วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: PRYN PARFUM – Le Mimosa

PRYN PARFUM – Le Mimosa

หลังจากที่ได้ทยอยจัดเต็มในแต่ละรุ่นของแบรนด์นี้ไปเรียกว่าเจอความแตกต่างที่น่าชื่นชมมากในแต่ละรุ่นที่ได้ลองผ่านๆ มาตลอดเลย ซึ่งจาก 6 รุ่น ในกลุ่มแรกของการเปิดตัวแบรนด์ไทยแบรนด์นี้ก็ได้เวลามาถึงตัวที่ 5 ที่ได้จัดเต็มด้วยความหวาดหวั่นเพราะตัวนี้มี Notes อยู่หนึ่งตัวที่แอบแพ้ทางอยู่ แล้วพอได้จัดทั้งการเทสและการใช้เต็มจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Le Mimosa ตัวนี้คือ 

คหสต - ผ่านนนนน กลิ่นหอมมากกกกกกว่าที่คิด เพราะ Notes ที่หวาดเสียวมากคือ Mimosa หรือดอกกระถิน ถ้ามาแบบเขียวโปร่งจัดๆ เจอ Musk เข้มๆ กลิ่นจะทำให้เกิดอาการแพ้ทางเวียนหัวติดสาปออกเขียวจนเบ้หน้าตลอดเวลาเอา แต่ตัวนี้ไม่ใช่เลย เพราะ

เปิดตัวด้วยกลิ่นที่ให้ความเป็นผลไม้ที่ออกทางหวานโปร่งติดโทนเขียวกันอย่างชัดเจน โดยจะมีกลิ่นอายของดอกกระถินเหลืองหรือ Mimosa ที่จะมาแบบหอมเขียวโปร่งสบายๆ นำมาก่อนเพื่อน แฝงด้วยกลิ่นของหญ้าเขียวๆ สดชื่น โดยจะมีความหอมหวานจากกลิ่นของผลไม้อย่างลูกแพร์และควินซ์มากันเต็มๆ ทำให้เกิดความรู้สึกหวานหอมโปร่งสบายกับกลิ่นดอกไม้และผลไม้หวานหอมสุกคาต้นโชยมาตามลม ซึ่งพอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะยังคงความเป็น Mimosa อยู่ไม่หนีไปไหน เพราะเปรียบเสมือนเป็นกลิ่นหลักที่จะล้อมไปด้วยกลิ่นอื่นๆ ซึ่งช่วงกลางความเป็นผลไม้ที่หอมหวานฉ่ำจะเริ่มเบาลงไปแต่ไม่ได้หายไปไหนเพราะยังมีกลิ่นแนวๆ แอปเปิ้ลโปร่งหวานเข้ามาเสริมจากของเดิมที่มีอยู่ แทรกตัวไปกับกลิ่นอายของโทนดอกไม้นานาพันธุ์ โดยกลิ่นจะยังคุมโทนความเป็นดอกไม้กลั้วความเขียวโปร่งสบายอยู่ จากกลิ่นของใบไวโอเล็ตและดอกนาร์ซิซัสที่จะมาแบบเขียวโปร่งสบายๆ ผสมผสานกับกลิ่นดอกกระถินที่ลอยมาตามลม มีความเป็นแป้งเบาๆ ลงตัวให้รู้สึกได้ไปตลอดยาวไปจนถึงช่วงท้ายกับความนุ่มนวลติดโทนแป้งจาก Musk ที่มาแบบนุ่มเบาๆ อ่อนๆ และมีกลิ่นของวานิลลาที่เสริมเข้ามาทำให้รู้สึกอบอุ่นกำลังดี โดยที่กลิ่นเขียวอมหวานโปร่งยังคงลอยเป็น Toping อยู่ด้านบนให้รู้สึกสบายจมูก ภาพรวมกลิ่นนี้เหมือนกำลังเดินเล่นไปในทุ่งหญ้าที่มีกลิ่นของผลไม้สุกๆ และดอกไม้หอมนวลๆ ลอยมาตามลมให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายกับอากาศหวานหอมยามเช้า พลางนอนเล่นบนพื้นหญ้ารับกลิ่นดอกไม้นวลๆ ที่อยู่รอบตัวเคล้าแป้งหอมโปร่งๆ จากผิวกาย ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงสายๆ ที่มีความหอมโปร่งแกมอบอุ่นจากแสงแดดเข้ามาเยือนให้รู้สึกยิ้มในความรื่นรมย์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้ลงไว้ว่าเป็นของสาวๆ ซึ่งใช่เลย เพราะกลิ่นหอมหวานติดเขียวแบบนี้จะให้ความรู้สึกแบบผู้หญิงที่เยาว์วัยและหอมหวานสดใส รวมถึงทำให้รู้สึกเหมือนเราผ่อนคลายราวกับไปเดิน นอน และเล่นอยู่ในสวนหรือทุ่งหญ้าที่ทำให้รื่นรมย์ ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ ซึ่งอาจจะไม่ได้ลงตัวกับงานทางการจัดๆ แบบรับแขกบ้านแขกเมืองที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูงๆ นัก แต่ก็พอใส่ได้เพื่อให้คนรอบข้างรู้สึกผ่อนคลายสบายๆ ส่วนออกกำลังกายแนะนำให้ข้ามเพราะกลิ่นโทนแป้งอาจจะไม่ลงตัวกับเหงื่อมากนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นกับวันอากาศสบายๆ พักผ่อนอยู่กับครอบครัว หรือยามอยู่กับคนรักจะลงตัวกว่า ที่จะเอากลิ่นนี้ไปเปิดตัวกับการท่องราตรี 

ความทน มากกกกกกกก คือ EDP Intense น่ะ 8 ชม. จึงเป็นเรื่องธรรมดาไปเลยที่จะอยู่ได้ถึงและลากยาวไปมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. กับจำนวนสเปรย์เพียง 4 สเปรย์แบบกดเต็ม 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมาก ให้ความรู้สึกหอมหวานโปร่งแบบรื่นรมย์กันเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางลากยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ที่จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

ทิ้งท้าย ผมชอบตัวนี้แล้ว และดีใจที่เจอน้ำหอมโทนดอกไม้สีเหลืองที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเวียนหัว มีแต่ความรื่นรมย์และสดใสผ่อนคลายไปตลอดแบบนี้ ของเขาดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://www.facebook.com/prynparfum/photos/a.487978928073390.1073741829.482029525334997/492984987572784/?type=3

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Ermenegildo Zegna - Sicilian Mandarin

Ermenegildo Zegna - Sicilian Mandarin

หลังจากจากผ่านตัว Javanese Patchouli ของ ไลน์ Essence ที่ราคาแวร๊งงงง! ไม่น้อยกันไปแล้ว มีหรือที่จะ
ไม่มาที่ตัวอื่นๆ บ้าง เช่นนั้น เมื่อสอดส่ายสายตามองแล้วจึงได้เห็นว่ามีตัวที่น่าสนใจที่จะมาต่อยอดการรีวิวน้ำหอมในไลน์นี้ของ Ermenegildo Zegna ได้ ก็เลยขอจัด Sicilian Mandarin ซะเลย เพราะอยากรู้ว่าส้มของแบรนด์นี้จะหอมแค่ไหน ผลที่ออกมาคือ

เปิดต้นกลิ่นออกมาเลยกับกลิ่นอายของความเป็นซิตรัสเลย ซึ่งกลิ่นส้มจะมาแบบเด่นวาบขึ้นมา ผสมผสานกับกลิ่นของมะกรูดที่เสริมเข้ามาออกทางแบบติดเปลือกที่จะขมจางๆ ที่สำคัญมีกลิ่นของใบส้มให้อารมณ์ซิตรัสติดเขียวแบบเต็มๆ แบบที่ไม่ได้คมบาดจมูกแต่ยังคงความสดชื่นเต็มที่ ซึ่งแน่นอนกลิ่นเข้าถึงง่ายสุดๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน จนเมื่อเข้าช่วงกลาง กลิ่นส้มจะลดลงไปเป็นโทนสะอาดมากขึ้น โดยใบส้มยังคงทำหน้าที่ชัดเจนควบคู่ไปกับกลิ่นมิ้นท์เข้ามาทำให้ความสดชื่นติดเขียวยังคงอยู่ไม่หนีไปไหน โดยจะมีกลิ่นนวลๆ เสริมเข้ามาแนวๆ ดอกส้มที่จะมาแบบเบาๆ ให้ความรู้สึกสะอาดแบบโปร่งๆ ธรรมชาติ เพียงไม่นานจะมีความเป็นหญ้าแฝกและไม้หอมสะอาดๆ อ่อนๆ เสริมเข้ามาจนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นซิตรัสติดเขียวจะลดลงไปเป็นโทนเบาๆ แต่สิ่งที่เด่นขึ้นมาให้ความเป็น Sicilian แบบอิตาลีคือ Oak Moss ที่จะมาแบบอ่อนๆ และมีกลิ่นอาย Smoky จางๆ ของหญ้าแฝกกลั้วกับไม้หอมเบาๆ ติดโทน Airy ให้ความรู้สึกสะอาดไปเรื่อยๆ ภาพรวมของกลิ่นอาจจะไม่ได้ให้ความเป็นน้ำส้มหรือผลส้มอะไรแบบชัดเจนนัก แต่ให้ความรู้สึกธรรมชาติแบบที่เราเดินเล่นใต้ต้นส้มเสียมาก โดยจะมีความโปร่งสะอาดของอากาศโดยรอบกับความเขียวของกิ่งก้านส้มและหอมบางเบาของดอกส้มลอยมาเรื่อยๆ นั่นเอง

เหมาะสำหรับ
– Unisex เลย กลิ่นเข้าถึงง่ายมากทั้งหญิงและชายทุกเพศกลิ่นให้ทั้งความสดชื่นและสะอาด ไม่ทำให้คนยี้แต่ประการใด โดยสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายก็สามารถ ออกกลางแจ้งก็ช่วยให้สดชื่น ส่วนยามค่ำคืน ถ้าทั่วๆ ไปยามอากาศร้อนก็จัดไป แต่ถ้าจะเน้นใส่ไปเต้นยั่วยวน หยุดเถอะ เปลี่ยนตัวด่วน ตัวนี้ไม่เอื้อในเรื่องแบบนี้เลย นอกจากสดชื่นชวนยิ้มน่ะ

ความทนกลิ่นทนกว่าที่คิดมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังติดผิวอยู่ ถือว่าทำออกมาได้ดีในเรื่องนี้ ส่วนตัวจัดไป 8 สเปรย์ไปกิจกรรมกลางแดดแบบทั้งวัน กลิ่นยังคงติดผิวอยู่จนถึงยามบ่ายค่อนเย็นเลย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วกลิ่นจะวูบลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวให้ความสดชื่นและสะอาด ก่อนจะเป็น Skin Scent ลากยาวไปตั้งแต่ท้ายๆ ช่วงกลางจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม

ทิ้งท้าย กลิ่นสดชื่นแบบธรรมชาติดีเลยทีเดียว แถมไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรให้ต้องปีนกระไดดม มาแบบสดชื่นสะอาดตั้งแต่ต้นยันจบ เพียงแต่ราคาอาจจะเจ็บนิดนึงเพราะมันสูงไม่ใช่เล่นนี่แหละ จนสามารถซื้อ Creed หรือ Amouage ได้เลยนี่สิจี๊ดใจมาก ^^   

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ




วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Tom Ford Noir Eau de Toilette

Tom Ford Noir Eau de Toilette

ถ้าใครคิดว่ารุ่น Noir ปกติของ Tom Ford นั้นดูจัดเต็มไป อยากจะโชว์ความเซ็กซี่ในรูปแบบที่เบาขึ้นแต่ยังคงความนัวร์สมชื่ออยู่ แน่นอนว่าแบรนด์นี้เขาเหมือนวางเกมมาดีปล่อยกลิ่นที่รองรับความต้องการด้านนี้มาให้อีกด้วยเช่นนั้นก็มาเจอกับรุ่นนี้เลย Noir Eau de Toilette

กลิ่นลดความเป็นแป้งนัวๆ จากรุ่นปกติลงมาเป็นเปิดทางให้กลิ่นอายสดชื่นมาทักทายก่อนเลย กับการเป็นซิตรัวกลั้วมิ้นท์แบบนุ่มๆ เพราะแน่นอนมีความนัวร์อยู่ จะแหลมคมแบบจัดเต็มคงเป็นไปไม่ได้ เลยจะได้ความเป็นซิตรัสนวลๆ สบายๆ และมีความเขียวหอมโปร่งๆ แบบไวโอเล็ตมาเสริมจางๆ ให้คงความเซ็กซี่ได้อยู่ จนนำเข้าสู่ช่วงกลางที่งานนี้โทนซิตรัสกลั้วสมุนไพรเขียวๆ จะกลายเป็นหนึ่งในทีมที่เป็นตัวสนับสนุนตัดทอนไม่ให้กลิ่นแนวเครื่องเทศเด่นจัดเกินไป โดยกลิ่นโทนวานิลลากลั้วอบเชยจะมาแบบโทนแป้งหอมอบอุ่นแบบกำลังดี มีความหวานจากเครื่องเทศเสริมเข้ามาอย่างลงตัว ช่วงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่กลิ่นหอมอบอุ่นติดโทนหวานอมแป้งที่ไม่แน่น มีความนัวร์แบบนวลๆ กลิ่นจะนุ่มจมูกให้ความรู้สึกเย้ายวนแบบชัดเจนแต่มีเสน่ห์แบบไม่ดาร์กจนเกินไป จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นแป้งอบอุ่นของวานิลลาผสมกับเครื่องเทศที่หอมกลมกล่อมแจะยังตามมา โดยมีกลิ่นอายของไม้หอมเสริมทัพให้ดูแมนขรึมน่าค้นหา และมีตัวเด่นอย่าง Musk ที่มาให้ความนุ่มนวลรับช่วงโทนแป้งให้กลิ่นรื่นจมูกเข้าไปอีก กลิ่นเริ่มมาเป็นโทนติดดาร์กเคล้าความอบอุ่นที่ไม่หนักเข้มแบบตัวต้นตระกูล ยังคงความเป็นกลิ่นหอมนวลๆ นัวร์ๆ น่ากอดน่าซุกและมีเสน่ห์แบบชัดเจนไม่หนีไปไหนเลย

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมาหลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายมากขึ้นโดยการเอาความสดชื่นเข้ามาตัดทอนความแน่นออกไปได้มากจนหอมกลมกล่อมอบอุ่นลงตัว โดยสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือไม่ทางการ กลิ่นอยู่ระหว่างความมีเสน่ห์แบบติดภูมิฐานอบอุ่นและความเซ็กซี่เย้ายวนน่าซุกได้ในเวลาเดียวกัน กลิ่นไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นจางลงไปมากแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ส่วนยามค่ำคืนตัวนี้ก็สามารถจัดเต็มได้เช่นกัน เบรกทอนไม่ให้ออกทางเซ็กซี่แบบจัดเต็มเพื่อไปเป็นนกเรียกแขกที่ไหนนัก ออกแนวว่าได้กลิ่นแล้วติดใจก็เข้ามาสิ ไม่ได้ปิดกั้นอะไรนี่นา

ความทน เพราะคิดว่าเป็น EDT แล้ว มันคงด้อยลงไปกว่ารุ่นปกติ แต่ไม่ใช่เลย กลายเป็น 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ได้อยู่ แม้เหงื่อจะออกซึมๆ กับอากาศอบอ้าวกลิ่นก็ยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่ ให้มันได้อย่างนี้สินั่น

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบปานกลางลากยาวความนุ่มอบอุ่นนัวร์แบบไม่ดาร์กไปเรื่อยๆ จนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวติด Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อน

ทิ้งท้าย จากที่มองข้ามมาตลอดและไม่คิดว่าจะสนใจตัวนี้ พอได้เทสและใช้เต็มเข้าไป จบเลย กลายเป็น Wish List ทันทีไม่มีข้อแม้ ลัดคิวตัวอื่นๆ ที่อยู่ใน List ได้หมดและจะเอาให้ได้ด้วยทันที เรียกว่าจนนะ แต่ไม่เจียม ตัวหอมก่อนค่อยคิดเรื่องอื่น 55555

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ



วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Diptyque - Tam Dao

Diptyque - Tam Dao 

หนึ่งในรุ่นที่เรียกว่าเป็นตัวยอดนิยมเลยที่เมื่อคนเห็นมักจะชอบกับชื่อรุ่นที่ถ้าแผลงเป็นภาษาไทยจะไพเราะมากกันเลยทีเดียวกับรุ่น "ตามดาว - Tam Dao" ซึ่ง Diptyque จะนำรุ่นนี้ออกมาเป็นยังไงบ้าง

เปิดตัวกันที่กลิ่นอายของโทนไม้หอมกันก่อนเลยกับกลิ่นของสนไซเปรสที่มาแบบไม้หอมติดสะอาดๆ ล้อมด้วยกลิ่นของสมุนไพรออกทางดอกไม้ติดเขียวจางๆ กันก่อนเลย กลิ่นในช่วงวูบแรกนี้จะมาแบบสะอาดติดสดชื่นไม้หอมตามธรรมชาติ ซึ่งเพียงชัวครู่กลิ่นไม้จันทน์หอมจะเริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ ตีคู่ไปกับสนไซเปรสจนนำเข้าไปสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะครีมมี่แบบหอมนวลจมูกมากมายเด่นชัดขึ้นมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยของไม้จันทน์หอมที่เป็นพระเอกหลักของกลิ่นนี้เลย โดยไซเปรสยังคงให้ความเป็นไม้หอมสะอาด และซีดาร์ที่มาเสริมทัพก็จะให้ความมีภูมิกับเนื้อกลิ่น ตัดทอนความเป็นครีมมี่ไม่ให้ออกทางจัดจ้านมากเกินไป กลิ่นเลยจะลงตัวหอมนวลจมูกมากมาย ยิ่งใครชอบกลิ่นไม้จันทน์หอมแบบครีมมี่ราวกับไม้หอมชุ่มนมจะฟินจัดชัดเจนกันเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะลากยาวไปยังช่วงท้ายและคงตัวความโดดเด่นอยู่ไม่หนีไปไหน โดยจะมีกลิ่นของเครื่องเทศมาให้ความหวานกำลังดี และมีความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งน่าจะมาจากแอมเบอร์เป็นตัวกล่อมให้กลิ่นไม้หอมมีความละมุนมากขึ้นแกล้มไปด้วยกลิ่นนุ่มสะอาดที่รองพื้นไว้ ภาพรวมของกลิ่นจึงถือเป็นกลิ่นไม้หอมที่ให้ความเป็นไม้จันทน์หอมที่โดดเด่นมีความนุ่มนวลและครีมมี่อบอุ่นลงตัวกำลังดี มีความอะโรม่าเสริมเข้ามาอย่างมีระดับ และเป็นกลิ่นที่สร้างความภูมิฐานน่าเชื่อถือนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เน้นวัยทำงานขึ้นไปเพราะกลิ่นมาทางไม้หอมที่สร้างความอบอุ่นก็ได้ ความนวลรื่นจมูกอะโรม่าก็ดี และความภูมิฐานน่าเชื่อถือก็เหมาะ ถึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนที่เป็นงานทางการ ส่วนทั่วๆ ไปก็สามารถใส่ได้ เพราะกลิ่นให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบโปร่งนุ่มไปตลอด ของดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือออกกลางแจ้งเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้นัก รวมถึงการใส่เพื่อไปหาเหยื่อแนวการเป็นสายนกยามค่ำคืน เพราะกลิ่นมาทางสุภาพนุ่มๆ เสียมาก เกรงว่าจะดูทางการเกินเอาได 

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวจัดไป 5 สเปรย์ กลิ่นหอมจรุงจมูกครีมมี่ยาวนานลากไปได้ที่ 10 ชม. เลย เคมีเข้ากันได้อย่างลงตัวมา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลงมาเป็นกระจายปานกลางและออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ไม้จันทน์หอมถ้ามาแบบอะโรม่านี่กลิ่นอายจะทำให้รู้สึกนุ่มจมูกมากเลย ซึ่งต้องยอมเขาเลยว่าทำออกมาได้ครีมมี่แบบโปร่งๆ ไม่ได้รู้สึกแน่นเกินไป แถมหอมนุ่มน่าสนใจและน่าจัดมาประดับบ้านซักขวดจริงๆ ^^" 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.candledelirium.com/media/catalog/product/d/i/diptyque-tamdao-100ml.jpg

Review: Burberry - Mr. Burberry

Burberry - Mr. Burberry 

หนึ่งในน้ำหอมชายออกใหม่ล่าสุดในปี 2016 และดูเหมือนว่า Burberry จะทำให้ตัวนี้เป็นหนึ่งในน้ำหอมชายที่เด่นที่สุดของแบรนด์ไปหลังจากนี้อีกเสียด้วย ซึ่งงานนี้กลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน สื่อสารถึงการเป็นชายหนุ่มในแบบ Burberry ได้อย่างไง มาพิสูจน์กันกับ Mr. Burberry ตัวนี้เลย 

ต้องบอกก่อนทุกสิ่งในเรื่องกลิ่นเลย คือ ขวดสวยหรูหราและดูดีมาก ยิ่งมีเหมือนหูกระต่ายตรงคอขวดยิ่งทำให้ดูงามตั้งโชว์ได้สบายแฮจริงๆ และพอได้ลงมือฉีด Top Notes ที่ให้ความรู้สึกมาก่อนเลยคือ โทนซิตรัสจากเกรฟฟรุตที่มาแบบนุ่มๆ ไม่คมบาดจมูก โดยจะมีกลิ่นของเม็ดกระวานมาให้ความเป็นเครื่องเทศติดหวานแบบนวลๆ ไม่แปร่ง และยังกลิ่นอายเขียวออกหวานนวลแนวๆ สมุนไพรที่ติด Spice จางๆ เสริมเข้ามาด้วย เลยผสมผสานกันออกมาเป็นลักษณะของกลิ่นอายโทนสมุนไพรอมหวานที่ติดซิตรัสที่นวลจมูก ดูแบบสะอาดสะอ้าน จนเมื่อเข้าสู่ Middle Notes ความเป็นสมุนไพรนวลๆ เริ่มจะมีกลิ่นของไม้หอมเข้ามาผสมผสานซึ่งกลิ่นของไม้ซีดาร์จะมาให้ความขรึมน่าค้นหา โดยมีความสะอาดนวลๆ เป็นพื้นฐาน กลั้วไปด้วยกลิ่นออกทางเมทัลลิคติดเย็นๆ จางๆ และมีความหอมหวานติดเขียวของใบเบิร์ธที่จะแฝงความเซ็กซี่เย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้ง ซึ่งกลิ่นสมุนไพรนวลๆ ติดสดชื่นที่มาตั้งแต่ตอนต้นยังคงอยู่ให้รู้สึกได้ตีคู่ไปตลอดกับโทนไม้หอม ก่อนจะส่งต่อให้ Base Notes ที่ความเป็นสมุนไพรนวลๆ เริ่มเบาบางลงไป แต่จะยังมีความสดชื่นอ่อนๆ ให้รู้สึกได้อยู่ โดยที่กลิ่นไม้หอมจะเป็นตัวเด่นแทน โดยที่ซีดาร์ยังคงอยู่ และจะมีลูกคู่อย่างหญ้าแฝกที่มาให้ความ Smoky แบบเบาๆ และไม้จันทน์หอมที่มาแบบนุ่มๆ ให้ความนวลจมูก ทุกอย่างในช่วงนี้เลยจะกลายเป็นไม้หอมสะอาดนุ่มๆ หอมนวลๆ ออกทางสุภาพบุรุษแบบ Modern ออกขรึมๆ หน้านิ่งๆ แต่แฝงด้วยความน่าสนใจ บอกชัดเจนถึงลักษณะแบบหนุ่มอังกฤษได้เลยล่ะ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเลย เรียกว่าเป็นกลิ่นที่เข้าถึงง่าย คนไม่ยี้ และกลิ่นมีความนุ่มสะอาดแบบแฝงเซ็กซี่ขรึมๆ ได้กำลังดี สามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือชิลล์ๆ ส่วนออกกำลังกายก็ใส่ได้ ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ กลิ่นไม่ได้มาทางสายนี้นักแต่ใส่ได้ถ้าอิงกับอากาศบ้านเรา เพียงแต่ถ้าต้องไปแข่งกับสายเย้ายวนหวานๆ ใส่อยู่บ้านให้แฟนซุกจะดีกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. บวกลบประมาณ 2 ชม. อิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ มีเคมีบ้างเล็กน้อย ที่สำคัญกลิ่นติดเสื้อค่อนข้างดีแบบสะอาดๆ นวลๆ เสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวแบบลากยาวไปตลอด จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย เรียกว่ามาในแนวไม่เน้นเรียกร้องความสนใจอะไรมาก แต่ถ้ามาใกล้ๆ จะรู้สึกได้ถึงความน่าค้นหานั่นเอง

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ถ้ามองในแง่ความหวือหวา ไม่ได้แตะความรู้สึกนั้น และไม่ได้ถึงกับว่าจะแปลกใหม่นัก แต่ถ้ามองในแง่การสื่อถึงความเรียบหรูแบบ Burberry น่ะใช่เลย เพราะกลิ่นมีระดับแบบนิ่งๆ ใช้ง่าย แถมมีความเป็น Safe Scent ที่แอบเซ็กซี่ได้ด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://1d5unn3435vt5h99p1qrei61.wpengine.netdna-cdn.com/wp-content/uploads/2016/04/MR_BURBERRY_CREATIVE_PACKSHOT-1030x1030.jpg

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Al Haramain – Amber

Al Haramain – Amber

ได้เวลาของน้ำหอมตะวันออกกลางที่น่าสนใจแล้วกับ แบรนด์ Al Haramain เดิมทีต้องบอกว่าไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อนเลยจนได้รับการแบ่งปันมาจากกัลยาณมิตรที่ให้มายกขวด เลยได้รู้ว่าแบรนด์นี้มีของไม่น้อย เช่นนั้นขอทำความรู้จักกับน้ำหอมของแบรนด์นี้กับตัวแรกอย่าง Amber ซะเลย เพราะอยากรู้ว่าของที่ปล่อยจะเป็นอย่างไรบ้าง

Top Notes กลิ่นเปิดด้วยความแน่นกันเลยตามประสาน Oil Perfume ที่กลิ่นจะมาแบบแน่นๆ กันก่อน โดนพื้นฐานของกลิ่นในช่วงนี้จะมาแบบที่คุ้นเคยกันตามประสาของน้ำหอมแนวตะวันออกกลางคือ กลิ่นอายของเครื่องเทศแน่นๆ โดยจะมีกลิ่นอายซ่าๆ เผ็ดๆ ของกานพลูผสมผสานกับหญ้าฝรั่นที่จะมาแบบโทนหนังกำลังดีมีความหวานจางๆ และขาดไม่ได้มีกลิ่นของ Oud หรือกฤษณาที่มากันเต็มๆ แบบอวลกำลังดี ไม่แน่นหนักมาก เสริมด้วยมีกลิ่นอายกลั้วไปดอกกลิ่นโทนดอกไม้จากลาเวนเดอร์และเจอเรเนียมที่ให้ความนวลติดกุหลาบและสดชื่นจางๆ เชื่อมกับซิตรัสที่มาแบบบางมาก ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะแอบรู้สึกได้ถึงกลิ่นอบอุ่นรองพื้นที่ออกทางดิบๆ อยู่ไม่น้อย ส่งต่อให้ช่วง Middle Notes ที่กลิ่นของเครื่องเทศเผ็ดอมหวานซ่าๆ จะเรื่มลดระดับมาเพราะเจอกลิ่นโทนแป้งผสมดอกไม้มีโทนไม้หอมนวลๆ เสริมมาเทคโอเวอร์แทน โดยจะมาให้ความนุ่มนวลแบบติดดาร์กน่าค้นหาและกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นเข้ามามากขึ้น มีความเย้ายวนกำลังดีออกทางโทนสีเข้มมองผ่านได้ยาก จนกลิ่นอบอุ่นที่แฝงมาตั้งแต่ช่วงแรกจะเปิดตัวมาใน Base Notes กับการเป็นแอมเบอร์ที่สมชื่อรุ่น เพราะจะมาแบบอบอุ่นแบบเข้มๆ น่าค้นหา และมีความดาร์กสูงมาก โดยมีกลิ่นติดโทนหนังที่ออกทางเข้มเข้ามาเสริม ตามด้วยการเย้ายวนของพิมเสนที่จะชัดเจนมากในช่วงนี้ ซึ่งกลิ่นจะรองพื้นไปด้วยความเป็นไม้หอมนวลๆ ติดแป้งที่ยังตามมาจากช่วงกลาง มีความนุ่มสะอาดของ Musk ที่เสริมโทนให้กลิ่นนุ่มเย้าติดแป้งด้วย ภาพรวมเลยออกมาเป็นน้ำหอมกลิ่นอายเด่นที่แอมเบอร์ตามชื่อรุ่นและมีความดิบแบบรื่นไหลเข้าโทนดาร์กหม่นเย้ายวนน่าค้นหานั่นเอง

เหมาะสำหรับ ตราเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาเข้าจริงเข้าทางผู้ชายประมาณ 70% เลย และเหมาะกับวัยทำงานขึ้นไป โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่ไม่ได้อยู่กลางแจ้ง เพราะเดี๋ยวกลิ่นจะตีขึ้นจนแน่นตายเอาได้ กลิ่นจะเข้ากับความเป็นทางการได้อยู่ รวมถึงถ้าจะใส่ชิลล์ๆ เพิ่มเสน่ห์ยามทั่วไปก็พอไหว งดใส่ออกกำลังกายเด็ดขาด ส่วนยามค่ำคืนจัดไปกลิ่นมีเสน่ห์เย้ายวนไม่หยอก แม้ว่าจะไม่ได้เน้นกระจายจัดจ้านเน้นให้เข้ามาใกล้ๆ สิจ้ะ น้องจะฟินก็ตาม

ความทน กลิ่นทนจัดมาตามประสา Oil Perfume ลากยาวไปที่ 8 ชม. และมากกว่านั้นได้สบาย โดยส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีติดแน่นในช่วงต้น ก่อนจะลดระดับลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวลากยาวไปจนถึงช่วงท้าย ไม่ได้เน้นกระจายมาก ยกเว้นถ้าไปอยู่กลางแจ้งอากาศร้อนและแดดจัดๆ ที่จะมาเต็มเอาได้

ทิ้งท้าย เป็นกลิ่นที่มีของจริงๆ โดยเฉพาะการทำให้ Amber ที่ความดิบท่ามกลางความสมูธของกลิ่นรอบด้านอย่างโทนแป้งและไม้หอมถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Balenciaga – Balenciaga Paris

Balenciaga – Balenciaga Paris

คนที่ติดตามข่าวสารแฟชั่นคงจะรู้จักแบรนด์นี้กันเป็นอย่างดี เพราะว่าพึ่งออก Collection กระเป๋าสีรุ้งใบใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคยตามตลาดนัดหรือประตูน้ำมาไม่นานนี้ ซึ่งแน่นอนเราข้ามเรื่องกระเป๋ากันเพราะไม่งั้นจะวิจารณ์จนฮาไปเสียเปล่า มาที่น้ำหอมแทนดีกว่า เพราะไม่เคยได้ลองมาก่อนได้โอกาสก็จัดตัวนี้เป็นตัวแรกของ Balenciaga ซะเลยนั่นคือ Balenciaga Paris

สิ่งที่น่าแปลกใจคือน้ำหอมตัวนี้มาในโทนดอกไม้ที่แปลกแต่หอมมากกว่าที่คิด เปิดต้นกลิ่นมาได้แบบบางเบาโทนหอมติดเขียวของใบ Violet กับดอกคาร์เนชั่นแต่มาในโทนออกทางอากาศหอมโปร่งๆ ติดโทนน้ำใสๆ สะอาดมีซิตรัสนุ่มๆ จางๆ ซึ่งจะมีกลิ่นอายของโลหะเสริมเข้ามาเบาๆ กลิ่นออกทางโมเดิร์นและเป็นตัวของตัวเองชัดเจนกันตั้งแต่ตอนนี้ และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอายของโลหะยังคงอยู่ ความเขียวโปร่งเริ่มจะมีกลิ่นโทนแป้งหอมเขียวอมหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตเข้ามาเสริม โดยกลิ่นในช่วงต้นยังตามมาผสมผสานให้กลิ่นหายหอมนวลนุ่ม โดยมีโทนเครื่องเทศหน่อยๆ มาเสริมให้กลิ่นมีความหวานบางๆ และมีความสดชื่นจากพริกไทยมาทำให้กลิ่นมีลูกเล่นระหว่างดอกไม้ แป้ง และเครื่องเทศเบาๆ ได้ลงตัว แล้วกลิ่นอายของไม้หอมจะเริ่มกันขึ้นมาดึงเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายของ Musk จะเป็นตัวรองพื้นให้ความครีมมี่แบบติดแป้งโปร่งจางๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง กลั้วไปมากับไม้หอมอย่างซีดาร์ โดยจะมีหญ้าแฝกจางๆ ที่มาติดออกหอมจืดๆ แบบไม่มีกลิ่นแนว Smoky เข้มๆ และพิมเสนที่อ้อยอิ่งหอมนวลสร้างเสน่ห์ติดเย้ายวนกำลังดีไปเรื่อยๆ เรียกว่าไม่ได้มาในขนบของน้ำหอมดอกไม้ที่ต้องหวานสดใสน่ารักเลย ออกทางมั่นใจและมีความทันสมัยอย่างชัดเจนแบบสาวยุคใหม่ที่มีดีอย่างที่ตัวเองเป็น

เหมาะสำหรับ สาวๆ เลย ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ตัวนี้ได้สบาย กลิ่นออกแนว Modern และไม่มาแนวดอกไม้จ๋าๆ แม้จะมาไม่ใช่ขนบนิยมแต่ไม่ได้ Unique และใช้ยากแต่ประการใด เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายมากแบบที่ใครได้กลิ่นก็ไม่ยี้ โดยสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป มีเพียงการใส่เพื่อออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่แบบสบายๆ อากาศโปร่งๆ ไม่ได้เน้นใส่ไปท่องราตรี จัดได้เลยไม่มีปัญหาอะไร ยังไงก็หอม ส่วนผู้ชาย เอาจริงๆ ใส่ตัวนี้ได้เพราะกลิ่นดอกไม้ไม่ได้มาจ๋าๆ เกินไปนัก แต่มันก็ติดโทนสาวๆ หน่อยๆ ถ้าไม่คิดอะไร จัดไป ยังไงก็หอมเช่นกัน

ความทน ราวๆ 6 – 8 ชม. อ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด รวมถึงเคมีบางส่วนเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เรียกว่ามาแนวคุณหลอกดาวกันก่อน ว่าตัวนี้จะเป็นน้ำหอมกลิ่นเบา แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะกระจายดีไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้แหลมคมมาแนวหอมนวลๆ มีระดับ แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวและลงมาเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย กลิ่นหอมมากกว่าที่คิดจริงๆ ไม่ได้มาแนวดอกไม้จ๋าๆ หรือแป้งแน่นๆ เลย กลิ่นมีระดับมากพอเสียด้วย เช่นนั้นบอกกันอย่างตรงไปตรงมาว่าสำหรับตัวนี้ ขอยกตำแหน่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง แบบที่มีเสน่ห์ไม่ต้องเหมือนใครให้เลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Pino Silvestre – Underwood

Pino Silvestre – Underwood

หนึ่งในแบรนด์อิตาลีที่เน้นน้ำหอมโทนคลาสสิคผสมผสานกับความร่วมสมัยในแนวน้ำหอมของอิตาลีอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่า Pino Silvestre ได้เคยบอกเล่ากลิ่นอายภูมิฐานอย่าง Pino Fifty ไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่นนั้นกลับมาหาแบรนด์นี้เลยเลือกตัวน่าสนใจมานำเสนออีกครั้ง (แถมราคาก็เบาๆ ด้วยนะ) นั่นคือรุ่น Underwood นั่นเอง

เปิดต้นกลิ่นก็มากันแบบแน่นๆ ด้วยโทนซิตรัสที่เด่นนำมาก่อนเลย เพียงแต่จะจับได้ถึงโทนไม้หอมติดโทนสมุนไพรเขียว กลิ่นนัวพอสมควร มีแน่นคมอมความหวานให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนมากและมีกลิ่นอบอุ่นที่รองพื้นอยู่ในลักษณะคล้ายๆ แอมเบอร์ผสมวานิลลา ซึ่งพอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มออกทางไม้หอมกลั้วสมุนไพรมากขึ้น โทนซิตรัสที่มาแบบเปรี้ยวอมหวานนัวๆ จะลดลงไป โดยกลิ่นไม้หอมและสนไพน์ที่เป็น Signature ของแบรนด์นี้จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ และมีความนุ่มหวานคล้ายวานิลลาผสมผสานไปตลอดกลิ่นจะลากยาวนานพอสมควรจนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมีความเป็นไม้หอมอบอุ่นติดสะอาด ซึ่งกลิ่นจะมีความครีมมี่แบบนุ่มๆ ของไม้หอมติด Musk โดยจะมีแอมเบอร์และวานิลลามาแบบอบอุ่น และที่ขาดไม่ได้คือ พิมเสน ที่จะมาแบบนวลๆ อ้อยอิ่ง ทำให้ภาพรวมกลิ่นนี้เด่นที่ไม้หอมอบอุ่นเป็นหลัก โดยจะมีความเขียวสมุนไพรเสริมเข้ามา กลิ่นเลยจะออกแนวผู้ชายภูมิฐาน สุขุม มีความเป็นสุภาพบุรุษที่มาดดีอบอุ่นน่าเชื่อถือ สมกับที่แบรนด์เขาสื่อถึงการเป็นผู้ชายร่วมสมัยที่มีความคลาสสิคนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นจะออกทางเสริมบุคลิกให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและความภูมิฐาน เลยจะเข้าทางการใส่ในยามทางการมากหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าจะใส่ในยามทั่วๆ ไปไม่ได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะกลิ่นมีความอบอุ่นและเป็นสุภาพบุรุษที่ลงตัว แบบว่าเป็นที่พึ่งพิงได้ไรงี้ แต่ข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งไปได้เลยไม่เข้าทางแม้แต่น้อย

ความทน – 8 ชม. ลงตัวมาก และอาจจะมากกว่านี้ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม แต่ให้ระวังกลิ่นที่แน่นช่วงต้นเป็นพอ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นเรียกว่ามาเต็มและคมอมหวานอย่างชัดเจน แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวอบอุ่นน่าเชื่อถือในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ถ้าเทียบกับราคาแล้ว กลิ่นคุ้มค่าขั้นสุดเพราะไม่ได้ด้อยเลยในเรื่องของความหอมตามคอนเซปท์ของแบรนด์ที่เน้นเรื่องความภูมิฐานและความอบอุ่นแบบสุภาพบุรุษ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Review: Yves Saint Laurent pour Homme

Yves Saint Laurent pour Homme

เป็นหนึ่งในรุ่นหลักในน้ำหอมฝ่ายชายของ Yves Saint Laurent ที่ถือว่าคลาสสิคขั้นสุดมากเพราะปล่อยของออกมาตั้งแต่ปี 1971 ที่ตอนนี้เรียกว่าหายากมากกกกกกกเลยทีเดียวและน่าจะเลิกผลิตไปแล้วด้วย เช่นนั้นมาถวิลหาความคลาสสิคแบบที่ประทับไว้ในความทรงจำดีกว่าว่ารุ่นนี้เป็นหนึ่งใน Masterpiece ที่ลืมไม่ลงจริงๆ กับ Yves Saint Laurent pour Homme (Vintage) 

กลิ่นแม้จะเปิดตัวในช่วงปี 1971 แต่เอาเข้าจริงกลิ่นมีความร่วมสมัยมากพอเลยทีเดียวที่จะสามารถใช้ได้และมีความ Timeless ที่ลงตัวมากเลย เพราะ Top Notes เริ่มต้นที่กลิ่นโทนซิตรัสที่จะเด่นออกมาเลย ล้อมรอบด้วยกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวอย่างใบส้มและใบเวอร์บีน่า แม้จะมีกลิ่นอายนุ่มๆ ของลาเวนเดอร์รองพื้นแต่กลิ่นค่อนข้างคมพอสมควร และมีความเป็น Animalic เป็นกลิ่นสาปปลุกเร้าเสริมอยู่ด้านหลังอย่างชัดเจนจากกลิ่นแนวๆ ชะมดเช็ด หรือ Civet แน่นอนว่าเป็นสไตล์น้ำหอมโทนย้อนยุคที่กลิ่นอายจะมีความเป็น Animalic แบบนี่เพื่อกระตุ้นความเป็นชายกันเต็มๆ เร้าใจกันก่อนเลย ส่งต่อให้ Middle Notes ที่กลิ่นอายของสมุนไพรติดเขียวสดชื่นยังคงมาเต็มอยู่แต่ไม่คมเท่าช่วงแรก เพราะจะโดนผสมผสานโดยกลิ่นสมุนไพรที่มีความเป็นเครื่องเทศแบบสดชื่นอย่างเซจและโรสแมรี่ ซึ่งกลิ่นจะลดความเป็นซิตรัสให้ซอฟท์ลงมาโดยที่ยังมีความสดชื่นติดเขียวอยู่ ลาเวนเดอร์ก็ยังอยู่ให้ความนุ่มแบบโดยมีกลิ่นโทนติดกุหลาบจากเจอเรเนียมกลั้วความเป็นไม้หอมจางๆ เสริมให้รู้สึกได้ โดยกลิ่น Animalic ได้จางลงไปจนเบาบางเป็นที่เรียบร้อย ปิดท้ายที่ Base Notes ที่จะเริ่มมีโทนไม้หอมจะเริ่มทำหน้าที่บอกความแมนสุขุมสะอาดในเนื้อกลิ่นโดยจะมีกลิ่นออกทางนวลๆ ของไม้จันทน์หอมและขรึมเท่ห์ของซีดาร์ โดยจะมีกลิ่นอาย Smoky ของหญ้าแฝกเป็นตัวเสริม เสริมทัพด้วยสหายอีกหนึ่งหน่อคือ Musk มาให้ความนุ่มสะอาด โดยกลิ่นจะมีความอบอุ่นจางๆ และนวลจมูกของพิมเสน โดยที่ยังมีความสดชื่นที่รู้สึกได้จางๆ ที่ตามมาจากตอนต้นโดยไม่มีความหนักหน่วง Animalic แต่ประการใดลงเหลือแล้ว เลยเข้าทางสุภาพบุรุษเท่ห์ ลุคติดวินเทจก็ได้ ร่วมสมัยก็ดีอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นแบบนี้ไม่ได้ถึงกับใช้ยาก ซึ่งอย่างน้อยคนที่ปลื้มตัวนี้มักจะมีพื้นเพการใช้น้ำหอมโทนนี้มาก่อนจะเข้าถึงได้จนอินเนอร์แรงเลย โดยใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยกเว้นออกกำลังกายอาจจะรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เอาเข้าจริงก็ใส่ได้ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้เป็นเนื้อเดียวพิมพ์นิยมแบบปัจจุบันก็เท่านั้นเอง 

ความทน กลิ่นทนมากกกกกตามประสาน้ำหอมโทน Vintage กับราวๆ 10 ชม. ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเช่นกัน 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสดชื่นติดโทน Animalic เข้าจมูกเต็มๆ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางไปเรื่อย จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย มันคือน้ำหอมกลิ่นอาย Vintage ในความ Modern ที่มีเสน่ห์มาก เรียกว่านี่คือ Masterpiece ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกได้เต็มๆ ไม่พอ ยังเป็นกลิ่นที่มีดีในตัวสูงมากจนเสียดายเลยที่หาได้ยากเต็มทนในทุกวันนี้ 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ เข็มขัดสั้นถ่ายเอง ^^

Review: Nickel Eau Maximum

Nickel Eau Maximum

Nickel เป็นหนึ่งในแบรนด์ของฝรั่งเศสที่เน้นในเรื่องของ Skin Care ทางฝั่งผู้ชายเป็นหลัก ที่สำคัญก็มีน้ำหอมด้วย ซึ่งส่วนตัวได้มารู้จักแบรนด์นี้ก็ได้มีโอกาสจัดนำหอมมาและเป็นตัวที่กำลังจะกล่าวถึงนี้เลย ซึ่งจะเป็นยังไงเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าว่ารุ่น Eau Maximum จะขั้นสุดอย่างไรบ้าง

ต้องบอกเลยว่าใครชอบน้ำหอมโทนสปอร์ตกลิ่นอายเข้าถึงง่ายแบบมีระดับจะชอบแน่ๆ เพราะเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ซิตรัสแบบไม่ได้ออกแมนจัดแบบสเปรย์ดับกลิ่นกายแต่ประการใด แต่มีความสดชื่นแบบซิตรัสติดเขียวที่ลงตัวแบบสบายๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะเปิดต้นกลิ่นกับมิ้นท์ที่จะมากันเต็มๆ ห้อยตามไปด้วยกลิ่นโทนซิตรัสของเกรฟฟรุตแบบคมกำลังดีกลิ่นที่ได้จะมาอารมณ์สปอร์ตจัดเต็มมาก แล้วกลิ่นจะเริ่มลดทอนความคมลงมาหน่อยนึง โดยยังคงความเป็นมินท์กลั้วซิตรัสอยู่ โดยจะมีกลิ่นอายเขียวๆ ของสมุนไพรติด Spice ซ่าๆ และมีกลิ่นชาออกทางเขียวใบชานวลๆ เสริมเข้ามาเลยกลายเป็นกลิ่นเขียวนวลสดชื่นลงตัวแนวๆ ชามินท์ล้อมด้วยซิตรัสประปราย กลิ่นจะคงอยู่แบบยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมี Musk เด่นขึ้นมาให้ความรู้สึกสะอาดนุ่ม โดยที่ยังมีความสดชื่นติดสปอร์ตอยู่ไม่หนีไปไหน และมีกลิ่นอายนวลๆ ของพิมเสนให้รู้สึกมีเสน่ห์ขึ้นมาอีกด้วย และนี่คือ Eau Maximum ตัวนี้นี่เอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนประถมก็จัดได้แล้ว เพราะกลิ่นเข้าถึงง่ายและมีความสดชื่นที่ใครได้กลิ่นมักไม่ยี้ เพราะมันช่วยให้กระปรี้กระเปร่าได้มากมายจริงๆ โดยสามารถใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน กวาดได้หมดทุกช่วงเวลาที่ฟ้าแจ้งและแดดร้อน ยิ่งถ้าใครใส่เพื่อออกกำลังกายกลิ่นจะทำให้สดชื่นได้ไม่ยากเลย ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ กัยอากาศร้อนนรกแตกบ้านเรายังไงก็ใส่ได้ แต่ถ้าจะเน้นเอาไปเที่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งคนที่จะพากลับบ้านด้วย ข้ามเถอะ กลิ่นมันสดชื่นเสียมากและไม่ได้เย้ายวนอะไรเลยล่ะ

ความทน ตัวนี้เป็น EDP ที่มาในโทนสดชื่น ความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 – 8 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าฉีดตอนเช้าๆ จะตื่นสดชื่นเลย และจะลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนจะลดระดับลงมาให้ความสะอาดแกล้มสดชื่นเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย กลิ่นเหมาะกับหน้าร้อนขั้นสุด แม้จะไม่ได้ถึงกับหวือหวาอะไรมาก มีความเป็น Safe Scent แต่กลิ่นนี้ให้ตายยังไงก็เอาอยู่ เอารอด และผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้อย่างสบายๆ ถือเป็นอีกหนึ่งที่ยกให้เลยว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


  

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Bond No.9 - I Love NY for Marriage Equality


Bond No.9 - I Love NY for Marriage Equality 

ปิดท้ายกับ Bond No.9 ทั้ง 7 กับหนึ่งในกลิ่นอายที่จะสื่อสารถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นใน New York ทำให้เกิดความเท่าเทียมซึ่งกันและกันในการแต่งงานของทุกเพศไม่ใช่เพียงแค่ชาย-หญิงเท่านั้น ตามวันที่ประกาศกฎหมายดังกล่าวออกมาคือวันที่ 24 เดือน 7 ปี 2011 นั่นเอง เช่นนั้นกลิ่นนี้จะทำออกมาในลักษณะไหนนั้นมาดมกันดีกว่ากับ I Love NY for Marriage Equality

เปิด Top Notes ได้ค่อนข้างแน่นพอสมควรกับกลิ่นอายของเครื่องเทศที่มาแบบจัดเต็มรองพื้นด้วยโทนไม้หอมอมหวานกลั้วซิตรัสเบาๆ โดยกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศและอบเชยจะพุ่งมาจัดเต็มก่อนเลยก่อนที่กลิ่นของลูกพลัมจะค่อยๆ แรงขึ้นๆ ทีละนิดจนเต็มที่พอดีในไม่นาน กลิ่นในช่วงนี้เลยจะออกทางนัวแน่นเหมือนจะดาร์กจะยังไม่ใช่ เหมือนจะขาวสว่างก็ยังไม่เชิง หลังจากผ่านไปไม่นาน งานนี้ความไม่แน่นอนมะรุมมะตุ้มเลยจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมากขึ้นใน Middle Notes ที่กลิ่นของลูกพลัมและความเป็นเครื่องเทศติดไม้หอมอมหวานจะโดนแทรกโดยดอกไม้นวลสว่าง โดยกลิ่นของกุหลาบกับมะลิจะมาแบบนวลๆ รื่นจมูก ลดทอนความแรงในช่วงต้นลงไปแต่ไม่ได้กลบจนหมด เพราะยังมีความเป็นเครื่องเทศที่นัวในตอนแรกเป็นโทนสว่างขาวติดสีครีมอย่างชัดเจนมากขึ้น และจะมีกลิ่นไม้หอมที่ผลุบๆ โผล่ๆ ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนนำเข้าสู่ Base Notes กันเต็มๆ กับกลิ่นอายของไม้หอมนวลนุ่มจมูก กลิ่นมีความอบอุ่นท่ามกลางโทนกลิ่นที่ให้ความขาวสว่างอยู่ ซึ่งจะยังมีความเป็นผลไม้จางๆ กับกลิ่นเครื่องเทศผสมดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนกลั้วหวานแบบชวนยิ้มให้รู้สึกเบาๆ ไปเรื่อยๆ ภาพรวมเลยเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกไล่เรียงจากความมะรุมมะตุ้มแน่นหนักไม่มั่นใจว่าจะเป็นรูปไหน ก่อนจะเปลี่ยนถ่ายสู่การเลือกข้างโทนสว่างขาวออกสีครีมอย่างชัดเจน และนำไปสู่ความอบอุ่นในช่วงท้าย มันใช่เลยกับการสื่อถึงชื่อรุ่นนี้ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดทุกเพศเลย ไม่ใช่ว่าพอชื่อ Marriage Equality แล้วเกย์กับเลสเบี้ยนเท่านั้นถึงจะเหมาะ ไม่ใช่หนทางแห่งการเท่าเทียมซักเท่าไหร่ถ้าคิดแนวนั้น ซึ่งกลิ่นนี้จะเข้ากับวัยทำงานขึ้นไป (น้องๆ มหาลัยก็ใส่ได้ แต่อาจจะต้องเลือกสถานการณ์ที่ออกทางอบอุ่นกันซักหน่อย) เพราะเนิ้อกลิ่นมีความอบอุ่นติดภูมิฐานจากไม้หอมแทรกอยู่เป็นระยะ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการและทั่วๆ ไป งดใส่ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะช่วงต้นกลิ่นมันหนักจนนัวอาจจะตีขึ้นจนเวียนหัวได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นในเรื่องโรแมนติคหรือออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นแม้จะออกเย้ายวนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สื่อถึงการล่าแต้มอะไรนัก

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. สบายๆ และมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะเป็น EDP ของแบรนด์นี้ จัดเต็มเรื่องความเข้มข้นอยู่แล้ว ส่วนตัวจัดไป 4 สเปรย์ ลากยาวได้จาก 7 โมงเช้าถึง ทุ่มนึงได้สบายๆ เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายหนักหน่วงมากในช่วงแรก พอผ่านไปแล้วกลิ่นจะเริ่มกระจายปานกลางและนุ่มจมูกมากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบอบอุ่นโทนสว่างในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เดิมทีสอยมาแบบไม่รู้มาก่อนว่ากลิ่นเป็นยังไง แล้วพอแรกฉีดก็แบบว่าจะแน่นไปไหน แต่พอใช้ไปมากขึ้น กลายเป็นกลิ่นนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและหอมโทนสว่างมากเลย นี่แหละครับที่ตัดวินเพียงแต่ Top Notes กันไม่ได้จริงๆ ที่สำคัญ #เลิกผลิต แล้วนะครับ เพราะผลิตเฉพาะกาลเท่านั้นเอง ^^ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - เข็มขัดสั้น ถ่ายเอง ^^

Review: Bond No.9 - Manhattan

Bond No.9 - Manhattan

มาถึงตัวที่ 6 กับ Bond No.9 ทั้ง 7 แล้วที่งานนี้จะมาสื่อสารถึงกลิ่นอายของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งมหานคร New York เป็นศูนย์กลางที่เจริญและทันสมัยที่สุดเลยทีเดียว จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก Manhattan เช่นนั้นกลิ่นที่จะมาบ่งบอกว่าเมืองนี้เป็นอย่างไรนั้น ต้องลองและผลที่ออกมานั่นคื 

มันแปลกและเก๋ดี กับการที่เปิดตัวด้วยกลิ่นอายแบบหวานอุ่นของเครื่องเทศอย่างเม็ดผักชีที่จะมากึ่งติดโทนไหม้ตีคู่กับยกลิ่นของลูกจันทน์เทศที่ให้ความเป็น Spice ล้อมไปด้วยกลิ่นของพีชที่มาให้ความหวานโปร่งและซิตรัสที่มาเบาๆ กลิ่นอายจะผสมผสานออกมาเป็นกลิ่นหวานติด Smoky ที่จะรู้สึกได้ถึงความเป็นไม้หอมและความเป็นกลิ่นอายของชอคโกแลตกลั้วขนมปังขิงอยู่ เลยกลายเป็นช่วงเปิดที่กลิ่นออกมาเฉพาะมากคาบเกี่ยวความเป็น Unisex ได้อย่างลงตัว 

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอายของความเป็นขนมเริ่มขึ้นมาเทคโอเวอร์ทั้งหมดโดยกลิ่นของชอคโกแลตจะเด่นขึ้นมาแบบจัดเต็มออกทางติดดาร์กขมกลั้วกับน้ำผึ้งจะมาแบบหวานหอม โดยมีกลิ่นของไขผึ้งที่จะมาให้ความนวลเสริม ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกทางหวานจัดเพราะจะมีลูกพลัมที่ให้ความเป็นผลไม้แบบเข้มๆ มาให้ความน่าค้นหา กับกลิ่นของขนมปังขิงที่เป็นที่มาของกลิ่นติด Smoky อมหวานหอมที่รองพื้นมาตั้งแต่ช่วงต้น โดยที่กลิ่นพีชจะยังอยู่แบบผลุบๆ โผล่ๆ ให้ความรู้สึกถึงท้องฟ้ามืดๆ และกลิ่นหอมหวานของยามค่ำคืนอย่างชัดเจน

ปิดท้ายกันที่กลิ่นอายที่เย้ายวนแบบไม้หอมกันอย่างชัดเจน โดยที่กลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาเด่นเป็นสง่าตีคู่กลั้วไปมาได้น่าสนใจมากกับการเป็นชอคโกแลตที่หอมหวานแบบติดดาร์กกับกลิ่นของ Oud ที่จะมาแบบไม้หอมที่ไม่อวล กลิ่นไม่ได้แน่นนัก เพราะเหมือนได้อารมณ์เนื้อไม้ที่ Smoky แบบกำลังดี โดยมีกลิ่นของวานิลลาจางๆ กลิ่น Musk ที่รองพื้นนุ่มๆ และกลิ่นไม้หอมที่มาแบบครีมมี่ เรียกว่าภาพรวมของกลิ่นมีความซับซ้อนกันเลยทีเดียวเพราะเป็นการผสมผสานกันตั้งแต่ความเป็นผลไม้ ความเป็นขนม ความดาร์ก ความหวาน และความเป็นไม้หอมที่เบลนด์กันได้แบบลงตัว โดยยืนพื้นที่ความเย้ายวนน่าค้นหาและความมีเสน่ห์อย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยใช้ได้ทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็ใส่ได้ แต่อยากจะต้องเลือกช่วงเวลากันนิดนึง โดยที่กลิ่นจะเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้อยู่กลางแจ้ง งานทางการได้อยู่เพราะกลิ่นมีความภูมิฐานผสมผสานอยู่ท่ามกลางความหวาน และทั่วๆ ไปที่ใส่แล้วอยู่ในห้องแอร์เป็นหลัก งดใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นจะตีขึ้นจนเมาในความเข้มดาร์กเอา ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นเรียกร้องความสนใจแบบมีมิติและซับซ้อนและมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน 

ความทน - ราวๆ 10 ชม. ได้สบายๆ และมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากแบบติดเข้มขมอมหวานไหม้หน่อยๆ ในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง และเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวอุ่นๆ ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีคาแรคเตอร์ชัดเจนมากที่จะสื่อสารออกมาถึงความเย้ายวนและน่าค้นหา แถมมีความโรแมนติคอบอุ่นเสริมไปด้วยตลอด ดมแล้วนึกถึงความท้องฟ้าของ Manhattan ที่มีตึกระฟ้าเป็นฉากหลังควบคู่ได้น่าสนใจมากครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://cdn2.milled.com/contents/2014-01-29/aoPLT-qcDUvaPxQe/ySX20TNSsSft0pUf.jpg

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Bond No.9 – New York Sandalwood

Bond No.9 – New York Sandalwood

เข้าสู่ตัวที่ 5 ของ Bond No.9 ทั้ง 7 ที่คราวนี้จะไม่ได้อ้างอิงถึงตัวสถานที่แล้ว แต่มาเจาะจงที่ Notes ที่แบรนด์จะเอามาผสมผสานกับความเป็น New York แทน ซึ่งแน่นอนว่าเคยกล่าวถึงไลน์นี้ไปแล้วตัวนึงคือรุ่น New York Oud คราวนี้ก็ได้เวลาของการนำเสนอในลักษณะของ Notes ที่ใช้ในการทำน้ำหอมมาอย่างยาวนานบ้างกับรุ่นนี้เลย New York Sandalwood

Top Notes เปิดตัวได้ประทับใจมากกับการมีกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมนวลๆ รองพื้นด้านหลัง โดยจะมีกลิ่นของแครอทเด่นเป็นสง่ามาแบบแห้งๆ ให้ความรู้สึกติดหวานกลั้วกลิ่นหอมดินจางๆ แต่จะมีตัวเสริมอย่างเหง้าออริส (ที่เป็นเหง้าของต้นไอริส) มาให้โทนแป้งที่ออกทางทึบๆ อย่างมีเสน่ห์และมีความหวานเครื่องเทศเย้าๆ ของกระวาน กลิ่นในช่วงนี้เลยจะออกทางแป้งแน่นๆ เคล้าหวานบนไม้เนื้อหอม จนเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นไม้จันทน์หอมจะชัดจนเด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นแป้งแครอทที่ตามมาในตอนแรก โดยจะมีกลิ่น Fig มาผสมผสานจนได้โทนครีมมี่ติดเขียวอมหวานเข้าไป กลิ่นมีแห้งๆ กำลังดีเลยทำให้ได้ลักษณะของแป้งกับไม้หอมที่ผสมผสานกันได้ลงตัวระหว่างไม้จันทน์หอมและแป้งแครอท จนถึงช่วง Base Notes ที่กลิ่นไม้จันทน์หอมครีมมี่จะมาผสมผสานกับกลิ่นของแอมเบอร์ที่จะให้ความอบอุ่นมากขึ้น มีติดกลิ่นหวานจางๆ โดยจะมีกลิ่นนุ่มสะอาดของ Musk รองพื้นเอาไว้ให้ยังคงความเป็นโทนไม้หอมที่นุ่มละมุนเคล้าความเป็นแป้งที่ยังคงโดดเด่น ภาพรวมของกลิ่นเลยจะให้ความรู้สึกแบบกลิ่นโทนแป้งที่อมหวาน มีความเย้ายวนแบบพอประมาณท่ามกลางกลิ่นไม้จันทน์หอมที่นุ่มละมุนแกมอบอุ่นน่าไว้วางใจมีภูมิ มีระดับ และดูแตกต่างจากกลิ่นไม้จันทน์หอมที่เคยได้กลิ่นมาไม่น้อย

เหมาะสำหรับ – Unisex เลย เหมาทั้งหญิงและชายรวมถึงทุกเพศ กลิ่นออกทางให้ความนุ่มครีมมี่ติดแป้งละมุนบนพื้นฐานของการเป็นไม้เนื้อหอมที่แตกต่าง และอย่างน้อยถ้าผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งกับกลิ่นอายแบบโทนแป้งของหัวออริสหรือไอริสก็จะฟินได้ไม่ยาก เพราะโดดเด่นไม่ต่างจากกลิ่นหลักเลย ซึ่งจัดได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบในห้องแอร์หรืออากาศดีๆ โดยไม่ได้เน้นออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะกลิ่นไม่เข้าทางกับอะไรร้อนๆ เดี๋ยวจะตีขึ้นจนแครอทจุกปากไปเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเหมาะมากสำหรับการออกงานมันได้ความแปลกในความหอมและแตกต่างเลยทีเดียว แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีเกรงว่าคนจะตกใจว่าพกแครอทกับไม้จันทน์มาทำไมเสียก่อย

ความทน ลงตัวมากที่ 8 ชม. กำลังดี กลิ่นสามารถลากยาวไปได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเอื้อมากพอ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เมื่อผ่านไปจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็นออร่าเบาๆ รอบตัวกึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย   

ทิ้งท้าย - ถ้าบอกว่าเป็นการบอกเล่าถึงการเป็น New York Sandalwood อาจจะไม่ได้รู้ซึ้งอะไรนักว่ามัน New York ตรงไหน แต่ถ้าบอกว่าเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายไม้จันทน์หอมกับกลิ่นของแครอทผสมผสานกับโทนแป้ง ตัวนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ