วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Miller Harris - Rose En Noir

Miller Harris - Rose En Noir 

เริ่มต้นจากการเป็น Exclusive เฉพาะห้าง Liberty ที่ลอนดอน แต่เพราะกลิ่นอายที่สร้างออร่าความเป็นกุหลาบดำได้อย่างมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ของ Rose En Noir ที่ทำให้ Miller Harris นำเอาน้ำหอมรุ่นนี้มาสู่ Collection ปกติในเวลาต่อมาและก็เลิกผลิตเป็นที่เรียบร้อย เช่นนั้นเมื่อมีความพิเศษแบบนี้ก็ต้องลองและเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่า แบรนด์ Niche จาก UK แบรนด์นี้จะสื่อสารความเป
็นกุหลาบดำออกมาในลักษณะไหนบ้าง 

เปิดตัวด้วยความชัดเจนของโทนเครื่องเทศที่มีทั้งความปร่าซ่าของเม็ดผักชี โทน Animalic ติดสาบอ่อนๆ ตามธรรมชาติที่มีความนัวของยี่หร่า และโทน Effect บางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายโทนแยมติดเบอร์รี่ปนเปรี้ยวเขียวหน่อยๆ แต่กลิ่นไม่ได้จัดจ้านจ๋าฟรุตตี้อะไรนักออกทางลึกๆ และแฝงอยู่ให้รู้สึกได้ แต่ให้ความหวานหน่อยๆ ออกทางสีแดงเข้มเสียมาก แต่มันไม่ได้มีแค่นี้ เพราะกลิ่นที่รองพื้นและเป็นเหมือนพี่ใหญ่คุมโทนกลิ่นนั่นก็คือ กุหลาบ ซึ่งทุกโทนกลิ่นในช่วงนี้ที่ล้อมรอบความเป็นกุหลาบจะสร้างออร่าออกทางติดดาร์ก ปร่า และกึ่ง Velvet กำมะหยี่ที่มีมิติซ้อนกันของกลิ่นได้อย่างน่าสนใจมากโดยไล่จาก ปร่าเผ็ดคมกำลังดี สาบปลุกเร้าแต่ติดหวานแยมนัวๆ และกุหลาบลุ่มลึก ทุกอย่างสร้างอัตลักษณ์ของการเป็นกุหลาบสีเข้มในที่มืดติด Spicy ได้อย่างน่าสนใจมาก 

แล้วเมื่อความอวลปร่าคมๆ ในช่วงแรกเริ่มจางลงไป สิ่งที่จับต้องได้ในช่วงต้นเริ่มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะกุหลาบแดงกำมะหยี่ในที่มืดในช่วงต้น จะเริ่มแปรสภาพความรู้สึกจากกุหลาบแดงเข้มเป็นกุหลาบดำเจือสีเหลื่อมม่วงมากขึ้น เพราะออร่าความดาร์กของกลิ่นเริ่มจะชัดขึ้นตามลำดับ โดยที่โทนคมๆ ติดเครื่องเทศปน Animalic จะเบาลงไปเหลือเพียงอ้อยอิ่ง ซึ่งจะมีกลิ่นของยาสูบติดแห้งหวานที่เข้ามาให้ความดาร์กโปร่งเคล้ากับกลิ่นปร่านุ่มของพริกไทยเสริมเข้ามาและมีกลิ่นอายออกทางเขียวเจือหวานติดชื้นเล็กๆ ของใบไวโอเล็ตที่ทำให้กลิ่นได้ลักษณะออกทางกำมะหยี่เข้ามาด้วย ทำให้ช่วงกลางคือการผสมผสานที่ลงตัวมากระหว่างการเป็นกุหลาบกับยาสูบที่มีความนุ่มปนกำมะหยี่กับบรรยากาศโปร่งๆ เจือหวานติดปร่าหน่อยๆ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมรุ่นนี้เลยทีเดียว เพราะสื่อถึงคำว่า Rose En Noir ได้ชัดเจนมาก จนเมื่อความเป็นยาสูบเริ่มเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น และมีโทน Musky ติดออกทางโปร่งปนเมทัลลิคติดเขียวบางๆ แทรกตัวเนียนขึ้นมา ก็เป็นการเป็นเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งจะมีเลเยอร์กลิ่นแบ่งมิติเป็น 3 ส่วนคือ กลิ่นอายโทนยาสูบที่ออกทางแห้งมีความดาร์กโปร่งๆ ปนหวานระเรื่ออยู่ด้านบนสุด ไล่ลงมาตรงกลางที่กลิ่นออกทางแป้งหอมกุหลาบติดปร่าอ่อนๆ นิ่งๆ มีระดับและไม่โฉ่งฉ่าง แล้วปิดท้ายด้วยกลิ่นพิมเสนที่ให้ความหวานติดดินๆ Earthy หน่อยๆ ดึงดูดเย้าจมูกคลอไปกับกลิ่นอายโทน Musk โปร่งๆ ติดเขียวเมทัลลิคที่มาจาก Ambrette (เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ให้กลิ่นโทน Musky แต่ไม่ได้ถึงกับนุ่มแบบ Musk ที่มาจากสัตว์ ซึ่งกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่านวล แต่ยังคุมโทนลักษณะแบบ Musk ที่จะติดผักกึ่งเมทัลลิคบางๆ) ซึ่งนอกจากที่กลิ่นจะมีมิติในการดมแล้ว ยังส่งเสริมกันและผสมผสานกันเป็นอย่างดีมาก โดยที่ยังคุมโทนกลิ่นอายดาร์กปนกุหลาบในอีกอารมณ์หนึ่งเข้ามาแทน นั่นคือ กลิ่นมีความนิ่งเรียบหรูเคล้าออร่าความดาร์กดึงดูดมีเสน่ห์แบบโปร่งกำลังดี เนียนกำลังงาม และไม่ธรรมดาในการสร้างภาพลักษณ์ของกลิ่นที่มีอะไรให้น่าค้นหาไปตลอดเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ซึ่งถ้าใครชอบกุหลาบเป็นทุนเดิมเรียกว่าจะได้มิติในการดมกุหลาบที่แตกต่างไปอีกด้านที่เป็นโทนดาร์กโปร่งๆ ได้เลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะมากไปเดี๋ยวช่วงแรกๆ จะตึ้บเพราะกลิ่นเครื่องเทศไปเสียก่อนที่จะได้สัมผัสความงามของกลิ่นสร้างอัตลักษณ์ของกุหลาบดำกำมะหยี่ของน้ำหอมรุ่นนี้ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์ดึงดูดและเย้ายวนแบบโปร่งๆ ได้ดีและน่าสนใจมากจริงๆ ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ออกทางสาวจ๋าๆ เกินไป กลิ่นมีความขรึมและสุขุมไม่น้อย แถมช่วงท้ายของกลิ่นมีความ Unisex มากเสียด้วย 

ความทน - ดีงาม เจอสูงสุดที่ 12 ชม. ได้เลย ซึ่งถ้าเฉลี่ยก็ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น (เลยให้ยั้งๆ สเปรย์บ้างเดี๋ยวตึ้บไปเสียก่อน) แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 4 ชม. ถึงจะค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไป

สรุป - กุหลาบในความมืด ที่สามารถสัมผัสได้ และทำให้เรานึกถึงกุหลาบสีแดงเข้มจนกลายเป็นสีดำเหลือบม่วงในความมืดมีบรรยากาศโปร่งๆ แต่ดึงดูดและเย้ายวนเนียนๆ นี่แหละ Rose En Noir ของ Miller Harris ที่ตอนนี้กลายเป็นน้ำหอมที่เลิกผลิตไปเสียแล้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.pinterest.com/pin/215258057164236544/


วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Hugo Boss - Boss Nuit pour Femme

Hugo Boss - Boss Nuit pour Femme 

ถ้ามองถึงสีที่คลาสสิคในวงการแฟชั่นที่ไม่เคย Out และสามารถเอามาเป็นลูกเล่นได้หลากหลาย โดยที่มีความเรียบโก้และไฮแฟชั่นเสมอไม่มีคำว่าตกยุค นั่นก็คือ “สีดำให้ลองนึกถึงผู้หญิงที่ใส่ชุดเดรสราตรีสีดำออกงาน หรือชุดทำงานที่ทั้งเรียบโก้หรือมีความเซ็กซี่หน่อยๆ ก็ได้ มักทำให้เรารู้สึกว่าน่าค้นหา เรียบหรู มีระดับ และสง่างามเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี่ก็เป็นที่มาที่ไปของการน้ำหอมของแบรนด์ Hugo Boss ในรุ่น Boss Nuit pour Femme ที่จะสื่อสารถึงผู้หญิงในชุดดำที่มีความเรียบหรูและสง่างาม แล้วกลิ่นล่ะ เป็นยังไง? 

กลิ่นค่อนข้างจะเกินคาดพอสมควร เพราะไม่ได้มาสายกรุยกราย จัดจ้าน หรือนางพญาอะไรเลย ออกทางมาสายเรียบหรูมีระดับแบบที่ไม่เน้นการปล่อยพลังแต่อย่างใด โดยจะเน้นที่กลิ่นอายสาย Fruity Floral ที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ยังคุมโทนการวางตัวทางกลิ่นได้ดี มีทั้งความสุภาพและความนิ่งในกลิ่นที่สร้างออร่าสง่างามแบบกำลังดีไม่หนักหน่วงได้ไม่ยากเลย โดยกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นโทนติดสบู่ขรึมหม่นนิดหน่อยจากสารหอม Aldehydes เพียงแต่ว่าจะไม่ได้มาแบบคมๆ พุ่งๆ แน่นๆ ฟุ้งกระจายวายป่วงเว่อร์ๆ แต่อย่างใด กลิ่นค่อนข้างคุมโทนความกลางกำลังดี ที่ไม่หนักมาก โดยจะมาผสมผสานกับกลิ่นพีชที่ให้ความหวานหอมกึ่งนวลอ่อนๆ และไม่ฉ่ำเกินไป ทำให้ได้ลักษณะกลิ่นออกทางสบู่พีชหน่อยๆ ซึ่งแค่กลิ่นเปิดก็บอกได้เลยว่า เหมาะสำหรับสาวๆ ชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นโทน Feminine มากจริงๆ 

เพียงไม่นาน Aldehydes เริ่มบางลงไป กลิ่นพีชจะมี 2 มิติที่ชัดเจนให้จับต้องได้ง่ายขึ้น คือ ดมใกล้ๆ จะมีกลิ่นติดนวลหวาน แต่ดมห่างๆ จะมีความใสหวานปนนวลอ่อนๆ ซักชั่วขณะ ก็จะเริ่มมีโทนดอกไม้ขาวค่อยๆ เสริมเข้ามาจนกลายเป็นตัวหลักในช่วงกลางที่จะตีคู่ไปกับกลิ่นพีชเลย โดยกลิ่นเด่นที่สร้างความหวานหอมนวลปนอ่อนโยนเลยคือ มะลิ และมีโทนดอกไม้ขาวอื่นๆ ที่สร้างความใสๆ ให้กลิ่นด้วย ซึ่งจับต้องได้ถึงกลิ่นอายสไตล์ดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) และดอกไม้อื่นๆ รวมอยู่ด้วย ทำให้กลิ่นจะคุมสมดุลย์พอดีระหว่างความนวลและความใส รวมถึงกลิ่นจะเริ่มเป็นโทนออกทางแห้งๆ เข้าโทนแป้งชัดขึ้น เพียงแต่จะยังโปร่งๆ หวานระเรื่อจมูกแบบอ่อนโยนกำลังดีเสียด้วย ซึ่งน่าจะมาจากดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งในลักษณะโปร่งๆ ปนหวานแบบนี้ และกลิ่นจะดำเนินไปพอสมควรจนเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความครีมมี่นวลๆ ออกทางไม้จันทน์หอมเสริมเข้ามาตามลำดับ และมีกลิ่นออกทางน่าค้นหาติดดาร์กอ่อนๆ ปนกรุยกรายบางๆ ที่เนียนแทรกเข้ามาในเนื้อกลิ่น แต่ก็มาในลักษณะที่รองพื้นกลิ่นเป็นหลัก ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ที่ยังคงคุมโทนดอกไม้ขาวกึ่งนวลกึ่งใสเป็นตัวสร้างออร่าความหอมนวลปนหวานระเรื่ออยู่ เพียงแต่จะเพิ่มอารมณ์ที่มีความนวลอ่อนโยนปนจริตแบบผู้หญิงที่มีเสน่ห์แบบนิ่งๆ เข้ามาอีกด้วยนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นแม้จะชื่อว่า Nuit ที่แปลว่ากลางคืน แต่เอาจริงๆ กลิ่นมัน Daily Scent มากๆ แบบว่าใช้ยามกลางวันได้กวาดหมดแทบทุกสถานการณ์ได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายกระจายเก่ง ปล่อยพลังเก่ง ออกแนวเรียบหรู วางตัวดี เสียมาก จึงใส่ได้เลยยามกลางวัน จัดไปเถอะ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ สง่างามเรียบหรูแบบเหงื่อซ่กคงไม่น่าใช่ ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ใช้ได้แหละ เพียงแต่เน้นใส่ออกงาน หรือไปโรแมนติคจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบจากชาวบ้านมิดแน่นอน

ความทน - กลิ่นไม่ได้ถึงกับจัดจ้านในย่านนี้ทางด้านความทนเท่าไหร่ เพราะแม้จะเป็น EDP แต่ความทนก็อยู่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบไปซัก 2 ชม. ก็ได้อยู่ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวจากการใช้จริงทนไปได้ถึง 8 ชม. ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นมาสายปลอดภัยในเรื่องนี้ชัดเจน เพราะกระจายปานกลางในช่วงต้น เป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ปิดท้าย Skin Scent ในช่วงท้าย เช่นนั้น เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางการใช้งานแบบเรียบหรู ไม่เน้นโฉ่งฉ่างได้เป็นอย่างดี 

สรุป - Boss Nuit pour Femne สื่อสารได้ตามที่ตั้ง Concept ไว้ถึงผู้หญิงชุดดำเรียบหรูและสง่างามไหม? ตอบเลยว่าใช่และได้ รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของน้ำหอมผู้หญิงที่มีความเรียบแต่หรูหรากำลังดี มีจริตติดค่อนไปทางนิ่งๆ กำลังงามที่เอาอยู่ได้เสมอ เพียงแต่กลิ่นเข้าทางการใช้ยามกลางวันมากกว่าที่จะเป็น Nuit หรือยามกลางคืนก็เท่านั้นเอ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrancenet.com/perfume/hugo-boss/boss-nuit-pour-femme/eau-de-parfum#232077

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Charriol pour Homme Royal Gold (Eau de Toilette Intense)

Charriol pour Homme Royal Gold (Eau de Toilette Intense) 

ห่างมาอย่างยาวนานเลยทีเดียวกับแบรนด์เครื่องประดับจิลเวลลี่จากสวิตเซอร์แลนด์ที่มีน้ำหอมที่น่าสนใจและมีคุณภาพมากมายอย่าง Charriol ซึ่งหลังจากที่ได้ผ่านการบอกเล่ากลิ่นอายที่เป็นตัว Top Class ของแบรนด์อย่างรุ่น pour Homme ปกติที่มีโทนกลิ่นอายใกล้เคียง Paco Rabanne Black XS แต่หรูหรามีระดับมีคลาสที่ให้ความเป็นโทนสว่างกว่ามาก ไม่ได้เจ้าชู้ลั่นล้าเรียกแขกมานัวกันให้หนำ ก็ได้เวลาเจอกับตัวที่ 2 ที่ได้มีโอกาสในการกลับมาหาแบรนด์นี้อีกครั้ง และคราวนี้แบรนด์จะสื่อสารกลิ่นออกมาแบบไหน มาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Charriol pour Homme Royal Gold แต่

บอกก่อนว่า รุ่นนี้จะมี 2 เวอร์ชั่น คือ Eau de Parfum และ Eau de Toilette Intense ซึ่งกลิ่นจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดความสับสนยืนงงในดงขวดทอง แถมกล่องก็ลายเดียวกันต่างกันนิดเดียวตรงที่ระบุว่าเป็EDP หรือ EDT Intense เท่านั้น ซึ่งครั้งนี้จะมาเน้นที่สาย EDT Intense (เพราะจัดขวดนี้มาขวดเดียว) ว่ากลิ่นนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง 

Royal Gold EDT Intense (ขอเรียกสั้นๆ แบบนี้) เปิดตัวกันด้วยกลิ่นโทน Citrus ของมะนาวที่ชัดเจนพอสมควรเลยทีเดียว มีความอะโรม่าของโทนเปรี้ยวสดชื่นชัดเจน และตีคู่มากับกลิ่นอายสายเขียวสมุนไพรที่ควรจะมาแบบคมๆขมพุ่งๆ อย่าง ยางไม้ Galbanum แต่เปล่าเลย เพราะทั้ง 2 โทนจะโดนเกลากลิ่นและตัดทอนโดยตัวเด่นของน้ำหอมรุ่นนี้อย่างเม็ดกระวาน ที่จะให้ความนวลนัวกำลังดี ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะจับต้องได้ทั้งความสดชื่นติดอะโรม่าเปรี้ยวหอมของมะนาว ความเขียวติดขมกำลังดี มี Musky หน่อยๆ ของ Galbanum และความนัวเผ็ดเจือหวานนวลของกระวานที่เกลากลิ่นได้สมดุลย์มาก และผสมผสานกันเป็นอย่างดีจับต้องได้หมด และที่สำคัญแอบจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นออกทาง Fruity ผลไม้เบอร์รี่แบบสีม่วงแนวๆ แบล็คเคอร์แรนท์หน่อยเข้ามาด้วย ซึ่งก็มีอาการขึ้นมาทันทีว่า มันช่างคุ้นและคลับคล้ายคลับคลายิ่งนักว่าคล้ายกับ Creed Silver Mountain Water (ขอเรียกว่า SMW หลังจากนี้) จังเลย ซึ่งแน่นอนความหรูหรามีคลาสก็มาตามความน่าจะเป็นที่ใกล้เคียงรุ่นดัง แต่สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้ในความแตกต่างออกมาหน่อยคือ ความนัวเย้าของเม็ดกระวานนี่แหละ ที่เย้าๆ ดึงดูดเพิ่มเข้าไปให้โทนกลิ่นมีความนัวในความหรูให้จับต้องได้

จนเมื่อผ่านไปซักระยะโทนกลิ่นติดฝาดอ่อนๆ ปนอะโรม่าหวานปลายของชากับโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดปร่าจะเนียนแทรกเข้ามาอยู่ในกลิ่น โดยเข้ามาผสมผสานกับโทนหอมเย้าติดเขียวปนกลิ่นออกทางแบล็คเคอร์แรนท์กับ Citrus ที่ยังคงมีความชัดเจนอยู่พอสมควร ซึ่งกลิ่นจะได้ความหรูหรา สุขุม อวลละมุนอบอุ่นกำลังดีและเย้ายวนในทีได้อย่างน่าสนใจ และก็เหมือนเดิมเติมน้ำแข็งยังคงมีลักษณะโทนกลิ่นแนวเดียวกับ SMW อยู่ในระยะหนึ่ง แต่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะกลิ่นอายโทนแป้งจะค่อยๆ เข้ามาเสริมเลยทำให้ทิศทางของกลิ่นเริ่มที่จะฉีกจาก SMW ไปในลักษณะที่เป็นโทนแป้งนวลเย้าปนอบอุ่นแทนเสียมาก และปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงไม้หอมครีมมี่นวลๆ ที่จับได้ชัดเจนว่าเป็นไม้จันทน์หอมผสมผสานกับกลิ่นแป้งที่นุ่ม Musk แต่ยังมีความอุ่นหวานเรื่อๆ จากช่วงกลางที่ยังตามมาในช่วงนี้ของโทนชา + กระวานอ่อนๆ ทำให้กลิ่นยังคุมความอะโรม่าที่แฝงอยู่ในโทนแป้งให้ความสุขุม อบอุ่น ละมุน มีเสน่ห์ดึงดูดกำลังดีไปเรือยๆ จนกว่าจางไปตามเวลา 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีลักษณะโทนที่ให้ความหรูหราปนสุขุมเป็นพื้นฐาน แต่เพิ่มความเย้ายวนดึงดูดเข้ามาด้วยแบบที่ไม่หนักหน่วง คุมโทนความสมดุลย์ด้านการดึงดูดได้ละมุนดีแท้ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความเป็นผู้ชายมีเสน่ห์และมีมาดได้ลงตัวมาก จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ ข้ามไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เพราะกลิ่นมีการเพิ่มเติมความเย้ายวนดึงดูดของกระวานเข้าไป จึงสามารถใส่ช่วงกลางคืนเพิ่มใเสน่ห์ได้ไม่ยาก เพียงแค่อัดสเปรย์หน่อยออกท่องราตรีได้แล้วนั่นเอง 

ความทน - 8 ชม. เป็นพื้นฐาน อาจจะมีบวกลบบ้าง ก็ว่ากันตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กำลังดี เกินไปเล็กน้อย กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากลางๆ ซักระยะ ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอพ้นซัก 6 ชม. กลิ่นจะเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ถ้า Creed SMW เน้นความหรูหรา สุขุม มาดเท่ห์ และมีเสน่ห์แบบผู้ชายที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษ Royal Gold EDT Intense ก็จะให้ไม่แตกต่างในโทนที่ใกล้เคียง แค่กระจายและกลิ่นไม่ได้ถึงกับหรูหราหมาเห่าเท่า Creed มากขนาดนั้น แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนที่เข้ามาร่วมด้วยพอสมควร ซึ่งต้องยกเครดิตให้กลิ่นชาและกระวานในน้ำหอมตัวนี้เลย สร้างออร่าความละมุนเย้าๆ ได้ดีนักแล 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Charriol/Royal_Gold_pour_Homme

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Evody Parfums - Collection Premiere: Zeste d’Or

Evody Parfums - Collection Premiere: Zeste d’Or 

เอาเข้าจริง น้ำหอมโทน Citrus Aromatic ที่สร้างความสดชื่นนั้น หาง่ายมากในท้องตลาด เพราะเป็นโทนยอดมหานิยมมาเสมอแถมเหมาะกับอากาศบ้านเรามากเสียด้วย แต่กลิ่น Citrus ที่ให้ความเรียบหรูมีความแพงในเนื้อกลิ่นเอง มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ แต่ใช่ว่าจะหาไม่เจอ เพราะหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นอาย Citrus ที่น่าสนใจจากแบรนด์ Niche ของฝรั่งเศสอย่าง Evody Parfums ที่
สร้างสรรค์กลิ่นอายความสดชื่นมีพลังของโทน Citrus ที่เป็นสไตล์ฝรั่งเศสได้อย่างสมดุลย์และลงตัวมากไม่ใช่น้อย เช่นนั้นก็ต้องถ่ายทอดกลิ่นกันหน่อย ว่าขวดนี้จะออกมาในลักษณะไหน

Zeste d’Or เปิดตัวด้วยกลิ่นโทน Citrus สายสว่างที่มีความเปรี้ยวสดชื่นติดดแปร่งตามธรรมชาติ และเจือหวานปลายที่ชัดเจน บ่งบอกอัตลักษณ์ของกลิ่นอายโทนเลมอนเต็มๆ แต่ในเนื้อกลิ่นจะไม่ได้มาสาย Splash แบบสไตล์ Cologne หรือว่ามาแบบฉ่ำคั้นน้ำเลมอนอะไรนัก เพราะกลิ่นจะเป็นโทนสดชื่นแบบแห้งๆ เสียมาก รวมถึงจะจับต้องได้ถึงโทน Citrus ออกเขียวติดขมปร่าอ่อนๆ เป็นลูกคู่สร้างมิติการดมโทนกลิ่นสดชื่นเป็นธรรมชาติมากขึ้นจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีกลิ่นออกทาง Herbal ค่อนไปทางมินต์ปนสมุนไพรหอมปร่าสบายจมูกที่มาจากโรสแมรี่ ที่รวมตัวกันเนียนเป็นพื้นหลังให้โทนเลมอนด้วย ซึ่งเพียงแค่ช่วงต้นก็บอกชัดเจนเลยว่าเป็นกลิ่นอายสาย Citrus Aromatic ในสไตล์แบบฝรั่งเศสที่มักจะเป็น Citrus ค่อนไปทางติดสมุนไพรและให้ความสดชื่นแบบแห้งๆ ที่สว่าง สบาย และปลอดโปร่งกำลังดีไปตลอดเลย และโทน Citrus จะอยู่ยืนยาวไปจนถึงช่วงท้ายด้วย 

โดยในช่วงกลาง โทนสดชื่นจะเริ่มผ่อนลงไปเป็นสายสนับสนุนรองใจดีที่ให้ความสดชื่นแห้งๆ สบายๆ สว่างๆ ในเนื้อกลิ่น และมีตัวรับช่วงต่อที่ให้ลักษณะของโทนสะอาดๆ มีความปร่านวลพริกไทยหน่อยๆ เจือกับโทน Citrus กึ่งเลมอน นั่นก็คือ ยางไม้ประเภทหนึ่งอย่าง Elemi ที่จะให้โทน Lemony Peppery สะอาดๆ เป็นตัวเด่นนำตีคู่กับกลิ่นเครื่องเทศโทนเผ็ดเย้าเจือหวานโปร่งอ่อนๆ ของเม็ดกระวานที่โดนเกลากลิ่นมาเป็นอย่างดีไม่ให้หวานไป ไม่ให้เย้าจัดจ้านไป ทำให้มิติของความสดชื่นในเนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นมาอีก Step แต่ก็ไม่หนัก กลิ่นจะคุมโทนความสะอาด สดชื่น และสุภาพเรียบหรู เรื่อยๆ มาเรียงๆ จนเมื่อความเปลี่ยนแปลงเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายโทนไม้หอมแห้งๆ เบาๆ สะอาดๆ ที่เริ่มเนียนเข้ามาแบบอ้อยอิ่ง จนเริ่มเป็นกลิ่นอายสะอาดติด Citrus อ่อนๆ ปนไม้หอม ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะให้ความมินิมัลสบายๆ เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ดูโหล กลิ่นมีระดับ และให้ความปลอดโปร่งกำลังดียาวไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดถ้าสดชื่น เพราะกลิ่นเน้นความสดชื่นติดสุภาพเรียบหรูมีระดับเป็นสำคัญ และมีความกลางๆ มากพอที่ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้ได้ตั้งแต่ ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งกวาดหมดไม่ว่าจะใส่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม แต่เน้นใส่เพื่อความสุภาพติดสดชื่นจะดีที่สุดไม่ว่ากลางวันและกลางคืน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีหาเหยื่อได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนและปล่อยพลังแต่อย่างใด โดนกลบแน่นอน 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 ชม. อาจจะมีบวกลบที่ราวๆ 1-2 ชม. ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 6-8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - จะเปิดตัวด้วยกระจายแบบกลางๆ ได้กลิ่นที่ชัด แต่ไม่ถึงกับพุ่งเข้าจมูกหนักหน่วง แล้วจะค่อยๆ ลดลงเป็นออร่ารอบๆ จนเมื่อผ่านไป 3-4 ชม. ก็ ติดผิวเรียบร้อย กลิ่นจะตีขึ้นเบาๆ ยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

สรุป - กลิ่นสดชื่น มีระดับ เรียบหรู และสุภาพ แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่เอาอยู่ในสไตล์มินิมัล ซึ่งเอาสไตล์แบบน้ำหอมสดชื่นบาลานซ์ลงตัวระหว่าง Citrus และ Herbal ได้ดีเลย ถือเป็นอีก 1 Daily Scent ที่มีคลาสและใช้กับอากาศบ้านเราได้สบายมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.evodyparfums-eng.com/zeste-dor


วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Aquolina - Pink Sugar

Aquolina - Pink Sugar

ถ้าว่ากันด้วยเรื่องน้ำหอมกลิ่นหอมหวานจัดเต็ม มีความสดใสก็ได้ วัยรุ่นก็ดี น่ารักก็เข้าทาง แถมเป็นกลิ่นขนมที่สร้างอารมณ์สีชมพูที่เป็นตำนานเลยก็ย่อมได้ คงหนีไม่พ้น Pink Sugar ที่เป็นน้ำหอมตัวแรกของแบรนด์ Aquolina ที่สร้างความหวานทางกลิ่นมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ จนมีลูกมีหลานเต็มไปหมด (รวมถึง Masterpiece สายน้ำตาลหวานของผู้ชายอย่าง Blue Sugar ที่เลิกผลิตไปแล้ว) เช่นนั้น ชีวิตต้องเติมความหวาน เลยขอเล่ากลิ่นเพื่อเพิ่มกิเลสให้คนที่ชอบกลิ่นหวานๆ กันหน่อยว่า ลักษณะโทนกลิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง 

สายไหมกลิ่นนี้แหละที่จะเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ เรียกว่ามาเพื่อความหวานหอมกันเต็มๆ ซึ่ง Top Notes จะเริ่มความเป็นโทน Citrus กึ่ง Fruity ที่รองพื้นด้วยกลิ่นสายไหมกันก่อนเลย ซึ่งจะจับต้องได้เต็มๆ อย่างแรก คือ ราสเบอร์รี่ที่มาในลักษณะไซรัปเสียมากกว่า และจะมีกลิ่นออกทางส้มติดเปรี้ยวซ่าคมๆ เข้ามาเสริมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความหวานแหลมเจือเปรี้ยวมีความหนาของกลิ่นอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งบอกเลยถ้าคนที่ไม่ชอบกลิ่นโทนหวาน จะจบแต่เพียงเท่านี้ แต่ถ้าชอบโทนหวานจะรับได้สบายมากทันทีตั้งแต่แรกเลย แล้วกลิ่นจะเริ่มลดบทบาทของการเป้นโทน Citrus ลงไปตามลำดับเปิดทางให้ Middle Note เข้ามาแทนที่กับการเป็นสายไหมที่ชัดเจน มีความหวานน้ำตาลติดออกทางลูกอมรสสตรอวเบอร์รี่ผสมเบอร์รี่อื่นๆ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะมีความใสขึ้นมาหน่อยนึง ทำให้อารมณ์กลิ่นจะหวานน่ารัก Candy กันได้เลย อารมณ์กลิ่นสีชมพูชัดเจน แต่สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือ กลิ่นไม่ได้ใสหรือกลวงเกินไป เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีความหวานติดออกทางไม้หอมหน่อยๆ มีความลุ่มลึกของกลิ่นที่สร้างมิติที่ติดโทนเย้ายวนกำลังดีของชะเอมเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะจับต้องความหวานน่ารักสีชมพู ที่ซ่อนความเย้ายวนให้ความน่ารักเนียนๆ ได้ลงตัวเกินคาด แต่พอผ่านไปซักระยะหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มมาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะจากที่ได้อารมณ์ใสๆ มันเริ่มจะมีความอวลขึ้นมาตามลำดับ และจับต้องได้มากขึ้นว่ามีกลิ่นหวานของคาราเมลเสริมขึ้นมาด้วย ทำให้ความหวานจะมีเลเยอร์ของหวานโปร่งน้ำตาลสายไหม ตามด้วยหวานติดเครื่องเทศกึ่งไม้หอม และกลิ่นหอมหวานลึกๆ อวลๆ เย้าๆ ของคาราเมล ที่ทำให้กลิ่นมีความแน่นขึ้นมาในอีกระดับ จนกลิ่นเริ่มมีความนวลอวลซึ่งปูทางเข้าสู่ Base Notes ที่ความเป็นสายไหมจะบางลงไปในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความหวานออกทางน้ำตาลให้พอจับได้อยู่หน่อยๆ เปิดทางให้กลิ่นคาราเมลและวานิลลาที่ค่อนข้างชัดเจนเปิดตัวออกมา กลิ่นช่วงนี้บอกเลยอารมณ์ขนมหวานแนวๆ ครีมมี่นุ่มวานิลลา ซึ่งจะทำให้นึกถึงขนมอย่าง “Cream Brulee” ที่ใส่นมและวานิลลาลงไปเป็นองค์ประกอบหลัก เพราะจะได้กลิ่นนวลหอมนุ่มวานิลลาหวานชัดเจนเคล้าคาราเมลและน้ำตาลไหม้ และมีกลิ่นโทนไม้หอมอ่อนๆ กับโทนนุ่มสะอาดของ Musk ทำให้กลิ่นมีมิติที่ตัดทอนความเป็นขนมยกเสิร์ฟได้เลยออกไปอยู่บ้าง แต่ก็ยังได้ความหอมหวานนวลนุ่มชัดเจนพอสมควร ซึ่งโทนสีของกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะเป็นสีครีมวานิลลามากกว่าและมีความหวานชมพูครีมอ่อนเข้ามาร่วมด้วย เพราะโทนออกทาง Fruity Berry ในช่วงกลางยังตามมาเบาๆ เนียนไปกับเนื้อกลิ่นด้วยหน่อยๆ ถ้าให้นึกภาพ ก็ Creme Brulee ที่มีเนื้อผลไม้เบอร์รี่ผสมอยู่ข้างในแบบนี้น่าจะชัดเจนที่สุด 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไป ก็สามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายมาก ยิ่งถ้าชอบกลิ่นหวานและกลิ่นขนม บอกเลยว่ามีตัวนี้ใส่ไปยังไงก็ฟิน ซึ่งกลิ่นเข้ากับอากาศบ้านเราในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเน้นจำนวนสเปรย์เหมาะสมจะดีงามมาก ซึ่งกลิ่นนี้ไม่เหมาะกับยามทางการจัดๆ และการใส่เพื่อออกกำลังกายแต่อย่างใด ให้เน้นใส่ทั่วๆ ไป ซึ่งจะใส่ทำงาน Office ก็ได้อยู่ หรือใส่แบบวันหยุดสบายๆ เที่ยวช้อปปิ้งลั่นล้า เพื่อสร้างออร่าสีชมพูหอมหวานก็เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืน จัดไป กลิ่นนี้สร้างความหวานได้น่ารัก และมีความเย้ายวนเนียนๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ดีงามกับพื้นฐานที่ 8 ชม. สบายมาก และมากกว่านั้นได้อีกด้วย ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เลยทีเดียวกับจำนวนสเปรย์ 5 สเปรย์ อันนี้ดีงามจริง อะไรจริง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนแรก ซึ่งจะคมหน่อยอาจจะมีมึนไปบ้าง แต่กลิ่นจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย ก่อนจะผันตัวเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - หวานอันนี้ชัดเจนมากและมีหลายๆ เฉดของโทนหวานให้สัมผัสได้เสียด้วย ไม่ว่าจะหวานแหลมไซรัป หวานลูกอมฮาร์ตบีทสตรอวเบอร์รี่ หวานสายไหมรื่นรมย์ หวานคาราเมลลึกอวล และหวานไม้หอมเจือเครื่องเทศเย้ายวน รวมถึงหวานวานิลลานุ่มอบอุ่นนวลเนียน สมแล้วที่เป็นหนึ่งในน้ำหอมโทนหวานที่เป็นตำนานเลยก็ย่อมได้ในการนำเสนอความหวานที่ชมพูปนครีมได้ดีและลงตัวมากจริงๆ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.walgreens.com/store/c/aquolina-pink-sugar-eau-de-toilette-spray/ID=prod6041021-product

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Narciso Rodriguez - Musc for Her Oil Parfum 2013

Narciso Rodriguez - Musc for Her Oil Parfum 2013 

ถ้าบอกว่าแบรนด์ไหนในสาย Designer Brand ที่มี Signature ของน้ำหอมตัวเองในทุกรุ่นเป็นโทน Musk คงหนีไม่พ้น Narciso Rodriguez ซึ่งแต่ละรุ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างใช้โทน Musky เป็นตัวชูโรงในมิติที่แตกต่างกันไปได้อย่างมีระดับและมีชั้นเชิงมาเสมอ โดยเฉพาะรุ่นที่ชูโรงในความเป็น Musk และการเล่ากลิ่นในครั้งนี้ จะมาที่ความเป็น Rare Item กันหน่อยกับรุ
่น 2013 ขวดดำที่เลิกผลิตไป (แต่นำมาปรับปรุงใหม่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดขวดชมพู ออกมาเมื่อปี 2018 อีกครั้ง) กับการเป็น Musc for Her Oil Parfum 2013 ว่ากลิ่นอาย Musky ที่ลุ่มลึกอย่างมีจริตจะเป็นอย่างไรบ้าง 

พื้นฐานดี มีชัยไปกว่าครึ่งประโยคนี้สามารถใช้ได้กับน้ำหอมรุ่นนี้ได้เลย เพราะกลิ่นที่เป็นตัวเอกหลักและเป็น Center Note อย่าง Musk ที่มีคุณภาพดีมากจะเป็นตัวแสดงความงดงามของกลิ่นได้อย่างครบถ้วนในด้านความหอมนวล ความละมุนคลอผิว และความพลิ้วไหวที่ทำให้รู้สึกหลากหลายมิติอารมณ์ได้อย่างชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นในแต่ละช่วงของน้ำหอมตัวนี้จะค่อนเป็นเส้นตรงพอสมควร เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงให้สัมผัสความลุ่มลึกในแต่ละอารมณ์ไปตามแต่ละช่วงเวลาที่มีลูกคู่กลิ่นนั้นๆ เข้ามาสนับสนุน ซึ่งการเปิดตัวของ Musc for Her Oil Parfum 2013 จะมาชัดเจนถึงกลิ่นอายโทร Musk ที่จะมีความนุ่ม ความนวล ความละมุนที่ชัดเจน แต่จะแฝงด้วยกลิ่นอายสายปลุกเร้า Animalic ตุ่ยหน่อยๆ แต่ไม่ได้ติดสาบจ๋าเด่นเลย เพราะมาแบบให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ควรจะต้องมีและเป็นของ Musk แบบกลิ่นที่สะกิดจมูกบางๆ แล้ววูบถัดมาจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของโทนดอกไม้ที่มีกลิ่นผลไม้เนียนๆ แนวแอปริคอตให้จับต้องได้ ซึ่งเดาไม่อยากว่าเป็นดอกหอมหมื่นลี้ที่จะให้ความรู้สึกหอมติดหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ เย็นๆ นวลจมูก ตามด้วยกลิ่นโทนดอกไม้ขาวแนวๆ มะลิเจือกลิ่นโทนสะอาดติดเปรี้ยวปลายกลิ่นของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ซึ่งทำให้ช่วงต้นจะได้อารมณ์ของ Musk ที่แตกต่างแต่ส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดีระหว่างความเป็น Animalic และ Floral สร้างกลิ่นอายที่มีเสน่ห์ทั้งดูอ่อนโยนก็ได้ เย้ายวนดึงดูดในความนวลนุ่มละมุนก็ดี แอบค่อนไปทางนวลอบอุ่นหน่อยๆ ก็ด้วย

ซึ่งช่วงที่แอบค่อนไปทางนวลอบอุ่นนี่แหละ ที่จะเป็นตัวปูทางไปสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็นกลิ่นอายสาย Musk ที่อบอุ่นขึ้น แต่ไม่ได้หนักจนฮอตฉ่าแต่อย่างใด ซึ่งโทน Animalic จะเริ่มเบาลงไปจนเหลือน้อยนิดเสริมให้กลิ่นโทน Musk กลายเป็นเสมือนกลิ่นผิวกายอบอุ่นติดนวลกลิ่นดอกไม้ที่ยังคงคุมโทนความขาวสว่างสะอาดนุ่มติดกลิ่นโทนผลไม้หวานบางๆ ซึ่งกลิ่นแม้จะรู้สึกว่ามันนวลนุ่มสว่าง แต่เอาเข้าจริงพื้นเพของ Musk มีความ Sexy แบบสายมินิมัลอยู่แล้ว เช่นนั้นอารมณ์กลิ่นเลยแบ่งเค้กกันได้อย่างน่าสนใจมากระหว่าง โทนอ่อนโยนที่ให้ความนุ่มสว่างและโทนเย้ายวนปนอบอุ่นที่เป็นธรรมชาติและไม่โจ่งแจ้ง มีความเรียบง่ายแต่เซ็กซี่เนียนๆ ในทีไปตลอด แล้วจะมีกลิ่นโทนออกทาง Earthy ที่ติดดินหน่อยๆ ค่อยๆ เนียนเสริมเข้ามาทีละนิดๆ จนกลายเป็นช่วงท้ายของน้ำหอม ที่กลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นพิมเสนเบาๆ สะอาดๆ กลิ่นติดดินปนไม้แห้งนิดๆ ซึ่งน่าจะมาจากหญ้าแฝก ที่มาเป็นสายสนับสนุนโทน Musky ที่ให้มิติที่น่าค้นหาปนเย้ายวนดึงดูดเสียด้วย และยังมีโทนแป้งอ่อนๆ อบอุ่นของวานิลลาที่ทำให้กลิ่นมีความนวลอุ่นกำลังดีเข้ามาอีก เลยจะเป็น 2 เลเยอร์ที่ได้กลิ่นอาย Musk ที่ติด Earthy ปนสะอาดเย้าระเรื่อๆ พอดมใกล้ๆ จะมีกลิ่นอุ่นกรุ่นอ่อนๆ คลอผิวกายจาก Musk ที่เจือวานิลลา ซึ่งกลิ่นจะมีความเรียบง่ายแต่มีชั้นเชิงที่มีความเย้ายวนเซ็กซี่ตามธรรมชาติ มีจริตที่กำลังดีปนอ่อนโยนอยู่ในทีไปตลอดเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นมีความเป็นผู้หญิงที่ได้หลากหลายมิติอารมณ์ในความเป็นสีขาวสื่อสารถึง Sex Apppeal ที่ลงตัวมากอีก 1 กลิ่นเลย สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เพราะให้ความเรียบง่ายและเรียบหรูเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนไม่แนะนำกับการใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนกลบมิดแน่นอน แต่ถ้าใช้ใส่ไปดินเนอร์ โรแมนติค หรือใส่ก่อนนอนให้ดูน่ากอด อันนี้จัดไป ส่วนผู้ชาย บอกเลยว่าใช้ได้สบายมาก กลิ่นอาจจะไม่ได้แตะ Unisex แต่เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นสายปล่อยพลัง มเลยจะเสริมให้มีเสน่ห์แบบโทนขาวนวลและระเรื่อๆ อ่อนๆ แบบเรียกร้องความสนใจคนยืนใกล้ๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - เพราะน้ำหอมตัวนี้เป็น Oil พื้นฐานกลิ่นจะทนเลยทีเดียวกับราว 8 ชม. ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่าที่ให้ความอ่อนโยนปน Sexy ที่ขับ Sex Appeal ได้ดีมาก แล้วเป็น Skin Scent ไวพอสมควร เพราะ Oil Perfume กลิ่นมักจะจมติดผิวเป็นเรื่องปกติ 

สรุป - หนึ่งใน Masterpiece เลยก็ว่าได้ เพราะให้ความเรียบง่ายแต่เรียบหรูและเย้ายวนแบบเรื่อยๆ ที่เอาอยู่ได้เสมอทุกสถานการณ์ไม่แปลกใจที่มีแต่คนรักกลิ่นนี้ และเสียดายกันหมดที่กลิ่นนี้เลิกผลิต แต่มีการปรับสูตรใหม่และสีขวดใหม่ออกมาแล้ว เช่นนั้นว่ากันอีกทีถ้ามีโอกาสได้ลอง ที่สำคัญกลิ่นนี้ไม่ใช่หัวสเปรย์ เป็นการแต้มเน้นๆ จึงควรแต้มจุดตามชีพจร และจุดที่สเปรย์น้ำหอมลงบนผิวประจำจะดีที่สุด ตัดการแต้มลงเสื้อผ้าไปได้เลย เพราะมันเป็น Oil ไม่ควรโดนเสื้ออยู่แล้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://i.pinimg.com/originals/58/07/ba/5807ba13dc3dd59ce2c28482c2776b30.jpg


วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Guerlain - Angelique Noire

Guerlain - Angelique Noire

Collection - L’Art et La Matière คือหนึ่งในกลิ่นอายสาย Exclusive ของแบรนด์น้ำหอมชื่อก้องโลกอย่าง Guerlain ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาในการเฉลิมฉลองการเปิดบูติคที่ฌองเอลิเซ่ขึ้นอีกครั้ง โดยเน้นที่ Note กลิ่นต่างๆ และสร้างสรรค์กลิ่นอายเชิงศิลปะขึ้นมา โดยเริ่มแรกมีการเปิดตัวออกมาก่อน 3 กลิ่นในปี 2005 แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้มีทั้งหมดแล้ว 12 รุ่นด้วยกัน โดยการวางจำหน่ายจะเน้นตามบูติคใหญ่ๆ เป็นสำคัญ 

และหนึ่งใน 3 รุ่น ที่เปิดตัวการเป็น L’Art et La Matière ก็พร้อมที่จะเอามาเล่าความดีงามของกลิ่นแล้วกับการสื่อสารถึงกลิ่นของโสมตังกุย (Angelica) ว่าจะเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Angelique Noire 

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่า มาชัด มาเต็ม และมาครบเลยทีเดียว กลิ่นมีความความเป็นโสมตังกุยที่มีความเขียว ปร่า อึน ขม ฉุนหน่อยๆ และมีความหวานปลายกลิ่น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้คมบาดพุ่งทะลุรูจมูกเสยปลายคางขนาดนั้น เพราะเนื้อกลิ่นมีความชัดเจนถึงโทนวานิลลาติด Smoky ปนโทนแป้งที่เป็นลายเซ็นชั้นเอกของ Guerlain เข้ามาแจมด้วย ทำให้กลิ่นของตังกุยนั้นมีความนวลลุ่มลึกมาตัดทอนทำให้ได้อารมณ์กลิ่นที่ออกทางระหว่างเครื่องเทศกับโทนอบอุ่นนุ่มละมุนที่มาเจอกันตรงกลางเป็นอย่างดี และ 2 โทนนี้แหละที่จะเป็นคู่หูเอกยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย แต่ในช่วงต้นกลิ่นไม่ได้มีแค่ 2 โทนนี้เท่านั้น เพราะจะมีกลิ่นอายออกทางผลไม้ติดหวานแต่ไม่ได้ออกทางฉ่ำเกินไปอย่างลูกแพร์กับกลิ่นออกทางกึ่งกุหลาบแต่นวลปร่าหน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพูที่ทำให้กลิ่นมีมิติของความรื่นรมย์แบบเนียนๆ เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลในช่วงต้นเป็นเสมือนการปล่อยของที่ทำให้ทุกอย่างมีความชัดเจนหมด กลิ่นจะมีความแน่น อึน ลึก และนัว สามารถทำเอามึนได้เลยในทันที แต่ถ้าปรับตัวได้ สิ่งที่ตามมา คือ 

ความงดงามของกลิ่นที่เป็นการจับคู่เอาลายเซ็นโทนวานิลลาแบบ Guerlain มาเจอกับตังกุยในแบบที่ลุ่มลึก มีเสน่ห์ ดึงดูด และหรูหรามาก เพราะในช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มลดทอนความหนักหน่วงอึนๆ ในช่วงต้นไปพอสมควร เพราะกลิ่นเริ่มจะมีโทนดอกไม้ขาวที่มาจากมะลิทำให้กลิ่นมีความนวลนุ่มเข้ามา โดยที่ยังคุมโทนความหวานหอมเจือกลิ่นปร่าโสมตังกุยกับวานิลลาหอมติดแป้งเจิอ Smoky อ่อนๆ นวลหวานละมุนกำลังดีไปตลอด แต่เพราะในเนื้อกลิ่นจับต้องได้ถึงโทนออกทาง Spicy กึ่งสาบอ่อนๆ ที่เนียนอยู่เลยทำให้กลิ่นไม่ได้ไปโทนสว่าง คุมโทนความนัวกำลังดี ไม่ได้ดาร์กดำดิ่งเกินไป แต่ยังคงมีความลุ่มลึกที่เอาความเด่นของวานิลลาและความปร่าตังกุยที่ผสมผสานกันอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็นโทนไม้หอมติดโปร่งๆ ที่เสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นช่วงท้ายที่ความเป็นวานิลลากับโสมตังกุยจะมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดปร่าอ่อนๆ ของไม้ซีดาร์และมีโทน Musk ที่มาเสริมทำให้เนื้อกลิ่นจะได้โทนนวลละมุนปนอบอุ่นเจือหวานเบาๆ กำลังดี ซึ่งโทน Musky ปนไม้หอมอ่อนๆ นี่แหละที่จะกลายเป็นตัวที่เด่นขึ้นมาแทนที่วานิลลากับตังกุยที่จะค่อยๆ ลดทอนตัวเองกลายเป็นผู้สนับสนุนรองใจดี ทำให้กลิ่นจะให้อารมณ์เรียบหรูมีระดับและพลิ้วไหวนวลคลอผิวไปตลอด ถือเป็นการปิดท้าย Angelique Noire ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความกลางๆ กำลังดี และเป็นเสมือสายสนับสนุนผู้ใส่ที่คาแรคเตอร์กลิ่นจะให้ความชัดคมก็จริง แต่ก็ละมุนตัดทอนในทีไปตลอด ซึ่งถ้าผู้หญิงใส่ก็จะได้ความเป็นผู้หญิงหรูหรามีระดับปนเย้ายวนที่มีชั้นเชิง และถ้าผู้ชายใช้จะได้ความอบอุ่นลุ่มลึกสุขุมและมีความเย้ายวนที่ดึงดูดมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะเนื้อกลิ่นมีความแน่นพอสมควร และกลิ่นโสมตังกุยไม่ได้เป็นตัวที่ชีวิตประจำวันมักจะเจอ ซึ่งถ้าสเปรย์ลงตัวกลิ่นจะมีเสน่ห์มากจริงๆ โดยใช้ได้ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป แบบที่มีมาดกันนิดนึง แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะใส่ออกงาน หรือใส่ท่องราตรีแบบจิบหรูๆ มีระดับ ใช้ได้เลย เสริมลุคคนใส่ให้มีระดับมากจริงๆ 

ความทน - ดีงามมากกับราวๆ 12 ชม. ที่กลิ่นทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่มีตกบกพร่องเลย เผลอๆ มากกว่านั้นด้วยซ้ำไป เพราะส่วนตัวเจอที่ 15 ชม. แบบที่กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ตลอด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แบบว่าพุ่ง ฟุ้ง อึนมาเต็มเลย แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายดีไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 4 ชม. ถึงลดมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยๆ แล้วผ่อนลงมาตามลำดับหยุดที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป 

สรุป - กลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งใน Masterpiece ของ Guerlain ได้เลย เพราะนอกจากจะมีลายเซ็นความเป็นแบรนด์ที่ชัดเจนแล้ว ยังเอาโทนกลิ่นสาย Fresh Spicy ที่มีความแรงของตังกุย มาเจอกับวานิลลาได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Guerlain/Angelique_Noire

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Monoscent - E Timbersilk

Monoscent - E Timbersilk 

ได้ยินชื่อแบรนด์ครั้งแรก Monoscent ก็มีด้อมๆ มองๆ กันพอสมควรว่าเป็นอย่างไร เพราะเห็นว่ามีน้ำหอมเพียง 2 รุ่นในแบรนด์เอง แต่พอไปดูข้อมูลเข้า เลยทำให้รู้ว่าแบรนด์นี้เปรียบเสมือนเป็นแบรนด์ลูกของ A Lab on Fire แบรนด์ Niche ที่มีน้ำหอมเก๋ๆ น่าสนใจที่หลากหลาย โดย Monoscent จะเน้นมาที่ความ น้อยแต่มาก” Minimal Style กันแบบชัดเจนโดยเน้นที่การใช้สารหอมเชิงเดี่ยวในการให้ความหอมแบบเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่เอาอยู่ ซึ่งเข้าทางการใช้น้ำหอมที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีเสน่ห์อย่างน่าสนใจ และยังสามารถนำเอาไปเลเยอร์กับโทนกลิ่นอื่นๆ เสริมลักษณะโทนที่ควรจะเป็นให้น้ำหอมมีโทนที่ชัดเจนขึ้น กระจายมากขึ้น และทนมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เช่นนั้นมารู้จักแบรนด์นี้ผ่านกลิ่นอายเชิงเดี่ยวกันหน่อยว่าจะเป็นอย่างไร 

ก่อนจะเข้าสู่การเล่ากลิ่น ก็ท้าวความถึง Timbersilk กันหน่อย ซึ่งกลิ่นนี้เป็นสารหอมที่ผลิตขึ้นโดย IFF (ที่รู้จักกันในนามของบริษัทที่ผลิตสารหอมที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องสำอางชื่อก้องโลก) โดยสร้างสรรค์กลิ่นเชิงสังเคราะห์สายไม้หอมตัวนี้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อสารหอมกลิ่นนี้มาเป็นตัวเอกหลักของ Monoscent ในรุ่น E Timbersilk กลิ่นอายที่ได้ในน้ำหอมก็เป็นเช่นนี้เลย 

เปิดต้นทางมาด้วยความเป็นโทนกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชัดเจนผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมโทนโปร่งกันก่อน อารมณ์กลิ่นจะได้เหมือนไม้หอมโปร่งๆ แช่แอลกอฮอล์กันก่อน แต่เพียงชั่วครู่ความเป็นแอลกอฮอล์ก็จะระเหยไปหมด จนเหลือแต่กลิ่นอายไม้หอมโทนโปร่งๆ สไตล์ไม้ซีดาร์ ที่ทำให้นึกถึงสารหอมอีกประเภทที่กลิ่นแทบไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือ ISO E Super แต่กลิ่นเชิงโมเลกุลเดี่ยวแบบนี้ ถ้าคนละชื่อมันต้องมีความแตกต่างไม่เช่นนั้นจะซ้อนทับกันได้ในเรื่องของลิขสิทธิ์ เช่นนั้นสิ่งที่แตกต่างให้จับได้คือ Timbersilk จะมีความโปร่งไม้หอมค่อนไปทางอวลอบอุ่นติดแอมเบอร์มากกว่า ISO E Super ที่จะไปสายทางโปร่งๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความกลมๆ แบบกลิ่นเนื้อไม้ซีดาร์แบบแห้งๆ ที่โดนเกลากลิ่นด้วยโทนอบอุ่นกำลังดีให้ความกลมกล่อมรื่นจมูก ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นเส้นตรงราวๆ 90% ได้เลยกับการเป็นโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดอบอุ่นพลิ้วๆ กลมๆ อะโรม่าสบายจมูกยาวไปจนกว่าจะจางไปจากผิว แต่สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเวลาอยู่กับผิวเมื่อผ่านไปซัก 3 ชม. แล้ว คือ กลิ่นจะมีโทนติดแป้งไม้หอมหน่อยๆ อารมณ์แนวๆ แป้งผงไม้โปร่งๆ ไม่ถึงกับนัวมาก โดยมีความโปร่งติดสะอาดเป็นพื้นฐานอยู่ และพอผ่านไปซัก 6 ชม. กลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น และมีโทนกลิ่นสไตล์ Musky บางๆ ทำให้กลิ่นได้อารมณ์แบบเหมือนเอาโลชั่นไม้หอมชัดๆ ไม่ผสมกลิ่นโทนอื่นๆ เลยมาทาผิว กลิ่นจะมีความระเรื่อนวลๆ ปนอบอุ่นที่คลอผิวไปเรื่อยๆ เรียบง่ายไปตลอด 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ยิ่งถ้าใครชอบโทนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ติดอบอุ่นหน่อยๆ ไม่เน้นมิติทางกลิ่นอะไรมาก เน้นความเรียบง่ายอะโรม่าไม้หอมระเรื่อเป็นออร่ารอบๆ ตัวจะฟินกับกลิ่นนี้เอาได้ไม่ยากเลย เพราะมันเรียบง่ายและตรงไปตรงมาจริงๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แม้กระทั่งกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายก็ใส่ได้ เพราะเป็นสารหอมที่เป็นโมเลกุลเชิงเดี่ยวที่ไม่ได้เน้นปล่อยพลัง แต่เน้นความเป็นธรรมชาติที่พึ่งเคมีกับผิวกาย ซึ่งแต่ละคนอาจจะได้กลิ่นที่แตกต่างกันไป หรืออาจจะไม่ได้กลิ่นเลย ก็ว่ากันตามประสบการณ์และการเรียนรู้ทางกลิ่นของผู้ที่ดมเน้นๆ ซึ่งเป็นเสน่ห์อีกรูปแบบหนึ่งที่เดาทางไม่ได้ ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปจะเข้าทางกว่า และให้ข้ามการใช้เพื่อไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์ได้เลย โดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - อันนี้ขอวัดจากการใช้ของตัวเองเท่านั้น อยู่ที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่อ่อนๆ อยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. ถึงเป็น Skin Scent ติดผิวอ่อนๆ ไปตลอด เรียกว่าเป็นโทนไม้หอมที่ปลอดภัยระดับหนึ่งเลยทีเดียว 

สรุป - แนวเดียวและกลิ่นใกล้เคียงกับ Escentric Molecules - Molecule 01 มากกกกก เพียงแต่กลิ่นจะติดอบอุ่นมากกว่านิดนึง ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ชอบกลิ่นโทนไม้หอมตรงๆ ไม่ซับซ้อน เน้นเสน่ห์ที่จะอิงตามการผสมผสานกับเคมีของร่างกายว่าจะออกทางไหน หรือจะเอาไปเป็น Base สำหรับเลเยอร์กลิ่นน้ำหอมโทนไม้หอมก็ย่อมได้ ได้ความกลมกล่อมของกลิ่นเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - http://www.ma3.ru/images/all/1/1163/big/img_10.jpg และตัดต่อเล็กน้อย เพราะจริงๆ ภาพนี้จะเป็น Monoscent G&E แต่ขอเน้นที่ E เลยตัดต่อให้ชัดๆ ที่ตัวเดียวไปเลย

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: by Kilian - Moonlight in Heaven

by Kilian - Moonlight in Heaven

หนึ่งในกลิ่นอายผลไม้ที่ให้อารมณ์หวานอมเปรี้ยวปลายๆ ปนกลิ่นหอมหวานนวลมีเสน่ห์สไตล์ผลไม้เมืองร้อน ที่คนไทยเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาเสมอและถ้าได้กลิ่นจะ อ๋ออออ ขึ้นมาได้ในทันทีและพลางอยากกินเอาได้ (ถ้าชอบ) นั่นก็คือ มะม่วงสุกไม่ว่าจะพันธุ์ไหนก็ตาม ยิ่งถ้าเอามาทำเมนูของหวานยอดฮิตอย่างข้าวเหนียวมะม่วงนี่ยิ่งชวนหิวกันได้เลย
 

เพราะกลิ่นมะม่วงสุกมันยวนใจและให้ความรู้สึกหวานนวลฉ่ำเข้าโทนสีเหลืองนวลจะเข้มหรือจะอ่อนก็แล้วแต่ หลายๆ แบรนด์จึงได้สร้างสรรค์กลิ่นแนวนี้ขึ้นมาไม่ว่าจะทั้ง Designer หรือ Niche Brand ที่ทั้งอาจจะรู้สึกถึงมะม่วงที่แท้ทรูบ้าง ไม่รู้สึกบ้างก็ว่ากันไป และคราวนี้ก็ได้เวลามาลองมะม่วงของสาย Luxury Niche Brand อย่าง by Kilian บ้างว่าจะสื่อสารกลิ่นมะม่วงออกมาในลักษณะไหน กับรุ่นนี้เลย Moonlight in Heaven 

เปิดต้นโทนกลิ่นกันด้วยโทน Citrus ที่ให้อารมณ์เย็นๆ เจือกลิ่นเปรี้ยวหอมสดชื่นติดแปร่งอ่อนๆ ให้รู้สึกถึงความใกล้เคียงธรรมชาติพอสมควร รวมถึงให้โทนสว่างในเนื้อกลิ่นที่จับต้องได้ชัดเจนถึงกลิ่นโทนเกรปฟรุต แต่จะมีความอะโรม่าติดปร่านวลมีความนุ่มค่อนไปทางติดกุหลาบบางๆ ซึ่งเป็นสไตล์ของพริกไทยสีชมพู ซึ่งมาตัดทอนความแหลมคมที่ควรจะเป็นของโทน Citrus ได้เป็นอย่างดี ทำให้กลิ่นเปรี้ยวหอมสว่างจะมีความกลมกล่อม ที่เริ่มต้นด้วยความสดชื่นแล้วตามด้วยติดปลายรื่นจมูกได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่วูบแรกของโทนกลิ่นช่วงต้นที่จะอยู่เพียงชั่วขณะ เพราะเพียงไม่นานกลิ่นโทนมะม่วงจะเสริมเข้ามาทำให้กลิ่นเริ่มมีความหวานติดโทนผลไม้เขตร้อนเสริมเข้ามาด้วย และเป็นตัวที่ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่เป็นไฮไลท์กันอย่างชัดเจนของน้ำหอมรุ่นนี้เลย 

พอมะม่วงมาก็พาพรรคพวกมาด้วยนั่นก็คือ กลิ่นโทนมะพร้าวติดกะทิที่มาแบบอ่อนๆ ละมุนๆ กับกลิ่นข้าวหอมที่ออกข้าวสุกแต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายอบอุ่นนัก เพราะว่ามีโทนเย็นๆ ประปรายอยู่ตลอดล้อมกลิ่นไว้ ทำให้อารมณ์กลิ่นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

1. กลิ่นโทนมะม่วงสุกที่หอมนวลๆ ปนฉ่ำกำลังดี แต่ไม่ได้ฉ่ำจ๋าจนกลายมะม่วงสุกจนงอมจัดนัก 
2. กลิ่นมีลักษณะเย็นๆ หน่อยๆ พอกลิ่นมาผสมกันเลยจะได้ลักษณะไอติมมะม่วงสุกผสมกะทิครีมมี่กำลังดี
3. กลิ่นโทนข้าวหอมกับน้ำกะทินวลๆ แต่ไม่ได้มันๆ มากนัก

ซึ่งทั้งหมดจะผสมผสานกันจนได้ลักษณะที่คล้ายความเป็นข้าวเหนียวมะม่วงที่มีไอติมมะม่วงวางโปะลงมาด้วย แบบกลิ่นเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้โดดหอมเรียกแขกหรือว่ากระจายพุ่งจนกลายเป็นของหวานเดินได้ขนาดนั้น แต่จะให้ความรู้สึกสีเหลืองนวลสบายๆ ปนหวานระเรื่อเรื่อยๆ มาเรียงๆ อวลกำลังดี ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักระยะจนเมื่อเริ่มมีกลิ่นออกทางไม้หอมแห้งๆ เสริมเข้ามาลดทอนความเป็นโทนมะพร้าวและข้าวลงไปเรื่อยๆ จนเหลือมะม่วงกับไม้หอมก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นมะม่วงจะลดลงไปเป็นสายสนับสนุนเบาๆ ให้โทนไม้หอมที่มีความแห้งอวลกำลังดีซึ่งชัดเจนเลยถึงกลิ่นของหญ้าแฝก ซึ่งมีความโปร่งติดโทนคล้ายไม้ซีดาร์กึ่งสารหอม ISO E Super ที่เสริมให้กลิ่นมีความเป็นไม้หอมแห้งโปร่งปนกลิ่นอวลเรื่อๆ เข้าทางโทนกึ่งแป้งอบอุ่นกึ่งเครื่องเทศและมีความนวลอุ่นจมูก ซึ่งก็เป็นสไตล์ของถั่วตองก้าที่จะให้ลักษณะประมาณนี้ ทำให้กลิ่นในช่วงท้ายจะออกแนวสว่างนวลปนอวลอุ่นแบบลงตัว มีความเป็นโทนสีเหลืองนวลเข้าทางสีไม้เนื้อครีมติดแห้งๆ ที่น่าสนใจแบบยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความกลางๆ กำลังดี ไม่ได้สาวไป และไม่ได้แมนจัดไป คุมโทนลงตัวที่แตะได้หมดทุกเพศเลย แถมเข้าถึงได้ไม่ยากอีกด้วย ยิ่งสำหรับคนไทยที่มีความคุ้นชินโทนกลิ่นลักษณะนี้อยู่แล้ว ยิ่งแฮปปี้ได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งจะทางการก็ได้อยู่ แต่ถ้าชิลล์ๆ ทั่วๆ ไป ทั้งใส่ทำงาน หรือไส่พักผ่อนอันนี้จะเข้าทางกว่า และไม่ค่อยเหมือนใครด้วย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางและน้ำหอมแพงมากด้วยเปลืองเปล่าๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ อบอุ่น ติดโรแมนติคหวานแบบกำลังดี ไม่ได้เลี่ยนหรือเชื่อมอวลเกินไปก็ลงตัว 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. ได้ไม่ยาก ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์และผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวลากยาวไป 12 ชม. ได้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่รีบไม่ร้อน หวานกลางๆ กำลังดี

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่จะลดลงมาปานกลางแบบค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวซักพักใหญ่ แล้วก็จะออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเลยหลังจากนั้น 

ทิ้งท้าย - ตรงตาม Concept ที่ชัดเจนถึงแสงจันทร์นวลผ่องบนสรวงสวรรค์ เคล้าความหอมหวานมันอ่อนๆ กำลังดีของกลิ่นโทนข้าวเหนียวหอมมันกะทิกับมะม่วงสุกที่มีไอติมมะม่วงผสมกะทิวางโปะรวมอยู่ได้ดีเลยทีเดียว ส่วนราคาก็ตัวใครตัวเผือก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.bloomingdales.com/shop/product/kilian-moonlight-in-heaven-eau-de-parfum-1.7-oz.?ID=2752685


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Tom Ford - Private Blend: White Suede

Tom Ford - Private Blend: White Suede 

สีขาวในแง่ของความรู้สึกจากสิ่งที่เห็น เรียกว่าไม่มีความ Sexy ในตัวให้สัมผัสได้เลย เพราะมันจะนึกถึงความสว่าง ความบริสุทธิ์อ่อนโยน สะอาด เรียบหรู อะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าสีขาวกลายเป็นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สร้างความSexy อันนี้ทำได้ เพียงแต่จะมีความรู้สึกอื่นๆ เข้ามาเสริมด้วยตามสถานการณ์ อันนี้ว่ากันในเรื่องของการรับรู้ทางการมองเพียงอย่างเดียว แล้วทางกลิ่นล่ะ? 

แน่นอนว่ากลิ่นมันมีมิติและความซับซ้อนมากกว่าการมองนัก เพราะจะเป็นการซึมลึกลงไปในความรู้สึกและสร้างจินตนาการที่มากกว่าการมองเห็น ซึ่งในเรื่องของน้ำหอมเองก็มีกลิ่นอายสไตล์ Musk ที่นอกจากสร้างโทนนุ่มนวลขาวละมุนแล้ว ยังสามารถสร้างโทน Sexy ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็มีหลากหลายแบรนด์เลยที่สื่อสารทางด้านนี้และทำออกมาได้ดีมาก และหนึ่งในนั้นก็คือ Tom Ford กับการสร้างกลิ่นอายโทน Musky ที่นอกจากความนุ่มละมุนแล้ว ยังเจือไปด้วยความ Sexy และมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างมากภายในโทนสีขาวที่มีระดับและเรียบหรูกับสาย Private Blend อย่างรุ่นนี้เลย White Suede 

สรุปง่ายๆ ก่อนเลยว่า White Suede จะให้ 3 ความรู้สึกนี้ร่วมกันได้อย่างลงตัวมาก คือ ดึงดูด เย้าอารมณ์ และมีเสน่ห์ที่มีระดับและมีชั้นเชิง มาแนวไม่จงใจ แต่ติดใจไม่ยาก ซึ่งถ้าจบเพียงแค่นี้ก็ได้ แต่ถ้าให้ว่ากันเรื่องกลิ่นที่ลงรายละเอียด ช่วงเปิดจะได้โทนการเป็น Musky ที่ให้ความนุ่มนวลในโทนสีขาวอย่างชัดเจนโดยจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของ Musk และหนังกลับที่เด่นกันตั้งแต่ช่วงนี้ รวมถึงอยู่ยั่งยืนยงยาวไปถึงช่วงท้ายเลย เพียงแต่ในช่วงแรกจะมีกลิ่นอายกึ่งปร่านวลเคล้าหนังหน่อยๆ ที่ค่อนไปทางสมุนไพรของ Thyme เจือกับกลิ่นที่ออกทางกุหลาบติดอวลบางๆ มีความหวานติดหรูและกลิ่นออกทางสดชื่นเจือเขียวฝาดหน่อยๆ เข้ามาผสมผสานแกมดึงซีนให้อารมณ์กลิ่นที่หอมนวลสว่างเข้าทางสีขาวเป็นพื้นฐานก็จริง แต่จะมีความเป็นโทน Animalic อึนๆ อ่อนๆ ที่ให้อารมณ์เย้ายวนเซ็กซี่น่าค้นหากึ่ง Dirty เคล้ากับกับกลิ่นออกทางโรแมนติคเรียบหรูแทรกซึมเนียนๆ อยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าเป็นมิติทางกลิ่นเปิดที่มีเสน่ห์และมีมิติในความเป็นโทนนวลสว่างขาวแต่เซ็กซี่กันอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงนี้ได้เลย 

เมื่อความเป็นโทน Animalic เริ่มลดหน้าที่ตัวเองลงมาในระดับหนึ่ง โดยที่โทน Musky ขาวนวลยังคงที่กับการเป็นตัวเอกอยู่ ก็เริ่มเปิดทางให้โทนกลิ่นสายดอกไม้ขาวหอมหวานใสอ้อยอิ่งอย่างดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่ให้โทนกลิ่นคล้ายมะลิใสๆ (แต่ไม่มีกลิ่นตุ่ยๆ Indolic มาให้รู้สึกอึนๆ จมูกๆ) และมีความลุ่มลึกของโทนหวานปนขมอวลเย้ากำลังดีของหญ้าฝรั่นที่เข้ามาเป็นตัวเสริมทัพกลิ่นในช่วงต้นที่ยังคงตามมาในช่วงนี้ได้ดีมากในการลดทอนความเป็นโทน Animalic ที่ชัดๆ ในตอนแรก ปรับเปลี่ยนให้โทนกลิ่นมาเป็นลักษณะโทนแป้งขาวนวลแต่แฝงด้วยความเย้ายวนแบบหรูหรามีระดับกันอย่างชัดเจนมาก เนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีความทื่อๆ หรือเอะอะก็แป้ง Sexy เสียด้วย เพราะมิติของโทน Musky ที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดีระหว่างหนังกลับและ Musk ที่เป็นพื้นฐานของกลิ่นอายโทนสว่างนวลขาวแล้ว กลิ่นจะมีความหวานที่มีมิติที่ซ้อนทับกันอย่างมีเสน่ห์มากไม่ว่าจะหอมสว่างนวลนุ่ม หอมติดสาบ Animalic ที่โดนเกลากลิ่นให้มีความเร้าใจอ่อนๆ หอมหวานใส หอมหวานโรแมนติค หอมนวลสะอาด หอมเจือกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ และหอมหวานเย้ายวนลุ่มลึก ที่จะดำเนินไปเรื่อยๆ ให้ความหรูหรานุ่มนวลมีระดับแฝงด้วยความเซ็กซี่ในรูปแบบโทนสีขาวได้อย่างลงตัวและส่งต่อไปยังช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงที่ชัดเจนมากกับความเซ็กซี่ดึงดูดกับการปล่อยของกันเต็มๆ ของหนังกลับและ Musk ที่ผ่านการร่วมแจมของโทนอื่นๆ มาพอสมควรจนเอาข้อดีของทุกโทนมาให้ความระเรื่อเย้าจมูกอย่างมีคลาสมาก โดยจะมีลักษณะติดโทน Incense เบาๆ มีความครีมมี่นวลๆ จากไม้จันทน์หอม และมีความอบอุ่นเจือโทนวานิลลาที่เป็นลักษณะของโทนกลิ่นสไตล์แอมเบอร์เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรองใจดีให้กับโทน Musky กลิ่นเลยจะได้ความอวลอุ่นกำลังดีเย้าๆ อยู่ตลอดที่ทำให้รู้สึกเซ็กซี่มีระดับ และมีออร่าที่เสริม Sex Appeal เฉพาะตัวออกมา โดยยังคุมโทนที่การเป็นสีโทนนวลสว่างขาวค่อนไปครีมอ่อนๆ ได้อย่างดีตั้งแต่ต้นยันท้ายเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้เดิมทีเป็นน้ำหอมที่เฉพาะเจาะจงไปที่ผู้หญิงก่อน แต่ภายหลังถึงเปลี่ยนมาเป็น Unisex ที่ผู้ชายใช้งานได้ โดยจะมีโทนลักษณะแบบ Feminine บ้าง แต่ก็เป็นการสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้เป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นยามทางการ ออกงาน หรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นจะให้ความหรูหรา เย้ายวน และนุ่มนวลสว่างได้ดีมาก พูดง่ายๆ สร้างออร่าเซ็กซี่มีระดับแบบโทนสว่างและเนียนพอไม่ให้ใครเขาจิกเอาได้ว่าเซ็กซี่โจ่งแจ้งไป เพียงแต่กลิ่นจะไม่เข้าทางการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานเถิด กลิ่นเข้ากับชุดโทนขาวนวลสว่างได้ดีมาก โดยเฉพาะสาวๆ ที่ถ้าเป็นชุดสีขาวนวลกลิ่นนี้จะเสริมออร่าความเซ็กซี่ให้กับบุคลิกเรียบโก้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนผู้ชายอันนี้จะได้ความนุ่มนวลและมีเสน่ห์ดึงดูดติดแกมอุ่นแทน ที่สำคัญกลิ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเต้นรากแตกแต่อย่างใดๆ เพราะโทนกลิ่นไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมอะไรลุยๆ พร้อมปล่อยของไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรนัก 

ความทน - ดีงามสมฐานะ เพราะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ โดยอิงกับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอที่ไป 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยๆ จนพอเข้าช่วงท้ายก็เป็นออร่ารอบๆ ตัวไปพอสมควรถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent pามขยับเนื้อตัวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นที่ลงตัวมากในความเป็นโทน Musky และสร้างอัตลักษณ์ของโทนกลิ่นที่เป็นสีขาวเคล้าความเซ็กซี่ได้อย่างดีมาก สมกับเป็นน้ำหอมแบรนด์ Tom Ford ที่แม้สีขาวนวลสว่างก็ยังสามารถดึงเอาความเซ็กซี่เย้ายวนและมีเสน่ห์ออกมาได้อย่างงดงาม 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.luckyscent.com/product/63521/white-suede-by-tom-ford-private-blend