วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - So Fetch!

Strangers Parfumerie - So Fetch!

อีกหนึ่งตำนานในการเป็นภาพยนตร์สาย Teen/Tween ที่ตีแผ่สังคมวัฒนธรรมแบบวัยรุ่นอเมริกา ที่ต้องมี Teen Queen ประจำโรงเรียน แบ่งชนชั้นวรรณะ เหยียด Bully การให้ค่านิยมกับการเป็น Somebody ที่ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าหน้าผมมากกว่าความเป็นตัวเองอย่าง Mean Girls ซึ่งเสียดสีได้สนุกสนานมาก และยังมีบทที่ลงตัว มีที่มาที่ไป และบทสรุปขมวดท้ายได้อย่างสวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่งหนังวัยรุ่นในตำนานที่ไม่ควรพลาดที่จะได้ชม และที่สำคัญเรื่องนี้แจ้งเกิดนักแสดงชั้นนำต่างๆ ทั้งสายฝีมืออย่าง Rachel McAdams และ Amanda Seyfried และสายที่มาๆ หายๆ งงๆ อย่างหนูหลิน Lindsey Lohan (ที่พีคสุดจริงๆ ในช่วงเวลานั้น) ส่วนที่เหลือก็เป๋จนต้องประคองสติกันเลยทีเดียว (เสียดายมากกับฝีมือ)

และแน่นอนหนึ่งในคาแรคเตอร์ที่เด็ดดวงที่สุดของ Mean Girls ก็ต้องยกให้แกงค์สาวพลาสติคที่น่าหมั่นไส้และชวนเบ้ปากมองบนใส่ที่มียัย Regina George (Rachel McAdams) เป็นแกนนำ ที่ต้องเป็นสาว Hot เป็น Teen Queen หนุ่มๆ ต้องห้อมล้อม เสื้อผ้าหน้าผมต้องเริ่ด ต้องมีจริตมารยาจีบปากจีบคอสะตอสุดติ่ง ต้องมีสีชมพูบ่งบอกถึงความเป็นสาวน้อย มีความไร้สติและร้ายกาจสาย Bitch! เรียกว่านี่แหละคือสีสันของเรื่องอย่างแท้จริงๆ และคาแรคเตอร์นี้ก็ไม่พลาดที่จะมาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Strangers Parfumerie กับการเอาวลีเด็ดในเรื่องว่า So Fetch! (ที่เป็นการนิยามศัพท์แสลงใหม่ขึ้นมา จริงๆ ความหมายของมันก็คือ Cool สุดๆ อะไรประมาณนี้) มาเป็นชื่อรุ่น งานนี้ได้เวลาเข้าแกงค์พลาสติคผ่านกลิ่นกันหน่อยแล้ว ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นมาก็แบบว่า “ใช่ เสียยิ่งกว่าใช่” มันคือจริตสาววัยทีนที่พยายามเบ่งรัศมีความเป็นางพญาออกมาแบบให้เด่นสุดๆ เพราะกลิ่นจะได้อารมณ์สีแดงที่ให้ความวัยรุ่นแต่เพิ่มความกร้านเนียนๆ ลงไปชัดเจน ซึ่งต้องยกให้โทนกลิ่นเชอร์รี่เลย ที่ให้ความหวานสไตล์เชอร์รี่เชื่อมผสมกับกลิ่นน้ำพันช์ผลไม้สีส้มอมแดงที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานเรียกร้องความสนใจ แถมด้วยกลิ่นหวานน้ำตาลเคล้าเบอร์รี่เปรี้ยวๆ สีแดง ซึ่งเปิดมาอารมณ์กลิ่นก็บอกชัดเจนว่านี่แหละวัยรุ่นสาย Teen Queen Lolipop Bubblegum ที่ใช่เลยว่ากลิ่นมีความลั่นล้าสวยๆ ใสๆ แบบวัยรุ่นก็จริง แต่ใส่ความกร้านยั่วเนียนในจริตจัดเต็มทุกเม็ดมากมาย และแน่นอนกลิ่นกระจายดีงามแบบสไตล์เรียกร้องความสนใจเหมือนตะโกนออกมาเลยว่า “Look at me Now, Look at Me! (มองกรูเดี๋ยวนี้ค่า มองที่กรูค่าาาา!)” ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่ได้อารมณ์กลิ่นที่สนุกมากกับคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนกับการเป็นสาวพลาสติคสไตล์ Regina George & the Gangs จริงๆ และถ้ากลิ่นแบบนี้พุ่งมาจากทางไหน ก็จะคิดก่อนเลยว่ามันต้องมีแกงค์ผู้หญิงวัยรุ่นเชิ่ดๆ ร้ายๆ เปรี้ยวๆ จีบปากจีบคอกำลังตรงมาทางนี้แน่ๆ  

เพียงไม่นานกลิ่นดอกส้มที่ให้ความเปรี้ยวติดเขียวเจือนวลกับโทนออกมาหอมหวานกึ่งเหล้าที่มีกลิ่นอัลมอนด์ ซึ่งน่าจะจะเป็น Amaretto ที่มักมาผสมเป็น Cocktail หรือไม่ก็ทำขนมสไตล์อิตาลีจะค่อยๆ เปิดตัวออกมาผสมผสานกับโทนกลิ่นเชอร์รี่และน้ำพันช์ในช่วงต้น และเปิดทางในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะมีตัวเสริมออกทางกลิ่นคล้ายลิปสติกออกทางเนื้อ Butter กึ่งแป้งทึบของหัวเหง้าออริสที่มาเสริมสอดรับพอดีกับกลิ่นเชอร์รี่และน้ำพันช์ เลยทำให้ได้อารมณ์ลิปสติกสีแดงให้รู้สึก พร้อมกับมีโทนดอกไม้ต่างๆ ที่มีความเขียวเจือนวลปร่าอวลเคล้ากลิ่นโทนแป้งหวานดอกไม้ที่มีกุหลาบ ดอกสายน้ำผึ้ง และดอกส้มเป็นตัวยืนพื้นสร้างลักษณะกลิ่นแบบแป้งหอมอวลๆ แอบมีความซับซ้อนของกลิ่นโทน Animalic หน่อยๆ ที่เสริมความเซ็กซี่ โดยมาเชื่อมกับกลิ่นออกทางวานิลลากึ่งถั่วๆ ที่มาเสริมกับฝั่งเหล้าอัลมอนด์เลยให้อารมณ์แบบขนมอบกึ่งคุกกี้ถั่วร่วมด้วยที่สร้างโทนเรียกร้องความสนใจแบบปล่อยของ ตอบโจทย์ 4 สเต็ปอารมณ์กลิ่นเลยคือ กลิ่นแบบแป้งหอมดอกไม้สไตล์ผู้หญิงมีจริต แกมกลิ่นออกทางขนมถั่วอบเคล้ากลิ่นหวานอัลมอนด์ ที่ทำให้กลิ่นมีความเย้ายวนแบบจงใจ “แบบว่าเริ่ดไหมล่ะ ตัวฉันหอมน่ากินน่าดมสินะ” และมีกลิ่นลิปสติกเชอร์รี่ที่มีกลิ่นน้ำพันช์เปรี้ยวหวานเคล้าดอกส้มที่ก็ช่วยสนับสนุนตรงนี้อยู่ด้วย ก็เลยเข้าทางการเป็นกลิ่นแบบสไตล์ลั่นล้า วี้ดว้าย มั่นไปอี๊ก! ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้ก็ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นสไตล์วัยทีนที่พยายามใส่ความสาวสะพรั่งและอัดเสน่ห์ของตัวเองเข้าไป แล้วปล่อยมันออกมาแบบตรงๆ แบบที่ไม่ได้ซ่อนจริตอะไร คือ ชัดเจนว่าชั้นมาเพื่อสวย หอม เริ่ด และร้ายแบบหน้าตาเฉยสไตล์ Bitchy ซึ่งตอบโจทย์มากมายกับการเป็นสไตล์สาวพลาสติคกลุ่มนี้มาก โดยเฉพาะตัว Regina George เอง

จนเมื่อกลิ่นผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงท้าย ตอนนี้จะมีอารมณ์กลิ่นที่ค่อนข้างยืนพื้นที่โทน Musky ปนกับกลิ่นออกทาง Woody ที่มีความอวลๆ อารมณ์คล้ายกลิ่นแนวไม้ซีดาร์กึ่งแอมเบอร์ โดยมีกลิ่นโทน Animalic ที่ชัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มาแบบสาบปลุกเร้าสไตล์ Classic แต่อย่างใด เพราะมีโทนออกทางคล้ายขนมถั่วอบ (ถ้าให้เดา น่าจะเป็น โปรตีนบาร์ ตามที่แบรนด์ลงไว้) ที่มีวานิลลาอัลมอนด์หน่อยๆ มาตัดทอนให้กลิ่นสร้างความเย้าอวลดึงดูดและเซ็กซี่ทันสมัยเสียมาก สอดรับกับกลิ่นในช่วงกลางที่ตามมาแบบกำลังดี ยังคงให้ลูกเล่นโทนกลิ่นสีแดงเหลือบไล่โทนสีลงมาชมพูได้ชัดเจนจากเชอร์รี่ เบอร์รี่ ดอกส้ม และโทนแป้ง เพียงแต่มีความหนาของกลิ่นที่พอสมควรจนเป็นกลิ่นสไตล์อวลเรียกแขกให้มาชื่นชม ถ้าถูกใจก็คลุกวงในก็ได้เช่นกัน เรียกว่าปิดท้ายแบบที่ทิ้งรอยทางเอาไว้ให้จำได้ว่านี่แหละ Regina George แห่ง Mean Girls ที่เห็นแบบนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป (เอาตามวัฒนธรรมแบบไทยนะ ถ้าเป็นตะวันตกหรือฝรั่ง High School ก็โตเกินวัยปล่อยของไม่ยั้งได้แล้ว) ซึ่งกลิ่นนี้ให้ตัดการใส่ยามทางการและออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางทุกประการ แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน ใส่ช้อปปิ้ง จัดไป อันนี้เรียกร้องความสนใจได้ดีมาก แต่ถ้าอากาศร้อนๆ แนะนำเบาสเปรย์หน่อยจะได้กำลังดีไม่อึดอัด ส่วนยามค่ำคืนใส่ไปท่องราตรีจัดไป มาเด่น มาชัด ยืนหนึ่งในกลุ่ม หรือถ้าใส่มาทั้งกลุ่ม ก็ยืนหนึ่งในงานกันได้เลย นอกจากนี้ถ้าผู้ชายจะใช้งานน้ำหอมกลิ่นนี้บอกเลยว่าไม่เสียหาย เพราะช่วงท้ายมีลูกกลิ่นที่ Unisex พอตัวเลยทีเดียว อีกอย่างกลิ่นแบบนี้เวลาดูบนตัวผู้ชายมันก็มีเสน่ห์อีกแบบที่สร้างแรงดึงดูดได้ด้วยนะ (ได้รับคำชมจากผู้หญิงมาแล้วกับการใช้กลิ่นนี้ด้วยล่ะ)

ความทน - มากกกกกก เรียกว่า 15 ชม. ยังคงความปล่อยของอยู่ไม่ลดราวาศอก ก็ไม่ได้มาเล่นๆ So Fetch! ขนาดนี้จะแผ่วได้อย่างไร จริงไหม? เช่นนั้นถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ว่ากันที่ราวๆ 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก

การกระจาย - ดีมากกกกก เรียกว่าเปิดมาก็ปล่อยพลังรอบทิศกันเลยทีเดียว มาแบบให้รู้ว่าชั้นมีเสน่ห์ ชั้นฮอต ชั้นเริ่ด แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปยาวๆ จนถึงราวๆ 5 ชม. ได้แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ คงตัวไปจนถึง 10 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว คงตัวไปจนกว่าจะอาบน้ำล้างตัว ซึ่งขนาดอาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่เลย เช่นนั้นไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้

สรุป - กลิ่นนี้สร้างความสนุกสนานมากจริงๆ ในการจับกลิ่นแล้ว Link กับภาพยนตร์ที่เคยดูมา ซึ่งกลิ่นตรงตามคาแรคเตอร์ Regina George & the Gangs ที่จะต้องใส่อะไรเหมือนๆ กันแบบเป๊ะมาก มีทั้งความลั่นล้า การปล่อยของ การสร้างออร่า Teen Queen และความ Bitchy ที่ชัดเจน แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองมาเป็นแบบคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์นี้มาก่อน ถือเป็นกลิ่นสายยั่วและเปิดตัวให้ทุกคนหันมองได้อย่างชะงัดมากๆ แบบว่ามีความจงใจ ไม่เม้ม ก็สวยและเริ่ดมากอ่ะ รวมมีความวัยรุ่นบับเบิ้ลกัมเข้ามาผสมผสานให้มีความเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์การใช้งานในช่วงอายุที่กว้างขึ้น ทั้งยังเข้าทางเทรนด์กลิ่นที่ต้องมีความเซ็กซี่แบบมีเสน่ห์และปล่อยของแบบที่ไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ แต่อย่างใด นี่แหละเข้าทาง So Fetch! เต็มๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie

 

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Centauri Perfumes - C2

Centauri Perfumes - C2

จากความรักในกลิ่นน้ำหอมต่างๆ สู่การเป็น Youtuber ที่เป็นนักรีวิวน้ำหอมที่มีคุณภาพสูงมากๆ คนหนึ่งของโลกกับ Channel - FragranceView ก็ได้ขยับขยายมาสู่การเป็น Perfumer เองของ Peter Carter หนุ่มชาวอังกฤษ ในการสร้างสรรค์กลิ่นอายเฉพาะต่างๆ ออกมาแบบ Small Batch ที่เปรียบเสมือนเป็น Limited Edition กลายๆ ที่มีแรงบันดาลใจการสร้างสรรค์กลิ่นตามช่วงเวลาเช่น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในการเป็นแบรนด์ Centauri Perfumes  ผ่านกลิ่นอายต่างๆ ที่เปิดตัวออกมาแล้วถึง 3 รุ่น กับขวดและฝาที่สวยมาก และชัดเจนว่ามีอิทธิพลจากศิลปะอิยิปต์โบราณมาเกี่ยวข้องเต็มๆ แต่

ไม่ได้มากับ 3 รุ่นที่ออกมาวางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด (ซึ่งในอนาคตจะมาเล่ากลิ่นอีกที) เพราะการมาเจอกับแบรนด์นี้่ครั้งแรกก็ขอมาที่ตัว Exclusive ที่สร้างขึ้นมากับการระดมทุนเพื่อบริจาคให้กับองค์กรการกุศลอย่าง CTC The Gathering Place ที่เป็นธนาคารอาหารและที่พักหลับนอนชั่วคราวให้กับผู้ยากไร้ที่หิวโหยต่างๆ ซึ่งมีขวดเดียวซะด้วยในโลก และเมื่อได้รับการแบ่งปันมาจากผู้ชนะที่ได้รับขวดนี้มา แล้วมาตกผลึกทุกทุกช่วงกลิ่นจนได้ที่แล้ว ก็ต้องมาถ่ายทอดกันหน่อยว่ากลิ่นของรุ่นพิเศษที่ให้ชื่อรุ่นว่า C2 จะเป็นอย่างไรบ้าง

C2 เปิดตัวมาแบบอารมณ์ลูกผสมโทนกลิ่นที่มีทั้งความหวานติดเอียนเล็กๆ แบบโทนคาราเมลกึ่งน้ำผึ้ง แต่ก็ไม่ได้หวานแหลมจัดหนักคลอไปด้วยกลิ่นกุหลาบที่มีลูกโทนกึ่งหวานกึ่งแยมหน่อยๆ และมีลูกโทนแบบผลไม้แห้งๆ แกล้มวานิลลาบางๆ รวมอยู่ด้วย แต่มันไม่ได้จบแค่นี้เพราะสายหวานเหล่านี้เป็นเป็นฉากหน้าเท่านั้น โดยในวูบถัดมาจะมีกลิ่นชอคโกแลตที่ไม่ได้ถึงกับดาร์กมาก ตามด้วยการแทรกตัวของกลิ่นออกทาง Animalic ที่แทรกขึ้นมาที่จับได้ถึงกลิ่นคล้ายยางไม้ และกลิ่นคล้าย Musk ติดดิบบางๆ เนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นมันมีอะไรหลากหลายมากเลยทีเดียวที่ทำให้สนุกในการจับกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่าตามสไตล์ Niche Perfume กลิ่นแบบนี้อาจจะทำให้รู้สึกงงๆ กันก่อนว่าตกลงมันคืออะไร เพราะมันจะมีความมะรุมมะตุ้มนิดนึง

เมื่อไปต่อที่ช่วงกลางคราวนี้จะเป็นการผสมผสานที่มีลูกโทนที่มีความซับซ้อนมาก โดยยืนพื้นที่กลิ่นอายสายติดดาร์กอยู่เช่มเดิม ซึ่งกลิ่นชอคโกแลต โทนหวานคาราเมล และโทนกุหลาบติดวานิลลาก็ยังคงเป็นเมนเช่นเดิม แต่จะเพิ่มเอากลิ่นคล้ายเหล้ารัมผลไม้เข้ามาสร้างมิติความน่าค้นหา และจะมีกลิ่นโทนสมุนไพรแห้งๆ หน่อยๆ เข้ามาคลอ รวมถึงแอบมีโทนเหล้ารัมเข้ามาหน่อยๆ ด้วย แน่นอนว่าจับต้องได้ถึงโทน Animalic ที่แทรกตัวอยู่ตลอดอารมณ์กลิ่นจะกึ่ง Musk กึ่งกลิ่นนมๆ กึ่งกลิ่นหนัง ซึ่งภาพรวมของกลิ่นจะได้ความหวานปะแล่มๆ ของกุหลาบติดวานิลลา มีความนัวของชอคโกแลตที่ไม่ได้ข้นจัดแต่แกมกลิ่นออกทางคาราเมลกึ่งน้ำผึ้งหน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางยางไม้แปร่งๆ มาสร้างอารมณ์น่าค้นหา มีกลิ่นออกทางกึ่งจะคลาสสิคหน่อยๆ ที่ให้ความร่วมสมัยที่ Mix & Match และปิดท้ายด้วยโทนสาน Animalic ที่เซ็กซี่ดึงดูดแกม Dirty ซึ่งแน่นอนว่าความซับซ้อนยังคงชัดเจนมีเลเยอร์อะไรให้จับต้องได้แบบหลากหลายและมีความเก๋อยู่ในตัวเองสูงมาก

และเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนโทนหวานๆ ออกทางคาราเมลเริ่มหายไป และกลิ่นชอคโกแลตเริ่มลดทอนตัวเองลงไปพร้อมกับกลิ่นโทน Animalic ต่างๆ ติดสวาบปลุกเร้าเริ่มที่จะเบาลง ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความโดดเด่นของกลิ่นโทนนุ่มนวลจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีลูกผสมของโทนแป้งติด Buttery เนยๆ จืดๆ ของหัวเหง้าออริส กลิ่น Musky นวลๆ กลิ่นนมอุ่นๆ ที่ให้ความนวลละมุนแบบกลิ่นกายอาบนมสด และกลิ่นไม้จันทน์หอมที่สร้างความในวลครีมมี่ไม้หอมสอดรับกับกลิ่นอายสายนวลได้อย่างลงตัว โดยที่จะยังมีกลิ่นชอคโกแลตติดหวานกึ่งกุหลาบแกล้มวานิลลาบางๆ มีโทนไม้หอมยางไม้อ่อนๆ สร้างความดึงดูดหน่อย ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะมีอารมณ์คล้ายชอคโกแลตลาเต้ที่จะมีกลิ่นออกทางนวลนมนุ่มละมุนแกม Animalic หน่อยๆ ตามธรรมชาติของกลิ่นนม เคล้าชอคโกแลตที่มีลูกเย้าหน่อยๆ มีความหวานกุหลาบบางๆ ระเรื่อๆ ให้มีลูกเล่น เป็นเลเยอร์ที่ลงตัวไม่ได้ข้นและดาร์กเท่ากัยช่วงต้นและกลางแล้ว ปิดท้ายการเปลี่ยนกลิ่นอายที่ให้อารมณ์แบบร่างกายกลิ่นหอมนมนวลๆ น่ากินแกมหวานสะกิดปลายจมูกเคล้าความหอมชอคโกแลตบางๆ เรียกว่าสร้างความรื่นรมย์ปนน่ากินได้ดีมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้กับทุกเพศ เพียงแต่กลิ่นจะมีความซับซ้อนและเปิดมาอาจจะดูงงๆ กันก่อน ซึ่งถ้าไม้ชินอาจจะตบไปได้เลย อย่างน้อยผ่านน้ำหอมเชิง Niche หรืออินดี้มาก่อนบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเข้ากับกลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่เบามือนิดนึงกับอากาศเมืองสารขัณฑ์บ้านเรา ซึ่งไม่เข้ากับยามทางการรับแจกบ้านแขกเมืองเท่าไหร่ รวมถึงการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป อันนี้ได้เลย สร้างออร่ากลิ่นที่ไม่ธรรมดาและไม่เหมือนใครได้ดีมากอ ส่วนยามค่ำคืนใส่ทั่วๆ ไป ใส่กึ่งโรแมนติค หรือใส่ท่อราตรีก็ได้อยู่ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังจัดจ้านนัก เน้นคลุกวงในเสียมากกว่า

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ที่ยังจับต้องกลิ่นได้อยู่ชัดๆ ส่วนที่เหลือจะเป็นติดผิวที่ต้องดมใกล้ๆ จนค่อยๆ จางไป 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางคงตัวราวๆ 4 ชม. แล้วถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนเผื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้วก็จะเป็น Skin Scent

สรุป - มันมีความซับซ้อนในโทนหวาน ที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเราอาบขนมมาจากไหน แต่ให้อารมณ์ที่หลากมิติในการรับรู้ที่เติมเต็มกันได้ดีพอตัวเลย ไม่ว่าจะหวาน จะเข้มหอม จะแปร่งเก๋ๆ จะดึงดูดเย้ายวน จะ Dirty ซึ่งถ้าในอนาคตตัวนี้ได้ไปต่อ (ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงอะไรอีก) บอกเลยว่าน่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยส่วนตัวชอบกลิ่นช่วงท้ายจริงๆ อารมณ์กลิ่นนมคลอผิวกายแกมกลิ่นชอคโกแลตติดหวานปลายกลิ่นสร้างความฟินมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/fragranceview/posts/883669452171200

 

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Smell Bent - Brussels Sprouted

Smell Bent - Brussels Sprouted

Smell Bent เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สายอินดี้จาก LA ที่มากับความเก๋ ซึ่งแน่นอนว่า Concept ของแบรนด์เน้นความ Contrast กัน คือ ตั้งชื่อให้มันดูบ้าบอ แต่เรื่องกลิ่นมีความดีงามในฝีมือแบบที่ปรามาสไม่ได้นะ เพราะไม่ได้มาเล่นๆ

และแน่นอนตามสไตล์แบรนด์อินดี้อเมริกัน ก็ต้องทำใจกันนิดเพราะว่าไม่เน้นเรื่องความสวยของขวด แต่เน้นกลิ่นเป็นหลัก เช่นนั้น เป็นสิ่งที่ดีมากที่จะทำให้มา Focus กันอย่างจริงจังว่าจะทำกลิ่นออกมาอย่างไร ซึ่ีงไม่ว่าชื่อรุ่นแต่ละรุ่นมันจะแบบว่า นี่น้ำหอมจริงๆ เหรอ? แต่ก็นะ ได้รับความนิยมและหลายๆ ตัวได้สร้างการยอมรับจากหมู่ผู้ใช้น้ำหอมเลยว่าไม่ธรรมดาในการสื่อสารกลิ่น เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาสจัดแบรนด์นี้มาครอบครอง 1 กลิ่น ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจที่ชื่อกลิ่นมันบ้าบอ เนื้อแท้ของกลิ่นจริงๆ เป็นเช่นไรกับรุ่นนี้เลย Brussels Sprouted

อย่างแรกต้องบอกก่อนว่า ชื่อรุ่นที่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Brussels Sprout ที่แปลออกมาว่า “กะหล่ำดาว” หรือกระหล่ำลูกจิ๋วๆ ที่เป็นผักประเภทหนึ่งที่นำมาประกอบอาหารสไตล์ฝรั่งกันมานักต่อนัก มันทำเอา “เอ๋อ” และคิดไปต่างๆ นานาเลยว่ากลิ่นมันจะเป็นกะหล่ำเดินได้หรือเปล่า แต่มันกลับกลายเป็นว่ากลิ่นมีความมินิมัลที่เป็นธรรมชาติมาในการเป็นกลิ่นโทนเขียวปนชื้นอารมณ์แบบกลิ่นป่าแบบแถวภูมิอากาศแบบยุโรปหรืออเมริกันที่จะมีความเป็นป่าโปร่งๆ หลังฝนตก ซึ่งกลิ่นที่ฟุ้งออกมาเลยจะเป็นกลิ่นไม้เปียกๆ ติดหวานหอมธรรมชาติ กลิ่นเขียวใบไม้เปียกๆ ดินเปียกๆ อากาศชื้นๆ คือมาหมดเลย เรียกว่าสร้างบรรยากาศกันอย่างชัดเจนเหมือนเดินในป่าหลังฝนตก ซึ่งในบางวูบจะได้กลิ่นเขียวๆ แบบติดผักหน่อยๆ ซึ่งก็ใช่แหละกลิ่นกะหล่ำแบบเขียวๆ แต่มันก็ไม่ได้เด่นเท่ากับกลิ่นไม้เปียกๆ กับไอชื้นระเหยที่สร้างสรรค์ออกมาได้น่าประทับใจมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะจับต้องได้คือ ไม่มีช่วงกลางที่เด่นชัด แต่เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเสียมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นจะค่อยๆ แห้งขึ้นตามลำดับ ลดบทบาทกลิ่นออกทางไม้เปียกหอม กลิ่นเขียวติดเปียกชื้น ดินเปียก และอารมณ์ความชื้นหลังในตกไปเรื่อยๆและเป็นการค่อยๆ สลับเอาโทน Musky ไม้แห้งๆ ดิน Earthy แห้งๆ ที่รู้สึกได้ว่ามี Oakmoss ด้วย ค่อยๆ ขึ้นมาตามเวลาที่ผ่านไปจนกลายเป็นโทนเด่นนำกลิ่นในช่วง Dry Down ที่จะได้อารมณ์บรรยากาศที่แห้งมากขึ้นแอบมีความเขียวปลายกลิ่นบางๆ แต่ที่มีทั้งหมดจะให้กลิ่นที่ไม่ได้ถึงกับสะอาดนวลแบบเกลามาเป็นอย่างดีนัก แต่จะมีความเป็นกลิ่นกึ่งสะอาดกึ่ง Dirty ที่เป็นธรรมชาติ อารมณ์แบบกลิ่นกายที่ไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่มีกลิ่นอายของบรรยากาศมาติดผิวกายที่มีความ Animalic เบาๆ จาก Musk โดยจะได้ทั้งกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่มาจากไม้ซีดาร์ กลิ่นไอดินระเหย กลิ่นแบบพืชล้มลุกเรี่ยดินเขียวเข้มๆ อวลอ่อนๆ ติดปลายเขียวอมหวาน อารมณ์เสมือนโลชั่นเคลือบกายที่มีกลิ่นธรรมชาติโคตรๆ และมีโทนติดทาง Classic เพราะพื้นฐานกลิ่นช่วงนี้เป็น Musky Earthy ที่ได้อารมณ์เท่ห์ๆ แบบไม่ได้เกลากลิ่นให้เป็นสายทันสมัยหรือเนี้ยบ แต่ให้อารมณ์สบายๆ กึ่งลุยๆ อารมณ์ป่าๆ ธรรมชาติในบรรยากาศแห้งๆ ได้ดีมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าก็จริง แต่เพราะเป็นกลิ่นแนวสภาพแวดล้อม เช่นนั้นผู้หญิงใส่ได้สบายมาก แต่จะออกแนวกลิ่นอายธรรมชาติลุยๆ ประมาณนี้ ซึ่งกลิ่นนี้จัดได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่ยามทางการจัดๆ ที่ไม่เข้าทางนัก เพราะดูลุยป่าไปนิดนึง ส่วนยามค่ำคืนก็เช่นกัน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะลงตัวที่สุด เพราะใส่ไปท่องราตรี นอกจากกลิ่นจะไม่ได้มาสายเย้ายวนแล้ว ยังจะโดนกลบเอามิดได้ง่ายๆ เลย 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวกับพื้นฐานค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะลดลงมาที่ปานกลางไม่ถึง 2 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะให้โทนที่กึ่งออร่าเบาๆ กึ่งติดผิวไปเรื่อยๆ คงตัว แล้วจะลดลงมาติดผิวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว 

สรุป - ไม่ได้เป็นกะหล่ำดาวเดินได้แน่ๆ เพราะอันนี้เป็นแค่ชื่อกลิ่นที่สร้างความเฮฮาบ้าบอไปตาม Concept แบรนด์ แม้จะมีกลิ่นกะหล่ำปลีให้จับต้องได้อยู่บ้างก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ากลิ่นนี้คือการเอาความเป็นธรรมชาติของป่าจากชุ่มฉ่ำสายฝนสู่ความแห้งที่ให้ความเป็นธรรมชาติและมีความ Classic ในเนื้อกลิ่น ถือว่าทำกลิ่นออกมาให้ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาได้ดีมากจริงๆ ยอมมมม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.smellbent.com/products/brussels-sprouted

 

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Comme des Garcons - Scent One: Hinoki

Comme des Garcons - Scent One: Hinoki

ในเรื่องความเก๋ล้ำๆ ที่ไม่ว่าจะแฟชั่นหรือการสร้างสรรค์กลิ่นแบรนด์ที่มาเป็นลำดับต้นๆ ในสายนี้หนึ่งในนั้นต้องมี Comme des Garcons อยู่เป็นลำดับแรกๆ มาเสมอ แต่ในมวลหมู่น้ำหอมทั้งหลายของแบรนด์นี้ก็ไม่ได้ล้ำเว่อร์วังเสมอไป ก็มีหลายๆ Collection ที่เข้าถึงได้ง่ายก็มี และครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้งานได้หลากหลายไม่น้อยเลย

ซึ่งนอกจากที่จะมี Collection ต่างๆ มากมายแล้ว แบรนด์เองก็ไปจับมือร่วมสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ Collaboration โดยจะเน้นไปที่นิตยสารหรือศิลปินดังๆ กับเขาด้วยไม่ว่าจะเป็น Pharrell Williams นิตยสาร Vouge และนิตยสารทางด้าน Lifestyle ชื่อดังอย่าง Monocle เองก็มาจับมือสร้างสรรค์กลิ่นอายแบบสายเรียบง่ายแต่มีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะโดยเจาะจงที่ความพิเศษของ Notes กลิ่นเฉพาะต่างๆ ที่เป็นเฉพาะเจาะจงแบบสไตล์มินิมัล ซึ่งในการเล่ากลิ่นครั้งนี้จะมาแตะที่รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ กับการสื่อสารถึงอารมณ์กลิ่นเวลาอาบน้ำร้อนที่เกียวโต โดยเจาะไปที่กลิ่นไม้ Hinoki ที่เป็นไม้สนประเภทหนึ่งที่มีบทบาทต่อสิ่งก่อสร้าง รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ของชาวญี่ปุ่นมาอย่างช้านาน รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในห้องอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย มา มาดมกันผ่านตัวอักษรดีกว่า

Scent One: Hinoki จะมาแบบชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นในการเป็นน้ำหอมโทนกลิ่นไม้หอมที่ชะอุ่มๆ เขียวปนปร่าเผ็ดสไตล์ไม้สนที่สร้างอะโรม่าชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลย แถมได้อารมณ์กันเต็มๆ ถึงความเป็นไม้สนแบบไม้ Hinoki โดนที่มีกลิ่นปร่าสะอาดของสนไซเปรสเนียนๆ ผสานรวมอยู่ โดยในช่วงต้นจะมีองค์ประกอบกลิ่นที่น่าสนใจอย่างกลิ่นการบูรที่ให้อารมณ์เมนทอลตีคู่ไปด้วย และจะมีกลิ่นออกทาง Incense ยางไม้กึ่งพริกไทยที่มีความสดชื่นเจือๆ อย่าง Frankincense ที่จะตัวเชื่อมโทนตรงกลาง เลยจะทำให้อารมณ์กลิ่นไม้อะโรม่าติดปร่าเผ็ดฟุ้งๆ ชัดนิดนึง แต่ไม่ได้ถึงกับคมบาด เพราะในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นอายชื้นๆ แบบไม้เปียกน้ำมากล่อมให้กลิ่นได้อารมณ์แบบห้องน้ำพื้นไม้และอุปกรณ์ในห้องน้ำเป็นไม้ที่เปียกๆ หน่อยๆ แอบมีโทน Earthy นิดๆ เสียด้วย เรียกว่า เออ กลิ่นแบบแช่น้ำร้อนในอ่างไม้ฮิโนกิที่กลิ่นอะโรม่าไม้สนปร่าเผ็ดชัดๆ ประมาณนั้น แล้วการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเข้าช่วงถัดไป

ช่วงกลางกลิ่นจะลดทอนความเผ็ดปร่าชัดๆ มาจากตอนต้นลงมาพอสมควร ซึ่งแน่นอนกลิ่นไม้ Hinoki ยังคงเป็นตัวเด่นอยู่ และแน่นอนว่ากลิ่นสนไซเปรสยังคงให้อารมณ์ปร่าติดเขียวชะอุ่มเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นสร้างอะโรม่าของความเป็นไม้สนหอมที่ติดปร่ากำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเข้าโทนแห้งมากขึ้นและมีความปลอดโปร่งร่วมด้วยแนวไม้ซีดาร์หน่อยๆ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดมีกลิ่นสารหอมอย่าง ISO E Super แน่นอนที่มาสร้างอารมณ์กลิ่นไม้สว่างๆ โปร่งๆ สไตล์ไม้ซีดาร์ รวมถึงจะมีกลิ่นติดเขียวปร่าสะอาดกึ่งยางสนหน่อยๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์แบบกลิ่นไม้สนไพน์ที่เข้ามาเสริมให้ความเป็นอะโรม่าไม้หอมมีครบเครื่องมากในการเป็นกลิ่นโทนสนต่างๆ มารวมกันได้เป็นอย่างดี โดยที่กลิ่น Frankincense ยังคงเป็นตัวเสริมที่ดีให้อารมณ์ปร่าเผ็ดลุ่มลึกเจือสดชื่นสว่างๆ ทำให้ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะเป็นโทนไม้สนหอมที่ชัดเจนมากและตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมให้ความอะโรม่าของไม้หอมชัดเจนทุกสโตรกและไม่หนักหน่วงจนเกินไป คลอด้วยโทน Incense ที่ทำให้กลิ่นมีความชัดเจนคงตัวอยู่ได้ดีตลอด จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนสมควรแก่เวลาในการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้าย ที่จะเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ ที่ชัดเจนขึ้นแน่นอนช่วงนี้ไม้ซีดาร์จะ Tag Team กับหญ้าแฝกให้โทนออกทางไม้แห้งๆ ให้กับโทนไม้ Hinoki กลิ่นจะมีโทนสว่างๆ คุมโทนความเป็นไม้หอมปร่าๆ ติดเขียวที่รื่นรมย์ โดยมีกลิ่น Incense อ่อนๆ คลออยู่ติดควันเล็กๆ สร้างอะโรม่าหน่อยๆ และที่สำคัญมีโทนกลิ่นติด Earthy เขียวการ์กอ่อนๆ ของ Oak Moss ให้จับได้เบาๆ สร้างความลุ่มลึกปนนิ่งสงบได้ดีมาก กลิ่นจะไม่ได้หวือหวาโหวกเหวกเลย ให้ความอะโรม่าเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีเสน่ห์สไตล์มินิมัลที่ลงตัวและสร้างความรื่นรมย์ได้ดีจนถึงปลายทางเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะว่าเป็นกลิ่นสภาพแวดล้อม ที่ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถพึงใจกับกลิ่นอะโรม่าหอมไม้สนแบบนี้ได้ไม่ยาก แต่จะมีช่วงท้ายๆ ที่จะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยราว 75% ได้ แต่ถ้าผู้หญิงไม่มายด์ก็จัดไป ได้ความรู้สึกขรึมขลังนิ่งเรียบมีเสน่ห์อีกต่างหาก ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมีความอะโรม่าปนสุภาพเป็นทุนเดิมที่เข้าได้หมด จะมีก็แต่การใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ รวมถึงยามค่ำคืนที่กลิ่นนี้ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพื่อเน้นปล่อยของด้วยเช่นกัน เพราะเบาไป แต่ถ้าใส่เพื่อความอะโรม่าบอกเลยดีงาม

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีไปต่อได้อีกก็ว่ากันที่สภาพผิวคนนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กำลังดีกับ 7 สเปรย์ แล้วจะค่อยๆ จางไป

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในวูบแรกๆ แล้วจะลงมาเป็นปานกลางไม่ถึง 1 ชม. ที่เหลือก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ เรียกว่าเป็นกลิ่นอายอะโรม่าสไตล์ที่ปุ่นที่ไม่เน้นโฉ่งฉ่างได้ชัดเจนจริงๆ

สรุป - เนื้อกลิ่นมีความมินิมัลสูงมากและให้อารมณ์สภาพแวดล้อมกันอย่างชัดเจนในการสื่อถึงความเป็นไม้ Hinoki ที่นำทีมกลิ่นไม้สนที่มีความอะโรม่าในตัวมานำเสนอ ส่วนตัวเรียกว่าชอบช่วงต้นมากที่มันจะมีความชื้นๆ แบบกลิ่นห้องน้ำไม้ Hinoki ที่มีสีนวลตาได้ดีมาก ที่เหลือคือความอะโรม่าของไม้หอมเน้นๆ ที่ทำเอาคนที่ชอบโทนแบบไม่โฉ่งฉ่างผ่อนคลายเอาได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.comme-des-garcons-parfum.com/perfumes/monocle-scent-one-hinoki

 

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: 4711 - Acqua Colonia Lychee & White Mint

4711 - Acqua Colonia Lychee & White Mint

เมื่ออยู่กับกลิ่นน้ำหอมสายแน่นๆ ดาร์กๆ บ่อยครั้งเข้า การหันมาใช้กลิ่นอาย Cologne ที่สบายๆ สดชื่น ผ่อนคลายมักเป็นทางเลือกที่ดีเสมอที่ให้จมูกเองก็ได้พักผ่อน และหลายๆ ครั้งผู้เขียนเองก็จะกลับมาที่ 4711 เพราะเรียกว่ายังไงก็รอดเสมอในการใช้งาน ยิ่งอากาศบ้านนี้เมืองสารขัณฑ์นี้ช่างร้อนสุดๆ ขนาด ซึ่งเมื่อกลับไปชะม้อยชะม้ายชายตามักจะไปเจอตัวออกใหม่ที่น่าสนใจทุกที และเมื่อต้นปี 2020 ก็จัดตัวที่ออกมาล่าสุดในตอนนั้นขึ้นมาซะเลย เพราะรู้สึกได้ว่าจะต้องถูกโฉลก

ซึ่งนั่นก็คือรุ่นที่กำลังจะเล่ากลิ่นในครั้งนี้อย่าง Acqua Colonia Lychee & White Mint นั่นเอง ซึ่งกลิ่นพอได้พินิจพิเคราะห์คลอผิวแล้ว ก็เล่าต่อได้เลยแบบนี้ว่า

เป็นการจับคู่ที่ลงตัวและให้อารมณ์กลิ่นที่สดใสก็ได้ น่ารักก็ดี เรียบหรูในโทนผลไม้ติดฉ่ำหวานอมเปรี้ยวก็สามารถ เพราะเปิดต้นกลิ่นมาพร้อมกับความรู้สึกเย็นผิวจากโทนเมนทอล Icy ที่เป็นอยู่ Cologne ออกมาก่อนพร้อมกับกลิ่นเปรี้ยวอมหวานฉ่ำเฉพาะตัวของลิ้นจี่ ที่มีกลิ่นเขียวสดชื่นอ่อนๆ รองพื้นคลออยู่ เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาแบบลิ้นจี๋แบบจ๋าๆ แบบน้ำหอมผู้หญิงที่เรามักจะเจอ แต่จะได้อารมณ์แบบน้ำลิ้นจี่ใสๆ หอมเปรี้ยวเจือฉ่ำปนน้ำแข็งเย็นๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็นการเปิดต้นกลิ่นที่น่ารัก เรียบง่าย และสดใสมากเลยทีเดียว

เพียงไม่นานจากวูบสดใสและสดชื่นของกลิ่นน้ำลิ้นจี่ ก็จะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นเขียวอ่อนๆ สุภาพติดปร่ากำลังดี มี Effect ของกลิ่นที่เย็นๆ รับช่วงต่อจากเมนทอลในช่วงต้นที่ให้ความปร่าเขียวอ่อนเย็นๆ เข้ามาเพิ่ม ซึ่งก็คือ White Mint ที่เกลากลิ่นมินต์ปกติให้มีความ Icy เย็นๆ ผลึกๆ อะไรประมาณนี้เข้ามาเสริม แต่ก็ไม่ได้มาแย่งซีนกลิ่นลิ้นจี่แต่อย่างใด เพราะมาเป็นตัวเสริมให้มีโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ในเนื้อกลิ่น และทำให้กลิ่นลิ้นจี่มีอะไรมากกว่าความเป็นโทนน้ำผลไม้ทั่วๆ ไปได้ดีมากด้วย ที่สำตัญแอบจับได้ถึงกลิ่นอายคล้ายๆ กุหลาบนวลบางๆ ในเนื้อกลิ่นอยู่ด้วย เลยทำให้อารมณ์กลิ่นได้โทนออกทางสีชมพูเปลือกลิ้นจี่แกมเขียวอ่อนปนขาวสว่างและมีความสดใสได้พอเหมาะพอเจาะเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะดำเนินไปยาวพอสมควร จนโทนลิ้นจี่เริ่มที่จะจางลงไป เหลือเพียงปลายกลิ่นที่อารมณ์ติดหวานกึ่งลิ้นจี่กึ่งกุหลาบบางๆ และมีอะไรซักอย่างที่ให้ความเบาๆ สะอาดๆ แนวสไตล์สารหอมบางอย่างที่คล้ายโทน Musky ให้รู้สึกอยู่หน่อยๆ และผลุบๆ โผล่ๆ จนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นนัยยะสำคัญอะไร เพราะน่าจะเป็นสารหอมตรึงกลิ่นบางอย่าง แต่มาสนที่ความเด่นของโทนออกทางเย็นๆ แกมมินต์แทน เพราะช่วงนี้จะได้ความรู้สึกหอมเย็นๆ Icy บางๆ เจือเขียวอ่อนๆ เด่นเสียมากกว่า ที่จะเป็นตัวคุมโทนที่จะคลอผิวไปเรื่อยๆ แบบมีปลายหวานลิ้นจี่ไปตลอด ซึ่งแน่นอนกลิ่นให้ความเรียบง่ายและสดใสที่ให้โทนสีสีเนื้อลิ้นจี่ขาวแกมนวลอ่อนๆ แถมยังพกเอาความเรียบหรูมีระดับแบบสไตล์มินิมัลที่ไม่ต้องเยอะสิ่งได้ลงตัวและ Nice มากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงนิดหน่อย แต่ถ้าไม่มายด์ผู้ชายก็ใส่ไปเถอะ เพราะมันสดชื่นหอมมีความสุขแบบกลิ่นเปรี้ยวอมหวานลิ้นจี่เจือปร่ามินต์เย็นๆ ได้ดีมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดเกลี้ยงใส่ได้เลยยังไงก็รอด (แบบกลิ่นโทนผลไม้นิดนึงนะ) แต่จะมีก็ช่วงกลางคืนที่เหมาะสำหรับใส่แบบสบายๆ เน้นสดชื่นผ่อนคลายน่ารักอะไรแบบนี้เสียมากกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลย โดนกลบมิด

ความทน - อันนี้คือเกินคาดมาก เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. แบบที่ถึงกับอึ้งว่า Eau de Cologne ของ 4711 ก็ทำได้กับการใช้งานที่ 7 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย ซึ่งถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ 6 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไวพอสมควร แต่ก็คงตัวกันยาวๆ ไปนะ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 - 6 ชม. (ตามสภาพผิวผู้ใช้) กลิ่นก็จะเริ่มเป็น Skin Scent แล้วจางไปตามเวลาและตามเคมีของแต่ละผู้ใช้

สรุป - เป็นตัวที่เซอร์ไพร์สสุดๆ ไปเลย เพราะกลิ่นหอมสร้างความอะโรม่าและเป็นธรรมชาติได้ดีจริงๆ แบบได้อารมณ์น้ำลิ้นจี่เย็นๆ มีน้ำแข็งใสๆ อะไรประมาณนี้เลย ซึ่งเข้าทางจริงๆ กับฤดูร้อนที่ต้องการกลิ่นอะไรที่สดชื่น แต่แตกต่างจากคนอื่นแบบที่ได้ความสดใสก็ได้ สร้างความรื่นรมย์ก็ดี นี่แหละ Lychee & White Mint ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/4711-Acqua-Colonia-Lychee-White-Mint-13254.html

 

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: 4711 - Acqua Colonia Intense: Floral Fields of Ireland

4711 - Acqua Colonia Intense: Floral Fields of Ireland

สิ่งนึงที่เป็นความรู้สึกที่อยากให้เกิดขึ้นเสมอยามเมื่อใช้ Cologne ของ 4711 คือ เมื่อไหร่จะมีความเข้มข้นที่มากขึ้นและมีความทนมากขึ้น เพราะกลิ่นอายสไตล์สดชื่นของ Cologne ถ้าต่อยอดได้มันจะเจ๋งมาก แม้ของเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตยันปัจจุบันในเรื่องกลิ่นมีความดีงามเสมอต้นเสมอปลายและใช้ง่ายสร้างความรื่นรมย์มาเสมอ รวมบางกลิ่นอาจจะความทนดีงามอยู่บ้าง แต่ก็อยากให้มีอะไรที่มันมากขึ้นอยู่ดี

และความคิดนี้ก็ได้รับการเติมเต็ม เพราะว่า 4711 ได้ออก Collection - Cologne Intense ออกมาซะที ซึ่งแน่นอนว่าชูโรงที่จุดเด่น คือ ความทน และก็เอา Concept การสร้างสรรค์กลิ่นของสถานที่สวยงามต่างๆ บนโลกมาเป็นกลิ่นที่จะสร้างความรื่นรมย์ในการใช้งาน เช่นนั้น มาพิสูจน์กันหน่อยว่ากลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง กับรุ่นแรกของ Collection นี้ที่มีโอกาสได้ลอง นั่นคือ Floral Fields of Ireland

เปิดต้นกลิ่นมาก็เรียกว่าสร้างกลิ่นอายหวานหอมดอกไม้ท่ามกลางสดชื่นมาเลย ซึ่งจะจับได้เต็มๆ ถึงกลิ่นดอกไม้ที่ให้ความหอมหวานกึ่งโทน Fruity ที่ให้ความเย้าอ่อนๆ และมีความรุ่มรวยรื่นรมย์อย่างดอกหอมหมื่นลี้ที่จะไม่ได้มาแบบติดโทนข้นกึ่งนมแบบน้ำหอมหลายๆ รุ่น แต่จะมาแบบใสๆ กลิ่นอายสดชื่นสไตล์ Cologne ที่มี Citrus เย็นๆ สร้างบรรยากาศอย่างส้มที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานและมีความสแปลชอ่อนๆ ที่สดชื่นของเลมอนเคล้ากับโทนเย็นๆ ผิวออกทางเมนทอล ซึ่งต้องชมเลยเลยเนื้อกลิ่นแม้จะจับต้อง Note กลิ่นต่างๆ ที่บอกไปมันไม่น่าจะไปในอารมณ์กลิ่นที่สร้างเฉดสีชมพูได้ แต่กลับทำได้ ทำให้เปิดมาก็ได้อารมณ์สีชมพูอ่อนหอมหวานสดชื่นกันแบบเต็มๆ แบบที่ออร่าชมพูหวานใสฟุ้งออกมารอบตัวกันเลยทีเดียว

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนกลิ่นโทน Citrus ลงมาพอประมาณ เพราะเริ่มมีโทนดอกไม้ต่างๆ เข้ามาเสริมมากขึ้น ก็จะเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว ที่แน่นอนยังมีความสดชื่นอยู่ปลายกลิ่น แต่หังวใจหลักเลยคือกลิ่นดอกไม่นานาพันธุ์ที่ยืนพื้นกับการเป็นโทนหวาน ซึ่งแน่นอนว่าหอมหมื่นลี้ยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานหอมติดกลิ่นแอปริคอตแบบใสๆ แต่จะเสริมด้วยกลิ่นออกทางหวานหอมติดเขียวปนแห้งนวลหน่อยๆ ของดอกกะถินเทศหรือ Mimosa ที่สอดรับพอดีกับกลิ่นดอกส้มที่ให้กลิ่นนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดๆ และมีกลิ่นมะลิที่ให้ความหวานปนนวลแป้งหน่อยๆ เรียกว่ามารวมตัวกันจนกลายเป็นกลิ่นดอกไม้รวมที่ยืนพื้นที่ความหวาน และไม่ได้มีเฉดสีในเนื้อกลิ่นที่เป็นแค่โทนสีชมพูแล้ว แต่มีความหลายหลานยืนพื้นที่โทนหวานหอมดอกไม้ติดแป้งนวลกำลังดี และมีความสดชื่นปลายกลิ่นที่ลงตัว คุมโทนได้ดีทั้งความเป็นสไตล์ Cologne และการเป็นโทนแป้งนวลหอมดอกไม้ที่ตีคู่ไปอย่างงามๆ ได้ทั้งสีชมพูอ่อน สีเหลือง สีขาวนวล ตอบโจทย์การเป็น Floral Fields ได้เหมาะเลย ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรจนกลิ่นเริ่มลดทอนความหวานลงมาอีกสเต็ป และเริ่มมีมิติกลิ่นอายไม้หอมเข้ามาสอดรับแบบเบาๆ ไม่ได้เข้มข้นหนักหน่วง ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้จะเป็นกลิ่นคลอผิวที่ให้ความหวานอ่อนๆ ละมุนๆ เจือกลิ่นไม้อบอุ่นเบาๆ และมีความสะอาดนวลกรุ่นๆ ซึ่งจะได้กลิ่นอายไม้โปร่งๆ เจืออวลบางๆ ที่ซ้อนไปกับกลิ่นดอกไม้เจือแป้งที่ตามมาจากช่วงกลาง เลยจะได้อารมณ์คล้ายๆ กลิ่นดอกไม้กับไม้หอมโปร่งๆ ติดผิวกาย อารมณ์แบบกลิ่นโลชั่นดอกไม้รวมกลิ่นธรรมชาติติดผิวให้ความหอมน่ารัก อ่อนโยน และละมุนกำลังดีไปเรื่อยๆ ปิดท้ายแบบสไตล์มินิมัลที่เรียบหรูและรื่นรมย์แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่ง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่ม.ต้นขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว กลิ่นมีความหอมหวานสดใสได้ความเป็นสีชมพูอ่อนที่มีความหวานแบบลงตัวมาก และให้ความรื่นรมย์แบบที่ใช้ง่ายแต่มีระดับอีกด้วย จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ไปเถอะยังไงก็รอดสูงมาก แถมยังสามารถใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ได้เป็นสายบู๊ก็ได้ด้วย แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่าเพราะกลิ่นจะไม่ได้ดูดอกไม้จ๋าๆ เกินไปแล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อได้ความหวานดอกไม้สดชื่น น่ารัก และอ่อนหวาน หรือใส่ออกงานจะดีกว่า แต่ให้ตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง โดนกลบมิดแน่นอน

ความทน - อันนี้แหละที่เป็นข้อดีที่เติมเต็มจริงๆ เพราะเจอที่ 8 ชม. สบายมาก และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว ก็ต้องยอมให้เขาเลยว่าทำ Intense ออกมาแล้วไม่ผิดหวังเรื่องนี้ แต่ถ้าตีค่าเฉลี่ยสภาพผิวจริงๆ ก็ขอวางไว้ที่ 6 - 8 ชม. ไว้ก่อน เพราะถ้าผิวแห้งอาจจะไม่ได้ลากถึง 8 ชม. ได้ง่ายๆ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ได้อารมณ์ Cologne ดอกไม้กันอย่างชัดเจน แล้วจะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 2 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายหรือราวๆ 5 ชม. ก็จะเป็น Skin Scent คลอผิว

สรุป - เป็นกลิ่นดอกไม้สดชื่นที่ให้ง่าย มินิมัล และเรียบหรูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่คิดมาก และที่สำคัญการชูโรงเรื่องความทน ถือว่าตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้ดี โดยที่คุมความเป็น Cologne ได้งามเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งใช้ในช่วงกลางวันยังไงก็รอดและกลิ่นหอมแบบสวยๆ กันเลยล่ะ คนชอบโทนดอกไม้ใสๆ หอมอ่อนหวานแกมสดชื่น โดนตกกันได้ง่ายๆ เลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://4711online.com/products/cologne-intense-floral-fields-of-ireland

 

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Peck Palitchoke - Colour Soul Breath

Peck Palitchoke - Colour Soul Breath 

จากความสำเร็จของ Colour Soul Secret ที่เปิดตัวออกมาเป็นหนึ่งในน้ำหอม Celebrity เมืองไทยที่มีแฟนๆ หรือนุชผู้น่ารักทั้งหลายให้การสนับสนุนมากที่สุดของ “เป็ก ผลิตโชค” แบบ Limited Edition กลับกลิ่นอายสบายๆ จากไอทะเลในปี 2019 ก็กวาดคำชมกันอย่างมากในการสร้างสรรค์กลิ่นและก็ได้ใจคนชอบน้ำหอมกันจนตอนนี้ Sold out ไปแล้ว

และในปี 2020 ก็ได้เวลาของการต่อยอดในการเป็น Colour Soul ที่จะมาให้ความหอมกันต่อการสื่อสารผ่านกลิ่นที่มี Keyword สำคัญอย่าง “ลมหายใจ” ที่เป็นกลิ่นหอมดังสื่อกลางให้สื่อถึงกันได้ระหว่างตัวเป็กกับแฟนคลับ เช่นนั้น กลิ่นลมหายใจนี้จะเป็นอย่างไร และเชื่อมโยงกับตัว Secret หรือไม่ก็มาว่ากันเลยที่รุ่นนี้ Colour Soul Breath

โทน Citrus จะมาทักทายกันก่อนเลยในช่วงแรกสเปรย์ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีการผสมผสานกลิ่นอายกึ่งๆ สไตล์ Cologne ที่สดชื่น และเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ได้คมบาดจนเกินไป ที่จะจับต้องได้ชัดๆ เลยคือ เลมอนเพราะจะมีความเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายกลิ่น แต่ก็จะมีโทนติดเปรี้ยวขมที่สร้างบรรยากาศ เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดเขียวปนเมือกอ่อนๆ กลิ่นคล้ายดอกไฮยาซินท์แบบที่ไม่ได้เขียว Oily เมือกๆ จัดๆ ขนาดนั้น แต่จะให้อารมณ์แบบกลิ่นเมือกเขียวๆ ที่มีความอะโรม่าเบาๆ กำลังดี ซึ่งเป็นลักษณะแบบดอกไม้ในสวนแนวๆ พวก Bluebell หรือว่า Bellflower อะไรประมาณนี้ เลยจะทำให้ความรู้สึกของโทนกลิ่นจะได้ความสว่างสดชื่นแบบที่ให้ความสมดุลย์ได้ความสดชื่นติดเขียวอ่อนๆ สบายๆ และมีเฉดสีในโทนกลิ่นที่เป็นฟ้าอมเขียวสว่างที่พอเหมาะและลงตัวมาก บอกเลยว่าถ้าพื้นฐานคนชอบกลิ่นสดชื่นติดเขียวที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ในเรื่องความหอมสามารถโดนตกได้เลยในทันที

เมื่อกลิ่นผ่านไปไม่เกิน 10 นาที ก็เป็นการเข้าช่วงกลางที่จะจับต้องได้ว่าเนื้อกลิ่นมีการ Twist หักมุมหน่อยๆ เพราะว่าจะเริ่มมีกลิ่นออกทางโกโก้ที่ให้ความอวลแห้งฟุ้งออกมาเพียงแต่ไม่ได้หักมุมจัดๆ จนกลายเป็นกลิ่นโทนแบบเข้มหนักแต่อย่างใด กลับให้มิติของกลิ่นที่มีมากกว่าความสดชื่นติดเขียว ซึ่งแน่นอนว่าในเนื้อกลิ่นโทนโกโก้เมื่อจับต้องดีๆ กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนม แต่ให้ความเย้าน่าค้นหาโดยยังมีกลิ่นอายโทนสดชื่นติดเขียวเจือเปรี้ยวปนสะอาดที่เป็นลักษณะโทน Citrus และมีปร่าหน่อยๆ คล้ายเหล้าจินที่น่าจะมาจากจูนิเปอร์เบอร์รี่ เลยทำให้เลเยอร์กลิ่นจะมี 3 สเต็ป คือ Citrus สดชื่นที่ตามมาจากช่วงต้นเคล้ากับติดเขียวปนสะอาด กลิ่นโทนปร่าออกทางเหล้าจินที่มีความเขียวหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นเขียวใบไม้ ซึ่งจะฉาบเลเยอร์ที่ 3 ที่ให้ความอวลกำลังดี ไม่ได้หนักมากเกินไปอย่างโกโก้ที่ได้อารมณ์สีน้ำตาลเข้ม เรียกว่าไล่เฉลดสีในโทนกลิ่นได้ดีจากสีฟ้า ตามด้วยเขียว และปิดท้ายด้วยน้ำตาล ได้ภาพต้นไม้กับท้องฟ้าชัดเจนเลย ซึ่งอย่างหนึ่งคือ เนื้อกลิ่นช่วงกลางจะขยับจาก Unisex มามีโทนน้ำหอมผู้ชายที่เป็นโทนสดชื่นแต่มีมิติกลิ่นที่มีเสน่ห์แบบไม่ได้ต้องบิลด์หรือพยายาม ซึ่งจะถ้าเป็นผู้หญิงใช้จะได้ความรู้สึกเหมือนมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายติดผิวกายให้รู้สึกดีอะไรประมาณนั้นได้ไม่ยาก

จนเมื่อโทนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะว่ากลิ่นโทน Citrus ต่างๆ กับโทนเขียวเริ่มจางไปเรื่อยๆ จนจับต้องไม่ค่อยได้แล้วก็จะเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีโทนกลิ่นติดอวลไม้หอมที่ค่อนไปทางติดแอมเบอร์อบอุ่นและมีความเค็มอ่อนๆ คลออยู่ ซึ่งถ้าจะมองว่าเป็นการรับช่วงลายเซ็นต่อมาจากรุ่น Secret เลยก็ย่อมได้ที่จะมีโทนลักษณะนี้อยู่ ซึ่งจับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นโทนไม้หอมที่มีความโปร่งหน่อยๆ แนวไม้ซีดาร์ และจะมีกลิ่นอวลติดแอมเบอร์ปนเค็มนิดๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นสารหอมอย่าง Ambroxan ที่มาสร้างออร่าความอวลเย้าทันสมัยเข้ากับเทรนด์น้ำหอมยุคนี้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้อบอวลสร้างบาเรียหนักหน่วงอะไรนัก ให้ความเรื่อยๆ คุมโทนเพราะมี Musk มาเสริมให้ความนวลๆ เรื่อยๆ คลอๆ เกลาจนทำให้ได้กลิ่นอวลๆ แบบไม้หอมมีความอุ่นติดเค็มหน่อยๆ ที่มีความนวลสะอาดรองพื้นอยู่ ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่ทำให้กลิ่นให้ความเรื่อยๆ อวลอย่างมีเสน่ห์และไม่โฉ่งฉ่าง ให้ลักษณะกลิ่นแบบสไตล์มินิมัลปิดท้ายการเป็น Breath ที่เข้าถึงง่าย ทันสมัยและลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นเป็น Unisex อันนี้ใช่เลย ตรงตาม Concept ของน้ำหอม แต่จะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าผู้หญิงจะใช้ก็ได้เพราะมันได้อารมณ์สบายๆ กึ่งทะมัดทะแมง หรืออารมณ์แบบน้ำหอมผู้ชายติดผิวกายที่มีเสน่ห์ได้ Contrast ดีเลยทีเดียว ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ย่อมได้ในการใช้งาน แถมมีระดับในเนื้อกลิ่นอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเน้นปล่อยพลังและเซ็กซี่แบบจัดจ้านเรียกแขกนัก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. ตีบวกลบไว้ที่ 2 ชม. ส่วนจะไปได้เกินกว่านี้ไหม ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีกันราวๆ 3 ชม. ที่เหลือจะลงมาปานกลางอีกทีแล่้วคงตัวกันไปเรื่อย จนถุงช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว พ้นราว 6 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ชอบโทนกลิ่นตรงที่สื่อสารได้ดีมากกับสีฟ้าแบบท้องฟ้าสดชื่น สีเขียวแบบอารมณ์กลิ่นอายต้นไม้ใบไม้ จะแตะความเป็นกลิ่นสวนโปร่งๆ ก็ได้ และสีน้ำตาลที่เป็นโทนที่ได้อารมณ์ต้นไม้และพื้นดินได้ดี ก่อนที่จะเป็นกลิ่นอายไม้หอมอวลๆ เย้ายวนที่เอาอยู่และรอดได้สบาย หนึ่งใน Daily Scent ที่ทำออกมาได้ลงตัวและพร้อมสูดลมหายใจดมได้อย่างเพลินจมูกมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.vogue.co.th/beauty/coloursoulbreathbypeck


วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Peck Palitchoke - Colour Soul Secret

Peck Palitchoke - Colour Soul Secret

จากปรากฎการณ์ The Mask Singer: Season 1 ของประเทศไทย ที่ทำให้หลายๆ คนกลับมาหลงรักเป๊ก ผลิตโชค กับการเป็นหนึ่งในตัวจริงที่มากทั้งความสามารถและความน่ารัก จนทำให้เกิดแฟนคลับที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า “นุช หรือนุชา” ที่เป็นหนึ่งในแรงสนับสนุนและน่ารักกันอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด

และในปี 2019 หลวงผลิต หรือเป๊กเองก็ได้เปิดตัว Collection น้ำหอมที่จะสื่อสารกลิ่นในความเป็นตัวของเขาเองเพื่อให้แฟนคลับและคนที่สนใจได้รับรู้ โดยเริ่มต้นที่กลิ่นแรกกับการเป็น Colour Soul Secret กับการเป็น Limited Edition ซึ่งแน่นอน จะพลาดได้อย่างไร ก็อยากรู้ความลับทางกลิ่นบ้าง ไรบ้าง เช่นนั้น มา ได้เวลาเล่า

สิ่งแรกที่จับต้องได้เลยหลังฉีดในการเป็นช่วงต้นของน้ำหอมคือ กลิ่นโทน Citrus ที่จะมีความนวลอวลติดเค็มเกลากลิ่นอยู่ตลอด กลิ่นจะได้ความรู้สึกชัดเจนแบบไอทะเล ที่เด่นกับกลิ่นเกลือและน่าจะมีสาหร่ายรวมอยู่ด้วยเพราะมันติดอวลแบบน้ำทะเลชัดพอสมควร ซึ่งจะผสมผสานกับโทนสดชื่นที่จะมีส้มให้ความติดฉ่ำนิดๆ มีความเปรี้ยวอมหวานติดปลายกลิ่นด้วยมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวสร้างความเปรี้ยวเจือปร่าขมหน่อยๆ ปลายกลิ่น แต่ไม่มีอะไรที่โดดและแย่งซีนกันเลย เพราะมีแต่เอื้อและผสมผสานกันอย่างสมดุลย์โดยคุมโทนสดชื่นติดไอทะเลได้อย่างดี โดยมีพื้นฐานกลิ่นที่มีความสะอาดอยู่ให้จับต้องได้ตั้งแต่แรกด้วยเช่นกัน เรียกว่าเปิดมาก็ทำเอาประหลาดใจไม่น้อย เพราะคุณภาพกลิ่นไม่ธรรมดาจริงๆ

การเข้าสู่ช่วงกลางอารมณ์กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบโทนทะเลติดนวลๆ ที่จะมีกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเกลากลิ่นได้ดีสร้างความนวลสว่างและไม่ได้เป็นโทนทะเลเข้มข้นจัดๆ เกินไป รวมถึงมีโทนที่ค่อนข้างชัดเจนพอสมควรว่ามีสารหอมที่ให้อารมณ์กึ่งอำพันปลาวาฬกึ่งไม้หอมอวลๆ ติดเค็มๆ อย่าง Ambroxan รวมอยู่ด้วย ซึ่งจะเกิดเลเยอร์กลิ่นที่น่าสนใจคือ กลิ่นไอทะเลติดดอกไม้ขาวนวลๆ ที่มีความอวลกึ่งไม้หอมอบอุ่นหน่อยๆ แทรกอยู่ตลอด โดยที่มีความสะอาดนวลรองพื้นให้จับต้องได้ รวมถึงยังมีโทน Citrus เบาๆ ที่ตามมาจากช่วงต้นเป็นปลายกลิ่นที่ยังได้วูบของความสดชื่นอยู่ เลยทำให้อารมณ์กลิ่นช่วงนี้เหมือนเราใส่ชุดขาวสบายๆ เดินไปตามทางที่ลมทะเลสดชื่นสวนเราเข้ามาพร้อมกับหอบเอากลิ่นดอกไม้ขาวนวลๆ กลิ่นไม้หอมที่ต้องแดดอบอุ่นมาปะทะเราและทำให้ผิวกายเรามีกลิ่นอายทะเลติดนวลๆ อวลคลอ ซึ่งให้ความรื่นรมย์ก็ได้ ให้อารมณ์ชิลล์ๆ รับลมทะเลก็ดี ถือว่าเป็นการเอาจุดดีและจุดเด่นของทุกโทนมาเจอกันได้สมดุลย์

จนเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มมีโทนอบอุ่นติดนวลกึ่งไม้หอมโปร่งๆ มากขึ้น ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีพื้นฐานชัดเจนในการเป็นโทน Musk นวลสะอาดกับไม้หอมที่อวลๆ อบอุ่น แต่จะมีมิติกลิ่นติดไม้โปร่งๆ ซึ่งเป็นแนวๆ ไม้ซีดาร์ และมีความระเรื่อติดหวานเย้าปลายกลิ่นของพิมเสนอ่อนๆ ที่ให้ความเรียบหรูมีระดับ โดยกลิ่นจะให้ความนวลละมุนไปเรื่อยๆ มีไอเค็มอ่อนๆ ที่สร้างเสน่ห์แบบกลิ่นอายติดทะเลเบาๆ อยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งก็เป็นการคุมโทนกลิ่นที่ไล่เรียงกันมาเป็นอย่างดี ได้ความหอมที่อวลและนวลละมุนไปเรื่อยๆ ปิดท้ายการเป็น Colour Soul Secret ที่สบายๆ เข้าถึงง่าย มีเสน่ห์ และลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่กวาดหมดในการใช้งานทั้งหญิงและชาย เพราะว่ากลิ่นเป็นลักษณะบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมเลยจะครอบคลุมไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามได้หมด ซึ่งเนื้อกลิ่นเองก็มีพื้นฐานโทนสะอาดอยู่ด้วยเลยเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทั่วๆ ไป กิจกรรมกลางแจ้ง หรือใส่แบบทำงาน Office ที่เป็น Daily Scent แต่ถ้าเป็นทางการจัดๆ แบบรับแขกบ้านแขกเมือง น่าจะเว้นไปก่อน รวมถึงออกกำลังกายที่ควรรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความชิลล์ๆ สบายๆ หรือปาร์ตี้กลางแจ้งจะดีกว่า ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรี เจอกลิ่นหวานแน่นๆ ทั้งหลายเข้าก็หงอยเอาได้นะ 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ 8 ชม. ได้สบายมาก แต่ตะไปต่อได้อีกหรือว่าจะดรอปลงกว่านี้ไหม ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 12 ชม. กับการใส่และอยู่ในห้องแอร์สลับกับอากาศกลางแจ้ง ถือว่าพึงพอใจมากในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 - 5 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ติดผิวชัดเจนเมื่อผ่านซัก 6 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ตอนแรกคิดว่าความ Secret ตามชื่อรุ่นก็เดาไปว่าจะต้องลึกล้ำ แต่พอมาเจอจริงๆ ก็หักปากกาและลบความคิดทิ้งไปเลย เพราะจริงๆ ทำให้เห็นว่า Secret ที่ว่า คือการถ่ายทอดกลิ่นที่สื่อถึงความเป็นตัวของเป๊กเอง ที่สบายๆ เป็น Nice Guy ที่มีเสน่ห์แบบเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาต่างหาก และยังสามารถส่งต่อมาเป็น Secret โดยเป็น Partner ทางกลิ่นที่ดีและมีเสน่ห์เฉพาะในแต่ละคนได้อีกด้วย นี่แหละ Colour Soul Secret ของหลวงผลิตเขาล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://dudeplace.co/2019/08/17/peck-palitchoke-launched-perfume-line-colour-soul-eau-de-parfum-secret-collection/

 

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Les Copains - Trend Lui

Les Copains - Trend Lui

Les Copains ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นจากอิตาลีที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และสร้างสรรค์เสื้อผ้าและ Accessories ต่างๆ ที่หรูหรามีระดับมาอยู่เสมอ และเอาจริงๆ แบรนด์นี้เองก็ไม่ใช่เล่นๆ เป็นหนึ่งในแบรนด์เด่นประจำแฟชั่นวีคของอิตาลีมาเสมอ

แน่นอนว่านอกจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ เพื่อให้ครบเครื่อง ก็ต้องมีน้ำหอมกับเขาด้วย เพียงแต่อาจจะไม่ได้เป็นตัวเด่นอะไรมากถ้าเทียบกับการชูโรงน้ำหอมของแบรนด์สายแฟชั่นอื่นๆ แถมเหมือนจะจอดเอารุ่นสุดท้ายเมื่อปี 2007 และเริ่มเลิกผลิตไปตามลำดับ ซึ่งหลายๆ รุ่นก็มีความดีงามให้จับต้องได้ทางกลิ่นไม่น้อย เช่นนั้นมาเจอกับแบรนด์นี้ครั้งแรก ก็ต้องเอาตัวน่าสนใจมาเล่าซักหน่อย และนั่นก็คือ รุ่น Trend Lui

เปิดต้นกลิ่นมามีความน่าสนใจตรงที่เนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมที่ชัดเจนพอสมควรแต่เป็นกลิ่นที่มีเป็นนวลติดจืดหอมเฉพาะที่เป็นลักษณะของไม้จันทน์หอมให้จับต้องได้ตั้งแต่แรกสุดเลย แต่เป็นเสมือนพื้นหลังของกลิ่นเสียมาก เพราะจะมีกลิ่นออกทางสมุนไพรปร่าเย็นๆ ติดหวานอ่อนๆ เคล้ากับโทน Citrus ที่ให้ความสว่างในเนื้อกลิ่น เพียงแต่โทน Citrus ที่ว่าจะโดนตัดทอนทำให้กลิ่นเปรี้ยวสดชื่นไม่ค่อยมีให้รู้สึกนัก แต่จะได้บรรยากาศติดสดชื่นปนขมอ่อนนๆ เข้ามาแทน ซึ่งจะมีวูบให้รับรู้ได้บ้างว่าเป็นกลิ่นของเกรปฟรุต เพราะว่ามีโทนติดแปร่งเฉพาะติดเปรี้ยวอ่อนๆ ออกทางเปลือกมาให้รู้สึกได้แทน ซึ่งช่วงต้นจะค่อนข้างเป็นโทนปร่าสว่างสดชื่นรองพื้นด้วยไม้หอมติดจืดๆ นวลๆ ประมาณนั้น

และเมื่อโทนสดชื่นเริ่มจางลงตามลำดับ และเนื้อกลิ่นเริ่มมีความแห้งและเข้าโทนแป้งติดอับบางๆ แนวแป้งฝุ่นอ่อนๆ ก็เริ่มเป็นการเข้าส่วนช่วงกลางที่แน่นอนตัวที่ให้โทนแป้งตามที่กล่าวไว้คือไอริสที่จะให้อารมณ์โทนแป้งคลอกับไม้หอมที่แน่นอนว่ามีจันทน์หอมเลยล่ะ แต่จะมีโทนติดปร่าหน่อยๆ อารมณ์จะได้กลิ่นแบบแป้งไม้หอมที่มีโทนออกทางติด Smoky เบาๆ เนียนๆ ไปกับกลิ่น จนรู้สึกได้ว่ามันต้องมีโทนออกทาง Incense หรือกลิ่นธูปที่ให้ควันนวลๆ แบบไม่หนักแบบจุดธูปอัดจากเนื้อไม้หอมที่ให้กลิ่นสงบๆ เบาๆ ประมาณนั้น ซึ่งกลิ่นจะค่อนข้างจะนิ่ง แต่ในความนิ่งก็มีความเรียบหรูออกทางโทนสีครีมสว่างนวลอยู่ให้จับต้องได้ตลอด และความเป็นไม้จันทน์หอมก็จะเริ่มชัดขึ้นรวมถึงรับรู้่ได้ว่ามีโทนออกทางธูปนวลควันนุ่มๆ อะโรม่าที่ชัดขึ้น ก็เป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นค่อนข้างจะตรงไปตรงมาในความเป็นไม้จันทน์หอมที่มีไอควันธูปเนื้อไม้นวลๆ และมีความอบอุ่นเนียนๆ ติดเผ็ดนุ่มอ่อนๆ กึ่งยางไม้กึ่งแอมเบอร์ที่สนับสนุนอยู่แบบเบาๆ กำลังดี และมีโทนติดแป้งของไอริสตามมาจากช่วงกลาง โดยมีกลิ่นดาร์กเขียวเข้มเบาๆ ติดปลายกลิ่นอารมณ์แบบกลิ่นมี Oak Moss ผสมผสานอยู่นิดหน่อยประมาณนั้น เลยทำให้กลิ่นยืนพื้นทุกอย่างเป็นโทนสีไม้ออกทางโทนครีมสว่างเช่นเดิม และมีความเรียบหรูในทีไปตลอดแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่ลงตัวและมีระดับปิดท้ายกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เพราะเนื้อกลิ่นให้ความเป็นไม้หอมเจือธูปติดสว่างนวลนิ่งๆ ที่สร้างออร่าผู้ชายนิ่งปนสมาร์ทแนวๆ นี้ ซึ่งเข้าทางกับการใส่ยามกลางวันในแทบทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะทางการที่เหมาะสมมากสุด และทั่วๆ ไปแบบเน้นความหอมแบบนวลกลิ่นไม้ ซึ่งจริงๆ ก็ใส่ออกกำลังกายได้ แต่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนจะเข้าทางการใส่ในยามโรแมนติคหรือไม่ก็ออกงาน เพราะเนื้อกลิ่นสร้างความเป็นผู้ชายนวลสมาร์ทปนอบอุ่นได้ดี แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีน่ะเหรอ บอกเลยโดนกลบมิด

ความทน - อันนี้เรียกว่าแกว่งพอสมควร เพราะบางครั้งเจอที่ 5 - 6 ชม. ก็จับกลิ่นไม่ค่อยได้แล้วนอกจากติดผิว และบางครั้งเจอไปที่ 8 ชม. ก็บ่อย อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพอากาศในวันนั้นๆ ด้วยส่วนหนึ่ง เช่นนั้นตีค่าเฉลี่ยไปที่ 6 ชม. น่าจะลงตัวสุด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาที่ปานกลางซักพัก พอพ้นซัก 3 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ แล้วติดผิวเมื่อพ้นซัก 5 - 6 ชม. ไปแล้ว ก่อนจะค่อยๆ จางไปคามเวลา

สรุป - เรียกว่าเป็นไปตามที่หลายๆ สำนักน้ำหอมบอกไว้เลยว่านี่คือตัวตายตัวแทนของ Gucci Rush for Men เพราะเนื้อกลิ่นมีความใกล้เคียงมาก เพียงแต่จะมีความมินิมัลมากกว่า Rush จะมีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นกว่า ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่ต่างเลิกผลิตกันไปหมด ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นไม้จันทน์หอมงามๆ ทั้งคู่ ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจว่าจะเลิกผลิตตัวดีๆ กันทำไมนักหนานี่สิ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrancex.com/products/_cid_cologne-am-lid_l-am-pid_879m__products.html

 

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums MDCI - Invasion Barbare

Parfums MDCI - Invasion Barbare

หลายๆ ครั้งที่ได้เห็นการกล่าวถึงน้ำหอมผู้ชายที่มีความงามทางกลิ่นแบบ Timeless ที่ความหวือหวาอาจจะไม่ได้พีค แต่มีความเรียบหรูที่สื่อสารกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่มีระดับและมีคุณภาพกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมากของแบรนด์ Parfums MDCI ในรุ่น Invasion Barbare ก็เรียกว่านั่งรอจังหวะกันอย่างเดียวเลยว่าจะจัดมาใช้งานได้ตอนไหน เพราะเราก็อยากที่จะซึมซับความดีงามตามคำเล่าไม่น้อยเลยทีเดียว จนเรียกว่าผ่านมาจนลืมไปแล้วว่าสนใจรุ่นนี้

แต่ดวงจะเสียเงินไม่เข้าใครออกใคร และกลิ่นไหนที่เราต้องได้ลองก็ต้องเอามาลองให้ได้ เช่นนั้น จัดไปอย่าได้เสียได้ลองและตกผลึกกับกลิ่นนี้ซะที และกลิ่นที่ออก คือ

เปิดมากับความเป็น Citrus ที่มีความสมดุลย์ในเนื้อกลิ่นสูงมาก คมอยู่หน่อยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับพุ่งทะลุจมูก และไม่ได้ใสเกินไป ชูโรงความสดชื่นแบบมีความละเมียดมากกว่าที่จะเน้นสดใสเริงร่า ซึ่งต้องให้เครดิตของใบไวโอเล็ตเลยที่เอาโทนติดสดชื่นเจือเขียวใสอ่อนๆ กึ่งแตงกวาเย็นๆ สดชื่นมาตัดทอนความเป็นกลิ่นอายของเกรปฟรุตที่ติดขมปร่า Spicy อ่อนๆ ติดเขียวปลายกลิ่นของมะกรูดฝรั่ง แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งความเป็นโทนสว่างในเนื้อกลิ่นแบบที่สาย Citrus สามารถให้ได้อยู่ เลยทำให้ช่วงต้นจะเป็นกลิ่นอายสมาร์ทและสดชื่นแบบสไตล์สุภาพบุรุษสมาร์ทกันอย่างชัดเจน

แล้วเพียงไม่นานกลิ่นเอกหลักของรุ่นอย่างลาเวนเดอร์จะเริ่มเปิดตัวออกมาให้ความหอมติดนวลสะอาดมีความสมุนไพรกำลังดีเจือหวานปลายกลิ่นหน่อยๆ ให้เริ่มจับต้องได้ และจะชัดขึ้นๆ ตามลำดับ จนเปลี่ยนสถานะของน้ำหอมในการเข้าสู่ช่วงกลางที่คราวนี้ความสดชื่นที่เด่นกับไวโอเล็ตตอนต้นจะกลายเป็น Background ให้จับต้องไปแบบประปราย แต่โทนกลิ่นภาพรวมจะมาสาย Aromatic มากขึ้นในพื้นฐานกลิ่นที่มีความนวลกำลังดีและมีความสุภาพกำลังงาม แต่จะมีลูกเล่นบางอย่างที่แฝงในการสร้างเสน่ห์ในความสุภาพของกลิ่นแบบเติมความเย้าเข้าไปร่วมด้วยอย่างเม็ดกระวาน ที่ก็ปล่อยของพอสมควรแต่มาแบบโดนเกลากลิ่นที่พอเหมาะ สร้างความเย้าเนียนๆ มากกว่าจะเปิดตัวพร้อมรบ ซึ่งจะตีคู่กับลาเวนเดอร์ได้อย่างน่าดูชมและดมกลิ่นมาก โดยตัวหลักในช่วงนี้ทั้ง 2 ตัว จะมีตัวสนับสนุนชั้นดีจากโทนสายสมุนไพรที่จะให้อารมณ์สมุนไพรกลิ่นเขียวปร่าอะโรม่าหน่อยๆ ของ Thyme และมีกลิ่นเผ็ดหวานซ่านิดๆ ของขิงที่สร้างความสว่างให้เนื้อกลิ่น ทำให้ช่วงกลางจะเป็นกลิ่นปร่านวลที่อ้อล้อคลอเคลียกันได้อย่างลงตัวระหว่างสาย Aromatic และ Fresh Spicy โดยมีความสดชื่นในช่วงต้นมาเสริม เลยทำให้กลิ่นจะได้ความเป็นสไตล์สุภาพบุรุษติดนิ่งเท่ห์และมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันได้อย่างลงตัว ไม่พอยังเสริมบุคลิกให้มีความสมาร์ทเต็มๆ

เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนถึงเวลาอันสมควร จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนอบอุ่นที่จะค่อยๆ เนียนแทรกตัวขึ้นมาอย่างวานิลลา ซึ่งจะไม่ได้มาแบบข้นๆ แต่จะมาแบบกลิ่นติดแป้งอบอุ่นนวลๆ ระเรื่อกำลังดีเสียมากกว่า แล้วกลิ่นจะเริ่มเป็น 3 โทนที่ผสานกันและขับความดีงามในแต่ละโทนออกมาแบบไปด้วยกันได้ดีอย่าง Aromatic, Fresh และ Warm Spicy ได้อย่างลงตัวในการปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็นกลิ่นอายแบบผู้ชายอบอุ่นเรียบหรูเข้ามาแทนที่ กลิ่นจะให้ความเป็นแป้งติดวานิลลาที่ละมุนๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีโทน Musk มาเกลาให้นวลอยู่ด้วยรองพื้น โดยที่จะมีเลเยอร์กลิ่นเป็นโทนลาเวนเดอร์นวลสะอาดติดหวานเจือไม้หอมโปร่งสุขุมๆ ที่เดาไม่ยากว่าเป็นไม้ซีดาร์เป็นเลเยอร์บน โดยมีกลิ่นออกทางปร่าสมุนไพรอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงกลางและน่าจะบวกพิมเสนแบบติดระเรื่อปร่าหวานเข้ามาด้วยคลออยู่ประปรายให้ความปร่ารื่นโปร่งจมูกหน่อยๆ ปลายกลิ่น ซึ่งเติมเต็มทำให้กลิ่นมีความสมบูรณ์มากขึ้นในการสร้างออร่าสุภาพบุรุษที่มีความอบอุ่นในสไตล์กึ่ง Classic มีระดับแบบที่ไม่ได้ Vintage เกินไป และไม่ได้ดูสมัยใหม่จ๋าๆ โดยคุมโทนความ Timeless ที่มีคุณภาพกลิ่นสูงมากได้อย่างงดงาม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว กลิ่นจะเสริมออร่าความเป็นสุภาพบุรุษที่ชัดเจนมาก ให้ความรื่นจมูกมากกว่าจะตะบี้ตะบันยัดเยียดความเป็นกลิ่นผู้ชายให้รับรู้ แต่ให้ความผ่อนคลายสบายๆ เสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แม้กระทั่งใส่ออกกำลังกายก็พอได้ (แต่มันแพงนะ เสียดาย) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะดีที่สุด 

ความทน - ดีงามกับค่าเฉลี่ยที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. ประมาณนี้เสมอกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าเปิดตัวด้วยความสดชื่นให้รับรู้กันก่อน แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนเมื่อผ่านราวๆ 8 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเข้าสู่โซนติดผิวไปในที่สุด

สรุป - ใช่เลย ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นไม่ได้หวือหวาหรือโดดเด้งทะลุแป้งแตกต่างอะไรขนาดนั้น แต่กลิ่นจะให้ความดีงามในคุณภาพเนื้อกลิ่นที่เบลนด์ด้วยกันอย่างสมดุลย์และเกื้อหนุนในการสร้างออร่าสุภาพบุรุษที่มีความเรียบหรูและมีระดับ โดยไล่เรียงจากความสว่างสดชื่น ความนวลติดเย้ามีเสน่ห์ที่สมดุลย์ และความอบอุ่นติดนุ่มนวลที่สร้างความพึงใจในการรับรู้กลิ่น เช่นนั้น ไม่แคร์ว่าจะต้องหวือหวาหรือไม่ แต่เมื่อกลิ่นทำหน้าที่ออกมาแล้วมีคุณภาพและงดงามแบบไม่ต้องพยายามขนาดนี้ แค่นี้ก็ยกคำว่า Masterpiece ให้ได้เลยแบบที่ไม่ต้องเค้นหรือบิลด์เยอะแต่อย่างใด 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.luckyscent.com/product/36504/invasion-barbare-by-parfums-mdci#

 

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Bond No.9 - New Haarlem

Bond No.9 - New Haarlem

ในมุมมองของการท่องเที่ยว ถ้าได้ไปเที่ยว New York มักจะมีบางย่านที่คนส่วนใหญ่หรือแทบทุกคนที่ทั้งเป็น New Yorker เองและนักท่องเที่ยวอื่นๆ มักจะบอกว่า “มรึงอย่าไป มันไม่ปลอดภัย” นั่นก็คือบรองซ์และฮาร์เร็ม เพราะ 2 ย่านนี้ประวัติช่างโชกโชนมาตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน ยิ่งในอดีตนี่ความเถื่อนสุดติ่งแบบไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะยิงกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในปัจจุบันแม้ว่ากิตติศัพท์ก็ยังคงไม่ใช่เล่นๆ แต่ใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นไม่ได้ซักหน่อย เพราะว่า Bond No.9 สามารถเอาย่านต่างๆ ของ New York มาต่อยอดได้อยู่แล้ว และครั้งนี้จะมาเจาะกันที่ย่านฮาร์เล็มที่ขึ้นชื่อกัน

ซึ่งเอาจริงๆ ย่านนี้ก็มีคลับ Jazz ดีๆ เยอะเลย แถมโดดเด่นในเรื่องอาหารแนว African American และมีโรงละครชื่อดังอย่าง Apollo Theater ที่จัดแสดงดนตรีและคอนเสิร์ตมานักต่อนัก เช่นนั้น การสื่อสารกลิ่นผ่านน้ำหอมจะต้องเอาความดีงามของสิ่งเหล่านี้มานำเสนอ เช่นนั้น มาว่ากันเลยดีกว่าว่าย่านฮาร์เล็มในแบบฉบับ Bond No.9 จะเป็นอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้เลย New Haarlem

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นกาแฟที่ฟุ้งออกแบบกำลังดี โดยมีกลิ่นอายโทนลาเวนเดอร์ที่เข้าไปโซนสมุนไพรค่อนไปทางติดเขียวแห้งหน่อยๆ ซึ่งสอดรับกันดีกับกลิ่นกาแฟมากเลยทีเดียว และไม่ใช่แค่นั้นโทนกลิ่นออกทางเขียวติดสดชื่นบางๆ ปนเขียวแห้งๆ เจือขมติดเปรี้ยวอ่อนๆ ในเนื้อกลิ่นที่น่าจะเป็นโทนสร้างบรรยากาศจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งทำให้ช่วงต้นเป็นโทนกาแฟที่กลั้วลาเวนเดอร์สมุนไพรติดเขียวได้อย่างลงตัวและน่าทึ่งมาก เพราะให้อะโรม่าที่ผสมกันได้อย่างสมดุลย์จับต้องได้ทุกโทนแบบส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ และก็เข้าสู่ช่วงกลางแบบที่ต้องบอกเลยว่า นี่แหละคือไฮไลท์ที่ยอดเยี่ยมมากในการเป็นโทนกลิ่นกาแฟกันเลยทีเดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ?

เพราะช่วงกลางคือกลิ่นกาแฟที่หอมกลมกล่อมและมีเสน่ห์มาก กลิ่นกาแฟจะมาแบบกรุ่นๆ อบอวลแบบที่มีความครีมมี่อ่อนๆ ของวานิลลาคลออยู่ แล้วมีกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ติดโปร่งสะอาดมาตัดทอน ซ้อนไปกับกลิ่นโทนลาเวนเดอร์ที่ตามมาช่วงนี้เสริมให้กลิ่นมีมิตินวลเจือสมุนไพรอ่อนๆ ทำให้ให้กลิ่นไม่ได้ออกทางขนมจัดจ้าน แต่ให้ความเป็นกาแฟที่ครีมมี่เบาๆ อบอุ่นหอมติดขมลุ่มลึกปนนวลครีมซ้อนกลิ่นไม้สะอาดขรึมแบบอารมณ์กลิ่นกาแฟกรุ่นอบอุ่นในที่โปร่งหน่อยๆ ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงที่ต้องยอมให้เลยและสามารถตกเอาคนที่ชอบกลิ่นโทนกาแฟให้ฟินไปข้างนึงได้ด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีพลังที่แผ่ออกมาชัดเจนมาก และเป็นบาเรียรอบตัวเลยก็ว่าได้ และเมื่อเริ่มรู้สึกถึงโทนอบอุ่นเจือวานิลลาที่เริ่มชัดขึ้นมาพร้อมกับความอวลอุ่นในเนื้อกลิ่นเริ่มพัฒนามากขึ้นอีกสเต็ป ก็รู้ได้เลยว่าเปลี่ยนเข้ามาสู่ช่วงท้ายแล้ว เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์กลิ่นอวลๆ ครีมมี่ติดกึ่งนมกึ่งถั่วฮาเซลนัทหน่อยๆ ที่สร้างอารมณ์กาแฟครีมมี่เบาๆ เคล้าไซรัปฮาเซลนัทแบบที่ไม่หวานมาก ออกแนวหวานน้อย แต่ให้อะโรม่าลุ่มลึกบนพื้นฐานกลิ่นที่อบอุ่นเป็นหลัก ที่สำคัญจะจับต้องได้ถึงกลิ่นพิมเสนที่ให้โทนกึ่งสะอาดกึ่งสมุนไพรปร่ารื่นจมูกอ่อนๆ ปลายกลิ่นอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามีความเย้ายวนและมีเสน่ห์ดึงดูดชัดเจนเข้ามาเสริมให้กลิ่นมีความครบครันมากขึ้นในการสร้างออร่ากลิ่นกาแฟที่ได้ทั้งความหอมอวลรื่นรมย์และได้ความมีเสน่ห์เรียกเรตติ้งแบบนิ่งๆ แต่จงใจได้อย่างชัดเจนมากจริงๆ ยอมในความสมดุลย์และความงามทางกลิ่นที่ลงตัวทุกเม็ดมาก บอกเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนเพราะกลิ่นกาแฟมีความกลางๆ มากพอที่แตะได้หมด ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก เพียงแต่ต้องเบามือหน่อย เพราะกลิ่นแม้จะมีความเป็นกาแฟงามๆ แต่มันมีพลังแผ่รอบกายมาก ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม จะสร้างออร่าทางกลิ่นที่เรียกคำชมได้สบายๆ และหอมมีเสน่ห์แบบกาแฟครีมมี่อ่อนๆ แก้วโปรดได้ดีมากจริงๆ ซึ่งเข้าสกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ตีขึ้นจุกเอาได้ แถมคนรอบข้างอาจจะแบบ “แกมาผิดงานหรือเปล่าเนี่ย” เข้าให้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือท่องราตรีบอกเลยตัวนี้เรียกเรตติ้งได้ดีมาก ไม่ได้ไก่กา ไม่ได้ดูพยายาม แต่มีดีและสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นที่ยกระดับคนใช้ให้ทั้งสมาร์ท ทั้งเซ็กซี่ และมีระดับชัดเจน  

ความทน - 8 ชม. เรียกว่าเด็กๆ เลยดีกว่า เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ แถมอาบน้ำก็แล้ว นอนไปจนตื่นเช้าก็แล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอ่อนๆ อยู่อีก เช่นนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย

การกระจาย - ยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะตั้งแต่ช่วงเปิดยันปลายช่วงกลาง ถือว่าแรงดีไม่มีตกมากๆ อารมณ์กลิ่นแบบสาย Powerhouse ที่มีพลัง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับทิ้งบอมบ์จัดจ้านจนออกแนวเอะอะก็ระรานใคร แต่ให้ความทรงพลังแบบปล่อยเสน่ห์แบบหน้านิ่งที่มีชั้นเชิง และรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ประมาณนั้น ซึ่งเทียบดูเวลาราวๆ 10 ชม. ไปแล้วถึงได้ผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมเองจะพอใจ

สรุป - ถ้าให้มองคาแรคเตอร์กลิ่น อารมณ์จะเหมือนผู้ชายผิวสีที่หล่อลากมาก (อารมณ์แบบท่าน Duke Simon ใน Series เรื่อง Bridgerton ที่ Rege-Jean Page เป็นผู้แสดง) และมีเสน่ห์สุดๆ แถมรู้ที่จะปล่อยเสน่ห์ของตัวเอง สไตล์แบบหนุ่มเจ้าสำราญมาดนิ่งอารมณ์ Jazz Style ประมาณนั้นเลย และที่แน่ๆ ประโยคที่ว่า “นี่คือหนึ่งในกลิ่นกาแฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” อันนี้ไม่ปฏิเสธสิ่งที่หลายๆ คนที่ผ่านกลิ่นนี้มาทั้งไทยและเทศบอกมาเลย ดีงามสมคำเล่า ที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นลูกรักลูกหวงสุดๆ ไปเรียบร้อยโรงเรียนเข็มขัดสั้นไปแล้วล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bondno9.com/new-haarlem.html#

 

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: Mandarina Duck - Freedomland

Mandarina Duck - Freedomland

น้ำหอมจากแบรนด์แฟชั่นอย่าง Mandarina Duck ที่คนไทยอาจจะไม่ได้คุ้นเคยเท่าไหร่ แต่ถ้าในอิตาลีแบรนด์นี้ถือว่าเอาอยู่ในด้านความทันสมัยและสีสันที่สดใสมาเสมอ และแน่นอนคุณภาพน้ำหอมก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเสียด้วย ซึ่งเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาแบรนด์เองก็เปิดตัว Collection น้ำหอมใหม่ออกมาอย่าง The Duckers ที่เน้นความสดใสของสีสัน ลายสกรีน และ Concept ที่สื่อสารถึงกลิ่นอายการท่องเที่ยวโดยเปรียบตัวผู้ใช้เป็น The Duckers ที่จะเลือกได้เวลาตัวเองเป็นสไตล์ไหน โดยออกมาทั้งหมด 3 กลิ่นที่เห็นแล้วสามารถเกิดกิเลสได้ไม่ยาก

แน่นอนเมื่อเห็นเช่นนั้น ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขินจัดมาหมดจริงๆ ซึ่งเมื่อได้ผ่านการเรียนรู้กลิ่นมาแล้ว ก็เลยเริ่มทยอยนำมาเล่าเพื่อให้รู้ว่ากลิ่นมีดีอย่างไรบ้าง และตัวแรกที่ตกผลึกได้ที่จนเอามาถ่ายทอดต่อได้นั่นก็คือ Freedomland ที่นำเสนอกลิ่นอายของ The Duckers สไตล์การท่องเที่ยวที่อิงตามการไปร่วมเทศกาลทางดนตรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Sonar ที่บาร์เซโล่า แล้วไปต่อที่ Coachella ที่แคลิฟอร์เนีย แล้วไปปิดท้ายที่ Glastonbury ที่อังกฤษ เรียกว่าเข้าทางสายปาร์ตี้และมีดนตรีในหัวใจสุดๆ ไปเลย ซึ่งกลิ่นที่ออกมานั้นก็บอกได้เช่นนี้

Freedomland นี่คือ Cocktail Scent’s Lover กันได้เลย เพราะว่าในทุกๆ ช่วงกลิ่นความเป็นค็อกเทลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะโดดเด่นมากจริงๆ โดยจุดเริ่มต้นในการเปิดกลิ่นจะวูบขึ้นมาแบบผลไม้รวมที่จะจับความโดดเด่นของแต่ละตัวได้อย่างสนุกสนานมาก เริ่มจากสับปะรดที่วูบหอมสดชื่นติดฉ่ำหน่อยๆ เคล้ากลิ่นส้มที่ให้ความหวานอมเปรี้ยวสดชื่นตามด้วยกลิ่นสตรอเบอร์รี่แบบน้ำสตรอเบอร์รี่ที่ให้ความเปรี้ยวหอมเจือหวานออกทางโทนสีแดง แ กมกลิ่นเปรี้ยวสดชื่นที่สร้างความ Sparkling ให้เนื้อกลิ่นของเลมอน เรียกว่าไล่โทนกลิ่นผลไม้ได้อย่างลงตัวให้ความฟรุตตี้กึ่งน้ำพันช์ผลไม้ที่สดชื่นมาเลย แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะมีความเขียวปร่าอะโรม่าสดชื่นของมินต์ที่เข้ามาเสริมด้วย ซึ่งให้นึกถึงน้ผลไม้รวมที่ใส่ใบมินต์ลงไปในนั้น นั่นแหละใช่เลยล่ะ ช่วงเปิดของกลิ่นนี้

ไม่เกิน 3 นาทีถัดมาตัวเสริมด้านความอะโรม่าของสายเครื่องเทศติดเขียวโปร่งที่มาช่วยให้กลิ่นมีความกลมกล่อมมากขึ้นอย่างโหระพาจะเสริมเข้ามาแต่จะไม่ได้เป็นโหระพาที่อวลเขียวอุ่นนัก แต่จะเป็นกลิ่นโหระพาตามธรรมชาติที่ไม่ได้เข้มข้นเกินไป แบบได้กลิ่นอ่อนๆ กำลังดีที่มาทำให้กลิ่นในช่วงต้นไม่ได้ใสแจ๋วแหววเกินไปซักครู่ กลิ่นโทนค็อกเทลที่มีรัมมะพร้าวจะเสริมขึ้นมาทีละหน่อยๆ มีโทนออกทากะทิๆ ครีมมี่เบาๆ มาผสมผสานกับโทนสับปะรด จนได้อารมณ์กลิ่นแนวค็อกเทล Pina Colada ที่เรียกว่าชัดมาก จนแบบว่าอารมณ์ค็อกเทลแก้วโปรดมาเลยทีเดียว กลิ่นจะได้ความกรุ้มกริ่มของรัมติดครีมมี่กะทิเนียน ที่จะมีโทนเปรี้ยวอมหวานหอมน้ำสับปะรดตลออยู่ตลอด ซึ่งนี่แหละจะเป็นตัวหลักของช่วงกลางเลย แต่กลิ่นจะไม่ได้ตรงทื่อๆ แต่เพียงแค่นี้เพราะว่าโทนน้ำพันช์ผลไม้รวมใส่มินต์และมีโหระพามาเสริมในช่วงแรกก็ยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่ ซึ่งจะแอบมีโทนติดเปรี้ยวฉ่ำอ่อนๆ ค่อนไปกุหลาบบางๆ แนวๆ ลิ้นจี่เข้ามาเสริมด้วยซึ่ทำให้ได้โทนออกทางเปรี้ยวอมหวานคลอ อารมณ์แบบมีเครื่องดื่ม 2 ชนิดมาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วกลิ่นเสริมด้วยกันสร้างสีสันในความรู้สึกได้ดีเลยทีเดียวระหว่างเหลืองอวลครีมมี่กับส้มปนแดงสดใส มาแบบสร้างความลั่นล้าได้ดีมากเกินคาด

จนเมื่อการเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นคือโทนน้ำพันช์เริ่มเบาลงพร้อมกับโทน Pina Colada ที่ลดทอนลงมาหน่อยแต่ก็ยังจับต้องได้อยู่ ก็จะเริ่มมีกลิ่นติดเปรี้ยวกึ่งเหล้าองุ่นหมักที่ให้ความเปรี้ยวติดเลมอนเสริมขึ้นมา โดยจะมีกลิ่นติดขมเล็กๆ แนวค็อกเทลเข้ามาร่วมด้วย รวมถึงมีกลิ่นออกทางเชอร์รี่เปรี้ยวหวานหอมเฉพาะที่แอบติดยาแก้ไอปลายๆ กลิ่นเข้ามาด้วย ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้จะได้อารมณ์แบบค็อกเทลที่เป็นกลิ่นหอมติดเปรี้ยวสดชื่นติดเปรี้ยวอมหวานหอมปร่าของเชอร์รี่ที่มาสร้างสีสันแทน โดยที่ยังมีกลิ่น Pina Colada ครีมมี่กะทิติดสับปปะรดคลออยู่แบบเบาๆ เคล้ากลิ่นน้ำพันช์ที่เหลือบางๆ ปลายกลิ่น เรียกว่าเป็นการเอาค็อกเทลแก้วที่ 3 เข้ามาเสริมและสร้างเลเยอร์เปรี้ยวหอมแนวบรั่นดีองุ่นหมักเคล้าเชอร์รี่ที่ลงตัวและมีเสน่ห์ลั่นล้าในเนื้กลิ่นเพิ่มเข้าไปอีก ปิดท้ายการเป็นกลิ่นอายสายเจ้าเสน่ห์ที่มีสีสันรวมการรวมเอาค็อกเทลต่างๆ มาดึงความเด่นสผมผสานได้อย่างดีงามลงตัวเกินคาดจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย เพราะกลิ่นน้ำพันช์ในช่วงแรกมันเข้าทางสาวๆ มาก แต่เอาเข้าจริงผู้ชายก็ใช้ได้ ได้อารมณ์ลั่นล้าเจ้าเสน่ห์ได้เลยล่ะ ซึ่งแน่นอนกลิ่นนี้ไม่เหมาะกับยามทางการทุกกรณี รวมถึงการใส่ออกงานด้วยเพราะกลิ่นมันสายลั่นล้าเกินไป รวมถึงใส่ออกกำลังกายด้วยที่จะดูแบบเมามาออกกำลังกายมากกว่า แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office และใส่กิจกรรมกลางแจ้งแนวๆ ไปดูคอนเสิร์ตแบบที่มาที่ไปของรุ่นอันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป ท่องราตรีกลิ่นนี้เข้าทางสุดๆ จริงๆ  

ความทน - ดีมาก ดีจนเกินคาดไปเลย เพราะว่า 12 ชม. แล้วกลิ่นยังอยู่ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ต้องยอมเขาเลย และยังไงค่าเฉลี่ยเรื่องความทนก็ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แบบสดใสและสดชื่นสีแดงส้มเหลืองมาเลย แล้วจะลดลงมาเป็นกระจายดีไปซักพักราว 2 ชม. ก็จะเป็นปานกลางยาวไปที่ 6 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปหลังจากนี้ 

สรุป - ถ้าคนที่ชอบน้ำหอมสายค็อกเทลของ Escada มาก่อน บอกเลยตัวนี้คืออีกตัวที่เอามาสู้กับ Escada ได้สบายมาก เพราะกลิ่นสดใสสดชื่นและมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว และแม้ว่าเอาจริงๆ การไปเทศกาลแบบนี้ใครจะมาดวดค็อกเทลกันเป็นหลัก อาจจจะมีน้ำพันช์อยู่แหละ แต่น่าจะเป็นเบียร์เหล้ากันเลยมากกว่า ซึ่งอย่างน้อยความดีงามของกลิ่นคือค็อกเทลที่สดใสและมีมิติและสร้างออร่าเจ้าเสน่ห์สนุกสนานอันนี้บอกเลยว่าได้เต็มๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mandarina-Duck-The-Duckers-Into-The-Jungle-Resort-Lovers-and-Freedomland-13704.html