วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Oriflame – Ultimate


Oriflame – Ultimate 

ถือเป็นแบรนด์เครื่องสำอางขายตรงจากสวีเดนอีกแบรนด์ที่ทำน้ำหอมออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวนะครับ เพราะแต่ละรุ่นต่างก็มีความ Unique และเป็นน้ำหอมที่เข้าถึงได้ไม่ยากทั้งนั้นเลย ซึ่งในครั้งนี้ไหนๆ ก็สอยน้ำหอมอีกตัวของแบรนด์นี้มาใช้ได้ระยะนึงเลยต้องมาเล่ากันครับว่ากลิ่นมันหอมแบบมีความแนวที่เข้าถึงง่ายอย่างไงกันบ้างกับรุ่น Ultimate ครับ

ที่บอกว่าแนวคือ น้ำหอมตัวนี้จะมีความเป็นโทนอบอุ่นแบบไม้หอม Smoky และการเป็นทรายร้อนๆ นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการอยากจะดมมากกับกลิ่นทรายร้อนๆ เพราะมันมีความหอมที่มีเสน่ห์ไม่น้อย สิ่งที่ได้รับคือ Top Notes เปิดตัวได้เผ็ดหน่อยเพราะกลิ่นพริกไทยติดโทนหวานจางๆ จะมาเต็มแต่จะออกทางซ่าๆ เพราะมีกลิ่นของเซจเข้ามาแจมและมีกลิ่นเค็มๆ แบบเกลือเข้ามาด้วย ทำให้ได้อารมณ์สมุนไพรแห้งแบบเผ็ดๆ ซ่าๆ เค็มๆ สดชื่นหน่อยๆ แนวๆ ยาอมโบตันยินตันเลย และกลิ่นจะอยู่ยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของช่วง Middle Notes เสียด้วย ไปเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นในช่วงกลางที่จะกลายเป็นช่วงที่ผมฟินที่สุดแทนนั่นคือ กลิ่นธูปหอมปักอยู่บนทรายร้อนๆ มันได้อารมณ์แบบนี้เลย ธูปที่ว่าไม่ใช่กลิ่นธูปแบบกะหลั่วนะครับ และไม่ใช่กลิ่นแบบจุดธูปปักบนทรายแบบไหว้เชงเม้งนะ เป็นกลิ่นแบบผงไม้หอมอัดกันเป็นธูปกับทรายร้อนแบบทะเลทรายน่ะครับ กลิ่นในช่วงนี้จะรุมๆ อุ่นๆ ไปตลอดจนรู้สึกได้เลย แต่ยังมีความเป็นสมุนไพร Spicy ในตอนต้นมากลั้วอยู่เป็นระยะๆ นั่นเอง จนส่งต่อให้ Base Notes ที่จะเป็นโทนวู้ดดี้แบบไม้หอมเน้นๆ เต็มๆ เลย โทนธูปกับทรายอุ่นๆ ยังตามมาดันให้ช่วงนี้เป็นโทนวู้ดดี้แบบโปร่งๆ กลิ่นของไม้หอมจะอวลอบอุ่นแบบเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด โดยจะมีความแมนสะอาดๆ มีภูมิในเนื้อกลิ่นไปด้วยตลอดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็ใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นมันออกทางเท่ห์ๆ ในระดับหนึ่งที่สำคัญไม่เหมือนใครเสียด้วย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว แต่ถ้าจะออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ที่สำคัญตัวนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งใน Office Scent ได้เลย ใส่ทำงานได้สร้างความน่าเชื่อถือในเนื้อกลิ่นได้จากโทนไม้หอมนี่แหละ ส่วนกลางคืนก็ใส่ได้อยู่ แต่ถ้าจะไปหาเหยื่ออาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นมันออกทางเท่ห์มีภูมิโปร่งๆ เสียมากนั่นเอง

ความทน – อยู่ที่ 6 – 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น และลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ใครมาใกล้ๆ จะได้กลิ่นหอมเท่ห์ๆ ปิดด้วย Skin Scent เลย กลิ่นไม่ได้รบกวนใครเท่าไหร่ด้วย

ทิ้งท้าย – เรียกว่าผมซื้อ Blind Buy ตัวนี้มาแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ถือว่าพอได้ใช้จริงกลิ่นดีไม่น้อยเลยล่ะครับ และชอบตรงที่เป็นทรายร้อนกับธูปไม้หอมนี่แหละ ^^

Credit ภาพhttp://oriprime.ru/ori/pages/ultimate.jpg

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Davidoff – The Brilliant Game


Davidoff – The Brilliant Game 

กับขวดรูปทรงชิพคาสิโนกับไลน์ The Game ที่เริ่มมาตั้งแต่รุ่นปกติ จนปัจจุบันได้มาถึงรุ่น The Brilliant Game ถือว่าเป็นอีกโซนนึงที่ได้รับความนิยมเลยทีเดียว Davidoff ถึงเข็นรุ่นนี้ไม่น้อย เช่นนั้น ก็ได้เวลาของการมาจาระไนกันหน่อยว่ารุ่นล่าสุดอย่าง The Brilliant Game จะเป็นอย่างไงกันบ้าง 

เริ่มแรกฉีดต้องบอกเลยว่า Top Notes จะดึงเอาความกรุ้มกริ่มติดหวานกันมาแบบเต็มๆ จากกลิ่นเหล้าค็อกเทลกันแบบเต็มๆ โดยกลิ่นของ Campari ที่เป็นกลิ่นผลไม้ติดขม ผสมกับเหล้า Vermouth ที่จะออกโทนผลไม้แบบไวน์องุ่นนิดๆ กลิ่น 2 ตัวนี้จะมาเต็มมาก โดนมีโทนเบอร์รี่กับซิตรัสมาผสานราวกับกลิ่นอายของค็อกเทลฉ่ำๆ เปรี้ยวติดหวานอมขมชุ่มลิ้นชวนจิบเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นอายของโทนค็อกเทลแบบนี้จะตามไปจนถึงช่วงปลายๆ ของ Middle Notes โดยมารวมตัวกับกลิ่นอายโทนแมนๆ เย้าๆ ของไม้ซีดาร์ที่จะออกขรึมๆ แมนๆ มากขึ้น เบรกกลิ่นค็อกเทลที่มาในตอนต้นและอาจจะไพล่ไปทางสาวได้ลงตัวเลย ทำให้ลักษณะของกลิ่นจะเหมือนแก้วค็อกเทลในมือชายหนุ่มเท่ห์ๆ ส่งต่อให้ช่วง Base Notes ที่กลิ่นจะมาในโทนอบอุ่นแล้ว กลิ่นค็อกเทลตอนต้นจะเริ่มจางลงเหลือเบาๆ ดันให้กลิ่นโทนครีมมี่นุ่มๆ ของถั่วตองก้ากับกลิ่นโทนหวานของคาราเมลเด่นขึ้นมาแทน แต่ข้อดีของกลิ่นคือ กลิ่นคาราเมลไม่ได้มาแบบหวานฉ่ำจัด มาแบบไลท์เวอร์ชั่น ที่จะมีกลิ่นอายของไม้หอมมาเบรกให้กลิ่นคงความเป็นสุภาพบุรุษเท่ห์ติดหวาน เรียกว่า เป็นอีกขั้นจากรุ่นก่อนๆ ที่จะเน้นยั่วยวนแบบโทนไม้หอมเป็นหลักติดโทนเหล้าค็อกเทลนำ กลายเป็นโทนหวานกรุ้มกริ่มแบบเท่ห์ๆ แกมอบอุ่น กลิ่นน่าสนใจไม่น้อยครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปครับ สามารถใส่ได้ในหลายสถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้เน้นความเป็นทางการจัดๆ แต่ขอยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะกลิ่นมันโทนหวาน เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเวียนหัวเสียก่อน แต่ถ้าใส่เที่ยวกลางคืนหรือจิบตาม Lougne ชิคๆ ลงตัวมากครับ แถมกลิ่นอบอุ่นชวนซุกเลยล่ะ

ความทน – แม้ว่ากลิ่นจะดูออกโทนอบอุ่น แต่ความทนนี่แปรผันหน่อย เพราะอยู่ที่ 6 ชม. จะมากกว่านี้ได้ อาจจะต้องอยู่ที่การอัดสเปรย์ แต่ว่าจะแน่นเกินจนอึดอัดเสียก่อน เพราะกลิ่นต้นมันเต็มแน่นไม่น้อย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น แบบว่ามาเป็นค็อกเทลผลไม้เปรี้ยวอมหวานเลย ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่เน้นมาซุกจะได้กลิ่น

ทิ้งท้าย – ใครชอบ Polo Red แบบไม่ได้ออกทางผลไม้เกินไป แต่มีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นติดหวานแบบครีมมี่ ตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ถ้ามีโอกาสลองก็น่าสนใจไม่น้อยครับ

Credit ภาพhttps://ecs7.tokopedia.net/img/product-1/2015/5/6/76410/76410_33747f88-f3cb-11e4-9651-90b064efb121.jpg

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Issey Miyake - L'Eau d'Issey pour Homme Noir Absolu


Issey Miyake - L'Eau d'Issey pour Homme Noir Absolu 

เป็นอีกหนึ่ง Flanker ของโซน L'Eau d'Issey pour Homme ที่ออกมาเป็น Limited Edition และไม่มีผลิตแล้วจ้า ตอนนี้หายากไม่น้อยเลยนะจ้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการต่อยอดมาจากต้นตระกูลเป็นแน่แท้ แต่จะนัวร์ขนาดไหน ต้องมาลองกันหน่อยกับรุ่น L'Eau d'Issey pour Homme Noir Absolu นี้ครับ 

เปิดต้นกลิ่นกันแบบคุ้นเคยมากในไลน์นี้กับโทนซิตรัสติดดอกไม้ ของส้ม ส้มยูซุ และโทนซิตรัสต่างๆ มากลั้วกับกลิ่นอายดอกไม้เป็นกลิ่นแบบที่ต้นตระกูลทำไว้เป็นลายเซ็นมาตลอด แต่สิ่งหนึ่งคือโทนกลิ่นที่รองพื้นด้านหลังให้พอจับได้คือ กลิ่นอายเครื่องเทศที่จะทำให้กลิ่นในช่วงนี้ติดโทนแน่นๆ ดาร์กหน่อยๆ แต่ก็ยังโปร่งโล่งพอที่จะไม่แน่นเกินไป จนเมื่อเข้าช่วงกลาง งานนี้เครื่องเทศที่ดันด้านหลังปรากฎกันเต็มๆ นั่นคือ อบเชยและจันทน์เทศ กลิ่นอายโทนหวานแบบลงตัวไม่จัดจ้านมา แต่มีกลิ่นอายเย็นๆ ผสานไปตลอด โดนโทนซิตรัสตอนต้นยังคงตามมาอยู่ แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นในช่วงนี้จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นหนังติดโทนดาร์กหน่อยๆ กับกลิ่นอายของธูปหอมที่เข้ามาแจมทีละหน่อยจนกลายเป็นกลิ่นอายที่ติดโทนนัวร์ แบบที่ยังคงให้กลิ่นของความเป็นเครื่องเทศติดซิตรัสนำเด่นอยู่ และปิดท้ายที่ความเป็นโทนไม้หอมแบบดาร์กมีกลิ่นอาย Smoky ให้รู้สึกได้จากแอมเบอร์ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นโทนธูปหอมแบบผงไม้สะอาดยังตามมาอยู่ เลยจะได้กลิ่นอายลึกลับกำลังดี แบบน่าค้นหา และมีกลิ่นนุ่มๆ ของไม้หอมกลั้ว Musk รวมถึงกลิ่นหนังจางๆ ที่ให้ทั้งความสะอาด นุ่ม อบอุ่น และเย้ายวนแบบติดเย็นชาหน่อยๆ กลิ่นจะไม่มีเปรี้ยวแหลมขึ้นมาเลย ออกแนวไม้หอมนำเด่นแบบกึ่งอบอุ่นกึ่งสดชื่น โดยมีพื้นฐานของกลิ่นโทนดาร์กอยู่ด้านหลังให้กลิ่นไม่ออกทางใสเกินไป เมือนผู้ชายใส่ชุดดำหน้าตาดีมีออร่าแอบเย็นชาและลึกลับนั่งอยู่ในงานเลี้ยงแบบแบบเงียบๆ คนเดียว ที่ทำให้คนต้องเหลียวมองว่า เขาไปใครหนอ เขามาจากไหน และอยากเข้าไปรู้จักว่าทำไมมาคนเดียว ประมาณนี้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นยังคงสไตล์เข้าถึงง่ายแบบต้นตระกูลแต่เพิ่มโทนดาร์กลงไปมากหน่อย ซึ่งสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ ยิ่งใส่กับชุดสีดำนะ เข้ากันมาก เสริมโทนกลิ่นให้ดูดาร์กมากขึ้น เพียงแต่ถ้าจะออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนใส่ยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นอายแบบลึกลับน่าค้นหาปนสดชื่นได้น่าสนใจเลยทีเดีย

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. กำลังดี จะมากกว่านี้ก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย - เป็น Sillage Scent ที่คนฉีดจะได้กลิ่นไม่หนักหน่วง แต่กลับกลายเป็นบาเรียที่คนรอบข้างจะได้กลิ่นชัดกว่าคนที่ฉีด ซึ่งถือว่ากระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวไปตลอด จนช่วงท้ายที่ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ซึ่งตรงนี้อาจจะอยู่ที่เคมีด้วยส่วนหนึ่ง

ทิ้งท้าย - เสียดายจังเลยยยยย ที่เลิกผลิตไปแล้ว ขวดสวยมากเสียด้วยนะนั่น T-T ผิดที่เราเจอกันช้าไปเต็มๆ

Credit ภาพhttp://www.parfumlux.ru/images/goods/Noir-Absolu.jpg

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Perfumes Hedoné - Eau Mo Pour Gay


Perfumes Hedoné - Eau Mo Pour Gay

ก่อนอื่นขอก่อนเลยว่า มันเด็ดดวงจริงอะไรจริงอ่ะ แกร๊~ แอร๊ยยยยยยยยย! 55555 เพราะรุ่นน้ำหอมที่ผมจะมาบอกเล่ากันครั้งนี้ เฉพาะเจาะจงมากสุดๆ คือ ใครจะทำไม ไม่มี๊ ไม่มี Homme ไม่มี Femme กันแล้ว เอา Gay กันตรงๆ เลยแหละ ซึ่งแบรนด์จากสเปนอย่าง Perfumes Hedoné ได้ผลิตน้ำหอมตัวนี้ออกมาเพื่อเป็นหนึ่งในการระดมทุนวิจัยเรื่องเอดส์ โดยเจาะไปทีเกย์โดยตรงเลยแหละ เช่นนั้น มาดมกลิ่นกันดีกว่ากับ Eau Mo pour Gay ครับ

Top Notes เปิดตัวกันแบบเต็มๆ เลยกับกลิ่นของโทนซิตรัสของเลมอนและส้มจี๊ด ที่จะกลั้วกับกลิ่นของเม็ดกระวานกันตั้งแต่ช่วงนี้ มีลาเวนเดอร์แอบๆ ซ่อนๆ อยู่นิดหน่อย แต่บอกเลยว่า กลิ่นกระวานในตัวนี้ทำให้ซิตรัสกลายเป็นโทนแน่นและยั่วกันชัดเจน กลิ่นจะสดชื่นติดชวนนัวเรียกแขกกันตั้งแต่ต้น และเพียงไม่นานกลิ่นดอกส้มจะค่อยๆ ดันขึ้นมา จนเข้า Middle Notes ที่กลายเป็นกลิ่นโทนซิตรัสติดนุ่มนวล โดยเม็ดกระวานยังคงอยู่ ผสานกับกลิ่นดอกส้มทำให้ได้โทนยั่วยวนเข้าไปอีก และมีกลิ่นโทนสมุนไพรเขียวๆ มาแซมทำให้กลิ่นจะออกทางนุ่มไม่ออกทางดอกไม้เกินกว่าเหตุและดึงดูดแบบนุ่มๆ โดยยังมีโทนซิตรัสจากตอนต้นมาผสานอยู่กลิ่นจะนัวๆ นวลๆ แบบเรียกร้องความสนใจกันเต็มๆ แหละนะ จนเมื่อกลิ่นของวานิลลาจะค่อยๆ ดันออกมากลั้วกับดอกส้ม จนเปิดเข้าสู่ Base Notes ที่วานิลลาจะออกมาทางแป้งอบอุ่นจางๆ ติดโทนวู้ดดี้ กลั้วเครื่องเทศยั่วๆ ดันให้ Musk เด่นขึ้นมาแบบตัดกลิ่นสาปออกแต่เพิ่มความเข้มในเนื้อกลิ่นทำให้ออกทางยั่วกันชัดเจน แบบหน้านิ่งๆ แต่ร่างกายพร้อมรบมาก 555555 กลิ่นตอนนี่้รับช่วงการนัวจากช่วงกลางได้ดีเลยทีเดียว แต่การที่ได้กลิ่นโทนวู้ดดี้เข้ามาผสานในช่วงนี้เลยทำให้ได้ความขรึมอบอุ่นน่าค้นหา มากกว่าจะเป็นการเชิญชวนแบบชัดเจนนั่นเอง ซึ่งแน่นอน จากทั้งหมดมันคือ การนำเอาความเป็นตัวพ่อของ Le Male มาตัดทอนกลิ่นลาเวนเดอร์และอบเชยออกไปทั้งหมด โดยลดทอนความเป็นวานิลลาไม่ให้เด่นจัดทำให้ได้ความรู้สึกที่ใสขึ้น และอ่อนวัยมากขึ้น แต่แน่นอนว่ามันยังยั่วกันอย่างชัดเจนเพราะ Musk ที่ออกทางอุ่นๆ แบบนัวจัดๆ นี่แหละทำให้ชวนสยิวกิ้วเลยล่ะครับ 55555

เหมาะสำหรับ - ชื่อมันก็บอกน่ะนะว่าเกย์ แต่เอาเข้าจริงผู้ชายก็ใส่ได้ครับ แต่กลิ่นแบบนี้มันเอาข้อดีของน้ำหอมประจำชาติเกย์มาเด่น มันเลยออกทางที่ตอบโจทย์เฉพาะทางเสียมากนั่นเอง ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายสถานการณ์ยามกลางวัน แบบไม่ได้ทางการจัดๆ ใส่อยู่กับแฟนจะเพศไหนก็เหอะ รับรองอาจจะออกแรงกันไม่มากก็น้อย 5555 งดใส่ออกกำลังกายเลย กลิ่นแน่นไม่น้อย แทนที่จะยั่ว จะกลายเป็นไล่ชาวบ้านแทน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป สามารถมีแต่ได้ ไม่มีเสียแน่ๆ งานนี้ แอร๊ยยยยยย!

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ที่สำคัญอิงเคมีด้วยนะครับ ถ้าใครไม่เข้ากับตัวนี้ มันจะไม่ทนเท่าไหร่เลยแหละ

การกระจาย - แน่นยั่วกันเลยทีเดียวเชียวตั้งแต่ตอนต้น และลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนช่วงท้ายจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้น 6 ชม. จะเป็น Skin Scent แล้วล่ะครับ มาซุกเถิดจะเกิดความมันส์ ไรงี้~

ทิ้งท้าย - ตอนผมทดลองใส่ไปทำงาน ตอนเช้ามีหนุ่มล่ำหน้าตี๋ที่ยืนใกล้ๆ บน BTS ยิ้มให้เป็นระยะ เอาล่ะสิ น้ำหอมปล่อยของแล้ววววววว 555555 ที่สำคัญแอบแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เพราะ เวบ Official ของน้ำหอมตัวนี้ปิดตัวลงไปแล้ว น่าจะเลิกผลิตแล้วหายากแล้วเป็นแน่แท้แหละครับ ^^

Credit ภาพ http://www.miscelandia.com/wp-content/uploads/2014/09/eaumo_img.jpg

ใครอยากเห็น Ad ที่แสนสยิวกิ้ว ก็ตามนี้เลยล่ะครับ

Credit: 
https://fbcdn-photos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-0/s526x395/216584_152308771502938_804130_n.jpg?oh=93cf3332c420d9099b1424af3e20e48a&oe=566576F8&__gda__=1453824944_6f4ddd7fda0b698adbaf22761fd96091

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Bvlgari – Omnia Green Jade


Bvlgari – Omnia Green Jade

บอกกงๆ ว่าไลน์ Omnia ของ Bvlgari กับผมนี่ ไม่เคยได้มีโอกาสมาเจอกันเลยเพราะผมเห็นขวดแล้ว มันส๊าววววว สาวววว ยิ่งขวดทรงใหม่เป็นแบบ Jewel Charms หลากสีออกมาอีก เอิ่มมม สาววววว แต่เพราะว่า ผลพวงจากการที่ตัดสินใจ อ่ะ มาลองกัน ทำให้ผมรู้ว่าเราตัดสินกันที่ขวดไม่ได้ เช่นนั้น เลยจะมาบอกเล่าครับว่ากลิ่นที่ผมได้ลองอย่าง Omnia Green Jade เป็นยังไงบ้าง 

Top Notes เปิดตัวกลิ่นกลิ่นอายสดชื่นของเปลือกส้มติดโทนเขียวๆ สะอาดๆ แบบที่เป็น Prada Infusion d’Iris แบบกำลังดี เลย คือมาแบบสบู่ใสๆ สดชื่นติดหวานจางๆ ซึ่งกลิ่นแนวๆ เปลือกส้มติดเขียวนี้จะตามไปจนถึงปลายๆ ช่วง Middle Notes mจะไปผสมผสานกับกลิ่นชาเขียวกลั้วดอกไม้ที่ติดโทนหวานใสๆ ของมะลิและดอกโบตั๋นที่จะออกมาเป็นกลิ่นอายชาเขียวดอกไม้ติดสดชื่นจากส้มเลยล่ะครับ กลิ่นอายจะเป็นโทนโปร่ง ใส สีเขียวออกทางสว่างๆ กลิ่นดอกไม้ไม่ได้ออกทางหวานเกินจนทำให้โทนสีของกลิ่นมันเปลี่ยนไปเลย จนเมื่อเข้าช่วง Base Notes กลิ่นโทนสดชื่นติดดอกไม้ตอนแรกจะหายไปหมด กลายเป็นกลิ่นโทนชาเขียวเบาๆ กลั้วความเป็นไม้หอมเต็มๆ มีความครีมมี่จางๆ ด้วยจากความเป็นถั่วพิชตาชิโอที่มาแบบลงตัว ไม่ได้เป็นโทนถั่วข้นๆ เกินไป โดยโทนไม้หอมที่มาแบบอ่อนๆ ให้รู้สึกได้ด้วย ทำให้กลิ่นอายจะออกทางสะอาดอบอุ่นเบาๆ ครีมมี่กำลังดี เย้ายวนแบบมีระดับในความเป็นกลิ่นชาจางๆ เรียกว่าเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่กลิ่นอายเขียว นุ่ม สะอาด มีระดับมาก โดยที่คง Concept ของโทนสีได้ชัดเจนเลยล่ะครั

เหมาะสำหรับ – ผู้หญิงทุกเพศวัย ม.ต้น ก็ใช้กลิ่นนี้ได้แล้วครับ กลิ่นเข้าถึงง่ายมาก สดชื่นแบบมีระดับเสียด้วยซ้ำไป ลั่นล้าก็ได้ ชิลล์ๆ ก็ดี นิ่งๆ ก็เหมาะ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียวทั้งงานทางการและไม่ทางการ มีออกกำลังกายที่รอท้ายๆ หน่อยน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนถ้าทั่วๆ ไปกับอากาศร้อนนรกแตกบ้านเรานี่ได้เลยล่ะ แต่ถ้าไปเที่ยวกลางคืนตัดออกไปจาก List เถอะ โดนกลบหมด ส่วนผู้ชาย ใส่ตัวนี้ได้เลยครับ เนื้อกลิ่นมีความเป็น Unisex ลงตัวเลยล่ะ ระวังอย่างเดียวครับ ใส่แล้วจะติดใจกลิ่นนี้ เท่านั้นเอง

ความทน – ประมาณ 6 ชม. ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญที่จะทำให้ทนมากขึ้น

การกระจาย – ในช่วงต้นกระจายดีเลยทีเดียว แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปตลอด จนถึงปลายๆ ช่วงท้ายที่จะเป็น Skin Scent เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ไม่รบกวนใครนักเข้าทางการเป็น Safe Scent ที่ดีตัวนึงเลย

ทิ้งท้าย – นี่คือน้ำหอมที่มีกลิ่นชาเขียวกลั้วดอกไม้และถั่วพิชตาชิโอที่ออกโทนสบู่ใสๆ น่าสนใจมากครับ โดยยังมีความเขียวสดชื่นไปตลอด แต่สิ่งหนึ่งคือ เห็นเหมือนเลิกผลิตไปช่วงนึง อันนี้ถาม BA ในห้างมา เพราะไม่มีตัวนี้มาวางนานมากแล้ว และตอนนี้กลับมากับการเป็นหนึ่งใน Jewel Charms Collection ขวดสวยมากกกกเลยครับ

Credit ภาพhttp://www.weloveshopping.com/shop/client/000051/wigwicky/PBV009.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: La Ong Siam Perfume – ไม้จันทน์หอม (Sandalwood)


La Ong Siam Perfume – ไม้จันทน์หอม (Sandalwood) 

เห็นแบรนด์ไทยแบรนด์นี้ปล่อยน้ำหอมรุ่นล่าสุดออกมา เจอคำว่า “ไม้จันทน์หอม” เข้าไป ต้องจัดสิ ไม่จัดไม่ได้ เพราะกลิ่นหอมสะอาดนุ่มๆ ติดอบอุ่นแบบนี้ ถือว่าน่าสนใจมาก เช่นนั้นจึงขอลองกันซักหน่อย ผลออกมาก็เป็นเช่นนี้ครับ 

กลิ่นเปิดมาจับได้ถึงโทนกลิ่นที่ออกทางซิตรัสฟรุตตี้กลั้วความเป็นกุหลาบแบบไม่ได้ออกทางแน่นแต่ประการใด กลิ่นออกทางกลางๆ ไม่ฉ่ำ ไม่แห้ง กลิ่นเปิดแบบลักษณะของน้ำหอมผู้หญิงมาเลย เพียงแป้บเดียวกลิ่นโทน White Musk จะเริ่มดันขึ้นมาให้กลิ่นกุหลาบเริ่มนุ่มขึ้นตามลำดับ สิ่งหนึ่งที่รองพื้นช่วงหลังและจับได้หรือกลิ่นจะออกทางอบอุ่นกันตั้งแต่ช่วงต้นนี้จนรู้สึกได้เลย จนเข้าสู่ช่วงกลางที่ไม้จันทน์หอมจะเริ่มตีขึ้นมากลั้วกับ White Musk กลายเป็นกลิ่นอายที่เป็นสบู่กลิ่นไม้หอม ที่กลิ่นจะฟุ้งกระจายอุ่นๆ รุมๆ รอบตัวๆ และสิ่งที่รองพื้นด้านหลังให้เนื้อกลิ่นมีความอุ่นเริ่มจะเผยตัวออกมา นั่นคือ กำยาน เพียงแต่จะยังไม่เต็มตัวนัก เลยทำให้กลิ่นอายตั้งแต่ช่วงต้นของกุหลาบและ White Musk ไม่ได้ออกทางแป้งกลั้วดอกไม้ เลยทำให้ตั้งแต่ช่วงกลางจึงกลายเป็น Unisex ตั้งแต่ช่วงนี้ และกลิ่นโทนอบอุ่นจะเริ่มเด่นมากขึ้นๆ เพราะกำยานจะเริ่มแสดงตัวชัดเจนโดยมีวานิลลาเข้ามาเสริมเข้าไปอีก กลิ่นเลยจะเป็นโทนอบอุ่นติดหวานเย้ากันเต็มๆ โดยยังมีกลิ่นจันทน์หอมกับ Musk ให้รู้สึกได้ กลิ่นจะอบอุ่นและนุ่มๆ คุมโทนความเป็นสบู่ไม้หอมได้อยู่จนหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ – Unisex ครับ กลิ่นใส่ได้ทั้งหญิงและชายวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นไม่ได้ออกทางใสนัก เป็นโทนอบอุ่นเต็มๆ เพียงแต่ช่วงต้นจะสาวหน่อยเพราะกุหลาบติดซิตรัส แต่ไม่นานก็ Unisex เพราะกุหลาบไม่ได้อยู่นานเลย สามารถใส่ได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม เช่น งานทางการต่างๆ ทำงานห้องแอร์ หรือว่าชิลล์ๆ ทั่วไป แต่งดเรื่องการใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นมันจะแน่นมากยามร่างกายทำความร้อน เดี๋ยวจุกคอหอยตายเอา ส่วนยามกลางคืนจัดไปครับ กลิ่นเข้ากับบรรยากาศกลางคืนได้ดีเลย เย้ายวนกำลังดี สู้กลิ่นเหล้าได้อยู่ครับ

ความทน – ประมาณ 6 - 8 ชม. ครับ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีเลยในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายกลางๆ ค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว แบบที่ใครอยู่ใกล้ได้กลิ่นแน่ๆ และจะผันเป็นกึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ถือว่าเป็นกลิ่นที่ Unisex ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และเป็นโทนอบอุ่นกันตั้งแต่ต้นชัดเจน ซึ่งกลิ่นน่าสนใจมากเลยทีเดียว ยิ่งคนชอบโทนสบู่เหมือนอารมณ์อาบน้ำอุ่นกับสบู่ไม้เนื้อหอมนวลเนียนนุ่ม ตอบโจทย์เลยล่ะครับ

Credit ภาพhttps://www.facebook.com/media/set/?set=a.1629426763947873.1073741830.1626693334221216&type=3

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Thierry Mugler – A*Men Pure Wood


Thierry Mugler – A*Men Pure Wood 

เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา Thierry Mugler ปล่อย Ad ออกมาว่าจะมี Pure Wood เกิดขึ้น งานนี้ผมนี่ตาโตสุดๆ เพราะว่า หลงใหล Flanker ของ A*Men ที่เป็น Pure ต่างๆ มากกกก เช่นนั้น เมื่อสบโอกาสเราก็ได้เจอมันแล้ววว ดีใจที่สุด และก็เป็นที่มาของรีวิวนี้เลยครับ ว่าเป็นยังไงบ้างกับตัวนี้ 

กลิ่นเปิดบอกเลยว่ามันแปลกดี เหมือนเป็นส่วนผสมผสานความเป็น B*Men ของแบรนด์นี้กับความเป็น Eau des Bavx ของ L’Occitane อย่างบอกไม่ถูกในแง่ของกลิ่นเครื่องเทศผสานกับไม้สนไซเปรสแห้งๆ ซึ่งกลิ่นนี้ต้องอาศัยความคุ้นชินพอสมควรก่อนครับ เพราะไม่ใช้กลิ่นที่มาในแนวเนื้อเดียวพิมพ์นิยมอะไรนัก ค่อนข้างออกทางกลิ่นไม้แห้งๆ ราดเครื่องเทศที่มีโทนติดเปรี้ยวจางๆ และกลิ่นของวานิลลาจะเริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนมากลั้วกับกลิ่นไม้แห้งผสานเครื่องเทศ และเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัวที่วานิลลาจะเริ่มเด่น เพียงแต่เด่นในโทนที่มีกลิ่นกาแฟเข้ามาร่วมวงด้วย ซึ่งจะมีความครีมมี่พอสมควรในส่วนนี้ แต่กลิ่นอายของไม้สนไซเปรสนั้นยังตามมาอยู่ เลยทำให้ช่วงนี้ เหมือนเป็นการผสมผสานความเป็น Eau des Bavx กับ Farenheit 32 ของ Dior เข้าด้วยกันอย่างมีเสน่ห์มาก กลิ่นวานิลลาแบบกลั้วกาแฟ และไซเปรสแห้งๆ และมีกลิ่นพิมเสนที่เข้ามาเด่นในช่วงนี้ด้วย เลยจะได้ความหวานแบบเย้ายวนด้วยในตัวกลั้วกับความอบอุ่นแบบน่าไว้วางใจ คือ ได้ 2 อารมณ์ไปเลย จนเมื่อเข้าช่วงท้ายงานนี้กลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่ซ่อนตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นให้รู้สึกได้ก็เปิดเผยตัวออกมาแล้วนั่นคือ กลิ่นไม้โอ๊ค กลิ่นจะมาแบบเนื้อไม้กันเลย และมีกลิ่นอาย Smoky ให้พอรู้สึกได้ แถมมีความครีมมี่จางๆ อีกด้วย โดยโทนกาแฟและพิมเสนยังตามมาในช่วงนี้แบบเป็นตัวรองพื้นด้านหลัง กลิ่นจะมีความหอมแบบเนื้อไม้แห้งๆ ไปตลอดที่คุมโทนหลักเลย ทำให้กลิ่นนี้บอกเลยว่าแมนแบบไม่เหมือนใครเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นค่อนข้างมีความซับซ้อนอยู่พอสมควร และถ้าผ่านน้ำหอมมาพอประมาณจะชอบตัวนี้ได้ไม่ยาก เพราะกลิ่นมันมีลูกเล่นระหว่างความเป็นเครื่องเทศ วานิลลา กาแฟ และไม้เนื้อหอม โดยไม่ทิ้งความเป็น Pure Wood ไปเลย สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งงานทางการและไม่ทางการ กลิ่นคาบเกี่ยวความภูมิฐานอบอุ่นก็ได้ เย้ายวนแบบมีระดับก็ดี เลือกได้ว่าอยากจะแสดง Part ไหนตามการแต่งตัวแหละครับ งดใส่ออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ได้สบายๆ ไม่ได้ออกทางยั่วแบบตัวพ่อ A*Men แต่ออกทางเท่ห์มีระดับติดอบอุ่นเสียมากกว่าครับ

ความทน – ประมาณ 8 ชั่วโมง จะมากกว่านั้นอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด แน่นอนว่าตัวนี้อิงเคมีด้วยส่วนหนึ่งครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกกกตามสไตล์ของ A*Men เลย และลดลงมากระจายดีไปตลอด จนช่วงท้ายถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ของไม้โอ๊ค

ทิ้งท้าย – กลิ่นลงตัวตาม Concept เลย โดยมีความเป็นลายเซ็นของ A*Men ไม่มีผิดเพี้ยน แต่มีสิ่งหนึ่งใน Ad ขวดลายไม้สวยมากกก แบบว่ามันเท่ห์มาก แต่ขวดจริงล่ะ เอิ่มมมม #ไม้ฝาเฌอร่า มากกกกกก 55555

Credit ภาพ http://fimgs.net/images/secundar/o.26593.jpg


ภาพขวดจริง - http://manface.uk/wp-content/uploads/2014/08/Thierry-Mugler-Amen-Pure-Wood-3.jpg 


วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Burberry for Men


Burberry for Men 

หนึ่งในน้ำหอมที่ต้องบอกว่ากลิ่นอายร่วมสมัยและมีระดับเข้าทางสไตล์เรียบหรูดูดีแบบ Burberry เลยล่ะครับ เพราะแน่นอนว่าเป็นน้ำหอมชายตัวแรกของแบรนด์นี้ มาในยุคสมัยที่คาบเกี่ยวกันระหว่างน้ำหอมโทน Retro หรือ Old School กับความเป็น Modern สิ่งที่ออกมาเลยเป็นกลิ่นที่เข้าได้กับทั้งยุคเก่าและใหม่เลยล่ะครับ นั่นคือ Burberry for Men 

เปิดตัวด้วย Top Notes ด้วยกลิ่น Spice สดชื่นของมินท์เลย โดยจะกลั้วไปกับกลิ่นโทนซิตรัสออกทางติดหวานหน่อยๆ แบบน้ำหอมยุคก่อนปี 90 แอบมีความสะอาดนุ่มและติดเขียวหอมๆ ของลาเวนเดอร์ด้วย กลิ่นเลยจะเต็มแน่นกันตั้งแต่ตอนต้นให้ความหอมกระจายกันเลยทีเดียว ในแบบกึ่งกลางระหว่าง Old School กับ Modern จนเข้ามาถึง Middle Notes ที่คราวนี้จะเป็นช่วงปล่อยของเลย เพราะกลิ่นของไม้หอมอย่างซีดาร์และจันทน์หอมจะเด่นขึ้นมาแบบให้ความสะอาด ภูมิฐาน เคร่งขรึมกลั้วเย้าไปกับกลิ่นของมะลิ มีความอบอุ่นกำลังดี สะอาดสะอ้าน ติดสดชื่นกำลังดี กลิ่นช่วงนี้จะหอมสะอาดติดโทนหวานกำลังดี กลิ่นจะโดดเด่นในเชิงไม้หอมแบบไพล่ไปทางความ Modern เลยจะเข้าถึงง่ายและหอมเรียกคำชมได้ไม่ยากในพื้นฐานของกลิ่นที่ยังมีความแน่นแบบโปร่งๆ ไม่หนักจมูกแต่ประการใด ซึ่งโทนไม้หอมจะตามไปผสานกับช่วง Base Notes ที่จะเริ่มเข้าโทนอบอุ่นแบบคงความสะอาดสะอ้านอยู่ในเนื้อกลิ่นโดย Musk จะรองพื้นรอเลยล่ะ ให้วานิลลากลั้วกับกลิ่นของไม้ซีดาร์และจันทน์หอมที่ยังมาอยู่กลิ่นจะออกทางแป้งหอมแบบอบอุ่นแมนๆ แต่สะอาดสะอ้านนุ่มนวลจมูก เรียกว่าภาพรวมเป็นน้ำหอมที่บ่งบอกถึงผู้ชายที่มีระดับและรู้จักเลือกน้ำหอมที่จะสื่อสารในด้านการเป็นผู้ชายอบอุ่นได้ดีเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นสร้างความภูมิฐานและความน่าเชื่อถือได้เลยทีเดียวกับโทนแบบนี้ สามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการรับแขกบ้านแขกเมืองจนถึงพบปะผู้คนทั่วไป กลิ่นนี้เอาอยู่สบายๆ เลย และสามารถใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไปก็ได้ กลิ่นหอมแบบมีระดับในตัว จะโรแมนติคก็สามารถเพราะมีโทนอบอุ่น แต่ออกกำลังกายอาจจะต้องรอท้ายของท้ายๆ เลยล่ะครับ น่าจะดีกว่า ยามค่ำคืนจัดได้สบายๆ กลิ่นสู้ชาวบ้านได้แน่นอน เรียกว่าครอบจักรวาลในระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ

ความทน – น้ำหอมโทนแบบนี้ 8 ชม. และมากกว่านั้นได้สบายๆ เพราะสิ่งที่ผมเจอคือ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ กินชาบูควันท่วมกลิ่นก็ยังไม่หาย ยกนิ้วให้เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ลดลงมากระจายดีงามในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ตรงๆ ครับ สำหรับผมนี่คือหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่ได้หมดทั้งความคลาสสิคและความ Modern ที่เป็นตัวเอกเด็ดดวงของ Burberry เลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://lcdn.perfume-empire.com/80BD9A/perfume-empire/media/catalog/product/b/u/burberry_classic_m.jpg

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Maurer & Wirtz – 4711: Ice Eau de Cologne


Maurer & Wirtz – 4711 Ice Eau de Cologne 

ใครที่เล่นน้ำหอมกันต่างต้องเคยได้ยินกันมาอย่างแน่แท้ถึง Cologne ของ 4711 ที่กลิ่นจะหอมสดชื่นเหมาะกับอากาศร้อนๆ มากมาย ถือว่าเป็นน้ำหอมที่แม้ว่าจะไม่ได้ทน แต่เรียกความสดชื่นและหอมสะอาดได้ดีมากมาย เอาเข้าจริงเดิมทีไลน์ 4711 เป็นของแบรนด์ Muelhens มาก่อนนะครับ แต่ว่าถูกซื้อกิจการโดย Maurer & Wirtz เลยทำให้ไลน์ชื่อดังนี้มาอยู่ภายใต้แบรนด์ใหม่ในปี 2006 โดยยังเป็น 4711 เช่นเดิม ซึ่งในเมื่อได้ยินมาบ่อยก็อยากลอง เลยจัดมาซะเลยกับรุ่นนี้ครับ Ice Eau de Cologne

เปิดตัวแบบกลิ่นหอมสะอาดติดเขียวของโทนซิตรัสจากมะกรูดกันเลยล่ะครับ โดยจะมีกลิ่นของมิ้นท์และเมนทอลที่เย็นวาบเลยล่ะครับ กลิ่นจะปลุกโสตประสาทให้ตื่นและสดชื่นกันได้เลยทีเดียในช่วงนี้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะรู้สึกได้ยามที่ Cologne อยู่บนผิวแล้ว คือความเย็นที่ราวกับทาแป้งเย็นแบบฉ่ำๆ อยู่ช่วงระยะนึงเลยทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มเป็นกลิ่นโทนเขียวเบาๆ ของใบไวโอเล็ต มีโทนแป้งเบาๆ หน่อยๆ แต่จะยังคงความติดเขียวไปตลอดเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายๆ ที่จะเป็นกลิ่นอายแบบผิวสะอาดที่ไม่ได้ออกทางนุ่มแต่จะเป็นผิวอายแบบที่โดนน้ำเย็นแล้วกลิ่นใสๆ สดชื่นเบาๆ ไปตลอดนั่นเอง

เหมาะสำหรับ – ทุกเพศเลยครับ กลิ่นใช้ง่ายขั้นสุด เข้าถึงได้ง่าย หอมสดชื่นแบบสะอาดติดเขียวเย็นวาบไปตลอด สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ ยิ่งก่อนออกกำลังกาย ฉีดตัวนี้ซักหน่อยช่วยเรื่องความสดชื่นได้ดีมาก ยามกลางคืนถ้าร้อนๆ แบบบ้านเราก็จัดไป แต่ถ้าจะเอาไปเมา จงหยุด เพราะกลิ่นเบามากเกินไป สู้เหล้าและชาวบ้านที่จัดเต็มไม่ได้แน่นอน

ความทน – อย่าได้คาดหวัง 555555 เพราะความทนเอาเข้าจริง ไม่เกิน 2 ชม. ก็หายไปแล้วล่ะครับ ควรพกไปฉีดระหว่างวันเพื่อเพิ่มความสดชื่นจะดีที่สุด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกำลังดีในตอนต้น มีความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นแบบ 4711 ได้ดีมากเลยทีเดียว ก่อนจะลดลงมาเป็น Skin Scent ลากยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิ

ทิ้งท้าย – ถ้าชอบความเป็นธรรมชาติและเบาๆ ตัวนี้เข้าทีครับ หอมสดชื่นจริงอะไรจริงแถมเย็นวาบที่ผิวแบบเหมือนโดนน้ำเย็นแตะเฉพาะจุดได้เลย แต่ถ้าเน้นความทน ข้ามไปเถอะครับ ไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนี้อยู่แล้วล่ะ

Credit ภาพ: http://guideimg.alibaba.com/images/shop/76/09/05/2/4711-ice-by-maurer-and-wirtz-eau-de-cologne-5-oz-150-ml_4280202.jpg

Review: Cartier - Baiser Vole


Cartier - Baiser Vole 

มาต่อเนื่องที่ไลน์ Baiser Vole ของแบรนด์ Cartier กันหลังจากผ่านตัว Essence และ Lys Rose มาแล้ว ก็ต้องมาที่ตัวหัวหอกของไลน์กันบ้างว่างานนี้จะเบ่งบานด้านกลิ่นขนาดไหนกับ Baiser Vole EDP ครับ 

เพราะ Baiser Vole จะเด่นที่ความเป็นลิลลี่มาตลอดทุกรุ่นเลย เช่นนั้นตัวต้นตระกูลตัวนี้ ก็เปิดตัวด้วยลิลลี่เลยครับ อารมณ์แบบดอกลิลลี่ที่จัดเป็นช่อเลย กลิ่นอายสดชื่น สดใส ติดเขียวซิตรัสกำลังดี หอมติดหวานจางๆ แบบลงตัวมาก เพียงแค่กลิ่นเปิดอาจจะทำให้สาวๆ หลายคนตัดสินใจซื้อทันทีแบบไม่ต้องรอช่วงอื่น เพราะกลิ่นดึงดูดและหอมลิลลี่จริงจังมาก จนเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นลิลลี่ยังคงอยู่และเด่นขึ้นในลักษณะกลั้วกับเครื่องเทศจางๆ มีกลิ่นอายแบบแป้งหน่อยๆ แซม จะหอมนวลติดกลิ่นอายสดชื่นที่มาตั้งแต่ตอนต้น เรียกว่าคงความมีระดับในเนื้อกลิ่นด้วยความเป็นลิลลี่สีขาวชัดเจน และยังคงตัวต่อไปเรื่อยๆ ในช่วงท้ายที่จะมีโทนเขียวๆ เข้ามาแซม โดยรองพื้นด้านหลังด้วย Musk ที่ให้ความนุ่มเย้าแบบดึงดูด กลิ่นจะเป็นลิลลี่นวลๆ ดูผู้ดีและมีคลาสในเวลาเดียวกัน ซึ่งตั้งแต่ต้นยันจบบอกเลยว่าใครชอบกลิ่นลิลลี่จะฟินไปเลยล่ะครับ เพราะไล่เรียงตั้งแต่ความเป็นช่อดอกไม้ ดอกไม้นวลๆ ติดแป้งสดชื่น และปิดท้ายด้วยลิลลี่หอมนุ่ม สมแล้วที่เป็นน้ำหอมของ Cartier ที่ดังมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงเลยครับ ได้ทุกเพศทุกวัยด้วยนะ ขอยกเว้นเด็กทารกแล้วกัน เพราะกลิ่นลิลลี่แบบนี้ผู้หญิงชอบแน่นอน และเป็นกลิ่นที่ได้หมดทั้งความเยาววัย ความน่ารัก อ่อนหวาน สดชื่น และโรแมนติค แอบซ่อนความเย้ายวนเอาไว้ได้หมด สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ ถ้าออกกำลังกายอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่รอช่วงท้ายๆ จะพอได้อยู่ ส่วนยามกลางคืนถ้าออกงานจะจัดไปครับ กลิ่นมีระดับมากพอเลยล่ะ แต่ถ้าไปหาเหยื่อในผับบาร์อาจจะไม่ได้เพราะกลิ่นจะไม่ได้ออกทางยั่วโต้งๆ มาแบบเรียบหรูเสียมากกว่าเท่านั้นเองครับ

ความทน - 8 ชม. สบายๆ เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นลิลลี่มาเต็มให้อารมณ์แบบอยู่ในสถานที่ที่ตกแต่งด้วยลิลลี่เต็มไปหมด และจะลดลงมากระจายกลางๆ ลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ครับ

ทิ้งท้าย - ยามผมใส่น้ำหอมตัวนี้ โดนทักตามเคย น้ำหอมสาวอีกแล้ว เออ! ก็ชอบกลิ่นลิลลี่ แหม มันออกจะหอมโว้ยย รมณ์เสีย! เดี๊ยะตบดิ้นเลย 55555

Credit ภาพhttp://www.albertine.ro/wp-content/uploads/2015/03/CAR207P-Baiser-Vole-Cartier-EDP-50ml-parfum-pentru-femei.jpg

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Hermes - Eau de Narcisse Bleu


Hermes - Eau de Narcisse Bleu 

Cologne Collection ของ Hermes ยังไม่จบนะจ้ะ เห็นมีทั้งหมด 5 ตัว แน่นอนว่าต้องจัดมารีวิวทั้งหมดแน่ๆ ซึ่งคราวนี้เลยขอมาที่ตัวที่ 4 ของไลน์นี้ต่อครับ กับรุ่น Eau de Narcisse Bleu 

ต้องบอกกันตรงๆ ว่านี่เป็นอีกตัวที่เรียกว่าดีงามมากเลยในด้านกลิ่นของไลน์นี้ แถมความทนก็จัดว่าเทียบเท่า EDT รองลงมาจากตัว Eau de Gentiane เลยล่ะครับ เพราะกลิ่นอายจะมาแบบเขียวในรูปแบบที่เป็น Signature ของ Hermes พ่วงด้วยความเป็นกลิ่นอายแบบดอกไม้สีสวยที่กลิ่นออกทางตุ่ยๆ เบื่อเมา แต่กลิ่นหอมแบบน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งมาจากกลิ่นหลักของน้ำหอมตัวนี้อย่างดอกนาร์ซิซัส โดยกลิ่นเปิดจะมาแบบ Raw เลยล่ะครับ กลิ่นแบบตุ่ยๆ ผสมความสดชื่น และมีความเขียวแบบยางไม้กลั้ว ซึ่งกลิ่นอายแบบตุ่ยๆ ติดเขียวนี้จะตามไปทุกช่วงเลยทีเดียวสื่อตรงตัวถึงการเป็นดอกนาร์ซิซัสชัดเจนมากไปตลอด จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มมีกลิ่นอายโทนดอกไม้นวลๆ ของดอกส้มเข้ามาแทรก แต่ไม่ได้มาในโทนซิตรัสหน่อยๆ เลย แถมมีกลิ่นอายติดเครื่องเทศสดชื่นจางๆ กลั้วไปตลอด ทำให้ช่วงกลางนี้จะเป็นกลิ่นอายสะอาดกลั้วกับความเป็นแป้งหอมดอกไม้แบบไม่มีกลิ่นโทนนุ่มแบบพวก Musk เลย เลยมีแต่กลิ่นอายเขียวๆ แทน ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้มีเสน่ห์มากจริงๆ กับการเบลนด์กลิ่นแบบดอกไม้ตุ่ยๆ ให้ออกมานวลๆ แบบผงแป้งจากดอกไม้ตรงๆ ไม่มีผสมอย่างอื่น ส่งท้ายที่กลิ่นอายวู้ดดี้อ่อนๆ ที่แอบจับได้ถึงไม้ซีดาร์และไม้จันทน์หอมจางๆ โดยยังมีกลิ่นอายเขียวตุ่ยๆ นวลๆ ตามมาเบาๆ ทำให้กลิ่นออกทางสะอาดนวลๆ อบอุ่นเบาๆ กำลังดีไปจนกว่าจะหายไปจากผิวเลยครับ

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศครับ เพราะ Unisex มากกับกลิ่นโทนแบบนี้ แต่อาจจะไม่ได้เข้าถึงทุกคนได้ง่ายเพราะว่ากลิ่นออกทางเขียวตุ่ยๆ เบื่อเมาที่เปิดตัวขึ้นมาค่อนข้างเด่น โดยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เหมาหมดทั้งทางการและไม่ทางการ ส่วนยามกลางคืนถ้าทั่วๆ ไปก็ได้อยู่ แต่ไม่เหมาะใส่ไปเต้นแร้งเต้นกาเมาปลิ้นแต่ประการใด เพราะเหล้ากลบหมดเอาได้ตามประสา EDC

ความทน - เป็น EDC ที่ทนเทียบเท่า EDT เลยล่ะครับ อยู่ที่ประมาณ 4-6 ชม. โดยประมาณ จะมากกว่านี้ยังได้เลยถ้าเพิ่มสเปรย์และฉีดเสื้อที่สวมเข้าไปด้วย เพราะส่วนตัวผมเจอที่ 8 ชม. กับ 6 สเปรย์กดเต็ม กลิ่นคงอยู่ให้รู้สึกได้ตลอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นแบบเขียวตุ่ยๆ แบบเวลาที่เราดมดอกไม้สีสวยๆ ตามสวนแต่กลิ่นมันจะตุ่ยๆ เขียวๆ เลยล่ะ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ผมประทับใจเลยก็ว่าได้กับกลิ่นของรุ่นนี้ ที่เอาความเป็นธรรมชาติของเนื้อกลิ่นที่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ความเข้าถึงได้ง่ายมาทำให้กลายเป็นกลิ่นหอมแบบมีเสน่ห์และคงความเป็น Hermes ได้ครบถ้วนเลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://media.hermes.com/media/wysiwyg/visuel-gamme-ENB.jpg

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Laura Biagiotti - Roma UOMO


Laura Biagiotti - Roma UOMO

หนึ่งในน้ำหอมแบรนด์จากอิตาลี จากแบรนด์ที่ขึ้นชื่อว่า Queen of Cashmere อย่าง Laura Biagiotti ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีดีไม่น้อยแน่ๆ กับขวดสีส้มตัวนี้กับชื่อรุ่นที่ Tribute ความเรียบหรูและความเย้ายวนของผู้ชายในเมืองใหญ่อย่างกรุงโรม เช่นนั้น เราก็อยากเย้ายวนกับเขาบ้างก็จัดไปที่รุ่นนี้ครับ Roma UOMO 

กลิ่นเปิดของตัวนี้มันใช่เลย นี่แหละน้ำหอมอิตาลีล่ะ เพราะ Top Notes มากันเต็มๆ กับกลิ่นส้มที่นวลๆ ติดโทนหวาน Modern กลิ่นที่ว่านี้จะไม่ออกโทนซิตรัสแบบคมๆ เลย กลายเป็นกลิ่นที่ติดโทนนุ่มๆ มีความเป็น Spicy จางๆ ให้รู้สึกได้ ก่อนที่จะมีกลิ่นออกทางครีมมี่ดันขึ้นมาจนเข้าช่วง Middle Notes จนกลายเป็นกลิ่นออกทางครีมส้มที่หอมนุ่มละมุนมีความอุ่นๆ อยู่ในที มีโทนดอกไม้แบบออกทางหวานๆ ครีมๆ เข้าผสานได้อย่างลงตัว โดยมีความเป็นส้มไม่ได้หนีไปไหน และปิดท้ายที่ Base Notes กับความอุ่นที่เริ่มฉายมาตั้งแต่ช่วงกลางก็ได้ชัดเจนเอาตอนนี้กับโทนวู้ดดี้ติดแป้งนุ่มๆ ที่ยังมีกลิ่นอายของส้มจางๆ โดยกลิ่นของไม้หอมจะมาทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นติด Smoky มีวานิลลาและ Musk ที่ยังทำให้กลิ่นอายออกโทนนุ่ม มีความภูมิฐานก็ได้ กลิ่นอบอุ่นชวนวางใจก็ดี จะออกทางผ่อนคลายก็เหมาะ เรียกได้ว่าภาพรวมเป็นกลิ่นอายแบบกึ่งขนมที่เป็นครีมส้มแบบแมนๆ กลิ่นบ่งบอกถึงความร่วมสมัยติดหรูได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปครับ กลิ่นเข้าถึงง่ายแบบมีระดับ โดยสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งงานทางการและชิลล์ๆ เพราะเข้ากับอากาศร้อนๆ เลยทีเดียว ยกเว้นออกกำลังกายที่อาจจะรอท้ายๆ หน่อย จะพอไหวอยู่ ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่เพื่อความโรแมนติค หรือออกงานกลางคืนก็แบบว่ากลิ่นเข้ากั๊นเข้ากัน แต่ถ้าไปเมาแอ๋ตามผับหรือวงหมูกะทะตัวนี้อาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันออกทางเรียบหรูเนี้ยบๆ มีระดับนั่นเอง

ความทน – 8 ชม. สบายๆ ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ส้มแบบติดหวานนวลๆ หอมมากกกก และลดลงมากระจายกลางๆ ไปตลอด จนปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – กลิ่นของน้ำหอมตัวนี้มีความคล้ายกับ Paloma Picasso – Minotaure แต่ Roma UOMO มีความเป็นส้มออกทางครีมอุ่นๆ มากกว่า ไม่ได้เป็นส้มติดวู้ดดี้นวลๆ ซึ่งมีความดีงามกันแบบแตกต่างในโทนใกล้เคียงกันเลยล่ะครับ

Credit ภาพ: http://www.profumeriaweb.com/eshop/images/detailed/4/BIA-ROMH.jpg