วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Dolce & Gabbana - Light Blue Discover Vulcano Pour Homme


Dolce & Gabbana - Light Blue Discover Vulcano Pour Homme

ถ้าพูดถึงน้ำหอมของ D&G อย่าง Light Blue คนที่ชอบน้ำหอมส่วนใหญ่เรียกได้เลยว่าผ่านหูกันมานักต่อนักไม่ว่าจะเป็นทั้งของหญิงและของชาย แต่ในครั้งนี้จะไม่พูดถึงตัวต้นตระกูลครับ มากันที่ลูกหลานเหลนโหลนกันก่อนดีกว่าแล้วค่อยไปที่ตัวต้นตระกูลอีกครั้งในภายหลัง เช่นนั้นมาดมกลิ่นนี้กันครับ Light Blue Discover Vulcano Pour Homme

เพราะ Concept ของ Light Blue คือน้ำหอมกลิ่นวันฟ้าใสติดอารมณ์ Aquatic เป็นหลัก เช่นนั้นรุ่นที่เป็น Flanker อย่างตัวนี้ จึงยึดถือเป็นสรณะไว้ก่อนแน่ๆ ไม่มีหลุด Concept แต่จะตัดโทน Aquatic ออกไป เป็นอารมณ์แบบวันฟ้าใสเน้นๆ แทน โดย Top Notes จะโดดเด่นมากด้วยกลิ่นของเลมอนผสมขิง หอมสดชื่นกันเต็มๆ กลิ่นเข้าถึงง่าย และคนที่ได้กลิ่นก็สามารถบอกได้กันตรงๆ เลยว่าหอมสดชื่นดีนะ ได้อารมณ์อากาศดีๆ อยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะริ่มเปลี่ยนเป็นโทนสะอาดหอมนุ่มในช่วง Middle Notes กับกลิ่นโทนเขียวของสนไซเปรสกลั้วกับลาเวนเดอร์ กลิ่นแอบแฝงความนุ่มเย้ากำลังดี มีความรู้สึกใสๆ ออกโทนขาวสะอาดคล้ายๆ เห็นปุยเมฆได้ชัดเจน และจะปิดท้ายด้วย Base Notes ที่จะมาแตะที่ความเป็นวู้ดดี้ของไม้ซีดาร์ที่ออกทางขรึม กลั้วกับกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความสดชื่นแบบสะอาดสะอ้านติดกลิ่นอาย Smoky ตัดกันเหมือนอากาศวันฟ้าใสบนภูเขา (ที่อาจจะเป็นภูเขาไฟ) ได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศทุกวัยครับ กลิ่นใช้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก ถือเป็น Safe Scent ที่ใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้สบายๆ ไม่ว่าจะทำงาน เรียน ชิลล์ เที่ยว ออกกำลังกาย หรือนอนแก้ผ้าอยู่บ้าน แต่ไม่ค่อยเข้าทางกับการใส่ยามเย็นแบบออกเที่ยวเท่าไหร่ เพราะกลิ่นจะสู้ใครเขาไม่ได้เท่านั้นเอง

ความทน – อันนี้ขอยกนิ้วให้เลย ทนกว่า Light Blue ต้นฉบับเสียอีก 8 ขึ้นไปพอสมควรได้เลย ยิ่งฉีดเสื้อยิ่งทน

การกระจาย – กลิ่นกระจายกำลังดี ไม่ได้หวือหวาเรียกแขกมากนัก และจะค่อยลดๆ มาเป็น Skin Scent ตีขึ้นให้ได้กลิ่นเบาๆ จนหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกอะไรตามชื่อรุ่นว่าเจอภูเขาไฟอะไรเลย ได้อารมณ์แบบวันฟ้าใสชิลล์ๆ ทั่วไปมากกว่า ซึ่งถ้าให้เทียบจริงๆ กลิ่นนี้หอมนะครับ ไม่ใช่ไม่หอม เป็น Safe Scent ที่ดีเลยทีเดียว เพียงแต่มันไม่ได้หวือหวา หรือทำให้ประทับใจได้เท่า Light Blue ต้นฉบับที่คลาสสิคไปเสียแล้วเท่านั้นเองครับ

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Izod for Men



Izod for Men 

เป็นแบรนด์ที่ผลิตเสื้อผ้าทั่วๆ ไปและ Fashion ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาที่ได้ความนิยมในอเมริกาไม่น้อย ซึ่งแบรนด์นี้แม้จะผลิตเสื้อผ้าในทุกเพศและทุกวัย แต่มีน้ำหอมเพียงตัวเดียวเท่านั้นครับ ซึ่งเป็นตัวที่จะมาบอกเล่าในครั้งนี้ นั่นคือ Izod for Men 

สมัยตอนผมใช้น้ำหอมใหม่ๆ ผมชอบกลิ่นน้ำหอมของ Aramis Always for Men ที่อังเดร อากัสซี่ เป็น Presenter ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะว่ากลิ่นแตงกวาสดชื่นหอมกระจายมาก แต่ไม่ได้เลือกใช้ เพราะตอนนั้นมีตัวเลือกอย่าง Issey Miyake ที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่พอเริ่มมีงบในการซื้อหามาใช้มากขึ้นมันดันเลิกผลิต แรงงงงงงงงงอ่ะ เลยไม่รู้จะหาจากที่ไหน แต่พอได้มาเจอตัวนี้ นี่แหละตัวแทนของ Aramis Always เลยครับ เพราะ

Top Notes เปิดตัวด้วยกลิ่นสดชื่นแรงๆ ของแตงกวากลั้วกับมินท์ และมีโทนซิตรัสของมะนาวและส้มมาผสมผสานซึ่งกลิ่นสดชื่นมาก แม้จะหนักกว่า Aramis Always ไปหน่อย แต่ทดแทนกันได้และจะเข้าทาง Sport ชัดเจน เมื่อเริ่มเข้าสู่ Middle Notes กลิ่นจะเริ่มออกทางนุ่มๆ เหมือนเราสวมเสื้อผ้ากลิ่นสะอาดๆ ติดแป้งหอมเย็นๆ สดชื่นจางๆ เพราะจับได้ถึงกลิ่นลาเวนเดอร์แบบนุ่มจมูกเบาๆ ได้ดีจริงๆ จนเมื่อถึงช่วง Base Notes กลิ่นจะยังคงความสดชื่นอยู่ แต่มีความเย้ายวนบางๆ จากกลิ่นใบยาสูลผสมกับหญ้าฝรั่น ซึ่งจะช่วยดันกลิ่นโทนธูปหอมติดสดชื่นให้เด่นขึ้นมาในแบบที่ไม่ได้เป็นธูปจ๋าๆ แต่ประการใด แต่เป็นกลิ่นคล้ายๆ ผงไม้เนื้อหอมบางๆ แทนมากกว่า ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลตอบโจทย์การเป็นน้ำหอมโซน Sport มากเลย ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย และเป็นตัวตายตัวแทนของ Aramis Always ได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัยเลย กลิ่นใช้ง่ายมาก สดชืิ่นสุดๆ ใส่ได้แทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว ยกเว้นออกงานทางการณ์ เพราะกลิ่นมันเข้าทาง Sport Casual มากกว่า ครับ ที่สำคัญเหมาะกับอากาศบ้านเรามากมายจริงๆ

ความทน - 8 ชั่วโมงโดยประมาณ อิงตามเคมีกับผิวด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเลยทีเดียวในช่วง Top และจะลดลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นให้คนใส่ได้กลิ่นเบาๆ ในช่วง Base จนหายไปจากผิวครับ

ทิ้งท้าย - เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ใช้ง่าย แถมเข้าข่าย Safe Scent ที่ใช้ยังไงก็หอมได้ไม่ยากจริงๆ ครับ

Review: Giorgio Armani – Code Sport



Giorgio Armani – Code Sport

ตัวต้นตระกูลที่รู้จักกันดีอย่าง Armani Code นั้นว่าหอมมากกกกกกอยู่แล้ว ให้มาหมดทั้งความหวานรัญจวน หวานสำอาง และหวานสะอาด เมื่อแตกลูกหลานออกมาแตะน้ำหอมโซน Sport จึงไม่แปลกใจว่าทำไมน้ำหอมตัวนี้ถึงเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับความนิยมสูงมาก แถมเกินหน้าเกินตาต้นตระกูลแบบมาแรงแซงทางโค้งเลยทีเดียว เช่นนั้นมาคุยกันถึง Code Sport กันครับ ว่าทำไมถึงขึ้นชื่อลือชาด้านความนิยมขนาดนี้

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าพื้นฐานเดิมของความเป็น Code นั้นจะอยู่ที่ความเป็นสบู่ติดหวานสำอางค์นั้นมีความหอมมากมายอยู่ในตัวอยู่แล้ว เช่นนั้นสิ่งที่เป็นความเชื่อมโยงให้กลายเป็น Code Sport ก็ยังความเป็นเป็นสบู่หอมสำอางค์เช่นเคย แต่ไม่มีความหวานในเนื้อกลิ่นมาอีกแล้ว ให้ความรู้สึก Sport กันได้เลย ตั้งแต่ Top Notes ที่จะมาด้วยกลิ่นของส้มผสมกับมินท์และเปเปอร์มินท์ ที่ให้อารมณ์ชัดเจนถึงชื่อรุ่น แต่สิ่งที่ดีงามในช่วงนี้คือ แทนที่มินท์จะออกคมๆ กลับไม่ใช่ เพราะความเป็นส้มที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็น Citrus และ Fruity มาเบรก จึงทำให้ช่วงนี้จะหอมสดชื่นแบบมีชั้นเชิง และใครก็ตามที่ได้กลิ่นมักจะชอบในทันทีจนเสียเงินซื้อเอาได้เลย เพราะหอมจิง อะไรจริง จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes โทนกลิ่นได้เข้าสู่การเป็นกลิ่นสดชื่นสะอาดแบบสบู่ที่ออกโทนสะอาดสำอางค์แบบไม่มีความหวานเน้นสดชื่นกันเต็มๆ กับกลิ่นของเลมอนกับขิงที่เด่นขึ้นมา โดยมีกลิ่นโทนน้ำสะอาดกับวู้ดดี้เบาๆ มาเสริม ซึ่งจะได้อารมณ์แบบอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ มีกลิ่นสบู่แบบสดชื่นตีขึ้นให้ได้กลิ่นกันเต็มๆ และส่งต่อให้ Base Notes เพิ่มความ Sport แบบสำอางค์ ด้วยหญ้าแฝกที่ให้ความรู้สึกหอมสะอาดซ่าๆ ผสมกับความเป็นวู้ดดี้อ่อนๆ สะอาดสะอ้านกำลังดีจึงทำให้กลิ่นในช่วงนี้เหมือนหลังออกกำลังกายอาบน้ำเสร็จแต่งตัวสะอาดสะอ้านมีกลิ่นกายเย้ายวนแบบสดชื่นชวนให้เข้ามาคลุกวงในอย่างไงอย่างงั้นเลย

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัย ม.ปลายเป็นต้นไป กลิ่นใช้ง่าย หอมแน่นอนเพราะ Armani ทำน้ำหอมได้เข้าถึงง่ายแบบมีชั้นเชิงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใส่ไปเรียน ทำงาน ออกกำลังกาย เที่ยวเล่น และอี๋อ๋อกับแฟน ที่สำคัญใส่ยามเย็นแบบทั่วๆ ไปได้สบายๆ แต่ถ้าเที่ยวกลางคืนตัวนี้สู้เขาไม่ค่อยได้ครับ แนะนำกลับไป Code ปกติจะเข้าทางมากกว่า

ความทน – 8 ชม. ก็แล้ว จนถึง 10 ชม. ก็แล้ว กลิ่นยังมีให้จับต้องได้อยู่ตลอด

การกระจาย – หอมกระจายมากกกกกกกกในช่วงต้น และจะลดมากระจายกำลังดีทำให้คนอื่นสดชื่นไปด้วยในช่วงกลางและท้ายจนกว่าจะหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – ไม่แปลกใจกับความนิยมครับ เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายแบบมีระดับ ใส่แล้วดู Sport แบบสำอางชัดเจน ที่สำคัญเข้ากับอากาศร้อนๆ บ้านเราได้ยอดมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ให้คำว่าของดีเทคนิคไม่ต้อง เพราะกลิ่นนี้บางคนใส่แล้วจะมีกลิ่นคาวน้ำทะเลออกมา ซึ่งผมเองก็จับความรู้สึกแบบนั้นได้บางๆ ว่ามันแอบคล้าย Bvlgari Aqva ในบางวูบนิดหน่อย แต่ถามว่าแคร์ไหม? ไม่ เพราะมันหอมจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลยครับ

Review: Burberry – The Beat for Men



Burberry – The Beat for Men

ขึ้นชื่อว่าเป็น Burberry มักไม่ค่อยทำให้ผิดหวังในความเรียบหรูดูดีและคลาสสิคอยู่แล้วอันนี้เชื่อขนมกินได้ ซึ่งแม้จะออกน้ำหอมหวือหวาขนาดไหนก็ไม่เคยทิ้ง Concept นี้เลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งรุ่น The Beat for Men แม้จะดูวัยรุ่นซะ แต่กลิ่นคือ 1 ในของดีที่แบรนด์นี้ปล่อยมาชัดๆ เลย เพราะ 

Top Notes เปิดตัวกันที่กลิ่นโทนซิตรัสที่สดชื่นมาก และมีกลิ่นพริกไทยสดชื่นแบบสะอาดๆ โดยมีโทนแป้งของดอกไวโอเล็ตเข้ามาผสาน ทำให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนสดชื่นแบบมีระดับมาก แบบว่าเฮ้ยยยย! กลิ่นดูดีอ่ะ ปลื้มๆ ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้ Middle Notes เป็นกลิ่นโทนออกทางหนังนุ่มๆ กลั้วสมุนไพร โดยยังมีกลิ่นพริกไทยออกทางแป้งหอมสดชื่นตามมาด้วย เลยทำให้กลิ่นช่วงนี้นุ่มนวลติดซ่าๆ หอมเท่ห์เลยทีเดียว กลิ่นมีความเย้ายวนกลางๆ ออกทางให้คนใส่ดูเท่ห์และเรียบหรูมากกว่า และปิดท้ายด้วยไฮไลท์ของน้ำหอมตัวนี้ในช่วง Base Notes ที่จะยังมีกลิ่นของพริกไทยตามมาติดๆ อยู่ แต่จะมาผสมผสานกับโทนวู้ดดี้ที่ให้ความรู้สึกสะอาดแกล้มความมีคลาสแบบกำลังดี โดยมีความซ่าๆ สดชื่นอยู่เพราะหญ้าแฝกเต็มๆ กลิ่นโดยรวมเลยให้อารมณ์ผู้ชายแต่งตัวแบบไม่เยอะสิ่งแต่ดูดีแบบไม่ต้องพยายามมากจริงๆ ครับ ถือว่าเป็นอีกตัวที่ Burberry ทำออกมาได้น่าประทับใจจริงๆ
เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ปลาย เป็นต้นไป เพราะกลิ่นใช้ง่ายและสดชื่นอย่างมีระดับในตัวเองมาก สามารถใส่ได้หมดทั้งไปเรียน ทำงาน ออกงานทั่วๆ ไป งานหรูก็ได้ เที่ยวเล่นชิลล์ๆ และออกกำลังกาย ที่สำคัญใส่เที่ยวกลางคืนได้อยู่ครับ แต่อาจจะไม่ได้เย้ายวนอะไร เน้นตัวหอมแบบเท่ห์ๆ ไปแทน ถือว่าครอบจักรวาลเลยทีเดีย

ความทน – 8 ชม. สบายๆ เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายได้ดีมากเลยในช่วง Top สดชื่นกันเลยทีเดียว และเปลี่ยนมากระจายได้กำลังงามลดลงไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงเบส ที่คนใส่ยังได้กลิ่นตีขึ้นอยู่ไม่ยากครับ

ทิ้งท้าย – ถือเป็นอีกก้าวของ Burberry เลยที่ทำน้ำหอมซ่อนชั้นความเรียบหรูดูดีในเนื้อกลิ่นอยู่ในความสดชื่นได้ดีจริงๆ ครับ ยกนิ้วให้เลย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้องอีก 1 ตัวครับ

Review: Thierry Mugler – A*Men the Taste of Fragrance



Thierry Mugler – A*Men the Taste of Fragrance

ในเมื่อเป็นไลน์น้ำหอมที่โด่งดังระดับตำนานตัวนึงของโลกที่แต่ละรุ่นทำออกมาได้สุดยอดทุกตัว ยิ่งตัวต้นตระกูลไม่ต้องพูดถึงเด็ดดวงเรื่องการยั่ว Sex ให้เข้ามากินให้ทั่วทั้งตัวได้ไม่ยาก ซึ่งได้บอกเล่าไปแล้ว เช่นนั้นเลยขอมาบอกเล่าเกี่ยวกับรุ่นที่แนวมากกกกกก ตัวนึงของไลน์นี้ดีกว่าครับ นั่นคือ A*Men the Taste of Fragrance 

ทำไมมันถึงแนว? เพราะว่ามันยังคงความเป็น A*Men อยู่แหละครับ ไม่ได้ทิ้งทวนไปไหน แต่ความแนวของมันควรจะเปลี่ยนหรือเพิ่มชื่อเข้าไปว่า Pure Chili มากกว่า เพราะเปิด Top Notes มานี่เหวอรับประทานไปเลย แล้วขำไม่หยุด เออ กลิ่นพริกป่นอ่ะ 5555 เพียงแต่ว่าไม่ฉุนหนักจนทำให้จาม ซึ่งขอยกนิ้วให้ผู้ปรุงน้ำหอมตัวนี้เลยว่าผสานกลิ่นของเม็ดผักชีที่กลิ่นสไปซ์ขาดใจตั้งแต่ต้นมาผสมกับมินท์ที่สดชื่นกึ่งเผ็ด โดยเอาลาเวนเดอร์และมะกรูดมาเบรกและมีกลิ่นคล้ายคาราเมลจางๆ จึงได้ออกมาเป็นพริกป่นแบบไม่บาดจมูก ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นของพริกหยวกแดงจะดันขึ้นมาอีก ทำให้กลายเป็นพริกป่นผสมพริกสดแทนที่พริกป่นในช่วง Middle Notes โดยมีกลิ่นพริกไทยมาเสริมบางๆ และโทนวู้ดดี้มารองทำให้แน่นขึ้น ตามด้วยมีพิมเสนมาเย้ากำลังดีเข้าทางการเป็น A*Men ชัดเจน กลิ่นจะเริ่มหอมแบบ Spicy แบบสดชื่นแน่นๆ แล้วจึงผันมาที่ Signature ของ A*Men แล้วในช่วง Base Notes กับกลิ่นกลิ่นกาแฟใส่นมใส่ไซรัปวานิลลาและพริกนี่เด่นมาก ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเย้ายวนแบบแซ่บๆ โดยจะมี Musk เข้ามาเสริมทำให้กลิ่นนุ่มขึ้นออกทางสะอาดๆ เสียด้วย ซึ่งโดยรวมบอกเลยว่าน้ำหอมกลิ่นนี้ คนไทยคุ้นชินแน่นอน แต่ที่แปลกนั่นคือการที่ทำออกมาเป็นน้ำหอมกลิ่นพริกนำนี่แหละครับ มันแรงงงงงและเกร๋อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป ไม่พอต้องเป็นคนที่ชอบกลิ่นเชิงเครื่องเทศเผ็ดๆ เน้นความแซ่บด้วยนะครับ เพราะกลิ่นแบบนี้ไม่ได้ทุกคนที่จะชอบ สามารถใส่ไปทำงาน ไปเรียน เที่ยวเล่นทั่วไปชิลล์ๆ ออกเดทได้อยู่ ถ้ากลิ่นเข้ากับตัวเรา แต่อย่าได้ใส่ออกกำลังกายเด็ดขาด มันจะฆ่าชาวบ้านเอาจริงๆ นะ ส่วนใส่เที่ยวกลางคืนจัดไป กลิ่นโดดเด่นแซ่บสะเด่ามากจริงๆ 555555

ความทน – 8 ชม. เป็นเรื่องปกติของ A*Men และมากกว่านั้นจนถึง 12 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย – จะกระจายดีไปไหนเพราะตั้งแต่ต้นยันจบกระจายดีมากจริงๆ เผ็ดแซ่บกันนัวเลย

ทิ้งท้าย – น้ำหอมตัวนี้อาจจะไม่ได้เลือกคนใส่มากนักครับ แต่คนใส่ต่างหากจะเลือกมากกว่าว่ารับได้กับกลิ่นพริกป่นเผ็ดแซ่บอุ่นๆ แบบนี้ได้หรือเปล่า 55555555

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Jean-Charles Brosseau - Ombre Rose L'Original



Jean-Charles Brosseau - Ombre Rose L'Original

ได้เวลาของความเป็นกุหลาบกันแล้ว กับน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่เป็นกลิ่นออกทางแป้งที่เรียกว่าเป็นหนึ่งในตัวคลาสสิคตัวนึงของโลกเลยทีเดียวกับแบรนด์ Jean-Charles Brosseau กับรุ่นที่เป็นตัวเอกและตัวแรกของแบรนด์นี้ที่ทำออกมาเพื่อคนที่หลงรักกลิ่นกุหลาบอ่อนนุ่มกันเลยนั่นคือ Ombre Rose L'Original ครับ 

ส่วนใหญ่น้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่เราคิดๆ กันมักจะต้องเป็นกุหล๊าบ กุหลาบใช่ไหมครับ ซึ่งตรงๆ กลิ่นกุหลาบเพียวๆ มันให้ความรู้สึกคลาสสิคแบบสุภาพสตรีมาก บางทีกลิ่นแอบมีอายุถ้ากุหลาบแบบจัดจ้านเกินไป แต่กลับน้ำหอมรุ่นนี้จะเปิดตัวด้วย Top Notes ที่มีกลิ่นไม้เนื้อหอมกลิ่นกุหลาบจางๆ อย่าง Rosewood โดยมีกลิ่นโทนเขียวนุ่มๆ ผสมกับกลิ่นพีชกำลังดี กลิ่นไม่ได้ออกทางสดชื่นมากนัก แต่จะเน้นนุ่มนวลเนียนเหมือนกลิ่นกายหอมกรุ่นหลังจากอาบน้ำแล้วใช้สบู่กลิ่นกุหลาบ แล้วจึงเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นกุหลาบสีชมพูที่ชัดเจนมากในช่วง Middle Notes แต่จะไม่ได้มาแบบสดๆ เลยครับ แต่จากการผสานของโทนวู้ดดี้และโทนดอกไม้ ที่ผมแอบจับได้ว่ามีกระดังงาอยู่ในนั้นด้วย กลิ่นเลยเป็นแป้งหอมที่กลิ่นหลักอยู่ที่กุหลาบชัดเจน หอมนุ่มจมูกมากกกกกก ซึ่งตรงๆ กลิ่นช่วงนี้แตะความเป็น Unisex พอสมควร เพราะไม่ได้กุหลาบแบบจัดจ้านฉ่ำๆ มากเกินไป จนเมื่อมาถึง Base Notes ได้เวลาของกลิ่นโทนหวานอบอุ่นแล้วซึ่งจะขนมาหมดทั้งโทนดอกไม้ออกทางขนมครีมมี่กลั้วกับน้ำผึ้ง มีกลิ่นของ Musk มาผสานทำให้สะอาดๆ นุ่มๆ และมีกลิ่นของดอกไอริสที่จะเด่นขึ้นมาผสานกับวานิลลาจนกลายเป็นโทนแป้งหอมรับช่วงต่อมาจาก Middle อย่างชัดเจนโดยไม่ทิ้งกลิ่นกุหลาบที่ยังคงตามมาอยู่ กลิ่นไม่มีฉุนเลย ได้อารมณ์แป้งหอมกลิ่นกุหลาบนุ่มนวลและหวานเบาๆ อบอุ่นกำลังดีทาผิวกาย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ยังคาบเกี่ยวความเป็น Unisex อยู่เช่นเคยครับ และหอมจริงอะไรจริงกับความเป็นกุหลาบนุ่มๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นน้ำหอมยอดนิยมที่สุดของแบรนด์นี้

เหมาะสำหรับ – สาวๆ เลยครับ ทุกเพศทุกวัย ยิ่งใครไม่ชอบกลิ่นกุหลาบแรงๆ ตัวนี้จะเข้าทางมาก เพราะไม่กุหลาบจัดจ้านขนาดนั้น ใส่ได้ทุกช่วงแวลายามกลางวัน และเป็น Safe Scent ของสาวๆ ได้อย่างสบายๆ กลิ่นทำให้คุณดูอ่อนหวานน่ารักและสุภาพเรียบร้อยกำลังดีอีกเสียด้วย ส่วนคุณผู้ชายส่วนตัวผมว่าถ้าชอบกลิ่นกุหลาบเป็นทุนเดิม และไม่ติดใจที่น้ำหอมตัวนี้เป็นของสาวๆ ใช้ได้สบายๆ ครับ เพราะคาบเกี่ยวกับกลิ่นทาง Unisex กลางๆ เลยล่ะครับ

ความทน – อยู่ที่ 8 ชม. โดยประมาณอาจจะมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วง Top แล้วจะลดมากระจายกลางๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบกลิ่นหอมไม่รบกวนใคร

ทิ้งท้าย – สำหรับผมตัวนี้เป็น 1 ใน #ของดีเทคนิคไม่ต้องได้สบาย เลยครับ เพราะมันหอมในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งเคมีกับผิวเลย แถมผมชอบตรงที่เป็นกุหลาบนุ่มๆ เบาๆ นี่แหละครับ เลยทำให้ผู้ชายใส่น้ำหอมกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก

Review: Jacques Bogart - Bogart pour Homme



Jacques Bogart - Bogart pour Homme

หนึ่งในแบรนด์น้ำหอมที่เรียกได้ว่าทำน้ำหอมออกมาได้เด็ดขาดบาดจิตมาก เพราะหลายๆ ตัวนอกจากจะอยู่ในจำพวก “รักหรือเกลียดเข้าไส้” การกระจายและความแรงของน้ำหอมนี่ใช่ย่อยมากมายปล่อยของกันไม่ยั้งเลยทีเดียว ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่เป็น Love or Hate ที่จะมาเล่าเรื่องกลิ่นกัน ก็ขอประเดิมที่รุ่นนี้เลยครับ Bogart Pour Homme 

เรียกได้ว่ามีอยู่ระหว่างความเป็นกับ Le Male และ Joop! Homme เลยครับ เพราะกลิ่นจะได้อารมณ์แบบ 2 ตัวเทพมารวมกัน กลายเป็นอีก 1 เทพที่ปล่อยของขาดใจมากๆ เปิดต้นกลิ่นกันแรงและฉุนเลยทีเดียว ยิ่งถ้าคนไม่คุ้นชินหรือใช้น้ำหอมมาหลายๆ ตัวจะเบือนหน้าหนีพร้อมกับบอกว่า “เวียนหัวไปไหน” บางคนก็บอกว่า “นี่มันกลิ่นพลาสติกหลอมละลาย” เพราะขนมาหมดไม่ว่าจะลาเวนเดอร์แบบเข้มข้นและมะกรูดแบบจัดหนัก คือมันหนักกันตั้งแต่ตอนแรกเลย กลิ่นบาดจมูกจริงจัง ซึ่งไม่ใช่แค่นี้ที่เหลือก็ยังหนักครับ เพียงแต่จะลดความบาดจมูกลงมาพอสมควรในช่วง Middle Notes ที่จะกลายเป็นโทนออกทางดอกไม้แมนๆ ขนมาเลยทั้งดอกส้มและกุหลาบซึ่งแอบติดกลิ่นแบบยาสูบและแนวๆ ราสเบอร์รี่ลงมาด้วย ทำให้กลิ่นโทนนี้กลายเป็นดอกไม้แบบแมนๆ กลิ่นกลิ่นเย้ายวนขาดใจของยาสูบให้ความขี้เล่นบางๆ ของราสเบอร์รี่อย่างบอกไม่ถูก เนื้อกลิ่นมันหนักแน่นในระดับที่มั่นใจในตัวเองขนาด คือ ถ้าใส่แล้วต้องมั่นใจด้วย เพราะจะไม่งั้นกลิ่นแย่งซีนนะครับ 55555 ส่วน Base Notes จะมาแบบคมๆ หน่อยใกล้เคียงกับ Joop! Homme แต่ที่แตกต่างคือ มันไม่ออกทางอบอุ่นเท่าไหร่มันออกทางสดใสชื่นใจแปลกๆ ดีครับ เพราะอิทธิพลของพิมเสนมากลั้วกับไม้ซีดาร์ ทำให้กลิ่นที่ควรจะอบอุ่นครีมมี่ของถั่วตองก้าเป็นคมขึ้นมา ยิ่งมี Musk ด้วยยิ่งทำให้กลิ่นเย้าๆ ขับเสน่ห์กำลังดีเลย กลิ่นช่วงนี้จะไม่ได้บาดจมูกครับ ออกแนวสบายๆ แม้จะมีกลิ่นโทนแมนๆ ของยาสูบและดอกไม้บางๆ ซ่อนอยู่ให้รู้สึกก็ตาม

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายวัยทำงานเป็นต้นไปครับ กลิ่นค่อนข้างหนักพอสมควร ถ้าไม่ประทับใจ อาจจะด่าเทสาดเทเสียได้ 555555 สามารถใส่ยามกลางวันได้ ไม่ว่าจะทำงานในห้องแอร์ เกี้ยวพาราสีผู้อื่น หรือออกงาน ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ไม่งั้นจะฆ่าชาวบ้านเอา ที่สำคัญใส่เที่ยวกลางคืนนี่สิเหมาะมากมาย เป็นอีกตัวที่ยั่วยวนชาวบ้านได้ดีจริงๆ ครับ

ความทน – มากกกกกกกกกกกกกกกที่สุด ผมเจอ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย – มากกกกกกกกกกกกกที่สุด เพียงแค่คุณใส่ 4 สเปรย์แล้วขึ้นรถตู้ กลิ่นจะคลุ้งทั้งรถได้แบบสบายๆ ให้ชาวบ้านเขารู้ว่าคุณใส่น้ำหอมมา 55555 (ประสบการณ์จริงกับตัว) กลิ่นจะลดระดับลงมาหน่อยในช่วง Base แต่ก็ยังกระจายดีอยู่ดี ตีขึ้นให้รับรู้ตลอดครับ

ทิ้งท้าย – หลายๆ คนเกลียดตัวนี้มากนะครับ เพราะกลิ่นมันทำเอาเวียนหัวมากมาย ส่วนผม แหะแหะ เฉยๆ ครับ ชอบด้วยซ้ำ ยิ่งอากาศเย็นๆ น่ะ ฟินเลยล่ะครับ

Review: Mandarina Duck - Pure Black



Mandarina Duck - Pure Black

หนึ่งในน้ำหอมที่เรียกได้ว่าเป็น Masterpiece ยังได้เลยทั้งในเรื่องความหอม ความแน่น ความหวาน และความทนอึดของแบรนด์ Mandarina Duck จากอิตาลี แถมยังสื่อชัดเจนถึงคำว่า Black ได้ดีมากเลยทีเดียว เช่นนั้นเลยขอมาบอกเล่าเรื่องกลิ่นกันกับตัวนี้ครับ Pure Black 

เพียงแต่ช่วง Top Notes บอกกันตรงๆ ได้เลยว่า กลิ่นหอมสดชื่นแบบแน่นๆ เข้มๆ เท่ห์ๆ ได้ใจมาก เพราะกลิ่นส้ม มะกรูดและพริกไทย ผสานกันออกมาจนได้ความเป็นซิตรัสแน่นๆ กลิ่นออกทางหนักหน่อย แต่ไม่คมบาดจมูก แค่ช่วงนี้ก็บอกได้เลยว่าหอมมากกกกกก ที่สำคัญมีโทนครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้าดันขึ้นมาเร็วมากด้วย เลยทำให้ออกหวานอมเปรี้ยวแบบมีชั้นเชิงก่อนจะส่งต่อให้ Middle Notes ที่จะจัดเต็มกันที่ความนุ่มนวลครีมมี่ของถั่วตองก้า ตามด้วยกลิ่นดอกไม้โดยเฉพาะดอกส้มที่อบอวลแบบลึกลับกำลังดี แถมมีความเย้ายวนด้วยใบยาสูบที่เด่นขึ้นมา ช่วงนี้จะให้อารมณ์ลึกลับบ่งบอกถึงความเป็น Black ที่เข้าทางดาร์กในเนื้อกลิ่นได้ดีมาก ตรงๆ กันเลยคือกลิ่นเรียกแขกแบบแน่นๆ แต่ยังอยู่ในพื้นฐานที่ไม่หนักจมูกคนได้กลิ่นแต่ประการใด จนเมื่อ Base Notes สำแดงออกมา ก็จัดเต็มกันได้เลยที่กลิ่นของวานิลลาแบบอบอุ่นเนียนๆ มากกกกกก ยิ่งผสานกับไม้หอมต่างๆ ในช่วงนี้ กลิ่นให้ทั้งความรู้สึกสะอาดติดหวานชัดเจน ให้ความรู้สึกแบบเย้ายวนเซ็กซี่ชวนให้เข้ามาค้นหาทีละหน่อยๆ ได้แบบขาดใจไม่น้อยจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปครับ กลิ่นค่อนข้างแน่นหนักออกทางโทนหวานแต่ไม่บาดจมูก เช่นนั้นสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ตอนใส่ยามกลางวันอากาศบ้านเราต้องเบรกสเปรย์หน่อยนะครับ เพราะกลิ่นแน่นมาก อาจจะชวนอึดอัดได้ ที่สำคัญอย่าได้ใส่ออกกำลังกายเลย มันหนักไป ส่วนเที่ยวกลางคืนจัดเลยยยยยยยยยย กลิ่นหวานเย้าได้ใจมากเลยครับ เตรียมรับคำชมเน้นๆ

ความทน - มากกกกกกกกกกกกกกที่สุด 12 ชม. นี่กลิ่นยังตีขึ้นเต็มๆ จนถึง 15 ชม. แล้วกลิ่นยังลอยอ้อยอิ่งให้รู้ตลอด แถมติดเสื้อซักแล้วกลิ่นยังติดจางๆ อยู่เลย ของเขาดีจริงๆ

การกระจาย - มากกกกกกกกกกกกกก ยิ่งถ้าใส่วันอากาศร้อน กระจายแบบรอบตัวเลยทีเดียว แถมกระจายดีทุกช่วงเสียด้วย

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีคุณภาพมากจริงๆ และเป็นหนึ่งในของดีที่เริ่มหายากแล้วล่ะครับ ที่สำคัญเมืองไทยไม่มีขาย ของมันเซ็งตรงนี้ พูดเลย!

Review: Butterfly Thai Perfume – Bay Leaf (ใบกระวาน)



Butterfly Thai Perfume – Bay Leaf (ใบกระวาน)

มาที่แบรนด์ไทยเจ้าประจำอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ขอเลือกหนึ่งในน้ำหอมที่ผมปลื้มที่สุดของ Butterfly Thai Perfume เลยทีเดียว กับความหอมที่ได้อารมณ์สบายๆ และเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อกับกลิ่นนี้เลยครับ Bay Leaf – ใบกระวาน 

ส่วนใหญ่น้ำหอมของแบรนด์นี้จะมาด้วยความแน่นกันก่อนเป็นอันดับหนึ่ง แต่แปลกใจมากที่ตัวนี้ลดความแน่นลงมาเยอะเลย เพราะแตะที่ความเป็นน้ำหอมโซนเครื่องเทศสดชื่นกันเต็มๆ เปิดตัว Top Notes กับกลิ่นซิตรัสติดเขียวสดชื่นชัดเจน เพราะที่เด่นมาเลยทีเดียวคือใบมะกรูด มะนาว และมะกรูด กลิ่นให้ความสดชื่น สะอาดปนแน่นกำลังดี ไม่แน่นจัดจนมากเกินไป ก่อนที่จะได้เวลาของพระเอกมาของ Middle Notes ที่กลิ่นของใบกระวานที่กลิ่นเขียวติดหวานเย้ายวนจะเด่นมาก มีโทนซ่าๆ หน่อยๆ ทำให้กลิ่นช่วงนี้ได้ทั้งความเซ็กซี่และความสดชื่นในเวลาเดียวกัน ซึ่งบอกเลยครับ กลิ่นแบบนี้มันได้อารมณ์แบบผู้ชายทั่วไปที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติได้เลยทีเดียวนะ เพราะกลิ่นมันดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไรที่ต้องหันมามองคนใส่น้ำหอมตัวนี้ได้เลย (จุดนี้มีคนทักชมเสมอเวลาใส่น้ำหอมตัวนี้ ก็เงี๊ยะ! 5555) และเมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes กลิ่นของใบกระวานยังคงตามมา ผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมที่รองพื้นด้านหลัง มีกลิ่นออกทางสมุนไพรติดเขียว และกลิ่นโทนหวานนุ่มเบาๆ ดูสะอาดสะอ้านติดสุภาพแต่น่าซุกเลยล่ะ กลิ่นเย้าเรียกแขกแบบ “#ก็ไม่รู้สินะ” ได้สบายๆ ครับ

เหมาะสำหรับ – จริงๆ น้ำหอมตัวนี้เป็น Unisex ที่ใส่ได้ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป แต่ส่วนตัวผมมองว่ากลิ่นเข้าทางผู้ชายพอสมควรเพราะเน้อกลิ่นมีความแมนอยู่ ซึ่งสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะไปทำงาน ไปเรียน เที่ยว ออกงานทั่วไป รวมถึงงานหรู ออกกำลังกายอยากให้รอช่วงเบสก่อนจะพอไหว ส่วนเที่ยวกลางคืนได้อยู่ครับ กลิ่นแน่นสู้เหล้าได้อยู่ในระดับที่ดีเลย

ความทน – 8 ชม. สบายๆ ตามประสาน้ำหอมที่เป็น Oil Base บนผิวผม 10 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย – กลิ่นกระจายแน่นกำลังดีในช่วง Top และกระจายงามๆ เลยในช่วง Middle ส่วนในช่วง Base กระจายกลางๆ ที่ยังทำให้คนใส่รับรู้กลิ่นที่ตีขึ้นได้ตลอดครับ

ทิ้งท้าย – น้ำหอมเป็น Oil Base จึงไม่ควรฉีดเสื้อโดยตรง โดยเฉพาะเสื้อขาว เพราะอาจจะทำให้ด่างได้นะครับ ฉีดที่ผิวดีที่สุดแล้ว และปิดท้ายกันอย่างชื่นชมตรงๆ กับน้ำหอมรุ่นนี้เลยว่า นี่คือ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เลยล่ะครับ

Credit รูปภาพ - http://www.butterflythaiperfume.com/และ http://dailyher.com/wp-content/uploads/2013/01/bay-leaf-web.jpg โดยผมเอา 2 ภาพมารวมกันให้สื่อถึงความเป็นน้ำหอมรุ่นนี้ครับ

Review: Gucci by Gucci Sport



Gucci by Gucci Sport 

เพราะต้นฉบับคือน้ำหอมที่ผมปลาบปลื้มสุดในแง่ของความโรแมนติคสุดใจขาดดิ้น แล้วพอออก Flanker มาล่ะ แถมเป็นรุ่นสปอร์ต แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะต้องลองครับ ว่ากลิ่นจะยังคงโรแมนติคมากน้อยแค่ไหน ผลออกมาคือ 

กลิ่นเบาลงไปเยอะเลย เพราะว่าจากเดิมกลิ่นจะออกทางวู้ดดี้แต่กลั้วความโรแมนติคของมะลิและเนื้อไม้ต่างๆ แบบเซ็กซี่ แต่กับรุ่นลูกนี้จะมาแบบบางเบาเข้าทาง Sport ครับ เพราะเปิด Top Notes มีความเป็นออริจิมาด้วยกลิ่นของสนไซเปรสออกเชิงเขียวๆสะอาดๆ กลั้วไปกับกลิ่นส้มซิตรัสกำลังดี ทำให้กลิ่นเปิดเพียงแรกเริ่มก็บอกอารมณ์ Sport ได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่กลิ่นจะบางๆ หน่อย และเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes กล่นในช่วงนี้จะเป็นกลิ่นเชิงเขียวๆ เย็นๆ ให้อารมณ์สปอร์ตแบบไม่เหมือนใคร เด่นเลยทีเดียวที่กลิ่นของลูกมะเดื่อ ที่จะออกเขียวๆ ขมๆ กลั้วกับกลิ่นซิตรัสแน่นกลางๆ ตัดไม่ให้คมเกินไปของเม็ดกระวาน ทำให้ได้อารมณ์แบบน้ำใสๆ กลิ่นออกทางเขียวๆ หน่อย ซึ่งเป็นกลิ่นที่ถ้าคนไม่ชอบโทนเขียวๆ ขมๆ ของมะเดื่อ มีสิทธิ์โบกมือลาบ๊ายบายได้เพราะกลิ่นมันจะเขียวอวลๆ แปลกๆ พอสมควร แต่ถ้าชอบและเคมีเข้ากันได้กลิ่นจะหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะได้เลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ Base Notes กลิ่นโทนเขียวๆ จะเริ่มเปลี่ยนเป็นกลิ่นออกทางสะอาดๆ ด้วยหญ้าแฝกกับ Musk ที่มีกลิ่นออกทางเมทัลลิคกลายๆ ได้อารมณ์ Sport แบบบางเบากำลังดี แอบมีกลิ่นอายเย็นๆ เย้าไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิวครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนม.ปลาย ขึ้นไป สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเรียน ทำงาน เที่ยวชิลล์ๆ ออกกำลังกาย ลั่นล้าสารพัด แต่จริงๆ แล้วใส่ยามเย็นอากาศบ้านเราได้สบายๆ ครับ

ความทน – 6 ถึง 8 ชม. ตามเคมี และจำนวนสเปรย์ที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ไม่ค่อยรบกวนใครมาก เน้นให้คนใส่ได้รับรู้เป็นหลักมากกว่า ยิ่งช่วงเบสจะเป็น Skin Scent มาเป็นวูบๆ บางๆ หรือต้องดมที่ผิวจะได้กลิ่นครับ ซึ่งแน่นอนมันไม่รบกวนใคร

ทิ้งท้าย – เป็นน้ำหอม Sport ที่กลิ่นแตกต่างจากท้องตลาดดีเลยทีเดียวครับ แนะนำให้ลองก่อนน่าจะเป็นทางออกที่จะวัดว่าเราชอบมันหรือไม่ครับ

Review: L’Occitane - Eau de Vétyver



L’Occitane - Eau de Vétyver

ได้เวลามาเสิร์ฟให้ผิวกายหอมกรุ่นตามแบบฉบับของ L’Occitane ซึ่งต้องขอยกนิ้วให้จริงๆ กับการทำน้ำหอมที่กลิ่นเป็นธรรมชาติมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีน้ำหอมที่กลิ่นหญ้าแฝกนำเด่นและหอมมีคลาสมากตัวนึงของโลกเลยอย่าง Eau de Vétyver ครับ 

กลิ่นเปิดตัว Top Notes นี่มากันแบบธรรมชาติเลยทีเดียวกับกลิ่นสมุนไพรเขียวๆ เย็นๆ ของโรสแมรี่กลับกลิ่นซิตรัสสดชื่น ซึ่งวูบแรกที่ฉีดกลิ่นหอมสดชื่นติดสมุนไพรเขียวๆ และสะอาดมาก เหมือนเด็ดสมุนไพรฉ่ำๆ มาขยี้ดม และหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่ถึงนาทีกลิ่นสมุนไพรฉ่ำๆ จะเริ่มลดระดับจากสมุนไพรเขียวฉ่ำๆ มาเป็นโทนกึ่งแห้งกึ่งฉ่ำในช่วง Middle Notes โดยจะมีกลิ่นไม้เนื้อหอมที่แห้งๆ มีผสมผสาน ซึ่งจะได้ความรู้สึกธรรมชาติมากเหมือนเราตากสมุนไพรเขียวๆ และไม้เนื้อหอมจนแห้งกลางแดด แต่จะมีกลิ่นจันทน์เทศมาตัดให้ไม่ออกทางแห้งจัดเกินไปมีความเย็นวาบสะอาดๆ ในเนื้อกลิ่น จนเมื่อถึง Base Notes งานนี้ต้องบอกเลยว่าหลบหน่อยพระเอกมา เพราะกลิ่นหญ้าแฝกจะโดดเด่นเด้งออกมาเลย แต่จะไม่เหมือนน้ำหอมที่มีกลิ่นหญ้าแฝกนำตัวอื่นๆ ที่จะออกทางกลิ่นสะอาดๆ ฉ่ำๆ แต่ Eau de Vétyver จะกลายเป็นหญ้าแฝกแห้งๆ ซึ่งจะมีกลิ่นไม้ซีดาร์มาผสานกลั้วกับความนุ่มของหนัง ซึ่งจะได้อารมณ์แบบมีภูมินิ่งๆ แมนๆ ออกทาง Smoky และ Dark ครบเลยสำหรับน้ำหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษนิ่งๆ มีคลาส มีระดับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ที่อยากได้น้ำหอมที่ส่งเสริมภาพลักษณ์แบบมีภูมิ นิ่งขรึม และมีระดับสร้างความน่าเชื่อถือ แม้กลิ่นจะออกทาง Dark แต่ก็ไม่ได้หนักมากเกินไป ใส่ทำงานได้ ใส่พบปะลูกค้าหรือผู้คนแบบทางการ หรืออกงานได้สบายๆ หรือถ้าจะไม่ทางการใส่ออกกำลังกายก็พอไหวครับ และถ้าใครสูบบุหรี่ น้ำหอมตัวนี้จะทำให้กลิ่นบุหรี่ที่จะออกทางเหม็นติดตัว เป็นหอมเย้ายวนแบบมีเสน่ห์ขึ้นมาแบบเฉพาะตัวได้เลยครับ เพราะหญ้าแฝกที่ขึ้นชื่อในการเป็นเป็นกลิ่นที่เอื้อต่อคนสูบบุหรี่และปรับสภาพกลิ่นของบุหรี่ให้ไม่หนักหน่วงเกินไปนั่นเอง

ความทน – 6 ชม. ขึ้นไปครับ อาจจะมากกว่านั้นจนถึง 8 ชม. ก็สามารถ

การกระจาย – น้ำหอมตัวนี้เป็นหนึ่งใน Skin Scent ที่ดีที่สุดตัวนึงเลย แถมให้กลิ่นใกล้เคียงธรรมชาติ เช่นนั้นกระจายปานกลางในช่วง Top ที่เหลือกลิ่นติดผิวล้วนๆ ครับ แต่จะได้ความรู้สึกสะอาดๆ มีภูมิตลอดเวลาที่ใช้เลยนะครับ

ทิ้งท้าย – เป็นหนึ่งในของดีที่ผมไม่เห็นมีขายในไทย ทำไมกัน ไม่เข้าใจ -_-“