่ออกมาแบบชัดเจนเลยคือ นมรสชอคโกแลตแบบร้อนหรือโกโก้ร้อนที่ใส่นมสด ซึ่งกลิ่นจะให้ความเป็นกลิ่นอายโกโก้ที่ละมุนและชัดเจนมีความเข้มข้นแบบกำลังดีให้ความรู้สึกผ่อนคลายและยิ้มได้เลยเมื่อแรกดม โดยจะมาเคล้าความนุ่มนมที่เป็นเสน่ห์ถั่วตองก้าที่เข้ามาเสริม และเดาไม่ยากด้วยว่าน่าจะมีโทนกลิ่นของนมรวมๆ อยู่ในนี้ด้วย โดยเนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนถึงโทนอบอุ่นที่เป็นลักษณะของแอมเบอร์ที่เสริมเข้ามาแบบพอเหมาะ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมเลยคือ เนื้อกลิ่นไม่ได้หนักข้นเกินไป ให้ความพอเหมาะกำลังดี และที่สำคัญการมีโทนกึ่งนวลของ White Musk ที่ให้กลิ่นอายกึ่งแป้งกึ่ง Musk ที่มีความสดชื่นแกมสะอาด และมีกลิ่นออกทางเขียวสดชื่นหน่อยๆ ที่เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นมีมิติความสดชื่นตัดทอนความหนักที่ควรจะเป็นไปได้มาก โดยยังไม่ทิ้งความเป็นโกโก้นมสดร้อนที่ชัดเจน อันนี้แหละที่ยกนิ้วให้ในรายละเอียดของกลิ่นจริงๆ

เพียงไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ว่าจะมีกลิ่นวานิลลาเสริมเข้ามา โดยมีลูกโทนเป็นไม้หอมโปร่งๆ กึ่งครีมมี่เข้ามาเป็นลูกคู่ เนื้อกลิ่นก็จะเริ่มปูทางเข้าช่วงกลางของน้ำหอมที่ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด แต่กลิ่นจะมีความหนาขึ้นถึง 1 สเต็ป และมีความหวานเพิ่มขึ้นด้วยจากวานิลลาที่มาสายกึ่งขนมหน่อยๆ ซึ่งเมื่อกลิ่นวานิลลาเจอกับถั่วตองก้าและโทนคล้ายนม โดยมีความครีมมี่ไม้หอมแนวไม้จันทน์หอมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์กึ่งนมข้นหวานรสวานิลลาเข้ามาร่วมด้วยหรืออาจจะเป็นกลิ่นแนวเค้กนมวานิลลาแบบ Soufle เค้กที่ให้ความหอมอวลๆ หวานอบอุ่นน่ากิน โดยที่โกโก้ยังคงเป็นตัวที่อยู่เหนือทุกสิ่งอารมณ์ On Top กลิ่นนมข้นหวานวานิลลาอยู่ โดยพื้นกลิ่นถ้าดมใกล้ๆ จะให้อารมณ์ผิวกายสะอาดๆ มีความสดชื่นแกมแป้งที่มีลูกเอื้อนโทนเขียวแฝงประปรายอยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้แหละ เรียกว่าไฮไลท์เลยทีเดียว เพราะได้ความเป็น Chocolate Sweet ที่ลงตัวมาก

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายจะได้กลิ่นค่อนไปทางกาแฟค่อยๆ เปิดตัวออกมา และความเป็น White Musk ที่จะลดทอนความสดชื่นลงมาเป็นโทนแป้งที่มีความเป็นโทนดอกไม้เสริมเข้ามาประปราย ทำให้กลิ่นจะผ่อนลงมาระดับนึง โดยจะได้กลิ่นวานิลลานมข้นแกมชอคโกแลตนมสดร้อนแฝงอยู่ตลอด โดยที่มีความอะโรม่าติดขมของกาแฟเสริมเข้าไปอย่างลงตัวจนได้อารมณ์กึ่งมอคค่าเนียนๆ เข้ามา ซึ่งตัดทอนโดย White Musk และกลิ่นแป้งแกมดอกไม้เบาๆ สะอาดๆ จนทำให้ได้ลักษณะเนื้อกลิ่นแบบผิวกายสะอาดกับเสื้อผ้าสีสว่างที่มีกรุ่นกลิ่นแบบขนมแนววานิลลากับชอคโกแลตร้อนหอมอวลๆ ออกมา ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นมีความเย้ายวนตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นในลักษณะของการเป็น Gourmand ได้ชัดเจน โดยที่ยังมีความเป็น Musk ให้จับต้องได้อย่างมีชั้นเชิงอีกด้วย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นโทนโกโก้หรือชอคโกแลตกลางพอที่จะแตะความชอบของทุกเพศอยู่แล้ว เพียงแต่จะเข้ากับวัยเรียน ม.ปลายเป็นต้นไป แบบที่ให้อารมณ์หวานน่ารักแบบวัยรุ่นก็ได้ หรือจะหอมผ่อนคลายแกมเย้ายวนในรูปแบบผู้ใหญ่ก็สามารถ ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัีนเน้นไปที่การใส่แบบทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าจะใส่ยามทางการอาจจะต้องดูนิดนึงเพราะเนื้อกลิ่นมีความหวาน อาจจะไม่ได้เข้าได้กับทุกงานเสมอไป ส่วนการออกกำลังกาย ตัดกลิ่นนี้ออกไปได้เลย เดี๋ยวเกรงว่าแทนที่จะได้เหงื่อ ดันยูเทิร์นไปซื้อโกโก้ร้อนใส่นมข้นหวานเยอะๆ ใส่ไซรัปวานิลลานั่งกินเพลินเอาได้ นอกจากนี้ยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายมากไม่ว่าจะทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ ออกเดท หรือว่าโรแมนติค แต่สิ่งที่ควรจะข้ามคือการใส่แบบปล่อยของ ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นนี้ไม่ได้ปล่อยของจัดจ้านมาเต็มขนาดนั้น แม้กลิ่นจะชัดเจน แต่ถ้าเอาไปท่องราตรีอาจจะโดนสายหวานจัดจ้านหรืออวลหมื่นลี้ทั้งหลายกลบเอาได้

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน แต่ไปต่อได้อีก ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวอยู่ระหว่าง 8 - 10 ชม. เสมอ แต่ถ้าทนจัดกว่าบนผิวก็บนเสื้อที่สวมเลยที่ยาวนานกว่ามาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าสร้างความประทับใจแรกพบ และประทับใจต่อเนื่องเลยเพราะว่ายังคงตัวการกระจายดีไปอีกราวๆ 2 ชม. ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว และติดผิวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 8 เป็นต้นไปตามแต่ละสภาพผิวผู้ใช้

สรุป - ประทับใจในกลิ่นที่ให้อารมณ์ชอคโกแลตนมสดร้อนหรือโกโก้นมสดร้อนมาก กลิ่นมีความหอมหวานรื่นรมย์แต่แฝงความสดชื่นสะอาดเนียนๆ แบบที่ไม่หนักเกินไป ให้แล้วยิ้มเพลินในกรุ่นกลิ่นที่ตีขึ้นมาให้เราได้สัมผัสถึงความหอมหวานสไตล์ Chocolate Sweet ที่ไม่หนักหน่วง ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานให้ความรู้สึกเหมือนจะธรรมดาในการเป็นกลิ่นขนม แต่ไม่ธรรมดาในมิติต่างๆ ของกลิ่นที่ผสมผสานกันจนสร้างความประทับใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อันนี้ต้องบอกอีกทีเลยว่า “ประทับใจจริงๆ”  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/musc-maori/

 

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Parfums MDCI - La Belle Hélène

Parfums MDCI - La Belle Hélène

La Belle Hélène ถือเป็นน้ำหอมลำดับที่ 10 ของแบรนด์ Parfums MDCI ที่ออกมาวางจำหน่ายในปี 2011 โดยมี Concept ในการสร้างสรรค์จากกลิ่นอายสายขนมที่เอาความเป็น Poire belle Hélène หรือลูกแพร์ตุ๋นในน้ำเชื่อมราดชอคโกแลตกินกับไอศครีมวานิลลาและวิปครีม ซึ่งถือเป็นขนมสายคลาสสิคของฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ แต่มีการเอามาประยุกต์เพื่อให้เป็นกลิ่นอายสไตล์กึ่ง Gourmand ที่มีความเป็นของหวานแฝง โดยยังยืนพื้นที่กลิ่นอายสไตล์ Classic Chypre ที่แบรนด์นี้ไม่เป็นสองรองใครมาเสมอ

และเมื่อได้เห็นข้อมูลและความน่าสนใจต่างๆ ถึงที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นแล้ว มีหรือที่จะไม่อยากลองว่าจะถอดเนื้อกลิ่นโทนของหวานมาผสมผสานกับความ Classic ที่มีระดับออกมาเป็นอย่างไร เช่นนั้น จัดไปอย่าได้เสีย ลองแล้วเล่าต่อได้แบบนี้เลย

La Belle Hélène จะไม่ได้เอาความเป็นโทนของหวานมาเป็นตัวหลักแต่อย่างใด แต่เอาความเป็นกลิ่นอายของโทนลูกแพร์มาเปิดตัว โดยมีความปร่าแกม Citrus ที่มีกลิ่นโทนส้มและสารหอมอย่าง Aldehydes มาเป็นตัวดัน และมีกลิ่นส้มประปรายให้จับต้องได้ ถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเปิดที่ให้ความเป็นลูกครึ่งระหว่างกลิ่นลูกแพร์ที่ติดหวานแต่ไม่ได้ฉ่ำมากมาเจอกับโทน Sparkling ได้ดีมาก แต่กลิ่นจะไม่ได้คมแต่อย่างใด เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนกึ่งดอกไม้กึ่งแป้งที่มีลูกเอื้อนหอมกึ่งแอปริคอตของดอกหอมหมื่นลี้และความหวานกึ่งน้ำผึ้งเล็กๆ จากดอกลินเดน ที่มีความเป็นแป้งที่มีเลเยอร์และมิติที่น่าสนใจมากทั้งแบบหวานติดโปร่งหน่อยๆ ของไวโอเล็ตและแป้งฝุ่นของไอริสที่มีลูกติดทึบแบบหัวเหง้าออริส เลยทำให้ภาพรวมมีความเป็นโทน Fruity Powdery ที่มีความเป็นผู้หญิงชัดเจน และโทนกลิ่นไม่ได้มีความใสหรือดูลั่นล้าแต่อย่างใด กลับให้ความทีเสน่ห์รุ่มรวยทางกลิ่นที่สร้างออร่าความมีคลาสแบบร่วมสมัยในเนื้อกลิ่นได้สวยเลยตั้งแต่เริ่มต้น

ความชัดเจนในการเป็นโทนแป้งจะเริ่มมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นของช่วงกลางเต็มตัวตีคู่ไปกับกลิ่นโทนดอกไม้ที่ติดโทนแอปริคอตเคล้าลูกแพร์ ซึ่งในช่วงนี้จะมีโทนดอกไม้ที่คลุกเคล้ากับความเป็นโทนแป้งที่สร้างมิติชัดเจนมากขึ้นในหลายๆ อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบที่มาให้ความนวลระเรื่อ Hawthorns ที่มาสอดรับกับลินเดนในการให้ความหวานกึ่งดอกไม้กึ่งน้ำผึ้งที่ลุ่มลึกขึ้น และกระดังงาที่มาให้จริตเย้าลึก ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นสร้างออร่าความมีระดับขึ้นมาอีกสเต็ป โดยยังไม่ทิ้งความเป็นโทนสดชื่นประปรายจาก Citrus อย่างส้ม ซึ่งเนื้อกลิ่นอารมณ์จะเหมือนมีโทนหนังเบาๆ แฝงอยู่ซึ่งอาจจะเป็น Effect จากดอกหอมหมื่นลี้ที่ทำให้กลิ่นมีเลเยอร์ให้กับต้องได้หลายชั้นและมีเสน่ห์มากขึ้น เคล้ากับกลิ่นออกทางยางไม้อบอุ่นที่เข้าทางกึ่งแอมเบอร์ลึกๆ ด้วย เลยทำให้กลายเป็นโทนแป้งหอมหวานแบบกำลังดีมีความเป็นผลไม้หวานระเรื่อแกมกลิ่นดอกไม้ที่มีความ Feminine ที่มีความหรูหราในทีอยู่ตลอด และสร้างจริตออกมาได้มีความปาริเซียงฝรั่งเศสโดยแท้มากๆ อันนี้ต้องขอชมเลยว่าเป๊ะ! จริงๆ

ในส่วนท้ายจะเป็นการเข้าสู่โทนกลิ่นที่มีความน่าค้นหาเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งสเต็ป และชัดเจนในการเป็นโทนแนวกึ่ง Classic Chypre มากขึ้น เพราะว่าจะมีกลิ่นติดเข้ม Earthy ติดเขียวของ Oak Moss ที่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมและโทนแป้งในช่วงกลางมาเกลาให้มีความสมูธแกมครีมมี่หน่อยๆ แต่กลิ่นก็ยังไม่ทิ้งโทนหวาน เพียงแต่ปรับโทนให้เข้าทางการเป็นไม้หอมมากขึ้นโดยเอาชะเอมมาเจอกับหญ้าแฝกให้มีความเป็นลูกผสมกึ่งไม้หอมติดหวานเครื่องเทศ โดยที่จะมีกลิ่นโทน Musk รองพื้นเคล้ากับกลิ่นยางไม้อบอุ่นที่มาในลักษณะแบบแอมเบอร์แต่จะไม่ได้ค่อนไปทางวานิลลา แต่จะให้ความเป็นยางไม้ติดหวานหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางปร่าหน่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็น Myrrh ที่มาเสริมในช่วงนี้ โดยที่ปลายกลิ่นจะมีตัวคุมโทนให้ความระเรื่ออย่างพิมเสนที่สร้างความดึงดูดแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมีลูกเล่นความมีเสน่ห์ของกลิ่นอายสไตล์ Chypre ที่ไม่ได้จงใจให้ดูกรุยกรายหรูหราเว่อร์วัง แต่จับมาเจอกับความเป็นโทนผลไม้ที่พอเหมาะสร้างออร่าความมีระดับและมีจริตแบบสวยงามมีคลาสได้อย่างมีชั้นเชิงมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เพราะเนื่องกลิ่นมีลักษณะที่มาในตระกูลกลิ่นหรูหรายกระดับให้มีความเป็นสไตล์คุณนายปาริเซียงอยู่พอสมควร เลยจะเสริมคาแรคเตอร์ผู้ใช้ให้มีคลาสเสียมากกว่า เลยเข้าได้กับทั้งยามทางการและทั่วๆ ไปแบบวางตัวดีๆ หน่อย ในยามกลางวัน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะดีที่สุด เพราะสร้างออร่ามีพลังสายสว่างแกมหวานได้ดีมากจริงๆ

ความทน - อันนี้ยกให้เลยที่ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวที่เจอก็ 12 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะคงตัวยาวไปราวๆ 30 นาทีแรก ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปยาวๆ แล้วค่อนมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อแตะราวชั่วโมงที่ 6 เป็นต้นไป ก่อนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 8 - 10 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นมีความเป็นสไตล์ฝรั่งเศสที่เน้นโทนดอกไม้ และมีผลไม้มาเป็นตัวชูโรงแบบโทนหวานระเรื่อโดยเฉพาะลูกแพร์ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ยกเอาความเป็นขนม Poire belle Hélène มาทั้งดุ้น แต่การประยุกต์กลิ่นแบบนี้ถือว่าสร้างความแตกต่างและความหอมที่มีเสน่ห์แบบมีจริตงามๆ ได้ลงตัวมาก เช่นนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ไม่ธรรมดาของ Parfums MDCI เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://parfumsmdci.com/womens-perfumes/

 

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Strangers Parfumerie - Sombre

Strangers Parfumerie - Sombre

จะว่าไปกลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างกลัวมากที่สุดในการเอามาเขียนบรรยายกลิ่น เพราะจากที่เคยได้ลองดมแบบผิวเผิน ในหัวมันตอบได้อย่างเดียวว่า “ไม่น่าจะใช่และไม่น่าเหมาะกับเราเท่าไหร่” แต่ในเรื่องงานอาร์ตอันนี้บอกเลยว่าให้คะแนนเต็มในแง่ของการสร้างสรรค์กลิ่นได้แตกต่างจากขนบ โดยความสำคัญของกลิ่นมันอยู่ที่การถอดสภาพแวดล้อม สถานการณ์ และการเล่าเรื่องต่างหากที่มีเสน่ห์มากกว่าการสร้างกลิ่นตามคาแรคเตอร์แบบที่มหาชนชอบหรือเป็นไปตามเทรนด์ที่คนจะวิ่งตามๆ กันในการหามาใช้งาน

เพราะสุคนธกรมาในสายภาพยนตร์ แน่นอนว่าการสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปะจึงมาเต็มและพร้อมเสิร์ฟ เช่นนั้นที่มาที่ไปของกลิ่นนี้จึงเป็นการอุทิศให้ภาพยนตร์ของ Philippe Grandrieux ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่เป็นงานศิลปะที่สุดขั้วมากๆ อย่างเรื่อง Sombre และ A New Life (La vie Nouvelle) โดยมีเรื่องราวที่เป็นการเอาตัวละครเอกของแต่ละเรื่องมาเจอกัน นั่นคือ “ฆาตกรต่อเนื่อง (Sombre) และโสเภณี (A New Life)” ที่ตกหลุมรักกัน ดื่มกัน และปิดท้ายด้วยการ Make Love กันในบ้านหลอนๆ ซักที่ แค่นี้ก็สุดขั้วแล้วไหมล่ะ

เช่นนั้น เมื่อตั้งสมาธิจนได้ที่ ก็ได้เวลาที่จะมาตั้งธงใหม่ในการเรียนรู้งานศิลปะผ่านกลิ่นซะที เพราะก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เคยได้รับเพียงผิวเผินแล้วคำตอบที่เด้งมาทันทีว่ากลิ่นนี้ไม่ใช่ มันจะแปรเปลี่ยนจากการที่เราได้สัมผัสจนสุดทางหรือไม่ หรือจะยังคงเดิม เช่นนั้น สิ่งที่ได้เรียนรู้จากทั้งผิวเผินและการใช้งานจริง ก็คือ

Sombre: สิ่งที่ได้จากการดมเพียงผิวเผิน - เอ่อ เหมือน Etat Libre d’Orange - Secretions Magnifiques เลย คือ กลิ่นไม่ได้พึงประสงค์มาเต็มแบบกลิ่นอาเจียนสดๆ กลิ่นอับ กลิ่นแนวน้ำเหลืองหรือหนอง และกลิ่นสาปสัตว์เหงื่อไคล เพียงแต่สิ่งที่พอไหวนั่นคือกลิ่นมีความ Earthy มากกว่า ELDO เพราะไม่มีกลิ่นเลือด น้ำลายท่วมๆ หรือน้ำอสุจิใดๆ มาทำให้ตะลึง เพราะกลิ่นโคลนค่อนข้างชัด และมีกลิ่นไอแชมเปญที่ทำให้พอตั้งสติได้ แต่ก็เอิ่มอยู่ดี นี่คือจบแค่การดมเพียงผิวเผิน

Sombre: สิ่งที่ได้จากการใช้งานจริง - จะมีแค่ช่วงต้นเท่านั้นที่กลิ่นไม่ได้พึงประสงค์เท่าไหร่ เพราะจะมีกลิ่นอาเจียนสดๆ อารมณ์เหมือนคนที่กินอาหารตะวันตกที่มีชีส มีนม มีพวกแป้ง และแชมเปญ แล้วอาเจียนออกมาแบบผสมกันไปหมด ซึ่งมันจะมีกลิ่นออกทางคล้ายหนองหรือน้ำเหลืองรวมอยู่ด้วย รวมถึงกลิ่นอับสถานที่แบบ Dirty มีกลิ่นเชื้อราอับๆ กลิ่นห้องทึบอับหรือไพล่ไปยังผ้าเหม็นอับ และกลิ่นโคลนที่แทรกอยู่ทุกๆ สเต็ปของกลิ่นในช่วงต้น แต่ต้องบอกว่านี่คืออารมณ์น้ำหอม Niche ที่กลิ่นเปิดอาจจะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกโสภานักและโคตรจะเรียลเลย ซึ่งช่วงถัดๆ ไปต่างหากที่เราจะได้เห็นความงาม ความน่าตื่นเต้น ความลุ่มลึก หรืองานอาร์ตที่มีเสน่ห์ทางกลิ่น

เมื่อกลิ่นแนวอาเจียน หรือน้ำเหลืองน้ำหนอง หรือเชื้อราอับๆ เริ่มจางลงไป นี่แหละสิ่งที่รอคอย เพราะจะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ตอนนี้จะเป็นกลิ่นลูกผสมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นโทน Animalic และ Floral Powdery ซึ่งช่วงนี้ถือว่ามีทั้งความดิบห่ามของฝั่ง Animalic ที่มาจาก Musk และ Civet ที่ให้ความห่ามที่มาเจอกับความเป็นโทนแป้งดอกไม้ที่มีกลิ่นของดอกซ่อนกลิ่นแกมมะลิแฝงความตุ่ยๆ Indolic มีกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ยวนใจแกมกลิ่นแชมเปญหน่อยๆ แบบติดระเรื่อๆ แบบกลิ่นเหล้าติดผิวกายอะไรประมาณนั้น ซึ่งมันได้ทั้งความ Dirty สาบเย้าเร้าใจและความเย้ายวนในเวลาเดียวกัน โดยที่ยังมีกลิ่นสภาพแวดล้อมที่อับๆ ทึบๆ กลิ่นโคลน อยู่ประปราย มีกลิ่นอาเจียนนิดนึงแต่ไม่ได้ชัดมากแล้ว (ยกเว้นกลิ่นติดจมูกแกะไม่ออก อันนี้ก็ตัวใครตัวเผือก) ซึ่งอันนี้ชัดเจนว่าแบ่งภาคตามเรื่องราวได้เห็นภาพจริงๆ ว่าฝั่งหนึ่งคือดิบร้ายและอีกฝั่งคือเย้าเร้าใจแบบความต้องการมาเต็มไม่มีเขียม เมื่อมาเจอกันก็ตามเรื่องราวเลยคือการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจากการ Make Love ในสภาพแวดล้อมตามคำเล่า ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นมาในทางที่ดีขึ้นกว่าช่วงต้นเยอะมากจนมาองเห็นภาพและความสวยงามทางกลิ่นในเชิงอาร์ตแบบนั่งดูภาพยนตร์สายอาร์ตที่ส่งต่องานศิลปะที่สุดขั้วและเรียลได้ไม่ยากเลย

การปิดท้ายของน้ำหอมเรียกว่าเข้าสู่ภาวะที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ และไปในทิศทางที่กลิ่นสวยมากขึ้น เพราะกลิ่นในช่วงกลางจะตามมาทั้งหมด ยกเว้นกลิ่นอาเจียนที่ไม่เหลือให้จับต้องได้แล้ว กลิ่นจะเป็น Floral Powdery ที่มีลูกเอื้อนของ Animalic Musk คลอๆ แบบกำลังดี และมีกลิ่นไม้หอมหน่อยๆ ประปราย กลิ่นมีความกึ่งกลางระหว่างโทนสว่างกับดาร์ก Dirty อยู่ เพียงแต่ไม่ได้โหดเท่าช่วงแรกและไม่ได้ดูเป็น Sex Scene เท่าช่วงกลางแล้ว ออกแนวค่อนไปทางสบายๆ มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนทุกอย่างสิ้นสุดกิจกรรมความสุดขั้วมาสู่สภาวะปกติที่เป็นโทนแป้งแกม Musky ที่มีลูกเอื้อน Animalic หน่อยๆ แบบทีความเย้าๆ ติดปลายกลิ่น ซึ่งกลิ่นลักษณะนี้มีความเป็นปลายเปิดสูงมากแบบที่จะเป็นกลิ่นที่ให้ความอบอุ่นนุ่มเย้าหน่อยๆ ที่มีเสน่ห์ก็ย่อมได้ หรือจะเป็นกลิ่นที่เป็นรอยทางติดตัวไปแม้ว่าจะไม่ได้ต่อยอดกันต่อเป็นแค่ความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งที่สุดเหวี่ยงก็สามารถ ถือเป็นการปิดท้ายได้ลงตัวโดยที่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงอีกต่อไปแล้ว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เน้นความอาร์ตและแนวเป็นสำคัญ ซึ่งเอาจริงๆ ใส่ฮัลโลวีนก็ได้นะ แต่ถ้าไม่มายด์แล้วนับหนึ่งก่อนออกไปเจอผู้คนตั้งแต่ช่วงกลางที่กลิ่นอาเจียนมีเพียงบางๆ แล้ว สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะเป็นโทนที่มีเสน่ห์และมีความหอมแกม Animalic ที่น่าสนใจมากแถมเข้าโทน Classic Animalic ได้อีกด้วย แน่นอนให้ตัดการใส่ยามทางการจ๋าๆ หรือออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจากช่วงกลางเป็นต้นไป ถือว่าใส่ปล่อยของได้ไม่ยากเสียด้วย เอาเป็นว่า เลือกเอาแล้วกันว่าจะใส่ตอนไหนและจะพรีเซนต์ตัวเองอย่างไง แต่อย่าให้กลิ่นช่วงต้นติดเสื้อที่สวมก็เป็นพอ เพราะไม่งั้นเหมือนเสื้อเลอะอาเจียนมาแล้วยังไม่ได้ล้าง กลิ่นมันจะรบกวนจมูกตลอดเวลาเอาได้

ความทน - มากกกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าเล่นเอาตึ้บได้ แนะนำยืนหน้าพัดลมให้พัดออกไป แบบยังไม่ต้องสวมเสื้อ แล้วช่วงกลางกลิ่นจะลดลงมากระจายกึ่งดีกึ่งปานกลางกันพอสมควร พอผ่านไปซัก 5 ชม. ก็จะเริ่มเสถียรที่ออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปแล้ว 

สรุป - ถ้าตัดช่วงต้นออกไป นับตั้งแต่ช่วงกลาง นี่คือ Animalic Floral Powdery ที่มีเสน่ห์มากๆ อีกหนึ่งกลิ่นและไม่ธรรมดาในการสร้างภาพให้เห็นเหมือนนั่งดูภาพยนตร์ที่มีจุดเริ่มต้นที่มันไม่ได้ธรรมดาและโหดมาก มาสู่ความดิบห่ามกับเย้ายวนผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่าง 2 เพศแบบที่แม้จะมีความดุดันปล่อยสัญชาตญาณดิบ แต่ก็มีความอ่อนโยนแบบเนียนๆ สมกับคำว่า Make Love โดยที่ไม่แคร์สถานที่ได้ และที่สำคัญขอบอกตรงนี้เหมือนในเว็บใน Section ของน้ำหอมกลิ่นนี้เลยว่า “เปิดใจเถอะ” แล้วจะเจอว่ามีอะไรดีๆ อยู่ข้างในที่เรามองผิวเผินไม่ได้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

Review: Strangers Parfumerie - Lava Rose

Strangers Parfumerie - Lava Rose

น้ำหอมกุหลาบ” เพียงแค่เอ่ยออกมาก็เรียกว่ามีให้เลือกมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่ย่อมเยาจนถึง Exclusive อยากได้มุมไหนก็จัดได้ หาไม่ยากเลยในการใช้งานเพราะยอดนิยมสุดๆ โดยเฉพาะในการเป็นน้ำหอมผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เจอการนำเสนอมาแทบจะทุกโทนในความเป็นกุหลาบเลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น กุหลาบเพียวๆ จ๋าๆ ชัดๆ มีความเป็นธรรมชาติ ใสๆ สดชื่น ลุ่มลึก คุณหญิงคุณนาย ร้ายลึก กรุยกราย ลึกลับ หวาน ขนม เครื่องเทศ ไม้หอม ธูปต่างๆ และอื่นๆ ก็เรียกว่าไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียวในการเลือกใช้งานว่าอยากจะนำเสนอคาแรคเตอร์กุหลาบของตัวเองในด้านไหน

แต่เมื่อได้มาเห็นอีกหนึ่ง Concept ในการสร้างสรรค์กลิ่นแบบเป็นกุหลาบที่แตกต่างจาก Strangers Parfumerie กับการเอากลิ่นแนวลาวาภูเขาไฟมาจับคู่กับกุหลาบ แน่นอนว่าเมื่อเจออะไรแบบนี้ก็ต้องเอามาเรียนรู้กลิ่นกันหน่อยว่าการสื่อความที่เห็นภาพชัดเจนตามคำโปรยของแบรนด์ที่บอกว่า “สวนกุหลาบแดงที่อยู่บนลาวาร้อนๆ จากภูเขาไฟ” เนื้อกลิ่นที่ถ่ายทอดออกมาจะเป็นอย่างไร

Lava Rose เปิดตัวออกมาได้น่าสนใจมากในการเป็นกลิ่นกุหลาบที่ออกทางเขียวมาตีคู่กับลิ้นจี่ แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะสิ่งที่มาแบบชัดเจนมาเลยคือโทนออกทางแร่ธาตุกึ่ง Smoky ติดไหม้มีความเป็นกลิ่นออกแนวหลอมละลายแต่ไม่ได้ออกทางร้อนหรืออุ่นจ๋านัก เพราะมีกลิ่นออกทางดินๆ เข้ามาร่วมด้วย ที่สำคัญกลิ่นที่ออกทางพลาสติคโดนหลอมหน่อยๆ ที่เสริมเข้ามาทำให้จับต้องเนื้อกลิ่นได้แปลกและเก๋มากขึ้น โดยไม่ได้มีอารมณ์แบบบาดจมูกแต่อย่างใด เนื้อกลิ่นค่อนข้างบอกชัดพอสมควรเลยอารมณ์แบบดอกกุหลาบติดเขียวที่มีคามหอมกึ่งผลไม้ของลิ้นจี่ติดฉ่ำนิดๆ จะถูกรายล้อมด้วยความดาร์กหม่นแบบแร่ธาตุและพลาสติกหลอมละลายที่มีไอควันเนียนๆ มาเต็มพอสมควร ซึ่งพื้นฐานไม่เคยดมกลิ่นลาวาแบบหลอมวิ่งหนีตายภูเขาไฟระเบิด แต่สิ่งที่ได้สร้างภาพในหัวให้ร้สึกได้ถึงการเป็นกลิ่นแนวหลอมละลายได้มีและมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยกับการเปิดตัวที่ไม่เหมือนใครในการเป็นน้ำหอมกุหลาบเลย

ความน่าสนใจยังมาต่อชัดเจนมากเพราะช่วงกลางความเป็นกุหลาบจะชัดเจนขึ้นมีโทนที่แห้งมากขึ้น มีความ Smoky เนียนเข้าไปในเนื้อกลิ่นกุหลาบได้ความเป็นโทนออกทางคล้ายหนังไหม้ปนดินไหม้ปนไอแร่ธาตุที่อบอวลชัดเจนมากเนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจในการจับต้องเลย คือ จะได้โทนกลิ่นกุหลาบที่มีความเป็นกุหลาบติดนวลแกมกุหลาบแห้งมาก่อนแกมกลิ่นออกทางยางไม้ที่ติดปร่าคล้ายไม้สนไพน์ แล้วตามด้วยกลิ่นแร่ธาตุต่างๆ ที่ออกทาง Smoky แกมเมทัลลิคโลหะ ก่อนที่กลิ่นรองพื้นจะเป็นโทนออกทางกึ่งหนังไหม้เกรียมที่น่าจะมาจาก Birch Tar ซึ่งต้องยอมให้เขาเลยว่า การปรุงกลิ่นวางสมดุลย์ได้ดีมากกับเนื้อกลิ่นที่ไม่ได้ขาดหรืออัดหนักเรื่องไอหลอมละลายหรือควันจัดจ้าน แต่ในทุกๆ การรับรู้จะสัมผัสได้ถึงทุกเลเยอร์ที่สอดรับกันเป็นอย่างดี ให้ความเป็นกุหลาบเมทัลลิคเคล้ากลิ่นแร่ธาตุที่มีความไหม้และหลอม มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างและไม่เหมือนน้ำหอมกลิ่นกุหลาบกลิ่นไหนซักเท่าไหร่นัก ความ Unique น่ะมาเต็ม

ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นไม้หอมที่ติด Smoky ปนโทoธูป Incense จะเด่นชัดขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นกุหลาบที่ลดทอนบทบาทลงไปแต่ยังมีซีนอยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งความเป็ยนแร่ธาตุต่างๆ ก็ยังมีอยู่และผสมผสานกับกลิ่นไม้หอมติดไหม้แกม Smoky ควันไอของ Incense เนียนๆ ได้ลงตัวมาก ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้ความเป็นไม้ไหม้ที่มีความอบอุ่นกำลังดี และมีความแห้งๆ ในเนื้อกลิ่นที่ติดอวลๆ ซึ่งช่วงนี้ยิ่งจับ Birch Tar ได้ชัดเจนขึ้นอีกเพราะว่ามีโทนกลิ่นติดหนังไหม้เกรียมที่เคล้สกับกลิ่นไม้แห้ง Smoky ไม่ว่าจะเป็นไม้ Guaiac และหญ้าแฝก และมีกลิ่นออกทางดินไหม้ๆ ที่แทรกตัวเป็นฉากหลังให้รู้สึกได้อยู่ตลอด โดยที่ปลายกลิ่นจะมีความเป็นกุหลาบแห้งอ่อนๆ ให้ยังรู้สึกได้ว่าตัวเอกของกลิ่นยังอยู่ยงคงกะพันแม้จะผ่านลาวาหลอมแค่ไหนก็ตาม ปิดท้ายเนื้อกลิ่นได้น่าสนใจและมีความ Unique ที่มีเสน่ห์มาก

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะความเป็นกุหลาบมันสื่อถึงความเป็นผู้หญิงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่เอาเข้าจริงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก เผลอๆ กลิ่นสร้างเสน่ห์น่าค้นหาที่แตกต่างได้ดีมากอีกด้วย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เพราะกลิ่นมีความไม่เหมือนใคร เลยถ้าจะใส่ยามทางการอาจจะต้องดูความเหมาะสมนิดนึง แต่ถ้าใส่ไปทำงาน Office หรือใส่แบบทั่วๆ ไปที่สร้างคาแรคเตอร์เฉพาะให้ตัวเองอันนี้จัดไป รวมถึงยามค่ำคืนที่ไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือว่าใส่ท่องราตรีแบบเก๋ๆ มีระดับก็จัดไป แต่สิ่งที่ควรตัดออกในการใช้งานได้เลยคือการใส่เพื่อออกกำลังกาย ไม่เข้าทางอย่างแรงจริงๆ

ความทน - พื้นฐานค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่ไปต่อได้อีกว่ากันที่สภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าถึงกับ หือออออ แล้วไม่เกิน 1 นาทีถัดมาก็จะผ่อนลงมากระจายดีคงตัวไปซักราวๆ 1 ชม. ถึงลงมาเป็นปานกลางที่เป็นบาเรียรอบตัวแบบเหมาะสม แล้วค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 5 - 6 ชม. ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการติดผิวที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวเอาตอนเข้าชั่วโมงที่ 8 เป็นต้นไป 

สรุป - แน่นอนว่ากลิ่นนี้ไม่เหมือนน้ำหอมกุหลาบกลิ่นไหนเลยเท่าที่เจอมา เพราะมีความเก๋ไก๋และแตกต่างในการนำเสนอกลิ่นอายสไตล์หลอมละลายที่เข้าลักษณะแบบลาวาที่มีกลิ่นกุหลาบได้อย่างมีชั้นเชิงและลงตัวมาก ถือเป็นอีกหนึ่งงานศิลปะที่มีอัตลักษณ์ในเนื้อกลิ่นที่ชัดเจน มีความนอกกรอบที่เก๋และมีเสน่ห์เฉพาะตัวมาก ซึ่งสิ่งที่น่าเสียดายคือ กลิ่นนี้เลิกผลิตแล้วนี่แหละ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Strangers Parfumerie - Roasted Coffee


Strangers Parfumerie - Roasted Coffee Cigarette Whisky Come and Get Your Suede Honey Baby

ขอเรียกกลิ่นนี้สั้นๆ ว่า “Roasted Coffee” เพื่อความรวดเร็วในการสื่อความ

จากที่ผ่านน้ำหอมแบรนด์ Strangers Parfumerie นี้มาเรื่อยๆ เอาเข้าจริงก็เจอกลิ่นต่างๆ ที่โดดเด่นในโทนกาแฟมานักต่อนัก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบไหนต่างก็มีความเป็นเอกเทศในตัวเองพอสมควรในการสื่อความตามคาแรคเตอร์กลิ่นหรือเรื่องราวที่เป็นที่มาที่ไปของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ ซึ่งคราวนี้จะเป็นการเอาความรื่นรมย์ของโทนกาแฟเข้ม มาผสมผสานกับกลิ่นซิการ์กับวิสกี้ โทนหนัง และความหวานน้ำผึ้ง โดยเอาความเก๋ๆ แบบนั่งจิบกาแฟ วิสกี้ และ Snacks เคล้ากลิ่นซิการ์บนโซฟาหนังกับเพลงแนว House-pop แกม Techno ล้ำๆ ที่มีสไตล์อย่างเพลง Honey ของ Robyn มารวมเข้าด้วยกัน ที่สำคัญชื่อกลิ่นที่ยาวๆ ก็มีที่มาที่ไปมาจากเนื้อเพลง Honey นี้ด้วยเช่นกัน เช่นนั้น มาลองความแตกต่างในอีกรูปแบบของกลิ่นกาแฟจากแบรนด์นี้ต่อดีกว่าว่าจะสื่อสารเนื้อกลิ่นออกมาอย่างไร

Roasted Coffee เปิดมาด้วยความเป็นกรุ่นกลิ่นกาแฟดำเข้ม เคล้ากับกลิ่นหอมหวานของ Popcorn ที่เคลือบคาราเมลแกมน้ำผึ้ง ซึ่งแน่นอนว่าอะโรม่าของทั้ง 2 กลิ่นหลักนี้จะเป็นตัวเมนกันเลย โดยจะมีทั้งความขมหอมลุ่มลึก และความหวาน แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเมื่อพินิจพิเคราะห์แล้วมีกลิ่นออกทางยาสูบที่เป็นควันๆ แฝงอยู่กับฝั่งกาแฟ และฝั่งหวานจะมีวานิลลาแบบเบาๆ ให้รับรู้ด้วย โดยพื้นกลิ่นจะมีความอวลหน่อยๆ คล้ายกลิ่นหนังกลับ ซึ่งถือว่าเปิดตัวมาก็นำเสนอความเป็นกาแฟที่ไล่โทนจากเข้มสู่ความหวานหอมมีเสน่ห์จาก Popcorn ได้ดีมาก และมีความแตกต่างจากกลิ่นกาแฟอื่นๆ ที่แบรนด์นี้เคยทำมาก่อนหน้าได้มีเอกลักษณ์เลยทีเดียว

ในการขยับเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นในช่วงต้นก็จะยังตามมาทั้งหมด เพียงแต่จะเริ่มลดทอนความเป็น Popcorn ลงไป ซึ่งกลิ่นจะเนียนไปกับโทนกาแฟแบบสายสนับสนุนแล้ว แต่น้ำผึ้งจะชัดขึ้นมามากขึ้น และไม่พอยังมีวิสกี้เข้ามาเสริมทำให้อารมณ์กลิ่นจะทำให้นึกถึงแบบแยกส่วนเป็น กาแฟใส่น้ำผึ้ง Popcorn วานิลลาไซรัปคาราเมล ซิการ์ควันบุหรี่ หนังกลับ และวิสกี้ ก็ได้ หรือจะรวมส่วนเป็นกาแฟดำใส่น้ำผึ้งที่มีไซรัปวานิลลาหน่อยๆ + วิสกี้ และมีกลิ่นแนวบรั่นดีรวมอยู่ด้วย โดยมี Popcorn on Top ก็ได้ หรือจะเป็นกาแฟที่ใส่วิสกี้และบรั่นดีแบบ Irish Coffee ที่ไม่ได้มีครีมหรือวิปครีมแต่แทนที่ด้วย Popcorn ก็ย่อมได้ จนเมื่อกลิ่นดำเนินไประยะหนึ่ง ก็จะเริ่มจับต้องโทนหญ้าแห้งที่มาสอดรับกับกลิ่นยาสูบให้มีความชัดเจนมากขึ้น สร้างเสน่ห์ในการดึงดูดได้ดีเข้าไปอีก รวมถึงกลิ่นของหนังกลับก็เริ่มที่จะมีกลิ่นไม้หอมแทรกตัวเข้ามาให้ความอวลมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งโทนที่มาในปลายๆ ช่วงกลางนี่แหละที่จะเป็นตัวเด่นต่อเนื่องในช่วงท้าย

เมื่อกลิ่นยาสูบและวานิลลาเริ่มจะขยับตัวมาเป็นตัวเด่นในการนำโทนกลิ่นต่างๆ ร่วมด้วยความเป็นไม้หอมอวลๆ ที่มีความหนาและแน่นในระดับที่พอเหมาะ โดยที่มีพื้นกลิ่นเป็นโทนหนังกลับ ซึ่งความเป็นกาแฟดำแกล้มวิสกี้เริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโทนไม้หอมอวลๆ แล้ว โดยที่โทน Popcorn เริ่มเหลือเพียงปลายกลิ่น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งเนื่อกลิ่นจะไม่ได้มีเพียงแค่ที่กล่าวมา แต่จะมีลูกผสมของโทนออกทางยางหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย อารมณ์แบบที่ให้ความรู้สึกแนวคล้ายกลิ่นกึ่งหนังกึ่งลาเท็กซ์เข้ามาร่วมด้วย แถมเสริมด้วย Musk หน่อยๆ ที่เป็นกลิ่นอายสะอาดนวล เลยทำให้เลเยอร์ทางกลิ่นจะมีลักษณะไล่เรียงกันเริ่มจาก กลิ่นยาสูบและวานิลลาติด Popcorn เล็กๆ ที่มีความหวานนุ่มแกมหนังกลับที่มีลูกเอื้อนแบบกลิ่นยาง ตามด้วยไม้หอมที่มีความอวลกึ่งไม้แน่นๆ กึ่งแอมเบอร์แต่มีโทน Animalic หน่อยๆ ที่สอดรับพอดีกับกลิ่นหนังกลับ และมีความ Smoky นิดๆ ที่เป็น Effect เหมือนกลิ่นยางแกมควันหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย ก่อนที่ปลายกลิ่นสุดท้ายที่รับรู้จะเป็นพิมเสนปร่าระเรื่อหน่อยๆ ซึ่งถือว่าเนื้อกลิ่นมีความหนาอวลแบบกำลังดี ไม่ได้อัดหนักหรือเบาเกินไป มีความรื่นรมย์แกมล้ำๆ ทันสมัยหน่อยๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนหมาลัยขึ้นไปก็จัดได้สบายมาก และมีเสน่ห์เฉพาะตัวเสียด้วย เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเบามือนิดนึงถ้าอากาศร้อน เพราะกลิ่นมีความอวลหวานในระดับหนึ่ง ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ออกงานทางการจัดๆ อาจจะข้ามไปน่าจะดีกว่า และตัดการใส่ออกกำลังกายได้เลย เพราะไม่งั้นเกรงว่าจะหิวหา Popcorn กับกาแฟกินฉ่ำไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นนี้มีเสน่ห์เรียกความสนใจด้วยโทนหวานที่มีความหอมเข้มเย้าลึกแกมเก๋ได้ดีมากจริงๆ

ความทน - เรื่องนี้หายห่วงเพราะที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่ แถมอาบน้ำไปแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่อีก เช่นนั้นตัดความกังวลเรื่องนี้ทิ้งไปได้เลย

การกระจาย - ดีงามตั้งแต่ต้นยันช่วงปลายเลย ซึ่งมีความเสถียรในเรื่องนี้มาก กับการกระจายที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งพอเข้าประมาณชั่วโมงที่ 5 - 6 ก็จะผ่อนลงมาปานกลางแล้วคงตัวพอสมควรจนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 8 ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - ถ้าไล่เรียงตั้งแต่ต้นยันปลายกลิ่นอารมณ์คือความไล่เรียงสถานการณ์แบบชิลล์ๆ กับกาแฟแกมวิสกี้หรืออาจจะเป็น Irish Coffee ที่มี Popcorn หวานหอมเป็น Snack เคล้ากลิ่นควันซิการ์บนโซฟาผ่อนคลาย อารมณ์แบบชิลล์ๆ กับเพื่อนฝูงมากกว่าที่จะชิลล์คนเดียว และมีเพลงจังหวะ House เก๋ๆ ลอยมาเข้าหูให้มีความสนุก เรียกว่าเป็นการสื่อความตามคำโปรยของแบรนด์กับกลิ่นนี้ได้อย่างครบถ้วน และที่สำคัญกลิ่นไม่ธรรมดาเป็นอีกหนึ่งโทนกาแฟเด่นที่มีความเก๋ไก๋แกมกลิ่นหวานเย้ามีเสน่ห์โดยที่ไม่ไปสายดิบห่าม นิ่งร้าย เศร้าลึก หรือขนมหอมหวาน แต่ให้ความผ่อนคลายแกมความเก๋ได้ลงตัว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Strangers Parfumerie - Cigar Rum Intense

Strangers Parfumerie - Cigar Rum Intense

จากความสำเร็จในระดับโลกกับการแจ้งเกิด Niche Perfume แบรนด์สัญชาติไทยกับการเข้าเป็นหนึ่งใน Finalist ของรางวัล Art & Olfaction Award ประจำปี 2018 ในสย Artisan Category กับกลิ่น Cigar Rum ที่ทำให้ Strangers Parfumerie นั้นเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ทั้งสาย Niche และทั่วไปต่างก็สนใจใคร่ที่จะลองและต่างก็เก็บความประทับใจกันไปอย่างมากมาย จนทำให้ทุกวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย

และจากความสำเร็จของ Cigar Rum ที่ทำให้เกิดการต่อยอดในการตีความใหม่กับการใช้ Concept เดิม แต่เพิ่มเติมความเข้มข้น เพื่อสร้างประสบการณ์ในการใช้น้ำหอมที่แตกต่างและลุ่มลึกมากขึ้น จึงได้เกิดเป็น Limited Edition ขึ้นมากับการปล่อยตัว Extrait de Parfum หรือเป็น Pure Parfum ที่ความเข้มข้นสูงสุดออกมากับการนำเสนอในรูปแบบ Intense เช่นนั้นผ่านตัวต้นตระกูลที่ปัจจุบันนี้ก็ยังถือเป็นตัว Top ของแบรนด์มาแล้ว ก็ต้องมาลองกันซักหน่อยว่าสิ่งที่เข้มข้นมากขึ้นจะสื่อสารกลิ่นออกมาในลักษณะใด

Cigar Rum Intense เป็นตัวมากับการเป็นกลิ่นอายโทน Rum ที่มีลูกผสมของผลไม้แห้งรวมต่างๆ และรัมเรซิ่นให้รู้สึกได้ตั้งแต่วูบแรก ซึ่งกลิ่นจะมีความชัดเจนและเข้มกว่ารุ่นปกติมาก และที่สำคัญยังเอาความเป็นยาสูบที่ให้ความหวานอะโรม่ามาแทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นของความเป็น Rum อยู่ตลอด และไม่พอจับต้องได้ถึงกลิ่นเครื่อเทศโทนอบอุ่นที่ให้ความหวานอย่างอบเชยที่มาแบบปลายหวานเข้าพอดีพอเหมาะกับกลิ่นโทนเหล้ารัมและยาสูบมาก โดยที่จะจับต้องได้แบบพื้นหลังอยู่ว่าจะต้องมีโทนออกทางแอมเบอร์กับหนังรวมอยู่เป็นแน่แท้ เพราะเนื้อกลิ่นมีความอวลหนาให้จับต้องได้อยู่พอตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่าเปิดต้นกลิ่นมาก็มีความ Boozy ที่มีกลิ่นแบบติดเครื่องดื่มแนวแอลกอฮอล์ที่มีความเป็นโทนเจ้าเสน่ห์ มีความซับซ้อนเนียนๆ และทันสมัยตั้งแต่แรกเริ่ม 

การเปลี่ยนแปลงทางกลิ่นจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในลักษณะโทนกลิ่นที่มีความอวลไม้หอมเข้ามามากขึ้น ซึ่งทำให้ช่วงกลางของน้ำหอมกลิ่นนี้มีความชัดเจนแบบเจอกันตรงกลางพอดีระหว่างโทน Boozy เจ้าเสน่ห์ของกลิ่นรัมและผลไม้แห้งต่างๆ ที่จะไม่ได้คมชัดเท่ากับช่วงต้น แต่จะละระดับมาพอดีๆ กับกลิ่นสายไม้หอมต่างๆ เด่นที่กลิ่นหญ้าแฝกและโทนแนวหนังกึ่งแอมเบอร์อวลๆ ทันสมัย สิ่งที่น่าสนใจในช่วงนี้นอกจาก 2 โทนเด่น ก็เป็นยาสูบก่อนที่จะมาชัดเจนแบบติดกึ่งควันหน่อยๆ อารมณ์แบบสไตล์ Cigar จริงๆ ผนวกกับมีกลิ่นของกาแฟ เข้ามาให้ความอะโรม่าคาบเกี่ยวไม้หอมเข้ามาร่วมด้วย และมีความหอมติดกุหลาบกึ่งชาฝาดนิดๆ แฝงให้จับต้องได้ และที่สำคัญมีกลิ่นสาหร่ายๆ ติดเค็มหน่อยๆ ที่ให้วูบกลิ่นแบบทะเลเข้ามาเสริมด้วย ซึ่งถือว่าช่วงนี้เป็นไฮไลต์เลยที่ให้อารมณ์แบบทันสมัย เจ้าเสน่ห์แบบชิลล์ๆ ใกล้ทะเล ซึ่งกลิ่นมีความอวลชัดเจนมาก และสามารถเรียกเรตติ้งได้ดีมากในแง่ของการกระจายอีกด้วย

การเข้าสู่ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเปลี่ยนเอาความเป็นโทนไม้หอมอวลๆ เป็นแกนหลักของกลิ่นแล้ว โดยที่มีความเป็นหนังแบบกำลังดีไม่ดิบก่ามเกินไปเป็นลูกคู่แบบพื้นกลิ่น โดยความเป็นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝก + กับกลินไม้โอ๊คแบบถังบ่มเหล้าจะชัดเจนขึ้นมา โดยมีกลิ่นแนวแอมเบอร์ที่ให้ความอุ่นอวลเสริมความหนาของเนื้อกลิ่นซึ่งคาดว่าน่าจะมีกลิ่นอายแบบ Amberwood หรือ Ambroxan เป็นตัวตรึงให้เกิดความอวลเย้าแบบกึ่งไม้หอมกึ่งอุ่นอบอวลแกมเค็มหน่อยๆ เลยทำให้กลิ่นมีพลังขึ้นมาพอสมควร โดยที่ความเป็นยาสูบแนวกลิ่นซิการ์กับกลิ่นเหล้ารัมยังมีอยู่ปลายกลิ่นแบบเบาๆ กำลังดีให้ความทันสมัยและมีเสน่ห์ชัดเจนมาก ถือว่าเป็นการปิดท้ายที่จะอยู่ยั้งยืนยงคงกะพันกันยาวๆ แบบที่ไม่ต้องเติมระหว่างวันก็เอาอยู่แบบจัดเต็ม

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าจะไม่ได้เจาะจงในเรื่องเพศในการใช้กลิ่นนี้ แต่เนื้อกลิ่นก็ไพล่ไปทางผู้ชายเสียมาก เพราะมันให้อารมณ์ผู้ชายชิลล์ๆ เจ้าเสน่ห์จิบรัมและสูบซิการ์ที่มีความเท่ห์อวลทันสมัย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่ยามทางการก็ได้อยู่ เพียงแต่ดูความเหมาะสมนิดนึงเพราะกลิ่นรัมชัดไม่ใช่น้อย รวมถึงการใส่เพื่อออกกำลังกายอันนี้ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรีจัดไป กลิ่นให้เสน่ห์ที่มีระดับและมีความเย้ายวนอวลเท่ห์ได้ดีมาก

ความทน - อันนี้ขอบอกว่าเพราะความเข้มข้นสูงมาก ความทนเลยเรียกว่าข้ามคืน แม้ว่าจะอาบน้ำไปแล้วจนนอนตื่นมาในเช้าวันถัดไป กลิ่นก็ยังติดผิวอยู่เช่นนั้นหายห่วงในเรื่องนี้ได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปประมาณ 4 ชม. ได้เลย แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางกันยาวไปถึงราวชั่วโมงที่ 8 แล้วจึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ    

สรุป - เป็นการตีความในการนำเสนอ Cigar Rum ที่ไม่ได้มีแค่ความเข้มข้นที่มามากขึ้น แต่เพิ่มเติมเอาความทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานแบบสายอวลๆ ได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าทั้งกลิ่นปกติหรือ Intense ต่างก็เอาอยู่ในความดีงามทางกลิ่นได้อย่างครบถ้วนในการนำเสนอกลิ่นโทน Boozy เจ้าเสน่ห์แบบมีชั้นเชิงได้อย่างงดงาม แต่ก็มีเรื่องเสียดายอยู่อย่างนั่นก็คือ ตัว Intense เลิกผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าใครมีก็เก็บไว้ให้ดีเลย หรือถ้าไม่มีก็ไปสัมผัสเสน่ห์ของการเป็น Cigar Rum ปกติก็ยังได้ เผลอๆ กลายเป็นกลิ่นประจำตัวเอาได้เลยเสียด้วยซ้ำไป

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie